xs
xsm
sm
md
lg

คุณผีที่รัก ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณผีที่รัก ตอนที่ 3

น้ำมนต์กับอัฐชัยมาถึงหน้าสำนักอาจารย์เทพยามค่ำคืน เธอรีบวิ่งเข้าไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน กดกริ่งซ้ำๆ แต่ไม่มีใครออกมา
 
“มีใครอยู่มั้ย เปิดประตูหน่อย”
“ปกติสำนักอาจารย์เทพไม่เคยปิด นี่แสดงว่าไม่มีใครอยู่นะน้ำมนต์”
“แล้วเขาไปไหน...โทรไปถามสิ เร็ว”
อัฐชัยหยิบมือถือมากดโทรออก

ในสุสานรถ...พีระเดินเข้าไปเรื่อยๆ พวกอาจารย์เทพเดินตาม เกี๊ยงสะพายย่ามที่บรรจุของขลังต่างๆของอาจารย์เทพติดตัวมาด้วย
“ออกมาสิ ออกมาไอ้คามิน” พีระเรียก
อาจารย์เทพยิ้มพึงใจ
“ท่าทางที่นี่จะมีวิญญาณเฮี้ยนๆเยอะ...ดี...ฉันจะได้ ช็อปปิ้งจับผีเอาไปใช้งานสักตัวสองตัว”
เกี๊ยงขัดขึ้น
“แต่จารย์เทพครับ เกี๊ยงว่ามันแปลกๆ...เหมือน...มีใครกำลังมองเราตลอดไม่รู้”
อยู่ๆมือถือเกี๊ยงดังสนั่นขึ้นมา
“ว้ากๆ” เกี๊ยงตกใจ
อาจารย์เทพก็ตกใจ ร้องอุทานรัว
“เฮ้ย อุเหม่ อุเหม่ ชิชะ แหกๆ”
เกี๊ยงตะลึงคำอุทานของอาจารย์กลั้นยิ้ม แซวๆ
“แหมม อุทานเป็นลิเกเลยนะครับ”
อาจารย์เทพรีบฟอร์ม เขกกะโหลกเกี๊ยง
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยเวลามาทำงานต้องปิดมือถือ...เห็นมั้ยว่ามันทำให้เสียจริต”
เกี๊ยงดูเบอร์
“แต่คุณอัฐชัยโทรมา”
“เอาไว้ให้เสร็จเรื่องก่อนค่อยโทรกลับ”
“ครับ”
เกี๊ยงกดตัดสาย แต่อาจารย์เทพหันมาไม่เจอพีระแล้ว
“มันหายไปไหนแล้ว”
“ทำไมจารย์เทพไม่ดูมันไว้ล่ะครับ” เกี๊ยงโวย
อาจารย์เทพเขกกะโหลกอีก
“เพราะแกนั่นแหละ ถ้ามันหนีไปได้ แกเจอดีแน่”
อาจารย์เทพหลับตาท่องคาถา

สำนักอาจารย์เทพ...อัฐชัยหันมาบอกน้ำมนต์
“มันปิดเครื่องไปแล้ว”
“เบอร์อาจารย์เทพล่ะ มีเบอร์ไหนอีก โทรไปให้หมด”
อัฐชัยพยายามกดโทรศัพท์ซ้ำๆไป อยู่ๆมือถือน้ำมนต์ดัง เธอรีบหยิบมารับ
“ค่ะ พี่เอมี่”
เอมี่นั่งอยู่ที่บ้านน้ำมนต์
“เป็นไงบ้าง ช่วยคุณผีของเธอได้หรือเปล่า...ต้องช่วยให้ได้นะ รายการพี่ยังต้องพึ่งพาเขาอยู่...ห๊า สำนักปิด”
แมนสรวงโผล่มาข้างๆ แต่เอมี่ไม่เห็น
“สำนักปิด หมายความว่าไง...อาจารย์เทพกำลังจะทำพิธีส่งผีของเธอไปนรก”
“ทำที่ไหน รีบตามไปห้ามสิ” แมนสรวงร้อนใจ
“ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าพาไปที่ไหน”
“หา...ไม่ได้ จะปล่อยให้พีระถูกกำจัดวิญญาณไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเป้าหมายของเรามีอันต้องพังไปด้วย” แมนสรวงตั้งจิต คิดถึงพีระ “พีระ...พีระ นายอยู่ที่ไหน”
แมนสรวงหลับตาลง

แมนสรวงลืมตาขึ้นอีกที พบว่ามาอยู่ที่สุสานรถแล้ว
“ที่นี่...”
แล้วอยู่ๆพีระก็วิ่งหนีอาจารย์เทพมาจากอีกด้าน
“พีระ”
พีระเห็นแมนสรวง ดีใจ
“ไอ้ยมทูต”
พีระกำลังจะเข้าไปหา แต่อยู่ๆปรากฏร่างผีชายหนุ่มสองคนในชุดนักแข่งรถขวางหน้าพีระ ทั้งสองเข้ารุมบีบคอพีระเอาไว้ ไม่ให้หนีไปไหน หนึ่งในผีตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นฟ้าส่งเสียงคำรามเป็นเสียงร้องแหลม พีระเรียกให้แมนสรวงช่วย
“ช่วย...ด้วย...”
แมนสรวงจะขยับเข้าไปช่วย แต่อาจารย์เทพตามมาเจอพีระ แมนสรวงชะงัก ตัดสินใจถอยๆ แล้วหายตัวไป พีระอยู่ในวงล้อมของผี ดิ้นไม่หลุด อาจารย์เทพเดินตามเข้ามา เกี๊ยงตามหลัง
“คิดว่าแกจะหนีฉันพ้นเหรอ”

บ้านน้ำมนต์...แมนสรวงกลับมาที่ข้างๆเอมี่อีกที เธอยังพูดโทรอยู่
“ข้าวต้มยังอยู่ข้างบน เธอไม่ต้องห่วงน้องเธอ พี่จะดูแล...”
แมนสรวงเป่าหูเอมี่ทันที
“ไปที่สุสานรถ”
เอมี่พูดตามไปอย่างไม่รู้ตัว
“ไปที่สุสานรถ”
น้ำมนต์ที่กำลังจะวางสาย ชะงัก
“พี่ว่าอะไรนะคะ”
“พี่บอกว่า เธอไม่ต้องห่วงข้าวต้ม พี่จะดูแล...”
แมนสรวงเป่าหูอีก
“พีระอยู่ที่สุสานรถ”
“พีระอยู่ที่สุสานรถ” เอมี่พูดตาม
น้ำมนต์ได้ยินเต็มๆ ตาโตหันไปสั่งอัฐชัย
“สุสานรถ...ใช่ ไปที่สุสานรถเร็ว”

น้ำมนต์คว้ามืออัฐชัยวิ่งไป

สุสานรถ...พีระถูกหมู่ผีรุมกินโต๊ะอยู่ ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ อาจารย์เทพยิ้มย่อง
 
“แกควรจะรู้ไว้นะว่าในแผ่นดินนี้ไม่มีหมอผีคนไหน จะมีฤทธิ์เดชอาคมเท่ากับอาจารย์เทพ ชูธง...แกล้อเล่นผิดคนแล้ว”
พีระรีบร้องห้าม
“เดี๋ยวๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีนะ แต่...แต่ฉันตกใจเสียงโทรศัพท์...พอตกใจ มันก็วิ่งเองไม่รู้ตัว”
“แล้วรู้มั้ยเวลาฉันตกใจเป็นยังไง”
เกี๊ยงแทรกทันที
“เฮ้ย อุเหม่ อุเหม่ ชิชะ แหกๆ”
อาจารย์เทพหันมาดุ
“ไม่ต้องตอบ”
“ไอ้หมอผี แน่จริงก็มาตัวๆกับฉันดิวะ อย่าหมาหมู่สิ” พีระท้าทาย
“แหม ไอ้นี่มันปากดีจริงๆนะครับจารย์เทพ เกี๊ยงขอตัวตัวกับมันสักทีเถอะ” เกี๊ยงจะเตะ แต่ลื่น หงายหลัง “โอ๊ย...”
“ฉันจะไม่เสียเวลากับแกอีกแล้ว...พวกสัมภเวสีจะส่งแกไปลงนรกเอง”
อาจารย์เทพสวดคาถาเพิ่มอีก พวกผีดุร้ายมากขึ้น พีระพยายามดิ้นสู้ แล้วเหลือบเห็นที่พื้นมีท่อนไม้อันหนึ่งหล่นอยู่ พีระฮึดไปที่ท่อนไม้นั้น แล้วเตะเต็มแรงไปที่อาจารย์เทพ ท่อนไม้ปลิวไปกระแทกศีรษะอาจารย์เทพ เลือดไหลซิบ จนเสียจังหวะ พีระผลักพวกผีออก แล้วหนี เกี๊ยงเห็นเลือด ตะลึง
“จารย์เทพ”
“ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจนะ ก็แค่จะให้แกหยุดสวดคาถา”
อาจารย์เทพยิ่งแค้น
“แก...ไอ้ผีบ้า...แกต้องตาย”

พีระวิ่งหนีออกมา อยู่ๆพวกสัมภเวสีมาดักขวางพีระเอาไว้ พีระจะฝ่าไป พุ่งเข้าชก แต่ผีสัมภเวสีไม่สะเทือน
“เฮ้ย นี่ไม่สะเทือนเลยเหรอวะ เป็นผีหรือเป็นเหล็กกันแน่”
ผีสัมภเวสีจับตัวพีระเอาไว้ พีระถูกจับล็อกตัว ดิ้นไม่หลุด
“ปล่อยฉัน”
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงวิ่งตามเข้ามา
“แกไม่มีวันหนีฉันพ้น”
แล้วอยู่ๆมีเสียงของคามินดังมา
“มันเป็นของข้า”
พีระได้ยินเสียงคามิน ดีใจ
“มาเลย ฉันรอแกอยู่แล้วไอ้คามิน ออกมาอาละวาดเลย”
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงแปลกใจ มีเสียงของคามินดังก้องซ้ำไปมา
“มันเป็นของข้า ๆ”
เกี๊ยงกวาดตามอง
“จารย์เทพครับ เสียงใคร”
อาจารย์เทพสัมผัสได้
“มันคือผีเจ้าถิ่นที่สุสานรถนี้”
เกี๊ยงเห็นคามิน
“จารย์เทพครับ นั่น”
คามินไปโผล่ตรงหน้าพีระ เผชิญกับสัมภเวสี คว้าคอสัมภเวสีมาจ้องตา เพียงแว่บเดียวสัมภเวสีพวกนั้นก็ถูกดูดพลังวิญญาณไปจนหมด สลายหายไป
“แกต้องเป็นของฉัน” คามินจ้องพีระ
พีระผงะ พยายามใจดีสู้เสือ
“อยากได้ฉัน...เอาชนะหมอผีสองคนนั้นให้ได้ก่อนเถอะ พวกมันจะมาจับแกไปโชว์อับดุล”
คามินหันขวับไปที่อาจารย์เทพ
“จะมาจับข้าเหรอ”
พีระรีบยุแยงให้คามินกับอาจารย์เทพตีกัน ตะโกนหาอาจารย์เทพ
“เฮ้ย หมอผี อยากจะจับก็มาจับไปสิเว้ย”
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงอยู่อีกด้าน เกี๊ยงรีบบอกอาจารย์
“มันหลอกเรา มาในถิ่นของมันก็เพราะจะให้พรรคพวกผีมาช่วยนี่เอง”
อาจารย์เทพโกรธ
“หน็อย ไอ้นี่มันแสบจริงๆ เออ พวกมันมีกี่ตัว ขอให้ออกมา เดี๋ยวจะจับเอาไปใบ้หวยให้หมด”
เกี๊ยงหวาดๆ
“จะไหวเหรอจารย์ กล้ามมันใหญ่กว่าจารย์อีกนะ”
“มันก็ใหญ่แต่กล้ามแหละเว้ย...เอาหม้อมา เดี๋ยวจะจับมันลงหม้อให้ดู”
เกี๊ยงวางหม้อดินเผา อาจารย์เทพสวดคาถา เกิดพลังอาคมดึงดูดให้เข้าไปในหม้อดินเผา แต่คามินยืนต้านทานเอาไว้ ไม่ยอมให้ดูดไป เท้าปักจมลงไปในพื้น อาจารย์เทพเร่งคาถาให้แรงขึ้นอีก คามินยืนต้านทาน พีระที่พยายามจะเกาะอะไรใกล้ตัวเอาไว้ แต่ในที่สุดก็หลุดมือ จะถูกดูดเข้าไป คามินตะโกนลั่น
“มันเป็นของข้า”
ในที่สุด หม้อดินเผานั้นก็ระเบิด...ตู้ม พีระกระเด็นไปอีกด้าน อาจารย์เทพเซไป
“มันไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนธรรมดา”
คามินผลักซากรถพุ่งเข้า หวังจะให้กระแทก แต่อาจารย์เทพกระโจนหลบได้ทันอย่างหวุดหวิด
“จารย์เทพ พละกำลังของมันทำไมเยอะอย่างนี้” เกี๊ยงหน้าตื่น
พีระอาศัยจังหวะนั้น แอบวิ่งหนีไป เกี๊ยงเห็นพอดี รีบผละตามไป
“เฮ้ย”
“ไอ้เกี๊ยง อย่าให้มันหนีไปได้”
อาจารย์เทพหันมองหาคามิน ปรากฏว่าคามินหายตัวไปแล้ว แต่อาจารย์เทพรู้ว่ายังวนเวียนแถวนี้ ระแวดระวังตัว

“แกอยู่ไหน”

พีระวิ่งหนีมาอีกทาง เกี๊ยงอ้อมมาดักหน้า
“แกจะไปไหน”
“หึๆ อย่างแกจะทำอะไรใครได้”
พีระไม่กลัวเกี๊ยง ตั้งกราดพร้อมชกด้วย
“ฉันศิษย์เอกจารย์เทพนะ อย่ามาดูถูกฉัน” เกี๊ยงโอ่
“นี่ศิษย์เอกเหรอวะ ไหนท่องนะโมสิ”
“ไม่ท่องเว้ย”
“ท่องไม่ได้อ่ะดิ”
“ท่องได้ แต่ฉันอมภูมิ...ไม่ชอบโชว์ แต่ถ้าฉันเอาจริงขึ้นมา ต่อให้ผีอย่างแกร้อยตัว ก็ไม่ครณามือ”
“ฉันขี้เกียจเสียเวลากับแก”
พีระจะไป แต่เกี๊ยงไม่ยอมให้ไป วิ่งไปขวาง
“ฉันอาจท่องคาถาไม่ถูก แต่ของขลังของจารย์เทพ จัดการแกได้แน่”
เกี๊ยงหยิบปืนฉีดน้ำขึ้นมา พีระขำ
“จะเล่นสงกรานต์เหรอ”
“ปืนฉีดน้ำมนต์จารย์เทพ”
เกี๊ยงฉีดน้ำมนต์ใส่ พีระถูกน้ำมนต์ร้อนฉ่า ควันขึ้น ปวดแสบปวดร้อน
“โอ๊ย”
“ทีนี้ แกยังกล้าดูถูกฉันอีกมั้ย”
เกี๊ยงเล็งปืนขึ้นไล่ยิงอีก พีระวิ่งหนีโวยวาย
“อย่าฉีด...ร้อนๆ”

พีระวิ่งหนีมาอีกด้าน เกี๊ยงไล่ตามฉีดน้ำมนต์มา แต่แล้วเกี๊ยงต้องผงะ เพราะอยู่ๆคามินโผล่มาคว้ามือของเขาเอาไว้
“มันเป็นของข้า”
คามินเหวี่ยงเกี๊ยงกระเด็นไปไกล กระแทกซากรถดังอั้ก เกี๊ยงร่วง คามินหันมาคว้าตัวพีระ ทำการสูบวิญญาณทันที
“อ๊าก”
อาจารย์เทพรีบวิ่งตามมา ไม่ยอมให้คามินได้พีระไปหยิบมีดหมอขึ้นมา พ่นคาถา แล้วเขวี้ยง
“ไปลงนรกซะเถอะ”
อาจารย์เทพเขวี้ยงมีดหมอ คามินกับพีระผวาหลบ มีดหมอไปปักที่ด้านหนึ่ง...ฉึก พีระทรุดไปกับพื้น สะบักสะบอม คามินพุ่งเข้าไปประชิดตัวอาจารย์เทพทันที แล้วบีบคอหมับ แต่ทันทีที่สัมผัสตัวอาจารย์เทพ คามินก็แสบร้อนเพราะอาคมที่เกิดจากรอยสักยันต์ในร่างกายของอาจารย์เทพ รอยสักเปล่งแสงขึ้นมาวาบๆ
“อ๊าก”
“แกรู้จักยันต์อาจารย์เทพชูธงน้อยไปแล้ว”
คามินไม่ยอมแพ้ พุ่งเข้าไปอีกครั้ง คว้าหมับที่หัวของอาจารย์เทพ อยู่ในท่าที่พร้อมจะหักคอให้ตาย แต่อาจารย์เทพจ้องตาสู้ ปากบริกรรมคาถา ต่างคนต่างไม่ยอมกัน คามินจะหักคอให้ได้ แต่อาจารย์เทพยื้อเอาไว้ด้วยอาคม มือของคามินจะมีควันพุ่งออกมา แม้ว่าจะแสบร้อนแค่ไหน แต่คามินก็ฮึดสู้ จับคอของอาจารย์เทพไม่ปล่อย จะบิดให้ได้ คามินกัดฟันพูด
“ฉันจะหักคอแก”
“แกไม่มีทางเอาชนะอาคมของฉันได้”
“เดี๋ยวคอแกหมุนครบรอบได้ แกก็จะรู้เอง”
คามินพยายามจะหักคออาจารย์เทพ ฮึดสุดแรง คอของอาจารย์เทพค่อยๆหันไปตามแรงของคามิน อาจารย์เทพบริกรรมคาถามากขึ้นๆ แต่คามินกำลังหักคออาจารย์เทพได้ทีละนิดๆ คอหมุนไปเรื่อยๆจนแทบจะพลิกไปด้านหลังอยู่แล้ว อาจารย์เทพต้านทานความโหดร้ายของคามินไม่อยู่ พีระพยายามยันตัว จะหนี
“ต้องหนี...ไปให้พ้นจากสุสานนี้”
เกี๊ยงคว้าปืนฉีดน้ำมนต์มาขวางพีระ
“อย่าคิดว่าแกจะหนีรอด”
“หลบไป”
พีระฮึดชกเกี๊ยง แล้ววิ่งซวนเซหนีไป เกี๊ยงล้ม ทีแรกจะตามพีระ แต่ชะงักเพราะเห็นอาจารย์เทพกำลังจะเสียท่า
“ปล่อยจารย์เทพ”
เกี๊ยงเอาน้ำมนต์ไปยิงใส่คามินรัวๆ
“อ๊าก”
คามินถึงกับทรุด อาจารย์เทพก็ทรุดด้วย
“จารย์...หนีก่อน”

เกี๊ยงประคองอาจารย์เทพวิ่งหนีออกไป คามินมองตามแค้นที่พลาดท่าเสียที

พีระวิ่งออกมาพ้นทางเข้าสุสาน แล้วก็ทรุด ล้มลงไป เกี๊ยงกับอาจารย์เทพประคองตามออกมา
“แผนสูงนักนะไอ้ผีเจ้าเล่ห์...ดี...ฉันจะไม่ให้แกได้ไปนรกสบายๆ ฉันจะเก็บแกเอาไว้ทรมานให้สาสมกับสิ่งที่แกทำ”
“เกี๊ยงจับมันให้เองครับ”
เกี๊ยงหยิบกระป๋องน้ำอัดลมที่หล่นแถวๆนั้นมา พีระพยายามจะหนี แต่เกี๊ยงท่องคาถา แล้วยื่นกระป๋องมาที่พีระ
“จงลงไป”
เป็นจังหวะเดียวกับที่น้ำมนต์และอัฐชัยวิ่งเข้ามาถึงพอดี
“พีระ”
ทันใด พีระถูกดูดให้เข้าไปในกระป๋องน้ำอัดลมอย่างง่ายดาย เกี๊ยงตะลึงที่ตัวเองทำได้ พอเสร็จสิ้นทุกอย่าง เกี๊ยงก็รีบเอาผ้ายันต์ออกมาปิดปากกระป๋องเอาไว้
“เกี๊ยงทำได้แล้วจารย์ เกี๊ยงจับผีลงหม้อได้แล้ว”
น้ำมนต์วิ่งเข้าไปจะแย่งกระป๋องน้ำอัดลมมา
“ปล่อยพีระเดี๋ยวนี้”
“อ้ะ อย่ามา”
เกี๊ยงดึงกระป๋องหลบ น้ำมนต์จะแย่งให้ได้ เกี๊ยงผลักจนน้ำมนต์หกล้มไป อัฐชัยโมโหผลักเกี๊ยงออก
“อาจารย์เทพ ผมไม่อยากให้อาจารย์ทำอะไรเขาแล้ว ปล่อยเขาเถอะ”
“คุณอัฐ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของคุณแล้ว มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผมกับมันล้วนๆ...คุณดู” อาจารย์เทพชี้แผลที่หน้า “ดูมันทำไว้กับผม...ผมไม่มีวันปล่อยมันแน่”
“ฉันก็จะไม่ยอมให้พวกคุณทำอะไรเขาเหมือนกัน ปล่อยพีระเดี๋ยวนี้”
น้ำมนต์จะแย่งกระป๋องมาให้ได้ เกี๊ยงถือกระป๋องหลบ ชักมือไปด้านหลัง โดยไม่รู้ว่าแมนสรวงโผล่มายืนอยู่ โดยไม่มีใครเห็น
“ขอดีๆไม่ให้ มันก็ต้องเจอ รังมดแดง”
แมนสรวงชี้ไปที่ต้นไม้ด้านบน รังมดแดงหล่นลงมาใส่หัวเกี๊ยงพอดีเป๊ะ
“เฮ้ย มดแดง อูยๆ”
เกี๊ยงเผลอทิ้งกระป๋องทันที เต้นเหยงๆไล่มดแดงออกจากตัว ทันใด พีระก็หลุดออกมาได้
“พีระ”
น้ำมนต์รีบวิ่งไปดูแลพีระ อาจารย์เทพเห็นพีระหลุดออกมาก็เขกกะโหลกเกี๊ยง
“แกเคยทำอะไรสำเร็จตลอดรอดฝั่งมั้ย”
อาจารย์เทพคิดจะจับพีระอีกรอบ แต่น้ำมนต์และอัฐชัยขยับมาขวางพีระ
“ห้ามทำอะไรเขาเด็ดขาด”
“อย่าครับอาจารย์...ถือว่าผมขอ เขาเคยช่วยชีวิตผมไว้ ปล่อยเขาไปสักครั้งเถอะครับ”
แต่อาจารย์เทพยังคงแค้นพีระ จ้องเขม็ง อัฐชัยยื่นเงินให้
“นี่เงินค่าจ้างและค่าไถ่ชีวิตเขา โปรดสัตว์สักครั้งนะครับอาจารย์”
อาจารย์เทพแววตาจำยอม สักพัก แมนสรวงผลักเกี๊ยงที่กำลังเต้นเหยงๆอยู่ให้เซถลามาทางอาจารย์เทพ
“เฮ้ย ไปไกลๆ ปัดโธ่ คันๆ”
อาจารย์เทพพลอยโดนมดกัดคันไปด้วย ทั้งคู่เต้นเหยงๆ แมนสรวงรีบบอก
“เอ้า จะยืนรอหวยออกหรือไงครับ หนีสิครับ ไป”

บ้านน้ำมนต์...เอมี่ฟุบหลับอยู่โดยมีข้าวต้มคอยพัดไล่ยุงให้ พีระเดินปึงปังกลับเข้ามาในบ้าน
“พี่พีระ...น้าเอมี่ ตื่นได้แล้วครับ”
เอมี่สะดุ้ง ตื่น
“น้ำมนต์ รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วงมาก ไม่เป็นอันกินอันนอนเลย”
แมนสรวงส่ายหน้า
“แล้วเมื่อกี้เรียกว่าอะไรครับ”
“เรียกว่าทำสมาธิในแนวราบ...เอ๊ะ...ใครถาม...”
เอมี่มองหา แต่ไม่เห็นแมนสรวงที่อยู่ข้างๆ ได้แต่งงๆ ข้าวต้มรีบเข้าไปหาพีระ
“พี่พีระ ใครจับพี่ไปเรียกค่าไถ่เหรอ”
“เรียกค่าไถ่” พีระชะงัก
น้ำมนต์ แมนสรวงหันมองเอมี่
“ก็...เด็กถาม...แล้วไม่รู้จะตอบยังไงอ่ะ”
“ทีหลังถ้าคนแปลกหน้าให้ของกิน หรือชวนไปไหน ห้ามไว้ใจห้ามไปกับเขาเด็ดขาด เข้าใจมั้ย” ข้าวต้มกำชับพีระ
พีระพูดกระทบน้ำมนต์
“อย่าว่าแต่คนแปลกหน้าเลย คนคุ้นหน้าก็ยังไว้ใจไม่ได้”
“นี่...” น้ำมนต์ถลึงตาใส่
พีระหันมามองหน้าน้ำมนต์ แล้วไม่อยากพูดด้วย หันหน้าหนี งอนใส่เอมี่พูดขึ้น
“น้ำมนต์ ฝากบอกคุณผีของเธอด้วย ว่าพี่ก็มีส่วนช่วยเขา พี่มีบุญคุณ เขาต้องช่วยรายการคืนผจญผีของพี่ตลอดไป”
พีระพูดกระทบน้ำมนต์
“มีแต่คนหวังประโยชน์จากผี แต่ไม่มีสักคนจะจริงใจ”
พีระเดินหนีเข้าไปในบ้าน น้ำมนต์รีบตามไป

พีระเดินหนีเข้ามา น้ำมนต์ตามมา
“หยุดคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ”
พีระไม่หยุด เดินทะลุแยกออกไปทางด้านหลังบ้าน เอมี่รีบเข้ามาหาน้ำมนต์
“งั้นพี่กลับก่อนดีกว่า ดึกมากแล้ว”
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูแลข้าวต้มให้” น้ำมนต์ไหว้
“จ้ะ อัฐจะกลับพร้อมกันเลยมั้ย”
อัฐชัยมองน้ำมนต์
“เอ่อ น้ำมนต์อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนมั้ย...เผื่อมีเรื่องอะไร ผมจะได้ช่วยได้”
พีระอยู่ๆก็โผล่เข้ามาข้างอัฐชัย
“เรื่องทั้งหมดมันก็มีเพราะนาย...ฉันต้องสู้ผีในน้ำแทบตายเพื่อช่วยนาย ยังมีหน้าจ้างหมอผีมาจับฉันอีก...ไอ้คนอกตัญญู”
พีระอยากจะเพ่นกบาลอัฐชัย น้ำมนต์ต้องรีบมาห้าม
“พอได้แล้ว อัฐเขาก็สำนึกผิดแล้วตามไปช่วยนายแล้วไง”
“ผมต้องขอบคุณมันด้วยมั้ย”
พีระเดินแยกออกไป อัฐชัยกับเอมี่สยองๆที่เห็นพีระมีท่าทีฉุน ข้าวต้มถามขึ้น
“พี่เป็นคนแกล้งพี่พีระเหรอ”
ข้าวต้มหันมาจ้องหน้าอัฐชัยเขม็ง อย่างไม่เป็นมิตร ฮึ่มแฮ่ใส่ น้ำมนต์ตัดบท
“อัฐกลับไปก่อนเถอะ”
เอมี่หันมาบอกกับอัฐชัย

“รีบไปเถอะ...น้ำมนต์จะได้พัก พี่ไปนะ บ๊ายบาย”

คุณผีที่รัก ตอนที่ 3 (ต่อ)

แมนสรวงยืนอยู่อีกด้าน โบกมือบ๊ายบายให้ด้วย เอมี่รู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ตรงนั้น หันไปบ๊ายบายให้แมนสรวงด้วย แต่ต้องชะงัก เพราะไม่มีใคร
“ทำไมรู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่”
เอมี่งงๆ รีบเดินออกไป แมนสรวงยิ้มแฉ่ง
“ผมเดินไปส่งนะครับพี่สาว”
แมนสรวงตามออกไป อัฐชัยหันมาหาน้ำมนต์
“ถ้ามีอะไร โทรหาอัฐได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะ”
“จ้ะ”
อัฐชัยตามออกไป น้ำมนต์หันกลับมามองที่พีระ แต่ทั้งพีระและข้าวต้มกลับเข้าไปในบ้านแล้ว

พีระกำลังเตะกระสอบทรายอยู่หลังบ้าน น้ำมนต์เดินตามเข้ามาหา
“อัฐชัยเขาก็ทำไปเพราะเป็นห่วงฉัน ผู้หญิงตัวเล็กๆที่อยู่ดีๆก็มีผีมาตาม คนดีๆที่ไหนก็ต้องหาวิธีการขับไล่ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนกันจะต้องช่วยกัน เข้าใจมั้ย”
“เป็นความผิดผมงั้นเหรอ”
“ฉันไม่ได้บอกว่านายผิด แต่จะบอกว่าจะไปโกรธอัฐชัยไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาทำมันเป็นเรื่องปกติ”
“เรื่องปกติ”
“ใช่ นายลองเปิดใจสิ ถ้านายเป็นคน แล้วมีผีที่ไหนก็ไม่รู้มาตามรังควาน นายจะหาทางไล่ผีมั้ย”
“อ้อ นี่ผมรังควานคุณเหรอ จริงๆแล้วคุณก็สนับสนุนให้เพื่อนคุณเอาหมอผีมาไล่ผมใช่มั้ย ตกลงว่าคุณก็ไม่เคยจริงใจ ไอ้ที่รับปากว่าจะช่วยผมก็ลมปากทั้งนั้นใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น”
“คอยดูนะ ถ้าผมตายไปจริงๆ ผมจะกลายเป็นผีร้าย คอยตามอาฆาตพวกคุณ ผมจะล้างแค้นเอาชีวิตพวกคุณไปอยู่ด้วยให้หมดเลย”
“ขู่ฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ขู่”
“แล้วที่ฉันตามไปช่วยนายที่สุสานรถคืออะไร พอฉันรู้ว่านายถูกหมอผีจับ ฉันก็ดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อไปช่วยนายให้ได้...ถ้าการที่ฉันเป็นห่วงและอยากช่วยเหลือนายขนาดนี้ ยังไม่ทำให้นายเชื่อใจได้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
น้ำมนต์เตะกระสอบทรายคืน แล้วเดินหนี

น้ำมนต์เดินขึ้นห้องนอน พีระเดินตามง้อ
“เฮ้ย คุณอย่ามาเดินหนี...ผมต่างหากที่งอนคุณอยู่ คุณต้องง้อผม”
“นายอยากคิดอะไร ทำอะไรก็ตามสบาย ฉันหมดความพยายามจะทำให้นายเชื่อใจแล้ว อยากจะหักคอฉันก็เชิญเลย”
น้ำมนต์หยิบผ้ายันต์อาจารย์เทพที่พกออกมา วางไว้แถวนั้น
“พอใจยัง”
พีระขยับเข้าประชิด
“ท้าผมเหรอ”
“เอาเลย”
พีระจ้องหน้าน้ำมนต์ที่ไม่กลัวเกรง
“ผมขอโทษ”
“หือ...”
“ผมขอโทษที่คิดถึงแต่ตัวเองมากไป จนลืมไปว่าคุณเพิ่งจะรู้จักผมไม่นาน และผมเป็นฝ่ายมารบกวนคุณ ผมขอโทษ”
“ฉันอยากช่วยนายจริงๆนะ แต่มันมีหลายเรื่องที่ฉันก็ต้องทำ จะทิ้งไม่ได้”
“ผมรู้ ขอบคุณนะที่คิดช่วยผม...ต่อไป...ผมช่วยคุณ คุณช่วยผม ชีวิตคุณกับชีวิตผม จะต้องเดินไปคู่กัน...ดีมั้ย”
“ดี ฉันจะช่วยให้นายตามหาร่างของนายเจอ”
“ผมก็จะช่วยให้คุณและรายการของคุณดังมากๆ”
“เราต้องประสบความสำเร็จทั้งคู่...จับมือ”
น้ำมนต์ยื่นมือให้จับ พีระจับมือน้ำมนต์ แล้วก็เผลอมองที่มือนั้น เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่สัมผัสเนื้อตัวกัน เข้าใจกันมากขึ้น พีระรู้สึกตัวว่าจับนานไปแล้วรีบดึงมือออก
“คุณเข้าไปนอนพักเถอะ...ฝันดี”
“เหมือนกัน”
“ไม่เอายันต์ไปด้วยเหรอ”
น้ำมนต์ยิ้ม
“ไม่ ฉันเชื่อใจนาย”
“จริงอ้ะ” พีระยิ้มกะล่อน
น้ำมนต์กำลังจะเข้าไป แต่ชะงัก ลังเล เปลี่ยนใจ หันกลับมาหยิบผ้ายันต์
“เพื่อความชัวร์”
น้ำมนต์เอาผ้ายันต์เข้าไปด้วย พีระยิ้มๆ
“คิดว่ามีผ้ายันต์แล้วจะกันผมได้หรา...”
น้ำมนต์วกกลับออกมาจากห้อง ชูผ้ายันต์ใส่พีระ
“จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย นี่...”
น้ำมนต์วิ่งเอาผ้ายันต์ไล่ พีระวิ่งหนีกระเจิง น้ำมนต์หัวเราะที่ได้แกล้ง

พีระนอนลืมตา ครุ่นคิดถึงตอนที่จับมือกับน้ำมนต์ มองมือตัวเอง สักพัก มีเสียงกุกกักดังมา พีระรีบกระเด้งตัวขึ้นมามอง แต่ไม่พบใคร แล้วอยู่ๆน้ำมนต์ก็โผล่มาแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกผี ที่ด้านหลัง
“เฮ้ย”
น้ำมนต์ยืนหัวเราะ
“โรคจิตเหรอ ถึงลุกมาแกล้งผีดึกๆดื่นๆอย่างนี้”
“ไม่ได้โรคจิต แต่มันนอนไม่หลับ”
“ทำไม”
“คือ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันขอบใจนายไปหรือยัง...เลยจะบอกว่า...ขอบใจนะที่ช่วยชีวิตอัฐชัยไม่ให้จมน้ำ”
“แค่นี้”
“อื้อ”
“แหม เรื่องแค่นี้ถึงกับนอนไม่หลับ...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า...คุณรักอัฐชัย”
น้ำมนต์หน้าตื่น
“เฮ้ย บ้า”
“อย่ามา...คุณแคร์อัฐชัยมาก ผมจะโกรธก็ไม่ให้โกรธ เขาไม่พูดขอบคุณผมสักคำ คุณก็ถือเอาเป็นธุระต้องพูดแทน...เลิกปากแข็งเถอะเพราะการกระทำของคุณมันฟ้องชัดเจนมาก”
“ไม่ต้องยุ่งน่ะ” น้ำมนต์หันหนี
พีระรีบไปดักหน้า
“แสดงว่าจริง...ถ้าชอบเขา ทำไมไม่ตกลงเป็นแฟนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย...หรือติดปัญหาอะไร”
“ปัญหาคือ มีคนที่เหมาะสมกับเขามากกว่าฉันเยอะแยะ”
“เจ้าตัวต้องรู้ดีว่าใครเหมาะสมกับเรามากที่สุด คุณอย่าไปตัดสินใจแทนเขาเลย”
“ฉันจะไม่ให้อะไรมาขัดขวางเป้าหมายฉัน ถ้าฉันไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ฉันจะไม่รักใครเด็ดขาด...ฉันจะไปนอนแล้ว ง่วง”

น้ำมนต์ไม่อยากตอบ ตัดประเด็น เดินหนี พีระได้แต่มองตาม

สถานีพราวด์ดิจิตัลเช้า วันใหม่ เอมี่เดินคุยโทรศัพท์ท่าทางเร่งรีบ
“น้ำมนต์...เธอจำได้ใช่มั้ยว่าคุณเมสินีอยากพบเธอ อย่าบอกนะว่าลืม...รีบมาเดี๋ยวนี้เลย” เอมี่วางสาย แล้วรับสายซ้อน เสียงหวานมาก “ค่ะ...คุณเมสินี กำลังมาแล้วค่ะ อาจจะสายนิดนึงนะคะ”
เอมี่ท่าทางกระวนกระวาย ดูเวลา เดินกลับไปกลับมา

น้ำมนต์รีบวิ่งลงมาจากฉันบน เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์ จะรีบออกไป
“ข้าวต้ม พี่ไปก่อนนะ รีบกินเร็วๆรถโรงเรียนจะมารับแล้ว”
พีระเข้ามาดักน้ำมนต์เอาไว้
“จะรีบไปไหน”
“ไปสถานีพราวด์ คุณเมสินีอยากพบฉัน...ไม่ต้องห่วง ฉันจะเอารูปวาดนายไปถามคนแถวนั้นด้วย”
“เมสินีอยากพบคุณ...เรื่องอะไร”
“จะไปรู้เหรอ ถึงได้รีบไปนี่ไง หลบๆ อ้อ ฝากจัดการส่งข้าวต้มขึ้นรถโรงเรียนด้วยนะ”
“เดี๋ยว ผมไปด้วย”
“ฉันไปคุยเรื่องงาน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของนายเลย”
“ผมอยากไป จะได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนยังไง...ข้าวต้มขึ้นรถโรงเรียนเองได้ใช่มั้ย”
ข้าวต้มกำลังเพลินกับการกิน ไล่ไม่แยแส
“ไปเถอะทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์”
น้ำมนต์รีบไป พีระตาม

น้ำมนต์ออกมา อัฐชัยเข้ามาหาพอดี
“น้ำมนต์ เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนมีอะไรผิดปกติมั้ย”
“ไม่มีอะไร”
พีระเบ้หน้า
“ทำไม...กลัวว่าฉันจะหักคอแฟนนายหรือไง”
น้ำมนต์หันมาสวนพีระ
“เราไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“มาดูแลเช้าถึงเย็นถึงอย่างนี้ ยังไม่เป็น เดี๋ยวก็เป็น”
น้ำมนต์แยกเขี้ยวพีระ แล้วหันไปขอร้องอัฐชัย
“อัฐ...ว่างมั้ย ช่วยไปส่งที่สถานีพราวด์หน่อยสิ”
“ได้สิครับ ขึ้นรถเลย”
อัฐชัยเดินนำไปเปิดประตูรถให้ น้ำมนต์รีบไปขึ้นรถ แล้วอัฐชัยก็รีบไปขึ้นที่นั่ง พีระตาเหลือก
“เฮ้ย ผมไปด้วยๆ”
พีระรีบตามไปนั่งเบาะหลัง เปิดขึ้นไปได้แบบหวุดหวิด รถแล่นออกพอดี

สถานีพราวด์ดิจิตัล...เอมี่กระวนกระวายรออยู่ สักพัก น้ำมนต์กับอัฐชัยวิ่งเข้ามา
“พี่เอมี่ มาแล้วค่ะๆ”
“รีบเข้าไปเลย คุณเมสินีรออยู่นานแล้ว ไปๆ”
น้ำมนต์รีบเข้าไป อัฐชัยจะตามไปด้วย แต่เอมี่คว้าแขนไว้
“เธอไม่ต้อง เขาอยากพบน้ำมนต์คนเดียว”
“เรื่องอะไรครับ”
“จะไปรู้เหรอ...ไป ไปหาข้าวเช้ากินกัน ไปคนเดียวกลัวพ่อค้าแซว”
เอมี่ลากอัฐชัยไป สวนกับพีระที่รีบตามเข้ามา กำลังจะเข้าไปด้านใน แต่อยู่ๆผีทหารการ์ดหน้าเครียดโผล่มาขวางหน้า ผลักอกพีระออก
“ลูกพี่ ผมมาดี ขอเข้าไปหน่อยเถอะ”
พีระจะเข้าไป แต่ผีทหารบีบคอเอาไว้
“โอ๊ย โอเคๆ ไม่เข้าแล้ว ปล่อยๆ”
พีระกระชากตัวเองออกมา มองตามเข้าไปในบริษัท เซ็ง หงุดหงิด

ในห้องทำงานเมสินี...น้ำมนต์นั่งลงตรงหน้าเมสินียกมือไหว้
“หนูต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้มาตั้งแต่เมื่อวาน พอดีมีเรื่องวุ่นๆนิดหน่อยค่ะ”
“ไม่เป็นไร เอมี่โทรมาบอกแล้วว่าเกิดเรื่องตอนไปถ่ายรายการที่บึงน้ำ...ได้ข่าวว่าเจอผีอีกแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็...น่ากลัวค่ะ น่าจะเป็นผีพราย แล้วเขาก็ดูไม่ได้มาดีด้วย แต่โชคดีไม่มีใครเป็นอะไรมากค่ะ”
“ผีพราย ก็เป็นผีผู้หญิงน่ะสิ”
“ค่ะ”
“แล้วไม่เจอผีผู้ชายมั่งเหรอ”
“ไม่เจอค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“เปล่าๆ ฉันก็แค่ถามเฉยๆ เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ แล้วที่คุณเมสินีเรียกหนูมาพบด่วน ไม่ทราบว่าคือเรื่องอะไรคะ”

พีระกระวนกระวายอยู่ด้านหน้า มองเข้าไปในสถานี ก็เจอผีทหารการ์ดยืนหน้าถมึงทึงอยู่
“ลูกพี่...รู้จักผู้หญิงที่ชื่อเมสินีใช่ป่ะ...เขาเป็นใคร ยังไง เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”
ทหารยืนนิ่ง หน้าขรึมเครียด เหมือนรูปปั้น
“น่า...บอกหน่อย อะไรก็ได้ ชื่อจริงนามสกุลจริงก็ได้ ชื่อพ่อ ชื่อแม่ก็ได้ ชื่อแฟน ชื่อหมาแมวก็ได้ ที่อยู่ก็ได้”
“เอกชัย”
“ชื่อแฟนเหรอ หรือชื่อพ่อ”
“ชื่อกู”
พีระเซ็ง

ในห้องทำงานเมสินี...น้ำมนต์แปลกใจ
“ฉันจะขึ้นเงินค่าตัวให้เธอ อีกสามพันบาทต่อตอน”
น้ำมนต์อึ้ง งง
“ทำไมคะ”
เมสินียิ้มเอ็นดู สบตากับยุทธ ยิ้มๆทำท่าว่าน้ำมนต์ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ
“คุณเมสินีมองว่าเธอคือบุคลากรสำคัญของสถานี...ที่รายการคืนผจญผีเรตติ้งดี มีสปอนเซอร์เข้า ก็เพราะมีพิธีกรที่มีสัมผัสพิเศษอย่างเธอ เราไม่อยากให้สถานีใหญ่ๆมาฉกเธอไป” ยุทธอธิบาย
“แล้วถ้าเธอกับพวกอยากทำรายการอะไรเพิ่ม ก็ลองเสนอมา ฉันยินดีพิจารณา เธอจะได้มีงานพิธีกรเพิ่มอีกงาน” เมสินียิ้ม
“คุณเมตตากับหนูมาก หนูจะไม่ลืมพระคุณเลยค่ะ” น้ำมนต์ไหว้
“ฉันเข้าใจว่าเด็กผู้หญิงที่ต้องเลี้ยงดูแลตัวเองและน้องชายตัวเล็กๆมันลำบากแค่ไหน...เอ้อ แล้วเธอตามหาพ่อเจอหรือยัง”
“คะ...” น้ำมนต์ชะงัก
“เธอเคยบอกว่าพ่อเธอหายไปไม่ใช่เหรอ” ยุทธถาม
“เอ่อ...” น้ำมนต์อึกอัก
เมสินีมองอย่างรู้ทัน
“เธอแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อขอต่อเวลาทำรายการสินะ”
น้ำมนต์รีบออกตัว
“อย่าโกรธพี่เอมี่เลยนะคะ เป็นความคิดหนูเอง ตอนนั้นเรากลัวจะถูกถอดรายการออกจากผังจริงๆ”
“ฉันไม่โกรธหรอก คนเราก็ต้องเคยโกหกเพราะหวังดีทั้งนั้น แล้วพวกเธอก็ทำให้เรตติ้งรายการดีขึ้นได้จริงๆ...แต่ต่อไป มีอะไรให้พูดกับฉันตรงๆ อย่าโกหกฉันอีก คิดซะว่าฉันเป็นพี่สาวของเธอก็ได้”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณเมสินี”
เมสินียิ้มหวานให้ แต่ในแววตามีเลศนัยซ่อนอยู่

พีระเข้าไปถามผีทหารการ์ด
“ลูกพี่...เคยสงสัยมั้ย ว่าทำไมคนตายไปแล้ววิญญาณก็กลายมาเป็นผี...แต่ทำไมหมาตายไปแล้ว ไม่เป็นผีหมา”
ผีทหารหันมาจ้องหน้าพีระอย่างฉงน ข้องใจ เอาเรื่อง
“ถ้าคนเป็นผีได้ หมาแมวก็ต้องเป็นผีได้จริงป่ะ...หรือจริงๆ มันก็มีอยู่แต่เรามองไม่เห็นเอง นั่น...ไอ้ด่างตัวนั้นจริงๆแล้วเป็นหมาผี พี่ลองหาความแตกต่างของมันกับหมาธรรมดาดูสิ หาเจอมั้ย”
ผีทหารหันไปจ้องหมา พิจารณา พีระอาศัยจังหวะนั้น แอบวิ่งเข้าไปในสถานีทันที

ทางเดินหน้าห้องทำงานเมสินี...พีระรีบเข้ามาภายในสถานี เดินพุ่งตรงไปอย่างคุ้นเคยในสัญชาตญาณ ไม่ได้มองป้ายหรือไม่ต้องถามใครเลย แต่อยู่ๆพีระก็ชะงัก เพราะคุ้นเคยกับภาพทางเดินที่ตรงไปสู่ห้องผู้บริหารเมสินี พีระยืนมองอย่างฉงน คุ้นเคยแปลกประหลาด
“ที่นี่...”

ภาพในในอดีตแว่บเข้ามา...พีระในชุดสูทเดินหุนหันออกมาจากห้องทำงานนั้น ปิดประตูปังแต่พีระยังคงจำอะไรไม่ได้
“ห้องนั้น...เรารู้จัก”
พีระกำลังจะเดินต่อไป แต่อยู่ๆผีทหารการ์ดก็โผล่มายืนตรงหน้า

พีระถูกผลักกระเด็นออกมาด้านนอก
“ฉันรู้จักที่นี่จริงๆ”
ผีทหารการ์ดยืนคุ้มกัน ไม่ไหวติง เคร่งเครียด

เมสินียังคุยอยู่กับน้ำมนต์
“เอ้อ...วันก่อนฉันเห็นเธอพกสมุดวาดรูป เธอชอบวาดรูปเหรอ”
“ก็วาดเล่นๆค่ะ ไม่ได้จะเอาดีทางนี้”
“ถ่อมตัวหรือเปล่า...ไหน ฉันขอดูฝีมือเธอหน่อย แล้วฉันจะเป็นคนตัดสินให้”
น้ำมนต์รีบหยิบสมุดวาดรูปออกมาส่งให้ เมสินีรับมาดู เปิดผ่านๆ จนกระทั่งมาเจอรูปของพีระ ถึงกับชะงัก มองจ้องรูปนั้นซึ่งเหมือนมาก ไม่มีทางเป็นคนอื่น ยุทธเข้ามามองด้วย ตะลึง
“ฝีมืองั้นๆใช่มั้ยคะ”
“ฝีมือใช้ได้เลยนะ...โดยเฉพาะรูปนี้ แฟนเหรอ”
“ไม่ใช่แฟนค่ะ เพื่อนค่ะ”
ยุทธรีบถาม
“เพื่อน...เพื่อนที่ไหน”
“ไม่ได้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันหรอกค่ะ...เราเพิ่งรู้จักกัน ตอนนี้หนูก็กำลังตามหาเขาอยู่”
“ตามหาทำไม เป็นเพื่อนกันทำไมต้องตามหา” ยุทธซักต่อ
“ก็...” น้ำมนต์อึ้ง งง
เมสินีรีบปราม
“ยุทธ...พอแล้ว ไปถามซอกแซก เสียมารยาท...ฉันมีนัดไปทำบุญเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า เธอสนใจจะไปด้วยกันมั้ย น้ำมนต์”
“สนใจค่ะ แต่วันนี้มีนัดประชุมเรื่องละครเวที...เอาไว้คราวหน้านะคะ”
“คราวหน้าแน่นะจ๊ะ...อ้อ หนูมีรูปเพื่อนคนนี้หลายแผ่นใช่มั้ย ทิ้งไว้กับฉันแผ่นนึงนะ เดี๋ยวจะเอาไปฝากฝ่ายข่าวให้ เผื่อจะมีใครเคยเจอ”
“ขอบพระคุณมากเลยค่ะ”

น้ำมนต์ยิ้มแย้มเป็นมิตรดีกับเมสินี

น้ำมนต์เดินออกมาด้านนอก พีระที่รออยู่แล้วรีบเข้ามา
“เขานัดคุณเรื่องอะไร”
“คุณเมสินีเพิ่มค่าตัวให้ฉัน แล้วยังอยากให้ฉันได้เป็นพิธีกรรายการเพิ่มอีกด้วย”
“แค่นี้เหรอ...แล้วเขาทำร้ายอะไรคุณหรือเปล่า”
“ไม่มี คุณเมสินีใจดีสุดๆ เชื่อมั้ยว่าเขาจับโกหกฉันได้ ก็ไม่โกรธสักคำมีแต่เมตตาจริงๆ”
“ไม่มีทาง ความรู้สึกผมบอกว่าเขาไม่ใช่คนดี”
“นายตัดสินจากเซ้นซ์ แต่ฉันตัดสินจากสิ่งที่ฉันพบเจอมา...ใครน่าเชื่อกว่ากัน”
เอมี่กับอัฐชัยเดินกลับมาพอดี น้ำมนต์ยิ้มแย้มบอก
“พี่เอมี่ มีข่าวดีๆ”
พีระมองตามน้ำมนต์ไป เห็นเธอวิ่งไปหาเอมี่กับอัฐชัย แล้วสักพักเอมี่ก็ร้องว่า จริงเหรอ แล้วก็กรี๊ดดีใจกัน พีระได้แต่เซ็ง พีระฉงนสงสัย
“เป็นคนดีจริงๆเหรอ”

เมสินีต่อว่ายุทธเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง
“เธอไปไล่จี้ถามยังกับเด็กมันทำอะไรผิด เดี๋ยวมันก็สงสัยเราพอดี”
“ก็...ผมลืมตัวอ่ะครับ อย่าโกรธผมนะครับ”
“ที่น้ำมนต์บอกว่ามันกำลังตามหานายพีทอยู่ หมายความว่ายังไง มันไม่ได้รู้ที่อยู่นายพีทเหรอ”
“อย่าลืมนะครับว่าเด็กพวกนี้เรียนละครมา มันอาจจะร่วมมือกับคุณ”
“เล่นละครตบตาเราก็ได้”
“ที่แน่ๆตอนนี้เรารู้ว่านายพีทยังไม่ตาย...เธออย่าเผลอพิรุธอะไรออกไปแล้วกัน เราต้องเป็นฝ่ายคุมเกม บางที เราอาจจะต้องหาวิธีล่อให้นายพีทปรากฏตัวออกมา
“คุณมีแผนอยู่แล้วสินะครับ”

มหาวิทยาลัย...น้ำมนต์กับอัฐชัยรีบเดินจ้ำเกือบจะเป็นวิ่งมาตามทางเดินไปยังห้องเรียน
“น้ำมนต์ วันนี้เลิกเรียนแล้วไปหาอะไรอร่อยๆกันมั้ย ไปนะๆ”
“ตอนเย็นฉันต้องไปช่วยพีระสืบคดีของเขาต่อ...เอาไว้ก่อนนะอัฐ ช่วงนี้งานล้นมาก”
“แต่ว่า...”
“รีบไปเร็วๆเถอะ”
น้ำมนต์วิ่งนำไปทันที อัฐชัยเซ็ง แล้วรีบตาม

ในห้องประชุมของคณะ...อาจารย์อิ๋ว กำลังรอประชุมหน้าเครียด ดูเวลาไปมา โดยในห้องประชุมมีลูกโป่ง พิมพ์ดาว และสมาชิกคนอื่นๆอีก 4-5 คน
“เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หมดเวลารอแล้ว...งบผลิตละครเวทีประจำปีอนุมัติมาแล้ว วันนี้เราต้องสรุปให้ได้ว่าจะทำแนวไหน เรื่องเกี่ยวกับอะไร ใครมีอะไรอยากเสนอบ้าง”
ลูกโป่งยกมือ
“อาจารย์ขา...คือ ความจริงพวกเราได้แอบตกลงกันมาแล้วค่ะ”
พิมพ์ดาวเสริม
“เราจะทำละครเวทีเกี่ยวกับผีค่ะ”
“ละครผีเนี่ยนะ” อาจารย์อิ๋วเยาะๆ
น้ำมนต์กับอัฐชัยตามเข้ามา น้ำมนต์รีบบอก
“ใช่ค่ะ พวกเราทำรายการคืนผจญผีอยู่แล้ว พวกข้อมูลและประสบการณ์ขนหัวลุก เรามีเพียบ เอามาใช้ในละครได้ค่ะ”
“ตกลงว่าเราทำละครผีนะครับ” อัฐชัยยืนยัน
อาจารย์อิ๋วท่าทางไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พวกนักศึกษาเห็นด้วย อาจารย์อิ๋วเรียกนักศึกษาคนหนึ่งมั่วๆ
“เธอ...เธอจะเสนอแนวรักโรแมนติกใช่มั้ย...งั้นมาโหวตกัน ใครจะทำละครรักโรแมนติกยกมือ”
ไม่มีใครยกเลย อาจารย์อิ๋วอึ้งแต่รีบสรุปเข้าข้างตัวเอง
“มติเป็นเอกฉันท์ ปีนี้เราจะทำละครรักโรแมนติก...จบ”
ลูกโป่งกับพิมพ์ดาวอึ้ง
“อาจารย์...”
“ความรักเป็นเรื่องสากล ดูง่าย เข้าใจง่าย ทำแล้วหัวใจก็มีความสุข”
“แต่พวกเราอยากทำละครผี” ลูกโป่งแย้ง
“ละครผีทำยาก ต้องแต่งตัวแต่งหน้าผี เทคนิคพิเศษ ซึ่งถ้าทำไม่ถึงละครมันจะดูง่อยและน่าสมเพชมาก”
“พวกเราทำได้ค่ะ” น้ำมนต์ยืนยันหนักแน่น
ทุกคนช่วยกันยืนยันกับอาจารย์ว่าทำได้ๆ
“งั้นก็ทำให้เห็นก่อน แล้วอาจารย์ถึงจะอนุมัติ...จบ”
อาจารย์อิ๋วเดินออกไปทันที
“นี่เราต้องไปเอาผีมาให้อาจารย์ดูหรือไงเนี่ย” ลูกโป่งถาม
“ผีเหรอ...มีสิ ตานี่ไง”
น้ำมนต์หยิบรูปพีระให้ดู ลูกโป่งมองรูปพีระแล้วตะลึง

“หล่อมาก”

คุณผีที่รัก ตอนที่ 3 (ต่อ)

ลูกโป่งกรี๊ด เหมือนแฟนคลับดารา
“อ๊าย...อ๊าย”
ทุกคนงง อุดหู
“คุณผีคะ คุณผีหล่อมาก...ไมแกไม่บอกแต่แรกว่าเขาหล่อขนาดนี้ ปล่อยให้ฉันกลัวอยู่ได้ตั้งนาน”
พิมพ์ดาวเซ็งๆ
“กรี๊ดตำรวจ ยาม หรือนักข่าวหล่อๆ ฉันเข้าใจ...แต่กรี๊ดผีหล่อ...ฉันไม่เข้าใจ”
“แก...เขาไม่ใช่ผีดุร้ายแบบในหนัง แต่เขาเป็นผีมีปม น่าสงสาร น่าเห็นใจ น้ำมนต์ เขาอยู่ตรงไหน” ลูกโป่งมองหา
“ตรงนี้ครับ” พี่ระชี้ตนเอง
น้ำมนต์ชี้ไปอีกทาง
“โน่น”
ลูกโป่งหันไปทางที่น้ำมนต์ชี้
“คุณผีคะ ลูกโป่งขอสมัครเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของคุณผีนะคะ เชิญเข้ามานั่งในใจลูกโป่งได้เลยค่ะ”
พีระไปยืนหน้าลูกโป่ง ทำท่าเท่
“ด้วยความยินดีครับ”
“เขามาอยู่ตรงนี้แล้ว” น้ำมนต์บอก
ลูกโป่งรีบตามไปอีกด้าน
“นะคะคุณผี”
พีระมองหน้าน้ำมนต์
“นี่คุณ...อิจฉาผมใช่มั้ย”
อัฐชัยกับลูกโป่งกำลังเว้าวอนอยู่หน้าถังขยะ มีนักศึกษาอื่นๆเอาขยะมาทิ้ง มองอย่างประหลาดๆ น้ำมนต์มองพีระแล้วเบ้หน้า
“อิจฉาตายล่ะ...พอ พวกฉันมีเรื่องจะให้นายช่วย”
“ช่วยอะไร”
อัฐชัยแทรกขึ้น
“ถ้าเขาไม่เต็มใจช่วยก็ไม่ต้องไปง้อเขานะ รำคาญ”
“ผมจะช่วย แต่เพื่อนคุณต้องเป็นคนขอผม”
น้ำมนต์หงุดหงิด
“นี่”
พิมพ์ดาวหันมาถาม
“เขาว่าไง”
“เขาจะให้อัฐชัยขอเขา”
“ฝันไปเถอะ”
อัฐชัยเดินหนี พิมพ์ดาวจับแขนดึงเอาไว้ พูดอย่างจริงจัง
“อัฐ...ก็แค่บอกไปว่าจะให้ช่วยอะไร คิดว่าพูดแทนน้ำมนต์ก็แล้วกัน”
พิมพ์ดาวเอาน้ำมนต์มาอ้าง อัฐชัยมองน้ำมนต์แล้วหงุดหงิด จำต้องยอม
“เพื่อน้ำมนต์นะ...ช่วยไปทำให้อาจารย์อิ๋วเชื่อว่าพวกเราทำละครเวทีผีได้สมจริงหน่อย...ได้มั้ย”

มหาวิทยาลัย...แมนสรวงขี่มอเตอร์ไซค์มาดริฟท์จอดอย่างสวยงาม พีระยืนรออยู่ แมนสรวงเปิดหมวกกันน็อกเท่ๆ
“เรียกฉันมามีเรื่องอะไร”

“ฉันมีเรื่องให้ช่วย”

อาจารย์อิ๋วเดินเข้ามาในห้องเรียน แล้วต้องชะงัก เพราะกลุ่มของน้ำมนต์ที่นั่งรอเรียนอยู่แล้ว กำลังชูป้ายเขียนว่า
“เราอยากทำละครเวที ผี” แต่ อาจารย์อิ๋วไม่สนใจ เขียนขึ้นกระดานในห้องเรียน ว่า VISUAL EFFECT 
“วิชวลเอฟเฟ็คหรือเทคนิคพิเศษทางภาพ”
น้ำมนต์ยกมือ ลุกยืน
“มันก็คือการทำสิ่งที่เป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เพื่อให้ภาพที่ออกมาสมจริงที่สุด”
“ถ้าเป็นภาพยนตร์หรือทีวี เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยสร้างภาพได้ แต่สำหรับละครเวที ทำไม่ได้” อัฐชัยเสริม
อาจารย์อิ๋วพยักหน้า
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
ลูกโป่งพูดขึ้น
“แต่พวกเราจะพิสูจน์ให้อาจารย์เห็นค่ะ ว่าเราทำละครเวทีผีได้”
“ไม่ใช่ได้ธรรมดานะคะ ได้ยังกับมีผีมาแสดงเองเลยล่ะค่ะ”
น้ำมนต์ลุกยืน ดีดนิ้ว เป๊าะ ไฟในห้องดับพรึ่บ คนอื่นๆงุนงง แต่ยังไม่ถึงกับแตกตื่น อาจารย์อิ๋วกอดอก รอดูสิว่าจะมีอะไรมาโชว์
“เอาสิ ถ้าทำได้จริงก็โชว์มาเลย”
ประตูห้องเรียนเปิดออกเองแอ๊ด ทุกคนมองไป ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น พิมพ์ดาวกระซิบถามน้ำมนต์
“คุณผีของแกจะทำอะไร”
“ไม่รู้ เขาไม่ได้บอกอะไรไว้เลย”
“อ้าว”
สักพัก แมนสรวงที่ใส่หน้ากากผี เอาผ้าขาวคลุมตัว เดินเข้ามา นักศึกษาในห้องผงะเล็กน้อย รอดูว่าคนหรือผีกันแน่ อาจารย์อิ๋วหัวเราะ
“ฮะๆ ใส่หน้ากาก เอาผ้าคลุม แล้วก็เดินเข้าฉากมา...สมจริงมากเหมือนผีที่สุด...พอไปนั่งที่ เสียเวลาเรียน”
แมนสรวงยืนนิ่งอยู่ ชี้ไปที่กระดาน อาจารย์อิ๋วเห็นสายตานักศึกษามองไปที่จุดเดียวกัน เลยหันไปมองบ้าง พบว่าปากกากำลังเขียนกระดานเองอยู่ น้ำมนต์เห็นพีระคือคนที่เขียนกระดานนั้นอยู่ อาจารย์อิ๋วปากสั่น อ่านตามที่เขียนทีละคำ
“จะมี...อะไร...เหมือนผีมากไปกว่า...ผี”
อาจารย์อิ๋วหันกลับมาที่แมนสรวง แล้วอยู่ๆแมนสรวงก็หายตัวไปดื้อๆ ปล่อยหน้ากากและผ้าคลุมหล่นพื้นไป ทุกคนร้องลั่น
“อ๊าย”
อาจารย์อิ๋วผงะ พวกนักศึกษากรี๊ด แตกฮือออกจากห้องไปหมด อาจารย์อิ๋วกำลังจะออกไปด้วย แต่พีระมาปิดประตูเสียก่อน ขังอาจารย์อิ๋วเอาไว้กับพวกน้ำมนต์
“จะรีบไปไหนครับ โชว์ยังไม่จบ”
อาจารย์อิ๋วหันมาดุพวกน้ำมนต์
“พวกเธอเล่นอะไร”
พีระดึงอาจารย์เหวี่ยงให้กลับมานั่งที่เก้าอี้ อาจารย์อิ๋วหน้าเหวอ แล้วพีระก็เข็นเก้าอี้ที่มีอาจารย์อิ๋วนั่งไปรอบๆห้อง ทั้งเข็นทั้งหมุน ขึ้นหน้า ลงหลัง หมุนติ้วๆๆ อาจารย์อิ๋วกรี๊ดๆ เพราะมองไม่เห็นใครเข็น
“ใครเข็น...หยุดๆ”
พีระเข็นอาจารย์อิ๋วไปหยุดตรงหน้ากากที่หล่นอยู่ แล้วอยู่ๆหน้ากากก็ลอยขึ้นมาเอง อาจารย์อิ๋วตาเหลือก แมนสรวงเป็นคนหยิบหน้ากากผีขึ้นมาสวม อาจารย์อิ๋วเสียงสั่น
“หน้ากาก...ลอย...ลอยได้ยังไง”
พีระคว้าไมโครโฟนของอาจารย์มาพูด
“อาจารย์ครับ...ผีแถวนี้...สมจริงมั้ยครับ”
อาจารย์อิ๋วกรี๊ดสนั่น วิ่งออกไปที่ประตู กระโดดถีบประตู ผลัวะแล้ววิ่งออกไปทันที

ในห้องทำงาน...อาจารย์อิ๋วหัวตั้งชี้ฟูจากการโดนผีหลอก นั่งลงที่โต๊ะทำงาน พวกน้ำมนต์ยืนเรียงรายอยู่ตรงหน้า อาจารย์อิ๋วยังหลอนๆสติแตกๆ
“ผี...ผี...ของจริง...ชัดๆเลย”
“อาจารย์ขา ไม่ใช่ผีจริงหรอกค่ะ...ก็แค่สเปเชี่ยลเอฟเฟ็ค เทคนิคพิเศษที่พวกเราคิดค้นขึ้นมาเพื่อละครเวทีผีคะ” น้ำมนต์อธิบาย
อาจารย์อิ๋วไม่เชื่อ
“เทคนิคพิเศษเหรอ...ไม่จริง...มันผีชัดๆ”
พิมพ์ดาวอธิบายอีกคน
“เทคนิคผสมมายากลค่ะ ก็เลยเสกหายเสกโผล่ได้ยังไงคะ”
“สรุปว่าอาจารย์ให้พวกเราทำละครเวทีผีใช่มั้ยคะ” ลูกโป่งถาม
อัฐชัยมองอาจารย์อิ๋ว
“หรือยังอยากให้เราพิสูจน์อีก”
อาจารย์อิ๋วแหวใส่ทันที
“ไม่ต้องพิสูจน์ อยากทำอะไรทำไปเลย ไปๆ”
ทุกคนดีใจ อาจารย์อิ๋วพนมมือไหว้พระ ยังคงกลัว

มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัย...แมนสรวงกำลังโวยวายใส่พีระ
“ไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว...มีอย่างที่ไหนให้ยมทูตมาหลอกคน ถ้าฉันโดนตัดคะแนน ฉันเอาเรื่องนายแน่”
“ก็คิดว่าทำเพื่อช่วยให้ฉันได้กลับร่างสิ มันคือหน้าที่นายอยู่แล้ว”
น้ำมนต์เดินพุ่งเข้ามา เพื่อนๆตามมา
“บอกว่าแค่ทำให้อาจารย์เชื่อว่าเราทำละครผีได้สมจริง...ใครใช้ให้นายไปเรียกเพื่อนผีมารุมหลอกอาจารย์อิ๋วจนหัวโกร๋นขนาดนั้น”
“อ้าว ก็...” พีระอึ้ง
แมนสรวงรีบแย้ง
“ผมเป็นยมทูต ไม่ใช่ผี”
น้ำมนต์ไม่ชอบใจ
“สนุกเกินขอบเขต แกล้งครูบาอาจารย์ ระวังเถอะจะตกนรก”
“โอ๊ย” อยู่ๆลูกโป่งก็ร้องเสียงดัง
“เป็นอะไร” พิมพ์ดาวถามอย่างแปลกใจ
“หยุดด่าคุณผีสุดหล่อซะที ฉันเจ็บแทนเขา...เขาช่วยเรา เราต้องขอบคุณเขาสิ” ลูกโปร่งหันไปด้านที่พีระไม่ได้ยืนอยู่ “ขอบคุณนะคะคุณผี”
“เพื่อนคุณค่อยพูดน่าฟังหน่อย”
ลูกโป่งหันมาหาน้ำมนต์
“เท่ากับว่าตอนนี้เราเริ่มโปรเจคละครเวทีได้แล้ว...น้ำมนต์ พรุ่งนี้บทเสร็จใช่มั้ย”
น้ำมนต์หน้าตื่น
“เฮ้ย...”
“แกต้องเป็นคนเขียนบท รีบทำให้เสร็จโดยด่วน เวลามีไม่มากแล้ว...ส่วนแกสองคน เป็นพระเอกนางเอก ไปเตรียมตัวเองให้พร้อม” ลูกโป่งสั่งการ
“แล้วคุณโปรดิวเซอร์ไฟแรงจะเอาใครมาเป็นผู้กำกับไม่ทราบ” อัฐชัยถามน้ำเสียงประชด
“ไม่ต้องห่วงงานฉัน ไปรับผิดชอบงานตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ” ลูกโป่งเชิด
พีระรีบถาม
“เดี๋ยวๆ แล้วผมทำอะไร”
“นายก็เป็นผีไปสิ” น้ำมนต์บอก
ลูกโป่งยิ้มหวาน
“ถ้าไม่อยากเป็นผีเร่ร่อน จะมาสิงในใจลูกโป่งก็ได้นะคะ”
พิมพ์ดาวมองหน้าลูกโปร่ง
“ลูกโป่ง...กับผี...แกก็ไม่เว้นเหรอ”

ลูกโป่งดี๊ด๊า น้ำมนต์หันมาเห็นพีระยิ้มๆ หมั่นไส้ เดินหนีไป อัฐชัยรีบวิ่งตาม

น้ำมนต์เดินแยกมา อัฐชัยตามมา
“น้ำมนต์...ไม่มีเรียนแล้ว ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะ”
พีระโผล่มาขวาง
“เสียใจด้วย หลังเลิกเรียนเป็นเวลาของผม”
“อัฐ คือ...”
“เราสองคนไม่ได้ไปกินอะไรอร่อยๆด้วยกันนานแล้วนะ”
“ฉันคงจะไม่สะดวก...”
พิมพ์ดาวตามเข้ามา
“จะไม่สะดวกอะไร ไปกินด้วยกันเถอะ...ลูกโป่งก็ต้องรีบกลับบ้าน แกจะปล่อยให้ฉันไปกับอัฐสองคนเหรอ”
“แกไปด้วยเหรอ” น้ำมนต์แปลกใจ
“ใช่ อัฐเขากลัวแกไม่อยากไปกะเขาสองต่อสอง เลยมาชวนฉันเอาไว้ด้วย แต่ถ้าแกอยากไปสองคน ก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรๆ ไปสามคนดีแล้ว”
“งั้นไปกันเลยเถอะ ไปๆ”
พิมพ์ดาวหันมาสบตากับอัฐชัยเป็นเชิงบังคับให้รีบไป อย่าเพิ่งสงสัยหรือถามอะไรมาก พีระหน้าเหวอ
“อ้าว แล้วผมล่ะคุณ”

ร้านอาหารหรู พิมพ์ดาวเดินควงน้ำมนต์เข้ามาในบริเวณอะเวนิว อัฐชัยเดินนำมาหยุดที่หน้าร้านหรู
“จำได้มั้ยว่าน้ำมนต์เคยพูดว่าอยากมาลองร้านนี้สักครั้งในชีวิต...ผมจองโต๊ะเอาไว้ให้เราสองคนแล้ว”
“อะแฮ่ม” พิมพ์ดาวกระแอม
“เอ๊ย เราสามคน”
น้ำมนต์หันมาถาม
“มันไม่แพงไปเหรออัฐ”
“ไม่หรอก”
“พาแฟนมาเลี้ยง น้อยกว่านี้ได้ไง” พีระแทรกขึ้น
น้ำมนต์หันไปจ้องพีระพิฆาตด้วยสายตา พีระทำหุบปาก ไม่รู้ไม่ชี้
“อุ๊ย มีสายเข้า” พิมพ์ดาวทำทีหยิบมือถือมา ตกใจ “แม่โทรมา...มีเรื่องอะไรก็ไม่รู้...พวกแกเข้าไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวตามไป ไปๆ”
พิมพ์ดาวแกล้งแยกตัวออกไปคุยโทรศัพท์ อัฐชัยเชิญน้ำมนต์เข้าไปนั่งในร้าน
“เข้าไปก่อนเถอะ”

อัฐชัยพาน้ำมนต์เข้ามาในร้าน บริกรมาต้อนรับเลื่อนเก้าอี้ให้น้ำมนต์นั่ง กางผ้ากันเปื้อนปูให้อย่างมืออาชีพ เนี้ยบ น้ำมนต์งงๆ
“ไหนว่าจองไว้สาม”
อัฐชัยทำเป็นโวยบริกร
“เออ...ใช่ ทำไมมีเก้าอี้แค่สอง ผมจองเอาไว้สามที่นะครับ...เรื่องแค่นี้ร้านระดับนี้ไม่น่าพลาดเลย”
“จริงๆเราก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้อยากมาจริงๆซะหน่อย”
“งั้นอัฐก็พามาอย่างนั้นเอง ไม่ได้อยากพามาจริงๆซะหน่อย”
“อัฐ...” น้ำมนต์ยิ้มๆ
บริกรเอาเก้าอี้มาเสริม พีระเข้ามานั่งร่วมโต๊ะทันที น้ำมนต์หันมาจ้อง พีระรีบเอวนิ้วจุ๊ปาก
“ชู่ว์ๆ...เดี๋ยวเพื่อนคุณจะทำอะไรไม่สะดวก”
บริกรยกถาดที่มีฝาอลูมิเนียมครอบมาวางกลางโต๊ะ แล้วเปิดออก มีช่อดอกกุหลาบแดงวางอยู่ อัฐชัยยิ้มหวาน
“สำหรับน้ำมนต์”
“อัฐ...” น้ำมนต์ชะงัก
“มาถึงก็ให้ดอกไม้ นี่มันออกเดทกันชัดๆ” พีระตาโต
อัฐชัยจ้องหน้าน้ำมนต์
“มันไม่ได้มีความหมายอะไรหรอกนะ ก็แค่อัฐอยากให้ ไม่มีอะไรแอบแฝง”
พีระเบ้หน้าพูดมาได้ว่าไม่มีอะไร น้ำมนต์ชักไม่แน่ใจ
“อัฐ...นี่เรามาทานอาหารกันเฉยๆจริงใช่มั้ย”
“จริงๆ”
“โถ...” พีระเบ้หน้าอีก
“อัฐรู้ว่าน้ำมนต์ยังไม่พร้อมจะมีแฟน อัฐยังจำตอนที่ถูกน้ำมนต์ปฏิเสธได้ แต่อัฐก็ยังชอบและอยากทำดีให้น้ำมนต์อยู่...คงไม่ผิดใช่มั้ย”
พีระร้องเพลง
“ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ...”
“เงียบได้มั้ย” น้ำมนต์ปราม
พีระหุบปาก อัฐชัยเอะใจ รู้ได้เลยว่าพีระนั่งอยู่
“นี่...”
น้ำมนต์พยักหน้า
“ใช่ เขาตามมาตลอด นั่งอยู่นี่”
“คนไม่ได้เชิญยังตามมา ผีไม่มีมารยาท” อัฐชัยไม่สบอารมณ์
“แต่คนไม่จริงใจ...คุณลองถามสิว่าทำไมพิมพ์ดาวยังไม่เข้ามา แน่ใจเหรอว่าจองไว้สามที่” พีระแย้ง
อัฐชัยจะคว้าน้ำดื่มมาดื่ม แต่พีระคว้าแก้วของอัฐชัยตัดหน้า อัฐชัยได้แต่อึ้งๆ พีระจิบน้ำ เต๊ะท่า
“ถามเลย เรื่องนี้ ผีจะไม่ยุ่ง”
น้ำมนต์คว้าแก้วน้ำมาจากพีระ
“ขอฉันอยู่กันสองคนได้มั้ย”
“นี่ไง สองคน กับหนึ่งผี”
“ออกไป”
น้ำมนต์ไล่น้ำเสียงเด็ดขาด พีระเซ็ง ลุกออกไป น้ำมนต์มองหน้าอัฐชัย
“อัฐ...ไม่ได้จองไว้สามที่แต่แรกใช่มั้ย”

พีระเดินออกมานอกร้าน แล้วก็ชะงัก เพราะเห็นพิมพ์ดาวยืนอยู่ด้านหนึ่ง กำลังมองผ่านกระจกเข้าไปด้านใน พอมองตามสายตาไป ก็พบว่าพิมพ์ดาวมองอัฐชัยกับน้ำมนต์อยู่ พีระเข้าใจได้ในทันทีว่าพิมพ์ดาวชอบอัฐชัย

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”

อัฐชัยสารภาพกับน้ำมนต์
“โอเค อัฐตั้งใจจะชวนน้ำมนต์มาคนเดียว แต่ถ้าดาวไม่มาด้วย น้ำมนต์ก็คงจะไม่มาใช่มั้ย”
“อัฐทำอย่างนี้เท่ากับหลอกกันนะ”
“อัฐก็ไม่ได้อยากหลอก แต่น้ำมนต์พยายามเลี่ยงที่จะอยู่กับอัฐสองต่อสอง หรือเลี่ยงที่จะทำอะไรด้วยกัน...ขนาดจะหัวเราะหรือสบตากัน น้ำมนต์ยังเลี่ยงเลย...ทำไมอ่ะ”

พีระยืนอยู่กับพิมพ์ดาว
“น้ำมนต์รู้ใช่มั้ยว่าคุณชอบนายอัฐชัยอยู่ มิน่า...”

น้ำมนต์เลี่ยงการตอบคำถามของอัฐชัย
“มันไม่มีอะไรหรอก”
“มีสิ แต่น้ำมนต์ไม่ยอมบอก”
“ช่างมันเถอะ”
น้ำมนต์ลุก อัฐชัยรีบลุกตาม
“ถ้าช่างมัน ก็อยู่ทานข้าวด้วยกันสิ ทานข้าวกับเพื่อนคนนึงไม่ได้เหรอ”
“เราเกรงใจ...อัฐออกค่าใช้จ่ายให้เราเยอะมาก เราไม่อยากเอาเปรียบ”
“ใครบอกผมให้เปล่า...ผมจดเอาไว้ทุกบาททุกสตางค์ วันไหนที่น้ำมนต์ได้เป็นพิธีกรมืออาชีพ มีชื่อเสียง และมีเงิน ก็ต้องเอามาคืน...อัฐให้กู้ยืมแบบไม่คิดดอกเบี้ย เหมือนโครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษา...” อัฐชัยร้อนตัวกลัวเข้าใจผิดอีก “เอ๊ย อัฐไม่ได้จะอวดรวย เป็นป๋าส่งใครเรียนนะ...อัฐแค่อยากช่วย เท่าที่ช่วยได้ ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ไม่ช่วยเพื่อนจะให้ช่วยใคร”
น้ำมนต์เห็นท่าทีของอัฐชัยที่เป็นห่วงและแคร์ตนมากๆ ก็อ่อนใจ
“ขอบใจนะอัฐ”
อัฐชัยยิ้มออก รีบเชิญน้ำมนต์นั่งลงอีกที
“ไม่ต้องขอบใจ แค่นั่งลงก็พอ นะๆ”
ทั้งสองคนยิ้มแย้มให้กันออกมาได้ อัฐชัยเรียกบริกรให้เสิร์ฟอาหารได้เลย

พิมพ์ดาวที่มองอยู่ เห็นน้ำมนต์ยอมนั่งลงร่วมโต๊ะอีกครั้งได้ พิมพ์ดาวพยายามจะดีใจแทนอัฐชัย
“ต้องอย่างนี้...ลงเอยกันซะ จะได้ไม่ต้องมาลำบากฉัน...ฉันจะได้เอาเวลาไปมองหาแฟนตัวเองบ้าง”
พีระส่ายหน้า
“ปากว่าดีใจ แต่สีหน้าทุกข์มากเลยนะ”
พิมพ์ดาวตัดใจ หันหลังกลับ เดินออกไป พีระถอนใจ
“เฮ้อ นี่สินะมิติลี้ลับของผู้หญิง” พีระจะกลับเข้าไป แต่ชะงัก ลังเล “อยากอยู่สองคน ตามสบายเลย”

ร้านกาแฟเจ๊แมว...ข้าวต้มเพิ่งกลับจากโรงเรียน เข้ามาแวะซื้อน้ำที่ร้านเจ๊แมว
“นมเย็นหวานเจี๊ยบถุงนึง”
แต่ไม่มีใครอยู่หน้าร้าน และไม่มีใครออกมา ข้าวต้มตะโกนเรียกซ้ำๆ
“นมเย็นหวานเจี๊ยบๆ”
งอแงเดินออกมา พร้อมกับถือตำราเรียนของพิมพ์ดาวมาด้วย ภาษาอังกฤษล้วน
“เงียบๆได้มั้ย หนวกหู”
“นมเย็นหวานเจี๊ยบถึงนุงถุงนึง”
“แม่ไม่อยู่ ออกไปใช้เงิน”
“ลูกแม่ก็ชงให้ลูกค้าสิครับ”
“ซอรี่”
“ซออู้ ฮ่าๆ”
งอแงไม่ตลกด้วย เดินไปนั่ง กางตำรา ทำท่าว่าอ่านอย่างเข้าใจมากๆ ข้าวต้มสงสัย
“อ่านหนังสืออะไร...” ข้าวต้มมาพลิกดูหน้าปก “เหมือนของพี่น้ำมนต์เลย อ่านรู้เรื่องด้วยเหรอ”
“ทำไมจะไม่รู้ งอแงเป็นเด็กอัจฉริยะ”
ข้าวต้มชี้ที่ปากตนเอง
“ดูปากข้าวต้มนะ...ไม่เชื่อ”
สักพัก พิมพ์ดาวเดินกลับเข้ามา เซ็งๆ นั่งลง ข้าวต้มหันไปหา
“พี่พิมพ์ดาวคนสวยครับ นมเย็นหวานเจี๊ยบถึงนุงถุงนึง”
พิมพ์ดาวหงุดหงิด
“ไม่ขาย”
“แต่...” ข้าวต้มชะงัก
“กลับบ้านไป” พิมพ์ดาวไล่
“แต่...” ข้าวต้มอึ้งๆ
พิมพ์ดาวหันมามอง
“แต่อะไรอีก”
ข้าวต้มสงวนคำพูด กลายเป็นยกมือไหว้ลาทันที
“สวัสดีครับ”
ข้าวต้มหันเดินจ๋อย คอตก ที่อดกินออกไป

พีระกลับเข้ามาในบ้าน พบข้าวต้มนั่งกร่อยๆอยู่คนเดียว
“ข้าวต้ม”
ข้าวต้มมองหน้าพีระ แล้วถอนใจ
“เฮ้อ”
ข้าวต้มเดินหนีไปเอาหน้าซุกมุม
“เป็นอะไร หิวล่ะสิ”
“เปล่า แล้วพี่น้ำมนต์ล่ะครับ ยังไม่กลับเหรอ”
“ป่านนี้น้ำมนต์กินข้าวอร่อยไปแล้วมั้ง หิวหรือยัง พี่ทำอะไรให้กินมั้ย”
ข้าวต้มมองหน้า ถอนใจอีก
“เฮ้อ”
ข้าวต้มเดินหนีไปเอาหน้าซุกอีกมุม พีระมองๆ
“เป็นอะไรใช่มั้ย”
“เค้าเป็นเด็กมีปัญหา”
“อะไรๆ ไหนบอกมาสิ มีเรื่องกลุ้มใจอะไร”
“ก็...ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านนี้ เลิกเรียนเค้าก็ต้องรีบกลับบ้าน ไม่ได้อยู่เล่นกับเพื่อนเลย...กลับมาก็อยู่คนเดียวอีก ไม่มีใครเล่นด้วยเลย เค้าเหงา รู้สึกท้อแท้ โดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้ง เค้าเป็นเด็กกำพร้าเพื่อน เฮ้อ”
ข้าวต้มไปนั่งยองๆ เอานิ้วเขี่ยพื้น ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา
“งั้นก็หาเพื่อนใหม่แถวนี้สิ”
“หายังไงครับ”

ร้านกาแฟเจ๊แมว...ข้าวต้มยื่นการ์ดเชิญที่เขียนขึ้นมาเองง่ายๆให้งอแง
“อะไร”
“การ์ดเชิญงานปาร์ตี้...คืนนี้ บ้านเรา สำหรับน้องงอแงและพี่พิมพ์ดาว”
งอแงทำท่าไม่ใส่ใจ

“ต้องอ่านหนังสือ แต่ถ้าว่างจะไปนะ”

คุณผีที่รัก ตอนที่ 3 (ต่อ)

พิมพ์ดาวเดินออกมาพอดี
“เราเชิญเด็กทั้งหมู่บ้านอยู่แล้ว ดูการ์ดซะก่อน” ข้าวต้มโชว์ว่ามีการ์ดเยอะ “จะอยู่บ้านคนเดียวก็ตามสบาย...พี่ดาวจะมาคนเดียวก็ได้นะครับ”
น้ำมนต์กับอัฐชัยเข้ามา
“ข้าวต้ม มาทำอะไร”
“เค้ามาแจกการ์ดปาร์ตี้...คืนนี้พี่พีระจะจัดงานปาร์ตี้ให้เค้ากับเพื่อนใหม่”
“นายพีระอีกแล้วเหรอ”
น้ำมนต์รีบเดินไปทันที อัฐชัยรีบตาม
“เดี๋ยว”
ข้าวต้มขวางอัฐชัย
“อ่ะๆ มีการ์ดหรือเปล่า ถ้าไม่มีแปลว่าไม่ได้รับเชิญนะครับ”
“งั้นพี่ขอใบนึง”
“อะไรเอ่ย มีเงินก็ซื้อไม่ได้”
ข้าวต้มยียวนแล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป อัฐชัยได้แต่เซ็ง หันกลับมาพบว่าพิมพ์ดาวยืนมองอยู่ พิมพ์ดาวทำเป็นด่า
“แกนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ”

บ้านน้ำมนต์...พีระยกไส้กรอกที่ทอดเสร็จแล้วมาจัดวางในจาน น้ำมนต์เดินพรวดเข้ามา
“ใครอนุญาตให้นายจัดงานปาร์ตี้ให้ข้าวต้ม เนื่องในโอกาสอะไร และถามความเห็นของฉันหรือยัง”
“คุณเป็นคนมีอำนาจตัดสินใจ”
“ใช่”
“แล้วเคยใส่ใจเรื่องของน้องชายมั้ย”
“ทำไม...มีเรื่องอะไร”
“ข้าวต้มไม่มีเพื่อนเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่นี่...เราก็เลยจะจัดงานเล็กๆเชิญเด็กๆแถวนี้มาบ้าน พวกเขาจะได้ทำความรู้จักกัน”
“อ้าว ก็ฉันไม่รู้”
“ตอนนี้รู้แล้วไง จะห้ามอีกมั้ย”
“แล้วเอาเงินที่ไหนมาซื้อของ”
“ข้าวต้มมีสปอนเซอร์”
น้ำมนต์แปลกใจ มีเสียงมอเตอร์ไซค์กดแตรดังเข้ามา

น้ำมนต์เดินออกมา พีระตามออกมาด้วย น้ำมนต์พบว่าอสม.เจี๊ยบกำลังขนเครื่องดื่มมาวาง มีข้าวต้มซ้อนท้ายมาด้วย
“พี่เจี๊ยบ” น้ำมนต์เรียก
เจี๊ยบหันมามองน้ำมนต์ ยิ้มแฉ่ง
“น้องน้ำมนต์ของพี่เจี๊ยบ”
เจี๊ยบดีใจกางแขนวิ่งเข้าหา จะกอด แต่ก่อนจะถึงตัว น้ำมนต์ยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าขู่ เจี๊ยบถึงกับเบรกเอี๊ยด
“อย่า”
“แหะ พี่ลืมตัว ก็ไม่เจอตั้งนาน คิดถึงอ่ะ...ย้ายกลับมาบ้านแล้วก็ไม่บอก นี่ถ้าไม่ได้เจอข้าวต้ม พี่คงไม่รู้”
“พี่เป็นคนออกเงินให้ข้าวต้มจัดงานเหรอคะ”
“พี่จะไปเอาที่ไหนมาออก”
“อ้าว แล้วไหนบอกว่ามีคนสปอนเซอร์”
“คุณไง...ข้าวต้มให้พี่เจี๊ยบไปซื้อของแปะเอาไว้ก่อน” พีระพูดขึ้น
เจี๊ยบส่งใบเสร็จให้
“นี่บิลค่าของครับ ไปจ่ายด้วยนะครับน้องน้ำมนต์...ค่าแรงพี่ไม่ต้อง พี่ทำด้วยใจ เว้นแต่จะจ่ายเป็นหัวใจ พี่โอเค”
น้ำมนต์ยิ้มๆขำๆไม่ถือสาอะไร
“ไม่เจอตั้งนาน ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ...มาๆ พี่ช่วย”
น้ำมนต์ไปช่วยยกของ เอาไปจัดวางที่ พีระมองน้ำมนต์ที่ช่วยจัดงานอีกแรง ยิ้ม พอใจ

.อัฐชัยกระวนกระวายใจอยู่กับพิมพ์ดาว
“แกต้องช่วยฉันนะดาว”
“หัดทำอะไรเองบ้างเถอะค่ะทูนหัวของบ่าว บ่าวไม่ได้เกิดมาเพื่อรับใช้ทูนหัวคนเดียวนะคะ”
พิมพ์ดาวจะหนี แต่อัฐชัยจับตัวเอาไว้ พิมพ์ดาวอึ้งๆที่ถูกจับตัว
“ดาว แกช่วยฉันมาตลอดแล้วก็ช่วยให้สุดสิ”
“แต่...”
“นะ...สงสารฉันนะ”
“เออๆ ปล่อยได้ยัง เจ็บ...จะให้ช่วยอะไร” พิมพ์ดาวผลักออก
“เรื่องที่วันนี้เราหลอกพาน้ำมนต์ไปกินข้าวน่ะ น้ำมนต์เข้าใจและไม่ว่าอะไรนะ แต่ก็ยังมีอะไรแปลกๆ...น้ำมนต์เหมือนมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้ไม่อยากสนิทสนมกับฉัน และมันต้องเป็นเหตุผลที่ทำให้ ไม่ยอมรับรักฉันด้วย แกรู้มั้ยว่าเพราะอะไร”
“ฉัน...จะไปรู้เหรอ”
“แกว่าจะเกี่ยวกับไอ้ผีตัวนั้นมั้ย...ตั้งแต่มันโผล่มา น้ำมนต์ก็ไม่เหมือนเดิม ไอ้ผีตัวนั้นอาจจะกำลังสูบพลังวิญญาณน้ำมนต์ไปทีละนิดๆก็ได้”
“แกดูหนังมากไปแล้ว ไม่ใช่หรอก”
“แกรู้ได้ไง”
“ก็...ฉันว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ อย่าเถียงได้มั้ย”
“แกช่วยฉันสืบหน่อยสิ...ฉันอยากรู้ว่าต้นตอคืออะไร จะได้ไปแก้ไขตรงนั้น น้ำมนต์จะได้ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่รับรักฉันอีก...นะ ช่วยฉันนะ”
พิมพ์ดาวลำบากใจ

บ้านน้ำมนต์ยามค่ำคืน...งานปาร์ตี้ “ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่สู่ปาร์ตี้ข้าวต้ม” มีอาหารงานเลี้ยงแบบง่ายๆ ไส้กรอกทอด ไก่ทอด วางอยู่ที่โต๊ะพร้อม น้ำมนต์ ข้าวต้ม พีระ เจี๊ยบนั่งแกร่วกันอยู่สามคน ไม่มีคนอื่นเลย เจี๊ยบดูเวลา
“นัดหกโมงเย็น นี่จะทุ่มนึงแล้วนะครับ”
“เดี๋ยวก็มีคนมา ใจเย็นๆนะ รถอาจจะติด” น้ำมนต์บอกให้น้องสบายใจ
“รถติด” พีระชะงัก
ข้าวต้มเซ็ง ไม่อยากรอแล้ว ลุกยืน
“ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนเค้า”
“อย่าเพิ่งรีบสรุปสิ...เดี๋ยวก็มีคนมา...นะๆ”

น้ำมนต์กล่อมข้าวต้มให้นั่งอดทนรอ พีระเห็นใจข้าวต้ม

อัฐชัย พิมพ์ดาว เอมี่ ลูกโป่ง วางแผนกัน...พิมพ์ดาวกับอัฐชัยอธิบายแผนการ ลูกโป่งกับเอมี่แปลกใจ
“จะปล้นบ้านน้ำมนต์”
“ไม่ใช่ปล้นจริงๆ แค่แกล้งทำให้น้ำมนต์รู้ ว่าการที่ผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวโดยไม่มีผู้ชายดูแล มันอันตราย” อัฐชัยบอก
“มันจะดีเหรอ” ลูกโป่งกังวล
“ดีสิ แถวนี้นอกเมืองนะ โจรเยอะจริงๆ มีข่าวโจรขึ้นบ้านแทบทุกวัน แล้วน้ำมนต์อยู่ลำพังกับน้องชาย ของหวานพวกโจรเลย” พิมพ์ดาวอธิบาย
“พี่ก็อยู่บ้านตัวคนเดียว ไม่เห็นมีใครอยากจะปกป้องพี่บ้างเลย” เอมี่แย้ง
“ก็พี่เอมี่เก่ง ดูแลตัวเองได้ไงคะ”
“พี่ก็อยากโง่บ้างไรบ้าง”
“แผนการไม่มีอะไรยากเลย ก็คือ...” อัฐชัยแทรกขึ้น

อัฐชัยนึกถึงภาพในแผนการที่จะเกิดขึ้น...
อัฐชัย พิมพ์ดาว น้ำมนต์ ข้าวต้ม งอแงชนแก้วฉลอง เอมี่ ลูกโป่งคลุมโม่งปีนหน้าต่างเข้าห้องนอน น้ำมนต์เปิดประจูมาเจอคนคลุมโม่ง น้ำมนต์กรี๊ด อัฐชัยวิ่งเข้ามาชี้หน้า โจรสองคนวิ่งหนีหางจุกตูด น้ำมนต์ซบอกอัฐชัย
“ระหว่างที่ฉันและดาวฉลองอยู่กับน้ำมนต์...ลูกโป่งกับพี่เอมี่ก็คลุมโม่งแอบปีนเข้าไปในห้องนอน ฉันจะหลอกให้น้ำมนต์เข้าไปในบ้าน น้ำมนต์ก็จะไปเจอว่ามีโจรอยู่ในบ้าน น้ำมนต์ก็จะกรี๊ด ฉันก็จะวิ่งเข้าไป พวกแกก็วิ่งหนีไปกระเจิงไป แล้วในที่สุด น้ำมนต์ก็จะเข้าใจว่า ต้องมีผู้ชายสักคนปกป้อง” อัฐชัยฝันหวาน ยิ้ม “หุๆ แค่นี้เอง นะ ช่วยกันหน่อยนะ”
เอมี่พยักหน้า
“เอาก็เอา พี่ก็อยากให้น้ำมนต์กับอัฐชัย เป็นแฟนกันซะที ลีลากันอยู่ได้”
ลูกโป่งหันมาหาพิมพ์ดาว
“แกจะเอาอย่างนี้จริงๆเหรอดาว”
พิมพ์ดาวพยักหน้า
“จริงสิ ถ้าอัฐเป็นแฟนกับน้ำมนต์ ฉันจะได้ไม่ต้องปวดหัวเรื่องมันอีก”
“งั้นตกลงตามนี้นะ” อัฐชัยมีกำลังใจมากขึ้น

นอกบ้านบ้านน้ำมนต์...แมนสรวงกำลังโวยพีระ
“นายจะให้ฉันไปหลอกเด็กจากไหนมา”
“ไม่รู้ แต่จะเอา”
“อ้าว”
“นายเป็นยมทูต มีอำนาจเหนือกว่าฉัน นายก็ต้องทำได้สิวะ”
“อยากช่วยเด็กมันก็ดี แต่จะมาเรียกร้องให้ฉันทำเกินหน้าที่ เสี่ยงโดนตัดคะแนนซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้...ฉันรับไม่ไหว”
“ไม่สงสารเด็กเหรอวะ จิตใจทำด้วยอะไร”
แมนสรวงหายไป พีระด่าไล่หลัง
“ผีใจดำ ไม่มีเมตตา ใจร้าย ฮึ่ย”
พีระหงุดหงิด

พีระเดินกลับเข้ามา พอดีกับ ข้าวต้มลุกยืนโวย
“เค้าไม่รอแล้ว ใครๆก็ไม่รักเค้า เค้าเป็นเด็กกำพร้าเพื่อน”
“เดี๋ยวก่อนข้าวต้ม รออีกห้านาทีนะ”
“ชีวิตที่พังทลายไปแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ในห้านาทีหรอกพี่น้ำมนต์ เค้าไม่เหลืออะไรแล้...”
อยู่ๆเสียงงอแงดังมา
“งอแงไม่เข้าไป ไม่เอา ไม่เข้า”
ข้าวต้มชะงัก หันกลับไปมอง พิมพ์ดาวกำลังพางอแงเข้ามา ข้าวต้มชะงัก ดีใจทันที
“งอแง”

พิมพ์ดาวกับอัฐชัยกำลังหว่านล้อมงอแงให้เงียบ งอแงดื้อ โวย
“งอแงไม่เข้า บ้านนี้มีผี ไม่เข้า”
พิมพ์ดาวนั่งยองๆจ้องงอแง
“เงียบ...ก็บอกแล้วไงว่าพี่น้ำมนต์ไล่ผีไปหมดแล้ว”
งอแงไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
“งอแงจะกลับบ้าน”
อัฐชัยกล่อม
“อยู่แค่สิบนาทีนะ แล้วอยากได้อะไร พี่จะซื้อให้”
“อยากได้กระเป๋ากุดจี้”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยอึ้ง
“หา...”
“กระเป๋ากุดจี้ไง...กุดจี้...ไม่รู้จักเหรอ”
อัฐชัยพยักหน้า
“อ๋อ ได้สิ พี่จะซื้อกระเป๋ากุดจี้ให้”
พอดีกับ น้ำมนต์ ข้าวต้มออกมาต้อนรับ
“งอแง มาปาร์ตี้ของข้าวต้มใช่มั้ย” น้ำมนต์ถาม
งอแงหายกลัวทันที เดินเข้าไปในงาน ทักทายข้าวต้มเลย
“ใช่ค่ะ มีอะไรให้กินบ้างคะ”
งอแงเดินเข้าไปเลย ข้าวต้มดีใจ ตะลึง พีระรีบเชียร์ข้าวต้ม
“เอ้า ไปต้อนรับเพื่อนใหม่สิ”
“ครับ”
ข้าวต้มรีบวิ่งตามงอแงไป น้ำมนต์หันไปหาพิมพ์ดาว
“ขอบใจนะดาว...พวกแกก็อยู่ด้วยกันก่อนสิ”

งอแงเดินไปหาเครื่องดื่ม ข้าวต้มตามมา
“ตอนเอาการ์ดไปแจกก็ทำเป็นเล่นตัว อยากมาอยู่แล้วอ่ะดิ”
“ใครจะอยากมาบ้านผีสิง” งอแงยกน้ำดื่มแบบสวยๆ
“ผีอะไร”
“บ้านนี้มีผีสิง”
“หา...” ข้าวต้มหน้าตื่น
“แต่งอแงไม่กลัว เพราะแม่ให้ของดีมาแล้ว” งอแงหยิบพระออกมาจากคอ “รุ่นไล่ผีกระเจิง”
“ทำไมชอบมีแต่คนบอกว่าที่นี่มีผี...อย่าบอกนะว่าหมายถึงพี่พีระที่ยืนอยู่นั่น”
ข้าวต้มชี้ไปที่พีระที่ยืนอยู่อีกด้านกับพวกน้ำมนต์ งอแงมองไป แต่ไม่เห็น
“พีระไหน”
“นั่นไง ที่ยืนอยู่”
“ไม่มี”
“ก็นั่นไง ยืนอยู่นั่น”
“อย่ามาแกล้งอำกันนะ”
“เล่นอะไรกันอยู่” เจี๊ยบเข้ามา
“พี่เห็นคนยืนตรงนั้นมั้ย” ข้าวต้มถาม
“ไม่เห็น”
“จะไม่เห็นได้ยังไง” ข้าวต้มวิ่งไปคว้ามือพีระ ลากมา “นี่ไง เห็นยัง”
“ข้าวต้ม...อย่า...”
งอแงจับสร้อยพระโชว์ออกมา
“ไม่คุยด้วยแล้ว”
งอแงเดินหนี ข้าวต้มงง อะไร
“น้องข้าวต้ม พูดกับใครอ่ะครับ...อ๋อ เพื่อนในจินตนาการใช่มั้ยครับ”
เจี๊ยบเข้าไปคุยด้วย โก้งโค้งคุยเพราะคิดว่าเป็นเด็ก ทำให้หน้าของเจี๊ยบอยู่ตรงเป้าของพีระ “ไฮ้ ชื่อพีระเหรอครับ ผมเจี๊ยบนะครับ สบายดีมั้ยครับ จับมือทักทายกันหน่อย”
พีระเด้งหลบ
“ไปจับที่อื่น เว้ย”

น้ำมนต์ พิมพ์ดาว อัฐชัยแยกมานั่งอีกด้าน
“เรานึกว่าอัฐกลับบ้านไปแล้วซะอีก”
“ก็...ยัยดาวน่ะสิ ชวนคุยอะไรไม่รู้ยาวเหยียด เลยไม่ได้กลับเลย”
“อ้าว นี่ฉันผิดเหรอ”
น้ำมนต์ยิ้ม
“ขอบใจนะดาวที่พางอแงมา อย่างน้อยข้าวต้มจะได้พอมีเพื่อนกับเขาสักคน”
อัฐชัยยิ้มแย้มมั่นใจ
“ข้าวต้มกับงอแงต้องเข้ากันได้ดีแน่ๆ”
แต่แล้วงอแงวิ่งเข้ามา ข้าวต้มวิ่งตามมา
“ไม่ต้องตามมา ไปๆ” งอแงกอดขาพิมพ์ดาว “พี่ดาว งอแงจะกลับบ้านแล้ว”
น้ำมนต์รีบขวางข้าวต้ม
“ข้าวต้ม แกล้งอะไรเพื่อน”
“งอแงนั่นแหละ แกล้งมองไม่เห็นพี่พีระ จะหลอกให้เค้ากลัวผีใช่มั้ยล่ะ”
พีระรีบอธิบายน้ำมนต์
“ผมอยู่ของผมเฉยๆนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย”
เจี๊ยบเข้ามา
“คืองี้ครับ น้องข้าวต้มมีเพื่อนในจินตนาการ แต่น้องงอแงกลัว ก็แค่นั้นเอง...นี่ไง เพื่อนยืนอยู่นี่ ชื่อพีระ ไฮ้ พีระ หิวมั้ยครับ”
พีระงอตัวหลบ
“ช่วยบอกให้มันคุยสูงๆหน่อยได้มั้ย”
ข้าวต้มแย้ง
“ไม่ใช่เพื่อนในจินตนาการ พี่พีระยืนอยู่นี่ไง”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวก็มองไม่เห็นพีระเช่นกัน พิมพ์ดาวหันมาถามน้ำมนต์
“น้ำมนต์ น้องเธอ...ไม่รู้เรื่องพีระ จริงๆเหรอ”
“ไปช่วยพี่เอาขนมกับน้ำมาให้พวกพี่ๆดีกว่า” น้ำมนต์รีบคว้าข้าวต้ม “มานี่ๆ”
ข้าวต้มโดนลากไป แต่ตะโกน
“พี่พีระไม่ใช่ผีจริงๆ”
น้ำมนต์ลากข้าวต้มออกไป พีระตามไปด้วย เจี๊ยบตะโกน
“ไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวพี่เจี๊ยบดูแลพีระให้เอง” เจี๊ยบคุยกับอากาศต่อไป
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวหันมาหารือกัน
“ข้าวต้มมองเห็น แต่ไม่รู้เหรอว่าที่เห็นคือผี”
“โชคเข้าข้างแกแล้วอัฐ”
“อะไร”
“ถ้าข้าวต้มรู้ความจริงว่าคนที่คิดว่าเป็นคน แต่กลับไม่ใช่คน...อะไรจะเกิดขึ้น”
“ข้าวต้มก็ต้องกลัว จนอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้”
“และน้ำมนต์ก็ต้องเลือกน้องชาย ขับไล่ผีออกไปจากชีวิต”
“แกฉลาดที่สุดเลยดาว” อัฐชัยหยิกแก้มอย่างเอ็นดู “ทั้งสวยทั้งฉลาดจริงๆ”

อัฐชัยตื่นเต้นที่จะได้ชนะ ไม่คิดอะไรกับพิมพ์ดาว แต่พิมพ์ดาวคิด

น้ำมนต์ลากข้าวต้มมาอีกด้าน พีระตามมาด้วย
“ทำไมใครๆก็ชอบบอกว่ามองไม่เห็นพี่พีระ เค้าไม่เข้าใจ”
“เพราะเขาไม่ใช่คน”
“ไม่ใช่คนแล้วจะให้เป็นผีเสื้อหรือไงครับ”
พีระห้ามน้ำมนต์
“อย่าไปขัดขวางจินตนาการเด็กเลยคุณ”
“เอาไว้พี่จะอธิบายทีหลัง...ตอนนี้ตักอาหารถือไปให้งอแงก่อน อยากมีเพื่อนเล่นไม่ใช่เหรอ ก็เล่นกันดีๆ แล้วห้ามพูดถึงพี่พีระอีก เข้าใจมั้ย”
“แต่...”
“หรือจะให้หักค่าขนม”
ข้าวต้มจ๋อย จำยอม
“เข้าใจครับ”
ข้าวต้มแยกไปตักอาหาร พีระทำท่าจะไปด้วย น้ำมนต์หันมาจ้อง
“จะไปไหน”

เอมี่กับลูกโป่งคลุมโม่งปิดหน้า แอบย่องเข้ามาในบริเวณบ้านอีกด้านหนึ่ง เอมี่เผลอเดินผิดทาง ลูกโป่งต้องไปดึงตัวเอาไว้ กวักมือเรียกให้ลัดเลาะตามๆกันไป อย่าแตกแถว แมนสรวงโผล่มามองทั้งคู่อยู่ด้านหนึ่ง เดินตามไปมอง
“พวกแกเป็นใคร”
เอมี่กับลูกโป่งเอาบันไดพาดกับขอบหน้าต่างห้องนอน แล้วปีนขึ้นไป แมนสรวงตามมาดู

เอมี่กับลูกโป่งปีนเข้ามาทางหน้าต่างในห้องนอนน้ำมนต์
“เอาไงต่อ” เอมี่ถาม
“รื้อของ จะได้ดูเหมือนขโมยขึ้นบ้านจริงๆ” ลูกโป่งแนะ
“โอเคๆ”
เอมี่กับลูกโป่งใส่โม่งปิดหน้าตัวเอง แล้วช่วยกันรื้อของ แมนสรวงนั่งขอบหน้าต่างมองทั้งคู่อยู่ คิดจะจัดการ
“ไอ้พวกหัวขโมย เดี๋ยวสวย”
แมนสรวงโดดลงมายืน ดีดนิ้วเป๊าะ หน้าต่างปิดเองดังปัง ดีดนิ้วเป๊าะ ทีวีในห้องก็ทำงานขึ้นมาเอง ดีดนิ้วเป๊าะ พัดลมหมุน ดีดนิ้วเป๊าะ ไฟติดๆดับๆ ดีดนิ้วเป๊าะ นาฬิกาปลุกตีสนั่น เอมี่ตกใจ
“อะ...อะไรเนี่ย”
เอมี่กับลูกโป่งยืนจ้องสิ่งที่เกิดขึ้น ช็อก

น้ำมนต์กำชับพีระ
“นายจะปิดบังน้องฉันไปถึงเมื่อไหร่”
“ผมไม่เคยปิด แต่น้องคุณไม่ฟังต่างหาก”
“นายก็ต้องบอกความจริง”
“แล้วทำไมคุณไม่บอก”
“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน นายต้องหาทางบอกที่จะไม่ทำให้ข้าวต้มตกใจกลัวเพราะถ้าข้าวต้มกลัวและไม่อยากเห็นหน้านายอีก...ฉันก็ต้องเลือก น้องชายฉัน”
พีระหน้าเหวอ
“อ้าว...”

มุมอาหารบ้านน้ำมนต์...ข้าวต้มตักอาหารใส่จานอยู่ อัฐชัยกับพิมพ์ดาวรีบเข้ามาประกบคนละข้าง งอแงยังเกาะพิมพ์ดาวไม่ปล่อย หนึบเป็นปลิง
“ข้าวต้มครับ...พี่เชื่อข้าวต้มนะ”
“พี่ก็เชื่อว่าพี่พีระไม่ใช่ผี เราต้องช่วยกันทำให้งอแงเชื่อเหมือนพวกเรานะ”
อัฐชัยยื่นมือถือให้
“อ่ะ เอามือถือพี่ไปถ่ายรูปพี่พีระ”
“ถ่ายตอนพี่พีระถือของอยู่ในมือ จะได้เห็นว่าเขาจับต้องสิ่งของได้ ไม่ใช่ผี”
“รับรอง งอแงเชื่อแน่ๆ”
“จะกลับบ้าน” งอแงโวยวาย
ข้าวต้มตาโต ดีใจ
“อย่าเพิ่งกลับ เค้าจะไปถ่ายมายืนยันเดี๋ยวนี้”
ข้าวต้มรีบวิ่งออกไป พิมพ์ดาวพอใจ
“ถ้าถ่ายแล้วเห็นแต่สิ่งของลอยกลางอากาศ ข้าวต้มต้องรู้แน่ๆ”
“ไปๆ ตามไปเอาใจช่วยข้าวต้ม”
อัฐชัยรีบไป พิมพ์ดาวไปได้ช้าเพราะงอแงเกาะอยู่
“รอด้วย”

พีระยังเถียงอยู่กับน้ำมนต์
“ทำไมถึงโยนภาระให้ผมคนเดียวล่ะ ไม่แฟร์เลย”
“ว่าไงนะ”
“วันนี้คุณอยากให้ผมช่วยอะไร ผมทำให้คุณทุกอย่าง และผมก็ไม่เซ้าซี้ให้คุณไปช่วยผมเลยสักคำ...แล้วนี่เหรอที่คุณตอบแทนผม”
“ทวงบุญคุณเหรอ”
“ไม่ได้ทวง แต่เราจับมือกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะช่วยกัน”
ข้าวต้มแอบเข้ามาพร้อมกล้อง ยกพยายามจะถ่าย แต่น้ำมนต์ยืนบังอยู่ หน้าจอเลยมองไม่เห็นพีระ ข้าวต้มบ่น
“บังมิดเลย”
ข้าวต้มเลยคิดเปลี่ยนมุม ไปอีกด้าน คราวนี้เห็นพีระชัดเจน แต่กำลังจะถ่าย น้ำมนต์ก็ขยับมาบังอีก
“ฉันไม่ได้ลืม แต่...”
น้ำมนต์อยากจะแก้ตัว แต่คิดเหตุผลไม่ออก จำยอมรับ
“ลืม”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจว่านี่คือนิสัยเสียๆของคุณ”
“ยังไง” น้ำมนต์คอแข็งขึ้นมา
“คุณรักน้องมาก อยากทำงานให้ได้เงินมาเลี้ยงน้อง ในหัวคุณมีแค่นี้เพราะฉะนั้นอะไรที่มาขัดเป้าหมายนี้ของคุณ คุณก็พร้อมจะเขี่ยมันทิ้ง”
“ไม่จริง” น้ำมนต์เถียงทันที
“ปฏิเสธไว้ก่อนทุกเรื่อง” พีระดักคอ
น้ำมนต์อึ้ง เถียงไม่ออก ข้าวต้มที่เล็งหามุมถ่ายไม่ได้สักที เซ็งมาก ขยี้หัวตัวเอง แล้วตะโกนออกไป
“หยุดๆ หยุดเถียงกันแป๊บนึง...” ข้าวต้มโบกมือให้ขยับไปทางซ้าย “ขยับหน่อยๆ”
น้ำมนต์กับพีระมองมางงๆ น้ำมนต์ขยับไปทางซ้าย พีระขยับตามไปด้วย ทั้งคู่ยังอยู่ในองศาเดิม
“พี่พีระ ขยับไปด้านนี้สิ” ข้าวต้มโบกมือให้ไปทางขวา
พีระขยับไปขวา น้ำมนต์ขยับตามด้วย ยังอยู่ในองศาเดิม
“ไม่ต้องขยับตามกันสิ พี่น้ำมนต์ไปทางนั้น” ข้าวต้มโบกให้ไปซ้าย “พี่พีระไปทางนี้” ข้าวต้มโบกให้ไปขวา “ขยับๆ”
น้ำมนต์ขยับไปซ้าย พีระขยับไปขวา
“อย่างนี้แหละ”
ข้าวต้มจะถ่ายรูปพีระ น้ำมนต์เข้ามาดึงมือถือจากมือเสียก่อน
“นี่มือถือพี่อัฐชัยนี่ เอามาได้ไง”
“ฮึ่ย เอามาก่อน”
อัฐชัยรีบตามมา
“ผมให้ข้าวต้มยืนเอง แกอยากเล่นกล้องน่ะ ขอคืนนะ” อัฐชัยรับคืนมาส่งให้ข้าวต้มต่อ “น้ำมนต์มาทางนี้”
ข้าวต้มจะถ่าย
“พี่พีระ...”
แต่อยู่ๆมีเสียงกรี๊ดดังมาก่อน ข้าวต้มตกใจ เลยไม่ทันได้ถ่าย น้ำมนต์หน้าตื่น
“เสียงใคร”
พิมพ์ดาวกระซิบอัฐชัย
“อัฐ...ได้เวลาแล้ว”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวรู้กัน น้ำมนต์รีบวิ่งไป อัฐชัยเสยผมหล่อก่อน แล้วรีบวิ่งตามไป พิมพ์ดาวตะโกนตามหลังไป
“ฉันจะดูแลเด็กๆให้เอง”
แต่ข้าวต้มวิ่งตามไป

เอมี่กับลูกโป่งที่สวมหมวกไหมพรมคลุมโม่งอยู่ ยืนแนบชิดกันอยู่กลางห้อง กลัวสุดขีด แมนสรวงยังคงดีดนิ้วไม่หยุด ดีดนิ้วทีนึงก็มีข้าวของเด้งกระจายออกมาอย่างหนึ่ง ลิ้นชักเปิดผลัวะ ของในลิ้นชักพุ่งกระจายออกมา หนังสือในชั้นวางพุ่งหล่น

“ฉันจะสั่งสอนให้พวกแกไม่กล้าไปขโมยของบ้านใครอีกเลย”


น้ำมนต์วิ่งเข้ามาหน้าห้อง
 
“ใครอยู่ในห้อง”
อัฐชัยรีบบอก
“น้ำมนต์ ระวังนะ มาหลบหลังอัฐดีกว่า”
“ผมเข้าไปดูให้เอง”
พีระวิ่งเข้าไปในห้อง ทะลุกำแพงเข้าไป จังหวะเดียวกับข้าวต้มวิ่งเข้ามาพอดี ชะงัก เพราะเห็นพีระวิ่งทะลุกำแพงได้ ข้าวต้มยืนตะลึง ตาค้าง

พีระโผล่พรวดเข้ามา ชนแมนสรวงจนเสียหลัก
“โอ๊ย ไอ้บ้าเอ๊ย จะพุ่งเข้ามาทำไม”
“ก็จะไปรู้เหรอว่ายืนขวางอยู่ตรงนี้...มีเรื่องอะไร”
“มีขโมยขึ้นบ้าน แล้วฉันกำลังสั่งสอนมันอยู่”
เอมี่กับลูกโป่งปีนลงบันไดไปแล้ว
“เฮ้ย เห็นมั้ยว่ามันหนีไปเพราะแก”
ประตูเปิดออก น้ำมนต์กับอัฐชัยวิ่งเข้ามา อัฐชัยตามปกป้อง
“น้ำมนต์ไม่ต้องกลัว”
พีระหันมาบอก
“ขโมยขึ้นบ้านคุณ หนีไปโน่นแล้ว”
“ขโมยเหรอ”
น้ำมนต์วิ่งไปที่หน้าต่าง เห็นสองขโมยวิ่งแจ้นไป
“หนอย หยุดนะ”
“ไม่ต้องกลัวนะน้ำมนต์ อัฐจะปกป้องด้วยชีวิตของอัฐเอง”
น้ำมนต์วิ่งไปรื้อในกล่องของ คว้าหนังสติ๊กยิงนก แล้วโกยลูกแก้วใส่กระเป๋าแล้วจะตามโจรไป
“เงินฉันหามาอย่างลำบาก กล้ามาขโมยกันได้ยังไง...หลบ”
น้ำมนต์วิ่งไปหน้าต่าง แล้วปีนบันไดลงตามไป แบบจะไปเอาเรื่องมากๆ ห้าวสุดๆตะโกนไล่โจร
“ฉันจะจับพวกแกส่งตำรวจให้ได้”
พีระ แมนสรวง อัฐชัยยืนอึ้ง ไม่คิดว่าน้ำมนต์จะห้าวขนาดนี้
“ลูกสาวกำนันชัดๆ” พีระเปรยๆ
อัฐชัยได้สติ ว่าน้ำมนต์กำลังไล่ล่าเพื่อนตัวเองอยู่
“แย่แล้ว”
อัฐชัยรีบตามไปที่หน้าต่าง

น้ำมนต์กระโดดลงจากบันไดถึงพื้น พิมพ์ดาววิ่งมาจากอีกด้าน งอแงยังเกาะอยู่
“น้ำมนต์ มีอะไร”
“หยุดนะ”
น้ำมนต์ไม่ตอบ วิ่งไล่ขโมยไป เจี๊ยบวิ่งเข้ามา
“จะไปไหนน้องน้ำมนต์ เล่นอะไรกัน อ้าว ใครเอาบันไดมาพาดแล้วไม่เก็บที่”
เจี๊ยบจะยกบันไดออก โดยไม่รู้ว่าอัฐชัยกำลังปีนลงมา
“เฮ้ย อย่าเอาออกๆ”
เจี๊ยบตกใจรีบประคองบันได จนล้มคว่ำไปหมด อัฐชัยหล่นลงมา เจ็บ แต่ไม่มาก พิมพ์ดาวตกใจ
“อัฐ เป็นอะไรหรือเปล่า”
อัฐชัยรีบบอก
“รีบไปห้ามน้ำมนต์เร็ว ก่อนที่สองคนนั้นจะหัวแตก”
อัฐชัยรีบวิ่งตามไป พิมพ์ดาวจะตามแต่ติดงอแง
“งอแง ปล่อยก่อนได้มั้ย ปล่อยๆ”
“ไม่ปล่อย...จะกลับบ้าน”
พิมพ์ดาววิ่งไปทั้งอย่างนั้น

เอมี่กับลูกโป่งวิ่งหนีออกมาที่ถนน เอมี่วิ่งไปโวยไป
“ไหนใครบอกว่าแผนง่ายๆ มันง่ายตรงไหน” เอมี่ถอดหมวกออก
“อย่าถอดหมวกออกพี่เอมี่ ใส่คืนไป”
“พี่หายใจไม่ออกแล้ว”
เสียงน้ำมนต์ดังมาแต่ไกล
“แกหนีฉันไม่รอดหรอก”
เอมี่กับลูกโป่งตกใจ จ๊าก รีบวิ่งหนีต่อ แต่แล้วทั้งคู่ต้องชะงัก เพราะมีชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ เอมี่ดีใจเพราะนึกว่าเป็นคนอื่น เรียกให้ช่วย
“คุณคะ คุณช่วยพวกเราด้วย”
ชายคนนั้นหันกลับมา คือ แมนสรวงในสภาพใบหน้าเลอะแบบผีแล้วแลบลิ้นยาวเฟื้อย
“จะให้ช่วยอะไร”
เอมี่กับลูกโป่งร้องจ๊าก ลูกโป่งวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง ในขณะที่เอมี่ยืนนิ่ง ตาค้าง แมนสรวงพอเห็นเต็มๆตาว่าคือเอมี่ก็ชะงักเช่นกัน
“คุณ...”
เอมี่ก็ร่วงสลบผล็อยลงไป แมนสรวงผวาไปรับเอาไว้ได้ทันพอดี เอมี่ลืมตามอง เห็นหน้าแมนสรวงมารับตนเอาไว้ ดีใจ เผลอยิ้ม
“คุณ...”
“เป็นคุณได้ไง...ผมไม่รู้”

ลูกโป่งวิ่งมาตามทาง แต่อยู่ๆเจี๊ยบขี่มอเตอร์ไซค์ไล่มาจากอีกด้าน
“หยุดนะไอ้หัวขโมย ไม่รู้จักอาสาสมัครวินหมู่บ้านอย่างเจี๊ยบซะแล้ว”
เจี๊ยบขี่มอเตอร์ไซค์ไล่บี้ ลูกโป่งพยายามวิ่งหนี แต่แล้วอยู่ๆน้ำมนต์ถือหนังสติ๊กโผล่มาดักหน้าไว้อีกทำท่าจะยิง
“ตาย”
ลูกโป่งร้องจ๊าก กลัวเจ็บ
“อย่า...ฉันยอมแล้วๆ” ลูกโปร่งทรุดลงไป รีบยกมือห้าม
“เอ๊ะ เสียงคุ้นๆ”
ลูกโป่งถอดหมวกไหมพรมออก
“ฉันเอง”
“ลูกโป่ง” น้ำมนต์อึ้ง
อัฐชัยกับพิมพ์ดาววิ่งตามเข้ามา พอเห็นลูกโป่งโดนจับได้ ทั้งคู่ก็ซีด พีระตามเข้ามา
“คิดไว้แล้วไม่มีผิด เป็นแผนการของคุณสองคนสินะ”
น้ำมนต์จ้องลูกโป่ง สลับกับจ้องอัฐชัย พิมพ์ดาว อย่างไม่พอใจ
“จับคนร้ายได้แล้ว เดี๋ยวเจี๊ยบไปตามนักข่าวมาให้”
“พางอแงกลับบ้านด้วย”
งอแงรีบวิ่งไปกับเจี๊ยบ รีบออกไป

ในบ้าน...น้ำมนต์คาดคั้นอัฐชัย พิมพ์ดาว และลูกโป่ง
“อัฐเป็นคนขอให้ทุกคนมาช่วยเอง ถ้าจะโกรธก็โกรธอัฐเถอะ”
“ทำอย่างนี้ทำไม”
“ก็อัฐเป็นห่วงน้ำมนต์...ถึงผีพีระจะช่วยชีวิตอัฐไว้ แต่ยังไงเขาก็เป็นผีจะให้อัฐไว้ใจแล้วปล่อยให้คนที่รักอยู่กับผีตลอดเวลา อัฐทนไม่ได้”
พิมพ์ดาวเสริม
“อัฐเป็นห่วงเธอมากจริงๆนะ”
“แล้วมันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ที่จะแสดงความเป็นห่วงแล้วเหรอ”
“มี แต่คุณคงจะไม่ฟัง” พีระแทรก
“นี่...” น้ำมนต์ฉุน
“เวลาคุณดื้อขึ้นมา คุณก็ดื้อขาดใจเหมือนกันนะ”
อัฐชัยออดอ้อน
“อัฐแสดงความห่วงใยอะไรได้ น้ำมนต์ไม่สนิทกับอัฐเหมือนแต่ก่อนแล้ว...ถ้าอัฐเดา มันก็ต้องเกี่ยวกับผีพีระ...วิญญาณที่มันมาตามเรามันก็คอยสูบพลังชีวิตไปจากเราด้วย เราจะค่อยๆโทรมลง แล้วก็ถูก มันเอาวิญญาณไปเป็นตัวตายตัวแทน”
“ไปกันใหญ่แล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเลย” น้ำมนต์เซ็ง
“มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เราไปหาหลวงพ่อให้ท่านเป่ากระหม่อมสักทีดีมั้ย” ลูกโป่งแนะ
“มันไม่เกี่ยวกับพีระ” น้ำมนต์เสียงแข็ง
“แล้วเพราะอะไร” อัฐชัยไม่เข้าใจ
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า ฉันขอบใจที่หวังดี แต่ขออย่างนึง...อย่ากลัว พีระ เขาไม่ใช่ผีร้าย เป็นแค่ผีที่ต้องการความช่วยเหลือ และฉันก็รับปากจะช่วยเขาหาร่างให้พบ เขาจะได้กลับไปมีชีวิตตามเดิม ไม่ต้องมาวุ่นวายกับฉันอีก”
“ทำไมถึงไม่ยอมบอกอัฐล่ะ...ทำไม” อัฐชัยโวย
น้ำมนต์เหลือบมองพิมพ์ดาว
“แกลองไปถาม...”
แต่อยู่ๆข้าวต้มเดินออกมา จ้องที่พีระตาเขม็ง
“พี่พีระเป็นผี...พี่พีระเป็นผีจริงๆ”
ทุกคนหันมา อึ้ง พีระอึ้งที่ข้าวต้มรู้เรื่องแล้ว

เอมี่ลืมตาแล้วผวาพรวดขึ้นมานั่ง
“เฮ้ย” เธอตั้งสติ ทบทวน “เรา...ถูกผีหลอก แล้ว...พ่อรูปหล่อคนนั้นก็มาช่วยเราเอาไว้ หรือว่าจะเป็นแค่ความฝัน”
เสียงแมนสรวงดังมาจากด้านหลังของเอมี่
“ความจริงครับ”
เอมี่ตกใจ รีบพลิกกลับไปอีกด้าน แมนสรวงนอนเท้าคางอยู่ใกล้ๆ
“คุณ...”
“ผมชื่อแมนสรวงครับคุณเอมี่”
“คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามหรอกครับ”
เอมี่ทบทวน
“เดี๋ยวนะคะ...ผี...จำได้ว่า...ฉันเจอผี แล้วฉันก็...เหมือนจะหมดสติ แล้วคุณก็โผล่มา”
“ใช่ครับ และตอนนี้ไม่มีผีอะไรแล้ว คุณไม่ต้องกลัวนะครับ ผีไปหมดแล้ว”
“คุณไล่ผีให้ฉันเหรอ ขอบคุณมากนะคะ ผีตัวนั้นมันน่าเกลียดสกปรก น่าขยะแขยง แหวะ อี๋ เห็นแล้วคลื่นไส้ อยากจะอ้วก แต่โชคดีที่คุณมาทันเวลา ใช่ คุณโผล่มาได้ยังไง มาพอดีตอนที่ฉันสลบเลย”
“บอกไม่ได้ครับ”
“คุณสะกดรอยตามฉันเหรอ”
“อาจจะไม่ได้สะกด เพราะผมอยู่ข้างๆคุณตลอดเวลาอยู่แล้วก็ได้”
“ไม่จริงหรอก”
“ลุกไหวมั้ย”
“ไหวค่ะ” เอมี่จะลุก แล้ววูบ “โอ๊ย...”
แมนสรวงเข้ามาประคองอีก
“ถ้าไม่ไหวก็ให้ผมดูแลเถอะครับ

แมนสรวงให้เอมี่ขี่หลังแบบหนังเกาหลี เอมี่เคลิ้ม มีความสุข
“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย” เอมี่จะหยิกตัวเอง
“อย่าหยิกตัวเองนะ”
“ทำไม”
“เผื่อว่ามันเป็นความฝัน...ผมยังไม่อยากให้คุณตื่น”
เอมี่เขิน เลิกหยิก ขี่หลังไปเขินๆ
“เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดจาเซี้ยวนัก”

ข้าวต้มยืนจ้องพีระตาค้างอยู่ น้ำมนต์อธิบาย
“ข้าวต้ม...พี่พีระ เขามาดี ไม่ได้จะทำร้ายใคร”
พีระเสริม
“ไม่ต้องกลัวพี่นะ...พี่แค่ขออาศัยชั่วคราว แล้วพี่ก็จะไป”
ข้าวต้มยังคงนิ่ง น้ำมนต์มองน้องชาย
“ข้าวต้ม...เข้าใจที่พี่พูดมั้ย”
ข้าวต้มค่อยๆพูดออกมา
“พี่พีระเป็นผี...มัน...มัน...สุดยอดที่สุดเลย”
ข้าวต้มกระโดดดีใจสุดตัว ทุกคนงง อ้าว ข้าวต้มตื่นเต้น ดีใจมากๆ
“ผมมีผีทำกับข้าวให้กิน มีผีจัดปาร์ตี้ให้...เจ๋งที่สุด”
“นี่ผีนะ จะไม่กลัวหน่อยเหรอ” พิมพ์ดาวอึ้งๆ
“กลัวทำไม” ข้าวต้มโผกอด “พี่พีระ พี่ห้ามไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่นี่ตลอดไปเลยนะ...แต่งงานกับพี่น้ำมนต์นะ”
พีระกับน้ำมนต์สะดุ้ง
“เฮ้ย”
“เค้าอยากมีพี่เขยเป็นผี มันต้องเท่ระเบิดแน่ๆ”
“เหลวไหลใหญ่แล้วข้าวต้ม” น้ำมนต์ปราม
“คนกับผีจะเป็นแฟนกันได้ไง” อัฐชัยโวยวาย
ข้าวต้มแย้ง
“ในหนังฝรั่ง พระเอกเป็นผีดิบดูดเลือด ยังแต่งงานกับนางเอกที่เป็นคนได้เลย นะๆ แต่งงานกับพี่น้ำมนต์นะๆ...พี่น้ำมนต์ คุกเข่าเร็ว ขอพี่พีระแต่งงานเร็ว”
ข้าวต้มจับมือน้ำมนต์ข้างหนึ่ง จับมือพีระอีกข้าง ดีใจ โยนตัวห้อยโหนไปมา พีระกับน้ำมนต์ได้แต่ยิ้มแหะๆไป
 
อัฐชัยมองภาพนั้น ไม่สบอารมณ์
 
จบตอนที่ 3 
กำลังโหลดความคิดเห็น