รักต้องอุ้ม ตอนที่ 1
บรรยากาศการทำงาน ในออฟฟิศนิตยสาร Trendy วันนี้ คึกคักสุดๆ กองบรรณาธิการง่วนอยู่หน้าจอคอมพ์บนโต๊ะใครมัน คร่ำเคร่งเขียนต้นฉบับของตน
ในห้องทำงานด้านในสุด ซึ่งตกแต่งสไตล์โก้ หรู ปนโมเดิร์น ลันตา อยากมีสุข สาวโสดสุดมั่น บรรณาธิการบริหาร ของนิตยสารแฟชั่นไฮเอนด์ฉบับนี้ เสียบสายหูฟังแล้วกดเครื่องเล่น แกะเสียงสัมภาษณ์ 1 ใน 20 ชายหนุ่มแห่งปีของ Trendy ที่เธอเพิ่งสัมภาษณ์มา
เสียงลันตาดังขึ้นจากเครื่องบันทึกเสียงว่า “รู้สึกยังไงที่ได้เป็นหนึ่งในยี่สิบหนุ่มTrendy ของปีนี้คะ”
“แปลกใจเป็นอันดับแรกเลยครับ” เสียงหนุ่มตอบ
“ขอคำนิยามที่บอกความเป็นตัวตนของคุณหนุ่มสั้น ๆ น่ะค่ะ”
ลันตาพิมพ์ตามเสียงพูดของหนุ่มนั้น หน้าจอโน้ตบุ๊คปรากฏตัวอักษรตามคำพูดชนิดถอดตามประโยค พนักงานกองบอกอ แต่ละคนทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ลันตาพิมพ์บทสัมภาษณ์ด้วยสีหน้าตั้งใจมากๆ จังหวะหนึ่งเธอคว้ากระเป๋าบนโต๊ะทำงานเพื่อจะหาของบางอย่าง แต่พบว่ากระเป๋าวางอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง ลันตาลุกขึ้นจะไปหยิบกระเป๋า
แพทผิวปากเดินเข้ามา “ว่าไง คุณลันตา บรรณาธิการบริหารคนใหม่ของ Trendy”
ลันตาหันกลับมาในท่วงท่าของสาวมั่น อาภรณ์ทันสมัย รับกับผมซอยสั้น ที่ทำให้เธอทั้งดูสวยและเท่ในคราวเดียวกัน
“ไอ้แพท...เพ้อแล้ว...” ลันตามองตัวเอง “ประเด็นคือวันนี้ท่านประธานจะมา ทุกคนก็ต้องแต่งตัวเรียบร้อยกันหน่อย”
“เขาลือกันทั่วว่าแกจะได้ตำแหน่งนี้” แพทว่า
พนักงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “พี่ลัน..พี่แพทคะ พี่ญ่าให้มาเรียกพี่ๆ ไปตรวจปรู๊ฟที่ห้องประชุมค่ะ”
“เดี๋ยวพี่ไป...” ลันตามองแพท “แพท...แกว่า”
แพทพูดแทรก “ไอ้ลัน...ฉันอยู่ภูเก็ตยังรู้...คิดเหรอว่าคนอย่างคุณธัญญาเรศ บ.ก.บทความของเราจะไม่รู้?”
ลันตามีสีหน้าหนักใจ
กระดาษปรู๊ฟสี่สีแผ่นใหญ่ที่ปริ้นท์จากเพลทแม่พิมพ์ของอาร์ตเวิร์ค แต่ละหน้าของนิตยสารทั้งหมดที่ส่งมาให้ตรวจความถูกต้องก่อนส่งพิมพ์ วางอยู่บนโต๊ะดูงานมุมหนึ่งของห้องกองบอกอ ธัญญาเรศ กับ พนักงานอีกคน กำลังตรวจปรู๊ฟเหล่านี้ ตรวจเช็คแต่ละหน้าคอลัมน์ ธัญญาเรศดูภาพรวมทั้งหมด โดยมีพนักงานคอยถือสมุดตามจด
ธัญญาเรศพูดกับพนักงาน “จดไว้...ให้เตือนพี่ด้วยนะว่าคราวหน้าให้ย้ำเรื่องกราฟฟิคกับทางอาร์ตให้ดูสดใสกว่านี้”
“ค่ะ” พนักงานจด
ลันตากับแพทเดินเข้ามา
แพทมองมิ้งค์กับธัญญาเรศแล้วกระซิบกับลันตา “เดี๋ยวนี้บ.ก.บทความต้องมีเลขาเดินตามแล้วเหรอแก”
“แกว่างมากหรือไง จับผิดไปทั่ว”
“ฉันว่ามัน เยอะแยะ”
“เยอะในเรื่องงานดีกว่ายุ่งเรื่องชาวบ้านไหม” ลันตาสวน
“ปากร้าย...แต่จริง เพื่อนทำงานดีกว่าเนอะ” แพทว่า
ลันตามองตอบคล้ายจะตอบว่าเออ แพทขยับเข้าไปดูปรู๊ฟคอลัมน์ Trendey trip ของตัวเอง
ธัญญาเรศมองภาพรวม “โอเค...พิสูจน์อักษรตรวจทั้งหมดแล้วพิมพ์ได้เลย”
ลันตาชะงัก “เดี๋ยว...เนื้อหามันขาดไปนะ”
ทุกคนชะงักแล้วหันไปมองลันตา
“คอลัมน์ Interview น้องปลา แชมป์เปียโน เนื้อหาที่ฉันทำไว้มันสองหน้า นี่มันเหลือแค่หน้าเดียว แล้วข้อมูลที่เหลือล่ะ” ลันตาถาม
ทุกคนชะงักมองว่าธัญญาเรศจะเอายังไง
ธัญญาเรศพูดว่า “เล่มนี้โฆษณามันล้น ฉันก็เลยต้องตัดให้เหลือเท่าที่จำเป็น ประเด็นฮีโร่ก็ครบนี่”
อนุชิตกับรัชนีขยับเข้ามายืนดูอยู่วงนอก โดยมองเหตุการณ์ด้านในด้วยความสนใจ
“แต่ประเด็นของการสัมภาษณ์ครั้งนี้ มันคือประวัติที่กว่าน้องปลาจะมาถึงวันนี้ เขาต้องต่อสู้มาอย่างยากลำบาก มันเป็นประโยชน์ที่คนอ่านควรจะได้รับ” ลันตาบอก
ธัญญาเรศอึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะ แต่ยังต้องการเอาชนะ
“โฆษณามันคือรายได้ของเรา”
ลันตาไม่ได้เถียงเอาชนะแต่เอาเหตุผลเข้าสู้ “คนอ่านไม่ได้ซื้อหนังสือของเราเพื่ออ่านโฆษณา...ประเด็นก็คือ...ถ้าเราทำหนังสือที่ไม่มีคุณค่าเพื่อเงิน..จรรยาบรรณของเราจะอยู่ตรงไหน”
แพทยิ้มมองการถกเถียงต่อไปว่าจะลงเอยอย่างไร
“แต่เราทำงานเพื่อเงินไม่ใช่เหรอ”
“แต่หน้าที่สื่อคือนำเสนอสาระให้กับผู้อ่าน ถ้าคิดแต่จะหาเงินโดยไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เท่ากับเรากำลังทำลายเกียรติภูมิของอาชีพอย่างไร้ยางอาย!” ลันตาว่า
ทุกคนอึ้ง ธัญญาเรศหน้าตึงมาก ทุกคนมองว่าเธอจะเอายังไง
ธัญญาเรศพูด “มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอกนะลันตา ฉันพิจารณาแล้วว่ามันโอเค...ก็เชื่อฉันเถอะนะ”
“มันไม่ถูกต้อง ฉันยอมไม่ได้จริง ๆ” ลันตาบอก
“แต่เราไม่มีเวลาแก้ไขแล้ว เล่มนี้ปล่อยผ่านไปก่อน” ธัญญาเรศหันไปหาพนักงาน “สั่งพิมพ์ได้เลย”
“ไม่ได้!” ลันตามองธัญญาเรศ “มันเป็นผลประโยชน์ของคนอ่าน ฉันขอให้เรื่องนี้บรรณาธิการบริหารเป็นคนตัดสินใจ”
“ตอนนี้ไม่มีบ.ก.บ.ห. ฉันตัดสินใจเอง” ธัญญาเรศบอก
รัชนีก้าวเข้ามา โดยมีอนุชิตเดินตาม
รัชนีพูดแทรก “พี่ตัดสินใจเอง”
ทุกคนชะงักที่เห็นรัชนีกับอนุชิตก้าวเข้ามาในนี้
“เจ้านาย...”
ทุกคนทักพร้อมกัน “สวัสดีค่ะ พี่นี”
รัชนีเดินไปดูที่คอลัมน์ของลันตา “การตลาดคุยกับลูกค้านะว่าฉบับนี้เราไม่สะดวก อธิบายตามที่ลันตาบอกเมื่อกี้” รัชนีพูดกับธัญญาเรศ “แก้ตรงคอลัมน์นี้ให้เนื้อหาครบถ้วนตามที่ลันตาบอกนะ”
“พี่นีคะ...แต่” ธัญญาเรศอึกอัก
“คุณอาตัดสินใจให้แล้ว จบแค่นี้นะ” อนุชิตบอก
ธัญญาเรศหน้าตึงแต่ก็ต้องยอมจำนน “ค่ะ คุณนุ”
“วันนี้ท่านประธานจะมาแต่งตั้งบรรณาธิการบริหารคนใหม่ ต่อไปนี้งานจะรันได้เร็วขึ้น” อนุชิตส่งสายตาหวานให้กับลันตา
ทุกคนต่างสะกิดกันให้มองท่าทีของอนุชิตที่แสดงออกกับลันตา แต่ลันตาทำสีหน้านิ่งๆ
รัชนีสังเกตเห็นสายตาอนุชิต “ลันตา...แก้งานเสร็จแล้วตามไปพบพี่ที่ห้องนะ”
“ค่ะ...” ลันตารับคำ
รัชนีเดินออกไป อนุชิตยิ้มให้ลันตาแล้วรีบตามไป ทุกคนหันมองลันตาเป็นตาเดียว
“ฉันไปแก้งานก่อนนะ”
พูดจบลันตาก็เดินออกไป ทุกคนมองไปที่ธัญญาเรศแทน
ธัญญาเรศพูดสีหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่คำถามหาเรื่องเต็มที “มีคอลัมน์ไหนมีปัญหาอีกไหม”
ทุกคนพร้อมใจกันหลบตาแล้วหันไปมองที่งานปรู๊ฟแทน
แพทลอบมองท่าทีธัญญาเรศก็เห็นว่านิ่งมากเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย
ธัญญาเรศเดินออกมาที่มุมกาแฟในออฟฟิศ ลันตากับแพทหาโอกาสอยู่ รีบเข้ามาหาทันที
“ญ่า....” ลันตามีท่าทีลำบากใจ “แกเข้าใจฉันใช่ไหม”
“ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแกต้องไม่ยอม” ธัญญาเรศบอกสีหน้าเรียบ
แพทงง “อ้าว...แล้วแกทำทำไม”
“ก็การตลาดมันบี้ฉันน่ะสิ จะลงแอดของลูกค้าให้ได้ เถียงจนเหนื่อย ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ โทษทีนะเพื่อน”
แพทกับลันตายิ้มออก
“แกน่าจะบอกฉัน ฉันจะได้ซอฟท์ ๆ กว่านี้ จัดซะเต็มเลย” ลันตาบ่น
“พวกแกรู้ก็ไม่เนียนน่ะสิ”
ธัญญาเรศยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วยกมือขึ้น แพทกับลันตายิ้มแล้วยกมือขึ้นตีมือกันทั้งสามคน “Fighting! Yes”
ธัญญาเรศยิ้ม “แล้วแกจะแก้งานเสร็จกี่โมง”
“อีกสักชั่วโมง เพราะไฮไลท์ในคอลัมน์มันเปลี่ยน” ลันตาบอก
“รีบหน่อยละกัน เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“เค..”
ธัญญาเรศเดินออกไป
แพทแซวลันตา “ท่านบ.ก.”
“เฮ้ย อย่าเรียกมั่วซั่ว เดี๋ยวญ่ามันได้ยิน” ลันตาบอก
“แกเชื่อแพทผู้หยั่งรู้สิ ว่าวันนี้ชีวิตแกกำลังจะเปลี่ยน อิจฉาว่ะ ได้เลื่อนตำแหน่ง แล้วยังมีม่ายหนุ่มสุดฮอตอย่างคุณอนุชิตป้วนเปี้ยน นางสาวลันตา อยากมีสุขจะได้สุขสมใจ ไม่หยุดแค่อยาก...อีกแล้ว”
“ไอ้บ้า..” ลันตามีตาเป็นประกายก่อนถาม “แกคิดงั้นจริงเหรอ”
“เออ...” แพทมองขำๆ “ทำเป็นไม่สนใจ จริงๆ ก็หวังใช่มะ”
แพทมองลันตาที่เขินอย่างขำ ๆ
ธัญญาเรศนั่งอ่านงานพลางมองที่โทรศัพท์อย่างกระวนกระวาย ลันตาเอาซีดีที่ใส่ซองเรียบร้อยวางตรงหน้าธัญญาเรศแล้วพูด
“งานแก้เรียบร้อยแล้ว”
ธัญญาเรศตอบรับนิ่งๆ “อืม...”
“พี่นีอยู่ที่ห้องใช่ไหม” ลันตาถาม
ธัญญาเรศพยักหน้ารับ มือถือธัญญาเรศมีเสียงข้อความเข้า ธัญญาเรศมองโทรศัพท์ด้วยสีหน้ายิ้มนิด ๆ แล้วพูดกับลันตาที่กำลังจะเดินไป
“ไอ้ลัน คุณอนุชิตเรียกแกไปพบแน่ะ”
“เรื่องอะไร แกรู้ป่ะ”
“คงอยากให้กำลังใจแกก่อนพบพี่นีมั้ง อีกหน่อยฉันคงต้องเรียกคุณลันตา ภรรยาผู้บริหารใช่ไหม”
“แกก็อีกคน แซวมั่วซั่วเดี๋ยวฉันก็โดนสาวๆ ตึกนี้ดักตบกันพอดี”
ธัญญาเรศมองขำๆ “คนอย่างแกคงยืนให้เขาตบหรอกนะ...”
ลันตายิ้มๆ รับแล้วลุกเดินไป ธัญญาเรศมองตามยิ้มๆ แบบดูเนียน ๆ ไม่คิดร้ายอะไร
ลันตาเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วมองภายในห้องก็เห็นอนุชิตยืนอยู่ข้างเก้าอี้ทำงาน พอหันมองไปด้านอื่น ลันตาก็ยิ้มนิด ๆ
“คุณนุคะ” ลันตาเรียก
อนุชิตหันมาก็ตกใจที่เห็นลันตา
“ลัน...มีเรื่องอะไรเหรอ”
ลันตางงแต่ไม่ได้รู้สึกสะกิดใจนัก “ก็ญ่าบอกว่าคุณเรียกลันมาพบก่อนจะไปพบกับพี่นี...”
อนุชิตอึกอัก “ผม...”
“นุคะ...ลันขอบคุณนะคะสำหรับสิ่งดีๆ ที่คุณให้ลันมาตลอด ส่วนเรื่องคำตอบของลันที่คุณเคยขอ ลันคิดว่าลันมีคำตอบแล้วนะคะ”
อนุชิตมองลันตาอย่างอึ้ง ๆ ว่าทำไมต้องเป็นตอนนี้
“ลัน..ตอนนี้ผมมีแขก คุณออกไปก่อนเถอะนะ” อนุชิตบอก
ลันตามองในห้องก็ไม่เห็นมีใคร “...ใครเหรอคะ”
เสียงอรขจีดังขึ้น “เมียเขาน่ะสิ!”
อนุชิตยังไม่ทันตอบ เก้าอี้ทำงานพนักสูงของอนุชิตก็หันมาพร้อมกับอรขจีที่นั่งอยู่ ลันตาอึ้ง
ลันตามองอนุชิตแบบงงสุดขีด “เมีย....?”
อนุชิตอ้ำอึ้งจนพูดไม่ออก
“ออดอ้อนกับผัวคนอื่น นังหน้าด้าน! นังแมวขโมย!” อรขจีว่า
ลันตาอึ้ง “เดี๋ยวนะคุณ...คุณนุเขาบอกฉันว่า เมียเขาตายแล้วนี่..”
อรขจีมองด้วยความโกรธมาก
“เมียตายเหรอ.....เมียเขาไม่ตาย แต่แมวอย่างแกจะตาย!”
พนักงานนั่งทำงานกันอย่างเอื่อยๆ เนือยๆ แต่พอรัชนีเดินนำสุวิภาเข้ามา ธัญญาเรศ แพท และพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็กระฉับกระเฉงในการทำงานมาก เสียงพิมพ์คอมพิวเตอร์ดัง ทุกคนดูขยันมากจนเกินเหตุ
“ตอนนี้ตำแหน่งบ.ก.บ.ห.ว่างอยู่น่ะค่ะก็เลยวุ่นวายไปหน่อย” รัชนีบอก
“ที่จริง คุณตัดสินใจไปเลยก็ได้นะ” สุวิภาว่า
“ถ้าเป็นตำแหน่งสำคัญดิฉันก็อยากให้คุณสุวิภาร่วมรับทราบด้วยค่ะ”
“แล้วคนไหนที่ชื่อลันตา”
ธัญญาเรศ แพท และคนอื่นๆ ได้ยิน แพทมองธัญญาเรศที่นิ่งมาก
ทันใดนั้นเสียงอรขจีกรี๊ดสนั่นก็ดังขึ้น “อีบ้า!”
ประตูห้องเปิดออก ลันตาล่าถอยออกมาพร้อมกับข้าวของบนโต๊ะทำงานอนุชิตที่ถูกอรขจีเขวี้ยงตามออกมา อรขจีเดินตามออกมาด้วยท่าทางคลุ้มคลั่งมาก
“นี่คุณ...ฉันไม่รู้จริง ๆว่า คุณนุเขาบอกทุกคนว่าเมียตายจริง ๆ นะ” ลันตาบอก
“คิดว่าฉันจะเชื่อแกเหรอ นังลันตา!” อรขจีว่า
สุวิภาหันไปมองรัชนี
สุวิภาพูดกับรัชนี “คนนี้น่ะเหรอ ลันตา”
รัชนีหน้าเสียจนทำอะไรไม่ถูก อนุชิตที่ตามมายืนมองอย่างปวดหัวว่าจะเอายังไงดี
“ไม่รู้เหรอ! ทำใสซื่อไม่รู้ว่าเขามีเมีย แกนี่มันแอ็บ 360 องศาจริง ๆ นังสะตอ!” อรขจีว่า
เล็ก คนรับใช้วิ่งเข้ามาพร้อมกับถาดใส่สะตอพวงใหญ่ถูกมัดอย่างดี
“มาแล้วค่ะ คุณผู้หญิง”
อรขจีคว้าช่อสะตอมาอย่างหมายมาด ลันตามองอย่างหวาดหวั่น
“สะตอมากใช่ไหม....ฉันจะทำให้แกหายสะตอเอง!”
อรขจีจับสะตอจะฟาด แต่ลันตาหลบซ้ายหลบขวาได้อย่างเฉียดฉิว
ลันตาหลบไปจนติดโต๊ะ อรขจีจะฟาด ลันตาก็พลิกตัวหลบได้ทัน เพื่อนร่วมงานเชียร์การหลบของลันตาด้วยอาการลุ้น
อรขจีต้อนลันตาไปจนมุมชนิดหลบไม่ได้แน่แล้ว อรขจีเงื้อมือ ลันตาตัดสินใจจับข้อมืออรขจีไว้ แพทพุ่งเข้าไปล็อคตัวอรขจีจากด้านหลัง อรขจีสะบัดและกรีดร้องเต็มที่
“รุมฉันเหรอ นังเล็กมาช่วยฉันสิ!”
เล็กจะเข้าไปดึงแพทออกมา แต่พนักงานคนอื่นเข้าขวางเล็กไว้ เหตุการณ์วุ่นวายมาก
อรขจีสะบัดสุดแรง “นังบ้า! ปล่อยฉันนะปล่อย”
อนุชิตที่ได้สติรีบเข้ามาช่วยล็อคตัวอรขจีไว้
“ลัน...หนีไปก่อน” อนุชิตบอก
“ปล่อยนะนุ! อรจะฆ่ามัน...พวกเมียน้อย!”
ลันตายังยืนมองนิ่ง
“ไปสิลัน!” อนุชิตย้ำ
“ไม่ไป ฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยคุณ” ลันตามองอนุชิตแบบแค้นมาก “ทุกคนฟังไว้นะ ผู้ชายคนนี้บอกฉันว่าเมียเขาตาย เขาขอให้ฉันพิจารณาเขา เขาบอกว่าเขารักฉัน ทั้งที่มีเมียเป็นตัวเป็นตนอยู่ ...เขาเนี่ยะแหละที่ทั้งปลิ้นปล้อน สะตอตัวพ่อของจริง”
“มันไม่ใช่เวลานี้นะลัน!” อนุชิตว่า
ลันตาตาวาวด้วยความแค้น “เวลานี้ล่ะดี ฉันจะได้จัดการถูก”
ลันตาเอาช่อสะตอฟาดใส่อนุชิตไม่ยั้ง
“โอ้ย ! ๆๆ ๆ ลัน ผมเจ็บนะ”
อรขจีเข้ามากระชากลันตาออก “ออกไปนะ ฉันไล่แกออก!”
“ไปก่อนเหอะลัน” แพทบอก
“ฉันไม่ไป!..” ลันตาประกาศก้อง “ฉันผิดแค่เรื่องเดียวที่ฉันไม่รู้ ถ้าฉันหนีเท่ากับฉันรับผิดว่าอยากแย่งสามีเขา แต่ฉันไม่ได้แย่งฉันต้องอยู่”
อรขจีแค้นมาก “แก!”
สุวิภาแทรก “ฉันไม่คิดเลยนะว่าจะมีเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ในออฟฟิศของเรา”
ทุกคนชะงักแล้วหันไปมองสุวิภาเพราะรู้ว่าสุวิภากำลังโกรธ แม้แต่อรขจีก็ยังต้องเงียบ
สุวิภามองลันตา “เธอมีอะไรจะแก้ตัวไหม”
ลันตาสะอึก “ดิฉันไม่จำเป็นต้องแก้ตัวค่ะ เพราะดิฉันไม่ผิด! เรื่องครั้งนี้ดิฉันเป็นผู้เสียหายโดนคุณอนุชิตหลอก ดิฉันโง่แต่ไม่โรคจิตคิดแย่งสามีชาวบ้าน”
“โอเค ฉันรับทราบว่าเธอไม่รอบคอบ และปล่อยให้ตัวเองเสียหายด้วยการเชื่อคำพูดง่าย ๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง” สุวิภาพูดกับรัชนี “พนักงานคนนี้เหรอที่คุณจะฝากนิตยสารของเราให้เขาดูแล หนังสือของเราเปรียบไปก็คือผู้หญิงฉลาด ที่สามารถดูแลทั้งการงานและชีวิตได้สวยงาม”
“แต่ชีวิตคนก็สามารถผิดพลาดได้นะคะ” รัชนีบอก
ลันตามองรัชนีที่พยายามช่วยแก้ตัวให้
สุวิภาพูดต่อ “แล้วคุณคิดว่าทุกคนในที่นี่ได้เห็นความประพฤติกับอีคิวในการรับสถานการณ์ของเขาแล้ว มีลูกน้องคนไหนที่อยากมีหัวหน้าสติแตกแบบนี้ไหม ที่นี่ต้องการคนทำงาน ไม่ใช่ตัวปัญหา”
รัชนีอึ้งมองทุกคนในออฟฟิศที่หลบตา เงียบ และไม่ปริปากใด ๆ ลันตามองสายตาทุกคนแล้วรู้สึกเจ็บปวดเพราะว่าสิ่งที่สุวิภาพูดเป็นความจริง ลันตาชะงักมองและคิดประมวลตามคำพูดสุวิภาอย่างรวดเร็ว
“คุณสุวิภา ดิฉันว่าเรื่องนี้...” รัชนีพูดยังไม่จบลันตาก็แทรกขึ้นมา
“ดิฉันขอลาออกค่ะ!”
ทุกคนตะลึงแล้วหันไปมองลันตา
“ดิฉันไม่ได้ลาออกเพราะว่าดิฉันผิด แต่ดิฉันไม่ต้องการเป็นปัญหาให้กับหัวหน้าที่ดีอย่างคุณรัชนี ลันลานะคะพี่นี” ลันตาบอก
ลันตาไหว้รัชนีกับสุวิภาแล้วจะเดินไป อนุชิตรีบเข้าไปดึงลันตาไว้
“ลัน...คุณไม่ต้องลาออก ผมจะดูแลคุณเอง..”
ลันตาหันกลับไปต่อยปากอนุชิตดังผัวะ!
“เก็บความแมนไว้ดูแลเมียเถอะ แล้วฟังให้ชัด ๆ ฉันยอมออกดีกว่า ต้องทนหายใจร่วมออฟฟิศเดียวกับผู้ชายห่วยๆ อย่างคุณ” ลันตาพูด
“แอ็บน่าสงสาร..ทำเป็นผู้หญิงโลกสวย..ทุเรศ” อรขจีว่า
ลันตาหันมาหาอรขจี “ฉันยอมแพ้...คุณอรเหมาะกับอนุชิตจริงๆ”
อรขจีมองคล้ายจะบอกว่าสำนึกแล้วล่ะสิ
ลันตาพูดต่อ “...ผู้ชายสารเลวกับผู้หญิงจิตแตก...สมกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุ”
อรขจีปรี๊ดแตก “อ๊าย....นังบ้า! นังหน้าด้าน”
อรขจีคว้ากองกระดาษเอกสารปาตามลันตาไป ลันตาก้าวออกไปอย่างสมศักดิ์ศรี กระดาษเอกสารปลิวว่อนอยู่ด้านหลังเหมือนเป็นแค่เพียงอดีตที่จะไม่มีวันหวนมา
“ไอ้ลัน!”
แพทรีบตามลันตาไป อรขจีก็วิ่งตาม ทุกคนรีบวิ่งตามไปด้วย
ลันตาเดินออกมาถึงด้านนอกแล้วเดินไปที่รถเก๋งป้ายแดง ลันตาขึ้นรถ
แพทเรียก “ไอ้ลัน”
แพทรีบวิ่งตามไปขึ้นรถ ลันตาจะขับรถออกไป อรขจีพุ่งจะตามไปแต่อนุชิตคว้าตัวไว้ ลันตาขับรถออกไปท่ามกลางเสียงโวยวายของอรขจีและความพยายามในการหยุดการอาละวาดของอรขจี
รถที่รับนักบินและลูกเรือจากเครื่องบินเข้ามาจอดที่อาคาร กลุ่มลูกเรือ สจ๊วต แอร์โฮสเตสจากสายการบินอื่นๆ เดินเข้าประตูมา แอร์โฮสเตสจากสายการบินอื่นสองสามคนยืนรี ๆ รอ ลูกเรือของสายการบินของสิปาดันเดินเข้ามา ลูกเรือเห็นแอร์สายการบินอื่นที่รออยู่ก็มองอย่างรู้กันว่ารอใคร แล้วกลุ่มลูกเรือก็เดินแยกไปทางอื่น
สิปาดันในชุดเครื่องแบบนักบินสุดเท่เดินเข้ามา กิ๊ฟยืนอยู่ในกลุ่มแอร์โฮสเตสที่มายืนรอมองอย่างชื่นชอบ สิปาดันหันไปยิ้มให้กับกลุ่มลูกเรือต่างสายการบินที่ฉีกยิ้มสวยให้เต็มที่ กลุ่มแอร์โฮสเตสมองตามอย่างเคลิบเคลิ้มมาก
กิ๊ฟตามไปเรียกไว้ “พี่สิปาคะ”
สิปาดันหันกลับมา “มีอะไรเหรอครับ”
“พี่ทำหล่นไว้ค่ะ”
กิ๊ฟยื่นผ้าเช็ดหน้าให้สิปาดัน สิปาดันมองแล้วยื่นมือไปรับไว้ กิ๊ฟวางผ้าเช็ดหน้าบนมือสิปาดันแล้วใช้นิ้วก้อยเขี่ยเบาๆ ที่ฝ่ามือพลางยิ้มยั่วเต็มที่ สิปาดันมองอย่างเข้าใจ
สิปาดันยิ้ม “ยินดีครับ”
กิ๊ฟส่งสายตาแล้วเดินกลับไป
สิปาดันหันหลังเดินจากไป เขาขยับผ้าเช็ดหน้าก็เห็นว่าบริเวณไส้ผ้าเช็ดหน้าที่พับไว้มีกระดาษเล็กๆ เขียนเบอร์มือถืออยู่ สิปาดันยิ้มนิดๆ เพื่อนของเขาที่เดินตามมาตบไหล่ทัก
“คืนนี้ไปแฮงค์กันหน่อยไหม”
“สงสัยคืนนี้ไม่ว่างว่ะ” สิปาดันยิ้มอย่างมีเลศนัย
เพื่อนมองผ้าเช็ดหน้าในมือ
“เฮ้ย..พูดให้ถูกคือ ฉันไม่อยากทำให้น้องๆ เขาผิดหวังต่างหาก” สิปาดันบอก
เพื่อนมองคล้ายจะพูดว่าไอ้ขี้โม้ แต่สิปาดันมองตอบแบบคนมันหล่อจริงๆ ช่วยไม่ได้
จานถูกเขวี้ยงกระแทกกับผนังจนแตกเพล้งโดยลันตา แพทเอาจานมาวางให้เรื่อยๆ
“จัดไป!”
พื้นที่ในร้านอาหารที่จัดผนังไว้ด้านหนึ่งสำหรับเป็นที่เขวี้ยงระบายความเครียด ลันตาเขวี้ยงแบบสุดแรงพลางออกเสียงราวกับนักยกน้ำหนัก แพทช่วยเขวี้ยงจนจานแตกเพล้งๆ ๆ
ลันตานั่ง แพทนั่งตาม ทั้งคู่นั่งหอบเล็กน้อยเหนื่อยหลังจากออกแรงปาระบายความเครียดกันเต็มที่ แพทจัดการเทน้ำให้กับลันตา ลันตารับไปดื่ม
“ดีขึ้นไหม” แพทถาม
“อืม...” ลันตาตอบ
“แกแน่ใจแล้วเหรอ นี่มันงานที่แกรัก แล้วยังโอกาสดีๆ ที่พี่นีให้แกอีก แกทิ้งทุกอย่างแบบนี้ แกไม่เสียดายเหรอลัน”
“ถ้าเรามีความสามารถ โอกาสมันต้องมาอีก” ลันตายิ้ม
“แต่...”
“แพท มันเกิดเรื่องขนาดนี้แล้ว แกคิดว่าฉันจะทำงานที่บริษัทโดยไม่แคร์สายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในออฟฟิศได้เหรอ”
“ก็จริงของแก...คงไม่มีใครเชื่อว่าแกกับไอ้อนุชิตไม่มีอะไรเกินเลยกัน”
ลันตาหันขวับไปมองตาเขียว
“เฮ้ยๆๆ ฉันพูดตามที่เห็นทั่วไป ไม่งั้นคนจะชอบเสพข่าวเรื่องส่วนตัวของพวกดารา เซเลบ อยากรู้ความร้าวฉานของคนอื่น ไม่แน่แกอาจจะเจอคนบางประเภทที่ชอบทำตัวเป็นกูรู..กูรู้ มานั่งวิเคราะห์ชีวิตแก ทั้งที่ไม่ได้รู้จักแกเลยสักนิด” แพทว่า
“ฉันก็เลยจบทุกอย่างก่อนจะต้องเจอเรื่องบ้าๆ พวกนั้นไง”
“บ้าเอ๊ย...ฉันเสียดายแทนแกว่ะ”
“เอาเถอะ ฉันเชื่อว่าฉันต้องออกจากที่นี่เพื่อจะเจอสิ่งที่ดีกว่าแน่นอน”
“แต่แกเพิ่งถอยรถมาด้วย จะเอาที่ไหนผ่อน”
“เดี๋ยวมันก็มีทางน่า อย่างน้อยสามเดือนเดือนที่พี่นีจ่ายให้ก็ต่อลมหายใจได้อีกสักพักล่ะน่า”
“ถ้าคุณย่ามาลัยของแกรู้เรื่องวันนี้ล่ะก็...คุณนุตายแน่”
“ฉันจะตายก่อนนะสิ ถ้ารู้ว่าฉันโดนผู้ชายหลอกแล้วยังตกงานอีก คนบ้านฉันฆ่าได้...หยามไม่ได้ เรื่องนี้ต้องเหยียบให้มิด...ไม่งั้น”
เสียงมือถือของลันตาดังขึ้น ลันตาหยิบขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจมาก ลันตายื่นหน้าจอให้แพทดูว่าเป็นชื่อที่เมมว่าคุณย่า
แพทสยอง “แรงจริง ๆ รับสิแก”
ลันตาสูดลมหายใจตั้งสมาธิแล้วกดรับสาย
“ลันตาพูดสายค่ะ”
ย่ามาลัย ย่าของลันตาพูดสายด้วยสีหน้าอย่างเฮี๊ยบ
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเจ้าลัน ย่าสั่งแล้วใช่ไหมว่าหกโมงต้องถึงบ้าน แกหนีไปเที่ยวอีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่านะคะ” ลันตาบอก
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้ ! แกเป็นผู้หญิงกลับบ้านดึก ๆ ดื่นๆ มันมีแต่อันตราย ถ้ามีพวกมิจฉาชีพเล่นงาน แกสู้พวกมันได้หรือไง กลับบ้าน!”
“เอ่อ...พอดีลันมีเรื่องนิดหน่อยค่ะ”
“เรื่อง?...แกไปก่อเรื่องอะไร ที่ไหน กับใคร บอกย่ามาเดี๋ยวนี้”
ลันตานึกได้ว่าไม่ควรพูด “เอ่อ...เรื่องสัมภาษณ์น่ะค่ะคุณย่า คนที่ลันนัดสัมภาษณ์เขาติดธุระเลยมาช้า ลันต้องรอคุยกับเขาก่อน ทำงานเสร็จลันจะรีบกลับนะคะ”
ลันตากดวางสาย
“คุณย่ามหาประลัยของแก แรง เล่นใหญ่ ไล่ทันทุกเม็ด สุดยอด! นึกถึงตอนปี 1 ฉันพาแกหนีเที่ยวแล้วโดนจับได้”
แพทมีสีหน้าสยองมากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมา
อ่านต่อหน้า 2
รักต้องอุ้ม ตอนที่ 1 (ต่อ)
เหตุการณ์ในอดีต ตอนลันตากับแพทอยู่ในวัย 18 ปี สองสาววัยใสยืนดึงหูกันอยู่กลางสะพานลอย พูดประสานเสียงกัน
“วันหลังจะไม่หนีเที่ยวแล้วค่ะ...วันหลังจะไม่หนีเที่ยวแล้วค่ะ”
คนเดินผ่านไปมามองทั้งคู่อย่างขำๆ ลันตากับแพทอายมาก ทั้งสองเหลือบตาไปมองด้านหนึ่งของสะพานเห็นย่ามาลัยถือไม้เรียวยาวมากยืนอยู่
“ฉันอายว่ะลัน...หนีได้ไหม” แพทถาม
“หนีล่ะแกได้ยืนถึงกลางคืน...อายกว่านี้แน่” ลันตาบอก
ลันตามองเห็นมาลัยยกไม้ขึ้นชี้
“หยุดทำไม...”
แพทกับลันตารีบท่องต่อ
“วันหลังจะไม่หนีเที่ยวแล้วค่ะ...วันหลังจะไม่หนีเที่ยวแล้วค่ะ”
เหตุการณ์ปัจจุบัน แพทรู้สึกขนลุกเกรียว
“ตอน 18 ว่าอายแล้ว ถ้าต้องโดนตอนนี้อาจมีคลิปเผยแพร่ในยูทูป อับอายจนหมดโอกาสมีแฟนตลอดชาติแน่”
เสียงมือถือแพทดัง แพทมองแล้วกดวางสาย แล้วมือถือก็ดังอีก แพทมองอีกแล้วก็กดวางสายอีก
“ใครโทรมา” ลันตาถาม
“ฝิ่นของอีกเจ้าน่ะ...ฉันสัญญาว่าจะส่งเขาคืนนี้” แพทบอก
เสียงไลน์ดังติ๊งๆ ๆ
“แกกลับไปทำงานเถอะ ฉันโอเค” ลันตาบอก
“ไม่เป็นไร กลับไปค่อยทำมีเวลาถึงหกโมงเช้า” แพทบอก
ลันตาดุขึ้นมาทันที “แต่งานที่ได้จะไม่ดี ถ้าแกไม่ให้เวลากับมัน”
“ใจเย็นไอ้ลัน ฉันรู้ว่าแกมันเจ้าแม่รับผิดชอบ ซีเรียสกับจริยธรรมคุณธรรมทุกแขนง แต่แกเป็นเพื่อนฉัน เพื่อนจะไม่ทิ้งเพื่อนเข้าใจไหม”
“ขอบใจมากแพท แต่แกอย่าให้ฉันเป็นต้นเหตุให้แกเสียงานเลย”
แพทจะแย้ง
ลันตาพูดขัด “เชื่อสิ...ลันตาซะอย่าง รับไหวทุกเรื่อง”
เสียงมือถือดังขึ้นอีก แพทมองแล้วกดรับ
“ว่าไงญ่า”
ธัญญาเรศยืนอยู่ริมถนนคุยมือถือ
“แกกับลันยังอยู่ที่ร้านหรือเปล่า” ธัญญาเรศถาม
“อยู่...แกจะถึงหรือยัง” แพทถามกลับ
“ฉันคงไปไม่ได้แล้ว ยังเคลียร์เรื่องถ่ายแบบพรุ่งนี้ไม่ได้เลย”
“ถ่ายแบบมันเกี่ยวอะไรกับแก”
“ก็มันไม่มีคนทำ พี่นีก็เลยให้ฉันทำน่ะสิ ฉันห่วงไอ้ลัน แกดูแลมันดีๆ นะ”
“ไม่ต้องห่วง...แค่นี้นะ” แพทพูดกับลันตา “ไอ้ญ่ามันห่วง”
ลันตาแค่ยิ้มรับ
แพทรู้ว่าลันตาพยายามอดทน “แกจะร้องไห้ก็ได้นะ”
ลันตาเลี่ยง “แกไปเหอะฉันไม่เป็นไร ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะโทรหา โอเคไหม”
เสียงโทรศัพท์ยังดังตามไม่เลิกจนแพทหนักใจ
“งั้นฉันกลับก่อนนะ มีอะไรโทรหาเลยนะ” แพทบอก
“เออ...”
แพทเดินออกไป ลันตาหยิบน้ำเปล่าเทแล้วดื่มแก้เครียด
ลันตาเดินมาที่รถของตัวเองซึ่งเป็นรถป้ายแดง ลันตาชะงักที่เห็นมิน สาวชาวเขาแต่งชุดชาวเขาเผ่าม้งมาขายของที่ถนนข้าวสารยืนมองหน้าเธอ ลันตามองตอบเพราะสงสัยว่ามีอะไร มินเห็นว่าโดนจ้องกลับก็ส่ายหน้า หลบตาแล้วก็เดินหนีไปเลย ลันตามองตามงงๆ ว่าอะไรวะ ลันตาขึ้นไปนั่งในรถ
ลันตาตบพวงมาลัย “จัมโบ้เอ๊ย...แม่จะหาเงินมาผ่อนแกให้ได้ ไม่ต้องกลัวนะลูกนะ”
ลันตาสูดลมหายใจแล้วก็สตาร์ทรถ ลันตาเข้าเกียร์ถอย ทันที่ที่รถขยับก็มีมือมาตบที่ด้านหลังรถดังปัง ลันตาตกใจเหยียบเบรกทันที เธอมองกระจกข้างเห็นรปภ.จุกเดินเข้ามาที่ด้านข้างรถ ลันตากดกระจกรถลงแล้วถาม
“ตบกระจกรถทำไมพี่”
“มีกล่องวางอยู่ที่ล้อรถด้านซ้ายหลังครับ ของคุณลูกค้าหรือเปล่าครับ” จุกถาม
“ไม่มีนี่ ฉันไม่ได้เอากล่องอะไรมา กล่องอะไร?”
รปภ.แจ๊สเดินตามมา
“รปภ.แจ๊ส...”
“แจ้งรปภ.จุกกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมสีน้ำตาล ด้านบนถูกพับปิดไว้ครับแต่มีเสียงติ๊ก ๆ เหมือนนาฬิกาดังจากในกล่องด้วยนะครับ” แจ๊สบอก
จุกตกใจโอเวอร์ร้องเสียงดังมาก “เสียงนาฬิกา!”
ลันตาตกใจ
“ทำไมเหรอพี่” ลันตาถาม
“กล่องปริศนา วางไว้ที่พื้น มีเสียงนาฬิกา บางทีในกล่องนั้นอาจจะเป็น....ระเบิด”
รปภ.แจ๊สพูดเสียงดังมาก “ระเบิด!”
ลันตาตกใจ จุกกับแจ๊สกระเด้งตัวออกห่างทันที
ลูกค้าที่เดินเข้าออกกับคนที่เดินผ่านไปมาตกใจกับคำของแจ๊ส ทุกคนต่างพากันมองอย่างสนใจ
แจ๊สโวยวายเสียงดัง “อย่าเข้ามาครับ รถคันนี้มีระเบิด ห่างๆ เลยครับ เดี๋ยวตูมตามตายเกลื่อนนะครับ ถอยไปครับ ถอยๆ”
บรรดาคนที่มุงพากันฮือถอยห่างออกไป ไวเท่าความคิดลันตาดึงเบรกมือเปิดประตูจะก้าวลงมา
จุกรีบบอก “อย่าขยับ!”
ลันตาชะงักขาเกร็งค้างไว้
“ห้ามทำไมเล่า ฉันจะลงจากรถ!”
จุกพูดเสียงบิ้วท์มาก “คุณขยับ รถสะเทือน เกิดมันไปโดนกล่องระเบิดอาจจะทำงานแล้วมันก็” จุกเสียงดังมาก “ตูม! ระเบิดจะฉีกร่างคุณเป็นเสี่ยงๆ หัวไปทางขาไปทาง เนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ”
ลันตาสยองกับคำบรรยายที่เห็นจึงไม่ยอมขยับ
แจ๊สก็นอยด์จัดพูดอย่างตื่นเต้นไปเรื่อย “มันจะระเบิดหรือยังพี่จุก เอาไงดี พี่จุก พี่จุก ผมยังไม่อยากตาย!!”
ผู้คนขยับเข้ามามุงห่างๆ โดยมองมาทางลันตา ลันตายิ่งเครียด
“อย่าเข้ามาครับ ..ถอยออกไปครับถอยๆ” จุกไล่คน
ลันตาเหงื่อซึม เธอต้องเช็ดมือกับกางเกงเพราะความกลัวแต่ไม่กล้าขยับตัวโดยยังคงยกขาค้างไว้ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดัง ลันตาสะดุ้งตกใจ พอเห็นว่าเป็นย่ามาลัยโทรเข้ามา ลันตาก็พยายามขยับให้เบาน้ำหนักที่สุดแล้วหยิบโทรศัพท์มากดรับทันที
ย่ามาลัยพูดเสียงเหี้ยมมาก
“นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้วทำไมแกยังมาไม่ถึงอีก ถ้าห้าทุ่มไม่ถึงบ้าน แกเตรียมไปยืนกางหูได้เลย!”
“ใจเย็นๆ นะคะคุณย่า...คือ...”
“มีอะไร....ย่าถามว่ามีอะไร”
ลันตามองรปภ.จุกกับรปภ.แจ๊ส
“ไม่มีอะไรค่ะ ลันจะรีบกลับนะคะ” ลันตาวางสายด้วยความร้อนใจ “พี่รปภ. ช่วยทีสิคะ ฉันต้องรีบกลับบ้าน แจ้งความก็ได้”
รปภ.แจ๊สเสียงดัง “เฮ้ย!”
รปภ.จุกกับลันตาตกใจ “อะไร!”
“กล่องมันขยับ!” แจ๊สบอก
รปภ.จุกจะขยับเข้าไปดูกล่อง ลันตามองอย่างลุ้นมาก
แจ๊สเสียงดัง “ระวัง!...” ทุกคนสะดุ้ง “....นะพี่”
จุกเบิ๊ดกระโหลกแจ๊ส “ใจหายหมด”
จุกเอื้อมมือเข้าไปใกล้กล่อง ทุกคนลุ้น
รถกระบะเก่า ๆ แล่นเข้ามาตรงจุดที่ก่อสร้าง ทันใดนั้นก็เกิดเสียงยางล้อรถระเบิดดังจนแจ๊สกับจุกกระโดดหมอบ คนที่มุงพลอยก้มหลบวี้ดว้ายไปด้วย ลันตาสะดุ้งช็อคตาค้าง เสียงเด็กร้องอุแว้ๆ ดังออกมา ทุกคนต่างนิ่ง ลันตาที่นั่งนิ่งกลอกตาไปรอบๆ พอเห็นทุกอย่างนิ่งสนิท เธอก็จับเนื้อตัวอย่างตรวจตรา
ลันตาพูดกับตัวเอง “ยังไม่ตาย...ไม่ระเบิด”
ท่ามกลางความเงียบได้ยินแค่เสียงเด็กร้องดังไปทั่ว จุกกับแจ๊สและคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้นมา
“ไม่เห็นระเบิดเลยพี่” แจ๊สว่า
ลันตาตะคริวจะกิน เธอทนไม่ไหวจึงตัดสินใจจะวางขาลง
จุกรีบบอก “เดี๋ยว!”
“โอ้ย...ไม่เดี๋ยวแล้ว! ตายเป็นตาย!”
ลันตาลงจากรถแล้วตรงไปที่กล่อง เธอเห็นว่ากล่องขยับเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน ลันตามองแล้วตัดสินใจตรงเข้าไปเปิดกล่องทันที
จุกรีบบอก “ระวัง!”
ลันตาเปิดกล่องมาแล้วอึ้งตะลึงเพราะเห็นเด็กทารกนุ่งผ้าอ้อมอายุประมาณ 5 เดือนนอนลืมตาแป๋วสบตากับเธออยู่ ทุกคนอึ้งที่เห็น ลันตาค่อยๆ อุ้มเด็กขึ้นมาอย่างช้าๆ วินาทีที่สบตาก็รู้สึกเอ็นดูเด็กในอ้อมแขนขึ้นมา
แจ๊สมอง “เด็กทารกนี่พี่ ไม่ใช่ระเบิดสักหน่อย”
“แล้วเสียงปัง!” จุกถาม
“รถยางแตกตรงโน้นไง”
รถกระบะยางแบนจอดอยู่ตรงมุมก่อสร้าง จุกที่เสียหน้าทำฟอร์มเนียนๆ เข้ามามองเด็ก
“แบบนี้ถูกทิ้งแน่นอน” จุกว่า
“ใครเอามาทิ้งไว้ตรงนี้ มันอันตรายนะเนี่ย” ลันตาบอก
จุกเหมือนถูกวิญญาณนักสืบเข้าสิง “จริงที่สุด ทำไมต้องใส่กล่องแล้วมาวางตรงล้อรถแบบนี้”
“ถามโง่ๆ ก็อยากให้เด็กตายน่ะสิ” แจ๊สว่า
จุกกับลันตาหันมองแจ๊สทันที
“ถ้าดูจากการจอด โง่ยังไงก็รู้ว่าต้องถอยรถออกถึงจะไปได้ วางแบบนี้ถอยปุ๊บทับปั๊บ เข้าใจยัง” แจ๊สถาม จุกกับลันตาพยักหน้า “เออเข้าใจง่ายๆ ไม่โง่นี่”
จุกเหล่มองด้วยสายตาโหดจนแจ๊สต้องหลบสายตา ลันตามองเด็กที่พอสติเริ่มมาก็เห็นหน้าตาที่ดูน่ารักน่าชัง ลันตาเห็นเด็กที่ใส่ผ้าอ้อมเปิดก้นนิด ๆ เห็นปานแดงจาง ๆ ด้านซ้ายของก้นเด็ก
จุกทำจมูกฟุดฟิด “เด็กฉี่แตกเหรอเปล่า”
“เปล่านี่พี่” แจ๊สทำจมูกดม “กลิ่นฉี่มาจากไหน”
ลันตาหน้าเสียเล็กน้อย แจ๊สยังคงดมหาที่มาของกลิ่นและต่ำลงเรื่อย ๆ จนเห็นว่ากางเกงของลันตาเปียก
“มาจากนี่ไง” แจ๊สเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นลันตา “เย่ย!”
“ก็บิ้วท์กันอยู่นั่นล่ะ” ลันตารีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วจะทำยังไงต่อ”
“เดี๋ยวเอาเด็กไปแจ้งความครับ” จุกบอก
“แจ้งความ ก็ต้องส่งคืนคนที่เอามาทิ้งน่ะสิ” ลันตาถาม
“ก็ต้องอย่างนั้นสิครับ” จุกบอก
“แล้วถ้าไม่เจอแม่เด็กล่ะ” ลันตาถามต่อ
“เขาก็คงส่งบ้านเด็กกำพร้า”
“ถ้ามีคนรับเลี้ยงก็โชคดี หน้าขาวๆ น่ารักแบบนี้ถ้าพวกแก๊งค์ลักเด็กมันเอาไปขายคงได้หลายตังค์นะพี่ว่าไหม” แจ๊สถาม
“จริงของเอ็ง” จุกรับคำ
ลันตามองหน้ารปภ.จุกกับรปภ.แจ๊สแล้วชักไม่ไว้ใจ
“ไอ้แจ๊สเอ็งดูที่นี่นะ ข้าจะพาเด็กไปแจ้งความ” จุกสั่ง
ลันตารีบบอก “ไม่ต้อง!”
รปภ.ทั้งสองคนชะงักหันมองลันตา
“พวกคุณต้องทำงาน...ฉันเอาเด็กไปแจ้งความเองดีกว่า” ลันตาบอก
จุกอึกอัก “แต่...”
ลันตาเสียงแข็ง “เด็กอยู่ท้ายรถฉัน ฉันเป็นคนเจอ ฉันจัดการเอง”
ลันตาจะดึงเด็กมา แต่รปภ.จุกไม่ยอมปล่อย ลันตามองแล้วจุกก็ยิ่งไม่ยอม เธอดึงมาเต็มแรง
“ฉันเสียเวลามามากแล้ว เอามานี่!”
ลันตารีบพาเด็กขึ้นรถแล้วก็ขับรถออกไปโดยทิ้งให้คนอื่นๆ มองตามอย่างงงๆ
รถลันตาจอดอยู่ ลันตาเปลี่ยนจากกางเกงที่เปียกเป็นกางเกงลำลองที่ติดรถไว้แล้วเอากางเกงใส่ถุงพลาสติกมัดจนแน่นก่อนจะโยนไปด้านหลัง ลันตาออกรถโดยมีเด็กทารกนอนอยู่ที่เบาะที่นั่งข้างคนขับ
“พี่จะพาหนูไปอยู่บ้านนะ ไม่ต้องกลัวนะหนู ย่าของพี่ใจดี”
เสียงมือถือดังขึ้นอีก ลันตาเห็นว่าเป็นย่ามาลัยโทร.เข้ามาด้วยเฟซไทม์ก็กดรับด้วยสมอลทอล์ค
“ค่ะคุณย่า”
ลันตารีบกลับมา แต่ก็ยังถูกย่ามาลัยดุ มองด้วยสีหน้าโหดมาก
“นี่แกขี่เต่าหรือขับรถ ห๊ะ ยัยลัน ทำไมมันถึงได้ช้านัก”
ลันตาอ้ำอึ้งกำลังคิดว่าจะบอกเรื่องเด็ก
“คุณย่าคะ”
ย่ามาลัยมองจ้องในโทรศัพท์
“แกจมูกบาน....ทำจมูกบานทีไร ต้องมีเรื่องทุกที”
ลันตาตกใจจึงลูบจมูกกลบเกลื่อนแล้วพูดเสียงต่ำทันที “เปล่าค่ะ”
“ทำเสียงต่ำ....แกไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม ไปทำอะไรมา”
“เปล่านะคะคุณย่า ลันอยู่ในรถ คุณย่าก็เห็น ลันมาคนเดียว แต่ลันต้องไปเอาของที่บ้านไอ้แพทค่ะ ลันขอขับรถนะคะคุณย่า แบตจะหมดแล้ว...แค่นี้ก่อนนะคะ”
ลันตาชิงกดวางสาย
“เดี๋ยว...ยัยลัน...ยัยลัน กลับมาโดนแน่”
ลันตาตัดสินใจปิดเครื่อง ทารกร้องขึ้นมาทันที
“ฉลาดมากลูก ร้องได้จังหวะวางสายพอดี” ลันตาชม
ลันตาตัดสินใจจอดรถแล้วหันมาคุยกับตาหนูเป็นจริงเป็นจัง
“ตาหนู...พี่พาหนูกลับบ้านไม่ได้แล้ว ถ้าพาหนูกลับไปคุณย่าต้องเล่นงานพี่ แล้วต้องบังคับให้พี่เอาหนูไปแจ้งความแน่ ๆ เอายังไงดี”
ตัวเลขลิฟท์เลื่อนขึ้นมาจนถึงชั้น 10 ลิฟท์เปิดออก ลันตาอุ้มตาหนูมือนึงส่วนอีกมือหิ้วถุงขวดนม ที่แขนยังมีถุงผ้าอ้อม ถุงนม ดูพะรุงพะรังมากมาย ลันตาเดินมาที่หน้าห้องซึ่งป้ายที่ปิดทับเลขห้องเป็นเลขห้อง 109 ลันตาจะเอามือสอดไปล้วงของแต่มือไม่ว่างจึงต้องเอาถุงขวดนมใช้ปากคาบไว้ แล้วสอดมือไปด้านหลังป้ายดึงกุญแจที่ซ่อนไว้ออกมา ลันตาไขประตูเข้าไปแล้วปิดปัง
ตาหนูโยเย ลันตาเองกำลังวุ่นกับการชงนมที่ต้องดูกระป๋อง วัดสัดส่วนอย่างละเอียด พลางปลอบตาหนูไปด้วย
“ใจเย็นๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวพี่ชงนมให้นะ”
ลันตาพยายามลองชงนมอย่างวุ่นวาย เสียงมือถือลันตาดัง ลันตากดรับ
“ว่าไงมิ้งค์”
มิ้งค์ในชุดนักศึกษาหอบเสื้อผ้าที่ยืมไปถ่ายแบบเพื่อเอามาคืนร้านเสื้อผ้าในวิลเลจ
“พี่ลัน! พี่อยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง นี่มิ้งค์โดนใช้มาคืนเสื้อผ้าถ่ายแบบคิวที่แล้วเลยเพิ่งรู้เรื่อง”
“ตอนนี้ยังคุยยาวไม่ได้ แต่พี่มีเรื่องให้มิ้งค์ช่วยด่วนมาก” ลันตาบอก
มิ้งค์รอฟังว่าเรื่องอะไร
พอลคุยโทรศัพท์มือถือขณะกำลังเดินอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต
“สั่งเค้กด่วนภายในสองชั่วโมงแบบนี้ คำนวณเวลาไหมว่าถ้าเราทำให้เขาไม่ทัน ลูกค้าจะเสียความรู้สึก แล้วขาดอะไรบ้าง ลูกพีช..เดี๋ยวพี่ซื้อเข้าไปเอง” พอลมองนาฬิกา “อีกสิบนาที เราเตรียมของให้พร้อมก็แล้วกัน”
พอลเดินมองตามชั้นวางสินค้าจนเจอชั้นวางลูกพีชเชื่อมในขวดแก้วที่เหลืออยู่ขวดเดียววางอยู่บนชั้นวางสินค้า พอลมองอย่างโล่งอกแล้วก็จะหยิบ เขาใช้มือซ้ายหยิบทันใดนั้นมือขวาของมิ้งค์เข้ามาจับขวดหมับ พอลหันไปมองเห็นมิ้งค์ที่ยิ้มเก้อ ๆ
“ผมหยิบก่อนนะครับ” พอลบอก
“เอ่อ...ไม่นะคะ” มิ้งค์พูดไม่เต็มปาก “ฉันหยิบก่อน ปล่อยมือด้วยค่ะ”
พอลจ้อง “คุณรู้แก่ใจดีว่าพีชขวดนี้ ใครควรจะได้ไป”
พอลไม่ปล่อยและดึงเข้าหาตัว เขามองมิ้งค์คล้ายจะบอกว่าให้ปล่อยมือซะ แต่มิ้งค์จำเป็นก็จับแน่นแล้วดึงมาทางตัวเอง
มิ้งค์พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ทราบค่ะ แต่ฉันมีเหตุผลที่ควรจะได้มันไป”
พอลอึ้งแต่ยังไม่ปล่อยมือ
“ถ้าทุกคนเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง สังคมคงมีแต่คนเห็นแก่ตัว คุณยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปีไหนครับ” พอลถาม
มิ้งค์งงแต่มือก็ดึงไว้ส่วนปากก็ตอบ “ปีสี่!..คุณถามทำไม”
“แสดงว่าใกล้จะเป็นบัณฑิต ที่แปลว่าผู้มีความรู้ แต่ที่ผมเห็น ผมว่าคุณคงสะกดคำว่าบัณฑิต ไม่ถูกซะด้วยซ้ำ”
มิ้งค์โกรธมากจึงเหวี่ยงมือลงอย่างลืมตัว พอลเสียจังหวะทำให้ขวดพีชหลุดมือหล่นลงพื้นแตก ทั้งพอลทั้งมิ้งค์มองอึ้งๆ พนักงานกับลูกค้าคนอื่น ๆ ต่างขยับเข้ามามอง
“เอ่อ...สินค้าชิ้นนี้เป็นของท่านไหนคะ” พนักงานถาม
มิ้งค์หัวไวมากจึงพูดกับพอล
“น่าเสียดายนะคะ ฉันอุตส่าห์เสียสละให้ คุณก็ไม่น่าทำหลุดมือเลย” มิ้งค์พูดกับพนักงาน “คุณคนนี้อยากได้พีชแต่เขาทำแตกไปแล้ว คุณช่วยหาขวดใหม่ให้เขาทีนะคะ”
“อ๋อ..ค่ะ”
มิ้งค์หันไปยิ้มกับพอลแล้วก็เผ่นออกไปเลย
“เดี๋ยวสิคุณ!” พอลจะตาม
พนักงานพูดกับพอล “คุณคะ...รบกวนชำระค่าสินค้าที่เสียหายด้วยนะคะ”
พอลชะงักแล้วหันมาเห็นทุกสายตามองอยู่จึงได้แต่ตอบสั้นๆ
“ครับ...”
พอลหันไปมองตามทางที่มิ้งค์ที่เดินไปอย่างแค้นเคือง
ตัวเลขลิฟท์กำลังวิ่งขึ้นมาชั้นเดียวกับลันตา ประตูลิฟท์เปิดออก สิปาดันกับแอร์โฮสเตสาวก้าวเข้ามาที่หน้าห้องเดียวกับที่ลันตาเดินเข้าไป
ประตูเปิดออก ภายในห้องมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ สิปาดันกับกิ๊ฟแอร์โฮสเตสนัวเนียกันเข้ามาในห้อง สิปาดันอยู่ในชุดครึ่งท่อน สวมแจ็คเก็ตแขนยาวทับ ส่วนกิ๊ฟสวมเครื่องแบบสายการบินหนึ่ง จังหวะนัวเนียทั้งสองต่างก็ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นแล้วเขวี้ยงกระจัดกระจายไปตามทาง
ลันตากำลังนั่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียง เพราะไฟปิดจึงเห็นแค่เงาราง ๆ ส่วนตาหนูนอนคว่ำอยู่บนเตียงนอนตามยาวปกติโดยไม่ใส่ผ้าอ้อม เสียงกุกกักทำให้ลันตารู้สึกตัวตื่น ลันตากำลังจะเอ่ยเรียกสิปาดันแต่ชะงักที่ได้ยินเสียงกิ๊ฟ
“อุ้ย! พี่สิปา..เบาๆ สิคะ”
ลันตาตัดสินใจคลานไปที่ประตูห้องนอนแล้วแอบดูเหตุการณ์ภายนอก
สิปาดันกำลังนัวเนียกับกิ๊ฟอยู่ที่ห้องรับแขก สิปาดันผละจากกิ๊ฟด้วยหน้าตาหื่น
“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ”
สิปาดันเดินไปหลบมุมหนึ่ง กิ๊ฟรอด้วยความตื่นเต้นว่าจะมีอะไร สิปาดันสไลด์ตัวออกมา ในสภาพเสื้อเชิ้ต บ๊อกเซอร์ และถุงเท้า เขายิ้มเก๊กในท่าที่คิดว่าเท่มาก
กิ๊ฟร้องออกมา “ว้าว!”
กิ๊ฟถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วโพสท์อ่อยเต็มที่
ลันตามองอึ้งๆ แล้วพูดเบาๆ กับตัวเอง “ตายแน่”
ลันตาพยายามมองหาที่หลบ เธอมองไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วก็จะวิ่งเข้าไป แล้วเธอก็นึกได้ว่าลืมตาหนูไว้บนเตียง ลันตาจะกลับไปอุ้มตาหนูแต่ช้าไปแล้วเพราะประตูเปิดออก ลันตาต้องปิดปากตัวเองไว้แน่นไม่ให้เสียงอุทานหลุดออกไป
สิปาดันกับกิ๊ฟล้มลงไปบนเตียงแล้วนัวเนียกัน
“เดี๋ยวสิคะพี่สิปา กิ๊ฟท์อาบน้ำก่อนนะคะ”
“ไม่ต้องก็ได้...” สิปาดันบอก
“ไม่เอา..เหม็นเหงื่อ อาบแป๊บเดียวนะ...นะ”
กิ๊ฟท์ดันสิปาออกห่าง สิปาดันยังไม่ยอมแพ้จึงวาดมือเปะปะไปทั่วจนไปคว้าเข้าที่ก้นของตาหนูเต็มๆ ลันตามองด้วยตาเบิกโพลงเพราะตกใจมาก
“พี่เห็นล้น ๆ ทำไมของจริงเล็กจัง” สิปาดันว่า
กิ๊ฟที่กำลังยืนปลดกระดุมอยู่ชะงัก
สิปาดันเข้ามาดมเต็มที่ “หอม...หืม..ทำไมมันตุ ๆ ล่ะจ๊ะกิ๊ฟท์”
“กิ๊ฟอยู่นี่”
สิปาดันชะงักเป็นจังหวะเดียวกับที่กิ๊ฟท์กดสวิทช์เปิดไฟ ไฟสว่างทั้งห้อง สิปาดันอึ้งที่เห็นว่าตรงที่มือจับกับจมูกดมคือแก้มก้นของเด็กทารก สิปาดันผงะออกมาสบตากับเด็กที่มองมาตาแป๋ว
“เฮ้ย!”
เด็กทารกตกใจเสียงสิปาดันจึงร้องไห้จ้า ลันตารีบเข้าไปอุ้มตาหนูเพื่อปลอบให้เงียบทันที
“โอ๋ๆ ๆ อย่าร้องนะหนู โอ๋ ๆ”
สิปาดันตกใจ “ไอ้ลัน!”
กิ๊ฟท์เห็นลันตาก็ปรี๊ดเลย
“พี่สิปา ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ ไหนพี่ว่าเป็นโสดไง กิ๊ฟท์ถึงยอมมาด้วย กิ๊ฟท์ไม่ยอมนะ ไม่ยอมตอบมาซิว่ายัยผู้หญิงที่ยืนหัวโด่อยู่นี่เป็นใคร! แล้วยัยผู้หญิงกับเด็กคนนี้เป็นใคร! ตอบมาสิว่าใคร ตอบ”
ลันตาเจอเรียกจิกหัวจึงสวนทันที “เมีย!”
สิปาดันกับกิ๊ฟตกใจทั้งคู่ “เมีย!”
“ใช่ ยัยผู้หญิงที่ยืนหัวโด่อยู่นี่เป็นเมีย...ชัดไหม” ลันตาถาม
สิปาดันเหวอลันตาหันมาทางสิปาดันด้วยท่าทางเอาเรื่องมาก “ยัยหน้าจิ้งจกนี่ใคร เมียน้อยแกใช่ไหม ไอ้กระล่อน เผลอเป็นไม่ได้” ลันตาพูดกับกิ๊ฟท์ “นี่ก็หน้าไม่อาย ตามผู้ชายมาคอนโด ใจง่าย”
“ด่าฉันเหรอ นังป้า!”
“เออสิ ออกไปเลยนะ ก่อนที่ฉันจะถีบแกออกไป” ลันตาว่า
“โอ้ย หยุด ๆ ๆ น้องกิ๊ฟ ฟังพี่นะ ผู้หญิงคนนี้”
สิปาดันพูดไม่ทันจบ กิ๊ฟก็หันมาตบสิปาดันดังเพี้ยะ
“ไอ้ตอแหล จะหลอกฟันฉันฟรี ๆ เหรอ ไอ้เลว ๆ ๆ”
กิ๊ฟหยิบหมอนได้ก็ไล่ฟาดจนสิปาดันต้องถอยร่นไม่เป็นกระบวนออกไปจากห้อง กิ๊ฟยังตามฟาดจนสิปาดันชนกับโซฟาหงายหลังกลิ้งลงไปนอนกระแทกพื้นดังตึง กิ๊ฟหันมาเจอลันตาที่อุ้มตาหนูพร้อมกับเชิดหน้ามองเหมือนจะพูดว่านังหน้าโง่
กิ๊ฟแค้น “ไอ้ทุเรศ!”
กิ๊ฟเขวี้ยงหมอนใส่สิปาดันทิ้งท้ายแล้วคว้ากระเป๋าเดินเดินเชิดออกจากห้องไปทันที
สิปาดันพยายามจะลุกตาม “น้องกิ๊ฟ เดี๋ยวก่อน กิ๊ฟ!”
สิปาดันมองตามเหวอ ๆ เสียงหัวเราะคิก ๆ ของลันตาดังขึ้น สิปาดันหันไปมองเห็นลันตาที่ขำสตาร์ทจากเบาๆ กลายเป็นเป็นขำแบบเอาเป็นเอาตาย
สิปาดันแค้นมาก “ลัน!”
ลันตาขำ “ทำไม สัปดน”
“ฉันชื่อ สิปาดัน”
“หน้าอย่างแก สัปดนน่ะเหมาะแล้ว”
“แกพูดบ้าอะไรของแก หน้าอย่างแกเนี่ยนะมาอ้างเป็นเมียฉัน”
“ก็ยัยนั่นมันมาตะคอก จิกเรียกฉันยัยนั่นยัยนี่ ฉันไม่โดดถีบก็บุญแล้ว”
สิปาดันหงุดหงิด “แล้วนี่ลูกใคร”
“ฉันเก็บได้”
“หะ! นี่ถ้าแกไม่อยากโดนฉันเหยียบ ก็บอกมาว่าเด็กนี่มาจากไหน แล้วพามาที่นี่ทำไม”
ลันตาพร้อมเล่าด้วยสีหน้าไม่ได้รู้สึกกลัวทุกข์ร้อนอะไรเลย
ลันตาค่อยๆ วางตาหนูลงที่เตียงแล้วลากสิปาดันไปที่ห้องรับแขก “คือว่า....”
“เข้าประเด็น...น้ำไม่ต้อง!” สิปาดันบอก
ลันตาหน้าเซ็งที่สิปาดันรู้ทันว่าเธอจะชักแม่น้ำทั้งห้า
อ่านต่อหน้า 3
รักต้องอุ้ม ตอนที่ 1 (ต่อ)
พอลสะบัดผ้ากันเปื้อนสีขาวมาดอย่างเท่ แล้วจัดการหยิบเค้กที่เพิ่งอบเสร็จออกมา เสียงโทรศัพท์ดัง พอลกดรับ
“ครับ...แม่”
พอลใช้คอหนีบโทรศัพท์คุยไปพลางแล้วจัดการตกแต่งหน้าเค้กด้วยความคล่องแคล่ว
“เพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้ครับแม่...ทุกอย่างโอเคครับ แม่ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ที่โน่นอากาศคงเย็นแล้ว...ครับ..ผมมีออเดอร์พิเศษน่ะครับ ลูกค้าจะมารับเค้กพรุ่งนี้ ก็เค้กลูกพีชแบบที่แม่ชอบไงครับ”
พอลหยิบขวดลูกพีชออกจากถุง พอลมองขวดนั้นแล้วภาพมิ้งค์ก็แวบขึ้นมา พอลมองที่ขวดแล้วส่ายหน้าเบาๆ กับความแสบของมิ้งค์ พอลเปิดขวดเอาลูกพีชมาแต่งหน้าเค้กเก๋ ๆ ขณะที่กำลังตกแต่ง มือของพอลก็กระตุกเพราะตกใจกับเสียงที่ดังจากห้องข้างๆ
“ฉันไม่โอเค! เอาเด็กไปแจ้งความ” เสียงสิปาดันดังขึ้น
“ไม่! ฉันไม่ยอม” เสียงลันตาดังตามมา
พอลชะงักหยุดฟัง มีเสียงเด็กร้องแทรกเข้ามาอีก
“ฉันก็ไม่ยอม”
“แกต้องยอม!”
พอลฟังแล้วรู้สึกกังวล
“เดี๋ยวผมโทร.กลับไปใหม่นะครับแม่”
พอลวางสายแล้วเดินออกไปทันที
สิปาดันคว้าแขนลันตา
“ลัน แกอย่างี่เง่านะ ยังไงก็ต้องพาเด็กไปแจ้งความหาแม่เขา”
“ไม่!” ลันตาพยายามสะบัดให้หลุดแต่ไม่สำเร็จจึงกัดแขนสิปาดัน
“โอ้ย! ลัน เป็นหมาหรือไงวะ ฟันคมเป็นบ้า!”
เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น
สิปาดันกับลันตาชะงัก ลันตาจะไปเปิด
“อย่า!” สิปาดันยกมือดันหน้าลันตาให้ถอยไป “แกไม่ต้องเสนอหน้า”
“ทำไม กลัวเป็นสาวที่แกหย่อนเบ็ดไว้จะเห็นฉันหรือไง ดี! ฉันจะไล่ไปให้หมดเลย”
ลันตาผลักสิปาดันแล้ววิ่งไปที่ประตู สิปาดันวิ่งตามไปยื้อแย่งกันจะเป็นคนเปิดจนลันตาแย่งเปิดประตูได้
ประตูเปิดออกด้วยความเร่งรีบทำให้ลันตาเสียหลักจะล้มหน้าคว่ำ พอลที่ยืนอยู่หน้าประตูตกใจจึงรับลันตาไว้ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ตะลึงไปเล็กน้อย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมได้ยินเสียงดัง ก็เลยมาดูเผื่อมีอะไรให้ช่วย” พอลถาม
ลันตาไม่ได้ปิ๊งแค่ยังตั้งหลักไม่ได้ “เอ่อ....”
สิปาดันมองอาการที่ทั้งคู่มองตากันอย่างไม่ชอบใจนัก
สิปาดันล็อคคอลันตาแล้วดึงกลับมา “ไม่มีอะไรครับ...คุณเป็นใคร ผมไม่เคยเห็นหน้า”
“ผม พอลครับ เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ข้างห้องคุณวันนี้ครับ คุณ...”
“ฉันลันตาค่ะ แล้วคนนี้สัปดนค่ะ”
สิปาดันดันหน้าลันตาออกไป “ผมสิปาดัน เรียกสิปาก็ได้ พอดีผมกับ...”
สิปาดันเห็นสายตาของพอลที่มองลันตายิ้มๆ เลยหมั่นไส้ จึงเปลี่ยนคำพูด
“แฟนกำลังเคลียร์กัน เลยเสียงดังไปหน่อย”
ลันตาจะปฏิเสธ “เอ่อ...ฉันไม่ใช่”
สิปาดันรีบบอก “ขอตัวนะครับ”
จากนั้นสิปาดันก็ลากลันตาถอยหลังมาแล้วปิดประตูใส่หน้าพอล พอลยืนอึ้ง
สิปาดันล็อคคอลันตาดึงตัวมา ลันตาดิ้นและโวยวาย
“สิปา ปล่อย!”
“ไม่ปล่อย”
ลันตากัดแขนสิปาดันทันที
“โอ้ย!”
“แกไปพูดอย่างนั้นฉันก็เสียหายสิวะ”
“ไม่เท่าฉันหรอกน่ะ น้องกิ๊ฟท์มีเพื่อนเป็นแอร์สายการบินฉันเพียบ! พรุ่งนี้เรื่องของฉันต้องลือทั้งสายการบินว่ามีเมียเก็บไว้ แล้วเมียก็ขี้เหร่มากด้วย”
ลันตาหมั่นไส้จึงเตะเข้าให้ “ปาก!”
“เอาล่ะ แกอย่านอกเรื่อง เอาเด็กนี่ไปแจ้งความซะ”
“ได้! ถ้าแกอยากเป็นฆาตกร”
“พูดอะไรของแก”
“แกใช้สมองฝ่อ ๆของแกคิดนะ เด็กถูกเอามาวางที่หลังล้อรถของฉัน แสดงว่าคนใจร้ายที่เอามาวางต้องการให้เด็กตาย แล้วถ้าเด็กถูกส่งคืนไปเจอกับคนใจร้ายนั่น....มันเท่ากับเราฆ่าเด็กทางอ้อม ถ้าเด็กเป็นอะไรไปแกจะต้องมีบาปติดตัวไปจนตาย เด็กจะตามมาหลอกหลอนขี่คอแกทุกคืน เสียงร้องของเด็กจะดังหลอกหลอนแกไปจนตาย”
สิปาดันกลัว “พอแล้ว! อยากอยู่ก็อยู่”
“จริงนะ”
“แต่แค่คืนเดียวนะ พรุ่งนี้ต้องพาเด็กไปแจ้งความ”
“แต่...”
“ลัน...แกก็รู้ว่าโคไพรอทอย่างฉันจะเลื่อนเป็นกัปตันได้มันต้องไม่มีเรื่องฉาว แกจะให้ฉันแลกอนาคตกับเด็กที่มาจากไหนก็ไม่รู้งั้นเหรอ”
ลันตาอึ้ง “จริงของแก เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันฝากแกไว้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ลันตาหยิบข้าวของมากองให้
“นี่ขวดนม นี่ผ้าอ้อม ฝากด้วยนะแก ฉันต้องรีบกลับแล้วเดี๋ยวโดนย่าเชือด ไปละ”
ลันตารีบเผ่นออกไป สิปาดันหันมองทารกที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความหนักใจ
ลันตาขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เธอเห็นย่ามาลัยยืนหน้าขมึงถึงพร้อมกับไม้เรียวในมือ ลันตามองด้วยอาการกลัวมากแต่ก็ข่มใจเดินลงจากรถ
“ตีสอง! บ้านไอ้แพทมันอยู่สุไหงโกลกหรือไง แกถึงได้กลับมาป่านนี้ หะ! เจ้าลัน”
“พอดีจัมโบ้มันเกเรน่ะย่า ลันต้องเสียเวลาหาร้านเปลี่ยนแบต แล้วร้านมันก็เปลี่ยว ๆ ลันกลัวจะแย่”
“แกเพิ่งถอยจัมโบ้มาแบตรถแกจะหมดได้ยังไง”
“ลันเปิดไฟในรถทิ้งไว้น่ะค่ะ”
“แล้วทำไมไม่โทรมาบอก ปิดเครื่องทำไม!” ย่ามาลัยพูดไปมือก็เหวี่ยงไม้เรียวไป
ลันตาใช้นิ้วดันปลายไม้เรียวออกห่าง “แบตมือถือก็หมดค่ะย่า วันวินาศของลันเลยนะวันนี้ ลันเหนื๊อยเหนื่อย”
“อย่ามาเฉไฉ รายงานมาให้ละเอียดแกไปเปลี่ยนแบตรถที่ไหน ยังไง พรุ่งนี้ย่าจะไปเช็กที่ร้านถ้าไม่จริง แกโดน”
ลันตาหน้าเสียเพราะกลัวย่ารู้ว่าโกหก
ลันตาพึมพำกับตัวเอง “มาสักทีสิ....”
เสียงมิ้งค์ดังขึ้น “พี่ลัน!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงมิ้งค์ลันตาก็ดีใจเพราะรู้ว่ารอดตายแน่แล้ว ลันตาหันไปตามเสียงทันที มิ้งค์ ในชุดนักศึกษาลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มิ้งค์รีบเข้ามาพร้อมกับถุงของกินเต็มสองมือ
ลันตาดีใจมากที่มาทันเวลา “มิ้งค์!”
“สวัสดีค่ะคุณย่า มิ้งค์คิดถึงคุณย่ามาก ๆ ค่ะ” มิ้งค์ชวนคุยเนียนๆ “พี่ลันคะเรื่องผลประเมินฝึกงานของมิ้งค์ พี่ลันเซ็นให้หรือยังคะ”
“เดี๋ยว! ย่ามีเรื่องคุยกับเจ้าลันอยู่ ทีละคิว...เจ้าลัน”
ลันตามองสบตามิ้งค์พร้อมกับส่งซิกเต็มที่ให้ช่วยที
“ตอบมาว่าร้านไหน!”
มิ้งค์แทรก “คุณย่าขา....มิ้งค์ซื้อขนมกล้วยมาด้วย คุณย่าไปทานขนมกับมิ้งค์นะคะ”
“ย่าไม่อยากกินขนมกล้วย” มาลัยหันไปหาลันตา
มิ้งค์ตื้อต่อทันที “คุณย่าขา ขนมบัวลอยไหมคะ น่าทานมาก! ไปทานกันก่อนนะคะคุณย่า”
“ขนมบัวลอย! เจ้านี้ที่เจ้แซ่บรับประกันใช่ไหม ต้องทานตอนร้อนๆ นะคะคุณย่า” ลันตาเสริม
“ยัยลัน...”
มิ้งค์แทรก “พีชเชื่อมไหมคะ มิ้งค์ไปตามหามาหลายซุปเปอร์เลยนะคะกว่าจะได้ คุณย่าชอบมิ้งค์จำได้”
“วันนี้ย่าไม่ชอบ!”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ลันตาเห็นท่าไม่ดี
“แต่...” มิ้งค์มองลันตาว่าจะเอาไงดี
“มิ้งค์อุตส่าห์ซื้อมานะคะคุณย่า” มิ้งค์คิดแล้วตะโกน “อ้วนจ๋า อ้วน!”
อ้วน คนรับใช้วิ่งออกมา ลันตาคว้าถุงมาจากมือมิ้งค์
“เอาขนมไปเทให้คุณย่า เร็วเข้า” ลันตาสั่ง
ย่ามาลัยพยายามจะปรามให้หยุด “นี่!”
“ไปทานขนมก่อนนะคะคุณย่า ลันขอไปอาบน้ำก่อน มีงานต้องรีบเคลียร์ ฝากด้วยนะมิ้งค์”
“ได้ค่ะพี่ลัน...” มิ้งค์รับคำ
ลันตาอาศัยช่วงชุลมุนรีบเนียนชิ่งขึ้นห้องไปทันที
“ยัยลัน...เดี๋ยว” มาลัยตวัดสายตามาหามิ้งค์อย่างจะเอาเรื่อง “คิดทำตัวเป็นนกต่อหลอกล่อย่าช่วยยัยลันใช่ไหม”
มิ้งค์สะดุ้งแล้วหาทางชิ่งทันที “โอ๊ะ...มิ้งค์ต้องคุยงานกับพี่ลันนี่นา มิ้งค์ไปก่อนนะคะ” มิ้งค์เข้ากอดมาลัยอย่างรวดเร็วหนึ่งทีแล้วรีบไป
“เจ้ามิ้งค์ เดี๋ยว...”
มิ้งค์ไม่ฟังรีบวิ่งจู๊ดตามลันตาขึ้นห้องไปทันที
มาลัยมองตามอย่างหน่ายๆ “เด็กพวกนี้มันน่าตีจริงๆ”
ลันตาทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อย ๆ มิ้งค์ลงมานั่งกอดหมอนอยู่ข้างๆ
“พอวางสายพี่ปุ๊บ มิ้งค์ไปวิ่งหาของ แล้วก็กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเลย...รีบแทบตาย”มิ้งค์บอก
“ขอบใจนะ ถ้าย่าสอบสวนพี่หนัก ๆ พี่กลัวหลุดปากเรื่องที่ออฟฟิศ”
“คุณอนุชิตเห็นดูดี ไม่คิดว่าจะเลวขนาดนี้ พี่..เสียใจมากไหม”
“ยังไม่มีเวลาได้เสียใจเลย ดันมีเรื่องซะก่อน”
ลันตากดเปิดมือถือ มิ้งค์มองว่าเรื่องอะไร แต่เสียงมือถือของลันตาดัง ลันตาเห็นว่าสิปาดันโทรมาก็รีบกดรับ
“ว่าไงสิปา”
เสียงสิปาดันดังลั่น “ช่วยด้วยย!”
สิปาดันโวยวายลั่นห้อง
“แกกลับมาเดี๋ยวนี้นะไอ้ลัน เด็กมันร้องไม่หยุดเลย”
“เด็กร้องแกก็ปลอบสิวะ ฉันเข้าบ้านมาแล้ว ถ้าออกไปคุณย่าจับได้ ชีวิตฉันวิบัติแน่” ลันตาว่า
“มันไม่ใช่แค่ร้องน่ะสิ” สิปาดันบอก
“แล้วมันทำไม”
สิปาดันมองเด็กแล้วเอามือบีบจมูก
“มันอึอึ๊เต็มเลยแก กลิ่นหึ่งไปทั้งห้องเลย แกกลับมาจัดการเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“อะไรของแก อึอึ๊” ลันตางง
“โธ่เว้ย ขี้น่ะขี้ แตกกระจายเต็มแพมเพิร์สเลย”
“แกก็เก็บอึทิ้ง ล้างก้นให้เขาเซ่”
“ตลกล่ะ ให้สุดหล่ออย่างฉันล้างตูดเด็ก แกเลือกเอาว่าแกจะรักษาชีวิตแกหรือชีวิตเด็ก ถ้าช้าฉันเอาเด็กไปโรงพักแน่ ไปมันทั้งอึติดตูดอย่างนี้ล่ะ”
ลันตารู้สึกกดดัน “เออ ๆ ๆ จะไปเดี๋ยวนี้” ลันตาวางสาย
“มีอะไรเหรอพี่” มิ้งค์ถาม
“พี่ต้องออกไปเดี๋ยวนี้”
“ไปยังไงล่ะพี่ ย่าพี่ล็อคบ้านแล้วมั้งป่านนี้”
“ยังไงก็ต้องไป มิ้งค์ต้องช่วยพี่”
“เรื่องสำคัญอะไรที่ทำให้พี่กล้าเสี่ยงกับคุณย่าเนี่ย”
“ขึ้นรถแล้วจะเล่าให้ฟัง”
มิ้งค์มองลันตาอึ้งๆ ที่เห็นลันตาจะเอาจริง
ลันตากับมิ้งค์ปีนออกมาทางระเบียง ทั้งสองหย่อนตัวลงมาตามแง่งขอบที่ช่วยให้ปีนลงไปถึงพื้น ขณะที่ทั้งคู่จะกระโดด เสียงหน้าต่างห้องย่ามาลัยก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเพลงไทยเดิมที่ดังออกมา ลันตากับมิ้งค์ต้องพยายามทำตัวลีบติดผนังสุดชีวิต
มิ้งค์แทบจะทรงตัวไม่อยู่เพราะค้างในท่ากายกรรม ทั้งคู่มีสีหน้าทรมานโดยต้องช่วยกันจับแทบตาย
ลันตาเกร็งเพราะกลัวตก เธอพยายามพูดเสียงเบาที่สุด “นิ่งไว้ นิ่ง!”
มาลัยมองซ้ายมองขวาจนลันตากับมิ้งค์แทบจะหมดแรงแล้วมาลัยก็ปิดหน้าต่าง สองสาวหล่นตุ้บลงมาที่พื้น แล้วยืนมองจนมาลัยปิดไฟในห้อง มิ้งค์จะไปขึ้นรถแต่ลันตาดึงไว้โบกมือว่าไม่ได้ ทั้งคู่ปีนออกจากประตูรั้วบ้านแล้วรีบวิ่งไปทันที
ตาหนูร้องไห้ สิปาดันปวดหัว
“โอ้ย..เลิกร้องสักทีได้ไหม”
เสียงกริ่งในห้องดัง
“ไอ้ลัน!”
สิปาดันรีบวิ่งไปเปิดประตูแต่คนที่ยืนอยู่คือพอล
พอลผงะกับกลิ่น “อื้อหือ...นี่ส้วมแตกหรือไงเนี่ย ช่วยทำให้เด็กหยุดร้องทีสิคุณ ผมนอนไม่หลับ”
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ร้องไม่หยุดเลย” สิปาดันว่า
พอลเดินเข้าไปมองเด็กที่นอนอยู่แล้วก็ได้กลิ่นเต็มๆ
“กลิ่นกระหน่ำขนาดนี้ ผมว่าคงร้องเพราะเปื้อนอึ เอาไปล้างสิคุณ เผื่อจะเงียบ”
“ล้าง?...”
สิปาดันมองเด็กเครียด ๆ แล้วก็คิดก่อนจะหันมาทางพอลอย่างตัดสินใจ
“ผมต้องมีผู้ช่วย”
พอลหน้าเหวอคิดในใจว่าเราเหรอ สิปาดันพยักหน้า
พอลอุ้มตาหนู สิปาดันกลั้นใจแกะแพมเพิร์สทิ้งใส่ถังขยะด้วยสีหน้าสยองสุด ๆ ก้นของตาหนูยังมีอึติดอยู่
“เอาไงต่อคุณ” พอลถาม
“อุ้มไว้นิ่งๆ” สิปาดันบอก
สิปาดันหยิบที่ฉีดก้นขึ้นมาเป็นอาวุธ พอลมองท่าสิปาดันแล้วก็เดาออกว่าจะทำอะไรต่อ “เอ่อ...”
ทันใดนั้นสิปาดันก็ฉีดน้ำที่ก้นเด็ก น้ำจากทีฉีดพุ่งเข้าก้นเด็กแล้วกระเด็นมาที่พอลแบบเต็ม ๆ เศษชิ้นส่วนที่ยังติดก้นอยู่พุ่งเข้าตัวพอลเต็มๆ
“เดี๋ยว!...หยุดก่อน!” พอลห้าม
สิปาดันหยุดมือมองพอล
“ทำไม...”
“เปลี่ยนกันดีกว่า คุณอุ้ม ผมฉีด” พอลบอก
สิปาดันมองสภาพพอลที่เสื้อเปียกมีชิ้นส่วนติดตามตัวเล็กน้อยแล้วก็หน้าเสียเพราะรู้ชะตากรรม
มิ้งค์ที่อยู่ในลิฟท์กับลันตาถึงกับอึ้ง
“พี่เก็บเด็กมาเลี้ยงจริงๆ เหรอ”
“ก็โหมดแม่พระมันทำงาน เห็นแล้วสงสาร” ลันตาบอก
“เลี้ยงเด็กมันไม่ง่ายนะพี่ เพื่อนพี่ไม่ตายแล้วเหรอเนี่ย”
“เพื่อนพี่มันไม่อดทน เด็กตัวเล็กๆ คนเดียวจะทำให้เราแย่สักแค่...”
ทันทีที่ลิฟท์เปิดออก ทั้งสองก็เห็นเพื่อนบ้านหลายคนกำลังยืนรุมอยู่หน้าห้องสิปาดัน สิปาดันที่ตัวเปียกกำลังยืนก้มขอโทษเป็นพัลวัน ลันตารีบออกจากลิฟท์
“ปล่อยให้เด็กร้องเป็นชั่วโมงได้ยังไง ดูแลเด็กยังไงหะ!”
“ร้องนานขนาดนี้ไม่ช็อคไปแล้วหรือไง”
“ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ”
เพื่อนบ้านมองอย่างไม่พอใจจึงต่อว่ากันเป็นแถว
“สิปา...”
“แม่เด็กมาแล้วครับเดี๋ยวผมจะจัดการให้เรียบร้อยครับ” สิปาดันบอก
เพื่อนบ้านหันมาเล่นงานลันตา “นี่คุณเป็นแม่ประสาอะไรทิ้งให้ลูกร้องไห้ตั้งเป็นชั่วโมงแบบนี้ แย่มาก”
“เอ่อ..ขอโทษจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้นะคะ ขอโทษค่ะ ขอโทษ”
เพื่อนบ้านแยกย้ายกันไป
“เพราะแกเลยไอ้ลัน เพราะแก...” สิปาดันมองมิ้งค์ “แล้วนี่พาใครมาอีก ไม่รับดูแลแล้วนะเว้ย”
“นี่มิ้งค์ รุ่นน้องที่ออฟฟิศ แล้วตาหนูล่ะ”
พอลที่ตัวก็เปียกไม่ต่างจากสิปาดันอุ้มตาหนูที่ยังโยเยออกมา
“อยู่นี่ครับ”
มิ้งค์เห็นพอลก็มองอย่างคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออก ลันตารับตาหนูมาอุ้ม พอมาถึงมือลันตาก็สงบลง
“ไม่เห็นจะยาก” ลันตามองสิปาดัน “ไม่มีฝีมือเลยแก ขอบคุณนะคะคุณพอล”
“ครับ...”
พอลมองมาทางมิ้งค์ ทันทีที่ทั้งคู่เห็นหน้ากันชัดๆ ต่างคนต่างตกใจ
“คุณ!”
สิปาดันกับลันตามองทั้งคู่โดยคิดในใจเหมือนกันว่า อ้าว! รู้จักกันด้วยเหรอนี่
พอลกับมิ้งค์ต่างนั่งกันอยู่คนละมุม ทั้งสองมองกันอย่างหยั่งเชิง เสียงประตูเปิดดังปัง! ดังมาจากห้องนอนสิปาดันพร้อมกับลันตาที่เดินอุ้มเด็กออกมา
“ไม่ ไม่ ไม่! ฉันไม่มีวันพาเด็กไปแจ้งความเด็ดขาด” ลันตาว่า
“งั้นแกก็ฟังให้ชัด ๆ ว่า ฉันจะไม่เลี้ยงเด็กคนนี้ไว้แน่นอน!” สิปาดันบอก
ลันตาเปลี่ยนเป็นอ้อนวอน “สิปา...”
“ครั้งนี้ฉันจะไม่ช่วยแก”
ลันตาเครียด “ฉันทำไม่ลง”
ลันตากอดเด็กนิ่งด้วยความสงสาร สิปาดันมองอย่างตัดสินใจ
“ถ้าแกทำไม่ลง ฉันทำเอง!” สิปาดันบอก
ลันตายังไม่ทันตั้งตัว สิปาดันเอาตัวเด็กมาอุ้มไว้เอง
“แกจะเอาเขาไปไหน” ลันตาถาม
สิปาดันไม่ตอบ เขาอุ้มเด็กแล้ววิ่งออกไปทันที
ลันตาตกใจเรียกไว้ “สิปา!” แล้วรีบวิ่งตามออกไป
พอลกับมิ้งค์ต้องรีบตามไปด้วย
สิปาดันอุ้มตาหนูออกมาแล้วรีบไปที่รถ สิปาดันสตาร์ทรถ ลันตาวิ่งออกมา
“สิปา! ไอ้สิปา!”
สิปาดันออกรถแล้ววิ่งออกไป ลันตาวิ่งตามแต่ก็ไม่ทัน พอลกับมิ้งค์วิ่งออกมา
มิ้งค์เรียก “พี่ลัน!”
“แท็กซี่...ต้องเรียกแท็กซี่” ลันตาบอก
ลันตาจะวิ่งไป แต่พอลเข้าไปดึงไว้
“ไปรถผมดีกว่าครับ” พอลว่า
พอลกดเปิดรถ ลันตารีบวิ่งไปขึ้นรถ มิ้งค์ละล้าละลังแต่ก็ตัดสินใจวิ่งตามขึ้นรถพอลไปอีกคน พอลออกรถไปทันที
พอลขับรถแล่นไปบนถนน ลันตานั่งที่นั่งข้างคนขับ ส่วนมิ้งค์นั่งอยู่ด้านหลัง
มิ้งค์โผล่หน้ามาตรงกลาง “รถพี่สิปาหายไปแล้ว”
“คุณลันจะให้ผมขับไปไหนล่ะครับ” พอลถาม
ลันตาคิด “โรงพัก สิปาต้องไปโรงพัก”
“แล้วมันไปทางไหนล่ะครับ”
“โรงพักแถวนี้” คิด “...ตรงไปเลยค่ะ”
พอลขับรถตามที่ลันตาบอก
รถพอลแล่นมาโดยกำลังจะเลี้ยวเข้าโรงพัก รถของสิปาดันแล่นออกมาจากปากซอยแล้วเลี้ยววิ่งกลับไปทางคอนโด
“รถสิปา! มันกลับไปแล้ว...ตาหนู! คุณพอล เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ” ลันตาบอก
พอลเลี้ยวเข้าซอยตามที่ลันตาบอก
พอลขับรถเข้ามาจอดหน้าโรงพัก ลันตาลงจากรถแล้ววิ่งขึ้นไปบนโรงพักทันที มิ้งค์กับพอลรีบวิ่งตามขึ้นไป
ลันตาพุ่งเข้ามาหาร้อยเวร พอลกับมิ้งค์รีบวิ่งตามมา
“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้มีคนพาเด็กมาแจ้งความว่าเจอเด็กถูกทิ้งใช่ไหมคะ”
“อ๋อ...มีครับ...” ร้อยเวรบอก
“เขาเป็นลูกดิฉันเองค่ะ ฉันมาขอรับลูกคืนน่ะค่ะ” ลันตาว่า
ร้อยเวรมองอึ้งๆ “คุณเป็นแม่เด็กเหรอครับ”
“ค่ะ...”
ร้อยเวรมองลันตาแบบพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้ามาก
“ผมว่าไม่น่าใช่นะ” ร้อยเวรบอก
“พี่เขาเป็นแม่เด็กแน่นอนค่ะ คุณตำรวจคืนหลานให้พวกเรานะคะ”
ลันตาร้อนรน “ฉันเป็นแม่เด็กแน่นอนค่ะ ช่วยคืนลูกให้ฉันนะคะ” ลันตาจะบีบน้ำตาอีก “นะคะ”
“เอ่อ...ขอบัตรประชาชนด้วยครับ”
ลันตารีบส่งบัตรประชาชนให้ ร้อยเวรดูบัตรประชาชนโดยเช็คว่าตรงกับลันตา
“รอสักครู่นะครับ”
ร้อยเวรเดินเข้าไปด้านใน ลันตานั่งรอ
“ไอ้คนใจร้ายใจดำ ถ้าตาหนูเป็นอะไร พี่จะตัดเพื่อนกับมันเลย”
“ใจเย็นๆ นะครับคุณลัน คุณสิปาเพิ่งไป เด็กคงยังอยู่ที่นี่” พอลปลอบ
ร้อยเวรกลับเข้ามา ลันตาหันหลังให้อยู่
“มาแล้วครับ”
ลันตาดีใจ “ตาหนู!”
ลันตาหันกลับมาเห็นร้อยเวรจูงเด็กพม่าตัวดำอายุไม่เกินสิบขวบเดินมาด้วย ลันตามองหา
“ไหนล่ะคะลูกฉัน” ลันตาถาม
“ก็นี่ไงครับ”
ลันตามองเด็กพม่าที่ยิ้มจนเห็นฟันดำ
ลันตา มิ้งค์ และพอลตกใจ “เฮ้ย!”
“ไม่ใช่ค่ะ ลูกฉันยังเล็ก ยังเป็นทารกอยู่เลย ไม่โตขนาดนี้”
“ก็เด็กที่มีคนเอามาแจ้งความมีแค่คนนี้คนเดียวครับ ไม่มีเด็กอื่นแล้ว”
ลันตาตกใจมาก “ไม่มี! เป็นไปไม่ได้ ลูกฉันต้องอยู่ที่นี่”
“คุณตำรวจจำผิดหรือเปล่าคะ” มิ้งค์ถาม
“เอ่อ...เด็กที่ว่ายังเป็นทารกอยู่เลย ผู้ชาย ตัวขาว ตาโต” พอลบอก
“ไม่มีนะครับ”
ลันตาสติจะแตก ร้องครวญคร่ำ
“ตาหนู...ตาหนู! อยู่ไหนลูก”
อ่านต่อหน้า 4
รักต้องอุ้ม ตอนที่ 1 (ต่อ)
ลันตาจะเดินเข้าไปด้านใน แต่ถูกร้อยเวรขวางไว้
“คุณครับ ไม่มีเด็กอื่นอีกแล้ว” ร้อยเวรบอก
“เป็นไปไม่ได้ ก็เพื่อนฉันเอามาทิ้งไว้” ลันตาเถียง
ร้อยเวรสะดุดหู “ทิ้ง? นี่คุณทิ้งลูกเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ” ลันตานึกได้ “เอ๊ย! เปล่า แต่มีเด็กที่นี่จริงๆ นะคะ”
“ไม่มีนะครับ”
“มีจริงๆ ฉันจำได้” ลันตาย้ำ
นายตำรวจอีกคนท่าทางเป็นหัวหน้า เดินออกมา “มีอะไรกัน”
“ผู้หญิงคนนี้มาตามหาลูกครับ...บอกว่าไม่มีก็โวยวาย”
นายตำรวจมองลันตาอย่างพินิจ “เมายาหรือเปล่า ถ้าอาละวาดก็จับไปสงบสติในห้องขัง”
มิ้งค์ พอล และลันตาได้ยินก็หูผึ่งทันที
“พี่ลัน...” มิ้งค์เรียก
จู่ๆ ลันตาก็ตัวสั่นอย่างแรง จนมิ้งค์ตกใจ ลันตาหยิบมือถือออกมา ทำเป็นกดรับสาย
“ฮัลโหล ว่าไงพ่อมัน อะไรนะ! เจอตาหนูแล้ว โถ..ลูกแม่รอแป๊บนะพ่อ แม่จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”
ลันตาตีบทแตกกระจุยคุยโทรศัพท์แล้ววิ่งออกไปเนียนๆ โดยไม่สนใจตำรวจเลย มิ้งค์เหวอ
“รีบไปดูหลานเถอะไป” พอลคว้ามือมิ้งค์แล้วรีบจ้ำออกไป
ร้อยเวรกับตำรวจมองตามงง ๆ ลันตาวิ่งลงมาจากโรงพักก่อนจะยืนหอบเหนื่อย พอลกับมิ้งค์วิ่งตามลงมา
“เกือบนอนคุกซะแล้ว...” ลันตาว่า
“คุณสิปาเอาเด็กไปไว้ที่ไหน”
“หรือเอาไปทิ้งที่อื่นแล้ว พี่ลัน...”
ลันตาคิด “สิปา!”
เสียงกริ่งดังลั่น สิปาดันตกใจแล้วก็รีบมาเปิดประตูก็เห็นลันตา พอล และมิ้งค์ยืนอยู่ที่หน้าห้อง
“ลัน แกไป...”
สิปาดันจะถามว่าไปไหนมา แต่พูดยังไม่ทันจบ ลันตาก็ต่อยผัวะเข้าเต็มข้างแก้ม สิปาดันถึงกับหงายเงิบ พอลกับมิ้งค์ตกใจ
“แกเอาตาหนูไปทิ้งไว้ไหน”
“ฉันไม่ได้ทิ้ง”
“แล้วเขาหายไปไหน ที่โรงพักไม่มี ฉันดูจนรอบโรงพักก็ไม่เห็นตาหนู”
ลันตาโถมเข้าบีบคอสิปาดัน
“เอาตาหนูของฉันคืนมานะสิปา เอาคืนมา” ลันตาว่า
สิปาดันโดนลันตาบีบคอจนหายใจไม่ออก
“บอกมาว่าตาหนูอยู่ไหน” ลันตาถามแต่ยังบีบคอไม่ปล่อย “บอกมาเซ่!”
พอลกับมิ้งค์พยายามเข้าไปแยกอย่างยากลำบาก
“ใจเย็นๆ ครับคุณลัน ถ้าคุณสิปาตายก็ไม่รู้ว่าเด็กอยู่ไหนนะครับ”
ลันตาชะงักก่อนจะยอมปล่อยมือจากคอสิปาดัน สิปาดันพยายามสูดลมหายใจเพื่อเรียกสติ
“ตาหนูอยู่ที่ไหน!” ลันตาถาม
สิปาดันเอามือปิดปากลันตาทันที
“อื้อ ๆ ๆ” ลันตาจะถามว่าปิดปากฉันทำไม
สิปาดันล็อคคอลากตัวลันตาไป
“อื้อ ๆ ๆ ...” ลันตาจะถามว่าทำอะไรของแก จะลากฉันไปไหน!
พอลกับมิ้งค์งงแต่ก็รีบตามไป
สิปาดันพาตัวลันตาเข้ามาในห้องนอน
“พี่จะทำอะไรพี่ลัน!” มิ้งค์ถลาตามเข้ามาในห้องแล้วชะงัก “ปล่อยพี่ลัน...”
“เงียบแล้วดูซะ” สิปาดันบอก
สิปาดันจับลันตาให้มองไปที่เตียง ลันตา พอล และมิ้งค์ชะงัก ลันตาเห็นตาหนูนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง เธอนิ่งไป สิปาดันค่อยๆ ปล่อยมือจากลันตา
“ตาหนู.....”
ลันตาจะโผเข้าไปหาเด็ก แต่สิปาดันดึงคอเสื้อไว้แล้วลากลันตากับมิ้งค์ออกมาจากห้อง ลันตาจะพูด
สิปาดันชิงพูดก่อน “ถ้าแกเสียงดัง ฉันจะโยนแกออกนอกห้อง”
ลันตาปิดปากตัวเองแล้วลดเสียงลง
“ไหนแกบอกว่าเอาไปแจ้งความไง ทำไมตาหนูถึงกลับมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
สิปาดันทำสีหน้าลำบากใจ “ฉัน...”
“ใจอ่อน...” พอลว่า
“ฉันแค่รอบคอบ คิดว่าเอาไปไว้สถานรับเลี้ยงคงดีกว่า ก็เลยเอากลับมา”
ลันตาปล่อยสิปาดันแล้วกลับไปในห้องแล้วก็นั่งข้างเตียงมอง ลันตาจับมือตาหนูที่หลับพริ้มด้วยรอยยิ้ม สิปาดันยืนมองพลางถอนใจอย่างเซ็งๆ ในความใจอ่อนของตัวเอง แล้วก็หันไปมองพอลกับมิ้งค์
“แล้วอยู่กันทำไมเนี่ย...กลับไปได้แล้ว” สิปาดันไล่
พอลกับมิ้งค์มองหน้ากันแบบเออ เราเป็นส่วนเกินนี่นา
“เอ่อ...พี่ลัน...งั้น..มิ้งค์กลับก่อนนะคะ”
“มันดึกแล้ว ให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรพี่ มิ้งค์กลับได้”
“กลับดีๆ นะ”
“ค่ะ” มิ้งค์พูดกับสิปาดัน “สวัสดีค่ะ”
มิ้งค์รีบเดินออกไป พอลมองตามแล้วตัดสินใจ
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
“ขอบคุณนะคะคุณพอล”
“ด้วยความยินดีครับ”
พอลรีบเดินตามมิ้งค์ออกไป
มิ้งค์ยืนอยู่ที่หน้าลิฟท์รอให้ลิฟท์ขึ้นมา พอลก้าวเข้ามายืนข้างมิ้งค์ มิ้งค์หันมองเห็นว่าเป็นพอลก็แปลกใจ พอลมองแล้วยิ้มกวนประสาท มิ้งค์มองงงๆ ว่าอะไรของมันวะ พอลิฟท์เปิดมิ้งค์ก้าวเข้าไปในลิฟท์ทันที พอลก้าวตาม
มิ้งค์จะเดินออกไปที่หน้าคอนโด พอลที่เดินตามมาคว้ามือมิ้งค์ไว้ มิ้งค์ตกใจก่อนจะหันไปมองเห็นเป็นพอลที่คว้าเธอไว้แล้วพยายามจะดึงมือออก
“อะไรของคุณเนี่ย” มิ้งค์ถาม
“รถผมจอดอยู่โน่น...” พอลบอก
“แล้วมาบอกฉันทำไม ปล่อย...”
พอลจับแน่นขึ้น “ผมจะไปส่ง...”
มิ้งค์ชะงักมองหน้าพอลแล้วก็รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของพอล
“ฉันกลับเองได้” มิ้งค์บอก
“คุณเป็นผู้หญิง” พอลว่า
“ฉันเป็นพวกของแปลก ไม่เป็นไรหรอกน่า ปล่อย...”
พอลจับแน่นดึงรั้งเข้ามาใกล้มอง “พวกชอบของแปลกก็มีเยอะ อย่าอวดเก่งน่ะ มานี่...”
พอลลากมิ้งค์ให้ไปที่รถแล้วเปิดประตูข้างคนขับ
“ขึ้นรถ”
มิ้งค์นิ่ง พอลดันมิ้งค์ให้ขึ้นรถ มิ้งค์งง
“ฉันขับรถไม่เป็น” มิ้งค์ว่า
“ขึ้นไป แล้วขยับไปฝั่งโน้น” พอลกันมิ้งค์จะมีจังหวะเปิดประตูหนี
พอลดันจนมิ้งค์ต้องข้ามไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ มิ้งค์จะเปิดล็อคประตูแต่พอลคว้ามือไว้อีกมือหนึ่งก็สตาร์ทรถแล้วขับออกไปด้วยความเร็วทันทีทำให้มิ้งค์ต้องปิดประตูด้วยความตกใจ
มิ้งค์หัวเสียมาก
“นี่!...”
“หน้าที่ของคุณคือบอกทาง”
มิ้งค์เงียบ “ถ้าไม่บอก ผมก็จะขับอยู่อย่างนี้ทั้งคืน”
พอลมองมิ้งค์แบบจะวัดใจกันไหม
“ไปรามอินทรา”
พอลยิ้มมุมปากประมาณว่าก็แค่เนี้ย มิ้งค์แอบมองอย่างเคือง
อนุชิตอาละวาดอย่างหัวเสีย เขาเห็นข้าวของเกลื่อนกลาดไปหมด รัชนีเดินเข้ามา
“ทำไมมันเละเทะแบบนี้ แล้วนี่อรขจีไปไหน”
“พาลูกหนีกลับบ้านไปแล้ว ทำไมเรื่องมันเป็นแบบนี้ คุณอาช่วยผมนะครับ เรื่องลันตา”
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วแกยังจะบ้าผู้หญิงอีกเหรอ ดีเท่าไหร่แล้วที่คุณสุวิภาไม่ไล่แกออก”
ธัญญาเรศก้าวเข้ามาอยู่ที่หน้าห้องชะงักที่ได้ยินเสียงอนุชิต
“แต่ผมรักลันตา ผมอยากอยู่กับเขา” อนุชิต
“รักเหรอ...คนอย่างแกรู้จักความรักด้วยเหรอเจ้านุ แกสร้างปัญหาให้อาต้องไปเคลียร์กับผู้หญิงตั้งกี่คนแล้ว”
“แต่กับลันตา ผมรักเขาจริง ๆ เขาไม่เหมือนใคร ลันตาเป็นคนน่ารัก มีเหตุผล เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ผมอยากจะหยุดอยู่กับเขา”
“คนมีเหตุผลของแก เขาเกลียดแกไปแล้ว”
“ผมจะทำทุกทางเพื่อให้ได้เขากลับคืนมา”
“แล้วอรขจีล่ะ” รัชนีถาม
“ชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยความสงสารมันไม่ยั่งยืนหรอกครับอา ผมตอบแทนบุญคุณอาด้วยการแต่งงานกับอรขจีเพราะผมไม่เคยมีความรัก แต่วันนี้ผมรักลันตา และจะไม่ยอมเสียเธอไปแน่ อาต้องช่วยผมนะครับ ผมจะคุยให้ลันกลับมาทำงาน ให้มาเป็นบรรณาธิการบริหารอย่างที่เราตั้งใจไว้” อนุชิตว่า
ธัญญาเรศกำมือแน่นแล้วเดินกลับไป
เสียงมิ้งค์ดังขึ้น “จอดตรงนี้ค่ะ”
พอลจอดรถหน้าทาวน์โฮม มิ้งค์เหลือบมองเหมือนเสียไม่ได้
“ขอบคุณ”
มิ้งค์ก้าวลงจากรถแต่พอลไม่ออกรถ
“ขอบคุณ...ค่ะ” มิ้งค์งงว่าอยู่ทำไมไปได้แล้ว
“เข้าบ้านก่อนแล้วผมจะไป” พอล
มิ้งค์มองพอลว่าอะไรของมันเนี่ย แต่เธอก็ไม่ต่อความ มิ้งค์เปิดประตูเดินเข้าบ้านไป เธอปิดประตูมองไปที่พอล พอลขับรถออกไปหน้านิ่งๆ มิ้งค์มองตามแบบไม่เข้าใจว่าอะไรของเขาเนี่ย
ลันตากับสิปาดันต่างฟุบอยู่ข้างเตียง เสียงตาหนูร้องดังขึ้นมา ลันตารีบเข้ามาอุ้มแล้วโอ๋
“โอ๋..โอ๋...” ลันตาจับที่ก้นตาหนู “แฉะเลยแก สิปา เอาผ้าอ้อมมาให้ที”
สิปาดันรีบวิ่งไปรื้อผ้าอ้อมจากถุงด้วยความรีบร้อนจึงทำเละเทะมาก สิปาดันส่งผ้าอ้อมให้ลันตา ลันตาถอดผ้าอ้อมแล้วเอากระดาษเช็ดก้นให้แห้งแล้วจึงใส่ผ้าอ้อมผิด ๆ ถูก ๆ โดยใส่กลับด้านจึงต้องแก้ใหม่ ทั้งสองคนวุ่นวายกันมาก
เวลาผ่านไป ผ้าอ้อมถูกใส่เรียบร้อย แต่ตาหนูก็ยังร้อง
“ทำไมไม่หยุดร้องล่ะ”
ลันตาพยายามโอ๋แต่เด็กก็ยังร้อง
“หรือว่าหิวนม เอ้า..แกอุ้ม”
ลันตาส่งเด็กให้กับสิปาดัน สิปาดันรับมาแล้วพยายามโอ๋เต็มที่ ลันตาจัดการชงนม สิปาดันอุ้มเด็กพาเดินไปรอบๆ โดยพยายามกล่อมเต็มที่ เข็มนาฬิกาหมุนไปเรื่อย ๆ ลันตากับสิปาดันพยายามช่วยกันเลี้ยงเด็ก เข็มนาฬิกาบอกเวลาตีสี่ ตาหนูนอนอยู่บนเตียง ลันตากับสิปาดันนั่งข้างกันอยู่ที่ข้างเตียงโดยมองตาหนูด้วยท่าทางเพลียและเหนื่อย โทรมสุดขีด
ตาหนูขยับตัว ทั้งลันตากับสิปาดันผวาแทบจะพุ่งเข้าไปด้วยความระแวง พอเห็นตาหนูนอนนิ่งทั้งสองก็จ้องกันอยู่สักพักจนแน่ใจว่าตาหนูหลับสนิทจึงทิ้งตัวลงนั่งพิงกันอย่างโล่งใจปนหมดแรง
ลันตาถามด้วยเสียงระโหยโรยแรงมาก “กี่โมงแล้ว สิปา”
“ตีสี่...”
“แกมีบินหรือเปล่า” ลันตาถาม
“มี...”
“งั้นแกนอน ฉันเฝ้าตาหนูเอง”
ลันตาขยับขึ้นมาจะหันไปคุยแต่ภาพที่เห็นคือสิปาดันทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดสภาพ
“อ้าว...ไม่ฟังกันเลย”
ลันตาหันกลับมานั่งมองตาหนูในสภาพตาปรือง่วงมากแต่ก็พยายามจะฝืน
ในที่สุดเธอก็ฟิวส์ขาดทิ้งตัวลงนอนข้างสิปาดันอย่างหมดสภาพตามไปอีกคน
อ่านต่อตอนต่อไป / 17.00 น.
แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในห้องนอนสิปาดัน เสียงนาฬิกาปลุกดังจากมือถือของเขา สิปาดันขยับตัวลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าลันตานอนหลับซุกอยู่ข้างตัว สิปาดันลืมตามองแล้วนิ่งไปโดยพยายามเรียกสติจากอาการง่วงนอน ความรู้สึกลึก ๆ ที่ซ่อนไว้ตีขึ้นมาแวบหนึ่ง
ลันตาขยับตัว สิปาดันขยับพลิกตัวไปอีกด้านทันที ลันตาลืมตามองเห็นว่าสว่างแล้วก็บิดขี้เกียจแบบเต็มที่ เธอมองไปรอบๆ ก็เห็นสิปาดันที่ยังนอนอยู่ ลันตายกเท้าดันที่ขาสิปาดัน
“สิปา...สิปา!”
สิปาดันหันมาบิดขี้เกียจใส่ ปัดออกด้วยความรำคาญ “อือ…”
“สิปา...ตื่น...สิปา”
“อีกห้านาทีน่า”
ตาหนูร้อง ลันตาจำต้องลุกพรวดขึ้นมาแล้วเข้าอุ้มตาหนู
“ไม่เปียก...” ลันตาโล่งอก
ลันตาหันมาเตะร่างสิปาดันเพื่อปลุกให้ตื่น
“สิปา! ลุกเดี๋ยวนี้แก ลุก!” ลันตาเตะทิ้งท้ายสุดแรง
“โอ้ย!” สิปาดันเด้งตัวขึ้นมาพอเห็นเป็นลันตาก็โวยวาย “ไอ้ลัน เตะฉันทำไมวะ”
“แกลุกขึ้นมาช่วยดูตาหนูหน่อย ฉันจะไปชงนม”
สิปาดันลุกขึ้นมาอย่างเซ็งๆ แล้วเดินมารับตาหนูไปอุ้ม
เวลาผ่านไป ตาหนูนอนดูดนมจากขวด ลันตานั่งมองด้วยความเอ็นดู ในขณะที่สิปาดันทำหน้าเซ็งมาก
สิปาดันเอามือมาจับหน้าผากแล้วดันให้เงยขึ้นมา “ไอ้ลัน...ฉันว่าเอาเด็กไปสถานสงเคราะห์ดีกว่า”
“ไม่ เราจะเลี้ยงเขาเอง”
“เรา?”
“ตามนั้นล่ะ”
“ไม่มีทาง...ฉันไม่ยอม”
ลันตาสวนทันที “ฉันจะเป็นแม่ของตาหนู ส่วนแกเป็นพ่อ”
สิปาดันทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกในขณะที่ลันตายิ้มว่าต้องเป็นตามนั้น
แพททำหน้าอึ้งๆ เมื่อได้ฟัง
“มันบ้าไปแล้ว...แล้วตอนนี้เด็กอยู่ไหน” แพทถาม
แพทกับมิ้งค์กำลังยืนเข้าแถวซื้อโจ๊กอยู่ ที่ร้านติดป้ายโจ๊กเข้าคิวซึ่งขายดีมาก มีคนต่อแถวกันเต็ม
“ไปรับคืนมาแล้วค่ะ เมื่อเช้ามิ้งค์โทร.หายังอยู่ที่คอนโดพี่สิปาค่ะ”
กีรติที่เพิ่งกลับมาจากทำงานเก็บข้อมูลที่ฮ่องกงเข้ามาต่อแถวต่อจากแพท
ลูกค้าคิวก่อนหน้าแพทรับถุงโจ๊กแล้วจ่ายเงิน ลูกค้าเดินออกไป แพทยังหันหลังให้ร้านโจ๊กคุยกับมิ้งค์
พ่อค้าโจ๊กพูด “คิวต่อไป”
แพทเสียงดังขึ้นมา “ไอ้บ้าลัน! หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ” แพทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
พ่อค้ากับแม่ค้ามองแพทกับมิ้งค์ กีรติมองแพทที่สนใจกับการโทรศัพท์ไม่สนใจคนอื่นที่กำลังเริ่มมองอย่างไม่พอใจ กีรติหน้าตึงแล้วเดินแซงแพทกับมิ้งค์แซงคิวไปสั่งโจ๊ก
“โจ๊กหมูสองไข่ ถุงนึงครับ” กีรติสั่ง
แพทหันขวับมาเหวี่ยงทันที “นี่..ร้านนี้ชื่อโจ๊กเข้าคิวนะคุณ แซงคิวแบบนี้ไม่มีมารยาท”
“แล้วยืนเม้าท์กั๊กคิว ไม่เกรงใจชาวบ้านอย่างคุณ เรียกว่ามีมารยาทไหม” กีรติว่า
แพทอึ้งแต่เห็นคนมองก็เลยไม่ยอมแพ้ “ก็บอกกันสิคุณ ไม่ใช่แซงคิว!”
“เรื่องของสามัญสำนึกต้องมีบทเรียนบ้าง จะได้ไม่ทำอีก...”
แพทมองทุกคนที่มองมาอย่างประณามว่าแกแหล่ะผิด แพทฉุกคิด กีรติมองแบบจะเถียงอะไรก็เถียงมา
แพทตัดสินใจพูดเสียงดังฟังชัด “ฉันขอโทษค่ะ”
กีรติอึ้งไปนิดไม่คาดว่าแพทจะยอม
“ขอโทษทุกคนนะคะที่ทำให้เสียเวลา” กับพ่อค้า “ข้ามคิวฉันทำโจ๊กให้คุณคนนี้เลยค่ะ ฉันผิดเอง...”
“เฮ้ย พี่แพท ทำไมยอมง่ายแบบนี้ล่ะ” มิ้งค์บอก
“ก็เราผิดก็ยอมรับผิด” แพทพูดกับกีรติ “ขอโทษอีกครั้งนะคะ ไปเถอะมิ้งค์”
“อ้าว...ไม่กินโจ๊กแล้วเหรอ ไหนว่าอร่อยมากไงพี่ เดี๋ยว!”
แพทไม่ตอบลากมิ้งค์ออกไปเลย กีรติมองตามแพทอย่างสนใจในความแปลก
ลันตามองตาหนูที่นอนดูดนมเงียบ ๆ อย่างเอ็นดู สิปาดันเดินออกมาจากห้องนอน แต่งเครื่องแบบครึ่งท่อน เสื้อขาว สวมแจ็คเก็ตทับ
“ไอ้ลัน...แกมาอยู่คอนโดฉันทั้งคืน ย่าแกรู้หรือเปล่าเนี่ย”
ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ดัง ลันตากับสิปาดันสะดุ้ง
ลันตามองที่มือถือ “ไอ้สิปา...แกทักทำไมวะ”
“รับสิ...เดี๋ยวเด็กก็ตื่นหรอก”
ลันตาสูดลมหายใจเพื่อเรียกกำลังใจ แล้วตัดสินใจกดรับ
“ค่ะคุณย่า”
ย่ามาลัย พูดสายกับหลานสีหน้าเอาเรื่องมาก
“ยัยลัน! เมื่อคืนแกไม่ได้นอนที่บ้านใช่ไหม แกไปไหน”
ลันตากลัวมาก “ลันนอนน่ะย่า”
“โกหก!”
ที่แท้เวลานี้ย่ามาลัยยืนอยู่ในห้องนอนลันตา
“บนเตียงไม่มีรอยยับสักนิด มุมที่ย่าพับไว้ก็ยังเป็นเหลี่ยมเก้าสิบองศาเหมือนเดิม แกโกหกย่า”
ตอนที่ฟังย่ามาลัยพูด ภาพเตียงบริเวณมุมที่ย่าพับไว้จับผิดแวบแทรกขึ้นมาในความคิด ลันตาหน้าเสียที่เจอย่าวางหมากไว้
“เปล่านะย่า เมื่อคืนลันทำงานแล้วเผลอหลับไปที่พื้น เช้านี้ลันมีงานด่วน งานยุ่งมากเลยค่ะย่า”
“ถ้าแกไม่ได้โกหกก็เปิดแอ็ปตามตัวให้ย่าเห็นเดี๋ยวนี้”
ลันตาหันมองสิปาดันขอความช่วยเหลือ สิปาดันรู้หน้าที่รีบเอาถุงพลาสติกมาช่วยขยำใกล้หน้าลันตาเต็มที่
ลันตาคิดหาทางเอาตัวรอดเต็มที่ “อะไรนะคะ ลันไม่ได้ยินเลย ย่าได้ยินลันไหมคะ ฮัลโหลๆ” ลันตากดวางสายไปทันที
ลันตาจัดการกดปิดเครื่องก่อนจะมองสิปาดันด้วยอาการเหนื่อยกับการใช้พลังคุยกับย่ามาลัย ย่ามาลัยโกรธมาก
“ยัยลัน...คิดว่าจะหนีย่าพ้นเหรอ”
ย่ามาลัยมองประมาณว่างานนี้ต้องจับตัวมาให้ได้
ลันตาทิ้งตัวอย่างเหนื่อยอ่อน
“เคลียร์กับย่า เหนื่อยยิ่งกว่าทำงานเป็นร้อยเท่า”
สิปาดันชงโกโก้มายื่นให้ลันตา ส่วนตัวเองก็มีกาแฟอยู่ในมือ
“โกโก้ของแก” สิปาดันบอก
“ขอบใจ” ลันตามองสิปาดัน “แกไปทำงานไหวใช่ไหม”
“ไหว”
“วันนี้ไปบินไหนล่ะ”
“อืม...มีบินพวงเชียงใหม่บ่ายนี้”
“กี่ตุ้บล่ะ”
“สามตุ้บ เชียงใหม่ ย่างกุ้ง กรุงเทพฯ”
“งั้นมืด ๆ ก็กลับมาแล้วใช่มะ อย่าไปแรดไหนนะ กลับมาช่วยกันดูแลลูก”
สิปาดันสำลักแล้วพ่นใส่ลันตา
ลันตากระโดดหนี “อี๋ สกปรก”
“ไอ้เด็กนี่ไม่ใช่ลูกฉัน! แกอย่าเอาไปพูดให้คนอื่นเข้าใจฉันผิด ๆ นะ” สิปาดันว่า
“เออ ๆ ๆ แกรีบกลับมาก็แล้วกัน วันนี้ฉันต้องกลับบ้าน”
“แล้วแกไม่ไปทำงานหรือไง”
ลันตาสะอึกไปชั่วขณะ แล้วพูดแบบไม่มองหน้า “ฉันลาออกแล้ว..”
“แกเนี่ยนะ ลาออก” สิปาดันจิ้มหน้าผาลันตา “แกโม้ว่าปีนี้จะเป็นบรรณาธิการให้ได้ไม่ใช่เหรอ ลาออกก็นับหนึ่งเริ่มใหม่น่ะสิ บ้าหรือเปล่า ลาออกทำไม”
“ก็ไม่ได้อยากออก”
สิปาดันมองเห็นอาการอึ้งๆ ของลันตา สิปาดันมองอย่างจับสังเกต
“มีอะไรหรือเปล่า”
“....ไม่มี” ลันตาหันหน้าหนี
สิปาดันใช้มือจับหัวลันตาให้หันมาก่อนจะพูด
“ลัน...แกทำงานเป็นบ้าเป็นหลังตลอดสองปีมานี่เพราะอยากเป็นบ.ก.ไม่ใช่เหรอ ใครทำอะไรแก...บอกฉัน”
สิปาดันยังจับหัวลันตาแล้วสายตาประสานกับลันตาก่อนจะพยายามจะปลอบให้พูดออกมา ลันตารู้สึกว่าที่พยายามทำตัวเข้มแข็งมันกำลังพังทลาย ในที่สุดลันตาก็น้ำตาร่วง
สิปาดันตกใจ “ลัน”
ลันตาอัดอั้นถึงขีดสุด ร้องไห้โฮอย่างคนหมดแรงจะควบคุมตัวเอง สิปาดันต้องกอดปลอบโยนด้วยความตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสาวมั่นเพื่อนเขาคนนี้
อ่านต่อตอนที่ 2