xs
xsm
sm
md
lg

สุสานคนเป็น ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุสานคนเป็น ตอนที่ 9

ฉลองกับลั่นทมเดินมาถึงหน้าสุสาน ฉลองมองเห็นข้างหน้าเป็นป่า

“ไหนละจ๊ะบ้านน้องสาว”
“อยู่ข้างหน้านั่นไง” ลั่นทมบอก
ฉลองเพ่งมองอีกทีแล้วก็ผงะเมื่อเห็นเป็นสุสาน
“เฮ้ยมาอยู่ที่นี่ได้ไงวะ”
ลั่นทมหัวเราะออกมาอย่างน่ากลัว ฉลองหันมาถาม “นี่แกเป็นใคร แกเป็นสายตำรวจใช่มั้ย”
“ฉันชื่อลั่นทม เป็นเจ้าของบ้านนี่แล้วตอนนี้ฉันก็อยู่ในสุสานที่แกคิดจะทำไม่ดีกับหลานฉันเมื่อเช้า”
ฉลองผงะที่เห็นลั่นทมเปลี่ยนรูปร่างเป็นผีน่ากลัว
“เฮ้ย..ผะ..ผี”
ฉลองหันหลังแล้ววิ่งไป ลั่นทมจ้องฉลองเขม็งก่อนจะตวาด
“หยุด..” ลั่นทมตวาด ฉลองชะงักเหมือนโดนสะกด “ฉันจะไม่ฆ่าแกเพราะฉันไม่อยากทำบาป แต่แกต้องไปที่สุสาน..ไป”
ฉลองพยายามฝืน แต่ร่างกายของเขากลับขยับตามที่ลั่นทมบอกโดยการเดินเข้าไปในสุสาน ลั่นทมมองตามอย่างพอใจ


ฉลองถลาเข้ามาแล้วเหมือนถูกจิกผมจนถลาไปที่โลงศพ ฉลองจะหันกลับแต่ก็ทำไม่ได้ ฝาโลงเปิดออก ฉลองผงะมองเห็นศพลั่นทมนอนสงบนิ่งร่างกายเน่าเปื่อยมีน้ำเหลือง น้ำหนองไหลนอง ฉลองเกร็งเขม็งแบบครึ่งรู้สึกตัวครึ่งโดนบังคับ
“ไม่ ไม่เข้าไป..เฮ้ย ฉันกลัวอย่า... ไม่”
ฉลองก้าวเข้าไปนอนในโลงแล้วฝาโลงก็ปิดเอง ฉลองนอนแข็งทื่อ เขารู้สึกตัวแต่เคลื่อนไหวไม่ได้ ฉลองค่อยๆ หันหน้ามาทางศพลั่นทม ศพลั่นทมนอนสงบนิ่งเน่าเปื่อยดูน่าเกลียดน่ากลัว ฉลองแผดร้องลั่นแต่ไม่สามารถขยับตัวได้
“โว้ย..ศพ..ช่วยด้วย..ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยทีฉันกลัวโว้ยโอ๊ย”
ศพลั่นทมนอนปกติ เสียงลั่นทมดังขึ้น “ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ฆ่าแกหรอก ฆ่าแกมันบาป ฉันไม่อยากทำบาป”
ศพลั่นทมที่นอนเน่าเฟะอยู่ข้างๆ หันมาแสยะยิ้มให้ฉลอง ฉลองตาเหลือก


เช้าวันใหม่ อุษาเดินเข้ามาเห็นก็ชะงัก ชีพกับพวกนั่งกินอาหารเช้าอย่างมีความสุข รสสุคนธ์ถามเยาะๆ “ไงจ๊ะแฟนเธอจับตัวนายฉลองได้หรือยัง”
“ยัง”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องถึงกับจับมันเข้าคุก” ชีพว่า
“เรื่องแค่นี้เหรอคะ น้าชีพพูดออกได้ยังไง หรือว่าน้าชีพรู้เห็นเป็นใจกับนายฉลอง”
“เอ๊ะเธอนี่ชอบหาเรื่องให้น้าอยู่เรื่อยเลยนะน้าแค่กลัวเธอจะเป็นขี้ปากคนอื่น”
“ช่างเถอะค่ะถึงจับไม่ได้แต่ษาเชื่อว่านายฉลองจะหนีเวรกรรมที่ทำไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
อุษาจะเดินออกไป ชีพเรียกไว้ “ เดี๋ยว น้าขอเบิกเงินของโรงงานหน่อย น้าจะพาลูกค้าไปดินเนอร์แล้วจะเลยถือโอกาสฮันนีมูนกับรสด้วย”
“ษาทำเบิกให้ได้เฉพาะงบดินเนอร์ แต่เรื่องฮันนีมูนเป็นเรื่องส่วนตัวน้าชีพคงต้องใช้เงินของตัวเอง”
“ก็แล้วน้ามีเงินของตัวเองเมื่อไรเล่า อะไรๆก็ใช้ไม่ได้ต้องรอต้องรออะไรๆก็ต้องหกเดือน แล้วก่อนหกเดือนนี่น้าไม่ตายก่อนเหรอ”
“ษาไม่จำเป็นต้องรับรู้เรื่องพวกนี้นี่คะ ษาขอตัวไปทำงานก่อน”
อุษาเดินออกไป รสสุคนธ์โมโหจึงขว้างผ้าเช็ดหน้าลงบนโต๊ะอย่างแรงแล้วเดินตามออกไป


อุษาเดินออกมา รสสุคนธ์เดินตามมากระชากแขนไว้แล้วถามห้วนๆ
“เธอจะทำตัวเป็นไอ้เข้ขวางสมบัติอีกนานมั้ยอุษา”
“ฉันไม่เคยเป็นไอ้เข้เลยไม่เข้าใจที่เธอพูด แต่เธอสงสัยจะเป็นลูกหลานไอ้เข้ล่ะมั้ง”
รสสุคนธ์นิ่งคิดแล้วตาโต “ว้ายนี่แกด่าฉันเป็นตัวเงินตัวทองเหรอ”
“ฉลาดเหมือนกันนี่”
รสสุคนธ์ถลาจะตบอุษา อุษาตวาดอย่างเอาจริง
“ลองดูสิ ฉันเอาคืนเธอสองเท่าแน่รสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ชะงักที่ชีพเดินเข้ามาหน้าเครียด
ชีพพยายามพูดดี “ลั่นทมตายไปแล้ว น้าก็ควรจะมีสิทธิ์บ้างถึงไม่ทั้งหมดก็ไม่เป็นไร แต่ทำอย่างนี้มันเกินไปมั้ย”
“เสียใจจริงๆค่ะน้าชีพ ษาทำตามคำสั่งคุณน้าลั่นทม”
ชีพโกรธจัดจึงกำหมัดกัดฟัน
“ฉันพยายามพูดดีๆแล้วนะก็รู้ว่ามันแกล้งกันชัดๆเธอก็รวมหัวกันด้วย ไม่ใช่เธอกตัญญูหรอกอุษาเธอก็หวังสมบัติ”
“ใช่ เอะอะอะไรอ้างพินัยกรรม ระวังจะเจอดี” รสสุคนธ์ว่า
อุษาจ้องตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าเจอดีจะขอบใจมาก เพราะที่เจอน่ะมันเลว” อุษาจ้องรสสุคนธ์กับชีพ “เลวจริงๆ”


หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจกำลังจัดแจงทำความสะอาดอยู่ที่โต๊ะอาหาร ชีพเดินตาขวางกลับเข้ามา นฤมลรีบถาม
“ตกลงมันยอมมั้ยคะ”
ชีพตวาดลั่น ทุกคนตกใจแล้วหันมา
“ไม่ยอม มันไม่ยอม มันโกงฉัน อะไรก็หกเดือนอะไรก็พินัยกรรมอะไรก็ทำตามคำสั่งคุณน้า เจ็บใจจริงๆนังลั่นทม”
ชีพเดินงุ่นง่านแล้วพุ่งออกจากห้องไปด้วยความโกรธมาก รสสุคนธ์ตะโกนถาม
“จะไปไหนคะชีพ”
“จะไปสาปแช่งนังลั่นทมไม่ให้วิญญาณมันไปผุดไปเกิด”
หวานตกใจ “คุณผู้ชายคะ บาปกรรม”
ชีพเดินออกไปแล้ว หวานหันมาบอกรสสุคนธ์ “นังรสแกไปห้ามสิ”
“ฉันไปแน่”
“เออดี”
“ฉันจะไปช่วยคุณชีพสาปแช่งมันอีกคนเอาให้ตกนรกหมกไหม้ไปเลย”

หวานตะลึง รสสุคนธ์หันไปชวนนฤมลกับเรวัต “ไปช่วยกันหน่อยเถอะค่ะพี่มล พี่วัตหลายๆแรงมันจะได้ไม่มีโอกาสเกิดเลย”
รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตเดินออกไป “โธ่ คุณผู้หญิง”
“น่าสงสารจังตายแล้วยังไม่สงบ”
หวานตัดสินใจเดินออกไป “เป็นไงเป็นกัน”
ฉ่ำเดินเข้ามา “เดี๋ยว แม่หวานจะไปไหนกัน”
หวานน้ำตาปริ่ม
“สุสาน คุณผู้ชายจะไปทำอะไรศพคุณผู้หญิงไม่รู้”
“ไปช่วยกันเถอะนายฉ่ำ” สวาทบอก
“ฉันไปด้วย” จิ้มลิ้มเสนอตัว
“เดี๋ยวนายฉ่ำไปบอกคุณอุษาดีกว่า ให้คุณอุษาบอกตำรวจ”
หวาน สวาท และจิ้มลิ้มเห็นด้วยจึงร้องเออพร้อมกัน ฉ่ำพยักหน้า


ชีพพรวดพราดเข้ามาในสุสานด้วยความโกรธ
“มึงแกล้งกู นังลั่นทม กูบ้าขึ้นมาแล้ว”
รสสุคนธ์ เรวัต และนฤมลเดินตามมา รสสุคนธ์มองอย่างสะใจ
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจเข้ามาด้วยท่าทางกลัวๆ
“คุณผู้ชายจะทำอะไรคะ อิฉันขอร้อง อย่ารบกวนศพคุณผู้หญิงเลย”
ชีพตวาด “หุบปาก”
ชีพเดินไปที่โลงศพ แล้วพูดเสียงดังด้วยความโกรธ ทุกคนปิดปากปิดจมูกทันทีเมื่อฝาโลงเปิดออก แต่ชีพไม่สนใจ เขาชะโงกหน้าเข้าไปในโลงศพแล้วตะโกน
“นังผีบ้า ฉันขอสาปแช่งแก” ชีพผงะ “เฮ้ย..”
ฉลองทะลึ่งพรวดขึ้นมาในสภาพหน้าตาเนื้อตัวเปื้อนเลือดเปื้อนหนองจากศพลั่นทม เขากระโจนออกจากโลง หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ เรวัต และนฤมลแตกฮือส่งเสียงเอะอะด้วยความตกใจ ในขณะที่คนอื่นตะลึง ฉลองโวยวายแบบคนเสียสติ
“ช่วยด้วย ผี ผี..กลัว..กลัวอย่าโอ๊ย”

ธารินทร์ที่ขับรถอยู่หันมามองอุษาพูดโทรศัพท์
“จ้ะลุงฉ่ำษาจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้”
อุษากดตัดการติดต่อด้วยสีหน้าไม่ดี ธารินทร์รีบถาม
“ที่บ้านมีอะไรครับ”
“น้าชีพค่ะคงโกรธษาเรื่องขอเบิกเงินจะไปฮันนีมูนษาไม่ให้เลยไปพาลกับศพคุณน้า เห็นลุงฉ่ำว่ายกพวกไปที่สุสาน รีบกลับบ้านก่อนนะคะรินทร์”
ธารินทร์พยักหน้าแล้วรีบขับกลับบ้านลั่นทม


ฉลองวิ่งวนอยู่ในสุสานด้วยอาการหวาดกลัว บางทีก็ไปแอบซุกอยู่มุมหนึ่งยกมือไหว้พึมพำ ฉลอง เอาแต่พร่ำพูดว่า “กลัวแล้ว..กลัว..กลัว” ทุกคนมองอึ้งๆ ฉลองหันมาเห็นชีพก็ดีใจแล้ววิ่งเข้ามาหา
“ช่วยด้วย ช่วยทีผี..ผี..กลัว”
ชีพถอยหนีด้วยความรังเกียจ
“ไป..ออกไป เหม็นไอ้บ้า”
ฉลองวิ่งวนเข้าหาคนนู้นทีคนนี้ที ทุกคนถอยหนีและปิดปากปิดจมูกกันอุตลุต ธารินทร์ อุษา และฉ่ำก้าวเข้ามา ทั้งสามคนชะงักกับกลิ่นที่เหม็นตลบไปทั่วสุสาน ธารินทร์กับอุษาร้องพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง
“ไอ้ฉลอง”
“นายฉลอง”
ฉลองวิ่งไปแอบด้วยท่าทางเสียสติ “ผี..ผีหลอก..ช่วยด้วย”
ธารินทร์เดินตรงไปที่ฉลอง ฉลองมองธารินทร์
“ช่วยด้วย มันจะฆ่าผม”
“ใครจะฆ่านายบอกมาสิ”
ฉลองหันหน้าไปอีกทางแต่ชี้ไปที่โลงด้วยความหวาดกลัว
“ผี..ผีผู้หญิง..มันอยู่นั่น..มันอยู่ในโลง”
ทุกคนสะดุ้งแล้วมองไปที่โลงเป็นตาเดียว ธารินทร์หันมาพูดกับอุษา
“ท่าทางจะตกใจกลัวมากจนคุมตัวเองไม่ได้ แบบนี้จะถามอะไรก็คงไม่รู้เรื่อง”
“ผมมีวิธีครับหมวด”
ฉ่ำมองฉลองด้วยความหมั่นไส้

ฉ่ำ สมพร และวิเวกใช้สายยางช่วยกันระดมฉีดน้ำไปที่ร่างของฉลอง ฉลองล้มลุกคลุกคลานแล้วปิดหน้าแบบกลัวทั้งน้ำทั้งผีอย่างตัวสั่นงันงก
“เป็นไงไอ้หลอง ได้สติหรือยัง”
“โอ๊ยพอแล้ว..พอ..พอ”
พวกฉ่ำยังฉีดน้ำไม่เลิก
“ฉีดเข้าไปมันจะได้มีสติแล้วก็จะได้สะอาดด้วย ข้าเหม็นจะอ้วกอยู่แล้ว”
ฉลองหันมาหาฉ่ำ “พอแล้ว..ไอ้ฉ่ำ กูหนาว”
ฉ่ำพอใจจึงหันไปบอกธารินทร์ “เห็นมั้ยครับหมวดวิธีผม มันหายบ้าแล้ว”
ธารินทร์พยักหน้าด้วยความพอใจ พวกชีพใจไม่ดี รสสุคนธ์กระซิบบอกชีพ
“มันจะพูดมั้ย”
“ประกบมันไว้ให้ดี”
ชีพกับรสสุคนธ์มองฉลองอย่างไม่ไว้ใจ ฉลองนั่งกอดอกครางฮือๆ

ฉลองที่อยู่ในชุดใหม่แล้วแต่ยังนั่งกอดอกตัวสั่นอยู่กับพื้นห้อง คนอื่นๆ นั่งบ้างยืนบ้างล้อมรอบฉลองอย่างอยากรู้อยากเห็น ชีพ รสสุคนธ์ เรวัต และนฤมลเกาะกลุ่มกันอยู่ทางหนึ่งอย่างไม่ไว้ใจ ฉลองกับธารินทร์เดินเข้าไปตรงหน้าฉลองเริ่มสอบสวน
“ทำไมนายถึงเข้าไปอยู่ในโลงศพ”
ฉลองสั่นแล้วยกมือไหว้ตาขวาง
ฉลองสั่น “ผมกลัวแล้ว..กลัวแล้ว..”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาข้างๆ ธารินทร์แล้วถามตะคอก
“กลัวอะไร..มีใครบังคับให้แกลงไปในนั้น” รสสุคนธ์มองอุษา “ต้องมีคนบังคับแกใช่มั้ย”
ฉลองพยักหน้า “ใช่ ใช่..”
ฉลองพยักหน้าแล้วคลานหนีเข้าไปทางกลุ่มหวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจ ทุกคนแตกฮือพลางปิดปากปิดจมูกเพราะอุปทานกลิ่นศพ
ชีพรีบถามด้วยการตวาด “พูดมาไอ้ฉลอง ใครบังคับแก”
รสสุคนธ์รีบเดินไปกระชากตัวอุษามายืนต่อหน้าฉลอง
“แม่อุษานี่ใช่มั้ย..ใช่มั้ย”
ฉลองจ้องอุษาแล้วส่ายหน้าหวาดกลัว
“ไม่ใช่..ไม่...ลั่นทม..ลั่นทมกลัวแล้วกลัว..ลั่นทม”
ฉลองฟุบหน้าลงกับพื้นแล้วร้องไห้ด้วยอาการหวาดกลัวมาก พวกหวานรวมกลุ่มกันด้วยการหวาดกลัว พวกฉ่ำก็ไม่ต่างกัน นฤมลขยับเข้าเกาะเรวัต รสสุคนธ์เกาะชีพ มีเพียงธารินทร์กับอุษาที่ไม่แสดงอารมณ์
ชีพได้สติก็ตะคอก “ไม่จริง..ผีลั่นทมไม่มี”
“งั้นที่นายฉลองเป็นแบบนี้เพราะอะไร” ธารินทร์ถาม
“มันต้องโดนยา อาจจะเป็นยานอนหลับ” ชีพจ้องธารินทร์กับอุษา “แล้วก็แกล้งเอามันไปไว้ในโลง หมวดนายจับตัวไอ้หลองได้แล้วแต่วางแผนนี้ขึ้นมาเพื่อจะหลอกว่าผีลั่นทมทำใช่มั้ย”
“ผมจะมาเสียเวลาทำแบบนี้ทำไม ถ้าจับมันได้ก็ลากมันไปโรงพักสอบมันให้บอกว่า ใครเป็นตัวบงการให้มันทำร้ายษาไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็เพราะมันสารภาพว่ามันทำเองไม่มีใครบงการ หมวดก็เลยจับมันยัดใส่โลงเพื่อให้ฉัน คุณชีพกลัวคิดว่าผีลั่นทมอาละวาดจะได้ไปจากที่นี่ ทิ้งทุกอย่างให้อุษา ตามแผนใช่มั้ยล่ะ”
อุษามองรสสุคนธ์ด้วยความสังเวช
“ความคิดของเธอแต่ละอย่างมันช่างน่าทุเรศสิ้นดี”
“ช่างเถอะษาใครจะคิดยังไงก็ปล่อยเขา ความจริงยังไงมันก็หนีความจริงไปไม่ได้ ผมจะจัดการเอง”
ธารินทร์ใส่กุญแจมือฉลองแล้วเอาตัวออกไป อุษาหันไปมอง พวกชีพสะใจจึงพูดขึ้นลอยๆ
“ไอ้พวกตัวบงการมันไม่รอดแน่”
อุษาเดินออกไป พวกชีพหน้าเสีย หวานเข้ามาดึงตัวรสสุคนธ์ลากออกไป
รสสุคนธ์สะบัดหน้า “อะไรล่ะน้า”
“มากับข้าเดี๋ยวนี้” หวานบอก


หวานฉุดรสสุคนธ์เข้ามาที่มุมหนึ่งในบ้าน
“น้านี่อะไรกันนักกันหนานะ” รสสุคนธ์ว่า
หวานพูดจริงจัง “นังรส ถ้าแกยังไม่อยากตายไปจากที่นี่ซะข้าเชื่อว่าไอ้หลองมันโดนคุณผู้หญิงเล่นงานจริงๆ”
“เห็นมั้ยน้าก็โดนพวกมันหลอกจนได้ ทุกอย่างนะเป็นฝีมือนังอุษากับหมวดธารินทร์ แผนมันแยบยลกว่าคนโง่อย่างน้าจะตามทัน แต่สำหรับฉันไม่มีทางหลงกลหรอก คิดจะทำให้ฉันกลัวไง บอกเลยว่าไม่มีทาง”
“คนที่โง่ยิ่งกว่าควายนะคือแกนังรส จนขนาดนี้แกยังคิดได้ไงว่าเป็นแผน ไอ้หลองมันโดนซะขนาดนั้น”
“ก็บอกว่ามันโดนยาโดนยา น้านี่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง เลิกมาวุ่นวายสั่งให้ฉันทำโน้นทำนี่ที ตัวน้านะระวังไว้ให้ดีวันไหนไม่อยู่ข้างมัน จะเจอยาสั่ง”
รสสุคนธ์สะบัดไป หวานมองตามด้วยความกลุ้มใจ
“โธ่ นังรส นี่แกมันโลภขนาดไม่กลัวตายเชียวเหรอวะ”


ธารินทร์กับอุษาเดินลงมาจากโรงพักแล้วเดินไปที่รถโดยคุยกันไปด้วย
“นายฉลองเสียสติแบบนี้เราคงไม่ได้ตัวคนบงการแน่”
“มันไม่เสียสติไปตลอดชีวิตหรอก ว่าแต่ษาจะทนอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า ผมว่าพวกเขาต้องมีแผนทำร้ายคุณอีกแน่”
“ษาจะอยู่ค่ะ ษาจะอดทน ยิ่งมีคนคิดร้าย เราก็จะได้ตัวคนทำผิด”
ทั้งสองคนเดินมาถึงรถพอดี ธารินทร์เปิดลิ้นชักหน้ารถหยิบปืนกระบอกหนึ่งออกมาส่งให้อุษา
“เก็บไว้ป้องกันตัว มีทะเบียนเรียบร้อยไม่ต้องห่วง”
“ขอบคุณค่ะรินทร์”
อุษามองปืนในมือด้วยความอุ่นใจ


รสสุคนธ์นั่งครุ่นคิดเพราะไม่ค่อยสบายใจ ชีพเปิดประตูถือแก้วบรั่นดีเดินเซเข้ามาในสภาพตาปรือ
“รสจ๋า รสที่รักรอชีพเหรอ”
รสสุคนธ์มองอย่างรำคาญๆ
“เมาอีกแล้วเหรอชีพ”
ชีพเซไปที่เตียงลงนอนทั้งที่มือถือแก้วเหล้า รสสุคนธ์เข้ามาดึงแก้วออกไป
“ชีพคุณว่าไอ้หลองมันจะบอกตำรวจมั้ยว่าเราบงการ”
ชีพหลับตาพูด “ม่ายหรอก ถึงมันพูด คนบ้าให้การอะไรศาลที่ไหนเขาก็ไม่รับฟัง”
“หรือว่ามันจะโดนนังลั่นทมเล่นงานเข้าจริงๆ”
รสสุคนธ์ตกใจนึกได้จึงรีบเขย่าตัวชีพ ชีพลืมตาพูดงัวเงีย “ชีพคะ หนุ่ยกับโหน่งมันบอกว่าเห็นนังลั่นทมด้วย หรือว่า..”
รสสุคนธ์หน้าเสีย ชีพโบกมือแล้วพูด
“ไม่ต้องกลัว ฉันคิดไว้แล้ว ฉันจะไปหาหมอผี เราต้องหาหมอผีมาปราบมัน เชื่อชีพสิไม่ต้องกลัว”

ชีพพับหลับไปทันที รสสุคนธ์ยังนั่งใจไม่ดี เธอมองรอบๆแล้วรีบล้มตัวลงนอนหลับตา ลั่นทมปรากฏร่างด้านข้างเตียงด้านที่ชีพนอน
“คุณยังไม่สำนึกอีกหรือคะชีพ ฉันพยายามให้อภัยคุณ..ไม่ทำร้ายคุณแต่คุณยังไม่เคยเลิกคิดที่จะทำร้ายฉัน”
ชีพขยับตัวเบาๆ แล้วปรือตาแต่ไม่ลุกขึ้น เขาได้ยินเสียงลั่นทมในโสตประสาท ชีพถามทั้งๆหลับตา
“ใคร รสพูดอะไร”
รสสุคนธ์หันมามอง “อะไรคะชีพ ฉันไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย”
“ฉันเองค่ะ ลั่นทม ฉันมาเตือนคุณหยุดเสียนะชีพไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มีโอกาสอีก”
ชีพโวยวาย “โว้ยคนจะนอน รสเลิกพูดได้แล้วรำคาญ”
รสสุคนธ์มองไปรอบๆ เพราะเริ่มหวาดๆ รสสุคนธ์ดึงผ้าห่มคลุมมิดแล้วรีบหลับ ลั่นทมมองชีพแบบทั้งรักทั้งแค้นก่อนจะถอนหายใจแล้วหายไป


อุษาเดินออกมาหน้าบ้านก็เห็นฉ่ำกวาดใบใม้อยู่
“ลุงฉ่ำจ๊ะช่วยไปตาม สมพรกับวิเวก แล้วไปเจอษาที่สุสานนะ”
ฉ่ำสะดุ้ง “ไปทำไมอีกครับ”
อุษายิ้ม “กลัวเหรอ”
“แต่ก่อนก็ไม่กลัวหรอกครับ แต่พอเห็นไอ้หลองแล้ว”
ฉ่ำทำท่าขนลุกขนพอง อุษาพูดเรียบๆ “ถ้าวิญญาณคุณน้ามีอยู่จริง คุณน้าจะเล่นงานแต่คนชั่วคนดีๆ
อย่างลุงฉ่ำษารับรองว่าคุณน้าไม่ทำหรอกจ้ะ”
ธารินทร์ขับรถเข้ามาจอดแล้วลงมาหาอุษา
“เมื่อคืนนอนหลับมั้ยครับ” ธารินทร์ถาม
“ก็ หลับๆ ตื่นๆ ทำไมมาแต่เช้าคะ”
“จะมาขออนุญาตตรวจที่สุสานหาหลักฐานบางอย่าง”
“ไปสิคะษาก็กำลังจะไปพอดี” อุษาพูดกับฉ่ำ “รีบตามไปนะจ๊ะ”
“ครับ”
ฉ่ำเดินแยกไปตามสมพร วิเวก อุษากับธารินทร์ที่เดินไปทางสุสาน รสสุคนธ์แหวกผ้าม่านแอบมองอยู่ด้วยความสงสัย


อุษากับธารินทร์เดินมาถึงหน้าสุสาน อุษากำลังจะเปิดประตูเข้าไป ธารินทร์แตะแขนไว้
“คะ”
ธารินทร์ดึงอุษามานั่งมุมหนึ่งกุมมือไว้
“ผมคิดมาทั้งคืน”
“คิดอะไรคะ”
“ผมอยากแต่งงานกับคุณให้เร็วที่สุด”
“อะไรกันคะรินทร์”
“ผมเป็นห่วงษา ผมไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น”
ธารินทร์ยกมืออุษาขึ้นมาจูบ เสียงรสหัวเราะก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้ามามองธารินทร์กับอุษาอย่างเยาะๆ “แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าผีลั่นทมไม่มีจริง ถ้ามีคงไม่มีใครกล้ามานั่งพลอดรักกันอย่างนี้หรอกใช่มั้ยคะหมวด อุษา”
“ฉันมารอคนเข้าไปจัดแจงในสุสานให้เรียบร้อย ก่อนที่กลิ่นจะรบกวนคนอื่น” อุษาบอก
รสสุคนธ์หัวเราะหยัน “อ๋อ..มารอคน คนที่ว่าน่ะใครล่ะ”
รสสุคนธ์ชะงักที่เห็นฉ่ำเดินมากับวิเวกและสมพร
“อ๊อ..รสนิยมวิไล..คนขับรถล้วนๆเลยมิน่านายฉลอง”
อุษาลุกพรวดขึ้นมาอย่างโกรธจัด “เธอนี่มันความคิดสกปรกจริงๆ”
“อย่าไปสนใจเลยษา นายฉ่ำมาแล้ว เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
กลุ่มธารินทร์เดินเข้าไปข้างในแล้วยกมือขึ้นปิดจมูก รสสุคนธ์จะเดินตามเข้าไป พอเข้าไปเธอก็ผงะ ถอยร่นออกมาทำท่าจะอาเจียน
“โอ๊ยเหม็นเป็นบ้า”
รสสุคนธ์รีบผละออกจากสุสานเพราะเริ่มทนไม่ไหว


ธารินทร์ อุษา ฉ่ำ วิเวก สมพรทำงานกันอย่างตั้งใจทั้งที่ต้องเอาผ้ามาปิดจมูก เวลาผ่านไปทุกอย่างก็เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านเหมือนเดิม อุษามองโลงศพลั่นทม
“เรียบร้อยแล้วนะคะคุณน้า ษาขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนคุณน้า”
อุษาหันมาพยักหน้ากับทุกคน “ออกไปกันเถอะ”
ทั้งหมดพากันเดินออกไปแล้วปิดประตูอย่างเรียบร้อย ลั่นทมยืนมองอยู่ข้างโลง
“ขอบใจนะษา ที่จริงน้าไม่อยากให้ษาเดือดร้อนเลย แต่ถ้าพวกนั่นไม่เลิกคิดชั่วๆอีก ษาอาจต้องเหนื่อยอีกหลายครั้งนะจ๊ะ”
ลั่นทมแสยะยิ้มอย่างสยดสยอง


ธารินทร์ อุษา สมพร วิเวก และฉ่ำพากันเดินกลับมาถึงหน้าบ้านแล้วสูดอากาศกันยกใหญ่
“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย” ฉ่ำว่า
ธารินทร์พูดกับอุษา “ผมขอตัวกลับก่อนนะ อยากไปอาบน้ำเต็มที”
“ไม่ทานอะไรก่อนหรือคะ”
“ไม่ละครับเสร็จแล้วผมจะเลยไปโรงพยาบาล อยากรู้อาการนายฉลองว่าเป็นไงบ้าง”
“ค่ะแล้วส่งข่าวบ้างนะคะ”
ธารินทร์เดินไปที่รถแล้วขับออกไป อุษาหันมาสั่งฉ่ำ
“ลุงฉ่ำไปบอกให้น้าหวานหาอะไรให้นายวิเวกกับลุงพรกินด้วยนะ”
“ครับ”
ฉ่ำหันกลับมาก็ปะทะกับรสสุคนธ์ที่เดินมาออกคำสั่ง
“ไม่ต้อง ที่นี่ไม่ใช่โรงทานงาน เสร็จแล้วก็กลับไป”
อุษามองรสสุคนธ์อย่างไม่ยอม “แต่ฉันเป็นคนอนุญาต”
“เธอสำคัญตัวผิดหรือเปล่า คนที่เป็นเจ้าของบ้านคือฉัน เธอไม่มีสิทธิ์ให้ใครต่อใครมาทำอะไรต่ออะไรในบ้านนี้ แต่ถ้าเธออยากให้พวกนี้กินข้าวที่นี่ก็ต้องขออนุญาตฉันก่อน”
“คนที่สำคัญผิดน่าจะเป็นเธอมากกว่า ถ้าไม่แน่ใจเธอก็ลองถามคุณน้าไกรดูสิรสสุคนธ์ ฉัน..มีสิทธิ์พาคนมาค้างมีสิทธิ์ทำอะไรทุกอย่าง เว้นแต่เอาบ้านหรือของในบ้านไปขาย..แล้วอีกอย่างลุงพรหรือนายวิเวกก็เป็นคนเก่าของคุณน้า ตอนคุณน้าอยู่พวกเขาก็มากินมาอยู่ที่นี่บ่อยๆ”
“แกไม่ต้องเอานายไกรมาอ้าง”
“แต่เธอนะสิ..ถ้าคุณน้าไกรรู้ว่าเอานายเรวัต กับเมียและลูกๆ มาอยู่โดยไม่บอกก่อน คุณน้าไกรอาจไม่ยอมก็ได้นะ”
รสสุคนธ์อึ้งแล้วก็เดือดดาล อุษาไม่สน เธอหันไปกำชับพวกฉ่ำ
“ทุกคนอาบน้ำและทานข้าวที่นี่นะจ๊ะ เดี๋ยวษาจะไปบอกน้าหวานให้เอง ไม่ต้องสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น”
อุษาเดินผ่านรสสุคนธ์ไป แล้พวกฉ่ำเดินผ่านรสสุคนธ์ที่ละคน โดยที่ทุกคนยิ้มเย้ยรสสุคนธ์
“เดี๋ยวคงต้องไปขอยืมด้ายกับเข็มน้าหวานแกหน่อย” ฉ่ำว่า
“เอามาทำไมวะ” วิเวกถาม
“โธ่ไอ้โง่ก็เอามาเย็บหน้าแหกๆของคนบางคนนะสิโว้ย” ฉ่ำบอก
ทั้งสามคนหัวเราะขำกลิ้ง รสสุคนธ์มองตามอย่างสุดแค้น

อ่านต่อหน้าที่ 2


สุสานคนเป็น ตอนที่ 9 (ต่อ)

รสสุคนธ์หงุดหงิดอยู่กับเรวัตและนฤมล

“มันทำแบบนี้ไม่ไว้หน้าน้องรสเลยนะจ๊ะ” นฤมลว่า
“พี่ว่าเราต้องหาทางกำราบยัยอุษานี่ให้ได้ ไม่งั้นพวกขี้ข้ามันก็จะแข็งข้อกับน้องรส” เรวัติบอก
รสสุคนธ์เดือดดาล “ใช่ฉันต้องกำราบมันให้ได้ ฉันถึงมาปรึกษาพวกพี่ไง” รสสุคนธ์โมโห “คุณชีพก็เอาแต่เมา ไม่รู้เป็นบ้าอะไร ดูสิเที่ยงวันแล้วยังไม่ตื่นเลย”
“เราช่วยกันคิดเองก็ได้นี่น้องรส หรือน้องรสคิดอะไรออกแล้ว”
รสสุคนธ์นิ่งคิดมองไปทางเรวัตแล้วก็ลุกขึ้นพูด
“รสยังคิดไม่ออก ไว้คิดได้แล้วจะบอก”
รสสุคนธ์เดินไป นฤมลหันมาตวาดเรวัต “ออกความคิดดีๆบ้างสิ เขาจะได้เห็นว่าเราช่วยเขาได้ เข้ามาอาศัยเขาอยู่ควรจะทำอะไรให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้อยู่เปล่า เงินทองมันจะได้ไหลผ่านมือมาบ้าง”
“มันจะยากอะไรเล่า” เรวัติว่า
นฤมลดีใจ “คิดออกแล้วเหรอ”
“ให้ฉันลงมือก็หมดเรื่อง รับรองไม่มีทางพลาดอย่างไอ้หลอง”
นฤมลตาโตก่อนจะตบหน้าเรวัตฉาดใหญ่
“ไอ้ทุเรศ คิดได้อยู่เรื่องเดียว ปั๊ดเดี๋ยวอย่าให้รู้นะฉันเอาแกตาย”
นฤมลลุกออกไปแบบฉุนๆ เรวัตจ๋อยและกุมหน้าเซ็งๆ


ชีพหลับสนิทอยู่ในบรรยากาศวังเวง สักพักลั่นทมก็ปรากฏตัวโดยนั่งข้างๆ ชีพและพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเขา
“ชีพ ฉันขอร้อง อย่าร่วมมือกับรสสุคนธ์อีก ฉันไม่ทำร้ายคุณ เลิกยุ่งกับรสสุคนธ์เถอะ เขาไม่ได้รักคุณเขารักแค่สมบัติคุณ กลับตัวกลับใจเสียนะชีพ”
ชีพได้ยินเพียงแว่วๆ ในโสตประสาทก็ส่ายหน้าปฏิเสธเสียงลั่นทม แล้วเขาก็ลืมตาพรวดขึ้นทันที ชีพผงะมาเห็นลั่นทมนั่งอยู่ข้างๆ เขาร้องลั่น
“ลั่นทม..”
ลั่นทมกลายเป็นรสสุคนธ์ที่นั่งมองอย่างไม่พอใจ
“ตื่นมาก็เพ้อถึงเมียเก่าเลยนะ ตกลงคุณรักมันหรือเกลียดมันกันแน่”
รสสุคนธ์ลุกพรวดอย่างไม่พอใจ ชีพได้สติก็กระโดดกอดรสสุคนธ์
“เดี๋ยวรส โธ่ ฉันไม่ได้เพ้อถึงเขา เมื่อกี้ลั่นทมมาพูดกับฉันที่เตียงนี่”
“คุณฝันอีกแล้วละสิ”
“ไม่ได้ฝันฉันได้ยิน มันชัดมากๆ เขาบอกให้ฉันเลิก....”
ชีพรีบหยุดพูด รสสุคนธ์รู้ทัน “มันบอกให้คุณเลิกกับรสใช่มั้ย..ฮึ ตายไปแล้วยังหวงผัวแบบนี้ ระวังเถอะมันจะมาเอาตัวคุณไปอยู่ด้วย”
ชีพตกใจ “เฮ้ยไม่นะ”
“ถ้าคุณไม่อยากไปอยู่ในโลงกับมันก็ต้องรีบหาทางกำจัดมันนะชีพ”
ชีพพยักหน้าท่าทางด้วยเกลียดชังลั่นทมสุดๆ วิญญาณลั่นทมมองชีพอย่างโกรธแค้น
“คุณไม่เคยเชื่อฉันเลย ฉันเตือนคุณแล้วนะชีพ”


ฉลองนอนหลับอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ธารินทร์ที่มองอยู่หันมาถามหมอ
“ตกลงนายฉลองไม่ได้โดนยาอะไรใช่มั้ยครับ”
“ไม่มีแน่นอน ผมว่าเกิดจากการที่ได้รับความตกใจสุดขีด แต่ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ยังมีอาการหวาดๆแล้วก็ค่อนข้างจะตกใจง่าย” หมอบอก
“ต้องใช้เวลาอีกนานมั้ยครับกว่าผมจะสอบปากคำเขาได้”
“คิดว่าสามสี่วันคงพอคุยกันรู้เรื่องครับหมวด”
ธารินทร์มองฉลองอย่างมีความหวัง


ชีพนอนหลับอยู่ที่โซฟาตัวยาว บนโต๊ะมีขวดเหล้ากับแก้วเหล้า รสสุคนธ์กับนฤมลเดินเข้ามา รสสุคนธ์มองอย่างเบื่อๆ
“อะไรเนี่ยกินแต่เหล้าๆ กินแล้วก็หลับอยากจะบ้าตาย”
รสสุคนธ์เดินมากระแทกตัวนั่งมองชีพสุดเซ็ง นฤมลเสนอ
“น้องรสออกไปช้อปปิ้งกันดีมั้ยคะพี่ไปเป็นเพื่อนเอง”
“ก็ดีเหมือนกัน เบื่อหน้าคุณชีพจะแย่”
รสสุคนธ์ลุกขึ้นก็ชะงักเมื่อเห็นอุษาเดินคุยโทรศัพท์มือถือเข้ามาแบบจงใจให้รสุคนธ์ได้ยิน
“แหมดีจังค่ะรินทร์ ถ้านายฉลองหายให้การได้เราจะได้จับตัวคนจ้างวานให้หมด ไม่ว่าใครที่สมรู้ร่วมคิดก็โดนทุกคนใช่มั้ยคะ ดีจังค่ะแผ่นดินจะได้สูงขึ้นอีกหน่อย ค่ะๆแค่นี้ก่อนนะคะ”
อุษาทำท่าจะเดินเลยไป รสสุคนธ์รีบถาม
“ฉลองมันให้การได้แล้วเหรอ”
“ฉันว่าเธอคงได้ยินหมดแล้วมั้ง เห็นตั้งใจฟังจนหูกางออกอย่างนั้น” อุษาว่า
อุษาเดินไป รสสุคนธ์ตะครุบหูตัวเองทั้งสองข้างด้วยความโมโห
“อีบ้า..ทำเป็นอวดดีไปเถอะแก”
“น้องรสไอ้ฉลองมันจะพาดพิงมาถึงพวกเรามั้ยเนี่ย”
นฤมลกระวนกระวาย รสสุคนธ์ไม่ตอบคำถามแต่บ่นพึมพำคนเดียว
“ต้องรีบจัดการแล้ว”


เรวัตเดินเข้ามองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เขาเห็นรสสุคนธ์ยืนหันหลังอยู่ที่มุมหนึ่ง เรวัตรีบวิ่งเข้ากระซิบเรียก
“น้องรสมีอะไรกับพี่เหรอทำไมต้องทำลับๆล่อๆด้วย”
รสสุคนธ์ดึงแขนเรวัตหลบหลังต้นไม้ใหญ่
“พี่คงต้องลงมือเองแล้ว”
“เรื่องอะไรครับ” เรวัติถาม
“นังอุษา..ฉันรู้ว่าพี่พร้อมอยู่แล้วใช่มั้ย”
“พี่นะพร้อม แต่ติดที่มลนะสิหึงบ้าบออะไรก็ไม่รู้พี่แค่อยากช่วยน้องรสแค่นั้นเอง”
“เรื่องพี่มลไม่ต้องห่วง รสรับหน้าเอง..พี่มลไม่กล้ากับรสหรอก”
“ถ้าน้องรสออกหน้าอย่างนี้ พี่จะไม่ทำให้น้องรสผิดหวังเลย” เรวัติบอก
“ดีค่ะ ถ้าสำเร็จนอกจากพี่จะได้สนุกแล้วยังจะได้เงินอีกก้อนพาพี่มลกับเด็กๆไปเที่ยวให้สบายใจเลย”
“ตกลง”
เรวัตมีสายตาโลภวูบหนึ่ง รสสุคนธ์ยิ้มและมีแววตาร้ายกาจ ลั่นทมมองเรวัตกับรสสุคนธ์ด้วยความโกรธแค้น
“พวกแกหาเรื่องใส่ตัวเองนะ”

หวานเดินมาหน้าห้องก็เห็นฉ่ำนอนอยู่มุมหนึ่ง สมพรกับวิเวกรวมกันอยู่อีกมุม หวานพอใจ
“เออดี..ถ้าไอ้หน้าไหนมันแหยมเข้ามาหาคุณอุษาอีกละก็ช่วยกันอัดให้เละเลยนะ”
“ไม่ต้องห่วงแม่หวาน กลับไปนอนเถอะหรือถ้าหนาวจะมานอนข้างๆฉ่ำก็ได้นะที่ตรงนี้ยังว่าง”
ฉ่ำตบที่นอนข้างๆ สมพรกับวิเวกฮาครืน อุษาในชุดนอนเปิดประตูออกมามองยิ้มๆ
“หัวเราะอะไรกันจ๊ะ” อุษาถาม
หวานฟ้อง “ไอ้ฉ่ำมันทะลึ่งกับอิฉันคะคุณษา” หวานพูดกับฉ่ำ “หน้าอย่างแกขาอ่อนข้าก็ไม่ได้เห็น”
พวกฉ่ำฮากันอีก อุษายิ้ม “น้าหวานกลับไปนอนห้องเถอะจ้ะไม่ต้องห่วงษาหรอก ษามีองครักษ์เพียบเลย”
หวานเดินไปแล้ว อุษามองทุกคนยิ้มๆ ก่อนจะเข้าห้องแล้วปิดประตู สมพรเดินไปปิดไฟ ต่างคนต่างหลับทำให้เงียบสนิท


นฤมลหลับสนิท เรวัตนอนหลับอยู่ข้างๆ ค่อยๆลืมตาขึ้น เรวัตแตะตัวนฤมลแล้วกระซิบเบาๆ“มล..มล”
นฤมลหลับสนิท เรวัตยิ้มพอใจก่อนจะค่อยๆลุกจากเตียงแล้วย่องออกไปจากห้อง


เรวัตเปิดประตูออกมา ลมพัดวูบมาอย่างแรง เรวัตชะงักมองซ้ายขวาก่อนจะกอดอกพึมพำ
“ทำไมมันหนาวอย่างนี้..”
วิญญาณลั่นทมยืนมองอยู่มุมหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าถึงร่างเรวัต แต่เรวัตไม่เห็น ลั่นทมจะทำร้ายแต่ก็ชะงัก
เสียงอุษาดังขึ้น “ษาขออุทิศผลกุศลจากการสวดมนต์นี้ให้คุณน้าลั่นทม ขอให้วิญญาณคุณน้าไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่าอาฆาตจองเวรใครอีกเลยนะคะ”
ลั่นทมน้ำตาคลอแล้วปล่อยให้เรวัตเดินไป
“โธ่ษาหลานคอยแต่จะส่งผลบุญให้น้า แต่น้าก็คอยแต่จะสร้างบาปให้ตัวเองอยู่ร่ำไป”
ลั่นทมมองตามเรวัตไปอย่างตัดสินใจไม่ถูก


หน้าห้องอุษามืดสนิท เรวัตค่อยๆย่องเข้ามาโดยไม่เห็นพวกลุงพรที่อยู่ในมุมมืดคนละมุม เรวัตตรงไปยังหน้าห้องนอนอุษา วิญญาณลั่นทมปรากฏขึ้นด้านหลังเรวัตแล้วแสยะยิ้ม ก่อนจะเดินไปสิงฉ่ำ ฉ่ำสะดุ้งขึ้น
แล้วลุกขึ้นนั่งมองมาที่เรวัต เรวัตทำท่าจะเปิดประตู
เรวัติหันกลับมามองรอบๆอีกครั้งแล้วก็ชะงักที่เห็นฉ่ำซึ่งกำลังนั่งอยู่กลายเป็นอุษาที่กำลังยิ้มให้ เรวัตขยี้ตา
“เฮ้ยนั่นมันคุณอุษานี่ ไปนั่งทำอะไรอยู่มืดๆ”
ฉ่ำกวักมือเรียก เรวัตเห็นเป็นอุษาที่กวักมือเรียก เรวัตงง
อุษาเรียกเสียงเยือกเย็น “มาหาฉันไม่ใช่เหรอ มาสิ”
เรวัตตื่นเต้นดีใจมากพึมพำ
“ที่แท้ก็เป็นผู้หญิงร้อนแรงอย่างนี้เอง ดีไม่ต้องเหนื่อย”
เรวัตตรงไปนั่งข้างๆ อุษายิ้มหวานให้
เรวัติถาม “ทำไมมาอยู่ตรงนี้ละครับ”
“ในห้องมันร้อนค่ะ ตรงนี้เย็นสบายดี เรามาเริ่มกันเลยมั้ย”
“ฮ้า..คุณเต็มใจจริงๆเหรอผมไม่ได้ฝันไปนะ”
อุษาตบหน้าเรวัตฉาดใหญ่ เรวัตตกใจ
“อ้าวนี่คุณไม่เต็มใจนี่นา”
“เต็มใจสิ ฉันตบให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไง อีกอย่างฉันชอบรุนแรงคุณไหวมั้ยล่ะ”
เรวัตถึงบางอ้อ “เข้าใจแล้วอย่างนี้นี่เอง งั้นผมไม่ยั้งละนะ”
อุษายิ้มยั่วยวน “เอาเลย”
อุษาตบเรวัตอีกครั้ง เรวัตจิกหัวอุษา อุษาหัวเราะชอบใจ เรวัตได้ใจผลักอุษาลงนอนอย่างแรงแล้วกระโดดคร่อม ลั่นทมออกจากร่างฉ่ำ ฉ่ำเอะอะเพราะตกใจจึงพยายามดิ้น เรวัตคิดว่าอุษาชอบจึงตบฉ่ำอีก ฉ่ำสู้อุตลุดโวยวาย
“เฮ้ยอะไรกันวะใครหน้ามืดปล้ำกูเนี่ย”
สมพรกับวิเวกตกใจตื่น พอดีกับที่หวาน จิ้มลิ้ม ยาใจ และสวาทได้ยินเสียงดังจึงแห่กันมาดู อุษารีบเปิดประตูออกมา หวานกดเปิดไฟแล้วทุกคนก็ตะลึง เรวัตกำลังพยายามปลุกปล้ำฉ่ำ ชีพ รสสุคนธ์ และนฤมลวิ่งเข้ามา
“เอะอะอะไรกันวะเฮ้ย...” ชีพว่า
แล้วชีพก็ตะลึง รสสุคนธ์กับนฤมลทำหน้าไม่ถูก ฉ่ำดิ้นจนถีบเรวัตกระเด็น เรวัตได้สติก็มองฉ่ำงงๆ แล้วร้องเหมือนโดนเชือด
“เฮ้ยตาฉ่ำ”
“ก็ผมนะสิครับ นี่คุณของเข้าเหรอถึงมาไล่ปล้ำพวกเดียวกันแบบนี้ โอ๊ยเดี๋ยวฟ้าผ่าตายห่...”
เรวัตนั่งงงเป็นไก่ตาแตก “เป็นไปได้ยังไง...ก็เมื่อกี้..”
นฤมลโกรธหน้าแดงก่ำก่อนจะพุ่งเข้ามาจิกผมเรวัตอย่างสุดแค้น
“ไอ้บ้าแกทำบ้าอะไร”
เรวัตหันรีหันขวางเพราะอับอายพวกคนในบ้านที่พากันหัวเราะเยาะ เขารีบแก้ตัวละล่ำละลัก
“มน..ฉันละเมอ..สงสัยฉันคงละเมอจริงๆนะจ๊ะ”
“ไม่จริงละมังครับ..ละเมออะไรจะเดินมาถึงนี่”
“นั่นสิคิดจะมาทำอะไร เห็นพวกเราตื่นเลยแกล้งละเมอปล้ำพี่ฉ่ำแก้เก้อหรือเปล่า”
“โอ๊ยกูต้องไปอาบน้ำมนต์ล้างซวยแล้ว”
นฤมลตบหน้าเรวัต “ไอ้ผัวเลว..”
“แจ้งความเถอะคะคุณอุษา”
“น้ามายุ่งอะไรด้วยแม่อุษาอาจจะนัดพี่วัตไว้ก็ได้ คนเวลาอยากใครก็คว้าเอาไว้หมด”
อุษาตบหน้ารสสุคนธ์ฉาดใหญ่ รสสุคนธ์ตาเหลือกแล้วจะตบกลับ อุษาดึงปืนที่เหน็บไว้ออกมา
รสสุคนธ์ถอยและหน้าเสีย
“พวกเธอทำอะไรกันก็รู้อยู่แก่ใจ จำไว้นะคราวนี้ใครคิดร้ายกับฉันอีกฉันจะส่องด้วยไอ้นี่แน่ไม่เชื่อก็ลองดู”
พวกชีพอึ้งแล้วพากันถอยกลับไปแบบฮึดฮัด พวกหวานกับพวกฉ่ำสะใจ วิญญาณลั่นทมยิ้มพึมพำ “แบบนี้คงไม่บาปนะษาเพราะน้าไม่ได้ทำร้ายใคร มันทำตัวมันเอง”

นฤมลคว้าทุกอย่างที่หยิบได้ขว้างใส่เรวัต เรวัตปิดป้องพยายามร้องแก้ตัว
“โธ่มนฉันละเมอจริงๆ”
นฤมลหอบ “ถ้าเชื่อฉันก็ควายนะสิ ไอ้ตัณหากลับกล้าทำทั้งๆที่ฉันนอนอยู่ชายคาเดียวกันเนี่ยนะ”
นฤมลตรงเข้ามาตบตีเรวัต
“เลวๆๆที่สุดกล้าทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
เรวัตทนเจ็บไม่ไหวจึงตะโกน “โธ่เว้ยก็...”
รสสุคนธ์เข้ามาขัดจังหวะได้ทัน “พี่วัต”
เรวัตเงียบแล้วรีบวิ่งเข้าไปหารสสุคนธ์
“ช่วยพี่หน่อยน้องรส มลจะเอาพี่ตายอยู่แล้ว”
“พี่มลใจเย็นๆก่อนนะคะ”
“น้องรสไม่ต้องยุ่งยังไงวันนี้พี่ต้องเอาเลือดหัวมันออกให้ได้”
รสสุคนธ์เข้ามาฉุดแขนนฤมลให้นั่งลง
“ฟังรสก่อนนะพี่มล รสเชื่อนะว่าพี่วัตนะไม่รู้เรื่อง เมื่อกี้พี่ไม่สังเกตเหรอพี่วัตท่าทางงงๆแปลกๆ เหมือนไม่รู้สึกตัว..”
“จริงจ้ะน้องรสพูดถูกพี่ไม่รู้ตัวจริงๆ”
“อย่าพูดโง่ๆ น่า..ไร้สาระ”
“ไม่ไร้สาระนะพี่มล ก็นี่แหละที่รสอยากรู้..มันต้องคิดเล่นงานพวกเรากลับแน่ๆ ถ้าพวกเรามาทะเลาะกันเองก็เข้าแผนมันสิพี่มล จริงมั้ย”
นฤมลลังเลมองหน้าเรวัต เรวัตทำท่าน่าเชื่อถือ
“พี่ไม่รู้ตัวจริงๆมลสาบานได้”
“พี่มลต้องใจเย็น ช่วยรสหาความจริงตอนนี้รสกับคุณชีพกำลังดำเนินการอยู่ พี่มนเฉยไว้..อย่าเพิ่งเอะอะ นะคะพี่ มันต้องใช้ยาอะไรซักอย่างมอมพี่วัตแน่ๆ”
นฤมลฮึดฮัดเพราะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่เพราะเกรงใจรสสุคนธ์จึงจำต้องนิ่ง แต่จ้องเรวัตอย่างเอาเรื่อง


ฉ่ำอาบน้ำเสร็จก็เดินเข้ามาบ่นพึมพำ
“ไอ้บ้าเอ๊ยเกิดมาไม่เคยคิดว่าจะเจอเรื่องวิปริตแบบนี้”
“แสดงว่าตาฉ่ำนะมีเสน่ห์ไม่เบาเลย น่าจะภูมิใจนะ” สมพรบอก
“นั่นสิมาโดนปล้ำเอาตอนแก่ ไม่เสียชาติเกิด”
ทั้งสองคนหัวเราะขำ หวานดุ “พูดเล่นกันอยู่ได้ ข้าว่าไอ้เรวัตมันจงใจเข้าหาคุณอุษามากกว่า” หวานพูดกับอุษา “เชื่ออิฉันเถอะค่ะ แจ้งความไว้ก่อนมันจะได้ไม่กล้า”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะน้าหวาน ษาอยากให้มันกล้า ขอให้มันกล้ามาอีกครั้งเถอะน่า”
สีหน้าท่าทางอุษาไม่กลัวแม้แต่น้อย อุษาลุกขึ้นแล้วพูด “ลุงฉ่ำอาบน้ำเสร็จแล้วพวกเราก็แยกย้ายไปนอนเถอะ”
อุษาเปิดประตูเข้าห้องไป หวานทำสีหน้าหนักใจ ในขณะที่สมพรกับวิเวกยังแซวฉ่ำอย่างสนุกปาก


ชีพฟังเรวัตรายงานแล้วก็นิ่งอึ้ง
“เห็นไอ้ฉ่ำเป็นอุษา” ชีพทวนคำ
“ชัดเต็มตาเลยครับ โธ่ ไม่งั้นใครจะหน้ามืดไปปล้ำมันได้” เรวัติบอก
ชีพหน้าซีดและเกิดอาการหวาดกลัว
“ผีลั่นทมแน่” ชีพรำพึง
เรวัตสะดุ้ง รสสุคนธ์รีบพูด “ไม่จริง ถ้าเรื่องผีเรื่องวิญญาณมีจริง คนที่ตายมิลุกขึ้นมาเดินเพ่นพ่านเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วเหรอ”
ชีพอ้ำอึ้ง “รส..ฉันว่ามันยังไงอยู่นะ ฉันก็โดน ที่คิดว่าตัวเองเมานะ คงไม่ใช่ฉันเจอผีลั่นทมเข้าจริงๆ”
“รสไม่เชื่อต้องเป็นยาหมอผันแน่..คิดกันบ้างสิ ถ้าผีลั่นทมจะเล่นงานต้อง เล่นรสก่อน ทำไมรสไม่เป็นไร ไม่ใช่ผีหรอกเชื่อรสมันกำลังเล่นเกมกับเราเราต้องไม่หลงกลมันสิ”
ชีพกับเรวัตมองหน้ากัน “เอาอย่างนี้นะลองใหม่อีกที คราวนี้ต้องให้สำเร็จนะ”
เรวัตอึกอัก “แต่..พี่”
“รสให้พี่สองเท่าเลย เอ้าเอาไปก่อนครึ่งหนึ่งก็ได้”
รสสุคนธ์หยิบเงินออกมาปึกใหญ่ยัดใส่มือเรวัต เรวัตตาลุกก่อนจะยกเงินขึ้นมาดม
“แหมไม่ได้กลิ่นอย่างนี้มานานมากแล้ว ตกลงเอาก็เอาพี่จะลองใหม่อีกที”
รสสุคนธ์ยิ้มพอใจ เรวัตเดินไปอย่างมีความสุข รสสุคนธ์หันมามองชีพ ชีพยังคิดหนักก่อนจะพึมพำ“เป็นไปได้ยังไงเห็นไอ้ฉ่ำเป็นอุษา...ฝีมือลั่นทม ผีลั่นทมแน่ๆ”


ธารินทร์กับอุษานั่งคุยกัน สีหน้าท่าทางธารินทร์ไม่พอใจมาก
“ษาไปพักอยู่ที่อื่นก่อนดีมั้ย”
“ไม่ค่ะ ษาไม่กลัว” อุษาขยับกระเป๋าถือ “ษามีปืนของคุณไง”
“แต่..ษาอาจจะพลาดได้”
“ษารู้ค่ะว่ารินทร์ห่วงษา แต่อย่าลืมสิคะว่าษาต้องอยู่เพราะอะไรษาต้องรู้ให้ได้ว่าคุณน้าตายเพราะใคร..”
ธารินทร์มองอุษานิ่งอึ้งอย่างเป็นห่วง “งั้นผมจะส่งลูกน้องมือดีๆไปเฝ้า”
“ถ้าทำอย่างนั้นพวกมันก็ไม่ลงมือสิคะ”
“ดูษาไม่กลัวเลยแค่มีปืนษามั่นใจขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ไม่ใช่เพราะปืนหรอกค่ะ แต่ษารู้สึกได้ว่าคุณน้าคอยปกป้องคุ้มครองษา ษาถึงแคล้วคลาดได้ทุกครั้ง คุณน้าคงอยากให้ษาทำสำเร็จ”
ธารินทร์พยักหน้าโอบอุษาเข้ามากอดไว้
“ตามใจษาผมจะรีบหาหลักฐานมามัดตัวคนร้ายให้ได้เร็วที่สุดผมรักษานะครับ”
“ษาก็รักคุณค่ะรินทร์”
ทั้งสองคนนั่งอิงแอบกันอย่างมีความสุข

ชีพนั่งกินเหล้าดับกลุ้มอยู่คนเดียว เขายกขวดจะเทอีก รสสุคนธ์เข้ามาคว้าออกไป ชีพเงยหน้ามองแล้วชี้หน้ารสสุคนธ์ก่อนจะพูดกวนๆ เพราะเมา
“นึกว่าใคร..เอามารสเอาเหล้ามา ฉันจะกินให้มันเมาไปเล๊ย”
“ ไม่ให้ค่ะ..คุณชีพนี่คุณเป็นอะไรวันๆเอาแต่กินเหล้าๆ กินแล้วมันได้อะไรบ้างมั้ย”
ชีพเอื้อมมือมาคว้าขวดไปจนได้แล้วรีบเทเหล้าก่อนจะยกกระดกจนหมดแก้ว
“ฉันต้องกิน กินแล้วมันจะได้เมา เมาแล้วฉันก็จะไม่กลัว”
ชีพมองซ้ายขวาแล้วกระซิบ “รู้มั้ยผีลั่นทมมันเอาจริงแล้ว”
“ไร้สาระรสบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าผีมันไม่มีจริง”
เรวัตเดินผ่านมามอง “คุณชีพติดเหล้าเหรอน้องรส”
“แต่ก่อนก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ รสชักเบื่อๆแล้วนะเนี่ย ไม่ช่วยกันคิดอะไรเลยวันๆเอาแต่กินเหล้า โรงงานก็ไม่ไปโอ๊ย เขาเป็นบ้าอะไรของเขาเนี่ย”
รสสุคนธ์หันมามองเรวัตแล้วกระซิบ
“พี่วัตต้องรีบลงมือได้แล้วนะ ยิ่งเร็วมันก็จะไม่ทันระวังตัว”
“พี่รู้....น้องรสไม่ต้องห่วง”
รสสุคนธ์มองเรวัตอย่างพึงพอใจ เธอหันมามองชีพด้วยความรำคาญจึงเบ้หน้าใส่ก่อนจะเดินไปโดยไม่สนใจชีพอีก เรวัตมีหน้าตาท่าทางตั้งใจที่จะทำชั่วมาก


อุษาถือถาดเครื่องเซ่นมาที่บริเวณหน้าสุสาน เธอเปิดประตูเข้าไป เรวัตด้อมๆมองๆ แล้วจะเดินตาม ฉ่ำ วิเวก และสมพรเข้ามากันประตูไว้อย่างพร้อมเพรียง ในมือของทุกคนมีไม้ขนาดย่อมอยู่
“จะไปไหน” สมพรถาม
“ก็ไหว้ศพน่ะซี..” เรวัติบอก
“ไหว้อะไรตอนนี้” วิเวกถาม
“อ้าว ก็มาอยู่บ้านเค้า ก็อยากจะกราบไหว้ฝากตัวกับเจ้าของบ้านมันแปลกตรงไหน”
“ไม่แปลกแต่เวลานี้ไม่เหมาะ คุณอุษาอยู่ คุณไปก่อน หรือไม่งั้นก็ไปตามเมียคุณมาไหว้ศพด้วย”
“หมายความว่ายังไงวะ จะหาเรื่องกันเหรอ”
“พวกผมไม่ได้หา แต่ถ้าคุณต้องการก็จัดให้”
ทั้งสามคนขยับไม้ในมือไปมาด้วยหน้าตาจริงจัง เรวัตทำฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ


ชีพนั่งเอกเขนกอยู่ในห้องทำงานโดยใช้เท้าพาดโต๊ะหลับมีท่าทางยังไม่สร่างเมา เสียงเคาะประตูดังขึ้น อุษาถือกระดาษเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ชีพลืมตาขึ้นมอง อุษาวางกระดาษลงตรงหน้า
“มีอะไร” ชีพถาม
“แฟ็กซ์จากยุโรปค่ะ..ของที่ส่งไปผิดสเป็คเขาจะไม่ส่งเงินมาให้” อุษาบอก
ชีพโยนกระดาษแฟ็กซ์ไปทางหนึ่งอย่างไม่ยินดียินร้าย
“เรียกสายสมรมาซิ”
อุษาออกไป ครู่หนึ่งเธอก็เดินกลับเข้ามาใหม่พร้อมสายสมรที่มีแฟ้มมาด้วย ชีพพูดห้วนๆ
“ส่งผิดหรือไง”
“ไม่ผิดหรอกค่ะเราทำตามใบสั่งสุดท้ายที่มีมา” สายสมรบอก
สายสมรวางแฟ้มให้ชีพ “นี่ไงคะ”
อุษาพูดกับชีพ “มีคำสั่งอื่นหลังจากนี้หรือเปล่าล่ะคะ”
ชีพหยิบแฟ้มบนโต๊ะโยนให้เนือยๆ “มี” ชีพพูดกับสายสมร “แต่ขี้เกียจบอกคุณเอง”
“แบบนี้โรงงานก็เจ๊งน่ะซีคะ”
ชีพพรวดพราดลุกขึ้น
“แล้วมันโรงงานของคุณเหรอ..” ชีพยักไหล่กวนๆ “ของฉันก็ไม่ใช่อีก มันเป็นของอีนังผีร้ายที่อยู่ในโลงโน่นตะหาก เพราะฉะนั้นถ้าจะเจ๊งก็เรื่องของมัน”
ชีพเดินเซๆออกไป อุษากับสายสมรตะลึง “ต๊าย..นั่นท่านผู้อำนวยการนะคะ พูดออกมาได้ยังไงนี่”
“น้าชีพคิดจะแก้แค้นคุณน้าด้วยวิธีโง่ๆแบบนี้เหรอ บ้าที่สุด”


รสสุคนธ์อยู่ในชุดนอนยืนมองชีพที่เมาหนักนั่งคอตกอยู่ที่ชุดนั่งเล่นในห้องนอน
“อยากกินมากนักก็นอนตรงนี้แหละ เหม็นจะตาย”
รสสุคนธ์เดินไปล้มตัวนอนหลับอย่างไม่แยแส ลั่นทมปรากฏร่างมานั่งข้างๆ ชีพพูดด้วยอย่างอ่อนโยน
“ทมอยากให้ชีพกลับตัว ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้ เชื่อทมนะคะ ทมหวังดีกับคุณจริงๆ”
ชีพขยับตัวเหมือนจะได้ยินแต่ก็ลืมตาไม่ขึ้น ลั่นทมกำลังจะพูดต่อก็ชะงัก ลั่นทมหันมองไปทางห้องอุษา ลั่นทมตาแดงฉานขึ้นมาและมีสีหน้าโกรธก่อนจะหายไป


เรวัตเดินหันซ้ายหันขวามาตามทางไปห้องอุษา เรวัตชะงักที่เห็นฉ่ำเดินมาไกลๆ เรวัตรีบหลบ
“ไอ้แก่นั่นมันจะมาเฝ้าอีกเหรอ โธ่เว้ยเป็นมารจริงๆ”
ฉ่ำกำลังเดินมา ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นมาขวางแต่ฉ่ำไม่เห็น
“ไปนอนเถอะฉ่ำ..ไม่มีใครทำอะไรอุษาได้หรอก”
เสียงลั่นทมดังในโสตประสาทฉ่ำเท่านั้น ฉ่ำได้ยินก็ชะงักแล้วมองเลิ่กลั่ก
“เอ..เหมือนได้ยินอะไรแว่วๆวะ”
“ไปซี ฉันรู้ว่านายฉ่ำง่วง”
ฉ่ำเกิดอาการง่วงขึ้นมาทันที เขาหาวหลายๆครั้งติดๆกัน
“เกิดจะง่วงอะไรขนาดนี้โอ๊ยทำไมเหมือนหนังตามันหนักนักวะ” ฉ่ำฝืน “ยังไงก็ต้องไปเฝ้าคุณอุษา”
ฉ่ำจะเดินต่อ
“บอกให้กลับไปนอน ไปนอน” ลั่นทมว่า
ฉ่ำพยักหน้าพูดคนเดียว “ไปนอน”
ฉ่ำหันกลับเดินไปเหมือนถูกสะกดจิต ลั่นทมพอใจ เรวัตมองอยู่ก็ดีใจ
“อ้าว..ทำไมอยู่ๆมันกลับไปล่ะ แต่ก็ดี..ทางสะดวกแล้วเรา”
เรวัตรีบออกจากเงามืดแล้วตรงไปที่ห้องอุษา


วิญญาณลั่นทมยืนรออยู่หน้าห้องอุษา ครู่เดียวเรวัตก็เดินมา ลั่นทมมองเรวัตแล้วหายเข้าไปในห้องนอนอุษา เรวัตเดินมาถึงประตูห้องอุษาก็หันมองซ้ายมองขวาแล้วก็ตกใจ อุษาในชุดนอนเปิดประตูเดินออกมา เรวัตตกใจจึงคิดหาทางแก้ตัว แต่อุษากลับยิ้มหวานให้แล้วพูดจาปกติด้วยกิริยาอาการเหมือนคนธรรมดา
“มาหาษาหรือคะ”
เรวัตอึกอัก “เอ้อ..คือ”
อุษายิ้มหวานให้แล้วออกเดินนำ เรวัตงง
“เดี๋ยวคุณอุษา..เดี๋ยว”
อุษาเดินไปเรื่อยๆ ไม่หยุด เรวัตตัดสินใจเดินตามไป

อ่านต่อหน้าที่ 3


สุสานคนเป็น ตอนที่ 9 (ต่อ)
อุษาเดินเร็วมาก เรวัตเดินตามแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่ง
“ทำไมเดินเร็วจังวะ” เรวัติตะโกน “คุณษารอผมด้วย”
เรวัตมาหยุดหอบ อุษายืนนิ่งหันหลังอยู่พูดเรื่อยๆ
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
เรวัตมองเห็นสุสานก็ตกใจ
“นี่มันสุสานลั่นทม”
“ค่ะสุสานลั่นทม” อุษาย้ำ
อุษาซึ่งยืนหันหลังให้หันกลับมาก็กลายเป็นลั่นทม ลั่นทมมีหน้าตายิ้มแจ่มใสให้เรวัต เรวัตตกใจผงะ
“เฮ้ย...อะไรเธอไม่ใช่อุษา”
“ก็ไม่ใช่นะสิ”
เรวัตตะลึงจนพูดไม่ออก ลั่นทมพูดเสียงเยือกเย็น
“อุษาหลับอยู่ในห้อง ฉันแกล้งให้คุณเห็นฉันเป็นอุษา”
เรวัตเริ่มเข้าใจหน้าซีดเผือด ลั่นทมแสยะยิ้ม
“ใช่ฉันลั่นทม..ลั่นทมที่นอนอยู่ข้างในสุสานนั่นไง”
เรวัตหูตาเหลือก “ผี...ผีหลอก”
เรวัตถอยหนีแล้วก็ล้มลง เรวัตตะกายจะลุก ลั่นทมจ้องเขม็งแล้วก็เริ่มสะกดจิตเรวัต
“ฉันให้โอกาสแกแล้วแต่แกก็ยังทำอีก ไป เข้าไปในสุสานเดี๋ยวนี้”
เรวัตพยายามขืนตัวไว้แต่เหมือนมีแรงดึงจนต้องลุกเดินตามไป
“ไม่..ฉันไม่อยากอยู่ในโลงเหมือนไอ้ฉลอง ยะ..อย่า”
“แกต้องอยู่” ลั่นทมตวาด “เข้าไป”
เรวัตตัวสั่นรัว ขาก้าวเข้าไปแล้วแต่เขาก็พยายามรั้งตัวเองให้เต็มที่ เรวัตินึกถึงพระจึงยกมือพนม
“คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย”
เรวัตตั้งจิตอธิษฐานเต็มที่ ในที่สุดเรวัตก็สามารถหลุดพ้นจากแรงสะกดของลั่นทม เรวัตร้องสุดเสียงพลางวิ่งออกไปจากที่นั่น
“โอ๊ย..ผีหลอก ช่วยด้วย”
ลั่นทมมองตามด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“คนชั่วอย่างแกคุณพระคุณเจ้าท่านไม่คุ้มครองหรอก”


เรวัตแผดร้องสุดเสียงแบบไม่เป็นภาษามนุษย์พลางวิ่งมาที่ในบ้านลั่นทมจะขึ้นบันไดไปชั้นบน ทันใดนั้นเรวัตก็ต้องชะงักเมื่อเจอลั่นทมยืนขวางบันไดอยู่ เรวัตหันกลับแต่ลั่นทมเอื้อมมือยาวมาจิกผมเขาไว้ เรวัตแผดร้องออกวิ่งไปทางหน้าบ้าน ร่างลั่นทมเลือนหายไป นฤมลกับรสสุคนธ์ชุดนอนพากันเดินลงจากบันได
“น้องรสพี่ได้ยินเสียงวัต”
“รสก็ได้ยิน แล้วเขาหายไปไหน”
เสียงเรวัตร้องมาจากด้านนอก ทั้งสองคนรีบพากันวิ่งออกไป


เรวัตวิ่งเตลิดมาพลางร้องเอะอะแล้ววิ่งเตลิดเข้าไปในดงไม้หน้าบ้าน รสสุคนธ์กับนฤมลเดินตามออกมาหน้าตาตื่น พวกหวานกับพวกฉ่ำพากันออกมาทั้งหมด อุษาถือปืนตามออกมา
“มีอะไรกัน”
“ยังไม่รู้เลยค่ะได้ยินแต่เสียงร้อง”
หวานพูดจบเสียงเรวัตก็ร้องลั่นมาทางดงไม้ “ไม่..อย่า..กลัวแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็พากันวิ่งไปทางเสียงเรวัต ไม้เสี้ยมแหลมหักคาต้นไม้ เรวัตวิ่งเหลียวหน้าเหลียวหลังเข้ามา เรวัตตาเหลือกที่เห็นลั่นทมลอยใกล้เข้ามา เขาวิ่งเร็วขึ้นจนเท้าสะดุดกันเอง ร่างเรวัตถลาพุ่งเข้าเสียบไปในไม้เสี้ยมแหลม
เรวัตผงะตาเหลือกลานด้วยความเจ็บปวดก่อนจะแน่นิ่งไป ลั่นทมหยุดยืนมองนิ่งๆ วิญญาณเรวัตออกจากร่างมามองดูซากตัวเองที่ถูกเสียบติดต้นไม้อย่างตะลึงพรึงเพริด พอรู้ว่าตัวเองตายเขาก็ตกใจ
“ไม่..ฉันยังไม่อยากตาย ไม่..”
เรวัตร้องไห้คร่ำครวญ แล้วหันมาเห็นลั่นทมยืนอยู่ เรวัตก็โกรธ
“แก..แกฆ่าฉัน..”
“แกทำตัวแกเอง ถ้าแกไม่คิดชั่วแกก็จะไม่พบจุดจบแบบนี้”
เรวัตจะเข้ามาเล่นงานลั่นทม ทันใดนั้นที่พื้นรอบร่างเรวัตก็ปรากฏเงาดำหลายเงาผุดขึ้นมา เงาเหล่านั้นพากันเข้ามาฉุดรั้งร่างเรวัต เรวัตร้องโหยหวนและพยายามดิ้นรนแต่สุดท้ายก็โดนเงาดำลากหายไปในความมืด ลั่นทมยกมือปิดปากเพราะตกใจ
นฤมลกับรสสุคนธ์วิ่งนำมา ตามด้วยอุษา พวกลุงฉ่ำ พวกหวาน ชีพเดินโซเซรั้งท้ายมาด้วยอาการเมาจนทรงตัวแทบไม่อยู่ นฤมลเห็นสภาพเรวัตก็ร้องไห้โฮ
“วัต..ตายแล้ว ทำไมเป็นแบบนี้”
รสสุคนธ์ตกใจแล้วหันมาตวาดพวกอุษา
“พวกแกฆ่าเขาใช่มั้ย”
อุษาตะลึง หวานรีบพูดแทน
“อย่ามาให้ร้ายกันนะนังรส พวกเราก็วิ่งมาพร้อมๆกับแก”
“นั่นสิพยานมีเป็นสิบปากพูดมั่วๆแบบนี้ไม่สวยนะคุณรสสุคนธ์” สมพรว่า
สมพรมีท่าทางเอาจริง รสสุคนธ์อึ้ง อุษาหันไปบอกฉ่ำ
“ลุงฉ่ำ โทรตามคุณรินทร์เร็วเถอะจ้ะ”
“ครับ” ฉ่ำรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน
นฤมลนั่งคร่ำครวญ “โธ่ใคร..ใครทำกับวัตแบบนี้”
“โดนคุณผู้หญิงเล่นงานอีกคนแล้ว” หวานพูดกับรสสุคนธ์และนฤมล “ถ้ายังไม่อยากตายก็ไปจากที่นี่ซะ”
ชีพตะลึงและหวาดกลัว พอเขาหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในบ้านก็ขวัญเสีย
“ชีพ..ชีพคุณจะไปไหน”

ชีพวิ่งเปะปะเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าตกใจ ฉ่ำเพิ่งวางโทรศัพท์ ชีพเดินมา ฉ่ำจึงบอก
“คุณรินทร์กำลังมาครับ”
ชีพไม่สน เขาเดินที่บาร์เหล้าแล้วก็ยกขวดดื่มอึกใหญ่
“ฝีมือลั่นทม ผีลั่นทมทำอีกแล้ว”
ชีพดื่มเหล้าอีก วิญญาณลั่นทมเข้ามายืนมองชีพอย่างเศร้าซึม
“ทมแค่ต้องการให้เขาสำนึกบาปเท่านั้น..แต่ถึงคราวที่เขาต้องรับกรรม..”
ชีพได้ยินแว่วๆ เพียงในโสตประสาทก็มองหาอย่างหวาดๆ
“ลั่นทมเธอมาเหรอ เธอมาหลอกฉันเหรอ ไม่เอานะไม่”
ชีพปัดป้องเปะปะก่อนจะวิ่งหนีขึ้นชั้นบน ลั่นทมมองตาม


นฤมลยังร้องไห้กอดหนุ่ยกับโหน่งไว้คนละข้าง รสสุคนธ์คอยปลอบ พวกหวาน พวกฉ่ำรวมตัวกันโดยสีหน้าแต่ละคนไม่ดี ธารินทร์เดินเข้ามากับอุษาและตำรวจประกอบ รสสุคนธ์รีบถาม
“ฆาตกรรมใช่มั้ย”
ธารินทร์ไม่สนรสสุคนธ์ เขามองทุกคนทั่วๆแล้วพูด
“คุณชีพไปไหน ช่วยไปตามคุณชีพมาด้วยผมจะสอบปากคำทุกคน”
“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปในบ้านเถอะค่ะ”
ธารินทร์พยักหน้า อุษาเดินนำทั้งหมดแล้วทยอยเข้าไปในบ้าน



ชีพเดินพล่านอยู่ในห้องนอนด้วยความหวาดกลัว
“อย่านะลั่นทม..อย่ามายุ่งกับฉัน” ชีพเพ้อ
ลั่นทมยืนอยู่มุมหนึ่ง “ชีพคะ ทมไม่คิดทำร้ายคุณ ทมอยากให้คุณสำนึก.. ทมรักคุณ”
ชีพได้ยินเพียงในโสตประสาท เขาเงยหน้าขึ้นกุมขมับแล้วมองหาเหล้า
“เหล้า..เหล้าฉันอยู่ไหน เอามาฉันต้องกิน กินให้เมา”
“ไม่ค่ะชีพ คุณดื่มมากแล้ว เหล้าจะทำให้คุณขาดสติ”
ชีพชะงักแล้วก็หมุนคว้างอยู่กลางห้อง
“เสียง..ฉันได้ยินเสียง เสียงใครโอ๊ย...ไม่ไหวแล้วโว้ยเลิกทรมานฉันเสียที ออกมาเลยลั่นทมออกมา ฉันไม่กลัวแล้ว”
เสียงกริ่งจากสุสานดัง ชีพเกร็งเขม็งและมือสั่นรัวเมื่อหันมาก็ถึงกับผงะเพราะเห็นลั่นทมยืนอยู่มองเห็นอย่างเด่นชัด ชีพผงะจนตาเหลือก
“ลั่นทม..”
“อย่ากลัวเลย ฉันมาเตือนคุณ..ถ้าคุณเลิกกับรสสุคนธ์ชีวิตคุณจะดีขึ้นแล้วฉันจะไม่มารบกวนคุณอีก”
ชีพผงะถอยไปติดผนัง แล้วแผดร้องสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว
“ไปให้พ้น..ไป..ไป..”
ประตูห้องนอนเปิดพรวดเข้ามา รสสุคนธ์เข้ามาก็ตะลึง ชีพลนลานหนีและคลานอยู่ที่พื้นพลางร้องเอะอะ
“ไป.ไป..”
“ชีพคุณเป็นอะไร”
รสสุคนธ์จับตัวชีพ ชีพสะดุ้ง พอเห็นเป็นรสสุคนธ์ก็รีบกอดไว้
“รสอย่าไปไหนนะรส ลั่นทม..ลั่นทมมา..มันมาแล้ว”
ชีพก้มหน้าชี้ไปที่ที่ลั่นทมยืน รสสุคนธ์มองก็ไม่เห็นอะไร เธอมองไปรอบๆ แล้วก็ใจไม่ดี สีหน้าหวาด ๆ แต่ก็ไม่แสดงออกให้ชีพเห็น


ชีพนั่งหน้าเครียด รสสุคนธ์นั่งอยู่ข้างๆ นฤมล หนุ่ยและโหน่งร้องไห้กระจองอแง อุษานั่งอยู่ฝั่งพวกหวาน ส่วนพวกฉ่ำนั่งมุมหนึ่ง ตำรวจคอยจดบันทึก ธารินทร์เริ่มสอบปากคำ
“ขณะที่เกิดเหตุน้าชีพ คุณรสอยู่ที่ไหน”
รสสุคนธ์แย่งพูด “ฉันกับคุณชีพนอนหลับอยู่ในห้องส่วนพี่มล”
“ตอบคำถามผมแค่ส่วนของคุณสำหรับคนอื่นผมจะสอบปากคำเอง”
รสสุคนธ์มองธารินทร์ด้วยความหมั่นไส้ ธารินทร์หันมาหานฤมล
“ทำไมคุณเรวัตถึงออกไปจากห้องนอนครับ”
รสสุคนธ์สะดุ้ง นฤมลร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ไม่ทราบค่ะ เขาออกไปตอนไหนฉันยังไม่รู้เลย..มาตกใจตื่นตอนได้ยินเสียงเขาร้องฉันก็วิ่งลงมาพร้อมน้องรส”
“ฉันว่ามีคนที่น่าสงสัย”
“ใคร”
“ก็คนของอุษาไง พวกนายฉ่ำ สมพร วิเวก วันก่อนพวกนี้ไม่พอใจพี่วัต คืนนี้อาจมาดักทำร้ายตามคำสั่งของอุษาก็ได้”
พวกฉ่ำมองรสสุคนธ์อย่างไม่พอใจ “พูดจาอะไรให้ระวังปากหน่อยแม่รส”
“อยู่ๆก็หาคุกมาให้ซะงั้น”
“พวกเราอาจไม่ชอบนายเรวัตเพราะมันคิดไม่ดีกับคุณษาแต่ก็คงไม่ถึงกับต้องฆ่าแกงกันหรอก”
“มีใครเป็นพยานยืนยันที่อยู่ของสามคนนี่ได้บ้างครับ”
“ษาค่ะ เพราะตอนที่เราได้ยินเสียงคุณเรวัตร้องแล้ววิ่งหนีไป...พวกเราทุกคนยืนอยู่หน้าบ้านไม่มีใครหายไปไหนเลย”
“จริงค่ะอิฉันก็อยู่ด้วย ตาฉ่ำ ตาพร นายเวกก็อยู่ด้วยกัน” หวานบอก
จิ้มลิ้ม สวาท และยาใจพูดพร้อมกัน “พวกเราก็เป็นพยานให้ได้ค่ะ”
พวกฉ่ำมองรสสุคนธ์เย้ยๆ รสสุคนธ์มองหน้าทุกคนด้วยความเจ็บใจ


ธารินทร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจดูร่องรอยในสุสานก็เห็นว่าทุกอย่างเป็นปกติ ตำรวจหันมาบอกธารินทร์
“ในนี้ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ครับหมวด”
ธารินทร์พยักหน้า “ออกไปดูบริเวณรอบๆสุสานด้วย”
“ครับ”
พวกตำรวจเดินออกไป ธารินทร์หันมาถามอุษา
“คุณได้ยินเสียงนายเรวัตจากสุสานนี้เหรอครับ”
“ค่ะษาได้ยินเสียงร้องดังมาจากที่นี่แล้วก็ไปดังที่บ้านตอนนั้น ษาเลยออกจากห้องวิ่งไปที่หน้าบ้าน ก็เจอกับทุกๆคน แต่คุณเรวัตหายไปแล้ว ได้ยินเสียงอีกทีทางดงไม้พวกเราก็เลยวิ่งไปดูแล้วก็เจออย่างที่คุณเห็นนั้นแหละค่ะ”
“เหมือนว่าเขาจะตกใจกลัวอะไรบางอย่างทำให้วิ่งเตลิดไป”
“คุณผู้หญิงแน่เลย” จิ้มลิ้มว่า
“ต้องโดนคุณผู้หญิงหลอกเอาแน่ๆ” ยาใจเสริม
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจเคลื่อนเข้าหากันอย่างหวาดๆ
“ไม่จริง ฉันว่าพี่วัตคงโดนวางยา จนเกิดอาการประสาทหลอน”
“ใครจะไปทำ เพ้อเจ้อนะแก”
“มีสิคนที่มีเวทมนต์คาถามียาแผนโบราณและมีความสามารถถึงขั้นชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ไงล่ะ”

ธารินทร์มองรสสุคนธ์อย่างเซ็งๆ
“ถ้าคุณจะหมายถึงพ่อผมก็พูดออกมาตรงๆ แต่ขอถามหน่อยเถอะครับ พ่อผมจะทำไปเพื่ออะไร”
“เพื่อให้ฉันกับคุณชีพคิดว่าวิญญาณลั่นทมยังคงวนเวียนอาฆาต เราจะได้กลัว..ไม่กล้าอยู่ที่นี่ จริงมั้ยคะชีพ”
รสสุคนธ์หันไปหาชีพ ชีพนิ่งมองโลงศพลั่นทมอยู่ พอรสสุคนธ์ถามก็สะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกลับแล้ววิ่งออกไปด้วยความหวาดกลัว รสสุคนธ์หันมาจ้องอุษากับธารินทร์อย่างแค้นๆ
“เห็นหรือยัง พวกแกทำจนคุณชีพกลัวจะบ้าอยู่แล้ว แต่จำไว้นะ ฉันไม่มีวันกลัว ฉันจะให้เขาผ่าศพพี่วัตหาสารพิษในร่างกายให้ได้”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าเดินออกไป ทุกคนในห้องมองหน้ากันแล้วก็พร้อมใจหันไปมองที่โลงศพลั่นทม ลั่นทมนอนสงบนิ่งอยู่ในโลง


ตำรวจในเครื่องแบบ 2 นายช่วยกันหามร่างที่มีผ้าคลุมขึ้นรถออกมา หวาน ฉ่ำ วิเวก สมพร สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจจับกลุ่มกันอยู่ นฤมล หนุ่ยและโหน่งร้องไห้กระจองอแง อุษาพูดอยู่กับธารินทร์
“ขอบคุณมากนะคะรินทร์” อุษาพูด
“ผมกลับก่อน เหตุการณ์มันเลวร้ายขึ้นทุกที วางใจอะไรไม่ได้เลย...คุณต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
ธารินทร์มองไปในบ้าน อุษาพยักหน้าอย่างรู้กัน ธารินทร์เดินไปขึ้นรถตัวเองขับออกไป รถตำรวจขับตามหลัง อุษามองตามด้วยสีหน้าซึมๆ


รสสุคนธ์ยืนมองทุกคนอยู่ภายในบ้าน เธอหันกลับมาเห็นชีพนั่งดื่มอย่างหนักก็โมโหเดินไปกระชากแก้วเหล้าจากมือชีพ
“ชีพ..พอทีเถอะแบบนี้มันเหล้ากินคุณแล้วนะเมาไม่รู้เรื่องเดี๋ยวก็พูดอะไรเลอะเทอะ”
ชีพไม่พอใจ “เอามาเอาเหล้ามา ฉันจะกิน ลั่นทมมันจะได้มาหลอกฉันไม่ได้”
“ตั้งสติหน่อยชีพ เชื่อรสสิ ไม่ใช่ผี แต่พวกมันวางแผนแกล้งเรา”
ชีพส่ายหน้า “แต่เมื่อกี้ที่บนห้องฉันเห็นลั่นทม..ลั่นทมมาหาฉัน”
รสสุคนธ์ตกตะลึง แต่แล้วก็ปรับตัวได้ในทันที
“นั่นละฤทธิ์ยา พวกมันคงแอบเอามาใส่ในเหล้านี่ ทำให้คุณตาฝาด...เพราะฉะนั้นคุณเลิกกินได้แล้ว”
“ไม่ใช่ ไม่จริง วิญญาณลั่นทมมีแน่ๆ มันแค้นฉัน”
รสสุคนธ์ชักลังเลแต่ก็ไม่อยากเชื่อจึงตวาดชีพ “บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ”
เสียงหวานดังขึ้น “มี”
รสสุคนธ์สะดุ้งแล้วหันไปมอง หวานยืนมองอยู่หน้าตาท่าทางน่ากลัว


หวานเดินนำรสสุคนธ์เข้ามาในห้อง รสสุคนธ์เดินตามเข้ามา หวานพูดทั้งที่ยังไม่หันมา
“ปิดประตูด้วย”
รสสุคนธ์ปิดกระแทก “จะพูดอะไรก็พูดมา ต้องทำลับลมคมในอยู่ได้”
หวานหันมาประจันหน้า “นังรสเรื่องที่เกิดคืนนี้ แกเป็นตัวต้นคิดใช่มั้ย”
“น้าพูดบ้าอะไร”
“ไอ้เรวัตมันกลัวเมียจะตาย มันไม่กล้าหรอก ถ้าแกไม่ให้ท้ายหรือไม่ให้เงินมัน”
“น้าอย่ามาหาคุกให้ฉันนะ”
“มันคงคิดทำร้ายคุณอุษาอีก คุณผู้หญิงท่านถึงไม่เอาไว้”
“ฉันไม่รู้เรื่อง น้านี่ชอบยัดเยียดเรื่องชั่วๆให้ฉันจัง”
“ก็แกมันถนัดแต่เรื่องชั่วๆนี่”
“ฉันไม่เคยทำชั่ว”
“ไม่เคยทำชั่ว..แล้วไอ้คนที่ทำคุณผู้หญิงรถคว่ำตายนั่นล่ะ?”
รสสุคนธ์โกรธ “ไม่รู้จริงอย่าปากพล่อยนะน้า”
“ข้าได้ยินเต็มสองหูจะว่าไม่จริงได้ไง แกมันเสียสติไปแล้ว..เงินทองของนอกกาย ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ กลับตัวเสียเถอะนังรส...ที่แกยังไม่โดน คงเป็นเพราะคุณผู้หญิง ท่านยังให้โอกาส ถ้าแกยังคิดไม่ได้ แกต้องมีอันเป็นไป แน่”
รสสุคนธ์ตวาด “อย่ามาแช่งฉันนะ”
“ฉันเตือนสติแก ยังไงแกก็เป็นหลานฉัน..อย่าโลภอีกเลยมันไม่คุ้มหรอกนังรส”
“ฉันมาถึงแค่นี้แล้ว ฉันถอย ฉันก็บ้าสิ ผีก็ผีเถอะ ฉันไม่กลัว”
พูดจบรสสุคนธ์ผลุนผลันเดินออกไป หวานมองตามด้วยความหวาดกลัว


ชีพนอนบนเตียงอย่างกระสับกระส่ายแบบทั้งโกรธทั้งกลัวลั่นทม
ชีพพูดเบาๆ “มารังควานฉันทำไม ..อย่าได้ผุดได้เกิดเลยลั่นทมรับภาพลั่นทมอยู่ข้างเตียง” “ยังไม่สำนึกอีก”
ลั่นทมค่อย ๆยื่นมือเข้ามาจะแตะร่างชีพ รสสุคนธ์เปิดประตูเข้ามาด้วยความฉุนพอดี ลั่นทมถอยออกห่าง ชีพยืนมอง
ลั่นทมพูด “เธอก็เหมือนกัน”
รสสุคนธ์เขย่าตัวชีพ “พรุ่งนี้ไปหาหมอนะคะชีพ..ถ้าผลออกมาเป็นว่าคุณถูกวางยาก็เท่ากับเป็นการช่วยเราอีกแรง ฉันจะให้หมอตรวจ ตรวจจนกว่าจะเจอยาที่พวกมันใส่ให้คุณกิน”
รสสุคนธ์ล้มตัวนอนมองเพดานแล้วพึมพำ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าทุกอย่างมันเป็นฝีมือผีลั่นทม”
รสสุคนธ์ผุดลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆห้อง “ฉันไม่กลัวแก ฉันไม่กลัว ไม่มีวันกลัว”
รสสุคนธ์กำมือแน่นและมีสีหน้าท่าทางเก็บกด ลั่นทมมองรสสุคนธ์ด้วยสีหน้าเครียด มุมปากของเธอมีรอยแสยะยิ้ม


เครื่องเซ่นตั้งอยู่หน้าโลงศพลั่นทม อุษาปักธูปพนมมือไหว้
“ถ้าเรื่องที่เกิดเป็นฝีมือคุณน้า ษาขอนะคะ..อย่าทำอีกเลยปล่อยให้กฎหมายจัดการกับพวกเขาเถอะค่ะ”
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นจากทางหนึ่งแล้วมองดูอุษานิ่งเงียบ อุษากราบที่โลงศพ ใจของเธอยังมุ่งมั่นที่จะกันลั่นทมออกไปให้พ้นจากการสร้างบาป
อุษาเงยหน้าขึ้น “อย่าสร้างบาปอีกเลยนะคะคุณน้า”
ลั่นทมน้ำตาไหลพราก “นอกจากจะบาปแล้ว..น้ายังเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อทำร้ายใคร...วิญญาณต้องถูกลงโทษ เหมือนกับคนแหละษา..แต่..พวกเขาทำกับน้าเหลือเกิน โดยเฉพาะชีพ น้ายังรักเขาน้าอยากให้เขากลับตัว แต่เขากลับสาปแช่งน้า”
อุษาไม่ได้ยิน เธอค่อยๆถอยออกไปจากสุสาน ลั่นทมร้องไห้สะอึกสะอื้น

อุษาที่เดินกลับมาจากสุสานชะงักที่เห็นรสสุคนธ์เดินคล้องแขนชีพพากันไปขึ้นรถ โดยรสสุคนธ์เป็นคนขับ ชีพที่นั่งข้างๆ มีท่าทางซึมๆ รสสุคนธ์ขับผ่านมาถึงอุษา รสสุคนธ์จอดแล้วเปิดกระจกลง
“ฉันจะพาคุณชีพไปโรงพยาบาล ถ้าผลตรวจออกมาว่าโดนวางยา พวกแกจะโดนข้อหาหนัก” รสสุคนธ์ว่า
รสสุคนธ์ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว อุษามองตามอย่างระอา


ฉลองที่มือข้างหนึ่งมีกุญแจมือสวมติดกับซี่กรงพนักเตียงกำลังนั่งบ่นพึมพำตาลอย ตำรวจในเครื่องแบบ1นายเฝ้าอยู่ วัฒนาพาชีพกับรสสุคนธ์มาที่ประตูเพื่อดูสภาพของฉลอง
“เขาจะนั่งเหม่อลอย พึมพำหวาดกลัวอยู่ตลอดแบบนี้ล่ะครับ บางทีก็ดิ้นอาละวาดจะหนี เลยต้องกักตัวไว้ก่อนสอบปากคำอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย อาการหนักกว่าที่คิดไว้ซะอีก”
ชีพกับรสสุคนธ์สบตากันแว่บหนึ่ง รสสุคนธ์มองฉลองอย่างพึงพอใจ ส่วนชีพนิ่งเงียบ
“โอกาสหายไม่มีเลยใช่มั้ยคะ”
“มีครับ แต่ต้องใช้เวลา” วัฒนาบอก
รสสุคนธ์อึ้งไปแล้วก็รีบถาม “นายฉลองโดนวางยาหรือเปล่าคะหมอ”
“ตรวจแล้วครับ ไม่มีสารแปลกปลอมใดๆ ทั้งสิ้น”
“เอ แปลก คุณชีพก็มีอาการเดียวกัน อยากให้ช่วยตรวจคุณชีพด้วย”
“คุณชีพเคยมาตรวจแล้วครั้งหนึ่งนี่ครับ”
“ค่ะ..ครั้งนั้นไม่เจอแต่ครั้งนี้น่าจะเจอ เพราะช่วงนี้คุณชีพเขา”
ชีพขัดขึ้นตาลอย “ไม่ใช่ยาไม่มีใครโดนยา แต่เป็นวิญญาณลั่นทม”
ชีพหันไปเขย่าตัวหมอแรงๆ “หมอต้องเชื่อผม ผีลั่นทม ผีมันมาแก้แค้น เชื่อผม”
รสสุคนธ์รีบดึงตัวชีพออกจากหมอ
“เห็นมั้ยคะหมอ แบบนี้ต้องโดนยาแน่ๆ กรุณาตรวจด้วยเถอะคะ”
“ครับๆๆ เชิญครับ”


ชีพเอนตัวลงนอนบนเตียงตรวจ ในขณะที่รสสุคนธ์อธิบายให้วัฒนาฟัง ชีพมีอาการกระสับกระส่ายขณะที่รสสุคนธ์พูด
“เขาได้ยินเสียงประหลาดบ่อยๆค่ะ บางครั้งก็เห็นลั่นทมฉันสงสัยว่าเขาถูกวางยา..ฉันคิดว่าพวกยากล่อมประสาทหรือยาที่ทำให้ประสาท..”
วัฒนาพูดกับรสสุคนธ์ “กรุณาออกไปรอข้างนอกก่อนครับ”
รสสุคนธ์ไม่ค่อยพอใจแต่ก็ออกจากห้อง ชีพกระวนกระวาย


รสสุคนธ์มานั่งรอชีพอยู่หน้าห้องตรวจแล้วก็เดินไปเดินมาด้วยความหงุดหงิด ชีพผลุนผลันออกมาจากห้องตรวจ รสสุคนธ์หันมาเห็นก็แปลกใจ
“เสร็จแล้วหรือคะ” รสสุคนธ์ถาม
ชีพกระวนกระวาย “ฉันไม่ได้ประสาทหลอนนะรส..ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังเจออะไร”
วัฒนาเดินตามออกมาติดๆ “คุณชีพเขาไม่ยอมให้ตรวจ”
ชีพพูดกับรสสุคนธ์ “กลับเถอะ” ชีพพูดกับวัฒนา “ขอโทษด้วยคุณหมอ ผมรู้ดีกว่าใครๆ ไม่จำเป็นต้องตรวจหรอก ผมรู้ว่าเกิด อะไรขึ้นในบ้านผม”
ชีพไม่ตอบ เขาผละไป รสสุคนธ์ละล้าละลังแล้วรีบตาม วัฒนามองตามไปด้วยสีหน้างงๆ


รสสุคนธ์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน ชีพนั่งหลับตา รสสุคนธ์ดับเครื่องพลางมองชีพอย่างรำคาญ
“คุณเป็นอะไรของคุณ ถามก็ไม่ตอบ ทำไมคุณไม่เชื่อรส...ถ้ายอมให้หมอตรวจจะได้พบสารที่มันให้ คุณกินไงคะ ที่นี้เราจะเล่นงานพวกมันทั้งหมด ฉันจะแจ้งจับตั้งแต่ไอ้หมอผีผันนั่นเลย”
ชีพลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจเฮือก “ถึงตรวจหมอก็จะไม่พบอะไร..”
ชีพลงจากรถ แต่รสสุคนธ์ฉุดไว้ “คุณเป็นอะไรคะชีพ เป็นอะไรคุณไม่เหมือนชีพคนเก่าเลย”
ชีพแกะมือรสสุคนธ์ไม่ตอบ เขาเดินเนือยๆ ลงจากรถแล้วเข้าบ้าน รสสุคนธ์ทุบพวงมาลัยรถด้วยความโมโห
“ไอ้บ้าเอ๊ยจะทำตัวเป็นผีตายซากแบบนี้อีกนานมั้ย นี่ถ้าไม่เห็นแก่สมบัติมัน ฉันไม่ทนแล้ว”
ชีพเดินเซจะเข้าบ้าน ฉ่ำเดินออกมาจากมุมหนึ่งก็เห็นเข้า
“คุณชีพ..”
ฉ่ำปราดเข้ามาประคองชีพ สสุคนธ์เห็นฉ่ำทำท่าเหมือนพูดอะไรกับชีพ รสสุคนธ์ระแวงก็รีบออกมาจากในรถ
“วุ่นวายอะไรนายฉ่ำ”
“เปล่าครับ ผมเห็นคุณชีพไม่ค่อยสบาย ผมก็เลย”
รสสุคนธ์ไม่พอใจ เธอตวาดแล้วรีบเดินมาหา
“ไม่ต้องยุ่ง ขี้ข้าอย่างแกไม่มีสิทธิ์มาทำเป็นห่วงใย โธ่เอ๊ย เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
รสสุคนธ์มองฉ่ำตั้งแต่หัวจรดเท้า “ผมก็แค่หวังดี...”
“เก็บไว้สงสารตัวเองดีกว่า...ไปค่ะชีพ”
รสสุคนธ์ประคองชีพเข้าไปในบ้าน เธอหันมาเห็นฉ่ำยืนหน้าซีด

อ่านต่อหน้าที่ 4


สุสานคนเป็น ตอนที่ 9 (ต่อ)
 
ชีพล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วมองเพดาน ชีพกวาดตามองเห็นรสสุคนธ์ยืนกอดอกมองอยู่“ทำไมถึงไม่ให้หมอตรวจ...หรือว่ากลัวนังอุษามันจะติดคุก”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ...”
รสสุคนธ์เข้ามากระชากตัวชีพให้ลุกขึ้น
“พูดกันให้รู้เรื่อง...คุณน่ะโดนพวกมันวางยา...คุณโดนยาของพวกมัน มันต้องการให้คุณประสาทเสีย มันหวังฮุบสมบัติของเรา”
ชีพสะบัด รสสุคนธ์เซไปจนเกือบตกเตียงแล้วก็ตกใจ
“ชีพ..นี่หลงมันถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร ทั้งหมดเป็นเพราะวิญญาณลั่นทม...ทำไมคุณไม่เชื่อผม”
รสสุคนธ์ไม่พอใจ “โอ๊ย จะบ้า...คุณทำเหมือนกับว่าที่เราต่อสู้กันมา มันไม่มีความหมาย จู่ๆ คุณจะยอมแพ้มันเหรอ รสไม่ยอมหรอก รสไม่ยอม....”
ชีพล้มตัวลงนอนหันหลังให้ รสสุคนธ์นั่งมองแล้วก็เม้มปากไม่พอใจ
“จำไว้นะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น รสก็จะไม่ยอมแพ้มันและคุณก็ต้องร่วมมือกับรสตลอดไปด้วย”


ตกเย็น ชีพมือสั่นรัวกำลังรินบรั่นดีในขวดใส่แก้วดื่มด้วยสีหน้าเครียด หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจในชุดดำเตรียมตัวไปวัด ฉ่ำที่เดินเตร่อยู่ทางหนึ่งมองไปที่ชีพ
“คุณชีพ..พอเถอะครับ...” ฉ่ำบอก
รสสุคนธ์แต่งชุดดำสวยงามลงมาเห็นชีพและฉ่ำ หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจหันมามองรสสุคนธ์กับชีพ ฉ่ำผละออก
รสสุคนธ์ถอนใจอย่างเหลืออด “ดื่มอีกแล้ว..” รสสุคนธ์พูดกับหวาน “พี่มลล่ะน้าหวาน”
“ไปวัดแล้ว ฉันกับพวกนี้กำลังจะตามไป”
รสสุคนธ์พยักหน้า “ไปก่อน...”
หวาน จิ้มลิ้ม สวาท และยาใจพากันเดินออกไป รสสุคนธ์เห็นฉ่ำที่ยังยืนอยู่ก็เกิดอาการขวางหูขวางตาขึ้นมาทันที
“ฉ่ำ..ต่อไปนี้แกไม่ต้องมาขับรถ ฉันจะขับเอง ส่วนสนามก็ให้สวาทจิ้มลิ้มยาใจทำ”
“งั้นก็สบายซี วันๆ ไอ้ฉ่ำได้นอนอย่างเดียว”
“ใช่..แต่ไปนอนบ้านแกนะ”
“หมายความว่าไง..”
“หมายความว่าฉันไล่แกออกไง เงินเดือนเงินดาวที่ค้างไปเบิกจาก คุณไกร แล้วไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีก”
เสียงของรสสุคนธ์ทำให้หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจหันกลับมา ทุกคนอึ้ง ฉ่ำไม่ยอม “แต่ผมไม่ได้รับเงินจากคุณ คนจะไล่ผมออกได้คือคุณอุษาหรือคุณผู้ชายเท่านั้น”
“หัวหมอเหรอ ก็ฉันนี่แหละ ทำในนามคุณผู้ชายของแกไง”
ฉ่ำไปที่โทรศัพท์หยิบขึ้น “ผมจะโทร.บอกคุณอุษา”
รสสุคนธ์เดินมากระชากโทรศัพท์วางลงที่แป้นแล้วจ้องหน้าฉ่ำอย่างไม่พอใจ
“ไปบอกเอง..แกไม่มีสิทธิ์ใช้โทรศัพท์ในบ้านนี้”
ฉ่ำมองรสสุคนธ์ด้วยความเจ็บใจก่อนจะผละออกไป รสสุคนธ์สะใจก็หันไปมองกราดทุกคน “ใครยังคิดจะรวมหัวกับอุษาแกล้งฉันกับคุณชีพอีกละก็ฉันจะเฉดหัวออกไปจากบ้านนี้ทุกคน”
วิญญาณลั่นทมปรากฏขึ้นมองรสสุคนธ์อย่างไม่พอใจ
“เธอเริ่มก่อกวนอีกแล้วนะรสสุคนธ์”


สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ ฉ่ำ สมพร และวิเวกจับกลุ่มคุยกันอยู่
“แกจะเอายังไง หา ไอ้ฉ่ำ” สวาทว่า
“เฮอะ ข้าไม่ออกหรอก จะอยู่เป็นผีที่บ้านน่ะแหละจะได้ช่วยคุณผู้หญิงหักคอนังรส...”
“ปากไม่เป็นมงคล...เรื่องอะไรจะยอมตาย มันต้องไม่ตายไม่ย้าย ไม่หนี”
“ไล่ก็ไม่ออก นังรสหน้าด้านอยู่ แย่งผัวเขาได้ เราก็หน้าด้านได้เหมือนกัน”
“เอาไงเอากัน...น้าฉ่ำพูดถูก คนที่จะไล่เรามีแค่คุณผู้ชายกับคุณอุษาเท่านั้น แม่รสไม่เกี่ยว” ยาใจว่า
ฉ่ำหันไปถามสมพรกับวิเวก “เอ็งสองคนว่าไงวะ”
“ร่วมหัวจมท้ายมาถึงขั้นนี้แล้ว เอาไงเอากัน” วิเวกบอก
“ฉันด้วย...” สมพรบอก
หวานยืนมองอยู่ จิ้มลิ้มเห็นก็สะกิดให้ดู
“น้าหวานจะว่ายังไง...”
นฤมลเดินออกมาจากข้างในแล้วเดินตามตัวหวานไป หวานมองมาที่กลุ่มเพื่อนคนใช้ด้วยสีหน้าเศร้า

นฤมลกระซิบกับรสสุคนธ์ รสสุคนธ์มีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เธอหันไปพูดกับหวานด้วยเสียงเครียด
“ฉันจะไล่พวกมันออก...น้าหวานอย่าวุ่นวายเข้าข้างมันนะ หรือว่าจะเป็นพวกมัน”
“ข้าเป็นพวกคนดี ใครรู้ตัวว่าเลวก็รู้ไว้ว่าข้าไม่เข้าข้าง” หวานบอก
รสสุคนธ์เบ้ปากแล้วหัวเราะหยันเบาๆ
“เหรอ...ถ้าตำรวจเขาตรวจพบว่าในตัวคุณชีพมีสารจากยาที่พวกน้ากับนังอุษาใส่ให้คุณชีพกิน ฉันจะไม่ช่วยน้าให้รอดคุกเลย”
“ไม่มีใครเขาบ้าอย่างที่แกพูดหรอกนังรส...ระวังจะเป็นคนที่นอนอยู่ที่นั่น”
รสสุคนธ์หันไปมองตามสายตาของหวานก็เห็นโลงศพตั้งอยู่
“คอยดูกันไปก็แล้วกัน”

ชีพนอนเหม่อแล้วก็เหลือบตาดูไปทั่ว รสสุคนธ์ที่สวมชุดนอนนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก ชีพเห็นลั่นทมเดินไปมาเป็นเงาแวบๆ ชีพผุดลุกขึ้น
“ออกไป! ลั่นทม นังผีร้าย..ไป”
รสสุคนธ์หันขวับมาเห็นก็ตกใจ “ชีพ...ชีพ...”
รสสุคนธ์เขย่าร่างชีพ ลั่นทมวูบเข้าสิงร่างชีพทันที ชีพที่ถูกสิงดวงตาชีพแดงก่ำรสสุคนธ์ตกใจ “ชีพ”
ชีพจับไหล่รสสุคนธ์แน่น รสสุคนธ์สะบัดตัว ชีพพูดแต่เป็นเสียงลั่นทม “หยุดวุ่นวายซะทีรสสุคนธ์ อย่าให้ฉันต้องทำอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้นะ”
รสสุคนธ์ตกตะลึงและกรีดร้องดิ้นรนสุดฤทธิ์ ลั่นทมวูบออกไปยืนข้างหลัง
“ฉันเตือนเธอแล้วนะรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์เหลียวมองไปรอบๆ เหมือนได้ยินเสียง ชีพเหลียวมองเช่นกันแล้วก็นอนเอาหมอนปิดหู
ลั่นทมวูบมาที่ข้าง ๆชีพก่อนจะกระซิบที่ข้างหู
“อย่าให้ทมต้องเกลียดชีพไปมากกว่านี้เลย กลับตัวกลับใจซะเถอะ..”
ชีพดิ้นรนโวยวาย มือไม้สะบัดเหมือนผลักไสลั่นทม
“ออกไป...ออกไป...ออกไป...”
รสสุคนธ์ตกใจจึงผวากอดชีพไว้ “ชีพ ชีพ..”
ชีพหันมาเห็นรสสุคนธ์เป็นลั่นทมก็ผลักออกอย่างแรง
รสสุคนธ์ที่ชีพเห็นเป็นลั่นทมผวามากอด “ชีพ..ชีพ..”
ชีพตบหน้าอย่างแรงจนลั่นทมกลายเป็นรสสุคนธ์ที่กำลังกลิ้งตกลงไปที่เตียง รสสุคนธ์ผวาลุกขึ้น เพราะโกรธจัด
“บ้าไปแล้วเหรอ..นี่อาการคุณหนักมากแล้วนะ คุณต้องโดนพวกมันวางยา รสจะเอามันเข้าตะรางให้หมด...”
ชีพได้สติก็พูดเสียงละล่ำละลัก
“ลั่นทมมา เขาขู่เรา รส...เขาขู่เรา...ฉันขอโทษ ฉันเห็นรสเป็นลั่นทม...”
“ประสาท...ผีนังลั่นทมไม่มีจริง ท่องไว้”
รสสุคนธ์อึ้งเพราะทั้งกลัว ทั้งแค้น

สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจนั่งรับประทานอะไรกันอยู่ในครัว
“เมื่อคืนเสียงดังลั่นบ้าน ได้ยินกันบ้างหรือเปล่า”
“ได้ยินสิ ไม่ทันไรทะเลาะกันบ้านแทบแตกแล้ว”
“เชื่อสิ ไปกันไม่รอดหรอก วิญญาณคุณผู้หญิงต้องขัดขวางทุกอย่าง...”
หวานเข้ามายืนนิ่ง สวาทหันมาเห็น “หรือว่าแม่หวานจะเข้าข้างหลานสาว”
“ยังไง ข้าก็แยกออกหรอกว่าอะไรดีอะไรเลว”
“ฉันก็ถามไปอย่างนั้นแหละ พวกฉันน่ะเชื่อใจน้าหวาน”
ฉ่ำ สมพร และวิเวกเข้ามา “นังรสมันเรียกพวกแกไปพูดอะไรหรือยัง...”
“พูดอะไร”
“อ้าว ก็ที่มันประกาศว่าจะไล่ออกไง...อย่าไปยอมมันนะ”
“ยังไง น้าหวานก็ช่วยพวกเราด้วย”
“คุณอุษารู้เรื่องนี้หรือยัง”
“บอกแล้ว...”
“คุณอุษาไม่ยอมให้นังรสทำอะไรพวกเราได้หรอก” หวานสรุป

รสสุคนธ์พินิจพิจารณาข้าวของในบ้านที่ล้วนเป็นของมีราคา
“เบิกเงินไม่ได้ก็เอาพวกนี้แหละไปขาย”
วิเวกกับสมพรเดินเข้ามา ตามด้วยฉ่ำ รสสุคนธ์หันมาเห็นก็พูด
“ดี..มากันพร้อมหน้าจะได้พูดเสียทีเดียว แกสองคนไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าสวนแล้ว ฉันจะให้สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ เวียนไปดูเอง”
“แต่ฉันกับไอ้เวกจะไม่ออก เธอไม่มีสิทธิ์ แม้แต่คุณผู้ชายก็เถอะ...นอกจากจะผ่านหกเดือนไปแล้ว” สมพรบอก
รสสุคนธ์จ้องสมพรกับวิเวกอย่างแค้นเคือง “หัวหมอ คงมีคนคอย..”
รสสุคนธ์ชะงักที่เห็นไกรกับอุษาเดินเข้ามา
“อ้อ..ถึงกับแล่นไปตามกันมาเลย..พวกเดียวกันทั้งนั้น...นึกอยู่แล้วว่าคุณไกรก็รวมหัวกับพวกมันด้วย มิน่าไอ้พินัยกรรมมันถึงแปลกๆ”
“กรุณาอย่าพูดพล่อยๆ นะคุณรส แบบนี้ผมฟ้องคุณได้”
รสสุคนธ์นิ่งไป “ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณ แต่ไอ้พวกขี้ข้าพวกนี้ ฉันบอกเลยว่าฉันไม่ไว้ใจ ฉันไม่ต้องการจ้างพวกมัน ฉันทำในนามเมียของคุณชีพคงไม่มีปัญหามั้ง”
“แต่ลูกจ้างทุกคนมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ จนกว่าคุณชีพจะมีสิทธิสมบูรณ์ตามพินัยกรรม”
“แต่ตอนนี้ยัง เพราะฉะนั้นพวกเขาสามารถเข้านอกออกในบ้านนี้และทุกสถานที่ตามคำสั่งเดิมของคุณน้าลั่นทม”
รสสุคนธ์โกรธจนตัวสั่น ยิ่งมองเห็นพวกฉ่ำพากันยิ้มเยาะก็ยิ่งโกรธ
“ก็ได้แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
รสสุคนธ์ผละไป ไกรสบตาอุษาแล้วทั้งสองต่างก็ถอนใจเฮือกอย่างอิดหนาระอาใจ

รสสุคนธ์เปิดประตูพรวดเข้ามาอย่างโมโหเดือด แต่แล้วกลับยืนตะลึงที่เห็นชีพหลับอยู่ที่โซฟาในห้องนอน โดยมีลั่นทมนั่งอยู่เคียงข้างลูบไล้ผมชีพด้วยท่าทางห่วงใย ลั่นทมเงยหน้าหันมาจ้องรสสุคนธ์นิ่งๆก่อนจะหายไป รสสุคนธ์ได้สติก็แผดร้องสุดเสียง “กรี๊ด...”
ชีพลืมตาขึ้นมางัวเงีย รสสุคนธ์ตัวสั่นเทิ้มก้าวขาไม่ออก
“อะไร..เสียงดังเป็นบ้า”
รสสุคนธ์ข่มความกลัวกระโจนเข้าหาชีพแล้วพยายามตั้งสติ
“ชีพ..ชีพ”
“มีอะไร”
“ลั่นทม” รสสุคนธ์ชี้ “อยู่ตรงนี้”
ชีพลุกพรวดขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“เฮ้ย....” ชีพพูดพล่านเหมือนคนจะบ้า “บอกแล้วไง ฉันบอกแล้วลั่นทมมันมา...มันมาแก้แค้น...เมื่อคืนมันก็มา แต่เธอไม่เชื่อฉัน...โอ๊ยทำไงดี ทำไงดี เราไปกันเถอะ ฉันไม่เอาแล้วสมบัติอะไรก็ไม่เอา”
รสสุคนธ์ตกใจเพราะรู้ตัวว่าพลาดไปจึงรีบจับตัวชีพไว้
“เดี๋ยวค่ะชีพคือไม่ใช่ เอ้อ รสคงตาฝาดค่ะ..คงกำลังโมโห.คือรสมีปัญหากับพวกอุษา เอะอะมันก็อ้างลั่นทม รสเลยประสาทไปหน่อย”
ชีพมองรสสุคนธ์อย่างไม่แน่ใจ “จริงนะ”
รสสุคนธ์ยืนยัน“จริงๆ ค่ะ ถ้ารสเห็นลั่นทมจริง รสคงเป็นลมไปแล้วล่ะ ชีพลงไปจัดการพวกมันหน่อย”
“เธอไม่เห็นจริงเหรอ”
“ก็จริงสิคะชีพ” รสสุคนธ์ยืนยัน


ไกรวางเอกสารพินัยกรรมปึกใหญ่ให้ชีพ
“ผมว่าคุณชีพอ่านให้ละเอียดดีกว่าจะได้ไม่มีปัญหาจุกจิกเรื่อยๆ อย่างนี้ ผมมีงานต้องทำอีกมาก”
ชีพไม่ยอมแตะต้องพินัยกรรม เขามีท่าทีอ่อนเพลีย
“ช่างเถอะ..ผมรู้แค่ว่าครบหกเดือนทุกอย่างเป็นของผมเท่านั้นพอแล้ว”
“ถ้าชีพไม่อ่านรสอ่านเอง”
รสสุคนธ์คว้ามาแต่เมื่ออ่านก็รู้ว่าเยอะมากจึงรีบบอก “ฉันจะเอาไว้อ่านคืนนี้”
“ไม่ได้..ต้องอ่านต่อหน้าผมต่อหน้าทุกคนครับ เสร็จแล้วผมต้องนำไปเก็บรักษาไว้ คุณมีอะไรไม่เข้าใจจะได้อธิบายเสียให้จบไป”
รสสุคนธ์ไม่พอใจจึงจ้องไกรเขม็ง
“ โอ๊ย ฉันจะต้องไปงานศพพี่เรวัตอีกจะอ่านทันได้ยังไง”
ไกรทำไม่รู้ไม่ชี้


ศาลาไว้ศพเรวัตมีเสียงพระสวดดังออกมา อุษา ธารินทร์ หวาน ฉ่ำ วิเวก สมพร สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ นฤมล หนุ่ย โหน่งฟังพระสวด พนักงานในบริษัทก็นั่งฟังสวดศพอยู่ วิญญาณลั่นทมเข้ามากระซิบบอกชีพ
“กลับบ้านเถอะค่ะชีพ”
ชีพสะดุ้งที่ได้ยินเสียงในโสตประสาท เขาขยับตัวด้วยความอึดอัดแล้วมองซ้ายมองขวา
ลั่นทมย้ำ “กลับบ้าน..”
ชีพพยักหน้าแล้วหันไปบอกรสสุคนธ์ “ผมเพลียจัง อยากกลับบ้าน”
“อีกจบเดียวก็เสร็จแล้วนะคะ เดี๋ยวพี่มลจะเสียใจ”
ชีพพูด “กลับเดี๋ยวนี้”
ชีพย้ำ “กลับเดี๋ยวนี้”
ชีพลุกขึ้นเดินไปโดยไม่สนใจใคร รสสุคนธ์อึ้งแล้วรีบหันไปพูดกระซิบกระซาบกับนฤมลก่อนจะเดินตามชีพไป
ชีพเดินทื่อๆเหมือนคนไม่มีวิญญาณตรงไปที่รถ รสสุคนธ์ตามไป ธารินทร์มองอยู่ตลอดแล้วก็ลุกตามไปเงียบๆ


รสสุคนธ์เข้าประจำที่นั่งคนขับ ชีพนั่งคู่ด้านหน้า ธารินทร์เดินตามมาซุ่มดูอยู่มุมหนึ่ง ชีพปิดประตูล็อค รสสุคนธ์เตรียมสตาร์ทเครื่อง
“ทำไมคะ ทำไมจู่ๆ ถึงจะกลับ เราเป็นเจ้าภาพนะ”
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“หมู่นี้คุณเป็นอะไรไปคะชีพ เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้เราแพ้พวกมันแน่”ลั่นทมนั่งอยู่ด้านหลังพูด “หุบปาก”
ชีพพูดตาม “หุบปาก”
รสสุคนธ์ชะงักแล้วหันมามองชีพ ชีพทำตาขวางๆ มีท่าทางน่ากลัว
“ก็ได้..”
รสสุคนธ์ตัดปัญหาด้วยการสตาร์ทเครื่องแล้วขับรถออกไป ธารินทร์ที่ซุ่มมองอยู่ขยับจะตามไป จึงวิ่งไปที่รถ ลั่นทมยืนรออยู่แต่ธารินทร์ไม่เห็น
“กลับไปอยู่เป็นเพื่อนอุษาเถอะรินทร์ เดี๋ยวน้าจัดการเอง”
ธารินทร์ชะงักมือที่จะเปิดรถก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในศาลา ลั่นทมมองอย่างพอใจแล้วหายตัวไป


รสสุคนธ์อาบน้ำเสียงน้ำดังกลบเสียงที่ดังจากภายนอก ชีพนั่งดื่มอยู่เงียบๆ วิญญาณลั่นทมเข้ามามองดูชีพแต่ชีพไม่เห็น ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นช้าๆ ชีพกำลังจะยกเหล้าขึ้นดื่มก็ชะงัก ชีพตาค้างทิ้งแก้ว ตะกายถอยหนีไปซุกอยู่มุมห้องตาเหลือกลาน
“ลั่นทม..อย่า..” ชีพตะโกนออกมา
“คุณไม่เคยสำนึกเลย ทมให้เวลาคุณมามากพอแล้ว” ลั่นทมว่า
“ไปให้พ้นนะ..ไป รส..รสช่วยด้วย”
รสสุคนธ์อาบน้ำต่อทำให้เสียงน้ำดังกลบ
ชีพตาเหลือกลาน เมื่อเห็นลั่นทมเข้ามาใกล้
“อย่ากลัวทม..ทมอยากเห็นคุณทำความดี..ความดีที่มาจากจิตสำนึกข้างในของชีพ”
“ไม่..ไป..ไปให้พ้น นังผีร้าย ไป..ออกไป แกฉันจะเอาหมอผีมากำจัดแก”
ลั่นทมโกรธ “คิดจะทำร้ายทมอีกแล้วเหรอ ดี..งั้นก็มากับทมเถอะค่ะ คุณจะได้รู้ว่าผลกรรมที่คุณเคยทำไว้จะเป็นอย่างไร มาซีคะ..”
ชีพตาค้างแล้วพยายามขัดขืนการสะกดของลั่นทม แต่ก็ไม่สำเร็จ ชีพตามลั่นทมออกทั้งๆที่พยายามฝืน
“ไม่...ไม่รส..ช่วยด้วย ไม่ไป..รส..รส”
รสสุคนธ์กำลังอาบน้ำเสียงน้ำจากฝักบัวแถมฮัมเพลงด้วยความสดชื่น

ชีพเซเข้ามาในสุสาน ลั่นทมสั่งให้หยุดที่โลงศพ
“ลงไปในโลงศพของทม”
ชีพพยายามขัดขืนแต่ก็จำต้องไปที่โลงศพลั่นทม ฝาโลงเปิดออก
ชีพตาเหลือก “ไม่..ไม่..”
ลั่นทมตวาด “ลงไป”
ชีพพุ่งเข้าไปได้กลิ่นจากโลงถึงกับผงะ แต่เหมือนถูกแรงดึงบังคับให้กลับเข้าหาโลงอีก
ชีพแผดร้อง “ไม่..ไม่..อย่า”
ชีพพยายามฝืนหน้าให้เงยแต่ก็เหมือนหน้าถูกกดต่ำลง
“ลงไป !” ชีพหล่นลงไปในโลง ฝาโลงลอยมาปิด เสียงลั่นทมหัวเราะก้องอย่างน่าสะพรึงกลัว


รสสุคนธ์เดินออกมาจากห้องน้ำ เธอเดินไปแต่งตัว หวีผมแล้วก็นึกได้ รสสุคนธ์หันไปมองที่โซฟา ก็ไม่เห็นชีพ รสสุคนธ์เดินไปใกล้ๆ ก็เห็นแก้วเหล้าของชีพตกอยู่ที่พื้น รสสุคนธ์หยิบขวดมาดูเห็นเหล้าหมด“ลงไปกินต่ออีกละสิ”
รสสุคนธ์รำคาญจึงเดินกลับไปหวีผมต่ออย่างไม่สนใจ


ชีพนอนข้างศพลั่นทมที่เน่าเฟะ ศพลั่นทมนองไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองจากซากศพ “อย่า..อย่าทำฉันอย่างนี้...ลั่นทม อย่า..ไม่..ปล่อย..โอ๊ย เหม็น ..หายใจไม่ออกลั่นทม”
วิญญาณลั่นทมยื่นหน้าทะลุโลงเข้ามาพูด “คุณไม่ตายหรอกชีพ แต่ถ้าคุณดิ้น คุณร้อง คุณอาจจะตายได้ ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าคุณแค่อยากให้คุณสำนึก ฉันพยายามเตือนคุณดีๆ หลายครั้งแล้วแต่คุณก็ไม่สำนึกสักที”
“ฉันสำนึกแล้ว กลัวแล้ว ปล่อยฉัน ลั่นทม..ฉันกลัวแล้ว..ปล่อย”
“ฉันยังไม่เชื่อ ขอเวลาอีกหน่อยแล้วกัน”
ลั่นทมหดหน้ากลับออกไป ชีพหันมามองซากศพลั่นทมที่นอนขึ้นอืดอยู่ข้าง ๆ ชีพตาเหลือกค้าง หวาดกลัวสุดขีด
“ฉันสำนึกแล้ว ฉันไม่ทำชั่วแล้วลั่นทม โอย ปล่อย ขยะแขยง ฉันเหม็น ฉันกลัวแล้ว”


รสสุคนธ์สวมชุดนอนมีเสื้อคลุมสวมทับ เธอถือโทรศัพท์มือถือลงมาชั้นล่างมองหาชีพแต่ก็ไม่พบ
“แอบไปกินเหล้าอยู่ไหน”
นฤมล หนุ่ยและโหน่งนั่งกอดกันร้องไห้ “กลับมานานแล้วเหรอพี่มล”
นฤมลพยักหน้าก่อนจะดึงลูกๆให้ลุกเพื่อจะขึ้นข้างบน
“เห็นคุณชีพบ้างหรือเปล่าพี่มล”
“ไม่ ไม่เห็น..”
นฤมล หนุ่ยและโหน่งขึ้นข้างบน รสสุคนธ์โกรธ
“ไปทำบ้าที่ไหน !” รสสุคนธ์นึกได้ “หรือว่า..”
รสสุคนธ์เดินออกไปทันที


รสสุคนธ์เดินฮึดฮัดมาถึงห้องอุษา รสสุคนธ์ทุบประตูโครมๆ
“ออกมานะ ออกมา..”
อุษากำลังก้มลงกราบพระบนเตียงหันมามอง
เสียงรสสุคนธ์ดังขึ้น “เปิดประตู เปิดเดี๋ยวนี้..บอกให้เปิดฉันรู้นะว่าแกมันอยู่ในนั้น...ออกมา”
อุษาลุกขึ้นเดินเรื่อยๆ มาที่ประตู
รสสุคนธ์ทุบประตู “บอกให้เปิด ไม่เปิดฉันพังแน่”
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจพากันเข้ามามุง
“นังรส มาเอะอะอะไรหน้าห้องคุณษา”
รสสุคนธ์หันมาตวาด “ผัวฉันหาย ต้องแอบมาหานังคนดีของน้าแน่”
“แกอย่ากล่าวหาคุณษาอย่างนั้นนะ นังรส”
“โอ๊ย... อย่ามาเข้าข้างกันเลย ฉันหาหมดทั้งบ้าน แล้วไม่มีแล้วนี่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดประตู คอยดูนะ ถ้ารู้ว่าผัวฉันอยู่ในห้องนังอุษา ฉันฆ่ามันแน่”
จิ้มลิ้ม ยาใจ และสวาทยืนตะลึง รสสุคนธ์หันไปตะโกน
“ช่วยด้วย...มีใครอยู่บ้าง มาช่วยกันจับขโมยเร็ว”
ฉ่ำ วิเวก สมพร วิ่งเข้ามา “ขโมยที่ไหน”
“ก็พังประตูเข้าไปซิ ไปดูให้เห็นกับตา มันอยู่ในห้องนี้แหละ”
“เอ้า พวกเรา ช่วยกัน” สมพรบอก
ฉ่ำ วิเวก และสมพรทำท่าจะกระแทกประตู แต่ประตูเปิดออกก่อน ทุกคนชะงัก
อุษายืนอยู่หลังประตูในชุดนอน “มีอะไร”
พวกฉ่ำเงอะงะ ฉ่ำชี้มาทางรสสุคนธ์ “เค้าบอกมีขโมยเข้าห้องคุณอุษาครับ”
รสสุคนธ์ผลักฉ่ำและทุกคนออกไป แล้วตัวเองก็เข้าไปในห้องอุษาก่อนจะกวาดตามองหา
“ออกมานะชีพ...ออกมา...”
รสสุคนธ์เดินไปดูทั่วห้องแต่ก็ไม่มีชีพ หวานปราดเข้ามาดึงรสสุคนธ์ออกมา
“เลิกบ้าที ผัวแกหายแล้วมาวุ่นวายอะไรที่ห้องคุณอุษา”
รสสุคนธ์เยาะ “ว่าได้เรอะ คนดีของน้าทำติ๋มๆ อาจซ่อนความเลวไว้ แอบนัดแนะผัวฉันมาก็ได้”
อุษามองรสสุคนธ์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พูดเยาะๆ
“ถ้าฉันอยากได้น้าชีพละก็คงไม่ถึงมือเธอหรอก แต่เผอิญฉันไม่ชอบของโสโครก เธอถึงได้ไปครอบครองไง ก็สมกันแล้ว ของโสโครกกับคนโสโครกอย่างเธอ”
“นังอุษา...”
รสสุคนธ์ปราดเข้าไปเงื้อมือจะตบอุษา
หวาน ฉ่ำ วิเวก และสมพรพร้อมใจกันขวาง หวานจับมือรสสุคนธ์ไม่ให้ตบ หวานผลักรสสุคนธ์ไปทางประตู จิ้มลิ้ม ยาใจ และสวาทช่วยกันผลักให้รสสุคนธ์ไปพ้นจากห้องอุษา รสสุคนธ์ดิ้นเพราะไม่พอใจ
“ปล่อย ปล่อยฉันปล่อยสิโว้ย”
รสสุคนธ์ถูกผลักไปล้มที่หน้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้า รสสุคนธ์ถลามาที่ประตูแล้วทุบแรงๆ
“นังอุษา...อย่าคิดนะว่าแกจะเอาผัวฉันไปซ่อนไว้ นังแมวขโมย...อย่าให้ฉันจับได้นะ”


รสสุคนธ์เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิดโกรธแค้น เธอเดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วก็นิ่งคิดว่าชีพหายไปไหนเมื่อเงยมองไปในกระจกเงาเธอก็ต้องชะงัก ลั่นทมยืนจ้องรสสุคนธ์เขม็ง
รสสุคนธ์เบิกตากว้างเพราะตกใจมาก เธอหันขวับมายังจุดที่คาดว่าลั่นทมจะยืนอยู่แต่ก็ไม่มีใคร และทุกอย่างปกติ รสสุคนธ์หันกลับไปมองกระจกเงาอีกครั้งแต่ในกระจกไม่มีใคร รสสุคนธ์นิ่งอึ้งแล้วก็หลับตาโดยพยายามปลอบใจตัวเองว่าตาฝาด เธอลืมตา ตั้งสติ แล้วเดินช้าๆอย่างระวังไปหยิบโทรศัพท์มือถือของชีพก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องด้วยอาการรีบร้อน


เสียงเคาะประตูดังขึ้น หนุ่ยเดินไปเปิด รสสุคนธ์รีบเข้ามา นฤมลเห็นก็โผเข้าไปกอดรสสุคนธ์ร้องไห้โฮ รสสุคนธ์มีสีหน้ารำคาญแต่ก็ไม่พูดอะไร นฤมลคร่ำครวญปนสะอื้น “รส..พี่จะทำยังไง ไม่มีพี่วัตแล้ว พี่กับลูกจะทำยังไงพี่มองไม่เห็นอนาคตเลย พี่ไม่ควรมาที่นี่เลย โธ่ พาวัตมาตายแท้ๆ”
รสสุคนธ์กำลังหงุดหงิดทั้งเรื่องชีพเรื่องที่ตนเห็นลั่นทมในกระจกเงา เธอมีท่าทางยังกลัวอยู่ แต่ไม่กล้าบอกใคร รสสุคนธ์ดันตัวนฤมลออกห่าง พูดเสียงเครียด กึ่งตวาด
“หยุดคร่ำครวญทีเถอะ ถึงพี่วัตอยู่พี่มลก็ไม่มีอนาคตอยู่แล้วตอนนี้รสจะบ้าอยู่แล้ว..คุณชีพหายไปไหนไม่รู้ รถก็อยู่เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยน..โทรศัพท์ก็ทิ้งไว้” รสสุคนธ์หยิบโทรศัพท์ให้ นฤมลดู “รสคิดไม่ออกเลยว่าคุณชีพไปไหน”
“ไปกินเหล้าข้างนอกมั้ง หมู่นี้คุณชีพกินแต่เหล้า”
รสสุคนธ์ส่ายหน้าเดินไปมาครุ่นคิดแล้วก็ทำท่านึกได้
“หรือว่าไปคอนโด เอ แต่จะไปยังไง...”
รสสุคนธ์รีบกดโทรศัพท์แล้วก็รอสาย เธอหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อไม่มีใครรับ รสสุคนธ์กดตัดการติดต่อ
“บ้าที่สุดในเวลาอย่างนี้หายหัวไปไหนกันหมด”
นฤมลนิ่งนึกแล้วก็หน้าตาตื่น “หรือแอบไปหานังอุษา”
“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้น แต่ไปดูที่ห้องนังอุษาแล้วก็ไม่มี”
“ไม่ต้องหงุดหงิดไปหรอกรส พี่ว่าอาจออกไปกินเหล้าแถวนี้ล่ะ เดี๋ยวก็คงกลับมาเอง”
รสสุคนธ์นิ่งเงียบแล้วตัดบท “ฉันนอนด้วยคนนะพี่”
“ดีสิจะได้ปรึกษาหารือกัน” นฤมลพูดกับหนุ่ยและโหน่ง “หนุ่ย โหน่ง กลับไปห้องได้แล้วลูก..มาแม่พาไป”
นฤมลพาหนุ่ยและโหน่งเดินออกไป รสสุคนธ์นั่งนิ่งเงียบและมีสีหน้าท่าทางกังวล รสสุคนธ์มองรอบๆห้องแล้วรีบขึ้นเตียงห่มผ้าพึมพำคนเดียว
“เป็นไปไม่ได้ ฉันตาฝาด...ตาฝาดแน่ๆ ผีลั่นทมมีซะที่ไหนไม่มีหรอก..”
รสสุคนธ์ดึงผ้าคลุมโปงมิด


ลั่นทมยืนมองนิ่งๆไปที่โลงในสุสาน ลั่นทมทะลุผ่านเข้าไปในโลงเห็นชีพก็อ่อนแรงและร้องเสียงแหบแห้ง
“ช่วยด้วย..ฉันอยู่นี่..รสช่วยด้วย..รส”
วิญญาณลั่นทมมีสีหน้าโกรธแค้น เธอพูดเสียงดังก้องสุสาน
“ยังเรียกหารสสุคนธ์อีกเหรอชีพ ก็เพราะผู้หญิงคนนั้นคุณถึงต้องมาเป็นแบบนี้ ถ้าคุณยังไม่สำนึกจริงๆ ฉันจะไม่ปล่อยคุณไป คุณต้องไปอยู่อีกโลกหนึ่งกับทม ได้ยินมั้ยชีพ”
ชีพมองลั่นทมตาเหลือกค้างแล้วพยายามดิ้นอีก เขามีสีหน้าแสดงอาการหวาดกลัว
“ไม่..ลั่นทม..ฉันยังไม่อยากตาย ฉันกลัวแล้ว รสช่วยด้วย”
ลั่นทมมองไปที่โลงเขม็งด้วยท่าทางน่ากลัว


เช้ามืด รสสุคนธ์เดินออกมาด้วยสีหน้ากังวล รสสุคนธ์ชะเง้อมองหน้าบ้าน
“ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับอีกนะ”
รสสุคนธ์หันจะกลับเข้าบ้าน เธอชะงักเหลือบไปเห็นชีพวิ่งเซมาจากทางสุสาน รสสุคนธ์หันกลับมามองแล้วก็ดีใจ “ชีพ..”
ชีพเห็นรสสุคนธ์ดีใจแล้วก็พยายามเรียกแต่เสียงแหบแห้งมาก “รส..ช่วยด้วย..”
ชีพหอบหายใจเพราะความเหนื่อย เขาล้มลง รสสุคนธ์รีบวิ่งเข้าไปแล้วก็ชะงักตะลึงเพราะตกใจสุดขีด ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นขวางหน้าตาดุดัน รสสุคนธ์ร้องเสียงหลง
“ว้าย..ลั่นทม”
ลั่นทมยื่นมือยาวออกมาจะบีบคอรสสุคนธ์ รสสุคนธ์รีบหันกลับวิ่งหนีเอาตัวรอด ชีพตะโกนเรียก ตะเกียกตะกาย
“รส..อย่าไป ช่วยฉันด้วย ช่วยด้วย”
รสสุคนธ์วิ่งเตลิดร้องไปด้วย “ไม่..ไม่....”
ลั่นทมหัวเราะดังก้องตามมาติดๆ


นฤมลเขย่าตัวเรียกรสสุคนธ์ รสสุคนธ์หลับแต่ใช้มือปัดป้องแล้วร้องเสียงดัง
“ไม่..ไม่...ไปให้พ้น”
“น้องรส..น้องรส”
รสสุคนธ์สะดุ้งตกใจตื่นก่อนจะลุกขึ้นมานั่งหอบในสภาพเหงื่อเต็มหน้า
“พี่มล.” รสสุคนธ์มองไปรอบๆ “มันไปแล้วเหรอ นี่ที่ไหน”
นฤมลงง “ใครไปไหน ก็นี่ห้องพี่ เมื่อคืนน้องรสมานอนกับพี่ เพราะว่าคุณชีพหายไปไง”
รสสุคนธ์นึกได้แล้วก็ถอนใจโล่งอก “โธ่เอ๊ย ฝันไป..”
รสสุคนธ์มองไปรอบๆ ด้วยสายตาเหมือนใช้ความคิดแล้วก็รีบลุกพรวดพราด เธอวิ่งออกจากห้องไป นฤมลมองตามไปอย่างงงๆ แล้วก็พูดเบาๆ “อะไรของเขา”


รสสุคนธ์เดินเข้ามาในห้องนอนโดยหวังว่าจะได้พบชีพ แต่ห้องนอนว่างเปล่าก็ผิดหวัง หงุดหงิดอีก
“ไปไหนของเขานะ”
รสสุคนธ์เดินไปกระแทกตัวนั่งที่หน้ากระจก แล้วก็ชะงักค่อยๆเหลือบมองในกระจก แต่ทุกอย่างปกติ รสสุคนธ์ถอนใจ
“บ้าจริง ไม่มีอะไรสักหน่อยคิดมากจนเก็บไปฝันเป็นเรื่องเป็นราว”
รสสุคนธ์รีบลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป


รสสุคนธ์ยืนอยู่ที่หน้าอ่างล้างหน้า เธอมองเงาตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าหวาดๆ เหลือบมองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศหลอนๆ จู่ๆ ไฟก็ดับแล้วก็กะพริบ รสสุคนธ์สะดุ้งที่เห็นลั่นทมอยู่ด้านหลังแว่บๆ รสสุคนธ์หันขวับไปมองก็เห็นไฟเปิดปกติไม่มีอะไร รสสุคนธ์กุมหัวใจตัวเองแล้วพูดปลอบใจตัวเอง
“ก็แค่ไฟดับ ไม่มีอะไรน่า อย่าปอดสิรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ก้มลงไปล้างหน้า
เงาในกระจกเป็นลั่นทมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ลั่นทมจ้องมองรสสุคนธ์ด้วยสายตาน่ากลัว รสสุคนธ์กำลังล้างหน้า น้ำที่ไหลออกจากก๊อกเป็นสีเลือด รสสุคนธ์ชะงักตาเหลือก เธอเงยขึ้นก็เห็นลั่นทมในกระจก รสสุคนธ์หันขวับมาก็ไม่เห็นอะไร รสสุคนธ์หอบเหนื่อยแล้วกลับไปดูน้ำที่ไหลจากก๊อกก็เห็นเป็นปกติ
“แกจะบ้าไปแล้วนังรส ผีลั่นทมมีที่ไหนกัน”
รสสุคนธ์รีบล้างหน้าไวๆ เพราะต้องการกลบเกลื่อนความกลัวของตัวเอง


อุษาถือถาดเครื่องเซ่นเข้ามาที่หน้าสุสาน ฉ่ำ สมพร และวิเวกเดินตามมาด้วย ฉ่ำเปิดประตูให้ ทั้งสี่คนผงะ
“เฮ้ย ทำไมกลิ่นแรงยังงี้” ฉ่ำผงะ
“นั่นสิอย่างกับฝาโลงเปิดแน่ะ”
“อย่าบอกนะว่าคุณผู้หญิงออกมาเดินเล่น”
ทั้งสามคนมองหน้ากันหวาดๆ อุษาใจไม่ดี “รีบเข้าไปกันเถอะ”
อุษาก้าวนำเข้าไป พวกฉ่ำมีท่าทางหวาดๆ แล้วมองไปรอบๆก่อนจะตามเข้าไปอย่างกลัวๆกล้าๆ



อุษาเดินนำทุกคนเข้ามา อุษามองไปรอบๆห้องแล้วไปหยุดที่โลงศพก็เห็นว่าทุกอย่างเป็นปกติ อุษาถอนใจโล่งอก
“ไม่มีอะไรนี่”
“แต่กลิ่นแรงมากเลยนะครับ ผมว่าเมื่อคืนต้องมีใครต้องมาเปิดโลงแน่” วิเวกบอก
ชีพนอนสงบนิ่งแต่มีสีหน้าหวาดกลัวก่อนจะพูดเสียงแหบแห้ง
“ช่วยด้วย ..ฉันอยู่ในนี้”
ศพลั่นทมหันมากระซิบกระซาบ “อย่าพยายามพูดเลย..ทมไม่ให้เค้าได้ยินหรอก”
ศพลั่นทมแสยะยิ้มเยาะเย้ย ชีพทำหน้าอยากจะตายเสียให้ได้
อุษาวางเครื่องเซ่นไหว้ลั่นทมแล้วลุกเดินเข้ามาดูที่โลงใกล้ๆ ก่อนจะจับฝาโลง
“ฝาโลงก็ปิดสนิทนี่นะไม่เห็นมีรอยเปิดเลย”
ชีพพยายามส่งเสียง แต่ไม่มีใครได้ยิน
“ช่วยด้วยอุษา..น้าอยู่ในนี้ ช่วยน้าออกไปที”
ศพลั่นทมหันมาพูดด้วยความกราดเกรี้ยว
“คิดร้ายกับอุษาตลอดเวลา แต่ตอนนี้มาเรียกให้ช่วย” ชีพสุดทนจึงตวาดไป “นังผีร้ายปล่อยฉันออกไป”
“ถึงร้ายก็รักคุณคนเดียวนะชีพ”
ลั่นทมผงกหัวขึ้นมาจูบแก้มชีพ ชีพเบนหนีจนคอแทบหลุดด้วยความขยะแขยงสุดขีด
ทุกคนตรวจตราดูความเรียบร้อยในสุสานอีกครั้ง
“ไม่เห็นมีอะไรจริงๆ แต่ทำไมกลิ่นถึงแรงยังงี้” ฉ่ำว่า
“หรือว่าโลงมีรอยแตกตรงไหนกลิ่นถึงได้ออกมา ยังไง ทานข้าวเช้าแล้วลุงฉ่ำมาตรวจดูให้หน่อยนะจ๊ะ” อุษาบอก
“ครับๆ ไม่ต้องห่วง”
อุษามองไปรอบๆอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป พวกฉ่ำตามออกไปจนหมดแล้วปิดประตู ชีพตกใจก็พยายามร้องเรียกเสียงดัง
“อย่าเพิ่งไป ฉัน..ติดอยู่ในนี้..ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ศพลั่นทมฮัมเพลงอย่างมีความสุข

อ่านต่อตอนที่ 10

กำลังโหลดความคิดเห็น