สุสานคนเป็น ตอนที่ 7
ณ ห้องทำงานของสารวัตร สารวัตรใหญ่กำลังคุยกับธารินทร์เรื่องที่ธารินทร์จะได้ย้ายเข้ากรุงเทพฯ
ธารินทร์นิ่งอึ้งแล้วในที่สุดสารวัตรใหญ่ก็ลุกขึ้นยื่นมือให้ธารินทร์จับเพื่อแสดงความยินดีในขณะที่ธารินทร์เป็นกังวลถึงอุษา
“ดีใจด้วยที่คุณจะได้เข้ากรม..”
“แต่ผม..ยังเป็นห่วงที่นี่”
“ไม่เป็นไรน่า..ทางนี้ผมจะดูแลเอง..หรือคุณไม่ไว้ใจ”
ธารินทร์รีบพูด “เปล่าๆ ครับสารวัตร..ผม..เอ่อ..เป็นห่วง แฟนผมน่ะครับ”
“อ๋อ” ธารินทร์หัวเราะเสียงดัง “งั้นก็แต่งซะเลยสิจะได้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน”
ธารินทร์อึ้งและมีสีหน้าคิดหนัก
ต้อยติ่งที่กำลังช่วยผันจัดร้านขายยาแผนโบราณถามธารินทร์ด้วยความดีใจ
“พี่ธารินทร์จะย้ายเข้ากรุงเทพฯจริงเหรอไปด้วยนะ ต้อยติ่งอยากไปเรียนที่กรุงเทพฯ”
“ไปให้พี่เขาเป็นห่วงทำไม”
ธารินทร์เดินมาบอกผันด้วยสีหน้ากังวล “ผมไม่อยากย้ายเลยพ่อ”
“วะ..ที่เขาดึงไปเพราะเจ้านายเขาเห็นฝีมือถึงเอาไปใช้ใกล้ชิดอนาคตเอ็งรุ่งแน่ ทำไมไม่ชอบล่ะ หรือว่าเอ็งห่วงอะไร”
ต้อยติ่งพูดจาแก่แดด “โธ่พ่อก็ไม่น่าถามก็ห่วงพี่อุษานะซี้”
ธารินทร์หน้าเครียด ผันมองแล้วพูด “ไม่เห็นยากก็ตบแต่งกันซะก่อนไปสิ หนูษาคงไม่ขัดข้องมั้ง”
ธารินทร์นั่งเงียบและมีท่าทางคิดหนัก
อุษาอยู่ในชุดทำงานเตรียมจะออกจากบ้าน เธอตอบธารินทร์ทันที
“คงไม่ได้หรอกค่ะ ษาไปแล้วใครจะดูแลคุณน้า”
ลั่นทมเดินเข้ามาพร้อมชีพ “คนดูแลน้า ก็น้าชีพไงจ๊ะ” ลั่นทมยิ้ม “ดูแลเรื่องอะไรกันเอ่ย”
ธารินทร์ไหว้ทั้งสอง “คือผมต้องย้ายไปประจำที่กรุงเทพครับ ผมเลยขอษาแต่งงาน”
ชีพไม่พอใจแต่ลั่นทมยิ้ม “ข่าวดีนี่จ๊ะไม่ดีตรงต้องย้ายนี่สิ” ลั่นทมพูดกับอุษา “น้าก็นึกว่ายังจะอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก น้ายังมีน้าชีพอยู่ทั้งคน”
“แต่ษายังไม่อยากแต่งค่ะ”
ลั่นทมโอบประคองอุษาอย่างเอ็นดูแล้วพูดกับธารินทร์ “เธอไม่มีบ้านที่กรุงเทพไม่ใช่เหรอ เอางี้นะอย่าไปอยู่ บ้านหลวงเลย” ลั่ทมพูดกับอุษา “เอาเงินที่น้า ไปซื้อบ้านซักหลังตอนนี้ก็ให้คุณธารินทร์ย้ายไปอยู่ก่อนไว้หนูพร้อมแต่งเมื่อไหร่ค่อยย้ายไป”
ชีพไม่พอใจ อุษาเงียบ ธารินทร์รีบปฏิเสธ
“แต่ผม..”
“ไม่ต้องเกรงใจน้าหรอก พ่อเธอมีบุญคุณกับน้า ขาดเหลือยังไงมาบอกนะน้ายินดีช่วย” ลั่นทมมองไป “อ้อ..คุณไกรมาพอดี..น้ามีธุระกับคุณไกรหน่อย ขอตัวนะจ๊ะ”
ไกรหิ้วกระเป๋าเอกสารเดินเข้ามา ลั่นทมพูดกับไกร “เชิญที่ห้องหนังสือค่ะ”
ไกรเดินไปทางห้องหนังสือ ชีพเดินตามไปแต่ลั่นทมหันมาแล้วพูด
“ทมขอคุยกับคุณไกรตามลำพังนะคะ..”
ชีพชะงักนิดหนึ่งแล้วฝืนยิ้มพยักหน้าด้วยความมั่นใจว่าลั่นทมต้องทำตามที่ตนบอก ชีพกระซิบกับลั่นทม
“อย่าลืมที่ผมเตือน”
“ค่ะ ไม่ลืม..”
ลั่นทมพูดจบก็เดินเข้าห้องหนังสือกับไกร ชีพหันมามองอุษาและธารินทร์ก่อนจะยิ้มให้อย่างเหนือกว่าแล้วเดินออกไป อุษามองตามลั่นทมไปอย่างไม่สบายใจ
อุษาและธารินทร์เดินออกมาจากตัวบ้าน ธารินทร์ดึงแขนอุษาไว้ให้หยุดคุยกัน อุษารีบพูด
“ไว้คุยกันทีหลังเถอะค่ะ”
“ผมกำลังพูดถึงเรื่องแต่งงานนะ”
อุษาหันมายิ้มหวานแล้วหยุดมองธารินทร์ที่กำลังน้อยใจ
“อย่าเพิ่งน้อยใจซีคะ จริงๆ แล้วเป็นความผิดของคุณนะ”
“ผม ไม่ได้อยากย้ายนะษา แต่มันเป็นคำสั่งผมต้องทำตาม”
“ไม่ใช่เรื่องย้ายค่ะ แต่คุณบอกษาเองว่า น้าชีพกำลังวางแผน”
อุษาชะงักมองไปด้านหลังเห็นชีพเดินยิ้มกริ่มเข้ามามองธารินทร์ด้วยสายตาดูถูก
“ยังปรึกษาหารือกันไม่จบเหรอ ไงธารินทร์ ผมอิจฉาคุณจริงๆ”
ธารินทร์งง “เรื่องอะไรครับ”
“อ้าว ก็ไม่ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวเก็บเงินแต่งงานไง เพราะฝ่ายหญิงเขาประเคนให้แล้วนี่ ทั้งเงินทั้งเรือนหอสบายทั้งชาติเลย”
ชีพหัวเราะเยาะเย้ย ธารินทร์โกรธ อุษาทำท่าจะโต้กลับแต่ธารินทร์จับแขนเธอไว้ อุษาชะงักที่ชีพคิดว่าเป็นต่อจึงยิ้มเยาะๆ แล้วเดินไป อุษาสะบัดแขนมองหน้าธารินทร์อย่างโกรธๆ
“ห้ามษาทำไมคะ เขาดูถูกคุณ”
“ปล่อยเขา จะฉีกหน้ากากนายชีพคนนี้ต้องใจเย็นๆ”
ธารินทร์มองตามชีพอย่างแค้นๆ เหมือนกัน
ณ ห้องหนังสือที่ผนังส่วนหนึ่งบุกระจกและม่านเปิดแง้มอยู่ ลั่นทมกับไกรอยู่ด้วยกันในห้องนี้ ลั่นทมกำลังบอกให้ไกรเข้าใจถึงเรื่องที่ตนต้องการยกสมบัติให้ชีพหากตนตายไปแล้ว แต่ชีพต้องทำตามสัญญาคือเอาศพตนไว้ในสุสานและพยายามรักษาให้ฟื้น แม้แพทย์จะลงความเห็นว่าได้ตายไปแล้วก็ตาม ไม่เช่นนั้นสมบัติทั้งหมดจะเป็นของอุษา ไกรจดบันทึกตลอด
ชีพเดินเข้ามาหยุดมองอยู่ที่หน้าห้องโดยไม่เข้าไปและไม่ได้ยินเสียงที่ลั่นทมพูดกับไกร แต่ก็รู้ว่าทั้ง 2 ต้องปรึกษาหารือเรื่องเงินกันแน่ ชีพมองอย่างสงสัย
“ลั่นทมต้องเชื่อเราแน่ๆไม่งั้นคงไม่เรียกคุณไกรมา”
เสียงหวานดังขึ้น “เครื่องดื่มค่ะคุณผู้ชาย”
ชีพสะดุ้งหันมา หวานมองชีพด้วยสายตาประหลาดทั้งไม่ไว้ใจและรังเกียจอยู่ในที ในมือถือถาดเครื่องดื่มสำหรับชีพ ชีพรับแก้วเครื่องดื่ม หวานยังรีรออยู่และมองเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมกับพูดเรื่อยๆ
“คุณผู้หญิงเธอเป็นคนดีเหลือเกิน”
ชีพจิบเครื่องดื่มพลางพยักหน้าส่งเดชแล้วหันไปทางอื่นเหมือนไม่อยากพูดกับหวาน แต่หวานยังไม่ไปและยังพูดต่อ
“คนดีๆอย่างนี้ใครคิดร้ายต่อเธอคงไม่พ้นตกนรกอเวจีแน่ๆ”
ชีพชะงักยืนนิ่ง หวานลอยหน้าถามอย่างหมั่นไส้สุดๆ
“คุณผู้ชายว่างั้นมั้ยคะ”
ชีพยืนสงบนิ่งไม่ยอมหันมาสบตาหวาน หวานทำไม่รู้ไม่ชี้เดินเลี่ยงไป ชีพหันมองตามหวานอย่างไม่พอใจแล้วพึมพำเบาๆ
“อีน้าหวานจงใจด่าฉันเหรอ วอนซะแล้วมึง”
ไกรหิ้วกระเป๋าเอกสารออกมาจากบ้านลั่นทม โดยที่ชีพดักรออยู่ที่มุมหนึ่ง ไกรซึ่งกำลังจะไปที่รถชะงัก
“คุณไกร ลั่นทมให้ทำเรื่องอะไร” ชีพถาม
“พินัยกรรมใหม่ครับ..ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้คุณเมื่อเธอเสียชีวิตแล้ว”
ชีพตะลึงแล้วเผลอยิ้ม ไกรจะผละไปที่รถ ชีพเรียกไว้
“เดี๋ยว... บ้านหลังนี้รวมทั้งเรือนไทยและเครื่องเพชรใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
ไกรขึ้นรถขับออกไป ชีพตื่นเต้นและปล่อยให้ไกรขับรถออกไป แล้วในที่สุดเขาก็ยิ้มอย่างสมใจ
“นังโง่นั่นเชื่อเราจริงๆ แฮะ..ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน”
ลั่นทมเตรียมตัวอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนเพราะจะออกไปดินเนอร์กับชีพ ชีพเข้ามากอดลั่นทมจากทางด้านหลัง
“ทมจ๋า.. ผมรักทม”
ลั่นทมหันมาจ้องมองชีพอย่างรักใคร่สุดหัวใจ
“ทมเชื่อแล้วค่ะว่าชีพรักทมจริงๆ..ทมถึงเชื่อชีพทุกอย่าง”
ชีพจะรั้งลั่นทมเข้ามา ลั่นทมยั้งไว้เบาๆ แต่มีสีหน้าสดชื่น
“เรากำลังจะไปดินเนอร์กันไม่ใช่เหรอคะ ทมมีความสุขจังกลัวเหลือเกินกลัวว่าทมจะมีเวลาแบบนี้ไม่นาน”
ชีพยิ้มเบิกบาน เขาจูบลั่นทมเบาๆ อย่างทนุถนอมด้วยท่วงทีลีลาไม่ส่อพิรุธแม้แต่น้อย
“ตอนนี้ทมก็แข็งแรงดีแล้วนี่จ๊ะ”
“แต่ทมไม่อยากประมาทค่ะถ้าทมต้องตายอีกแล้วเกิดไม่ฟื้นชีพจะได้ไม่ยุ่งยาก”
“งั้นก็ตามใจทม วันนี้ทมอยากทำอะไรผมจะตามใจทมทุกอย่าง”
ลั่นทมคลอเคลียชีพขณะออกจากห้องนอนด้วยหน้าตาเบิกบาน
ลั่นทมคลอเคลียชีพออกจากข้างในแล้วจะไปหน้าบ้าน หวานซึ่งกำลังคุมให้สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจทำความสะอาดบ้านหันมามองกันทุกคน
“โอโหวันนี้คุณผู้หญิงสวยจังค่ะ” จิ้มลิ้มชม
ลั่นทมก้มลงมองดูตัวเองแล้วยิ้มพอใจ “จริงหรือเปล่าอย่าหลอกคนแก่นะ”
“ใครว่าคุณผู้หญิงแก่ค่ะคุณผู้หญิงยังปิ๊งอยู่เลยค่ะ” สวาทชม
“จริงด้วยค่ะยิ่งวันนี้คุณผู้หญิงสวยสุดๆเลยรับรองออกไปเนี่ยหนุ่มๆ ต้องมองกันคอเคล็ดเลยค่ะ”
ลั่นทมหัวเราะเสียงดัง “ตายจริง สงสัยสิ้นเดือนนี้ต้องมีโบนัสพิเศษให้พวกเธอแล้วล่ะมั้ง”
คนใช้ทั้งสามดี๊ด๊าดีใจ หวานมีท่าทางเป็นห่วง “คุณผู้หญิงจะไปไหนคะ”
“ไปดินเนอร์จ๊ะอาจกลับดึกหน่อยไม่ต้องห่วงนะ”
ลั่นทมคล้องแขนชีพพากันออกไปอย่างมีความสุขตรงข้ามกับหวานที่มองตามด้วยความรู้สึกสังหรณ์อยู่ในใจว่าทั้งหมดเป็นแผนร้ายของชีพ
ลั่นทมกับชีพเดินออกมาจะไปขึ้นรถแต่ก็ชะงักเมื่อมองไปที่รถเก๋งของอุษาที่ลั่นทมยกให้ใช้จอดอยู่ทางหนึ่ง
“ดูยัยษาสิให้รถก็ไม่ค่อยเอาไปใช้ แล้วนั่นทำไมกุญแจก็คาอยู่ คงจะรีบร้อนไปกับคุณธารินทร์ เอ้อชีพคะเอารถษาไปลองขับกันดูมั้ย” ลั่นทมชวน
“เอาสิ... ผมขับเอง”
ชีพขึ้นรถพร้อมลั่นทมและชีพที่ขับรถออกไปตามถนนด้วยท่าทางเอาใจลั่นทม ลั่นทมมีความสุข ชีพเหลือบมองลั่นทมด้วยแววตาร้ายกาจ
รถที่ชีพขับแล่นปราดไปอย่างรวดเร็วและเร็วมากขึ้น ลั่นทมที่คาดเข็มขัดนิรภัยนั่งเกร็งเขม็ง มือกำแน่นเพราะกลัวมาก ชีพหันมาถาม
“กลัวเหรอ”
“กลัวค่ะ ทำไมคุณขับรถเร็วขนาดนี้คะ”
“ผมอยากทดสอบอะไรหน่อย”
ลั่นทมมองชีพอย่างไม่เข้าใจ ชีพยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วขับเร็วมากขึ้น ลั่นทมหน้าซีดร้องเสียงดัง “ชีพคะ..”
“ทำไม”
ลั่นทมหลับตากำมือแน่น “ทมกลัว”
ชีพชายตามองอย่างตัดสินใจแล้ว ชีพเหยียบคันเร่งลงไปอีก ลั่นทมเกร็งเขม็งหน้าซีดเผือด
“ชีพหยุดรถเถอะค่ะทมกลัว กลัวมาก”
ทันใดนั้นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งทะยานออกจากข้างทางแล่นตัดหน้ารถชีพ ลั่นทมตกใจร้องกรี๊ด
“ว้าย.. ชีพ..”
ชีพเบรกอย่างแรงจนหน้ารถปัด ลั่นทมตาเหลือก เธอผงะไปข้างหน้าแล้วเด้งกลับมาด้วยแรงดึงของเข็มขัดแล้วกระแทกเบาะพนักที่นั่งฟุบไปข้างหน้า ลั่นทมใช้แขนยันด้านหน้ารถไว้แล้วซบกับแขนนิ่งเงียบ ชีพมองนิ่งๆ
สักพักชีพก็ค่อยๆยื่นมือเข้ามาจะแตะตัวลั่นทมโดยมีความหวังว่าลั่นทมจะช็อคตายไปแล้ว เมื่อมือชีพเกือบจะถึงตัวลั่นทม ลั่นทมก็เงยหน้าขึ้น ชีพชะงักด้วยความผิดหวังแต่รีบกลบเกลื่อนได้ทัน
“ทม..เป็นอะไรหรือเปล่า”
ลั่นทมที่หน้าตาซีดเซียวมองชีพอย่างไม่เข้าใจ
“ทำ..ทำไมถึงขับรถเร็วอย่างนี้คะ”
ชีพผิดหวังแต่รีบดึงตัวลั่นทมมากอด “ผมขอโทษแต่ทมผ่านการทดสอบแล้ว”
ลั่นทมงง “ทดสอบอะไรคะ ทมกลัวจนหัวใจจะหยุดเต้นอยู่แล้ว”
“แต่ก็ไม่หยุด แสดงว่าทมแข็งแรงมากแล้วตามที่หมอบอก ทมไม่ต้องกลัวตัวเองจะตายอีกแล้วนะที่รัก”
ลั่นทมอึ้งแล้วค่อยๆยิ้มออกมาแต่ก็อ่อนโรยเต็มที่ เธอพึมพำเบาๆ
“พาทมกลับบ้านเถอะค่ะ”
ชีพประคองลั่นทมลงนอนอย่างทะนุถนอม ลั่นทมพยายามยิ้ม
“ขอบคุณนะคะที่พยายามจะช่วยทม แต่อย่าทดสอบกับทมแบบนี้อีกนะคะ วันนี้ทมอาจโชคดีแต่วันหน้าทมอาจช็อกตายก็ได้”
“เหลวไหล...คุณจะไม่มีวันเป็นอะไรอีกแล้วผมรับรอง”
ชีพก้มลงจูบลั่นทมเบาๆ แล้วไปหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ประตูห้องน้ำปิด สีหน้าของลั่นทมก็สลดวูบแล้วครุ่นคิดด้วยความรู้สึกที่ไม่แน่ใจ
ชีพที่อยู่ในคอนโดมีเนียมหัวเสียสุดๆ
“นึกว่ามันจะช็อกตายไปแล้วเสียอีก ทำไมมันถึงอึดนักก็ไม่รู้”
“ก็มันห่วงสมบัติไงคะมันถึงไม่ยอมตายง่ายๆ แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
“ไม่เป็นไรฉันจะหาวิธีอื่น”
“อย่าช้านะคะเกิดมันเพี้ยนขึ้นมาเปลี่ยนพินัยกรรมอีกจะยุ่ง”
“ไม่มีทางหรอก ลั่นทมจะไม่มีวันได้เปลี่ยนพินัยกรรมอีกอย่างแน่นอน”
สีหน้าของชีพเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ลั่นทมเดินเข้ามาในสุสานด้วยความเศร้าซึม เธอเดินมองภายในห้องช้าๆ สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่โลงศพ แล้วก็น้ำตาไหล ลั่นทมเกาะขอบโลงพูดเบาๆ
“ถ้าจะตายก็ขอให้ตายไปเลยจริงๆ ฉันไม่อยากตายทั้งเป็นอีก..”
ลั่นทมทรุดนั่งข้างๆโลงศพที่ทำไว้แล้วร้องไห้สะอื้น
อุษา ธารินทร์ ผัน และต้อยติ่งพากันมาที่หน้าบ้านในหมู่บ้านจัดสรร
“ก็ไม่เลวนี่คะ กะทัดรัดน่ารักดี” อุษาบอก
“แต่หนูว่ามันเล็กไป ทำไมไม่ซื้อที่ใหญ่ๆมีสนามกว้างๆล่ะพี่รินทร์”
“พี่ก็อยากซื้อแต่มันแพง” ธารินทร์บอก
“ก็ษาบอกแล้วว่าจะช่วยไงคะ”
“ไม่ล่ะครับษา ผมขอสร้างบ้านด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมดีกว่า”
ผันเข้ามามองธารินทร์ด้วยความพึงพอใจ
“เออพูดได้ถูกใจพ่อ เริ่มต้นก็แบบนี้ล่ะแล้วค่อยๆขยับขยาย หนูอุษาคงอยู่ได้นะ”
“ษาไม่มีปัญหาหรอกค่ะที่อยากช่วยเพราะไม่อยากให้รินทร์เหนื่อยคนเดียว”
ธารินทร์จับมืออุษา “ผมเต็มใจที่จะเหนื่อยเพื่อครอบครัวของเรา”
ธารินทร์ลืมตัวจะยกมืออุษาขึ้นมาจูบ ผันกับต้อยติ่งกระแอมแซวกันใหญ่ อุษาเขินจึงรีบดึงมือออกแล้วเดินเข้าไปดูในตัวบ้าน ธารินทร์หันมามองผันกับต้อยติ่งดุๆ แล้วรีบตามอุษาเข้าไป ผันกับต้อยติ่งขำก่อนจะตามเข้าไปด้วย
ชีพ ลั่นทม อุษา และธารินทร์นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ลั่นทมยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความอารมณ์ดี
ลั่นทมพูดกับธารินทร์ “ตกลงซื้อเรียบร้อยแล้วเหรอ เงินพอมั้ยจ๊ะ”
“พอครับผมดาวน์บางส่วนแล้วผ่อนเอา”
“ทำไมล่ะ” ชีพถามอุษา “เงินที่น้าให้ไม่พอเหรอ”
“รินทร์เขาไม่ยอมให้ษาช่วยสักบาทเลยค่ะ เขาจะจัดการเอง” อุษาบอก
ชีพพยักหน้าพูดเหมือนชื่นชม “ฮึ่มเป็นสุภาพบุรุษดีมาก ขอชื่นชม”
ธารินทร์เหน็บกลับ “ครับผมไม่อยากให้ใครมาตราหน้าว่าเกาะชายกระโปรงผู้หญิง”
ชีพสะอึก ลั่นทมส่ายหน้า
“โธ่คิดมากไปได้อีกหน่อยแต่งกันเงินเธอหรือเงินษามันก็ไม่ต่างกันหรอกจ๊ะ แต่เอาเถอะถ้าเธอสบายใจน้าก็ไม่ว่าแต่อย่าลืมว่าน้ายินดีช่วยเสมอ”
“ขอบคุณครับ”
“จะย้ายของอีกสองวันนี่แหละคะษาว่าจะขออนุญาตคุณน้าลางานไปช่วยรินทร์จัดบ้านหน่อย”
“เอาสิเอาคนของเราไปช่วยด้วยน้าอนุญาต”
ชีพชายตามองลั่นทม ความคิดชั่วร้ายวูบขึ้นในสายตาของเขา
“ใช่ย้ายบ้านกันทีวุ่นวายจะตาย ให้นายฉ่ำนายพรนายเวกไปช่วยกันขนข้าวของ ส่วนเรื่องกวาดถูจัดในบ้านก็ระดมหวานสวาทจิ้มลิ้มยาใจไปช่วยด้วย จะได้เสร็จเร็วๆ”
ชีพทำเหมือนพึ่งนึกได้ “อ้าวก็วันนี้วันหยุดไม่ใช่เรอะ ก็ไปทำซะวันนี้เลยซิ”
“จริงด้วย ไปสิ วันนี้น้าก็ไม่ได้ไปไหน พากันไปทำซะให้เสร็จๆ”
“ค่ะคุณน้า” อุษายกมือไหว้ “ษากราบขอบคุณค่ะ”
อุษามองชีพแว่บหนึ่งอย่างไม่ไว้ใจ ชีพทำไม่รู้ไม่ชี้
“ผมก็ต้องขอบคุณคุณน้าทั้งสองด้วยครับ”
ธารินทร์ไหว้ลั่นทมและชีพ ชีพแกล้งทำพูดดีด้วย
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่าเราคนกันเองทั้งนั้น”
ฉ่ำ วิเวก และสมพรเอะอะกับหวาน สวาท และจิ้มลิ้ม
“เอ้า..แบ่งๆ กันนั่ง อย่าแย่งกันๆ”
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจเฮโลกันขึ้นรถธารินทร์ ส่วนวิเวกกับสมพรไปขึ้นรถฉ่ำ อุษาเดินเข้ามาธารินทร์แล้วกระซิบ
“ระวังตัวด้วยนะ ถ้ามันเป็นแผนของเขาคุณจะตกอยู่ในอันตรายไปด้วย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะษาดูแลตัวเองได้ เขาคงไม่กล้าทำอะไรโง่ๆ หรอกค่ะ”
ธารินทร์พยักหน้าเห็นด้วยแล้วขึ้นรถขับออกไป ฉ่ำขับรถตามธารินทร์แต่กฌหยุดรถถาม
“คุณอุษาจะขับรถไปเองหรือครับ” ฉ่ำถาม
“จ้ะ ษาจะตามไปทีหลัง นึกได้ว่างานยังไม่เสร็จ”
ฉ่ำพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วขับรถพากันออกไปจากบ้านลั่นทม
ลั่นทมยืนมองอยู่ที่ระเบียงค่อนข้างสูง เธอมองเหม่อไปยังสุสาน ชีพค่อยๆ ย่องเข้ามาหาลั่นทมจากทางด้านหลัง สีหน้าของชีพบ่งบอกว่าอยากจะผลักลั่นทมให้ร่วงลงจากหน้าต่าง ชีพค่อยๆเอื้อมมือไป แต่ยังไม่ทันที่ชีพจะทำอะไร อุษาก็เดินเข้ามา
“คุณน้าคะ..”
ลั่นทมและชีพหันมาแต่ด้วยอาการที่ต่างกัน ลั่นทมหันมาตามปกติ ส่วนชีพถึงกับสะดุ้งแล้วรีบกลบเกลื่อนทำไม่รู้ไม่ชี้
“อ้าวชีพ อุษา..เออแน่ะ..ยัยษารั้น..ไม่ไปจนได้” ลั่นทมพูดกับชีพ “นึกว่าคุณไปพบลูกค้าแล้วซะอีก..เอ๊ะ..คุณบอกจะรีบไปไงคะ”
“ก็เห็นไม่มีใครอยู่ ผมห่วงคุณก็เลยเปลี่ยนใจ ษานะทำไมไม่ไปช่วยหมวดเขาล่ะ บ้านนั้นก็บ้านเธอเหมือนกันนะ”
“ษาก็เป็นห่วงคุณน้าค่ะอยู่คนเดียวเกิดอะไรขึ้นจะมีใครรู้”
อุษาเหลือบมองชีพอย่างรู้ทัน ชีพทำเฉยแล้วโอบลั่นทม
“ทมเนี่ยโชคดีมากรู้มั้ยที่มีหลานกตัญญูอย่างอุษา” ชีพบอก
“ค่ะทมรู้ทมถึงรักษามากไงคะ”
ชีพอึ้งมองอุษา อุษายิ้มรู้ทัน ชีพชักหงุดหงิดแต่ข่มไว้
“ถ้าทมมีอุษาอยู่เป็นเพื่อนผมก็ไม่ต้องห่วงแล้ว งั้นผมขอออกไปทำธุระส่วนตัวหน่อยนะจ๊ะ”
“ตามสบายเลยค่ะทมอยู่กับษาได้ เรามาทำอะไรทานกันดีมั้ยษา”
“ค่ะคุณน้า”
ชีพมองลั่นทมที่เดินคุยกับอุษาออกไปด้วยความเจ็บใจ
ชีพกับรสสุคนธ์นั่งคุยกันอยู่ในร้านอาหาร
“นังอุษานี่มันตัวมารจริงๆ คราวก่อนทุกอย่างพังก็เพราะมัน”
รสสุคนธ์มองซ้ายขวาแล้วกระซิบชีพอย่างเหี้ยมๆ
“ทำไมคุณไม่จัดการมันทั้งน้าทั้งหลานเลยละคะชีพ”
“บ้าน่ารส ทำอย่างนั้นก็คุกนะสิ ใจเย็นๆเถอะอุษามันไม่มีทางปกป้องน้ามันได้ทุกวินาทีหรอก มันต้องมีเวลาของเราแน่นอน”
รสสุคนธ์อึกอัก “แต่..”
“เชื่อฉัน...แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
“ก็ได้ค่ะ รสจะเชื่อคุณ”
ชีพพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วครุ่นคิด รสสุคนธ์มองชีพด้วยความรำคาญแต่ไม่กล้าแสดงออก
ชีพขับรถเข้ามาจอดที่มืดๆ หน้าบ้าน เขาดับเครื่องแล้วลงจากรถจะเดินเข้าบ้าน
เสียงอุษาเรียกไว้ “เดี๋ยวค่ะน้าชีพ”
ชีพหยุดชะงักแล้วมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร เขาหันกลับมาก็ชะงักมองแล้วยิ้มที่เห็นอุษาเดินออกมาในมุมมืด “ษาขอคุยกับน้าชีพหน่อย ขอเวลาซัก 2-3 นาที”
ชีพยิ้มกรุ้มกริ่มส่งสายตาเจ้าชู้กับอุษา
“คุยทั้งคืนก็ได้” ชีพเดินเข้าไปใกล้ “สำหรับษาน้ามีเวลาให้เสมอ”
ชีพเอื้อมมือไปจะโอบไหล่อุษา อุษาเบี่ยงตัวหนี ชีพยิ้มแล้วส่งสายตาเจ้าชู้ก่อนจะโบกมือ “โทษที ไม่ได้คิดอะไร นึกว่าเป็นหลานคนหนึ่งเท่านั้นเองเอ้ามีอะไร”
อุษาพูดเสียงเครียด
“ษาไม่เข้าใจ น้าชีพคิดอะไรอยู่ ถึงเอาคุณน้าลั่นทมไปเสี่ยงทดสอบแบบนั้น”
“ทดสอบอะไรอ้อลั่นทมเล่าให้เธอฟังเหรอ”
“ค่ะน้าชีพขับรถเร็วๆ แล้วแกล้งเบรคแรงๆ ให้คุณน้าทมตกใจแบบนั้น ถ้าคุณน้าทมเกิดตกใจจนช็อก แล้วน้าชีพจะว่าไง”
ชีพพูดกวนๆ “แล้วน้าเธอเขาช็อกหรือเปล่าล่ะ”
อุษาจ้องชีพเขม็งเหมือนจะเอาเรื่อง ชีพมองกวนๆ แล้วตอบ
“ทำไม....ษาคิดว่าน้าจะฆ่าลั่นทมหรือไง”
“น้าคิดจะทำอะไรน้าก็รู้อยู่แก่ใจแต่ษาอยากขอร้องสงสารคุณน้าบ้างเถอะค่ะ ษาไหว้ล่ะ”
อุษายกมือไหว้ ชีพรีบจับมืออุษาแล้วรั้งตัวเข้ามากอด อุษาขืนตัวไว้
“นี่เธอกำลังกล่าวหาน้านะอุษา”
อุษาสะบัดตัวออกอย่างแรงจนหลุด
“ษาขอบอกให้น้ารู้ไว้ด้วยว่าถ้าคุณน้าทมเป็นอะไรไปล่ะก็ษาไม่ยอมแน่”
อุษารีบเดินเข้าบ้าน ชีพมองตามอย่างแค้นเคือง
“พยศนักใช่มั้ยอุษา อีกไม่นานฉันจะเป็นคนกำราบเธอเอง”
รสสุคนธ์กำลังลองชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาอยู่หน้ากระจกในห้อง เสียงเคาะประตูดังขึ้น รสสุคนธ์ตะโกนออกไปด้วยความดีใจ
“ทำไมไม่ไขกุญแจเข้ามาคะชีพ”
เสียงหวานดังเข้ามา “เปิดประตูนังรส”
รสสุคนธ์ทำหน้าเบื่อแต่ก็จำใจเดินไปเปิด หวานยืนอยู่หน้าประตู
“มาทำไม..”
หวานผลักรสสุคนธ์ให้พ้นประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง หวานมองไปเห็นเสื้อผ้าใหม่ๆ อยู่เต็มเตียง แล้วก็เดินไปมองเครื่องประดับราคาแพงบนโต๊ะเครื่องแป้ง
หวานโมโห “สิ่งที่แกต้องการคือไอ้ของนอกกายพวกนี้นะเหรอนังรส แกตายแล้วแกก็เอาไปไม่ได้ นึกถึงหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกันบ้างสิ”
“โอ๊ยน้า...ถ้าน้าซาบซึ้งกับบาปบุญคุณโทษขนาดนี้ น้าก็ไปบวชชีซะเลยสิจะมาเทศน์ฉันหาสวรรค์วิมานอะไร”
หวานเข้ามากระชากแขนรสสุคนธ์แล้วถามจริงจัง
“บอกข้ามาสินังรส แกกับคุณผู้ชายคิดจะทำอะไรกับคุณผู้หญิงอีก”
“อย่ามาหาเหาใส่หัวฉันนะ ฉันอยู่ตั้งไกลจะไปมีปัญญาทำอะไรได้แต่ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็คงเป็นฝีมือคุณชีพคนเดียว ฉันไม่เกี่ยว”
หวานตกใจจึงกระชากรสสุคนธ์แรงกว่าเดิม
“แกหมายความว่ายังไงจะมีอะไร คุณผู้ชายจะทำอะไรฮะนังรสบอกมา บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”
รสสุคนธ์ไม่กลัวเลยลอยหน้าท้าทาย “ฉันไม่บอกมีอะไรมั้ย”
หวานตบหน้ารสสุคนธ์ฉาดใหญ่ รสสุคนธ์กุมแก้มด้วยความโกรธสุดขีด
“มาตบฉันทำไมเนี่ย”
“ตบให้แกสำนึกไง จะได้เลิกคิดชั่วทำชั่วซะที”
“ออกไป ไปนะไปให้พ้น”
“เออ ข้าไปแน่ แกไม่ต้องมาไล่ ข้าจะเตือนแกเป็นครั้งสุดท้ายถ้าขืนสุมหัวกับคุณผู้ชายคิดทำชั่วๆอีก แกไม่พ้นคุกตะรางแน่หรือไม่แกก็ต้องได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสคอยดู”
หวานเดินออกไปอย่างโกรธจัด รสสุคนธ์ตะโกนไล่หลัง
“อีน้าบ้า ไม่ต้องกลับมาอีกนะ”
หวานตอบกลับมาโดยไม่หันมามอง “เออกูก็ไม่อยากมานักหรอก อีหลานเลว”
รสสุคนธ์แค้นสุดๆ จึงขว้างข้าวของตามหลังไปชนประตู
จิ้มลิ้ม ยาใจ สวาท และหวานเดินถืออุปกรณ์ในการทำความสะอาดออกมาหน้าบ้านมาเจอลั่นทมเดินเล่นสูดอากาศอยู่ ลั่นทมหันมาเห็นทุกคน
“พร้อมกันแล้วเหรอจ๊ะ แหมทะมัดทะแมงกันดีจัง”
“พวกเราจะรีบทำรีบกลับค่ะ น้าหวานแกห่วงคุณผู้หญิง”
ลั่นทมมองหวานแล้วยิ้มให้
“โธ่...ฉันอยู่ได้ เอน้าหวานเป็นอะไรหรือเปล่าหน้าซีดๆไม่สบายเหรอจ๊ะ”
“อิฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ ว่าแต่คุณผู้หญิงอยู่คนเดียวได้หรือคะ ที่จริงเมื่อวานก็ทำเสร็จไปเกินครึ่งแล้ว ให้แต่แม่พวกนี้ไปก็ได้อิฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณผู้หญิงมากกว่า”
อ่านต่อหน้าที่ 2
สุสานคนเป็น ตอนที่ 7 (ต่อ)
หวานมีสีหน้าห่วงใยลั่นทมอย่างจริงใจ ลั่นทมทำท่าแข็งแรง
“ฉันแข็งแรงมากเลยวันนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกน่าขนาดอุษาฉันยังไล่ให้ไปช่วยเลย อ๋อแต่รู้สึกว่าษาเค้าจะเข้าโรงงานก่อนแล้วจะตามไปสมทบทีหลัง”
“ค่ะ..คุณษาบอกอิฉันแล้ว อ้ออิฉันทำกับข้าวไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ”
ลั่นทมทำท่าเซ็ง “แหม..วันนี้นึกสนุกว่าจะทำเองเชียว น้าหวานเนี่ยไม่รู้จะดูแลเอาใจใส่ฉันไปถึงไหน”
“ก็จนกว่าอิฉันจะตายละคะ”
“แต่ฉันว่าฉันจะตายก่อนน้าหวานซะมากกว่า”
หวานตกใจจึงร้องห้ามเสียงดัง
“อย่าพูดอะไรเป็นลางอย่างนั้นสิคะคุณผู้หญิง”
หวานน้ำตาไหลเพราะสงสารลั่นทมจับใจ ลั่นทมตกใจจึงรีบเข้ามาโอบหวาน
“อะไรกันเนี่ยน้าหวานฉันพูดเล่นจะร้องไห้ทำไม ฉันยังไม่ตายซักหน่อย”
หวานกอดลั่นทมแน่น ลั่นทมยิ่งขำหวานมากขึ้น ฉ่ำขับรถเข้ามาโดยมีวิเวก สมพรอยู่ในรถ
“เอ้านายฉ่ำมาแล้ว รีบๆไปกันเถอะ จะได้รีบกลับมาดูแลฉันไง”
หวานจำใจปล่อยลั่นทมแล้วเดินนำสวาท จิ้มลิ้ม และยาใจไปที่รถ ทุกคนขึ้นรถหมดแล้ว หวานหันมามองลั่นทมอย่างสังหรณ์ใจ แล้วลั่นทมก็โบกมือร่าเริงพร้อมกับยิ้มให้ทุกคน หวานตัดใจขึ้นรถด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
ชีพที่มุดอยู่ใต้ท้องรถเลื่อนตัวออกมาพร้อมเครื่องมือในการตัดสายเบรก 2-3 ชิ้น ชีพมองซ้ายขวาแล้วก็สะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดัง ชีพหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วกดรับ
“ฮัลโหล..” ชีพพูดเบาๆ “รสเหรอ?”
รสสุคนธ์พูดโทรศัพท์อยู่ที่คอนโด “คุณอยู่ไหนคะชีพ รสโทรหาจนมือจะหงิกอยู่แล้ว”
“ฉันกำลังยุ่งมีอะไรหรือเปล่า”
“เมื่อไรคุณจะจัดการนังลั่นทมเสียที รสไม่อยากถูกใครตราหน้าว่าแย่งผัวคนอื่น รสอยากอยู่กับคุณอย่างเปิดเผย”
“ใครด่า”
“ก็อีน้าหวานนะสิ น้าเวรอะไรก็ไม่รู้ไม่เข้าข้างหลานตัวเองเลย” รสสุคนธ์ร้องไห้ “แถมยังมาตบรสด้วยทั้งตบทั้งด่าข่มขู่ให้รสเลิกยุ่งกับคุณรสจะบ้าตายอยู่แล้วนะคะชีพ ต้องมีชีวิตหลบๆซ่อนๆถ้าคุณไม่รีบทำอะไรรสคงบ้าแน่ๆ”
ชีพเหลียวซ้ายแลขวาแล้วพูดเบาๆ “ฉันรู้แล้วน่า..ใจเย็นๆได้มั้ย ฉันก็กำลังทำอยู่นี่ไง”
รสสุคนธ์ตื่นเต้นดีใจ “กำลังทำเหรอคะ อุ๊ยรสรักคุณที่สุดในโลกเลย”
รสสุคนธ์วางสายด้วยสีหน้าตื่นเต้นลุ้นสุดๆ
ชีพขับรถมาตามถนนจากโรงงานกลับไปบ้านลั่นทมโดยขับช้าๆ อย่างระมัดระวังเพราะว่าเขาคลายเบรคไว้ ชีพเห็นอุษาในชุดทำงานขี่มอเตอร์ไซค์สวนมาเพื่อมุ่งตรงไปโรงงาน อุษาค่อยๆ หันมามองรถชีพด้วยความแปลกใจ
อุษาพึมพำเบาๆ “น้าชีพ..ไปไหนมาแต่เช้า”
ชีพชะลอรถแล้วหยุดก่อนจะนิ่งคิดแล้วรีบออกรถโดยขับช้าๆเหมือนเต่า
อุษามองอย่างแปลกใจ “ทำไมขับรถช้าเหมือนเต่า”
ชีพเข้ามาในบ้านแล้วมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครก็รีบเปลี่ยนท่าทางเป็นอ่อนระโหยโรยแรงมานั่งฟุบหน้าที่มุมแล้ววางกุญแจรถไว้ใกล้ๆ กับกุญแจรถอุษา ลั่นทมเดินถือแก้วน้ำส้มเข้ามาเห็นก็ชะงัก
“ชีพ..เป็นอะไรไปคะ”
ลั่นทมเข้ามาประคองชีพ ชีพเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าอิดโรย
“ทม..ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆก็หน้ามืด แล้วก็ปวดหัวมากด้วย ขอพักสักครู่นะเดี๋ยวผมต้องไปรับเดวิด ฮัคกินสัน เอเย่นต์อเมริกาเพิ่งโทร.มาบอกรออยู่สุวรรณภูมิแล้ว”
“คุณคงไปไม่ไหวหรอกค่ะ เอางี้ทมไปเอง เดี๋ยวทมไปเอากระเป๋าตังค์ก่อน”
“คุณจะไปได้เหรอ”
“ได้สิคะก็ทมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”
ลั่นทมผลุนผลันขึ้นชั้นบน ชีพตื่นเต้นกับโอกาสที่มาถึงอย่างปัจจุบันทันด่วน เขามองตามลั่นทมที่ขึ้นชั้นบนไปแล้วก็ได้สติ ชีพมีท่าทางเปลี่ยนเป็นปกติ เขารีบหยิบมือถือออกมาโทรแล้วพูดเบาๆ โดยตาก็คอยเหลือบมองที่บันได
“เป้าหมายกำลังจะออกไป แกจัดการตามแผน”
ชีพวางสาย มือของเขาสั่นรัวด้วยความตื่นเต้นกับอาชญากรรมครั้งแรกที่กำลังทำ
ลั่นทมหยิบกระเป๋าจะเดินออกจากห้องนอน ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดัง ลั่นทมกดรับสาย
“ฮัลโหล..”
เสียงอุษาดังจากปลายสาย “คุณน้าหรือคะมีอะไรหรือเปล่า ษาเห็นน้าชีพขับรถกลับบ้าน”
“อ๋อ เขาไม่สบายจ้ะ ไม่มีอะไร..เท่านี้ก่อนนะ”
“ค่ะๆ”
ชีพชะเง้อรอลั่นทมอย่างกระวนกระวาย เสียงลั่นทมวิ่งลงบันไดมา ชีพรีบทรุดลงนั่งกุมขมับอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ลั่นทมวิ่งมาถึงตัวชีพด้วยท่าทางเป็นห่วงมาก
“ไปหาหมอดีกว่ามั้ยคะ ลุกไหวมั้ย”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ..ผมขอนอนพักดีกว่า ถ้าไม่หายผมจะไปเอง ขอ
“โทษนะทมที่จริงผมไม่อยากกวนคุณเลย”
“ขอโทษทำไมคะนี่มันงานของเรา อีกอย่างทมก็ไม่ใช่คนป่วย งั้นชีพดูแลตัวเองนะ ทมจะพามิสเตอร์เดวิดไปพักคอนโดเลยนะคะ”
“จ้ะๆ แล้วนัดทานอาหารค่ำด้วย..ถ้าผมดีขึ้นตอนเย็นเราจะได้ไปด้วยกัน”
“ค่ะ..ทมไปนะคะคุณรีบนอนเถอะ”
ชีพพยักหน้าแล้วทำโซเซลุกขึ้นเดินไปชั้นบน ลั่นทมมองตามด้วยความเป็นห่วง แล้วเธอก็รีบคว้ากุญแจรถของอุษาที่วางอยู่ใกล้ๆกับกุญแจรถชีพ แล้วเดินออกไปโดยที่ชีพไม่ทันเห็นว่าลั่นทมหยิบกุญแจพวงไหน เสียงสตาร์ทเครื่องดังขึ้นแล้วก็มีเสียงรถยนต์แล่นออกไป ชีพหันกลับมาอย่างกระฉับกระเฉง เขาหยิบโทรศัพท์มาโทรออกทันที
“เป้าหมายออกไปแล้ว..อย่าให้พลาดนะ”
ชีพยิ้มอย่างโหดเหี้ยมและร้ายกาจสุดๆ
คนขี่มอเตอร์ไซค์เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเร่งเครื่องบิดทะยานขี่ไปตามถนนอย่างรวดเร็ว
ชีพรอฟังข่าวด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามควบคุมอารมณ์ในขณะเดินไปเดินมาในบ้าน แล้วเขาก็เดินออกไปหน้าบ้านสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ระงับความตื่นเต้น ชีพดีขึ้นแต่แล้วกลับเบิกตาโตด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อมองไปที่รถคันที่ตนเตรียมตัดสายเบรกยังจอดอยู่ที่เดิม รถชีพก็จอดอยู่ ชีพหันไปมองทางที่รถของอุษาที่จอดอยู่ ปรากฏว่ารถอุษาไม่อยู่ ชีพร้องเสียงดังเหมือนถูกเชือด
“เฮ้ย.....”
ชีพยืนตะลึงแล้วพรวดกลับเข้าไปข้างในบ้าน ชีพกลับเข้ามาดูกุญแจรถเห็นกุญแจรถของเขายังวางอยู่ที่เดิม ชีพหงุดหงิดขึ้นมาทันทีจึงปากุญแจรถด้วยความโมโห
“บ้าเอ๊ย !”
กุญแจตกพื้น ชีพหันรีหันขวางแล้วหยิบโทรศัพท์โทรออก
“รับสิวะ...ยกเลิกแผน...ทำไมนะเหรอก็ลั่นทมเอารถอีกคันออกไปนะสิ..บ้าชะมัด”
ชีพวางสายแล้วกำมือแน่นด้วยความหงุดหงิดผิดหวังก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ด้วยความโกรธจัด ชีพทำสีหน้าถมึงทึงแล้วยกโทรศัพท์กดโทรใหม่อีกครั้ง
ลั่นทมกำลังขับรถ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดัง ลั่นทมมองเบอร์แล้วก็รีบรับ
“ชีพ..เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ชีพพูดสายห้วนๆ “ทมกลับบ้านก่อน..มิสเตอร์เดวิด ฮัคกินสันเพิ่งโทร.เข้ามาเดี๋ยวนี้เอง เขาเช่ารถตู้สายการบินไปส่งที่โรงแรมแล้ว ทมกลับมาก่อนเย็นๆ เราค่อยออกไป พร้อมกัน”
ลั่นทมฟังแล้วพยักหน้าตอบรับ “อ๋อ ได้ค่ะ..แต่ทำไมเสียงคุณดุอย่างนั้นละคะ”
ชีพตาขวางปากสั่น “ไม่มีอะไร”
ลั่นทมแปลกใจ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะชีพ”
ชีพตวาด “บอกว่าไม่เป็นไรไง ! ให้กลับก็กลับซิ”
ชีพกดตัดการติดต่อทันที ลั่นทมงงปนตกใจแล้วก็พึมพำกับตัวเอง
“ชีพ..ต้องไม่สบายมากแน่ๆเลย”
ลั่นทมรีบขับรถหันกลับมาบ้านอย่างเป็นห่วง ชีพตาขวางมือสั่นเหมือนคนขาดสติก่อนจะหันรีหันขวาง
แล้วกำมือทั้ง 2 ข้างทุบลงบนโซฟาด้วยความโกรธจัด
“นังบ้าเอ๊ย...ดวงแข็งนักนะมึง”
ชีพผิดหวังตาขวางจนเหมือนจะคุมสติไม่อยู่
รสสุคนธ์เดินไปเดินมางุ่นง่านสลับกับการเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง แล้วก็มองที่โทรศัพท์มือถือบนเตียง รสสุคนธ์เดินมาคว้าโทรศัพท์จะกดโทรออกแล้วก็ตัดใจวางลง เธอหันกลับเดินไปมาอีกครู่แล้วก็ทนไม่ไหวจึงกลับมาหยิบโทรศัพท์กดโทรออกจนได้
“ชีพคะเรียบร้อยรึยัง รสรอฟังข่าวจนจะรอไม่ไหวอยู่แล้ว..อะไรนะ”
รสสุคนธ์หน้าเครียดขมึงและบิดเบี้ยวอย่างโกรธจัด
“บ้าๆๆๆที่สุด นี่คุณอยากจะฆ่ามันจริงๆหรือเปล่า ก็แล้วทำไมเรื่องแค่นี้ถึงให้พลาดได้ล่ะ” รสสุคนธ์ฟังชีพพูด “รอๆๆๆเอะอะก็ให้รอ รสรอไม่ไหวแล้ว ถ้านังลั่นทมมันไม่ตายวันนี้ รสจะตายเอง รสไม่อยากเป็นเมียเก็บไม่อยากหลบๆซ่อนๆต่อไปแล้วได้ยินมั้ยคุณชีพ” รสสุคนธ์ตะโกน “ได้ยินมั้ย”
รสสุคนธ์กดตัดการติดต่อแล้วลุกขึ้นขว้างข้าวของกระจาย
“ไอ้บ้าไอ้โง่ไอ้ควาย”
ทุกคนกำลังช่วยกันจัดของและทำความสะอาดบ้านกันอย่างขันแข็ง ผันกับต้อยติ่งช่วยกันหอบถุงข้าวกล่องกับน้ำถุงใหญ่เข้ามาวาง
“เอ้าๆๆมาพักกินน้ำกินข้าวกันก่อนเร็ว” ผันบอก
ทั้งหมดวางมือจากงานตรงดิ่งเข้ามาล้อมวง “แหมบริการดีอย่างนี้มีงานเมื่อไรเรียกใช้ได้ทันทีเลยนะ”
“เอ้านังต้อยติ่งแจกน้ำสิวะ” ผันบอก
“รู้แล้วน่า พ่อนะอยู่ทำไมเฉยๆแจกข้าวสิ” ต้อยติ่งสวน
“ชะนังนี่มาทำสั่งเอ็งเป็นลูกนะโว้ยไม่ใช่เป็นแม่”
“อย่ามัวแต่เถียงกันเลยมาส่งมาฉันหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” สวาทว่า
“แล้วสองจานจากบ้านเมื่อเช้านะมันหายไปไหนหมดวะนังหวาด”
สวาทค้อนและไม่ตอบ เธอรีบรับข้าวมาเปิดกินอย่างหิวๆ ทุกคนลงมือกินกันไปคุยกันไป ผันชะงักเมื่อสังเกตเห็นหวานกินเหมือนไม่หิว
“เอ้าแม่หวานเป็นอะไรไปนะกินเหมือนไม่อยากกินหรือข้าวไม่ถูกปาก”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะพ่อหมอ วันนี้ฉันมันตื้อๆยังไงบอกไม่ถูก ใจมันโหวงๆเหวงๆยังไงไม่รู้” หวานบอก
“เลือดจะไปลมจะมาล่ะมั้งน้าหวาน เข้าวัยทองก็อย่างนี้ล่ะ” วิเวกว่า
“ทะลึ่ง รีบๆกินเข้าเถอะแล้วก็ไปทำๆกันเสียให้เสร็จเร็วๆข้าเป็นห่วงคุณผู้หญิงเต็มที”
หวานก้มหน้าก้มตาฝืนกินข้าวด้วยสีหน้ากังวลถึงลั่นทมอย่างบอกไม่ถูก
ลั่นทมขับรถอุษาเข้ามาจอดหน้าบ้านแล้วลงจากรถ ทุกอย่างเงียบเชียบผิดปกติ บรรยากาศดูน่ากลัว ลั่นทมแปลกใจ ลั่นทมสังเกตว่าหน้าบ้านดูวังเวงผิดปกติ
ลั่นทมเข้ามาในบ้านแล้วมองหาชีพ
“ชีพคะ”
บรรยากาศในบ้านดูน่ากลัว ลั่นทมวางกุญแจรถไว้แล้วเห็นกุญแจรถชีพตกอยู่ที่พื้นก็ก้มลงเก็บกุญแจรถชีพขึ้นมาวางไว้คู่กัน ลั่นทมเดินไปที่บันไดแล้วตะโกนขึ้นไป
“ชีพ..คุณอยู่ข้างบนหรือเปล่า..ชีพ”
ลั่นทมกำลังจะขึ้นไปเหลือบมองออกไปทางหน้าต่างแล้วก็ชะงักที่เห็นชีพเดินอยู่นอกบ้าน ลั่นทมวิ่งไปที่หน้าต่างเห็นชีพเดินโซเซไปทางสุสาน ลั่นทมตะโกน
“ชีพ..คุณจะไปไหนคะ..ชีพ”
ลั่นทมไม่เข้าใจ เธอรีบวิ่งตามชีพออกไปจากบ้าน
ลั่นทมเดินตามชีพมาจนถึงสุสานแล้วก็เปิดเข้าไป ลั่นทมมองอย่างแปลกใจที่เห็นชีพนั่งหันหลังนิ่งๆ อยู่ที่เตียงในสุสาน ลั่นทมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ชีพคะ...ชีพคุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ชีพตวาดโดยไม่หันมา “ทำไมไม่ใช้รถผม”
ลั่นทมงงๆ “ก็..เอ้อ”
ชีพค่อยๆหันมาด้วยแววตาที่มองลั่นทมแข็งกร้าวเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ชีพตวาด “ถามว่าทำไมไม่ใช้รถผม”
ลั่นทมผงะมองชีพอย่างกลัวๆ “คุณ..คุณคงไม่สบายมากแน่ๆเลย”
ชีพย่างสามขุมเข้าหาลั่นทมด้วยท่าทางเหมือนคนขาดสติ
“ผมไม่ได้ป่วย..และมิสเตอร์เดวิด ฮัคกินสันก็ไม่ได้มา”
ลั่นทมงงงัน “คุณพูดอะไร”
ชีพคลั่ง “มีแต่เราสองคน” ชีพพูดเสียงดัง “สองคน!”
ชีพกระชากลั่นทมเหวี่ยงลงไปที่เตียงอย่างแรงจนลั่นทมล้มหงาย ลั่นทมตกใจ ชีพเอาหมอนกดหน้าลั่นทมแล้วพล่ามเหมือนคนบ้า
“สร้างสุสานไว้เปล่าๆ ทำไม มันควรมีศพอยู่ด้วย แกอยากอยู่ในสุสานนักไม่ใช่เรอะ..ฉันจะจัดให้นังลั่นทม”
“อย่าค่ะ..อย่า..”
ลั่นทมตกใจจึงดิ้นรนถีบชีพเข้าเต็มแรง ชีพโดนเท้าเข้าก็ผงะไปหัวฟาดเสาถึงกับฟุบ
“โอ๊ย...”
ลั่นทมถลาลุกขึ้นมองชีพตาเบิกโพลงแล้วน้ำตาก็ไหลพรากออกมา ทั้งกลัวทั้งผิดหวังในตัวชีพ
“ชีพ..คุณ..คุณจะฆ่าทม”
ลั่นทมเห็นชีพขยับตัวค่อยๆลุกขึ้น ลั่นทมเซถอยหลังด้วยท่าทางตื่นกลัวมาก
“ไม่..ไม่..”
ลั่นทมร้องไห้โฮแล้วถอยหลังเปะปะไปถึงประตูก่อนจะหันกลับวิ่งออกไปอย่างขวัญเสีย ชีพลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่หายมึน เขาสะบัดหัวเรียกสติกลับมาเพราะรู้ว่าตัวเองพลาดไป เขารีบวิ่งโซเซตามลั่นทมไป
ลั่นทมร้องไห้สะอึกสะอื้นวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก เธอหันไปหันมาเพราะทำอะไรไม่ถูก ชีพตามเข้ามา
“ทม หยุดก่อน..ใจเย็นๆ ผมอธิบายได้” ชีพพยายามจะแก้ตัว
“ไม่..คุณจะฆ่าทม..ไม่”
ลั่นทมวิ่งไปที่โต๊ะวางกุญแจแล้วจะคว้ากุญแจ ชีพพุ่งเข้ามาจับตัวไว้ ลั่นทมสะบัด ทั้ง 2 สู้กัน ชีพตบลั่นทมจนลั่นทมถลาไปฟุบที่โต๊ะวางกุญแจ ลั่นทมข่มความเจ็บรีบตะเกียกตะกายคว้ากุญแจ ชีพเข้ามาจับตัวลั่นทมเหวี่ยงไปที่พื้นใกล้กระถางต้นไม้เล็กๆ ลั่นทมฟุบนิ่ง ชีพยืนมองแล้วหัวเราะ
“มีฤทธิ์แค่นี้เองนะเหรอ”
ชีพก้มลงคว้าผมลั่นทมให้เงยขึ้น ลั่นทมคว้ากระถางเหวี่ยงเข้ากลางหลังชีพจนกระถางแตกกระจาย ชีพทรุดลงกับพื้น ลั่นทมกระโดดลุกขึ้นมาคว้ากุญแจรถพวงหนึ่งได้ก็วิ่งเตลิดออกหน้าบ้านอย่างไม่คิดชีวิต ชีพพยุงตัวลุกขึ้นด้วยความแค้นสุดๆ แล้วเดินโซเซตามไปหน้าบ้าน ลั่นทมวิ่งเตลิดไปที่รถอุษาแล้วเปิดประตูเข้านั่งประจำที่คนขับ ก่อนจะปิดประตูสตาร์ทเครื่องแต่สอดกุญแจเข้าช่องสตาร์ทไม่ได้เพราะหยิบกุญแจผิดพวง ลั่นทมตกใจจนมือสั่น
“โธ่เอ๊ย... หยิบผิด”
ลั่นทมมองไปที่รถชีพ แล้วก็รีบเปิดประตูลงจากรถ เธอหันไปดูชีพก็เห็นชีพโซเซตามมา ลั่นทมวิ่งเตลิดไปที่รถเก๋งของชีพแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับแล้วสตาร์ทเครื่อง ชีพที่ตามมาชะงักมองด้วยสีหน้าสมหวังจนถึงกับเผลอยิ้ม ลั่นทมขับรถแล่นปราดออกจากบ้าน ชีพยิ้มกว้างมองตามอย่างสมหวัง
ชีพหยิบโทรศัพท์ออกมากดอย่างใจเย็น “เป้าหมายออกไปแล้วคราวนี้อย่าให้พลาดนะ”
ชีพกดตัดการติดต่อแล้วเดินหายเข้าไปในบ้านครู่เดียวเขาก็ออกมาถือกุญแจรถอุษาแกว่งเล่นอย่างสบายใจแล้วเดินไปที่รถอุษาก่อนจะขึ้นรถขับตามออกไปด้วยสีหน้าหมายมาด
ลั่นทมขับรถมาตามถนนนอกเมืองมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ชีพ..คุณไม่รักทมเลย คุณจะฆ่าทม ทมจะไม่มีวันเชื่อคุณอีกแล้ว”
ลั่นทมควานหาโทรศัพท์หยิบขึ้นมากดโทรออก
อุษารับสายอยู่ในห้องบัญชีที่โรงงาน
“คุณน้า คุณน้าเป็นอะไรคะร้องไห้ทำไม”
ลั่นทมพูดไปสะอื้นไปด้วยท่าทางกลัวมาก
ลั่นทมเสียงสั่น “ษา..น้า..น้า..” ลั่นทมสะอื้นเพราะกลัวมาก “กลัว..”
“กลัวอะไรคะ..มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนี่คุณน้าอยู่ที่ไหนคะ”
“น้าอยู่ในรถ” ลั่นทมกลัว “น้าจะเข้ากรุงเทพ น้าจะไปหาคุณไกร”
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณน้า บอกษาสิคะคุณน้า”
ลั่นทมกำลังจะเล่าแต่ก็ตกใจมองกระจกหลังเห็นชีพขับรถของอุษาตามมา ลั่นทมตาเหลือก
“น้าวางสายก่อนนะษาระวังน้าชีพอย่าเข้าใกล้เขานะ”
“เดี๋ยวค่ะคุณน้า คุณน้า”
ลั่นทมมองกระจกหลังแล้วใช้เท้าเหยียบคันเร่งลงไปอีก ลั่นทมสะอื้นด้วยความหวาดกลัวมาก
อุษาพยายามกดโทรศัพท์หาลั่นทมด้วยความร้อนรน
“คุณน้าทำไมไม่รับสายละคะโธ่นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
อุษาลุกขึ้นอย่างรีบร้อนจะออกไปแต่มือไปปัดโดนแจกันที่โต๊ะตกดังเพล้ง อุษาตกใจยืนอึ้งเพราะรู้สึกใจไม่ดี สายสมรเดินเข้ามา
“อุ๊ย คุณอุษา”
อุษาได้สติก็ทำท่าจะเก็บแล้วพูดไปด้วย “ษารีบจะออกไปธุระนะคะ มือเลยไปปัดโดนเข้า”
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
“ขอบคุณนะค่ะ ษาขอตัวก่อน”
อุษารีบออกไปด้วยความร้อนใจมาก
ธารินทร์เดินออกจากห้องผ่านตำรวจในโรงพัก เสียงโทรศัพท์มือถือของธารินทร์ดังขึ้น ธารินทร์รับสาย
“ว่าไงจ๊ะษาแหมใจตรงกันเลยผมกำลังจะโทรหาเพิ่งออกเวรจ้ะ”
ธารินทร์เงียบและมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที เขาฟังอุษาก่อนจะรีบบอก
“โอเคคุณไปที่บ้านเลย ผมจะตามไปสบทบเดี๋ยวนี้อ๋อษาระวังตัวด้วยนะ”
ธารินทร์กดวางสายแล้วรีบวิ่งออกไปที่รถอย่างว่องไว
รถของลั่นทมแล่นมาอย่างเร็วเพราะกลัวชีพตามมา แต่ชีพไม่ขับเข้าใกล้เพราะแค่จะตามมาดูผลงานห่างๆ เท่านั้น ลั่นทมร้องไห้สะอื้นอย่างผิดหวังเสียใจในตัวชีพ
“ทำไม..ทมให้ความรักความหวังดีคุณมากมายแต่คุณไม่เห็นเลย..”
ลั่นทมเหยียบคันเร่งลงไปด้วยอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนและหวาดกลัว เธฮเหลือบตามองกระจกหลังตลอดอย่างระแวง “เราขาดกันแค่นี้ ทมจะไม่กลับไปอยู่กับคุณอีกแล้ว”
ลั่นทมเหยียบคันเร่งอีก รถของลั่นทมแล่นปราดไปอย่างเร็ว มอเตอร์ไซค์คัหนึ่งจอดรออยู่ริมถนนอย่างมาดมั่น รถของลั่นทมแล่นตะบึงมาแต่ไกลแล้วแล่นผ่านหน้าไป มอเตอร์ไซค์ขี่ตามแล้วเริ่มเร่งเครื่องเตรียมปาดหน้า
รถลั่นทมแล่นมาแต่ไกลด้วยความเร็วสูง ลั่นทมน้ำตาไหลอาบหน้า สะอื้น เธอมองตรงไปข้างหน้า
แล้วก็นึกถึงภาพความสัมพันธ์ระหว่างชีพกับเธอจนมาถึงตอนที่ชีพจะบีบคอเธอในสุสาน
ลั่นทมน้ำตาไหลพราก เธอสะอื้นไห้แล้วยกมือปาดน้ำตา เมื่อเอามือลงจากหน้าลั่นทมก็ต้องผงะ ที่มอเตอร์ไซค์แซงขึ้นมาแล้วปาดหน้าอย่างจงใจ ลั่นทมตกใจเบรกอย่างแรง รถที่ลั่นทมขับเคลื่อนไหววูบวาบแล้วหมุนคว้างหลายรอบก่อนจะสงบนิ่ง ประตูรถเปิดออกมา ลั่นทมหลุดออกมาจากรถแล้วแน่นิ่งอยู่ที่พื้นถนน โดยมีเลือดเปรอะทั่วตัวโดยเฉพาะที่คอ มีเศษกระจกหล่นตามมาด้วย ลั่นทมนอนตาเบิกโพลง
ชายขี่มอเตอร์ไซค์แล่นปราดเข้ามาเทียบข้างๆ รถที่ชีพจอดอยู่ ชีพเปิดกระจกลงส่งซองเงินให้
“ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้แล้วไม่ต้องติดต่อมาอีก”
“ครับ”
คนขี่มอเตอร์ไซค์ขี่ทะยานออกไป ชีพแสยะยิ้มเหี้ยมโหด
อุษาวิ่งเข้ามาที่หน้าบ้านแล้วมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง ทุกอย่างเงียบเชียบ อุษามองไปที่จอดรถที่ว่างเปล่าเพราะไม่มีรถใครจอดอยู่เลย อุษามองเข้าไปในบ้านแล้วก็ลังเลเพราะภานในบ้านเงียบเชียบ ธารินทร์เดินเข้ามาทางด้านหลังของอุษา อุษาหันขวับมาอย่างตกใจแล้วก็ถอนใจโล่งอกที่เห็นว่าเป็นธารินทร์
“รินทร์..ตกใจหมดเลย”
“เจอใครมั้ย”
อุษาส่ายหน้า ธารินทร์เดินเข้าไปในตัวบ้านด้วยความระมัดระวัง อุษาเดินตามหลังไปติดๆ ทั้งคู่เห็นข้าวของบนโต๊ะกระจาย มีกระถางต้นไม้เล็กๆ แตกอยู่ที่พื้น ธารินทร์มองไปรอบๆอย่างระมัดระวังก่อนจะหันมาบอกอุษา
“มีร่องรอยของการต่อสู้ ผมว่าคุณน้าลั่นทมกำลังอยู่ในอันตรายแน่นอน”
อุษานึกถึงคำพูดของลั่นทมก็รีบบอก “ต้องเป็นน้าชีพแน่ๆค่ะ คุณน้าบอกษาให้ระวังน้าชีพ”
ธารินทร์หน้าเครียดมากขึ้น “เราประมาทเกินไป เขาลงมือเร็วกว่าที่ผมคิดเสียอีก”
อุษาตกใจมาก
ไกรทำงานอยู่ตามลำพังที่สำนักงานทนายความ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไกรรับสาย
“สำนักงานเกรียงไกรทนายความครับ”
อุษาพูดสายอยู่ในห้องรับแขกบ้านลั่นทม โดยมีธารินทร์อยู่ข้างๆ
“คุณน้าไกรคะ หนูอุษาค่ะ คุณน้าลั่นทมอยู่ที่นั่นหรือเปล่าคะ”
“เปล่านี่ครับ ท่านจะมาหาผมเหรอ”
“ค่ะคุณน้าโทรบอกษาว่ากำลังไปหาคุณน้าไกรป่านนี้น่าจะถึงได้แล้ว ษาติดต่อคุณน้าไม่ได้เลยโธ่นี่คุณน้าจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้คุณน้าร้องไห้ด้วยค่ะ”
“ใจเย็นๆครับเอาอย่างนี้ถ้าคุณลั่นทมมาถึงที่นี่หรือติดต่อมาผมจะรีบติดต่อกลับไปทันที”
“ค่ะขอบคุณนะคะ”
อุษากดตัดการติดต่อแล้วหันไปมองธารินทร์ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
“รินทร์คะคุณน้าหายไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับคุณน้าหรือเปล่าโอ๊ยษาห่วงคุณน้าจะแย่อยู่แล้ว”
ธารินทร์ดึงตัวอุษาเข้ามากอดปลอบ “ตั้งสติให้ดีษา เราต้องมีสติ คุณน้าเป็นคนดีคุณน้าต้องไม่เป็นอะไร”
โทรศัพท์ในรถที่ลั่นทมขับมาวางอยู่ที่พื้นไกลจากซากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจฉีดสเปรย์สีขาวพ่นรอบๆโทรศัพท์เป็นหลักฐาน ตำรวจอีกนายถ่ายภาพเอาไว้ ตร.เก็บโทรศัพท์ไปไว้ที่รถลั่นทม สารวัตรใหญ่กำลังสอบปากคำชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์โดยมีชีพคอยเสริม
“รถคุณนายมาแรงครับ เจอมอเตอร์ไซค์จากไหนไม่รู้ตัดหน้า เสียงเบรคเอี๊ยด ผมหันไปดูรถคุณนายพลิกไม่รู้กี่ตลบแล้วชนต้นไม้ ไอ้มอเตอร์ไซค์ นั่นหยุดดูแป๊บนึงแล้วหนีเลยครับ”
ตำรวจกำลังพ่นสเปรย์สีขาวไปรอบๆศพลั่นทม วัฒนาขับรถเข้ามาแล้วจอดลงจากรถมาดูสภาพศพลั่นทมแล้วก็ตะลึงงัน เขาลงมือชันสูตรศพ สารวัตรใหญ่เดินเข้ามาหาวัฒนาโดยมีชีพเดินตามมาติดๆ
วัฒนาพูดกับสารวัตรใหญ่ “คอหัก กระโหลกยุบไปข้าง ไหปลาร้ากับแขนขวาหัก บริเวณอกกับท้องถูกกระแทกรุนแรง”
สารวัตรใหญ่พูดกับชีพ “คุณนายไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย”
“ตอนเธอผลุนผลันออกมาเราทะเลาะกัน เธอกำลังโกรธคงไม่ทันนึกถึงเรื่องปลอดภัย โธ่ทม”
ชีพตีหน้าเศร้าแล้วก็นึกได้จึงรีบหันไปพูดกับหมอ
“ผมอยากให้รีบฉีดยา”
วัฒนามองศพลั่นทมแล้วครุ่นคิด “คุณลั่นทมเคยตายแล้วฟื้น แต่คราวนี้คงไม่ฟื้น”
ชีพลืมตัวสวนทันที “โอ๊ย ฟื้นก็บ้าแล้ว เละขนาดนี้”
สารวัตรใหญ่กับวัฒนามองหน้าชีพ ชีพรีบพูดแก้เก้อ
“ผมขอตัวก่อนจะไปติดต่อทางวัด”
“เดี๋ยวครับคุณชีพ คุณอุษารู้หรือยัง”
ชีพชะงัก
อุษาเดินออกมาจากในบ้าน ธารินทร์เดินตามมาติดๆ
“คุณจะไปตามคุณน้าที่ไหน” ธารินทร์ถาม
“ษาก็ยังไม่รู้ค่ะแต่จะให้รออยู่เฉยๆแบบนี้ษา...”
เสียงโทรศัพท์มือถือของอุษาดัง อุษาดีใจรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา “คุณน้าแน่ๆ” อุษากดรับ “ฮัลโหล..คุณน้าหรือคะเอ๊ะ..น้าชีพ”
อุษามองธารินทร์ ธารินทร์ขยับเข้ามาใกล้ๆ อุษาพูดห้วนๆ
“มีอะไรคะ” อุษานิ่งฟังแล้วตกใจจนมือตกลงข้างตัว “ไม่..ไม่จริง ไม่จริง”
อุษาทรุดลงเหมือนจะเป็นลม ธารินทร์ลงมาประคอง
“เกิดอะไรขึ้นษามีอะไร”
อุษามองธารินทร์แล้วร้องไห้โฮก่อนจะพูดไปสะอื้นไป “คุณน้ารถคว่ำ คุณน้าตายแล้วค่ะรินทร์ ไม่ษาไม่เชื่อเมื่อกี้ษายังคุยอยู่กับคุณน้าเลย คุณน้าโธ่คุณน้า”
อุษาคร่ำครวญด้วยความเสียใจ ธารินทร์พูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่กอดอุษาปลอบใจ
อ่านต่อหน้าที่ 3
สุสานคนเป็น ตอนที่ 7 (ต่อ)
รสสุคนธ์กระวนกระวายมองนาฬิกาแล้วมองโทรศัพท์อย่างเดือดดาล
“ไอ้บ้าชีพมันจะเอายังไงของมันนะขนาดขู่จะตาย ยังเฉย” รสสุคนธ์ตกใจ “ถ้าเกิดมันรำคาญขึ้นมา แล้วเลิกกับเราล่ะ”
รสสุคนธ์กลุ้มใจมากจนเปลี่ยนมาโมโหตัวเอง “บ้าจริงไม่น่าใจร้อนเลย ทำไงดีทำไงดี”
รสสุคนธ์วิ่งไปคว้าโทรศัพท์มาทำท่าจะกด ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงชีพ
“รสเปิดประตูหน่อย..รส..”
รสสุคนธ์ทั้งดีใจทั้งตกใจ เธอมองซ้ายขวาก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดลิ้นชักหยิบขวดยาหลายขวดออกมา แล้ววิ่งไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำมาทั้งขวด ขณะที่ชีพยังเร่งเคาะประตูอยู่
“รสทำอะไรอยู่เปิดประตูสิ..รส”
รสสุคนธ์วิ่งกลับมาที่เตียง ชีพไขกุญแจเอง รสสุคนธ์เทน้ำใส่มือแล้วเหยาะใส่ตา ประตูเปิดออก รสสุคนธ์สะอื้นและเทยาใส่มือจนเต็ม
“ ชีวิตนังรสมันอาภัพนักเป็นได้แค่เมียเก็บแค่นางบำเรอ” รสสุคนธ์สะอื้น “อยู่ไปก็ไร้ค่า”
รสสุคนธ์ทำท่าจะกรอกยาใส่ปาก ชีพตะลึงแล้วรีบวิ่งเข้ามาปัดมือรสสุคนธ์จนยากระจายเต็มพื้น ชีพตะคอกด้วยความโมโห
“ทำบ้าอะไรนะรส ฮึ”
รสสุคนธ์ฟุบหน้าลงบนเตียงสะอึกสะอื้น
“รสไม่อยากอยู่แล้วรสอับอายรสเสียใจรสทุ่มเทความรักให้คุณแต่คุณไม่รักรสเลย คุณแค่หลอกรสไปวันๆ คุณไม่กล้าฆ่าเมียคุณก็ไม่เป็นไร รสจะฆ่าตัวตายเอง”
รสสุคนธ์ฟูมฟายคร่ำครวญ ชีพข่มความโกรธมองรสสุคนธ์อย่างสงสารและเห็นใจ
“ลั่นทมตายแล้ว” ชีพบอก
รสสุคนธ์ชะงักแล้วเงยหน้ามองอย่างไม่แน่ใจ ชีพพยักหน้าพูดช้าๆ
“ฉันจัดการลั่นทมเรียบร้อยแล้ว ที่มานี่ก็จะมาบอกเธอฉันต้องรีบกลับไปเตรียมงานศพ”
รสสุคนธ์ดีใจจนแทบคุมตัวเองไม่ได้ก่อนจะโผเข้ากอดชีพ
“โอชีพขาชีพ ทูนหัวของรส นี่คุณไม่ได้ล้อเล่นนะคะ”
ชีพกอดตอบ “ศพลั่นทมอยู่ที่โรงพยาบาลเธอคิดว่าฉันล้อเล่นมั้ยล่ะ”
รสสุคนธ์ระดมจูบชีพอย่างมีความสุข “ดีใจจังค่ะโอในที่สุดนังลั่นทมก็ตายซะที รสรักชีพ รักชีพที่สุด”
ชีพเดินจะไปที่กุฏิหลวงพ่อ จนมาเจอสมานผู้ดูแลวัด
“อ้าว นายสมาน”
สมานชะงักเมื่อเห็นชีพก็ไหว้ “ครับ คุณชีพ..มาหาหลวงพ่อหรือครับ”
ชีพพยักหน้า “ลั่นทมรถคว่ำตายแล้วจะเอาศพมาไว้เย็นนี้”
สมานตกใจ “คุณนายตายอีกแล้ว”
ชีพหยิบเงินมาปึกหนึ่ง “คราวนี้คงไม่มีทางฟื้นแล้วล่ะ เพราะคอหักกระโหลกยุบ..นายสมานคอย ดูแลอย่าให้ใครเข้าใกล้ศพ เอ้าเอาเงินไปแบ่งกับสัปเหร่อนะ”
ชีพส่งเงินให้สมานมองชีพอย่างแปลกๆ ชีพรีบอธิบาย “ฉันไม่อยากให้ใครรบกวนศพ ลั่นทมเขาไปสบายแล้ว”
“ครับผม..แล้วจะเก็บไว้กี่.....”
ชีพขัดขึ้น “ไม่ สวดสามวันแล้วเผาเลย หลวงพ่ออยู่ใช่ไหม”
“ครับ”
ชีพผละไป สมานมองตามชีพแล้วบ่นพึมพำ “เมียตายทั้งคนไม่มีท่าทางเสียใจเลย”
ร่างลั่นทมนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงในห้องชันสูตรที่มีช่องเย็นสำหรับเก็บศพ แพทย์ที่เคยรักษาลั่นทมกับวัฒนายืนอยู่คนละฝั่งเตียง แพทย์ออกใบมรณะบัตร วัฒนาจดบันทึกอาการลั่นทมเพื่อออกใบมรณะบัตร ชีพที่เพิ่งกลับจากวัดเพราะเป็นห่วงกลัวจะไม่ฉีดยาศพเดินเข้ามา
“ฉีดยาหรือยังครับผมจะได้รับศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล”
“อย่าเพิ่งนะคะ..”
อุษาและธารินทร์เดินเข้ามายกมือไหว้แพทย์
“กรุณาอย่าเพิ่งฉีดนะคะ” อุษายกมือไหว้แพทย์ “ษาขอร้อง ได้โปรด”
“ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว..ษา..”
“แล้วครั้งนี้เธอจะเข้ามาจุ้นจ้านเหมือนครั้งที่แล้วไม่ได้ เพราะครั้งนี้ลั่นทมตายแน่นอน”
อุษามองชีพด้วยวามโกรธมาก “ดูน้าชีพไม่อยากให้คุณน้าฟื้นเลยนะคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกษา แต่น้าไม่อยากให้ทรมานศพกันอีก ถามคุณหมอสิ คอหักกะโหลกยุบขนาดนี้ต่อให้เทวดาลงมารักษาก็ไม่มีทางฟื้น”
อุษาหันไปมองแพทย์ แพทย์ยืนยัน “ไม่มีทางจริงๆครับ”
อุษาร้องไห้ ธารินทร์แตะแขนอุษาเพื่อปลอบโยน
“ทำใจดีๆ ษา ถ้าคอหัก ก็คงไม่มีหวังแล้ว”
ชีพแอบยิ้มเยาะอุษาก่อนจะหันไปมองศพลั่นทมด้วยความสะใจ
ธารินทร์ประคองอุษาเดินออกมา ตามด้วยชีพ อุษาหันไปจ้องชีพด้วยความโกรธแค้น
“ในที่สุดน้าก็ทำสำเร็จ”
ชีพฉุน เขาเห็นสารวัตรใหญ่เดินมาไกลๆ ก็กระซิบดุๆ
“พูดจาให้ระวังหน่อยนะอุษา ถ้าไม่มีหลักฐานอย่าหาเรื่องกันดีกว่า”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ษาจะหาหลักฐานมาเล่นงานน้าชีพแน่เพราะษารู้ว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ก่อนคุณน้าตายคุณน้าโทรมาหาษา”
ชีพตกใจ สารวัตรใหญ่เดินมาถึง ทุกคนรีบไหว้ สารวัตรใหญ่รับไหว้เมื่อชีพกับอุษาก็เห็นท่าทางแปลกๆ จึงรีบถาม “มีอะไรกันหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรครับษาแกเสียใจมากไปหน่อย”
หวาน ฉ่ำ วิเวก สมพร ผัน ต้อยติ่ง สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจแห่กันเข้ามา พวกผู้หญิงร้องไห้กระจองอแง แต่ไม่ดังมาก หวานเข้าไปกอดอุษา
“คุณษาขา โธ่คุณผู้หญิง..เมื่อเช้ายังคุยกับอยู่เลย” หวานมองชีพ “ใครมันใจร้ายใจดำทำร้ายคุณผู้หญิงได้คะถ้าอิฉันรู้จะเอามีดโต้เฉาะกบาลมันให้แตกเป็นเสี่ยงๆเลย”
ชีพสะดุ้งแต่ทำเป็นพูดกลบเกลื่อน “ไม่มีใครทำอะไรคุณผู้หญิงหรอก มันเป็นอุบัติเหตุนะน้าหวาน” ธารินทร์เชิญสารวัตรใหญ่ไปพูดซุบซิบกันทางหนึ่ง ชีพมองอุษาและมองธารินทร์อย่างไม่ไว้ใจ
ธารินทร์กระซิบ “อย่างที่ผมเคยบอกให้เฮียฟัง..”
สารวัตรใหญ่พยักหน้ารับรู้ เขามองชีพแว่บหนึ่งแล้วกระซิบตอบ
“แต่ที่ดูจากหลักฐานตอนนี้มันเป็นอุบัติเหตุ เอาอย่างนี้นะ คุณไปหาหลักฐานเพิ่มเติมมา”
“ครับ”
ชีพเดินเข้ามาหาถามหน้าซื่อ “มีอะไรที่ผมควรรู้หรือเปล่าครับ”
“ไม่มีครับ”
ชีพอึ้ง ต้อยติ่งเขย่าตัวผันแล้วพูดเสียงดัง “รีบทำให้คุณนายฟื้นซีพ่อ”
ชีพหันไปบอกอย่างรำคาญๆ “เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันจะเอาศพไปวัดล่ะ” ชีพพูดกับพวกหวาน “เอ้า พวกเราไปช่วยกันเร็ว”
ต้อยติ่งเขย่ามือผันเร่งให้ทำ ผันส่ายหน้า “คราวนี้คอหัก..คงหมดหวังจริงๆ”
ชีพยิ้มเยาะ วัฒนาเดินออกมา ชีพรีบบอก “ช่วยฉีดยาให้ศพด้วยครับหมอ ผมจะรับไปวัด”
“อย่านะคะ..” อุษาค้าน
“แต่ถ้าไม่ฉีดจะยุ่งนะษา..กว่าจะสวดกว่าจะอะไรเสร็จศพขึ้นอืดส่งกลิ่นแน่..ถึงเวลานั้นจะฉีดไม่ได้” วัฒนาบอก
“เราจะยังไม่สวดค่ะ ต้องให้คุณลุงหมอผันรักษาก่อน..ครั้งที่แล้วทุกคนก็เห็นว่าคุณลุงหมอทำได้”
“เธอจะบ้าไปแล้วเหรออุษา คอหักกะโหลกยุบจะรักษายังไง”
อุษาร้องไห้สะอื้นด้วยความอัดอั้น “แต่ษาจะลอง คุณลุงหมอลองก่อนเถอะนะคะ”
ผันอึ้งเพราะรู้อยู่แก่ใจ ชีพเยาะ สารวัตรใหญ่พูดขึ้น “ผมว่าให้คุณไกรตัดสินก็แล้วกัน”
ชีพงง “ทำไมต้องคุณไกร..นั่นเขาคนอื่นนะครับแต่ผมเป็นสามี”
“แต่คุณไกรมีพินัยกรรมที่คุณลั่นทมสั่งการเรื่องเธอไว้”
“ลั่นทมสั่งเสียเรื่องทรัพย์สมบัติไม่มีเรื่องศพสักหน่อย” ชีพย้อน
“มีสิครับ” สารวัตรบอก
“สารวัตรรู้ได้ไง”
“ก็เพราะผมเซ็นเป็นพยานในพินัยกรรมนั่นสิครับคุณชีพ”
ชีพอึ้งเพราะคาดไม่ถึง
ณ สำนักงานทนายความ ไกรกำลังรับโทรศัพท์สีหน้าตกใจ “คุณลั่นทมตายแล้ว”
อุษาพูดโทรศัพท์กับไกรในห้องที่มีทุกคนฟังอยู่รอบๆ อุษากดลำโพงให้ได้ยินทั่วถึง ชีพนิ่งฟังอย่างตั้งใจมาก
“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลกันหมด คุณน้ารีบมาได้ไหมคะ” อุษาถาม
“อย่าเพิ่งให้ใครทำอะไรกับคุณลั่นทมนะหนู..พินัยกรรมฉบับสุดท้ายระบุว่าถ้าท่านตายห้ามฉีดยา ให้คุณชีพนำท่านไปไว้ในสุสานเลย ให้หมอผันรักษา หากไม่ฟื้นให้เก็บร่างท่านไว้ในโลงที่เตรียมไว้ จนกว่าพยานทุกคนในพินัยกรรมจะลงความเห็นว่าไม่ไหวถึงจะนำร่างท่านไปเผาได้”
อุษามองชีพที่ยืนอึ้งแล้วก็ยิ้มเยาะก่อนจะตอบไกร
“ค่ะน้าไกร ษาจะพาคุณน้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ชีพไม่ยอมเดินไป เขาตะโกนใส่โทรศัพท์ “คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอคุณไกร จะให้พวกเราเอาศพกลับบ้านมันบ้าที่สุด ผมไม่ยอม ผมจะเอาศพลั่นทมไปวัด”
“คุณจะทำอย่างนั้นก็ได้คุณชีพ” ไกรบอก
ชีพยิ้มเยาะอุษาแต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มทันควันเมื่อไกรพูดต่อ
“แต่ทรัพย์สินทุกอย่างที่ระบุว่ายกให้คุณชีพจะเป็นอันยกเลิกทั้งหมดและให้ตกเป็นของหนูอุษาแต่เพียงผู้เดียว”
ชีพและอุษาตะลึง ชีพแค้นจึงตะโกนใส่ไกรอย่างลืมตัว
“บ้าคุณต้องบ้าแน่คุณไกร คุณเขียนเรื่องบ้าๆนี่ขึ้นมาเองใช่มั้ย”
“คุณกำลังหมิ่นประมาทผมนะคุณชีพ” ไกรบอก
สารวัตรลุกขึ้นพูดเสียงเข้ม “ผมด้วย”
ชีพชะงักหน้าเสีย สารวัตรใหญ่พูดต่อ “อ้อรวมทั้งท่านผู้ว่าอีกคนเพราะท่านก็เป็นพยานในพินัยกรรมฉบับนี้ด้วย”
ชีพพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เขาซวนเซไปนั่งอย่างหมดแรง อุษาพูดกับไกรด้วยท่าทีสะใจ
“ขอบคุณมากค่ะน้าไกร แค่นี้ก่อนนะคะ”
“ครับ..ผมจะรีบไป” ไกรบอก
สารวัตรใหญ่เดินมาหาธารินทร์แล้วพูดเสียงดัง “ตรงจุดนั้นเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก..คุณร่วมกับกองพิสูจน์หลักฐานทำออกมาให้เคลียร์ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรม แล้วรายงานผมด่วน”
“ครับสารวัตร”
ชีพหน้าเสีย ทุกคนทยอยออกไปจากห้อง ชีพยังนั่งนิ่งอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก
กลุ่มของหวานกำลังรออยู่หน้าบ้านอย่างกระวนกระวาย กลุ่มสวาทคุยกันอย่างออกรส “ตกลงจะเอายังไงกันนะเนี่ย คุณษาจะรักษาแต่คุณชีพก็ไม่ยอม พวกแกว่าใครจะชนะ” จิ้มลิ้มถาม
“ใครชนะไม่รู้ แต่ฉันว่าคุณผู้หญิงไม่น่าฟื้นแล้วนะแก” ยาใจว่า
“นั่นสิศพเละขนาดนั้น ถ้าหมอผันทำได้คงลงหน้าหนึ่งแน่ๆ”
หวานหันมาดุเบาๆ “แต่ข้าอยากให้ลอง คุณผู้หญิงเป็นคนดีอาจจะมีปาฏิหาริย์ก็ได้”
ทั้งสี่คนชะงักเมื่อเห็นแท็กซี่มาจอดหน้าบ้าน
“มากันแล้วมั้ง...เอแต่ทำไมมาแท็กซี่ล่ะ” ยาใจสงสัย
ทั้งหมดจ้องเขม็งไปจนเห็นรสสุคนธ์ที่แต่งตัวฉูดฉาดก้าวลงมา คนขับวิ่งลงมายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ท้ายรถหลายใบลงมาให้ รสสุคนธ์ให้เงินแล้วพูดเสียงดังวางมาดคุณนาย
“ไม่ต้องทอนนะ”
คนขับขึ้นรถขับออกไป ทั้งสี่ร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“นังรส...”
รสสุคนธ์เดินเข้ามามองในตัวบ้านแล้วนั่งลงที่เก้าอี้อย่างสบายใจ หวานเดินตามเข้ามาโดยมีพวกสวาทเดินเข้ามาด้วย หวานมองอย่างเกลียดชัง
“หูหนวกหรือไงนังรส ข้าบอกให้กลับไป” หวานไล่
“ไม่เอาน่าน้าหวาน ไหนๆคุณผู้หญิงก็ตายแล้ว เลิกจงรักภักดีซะที น้าควรจะมาเอาใจฉันมากกว่า” รสสุคนธ์มองพวกสวาท “พวกแกด้วย”
“เอาใจคนอย่างแกเหรอ ฝันไปเถอะ” สวาทว่า
“ใช่หน้าหนายังกะถนนซีเม็นต์ ถูกเขาไล่ไปแล้วยังสะเออะกลับมาอีก” จิ้มลิ้มว่า
รสสุคนธ์ลุกพรวดมาแบบหมดมาดผู้ดี “แกด่าใคร”
จิ้มลิ้มลอยหน้า “ก็ด่าแกนะสินังหน้าหนา”
รสสุคนธฺตบฉาดจนจิ้มลิ้มหน้าหงาย “จำไว้ใครบังอาจมาก้าวร้าวฉันต้องเจอแบบนี้”
หวานโมโหจึงตรงเข้ามากระชากรสสุคนธ์เพื่อจะให้ออกไป “เอาซี้กูนี่แหละจะบังอาจกับมึง ออกไป ออกไปให้พ้น”
รสสุคนธ์ขืนตัวไว้แล้วตะโกนลั่น “ฉันไม่ไป เอ๊ะน้าหวานปล่อยสิปล่อย”
พวกสวาทช่วยกันเข้ามาลากรสสุคนธ์พาออกไปถึงประตูจนเจอเข้ากับชีพ ทุกคนชะงัก ชีพงง
“อะไรกันเอ๊ะรส มาได้ยังไง”
รสสุคนธ์สะบัดตัวจากทุกคนแล้วโผเข้ากอดชีพก่อนจะฟ้องฉุนๆ “รสจะมาช่วยงานศพค่ะแต่โดนพวกนี้รุมกันไล่ดูสิคะรสเจ็บไปทั้งตัวแล้ว”
“พอกันทีนี่ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว รสก็ยังไม่น่ามา แต่เอาเถอะ มาแล้วก็แล้วกัน ฉันจะขึ้นข้างบนก่อน”
ชีพเดินไป พวกสวาทงงจนอ้าปากค้าง รสสุคนธ์หันมายิ้มเยาะแล้วออกคำสั่ง
“ใครไม่อยากโดนไล่ออก รีบไปขนกระเป๋าฉันมา อ๋อน้าหวานจ๋าหาอะไรให้กินหน่อยนะฉันหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
รสสุคนธ์รีบตามชีพขึ้นไป พวกสวาทยังอึ้ง หวานมองตามด้วยความเจ็บใจ
รสสุคนธ์เปิดประตูเข้าไปเห็นชีพนั่งกุมขมับอยู่ก็รีบเข้าไปกอดจูบชีพ
“ปวดหัวเรื่องอะไรอีกละคะ หรือเรื่องงานศพไม่ต้องห่วงนะคะเดี๋ยวรสจะจัดการทุกอย่างให้เอง”
“ยังจัดงานไม่ได้” ชีพบอก
“ทำไมคะ”
ชีพฉุนเฉียวสุดๆ จึงลุกขึ้น “นังลั่นทมมันร้ายกว่าที่คิด มันสั่งเสียไว้ในพินัยกรรม ให้เอาศพมันมาไว้ที่สุสาน ให้หมอผันลองรักษาก่อน ถ้าไม่ทำตาม ฉันจะไม่ได้อะไรเลย”
รสสุคนธ์ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ชีพแค้นมาก
“ทุเรศที่สุด มันทำพินัยกรรมแบบนี้ได้ไง ขอให้มันตกนรก อย่าได้ผุดได้เกิด นังลั่นทม ขอให้วิญญาณแกได้รับแต่ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส..นังบ้านังสารเลว”
ชีพวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าคว้าของลั่นทมออกมาขว้างระบายอารมณ์ เขาวิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้งกวาดข้าวของลั่นทมมจนตกแตกกระจาย รสสุคนธ์มองชีพอึ้งๆ ก่อนจะนั่งลงอย่างหมดแรงที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
หวานยืนนิ่งครุ่นคิด สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจพากันยกกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของรสสุคนธ์เข้ามาในบ้านอย่างไม่ค่อยพอใจ
จิ้มลิ้มพูดกับสวาท “คุณผู้หญิงจะฟื้นอีกไหมเนี่ย”
“ถ้าหมอผันช่วยอะไรไม่ได้ข้าขอลาออก..ไม่อยู่แล้วบ้านนี้”
รสสุคนธ์เข้ามามองอย่างหมั่นไส้ก่อนจะออกคำสั่ง “ขึ้นไปขนข้าวของของลั่นทมออกให้หมด แล้วเอาของฉันจัดให้เรียบร้อย”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจอ้ำอึ้ง รสสุคนธ์ตวาด “เร็วซี่..ฉันเหนื่อยต้องการพักผ่อน..อ้อ แล้วจำไว้นะใครสุมหัวนินทาอีกจะถูกเฉดหัวออกจากบ้าน”
ทั้งสามคนอึ้งแล้วพากันขนของไปอย่างกระฟัดกระเฟียด รสสุคนธ์จะเดินไป หวานเข้ามาขวาง รสสุคนธ์มองอย่างรำคาญ “อะไรอีกล่ะ”
สีหน้าหวานเอาเรื่อง เธอถามอย่างจริงจัง “นังรสแกกับคุณผู้ชายร่วมมือกันทำอะไรคุณผู้หญิงบอกข้ามานะ”
“ถ้าบอกแล้วน้าจะทำไมฉัน แจ้งตำรวจเหรอ ไหนล่ะหลักฐาน”
หวานอึ้ง รสสุคนธ์พูดต่อ “เห็นมั้ยน้าก็ไม่มี นี่น้าฉันเป็นหลานน้านะ ฉันได้ดีฉันไม่ลืมน้าหรอก ฉันจะดูแลน้าให้ดีกว่าที่น้าอยู่กับยัยลั่นทมอีก ขอแค่ ให้น้ามาอยู่ข้างฉัน คอยกำราบพวกไอ้อีที่มันคิดจะแข็งข้อดีมั้ย”
“ดี..จะคอยกำราบไอ้พวกเนรคุณที่คิดคดทรยศ”
“นั่นมันต้องอย่างนั้น”
“ข้าหมายถึงเอ็ง นังตัวดี คอยดูเถอะ เอ็งจะเสวยสุขได้ไม่นานบาปกรรมต้องตามทันเอ็งนังรส”
หวานเดินไป รสสุคนธ์มองตามด้วยความเจ็บใจ
ไกรวางพินัยกรรมไว้ตรงหน้า ชีพมองอย่างสุดแค้น รสสุคนธ์นั่งลุ้นอยู่ใกล้ๆ
“คุณชีพจะตรวจสอบดูก็ได้ครับผมรับรองว่าไม่ใช่ของปลอมแน่นอน เพราะมีลายเซ็นทั้งสารวัตรและท่านผู้ว่าครบถ้วน”
ชีพไม่เปิดดูแต่ถามเสียงเครียด “ทำไมวันนั้นคุณไม่บอกผม”
ไกรพูดหน้าตาเฉย “ก็คุณไม่ได้ถาม”
ชีพแค้นจึงข่มใจพูดเรียบๆ “เอาล่ะฟังนะให้ทำทุกอย่างตามที่ลั่นทมสั่ง”
รสสุคนธ์รีบแย้ง “ชีพคะ..”
ชีพยกมือห้ามแล้วพูดต่อ “คุณไปจัดการได้เลย”
ไกรลุกขึ้นเก็บพินัยกรรมไปด้วย “ผมลา..”
ไกรเดินออกไป ชีพลุกขึ้นด้วยสีหน้าแค้นจัด “นังลั่นทมแกร้ายกาจเห็นแก่ตัวที่สุด ฉันไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียวที่ฉันฆ่าแก แล้วเราจะได้เห็นกัน”
รสสุคนธ์มีท่าทางไม่พอใจ แต่พอเห็นท่าทางชีพทำให้เธอไม่กล้าพูดอะไร
ชีพเปิดประตูเข้ามาในสุสานแล้วมองไปในห้องอย่างโกรธแค้น รสสุคนธ์เดินตามมาด้วย ชีพเดินไปที่โลงศพแล้วใช้กำปั้นทุบโลงศพด้วยความโกรธจัด
“อยากจะมาอยู่ที่นี่ใช่มั้ยนังลั่นทม มาเลย”
รสสุคนธ์แตะแขนชีพอย่างไม่สบายใจ “คุณจะยอมให้พวกมันขนศพเข้ามาจริงๆเหรอคะ”
“เราทำอะไรไม่ได้ พวกมันรวมหัวกัน เราต้องยอม”
รสสุคนธ์หงุดหงิด “บ้าเอ๊ย อุตส่าห์ฆ่ามันได้แล้ว ยังต้องรออีกเหรอคะนี่เราต้องรออีกถึงเมื่อไร” รสสุคนธ์ชะงักมองเลยไปที่ประตูก็เห็นหวานยืนตะลึงอยู่ ชีพตกใจ
“น้าหวาน”
รสสุคนธ์ตะโกนท้า “สาระแนมาแอบฟังจนได้ ไงล่ะรู้แล้วทำอะไรได้มั้ย”
หวานตะลึง เธออยากจะด่าแต่ก็พูดไม่ออก “แก...นังรส...ฉันไม่คิดเลย...ชั่วช้าสารเลวจริงๆ”
“แล้วไง...ชั่วแล้วไง...ฉันกับคุณ ชีพฆ่านังลั่นทมเอง น้าหวานรู้แล้วจะทำอะไร...หา...”
หวานส่ายหน้าร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ “รีบวิ่งหนีออกไป ชีพใจไม่ดี”
“พูดแบบนั้นทำไมรส”
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะยังไงน้าหวานก็ไม่พูดหรอกเขาไม่กล้าฆ่าหลานตัวเองแน่ เชื่อรสเถอะ”
รสมั่นใจแต่ชีพมีสีหน้ากังวลก่อนจะส่ายหน้า
หวานร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในห้อง
“นังหลานสารเลว...โธ่ คุณผู้หญิง ไม่น่าต้องมาตายเพราะเอ็งเลย เนรคุณแย่งผัวเขายังไม่พอ ยังโหดเหี้ยมอำมหิตอีกตายไป...ตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
ชีพยืนอยู่ที่หน้าต่างโดยมองออกไปด้านนอก เขาเห็นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว รสสุคนธ์ยังเดินไปเดินมาด้วยท่าทางไม่พอใจ พวกสวาท จิ้มลิ้ม และยาใจกระซิบกระซาบกันอยู่ที่มุมหนึ่งหน้าตาตื่น
“จะเอาศพเข้าบ้านจริงๆเหรอ อุ๊ย..ตายแล้ว เขาไม่ทำกันนะ” สวาทว่า
“เขาถือเหรอ” ยาใจถาม
“ก็ถือน่ะสิ..ตายที่นอกบ้านเขาให้เอาไปวัดเลย หรือถ้าตายที่อื่นเขาก็ไม่ให้เอากลับเข้าบ้าน” จิ้มลิ้มบอก
“แต่คุณผู้หญิงอาจจจะยังไม่ตายก็ได้นะ” ยาใจบอก
“คอหักแบบนั้น ฉันว่าตายชัวร์โอ๊ย ยิ่งตายโหงด้วย..บรื๊อ !” สวาทขนลุก
รสสุคนธ์หันมาพูดเยาะๆ “พวกแกระวังไว้ให้ดี รักนักรักหนาไม่ใช่เหรอ ตอนเป็นผีนะไม่รู้แล้วใครเป็นใครระวังจะถูกผียัยลั่นทมหักคอ”
“แต่ฉันว่าคุณท่านไม่ทำอะไรพวกเราหรอก ถ้าจะทำก็ทำคนทีคิดร้ายต่อท่านมากกว่า จริงมั้ยพวกเรา” ยาใจหาพวก
สวาทกับจิ้มลิ้มเห็นด้วย รสสุคนธ์จะด่า ชีพพูดเบาๆ “มากันแล้ว..”
ทั้งหมดกรูกันมาดูด้วยความตื่นเต้น ทุกคนเห็นรถโรงพยาบาลแล่นเข้ามาและเลยไปทางสุสาน โดยมีรถของธารินทร์ตามไปติดๆ
ทุกคนยืนมองร่างลั่นทมที่ถูกวางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว
ฉ่ำกระซิบกับวิเวกและสมพร “จะไหวเหรอวะ”
“นั่นสิคราวนี้มองยังไงก็เป็นศพชัดๆ นี่ขนาดแต่งหน้าศพให้ดูดีแล้วนะ ยังเละขนาดนี้”
“คิดเหมือนกันเลย ข้าว่าคุณผู้หญิงไม่มีทางฟื้นแน่ๆ”
ทั้งสามคนมีท่าทางหวาดๆ อุษาเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างๆเตียงแล้วจับมือลั่นทมด้วยสีหน้ามีความหวังเต็มเปี่ยม“คุณน้าขาได้ยินษาใช่มั้ยคะ คุณลุงหมอกำลังจะเริ่มรักษาแล้วค่ะ”
ผันมองแล้วแอบถอนใจ ต้อยติ่งกระซิบเบาๆ
“หน้าคุณนายซี๊ดซีดนะพ่อไม่เหมือนคราวก่อนเลย”
ผันไม่ตอบแต่มีสีหน้าหนักใจมาก ทุกคนชะงักเมื่อเห็นชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามา ชีพมายืนมองศพอย่างเกลียดชังแล้วพูดอย่างแค้นเคือง
“เธอนี่มันเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ” ชีพพูดเสียงดังขึ้น “ฉันขอสาปแช่งวิญญาณของเธอไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิด ให้สาสมที่เธอทำกับฉันลั่นทม”
ทุกคนตะลึงเพราะคิดไม่ถึง อุษาลุกพรวด “น้าชีพ...”
ยังไม่ทันที่อุษาจะพูดอะไรต่ออยู่ๆลมพายุก็พัดวูบดันประตูเข้ามาปิดดังปัง ทุกคนตกใจ รสสุคนธ์กระโดดเข้ามาเกาะชีพเลิ่กลั่ก ทุกสายตาจ้องไปที่ศพลั่นทมแต่ทุกอย่างก็ปกติ ชีพเห็นไม่มีอะไรก็หัวเราะเยาะก่อนจะโอบรสสุคนธ์พาเดินออกไป อุษามองตามอย่างโกรธจัด
ชีพกับรสสุคนธ์เดินกลับบ้าน รสสุคนธ์ดึงแขนชีพไว้แล้วหันไปมองทางสุสาน
“อะไร”
“เมื่อกี้คุณว่ามันคืออะไรคะ”
ชีพหัวเราะเสียงดังแล้วหันไปมองสุสาน “โธ่รส..ก็แค่บังเอิญลมมันพัดเข้ามา ทำไม..หรือคิดว่าเป็นวิญญาณลั่นทมแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เราเห็น”
“มันก็ไม่แน่นะคะ รสว่าทางที่ดีเราน่าจะรีบป้องกันไว้ก่อน”
“หมายความว่ายังไง”
“รสจะไปหาหมอผีมาสะกดวิญญาณมันไว้”
ชีพตื่นเต้น “ทำได้เหรอ ?”
“ได้ค่ะ รสเคยได้ยินแถวบ้านรส มีหมอผีที่จะสะกดวิญญาณไม่ให้ไปผุดไปเกิด”
“ทำเลย ! มันอยากอยู่ในสุสานก็ให้มันอยู่เป็นผีเฝ้าสุสานไปไม่ต้องผุดต้องเกิด ให้มันทุกข์ทรมานตลอดไป”
ทั้งสองคนหัวเราะแล้วพากันเดินคลอเคลียผ่านวิญญาณลั่นทมที่ยืนมองตาแดงก่ำ และมีสีหน้าเคียดแค้น ลั่นทมมองตามคนทั้งสอง ลั่นทมเคลื่อนเข้าด้านหลังทั้งสองคนอย่างรวดเร็วจนเกือบจะถึงตัวอยู่แล้วแต่กลับหยุดปล่อยให้สองคนเดินไป
ลั่นทมลดมือลงสะอื้นน้ำตาไหลพราก “ฉันไม่อยากก่อกรรมทำบาปอีก ชาตินี้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานมากเหลือเกินแล้ว”
ลั่นทมสะอื้นอย่างน่าสงสารก่อนที่จะเลือนหายไป
อุษาโกรธจนร้องไห้ขณะกุมมือลั่นทมไว้แล้วก็สะอื้น ธารินทร์นั่งลงข้างๆ พูดปลอบ“ใจเย็นๆนะษา”
“ษาสงสารคุณน้าเหลือเกิน ถ้าตอนนี้คุณน้ารับรู้ได้ คุณน้าคงเสียใจมาก”
“เพราะอย่างนั้นษาต้องเข้มแข็ง มาเถอะเรามารีบช่วยกันรักษาคุณน้าดีกว่า”
อุษาคิดได้ก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้าหันไปถามผัน “เราจะเริ่มกันเลยใช่มั้ยคะลุงหมอ”
ผันพยักหน้าแล้วเริ่มสั่งการ “พร เวก จัดการเรื่องเตาเรื่องหม้อต้มยา ยกเข้ามาในนี้เลยฉ่ำเอ็งไปกับผู้หมวดไปยกโต๊ะหมู่บูชาที่บ้านมา นังต้อยติ่งไปกับลุงไปเอายา”
ผันมองอุษา อุษารีบบอก “ษาจะอยู่เฝ้าคุณน้าเองค่ะ”
“ดี..เอาละทุกคนรีบแยกย้ายไปทำหน้าที่ แล้วกลับมาเจอกันเราต้องรีบหน่อยก่อนที่จะสายเกินไป”
ผันมองร่างลั่นทมด้วยความหนักใจ ทุกคนรีบแยกย้ายกันออกไป ธารินทร์มองอุษา อุษารีบพยักหน้าให้เพื่อบอกว่าไม่ต้องห่วง ธารินทร์เดินตามทุกคนออกไป อุษาหันมาจับมือลั่นทมขึ้นมาแนบที่หน้าอย่างไม่รังเกียจ
อ่านต่อหน้าที่ 4
สุสานคนเป็น ตอนที่ 7 (ต่อ)
ผันคัดเลือกยาชนิดต่างๆ ในห่อกระดาษใส่ถุงย่ามชนิดละห่อ ต้อยติ่งช่วยด้วย ธารินทร์เข้ามา ฉ่ำรั้งท้าย
“เสร็จหรือยังพ่อ” ธารินทร์ถาม
“อีกสองอย่าง” ผันนิ่งคิด “เออรินทร์พ่อไม่ได้ขี้เกียจที่จะรักษาหรืออยากให้หนูอุษาได้สมบัติคนเดียวหรอกนะ แต่พ่อว่ามันไม่ได้เรื่องแน่”
ธารินทร์อึ้ง ฉ่ำรีบถาม “แปลว่าคุณผู้หญิงตายแน่ๆ ใช่ไหมลุงหมอ”
“อืม..เอ็งไม่เห็นเรอะวะฉ่ำ ร่างกายคุณผู้หญิงผิดกว่าคราวที่แล้ว”
“ไม่นะพ่อ ต้อยติ่งไปคุยไว้เยอะว่าพ่อนะเก่งยิ่งกว่าเทวดาอีกคอหักตัวขาดพ่อก็รักษาได้”
ผันสะดุ้งแล้วหันไปดุต้อยติ่ง “อุบ๊ะ นังต้อยติ่งข้าไม่ใช่หมอผีนะโว้ย คอหักตัวขาดฟื้นขึ้นมาได้ก็ผีดิบละสิ”
“ไม่รู้ล่ะ ครั้งก่อนคุณน้าตายตั้งหลายวันก็ยังทำได้เลย”
“ก็บอกว่ามันไม่เหมือนกัน”
ธารินทร์ตัดบท “ลองดูก่อนเถอะพ่อ ถ้าไม่ไหวจริงๆผมจะพูดกับษาเอง”
ผันพยักหน้ารวบรวมยาทั้งหมดใส่ถุงย่ามแล้วจูงต้อยติ่งออกไป ธารินทร์เดินตาม ฉ่ำยังยืนนิ่งคิดโดยมีสีหน้าหวาดกลัว ฉ่ำพึมพำ
“ถ้าตายแล้วจริงๆตอนนี้คุณผู้หญิงก็เป็น” ฉ่ำพูดเบาๆ “ผีน่ะสิ !”
ฉ่ำเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างหวาดกลัวแล้วรีบวิ่งตามไป
หวาน สวาท จิ้มลิ้มกำลังนั่งกินข้าวอย่างซังกะตาย โดยเฉพาะหวานจู่ๆก็ทิ้งช้อนร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น
“น้าหวานเป็นอะไร” สวาทถาม
“ข้าสงสารคุณผู้หญิง สงสารจริงๆท่านทำเวรทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องมาเจอเรื่องบัดซบอย่างนี้” หวานบอก
“ต้องด่าไอ้เลวที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันนั้น” จิ้มลิ้มว่า
“ใช่ถ้ามันไม่ตัดหน้า รถคุณผู้หญิงก็คงไม่คว่ำ” ยาใจบอก
พวกสวาทพร้อมใจกันวางช้อนแล้วพูดพร้อมกัน
“แล้วคุณผู้หญิงก็คงไม่ตาย”
ทั้งสามคนร้องไห้กระจองอแง หวานได้สติว่าพูดอะไรออกไป จู่ๆหมาก็หอนเกรียวขึ้นมาแต่ไกลและใกล้เข้ามา ทั้งสามหยุดร้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หวานเองก็อึ้งๆ แล้วทั้งสามคนก็กระโดดเข้ามาหาหวาน
“ทะ..ทะทำไมมะหมาหอน”
“หรือว่า..คะคุณผู้หญิงมะมา” สวาทขนลุก
“ชะ..ใช่คุณ..คุณผู้หญิงชอบเข้ามาในครัวซะด้วย” ยาใจบอก
บรรยากาศเริ่มน่ากลัว หวานทำใจแข็งพูดปกติ
“หมามันมีปากมันก็หอนสิวะไปๆๆกินๆแล้วก็แยกย้ายกันไปข้าไม่กินละกินไม่ลง”
หวานลุกขึ้นเดินออกไป ทั้งสามคนยังมองรอบๆอย่างหวาดๆ แต่ไม่มีใครกินข้าวต่อแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดต่างพากันกระโจนออกจากห้องครัวอย่างพร้อมเพรียง ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นร้องไห้อย่างเศร้าใจที่มุมห้องครัว
ชีพยืนอยู่ที่หน้าต่างมองไปทางสุสาน
“มันคงเริ่มกันแล้วมั้ง ไม่เข้าใจจริงๆ เละทั้งตัวอย่างนั้น ยังหวังลมๆ แล้งๆอยู่ได้”
รสสุคนธ์ในชุดนอนเดินเข้ามากอดชีพจากทางด้านหลัง
“ต้องโทษนังลั่นทม ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวสั่งเสียแบบนั้นเรื่องทุเรศๆ แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะ คอยดูนะรสจะจองเวรจองกรรมกับมันจนกว่ารสจะตายเชียวล่ะ”
พูดคำหมาก็หอนเกรียวขึ้นแล้วรับมาเป็นทอดๆ รสสุคนธ์ชะงักแต่ก็ทำใจกล้าพูดต่อ
“อย่าไปสนเลยค่ะชีพพวกมันอยากรักษาซากศพก็ให้มันรักษากันไป..พอมันเน่าส่งกลิ่นโฉ่ไปทั่ว คนแถวนี้จะมารุมแช่งรุมด่าเองแหละ”
“มันแกล้งฉันได้ฉันก็แกล้งมันได้..ถ้าวิญญาณมัน เห็น..มันจะเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนยังไม่ตายซะอีก คอยดู”
ชีพหันมาอุ้มรสสุคนธ์ไว้ในวงแขนแล้วพาเดินไปที่เตียง ชีพก้มลงซุกไซ้รสสุคนธ์ รสสุคนธ์เคลิ้มแล้วหันหน้าไปที่ข้างเตียงทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งตาเหลือกที่เห็นลั่นทมนอนนิ่งอยู่บนเตียงข้างๆ รสสุคนธ์ผลักชีพกระเด็น ส่วนตัวเองกระโดดลุกขึ้นเนื้อตัวสั่น
“อะไรรส..อะไร”
รสสุคนธ์ชี้ไปบนเตียงแล้วพูดเสียงสั่น “นังลั่นทม..มันนอน..นอนอยู่ตรงนั่นค่ะชีพ”
ชีพลุกขึ้นเดินไปที่เตียงแต่ก็มองไม่เห็นอะไร เขาหันมาโอบรสสุคนธ์
“ไม่มีอะไรสักหน่อย”
“แต่เมื่อกี้รสเห็นจริงๆ มันนอนนิ่งเหมือนศพในสุสานเลย มัน.มัน มัน..นอนบนเตียงนี่”
“ไม่มีอะไรซะหน่อย รสไปดูศพมาคงติดตานะ มามะฉันจะทำให้รสหายกลัวเอง”
ชีพประคองรสสุคนธ์กลับมาที่เตียงแล้วให้เธอนอนลง ชีพก้มลูงจูบ รสสุคนธ์เหลือบมองหวาดๆ แต่ก็ไม่มีอะไรบนเตียง รสสุคนธ์ตัดสินใจหลับตาปี๋ วิญญาณลั่นทมปรากฏร่างขึ้นมองทั้งสองคนที่อยู่บนเตียง
ลั่นทมพูดแผ่วเบาเจือสะอื้น “ชีพ... ทมพยายามให้อภัยทั้งคุณทั้งรสสุคนธ์แต่พวกคุณไม่เคยคิดได้เลย ขนาดทมตายแล้ว ยังคิดทำร้ายวิญญาณทมได้ลงคอ”
ชีพชะงักเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียงตัดพ้อของลั่นทม รสสุคนธ์ลืมตามองแล้วรีบถาม
“มีอะไรคะ”
ชีพกวาดตามองหาลั่นทมแต่ก็ไม่เห็นอะไร “ไม่มีอะไร....ไม่มี”
ชีพก้มไปหารสสุคนธ์อีกครั้ง ลั่นทมกลั้นสะอื้นจนตัวสั่นก่อนจะเลือนหายไป
วิเวกกับสมพรกำลังช่วยกันอยู่ที่บริเวณเตากับหม้อต้มยา ผันกับธารินทร์ช่วยกันอยู่ที่หน้าแท่นบูชาพระที่เพิ่งนำเข้ามาตั้ง อุษาจับมือลั่นทมแล้วมองลั่นทมอย่างมีความหวัง แต่ร่างลั่นทมซีดลงมากกว่าเดิม บางส่วนเริ่มเขียว ฉ่ำมองลั่นทมอย่างหวาดๆ แล้วก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“ผมว่าตัวคุณนายเริ่มเขียวแล้วนะครับ”
อุษามองลั่นทมอย่างหวาดหวั่นเพราะร่างลั่นทมเริ่มเปลี่ยนไปจริงๆ
“ไม่ค่ะ คุณน้ายังไม่ตาย..”
“หนูอุษา..ไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวซะ..ลุงจะเตรียมพิธีก่อน”
“แต่ษาอยากอยู่ดูด้วยค่ะ”
“มันต้องใช้เวลากว่ายาต้มจะได้ที่ ถ้าหนูอยากช่วยคุณนายหนูก็ต้องดูแลตัวเองด้วย เชื่อลุงหมอนะไปกินข้าวอาบน้ำให้ใจสบายก่อนแล้วค่อยมา”
“พ่อพูดถูกแล้วษา คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลย ไปเถอะผมจะไปเป็นเพื่อน” ธารินทร์บอก
อุษาจำใจเดินออกไป ธารินทร์เดินตามไปด้วย ผันนั่งนิ่งมองร่างลั่นทมอย่างพิจารณา
ธารินทร์พาอุษาเข้ามาในบ้านมาเจอกับหวานที่กำลังตรวจตราดูในบ้าน
“น้าหวานครับขออะไรร้อนๆให้ษาทานสักหน่อยได้มั้ย” ธารินทร์บอก
“ได้สิคะอิฉันจะทำข้าวต้มหมูให้รอแป๊บเดียวนะคะ”
อุษาเดินไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเหนื่อยๆ ธารินทร์ไปนั่งใกล้ๆ แล้วมองอย่างเป็นห่วง
“หน้าคุณซีดมากเลยนะษา”
“ษาไม่เป็นไรค่ะ”
อุษาชะงักที่เห็นชีพโอบรสสุคนธ์ลงมาจากชั้นบน รสสุคนธ์เดินเข้ามาหา
“ไงจ๊ะอุษาหน้าไม่ดีเลยนี่ น้าเธอไม่ฟื้นละสิ”
อุษาไม่ตอบ ธารินทร์ตอบแทน “ยังไม่ได้เริ่มรักษา พ่อกำลังต้มยาอยู่”
ชีพเข้ามามองอุษาอย่างครุ่นคิดก่อนจะนั่งลงตรงหน้าแล้วพูดด้วยดีๆ
“อุษา..เรามาคุยกันดีๆดีกว่ามั้ย ลั่นทมนะยังไงก็ไม่ฟื้น สมบัติลั่นทมน่ะมหาศาล เรามาแบ่งกันอย่างยุติธรรม เธอก็..”
อุษาลุกพรวดแล้วพูดชัดเจน “ถ้าคิดจะกล่อมให้ษาทำชั่วเหมือนน้าชีพล่ะก็อย่าเสียเวลาเลยค่ะ คนอย่างษาไม่มีวันทำชั่วๆเพื่อหวังสมบัติใคร”
ชีพสะอึก รสสุคนธ์หมั่นไส้ “เชอะแม่คนดีมีคุณธรรม ก็ไอ้ที่พยายามจะให้ศพฟื้นเนี่ยไม่ได้หวังหรอกเหรอว่าน้าเธอฟื้นขึ้นมาเธอจะรวยเละ”
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นมุมหนึ่งแล้วพูดออกไปค่อนข้างดัง “คนเลวๆอย่างเธอก็คิดได้แต่เรื่องเลวๆรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ชะงักเพราะรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงลั่นทม เธอหันไปมองชีพ ชีพก็หันมามองรสสุคนธ์ ทั้งคู่หันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมายแล้วเดินเข้าไปจับมือกันไว้ แล้วต่างคนต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทั้งสองเหลียวไปรอบๆ แล้วคิดว่าหูแว่วไปเอง วิญญาณลั่นทมปิดปากอย่างตกใจ
“สองคนนั่นได้ยินเสียงฉัน..”
หวานถือถาดใส่ชามข้าวต้มเข้ามาชะงักที่เห็นท่าทางทุกคน หวานรีบวางถาดลงบนโต๊ะ
“นังรสแกมะระรานอะไรคุณอุษาอีก แกนี่มัน..”
หวานทำท่าจะเข้าไปเล่นงานรสสุคนธ์แต่อุษาดึงแขนไว้
“ไม่มีอะไรหรอกน้าหวาน” อุษามองรสสุคนธ์กับชีพ “ฉันไม่เคยหวังสมบัติของคุณน้า แต่ที่อยากให้คุณน้าฟื้นก็เพราะอยากถามท่านเท่านั้นว่าใครฆ่าท่าน”
หวาน ชีพ รสสุคนธ์สะดุ้งพร้อมกัน แต่ชีพรีบคุมอารมณ์แล้วเถียงหน้าตาเฉย
“ใครจะฆ่า ก็ฆ่าตัวเองนะสิ..เพราะบ้าหึงหวงไม่เข้าเรื่องจะบอกให้เอาบุญนะอุษา น้าที่รักของเธอนะเขาหึงเธอกลัวว่าน้าจะมีอะไรกับเธอ หาเรื่องน้าแล้วก็ขับรถออกไป ถึงไปตายอย่างน่าสมเพชไง”
ลั่นทมโกรธที่ชีพโกหกจึงเผลอร้องออกมาเต็มเสียงด้วยพลังจิตที่กำลังแข็งกล้า
“ไม่จริง”
เสียงลั่นทมดังลั่นจนทุกคนได้ยินกันหมด ทุกคนสะดุ้งเฮือกหันมองไปรอบๆ หวานตาเหลือกถอยกรูดไปติดผนังห้องทำท่าจะร้องไห้ด้วยความกลัว
“สะ..เสียงคุณผู้หญิง”
ลั่นทมตกใจปิดปากตัวเองแล้วถอยร่นไปทางหนึ่งก่อนที่ร่างจะเลือนไป ชีพ รสสุคนธ์ อุษาและธารินทร์ต่างก็ไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอะไรต่างก็พากันนิ่งเงียบแล้วมองตากันโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ลั่นทมนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงหน้าตาซีดเซียวและเขียวคล้ำมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะที่คอ อุษา ธารินทร์ และหวานเดินเข้ามา หม้อต้มยาน้ำกำลังเดือดพล่าน ผันสวดมนต์ภาวนาพึมพัม ธารินทร์เดินไปอยู่ทางหนึ่งกับต้อยติ่ง อุษาเข้าไปนั่งข้างเตียงแล้วจับมือลั่นทมไว้ เธอหันมาพยักหน้ากับหวาน หวานมองลั่นทมอย่างหวาดๆก่อนจะเข้าไปกระซิบต้อยติ่งเบาๆ
“ต้อยติ่ง..ไปนอนกับน้าเถอะดึกแล้ว”
ฉ่ำ วิเวก และสมพรรวมตัวกันอยู่ทางหนึ่ง ต้อยติ่งลุกขึ้นโดยยอมให้หวานจูงไปแต่โดยดี
ชีพกระดกเหล้าเข้าปากติดๆกัน รสสุคนธ์ที่อยู่ใกล้ๆ มองไปรอบๆ อย่างไม่ไว้ใจ สะกิดชีพถามเบาๆ“ชีพคะ..คุณก็ได้ยินใช่มั้ย เราหูไม่ฝาดใช่มั้ยคะ”
ชีพกินเหล้าข่มความกลัว “ได้ยินแล้วไง ไม่เห็นกลัว มันก็ทำได้แค่นี้ ถ้ามันเก่งจริงมันก็คงออกมาหักคอเราแล้วล่ะ ใช่มั้ยลั่นทม แน่จริงก็ออกมาหักคอฉันสิ ออกมาเลย”
รสสุคนธ์ใจไม่ดีแต่ทุกอย่างนิ่งสงบ ชีพหัวเราะ “เห็นมั้ย..มันไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรหรอก ก็แค่ไอ้ผีกระจอก”
ชีพรั้งตัวรสสุคนธ์มาอยู่ในอ้อมแขนจนใกล้ชิดกันอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ชีพกระดกเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า หวานเดินพาต้อยติ่งเข้ามา รสสุคนธ์รีบเรียกไว้
“น้าหวาน..ไปทำอะไรให้ฉันกินหน่อย ฉันหิว อ้อ แล้วทำกับแกล้มให้คุณชีพด้วย”
หวานเฉยแล้วก็จูงต้อยติ่งไป รสสุคนธ์ไม่พอใจจึงตวาด “น้าหวานพูดไม่ได้ยินเหรอ..”
“ก็เดี๋ยวได้ไหมเล่า เอาต้อยติ่งไปนอนก่อน”
“นังเด็กนี่มันเป็นญาติน้าหวานตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงต้องคอยดูแลมัน”
“ไม่ใช่ญาติหรอกแต่เห็นว่าเค้ามีน้ำใจมาเฝ้าคุณผู้หญิง ไม่เหมือนแก ขนาดคุณผู้หญิงให้ที่พักพิงแก แกยังเนรคุณกับท่านได้ลงคอ ข้าละอยากควักหัวใจแกออกมาสับแล้วโยนให้หมามันกินเสีย จริงๆ”
หวานเดินออกไป ชีพที่เมามากแล้วหัวเราะก่อนจะชี้ไปที่หวาน
“น้าหวานด่าใคร ด่ารสเหรอ เออดีสมควรโดนด่าแล้ว”
“เอ๊ะชีพ...” รสสุคนธ์เข้าใจว่าชีพเมา “รสว่าคุณชักจะเมาแล้วนะคะ”
“ไม่เมา..ไม่เมา”
ชีพลุกขึ้นเดินโซเซจะออกไปข้างนอก “จะไปไหนคะชีพ”
ชีพไม่ตอบ เขาเดินไปทางสุสาน รสสุคนธ์ขมวดคิ้วแต่ก็รีบตามไป
อุษายังนั่งจับมือลั่นทมอยู่ในตำแหน่งเดิม วิญญาณลั่นทมนั่งอยู่ตรงข้ามอุษาแต่ไม่มีใครเห็น ผันสวดมนต์ภาวนา ธารินทร์อยู่ด้วย ฉ่ำ วิเวก และสมพรหลับเอาแรงอยู่ที่มุมเดิม ชีพเมาโซเซเข้ามาตามด้วยรสสุคนธ์
ธารินทร์เห็นท่าทางชีพก็พอจะเข้าใจจึงรีบเข้ามากัน
“คุณชีพครับ..”
ชีพตะโกน “ทำไม..”
“พิธีต้องการความเงียบ ไม่อยากให้พ่อเสียสมาธิ..” ธารินทร์บอก
ชีพหัวเราะเสียงดัง “ใครจะบ้าก็บ้าไปเถอะ แต่ฉันไม่สนฉันจะมาหาเมียฉัน”
ชีพไม่ฟังเสียงเอะอะโวยวาย เขาเดินเข้าไปใกล้ลั่นทม ผันยังคงหลับตาภาวนาไม่หยุด อุษาหันมามองตกใจ ชีพยืนจังก้าหน้าลั่นทมแล้วชี้หน้า “นังนี่เป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด เห็นแก่ตัว” ชีพพูดเน้น
ฉ่ำ วิเวก และสมพรตื่นขึ้นมามองงงๆ วิญญาณลั่นทมลุกขึ้นยืนมองชีพอย่างผิดหวังน้อยใจ ชีพท้าทายต่อ“ลุกขึ้นมาซี..ลั่นทม ตายแล้วไม่ยอมตายก็ลุกขึ้นมาเลยลุกขึ้นมาฟังให้ชัดๆว่าฉันเกลียดเธอ เกลียด”
ผันยังคงสวดมนต์พึมพำไม่หยุด วิญญาณลั่นทมร้องไห้สะอื้นในอาการของชีพ
“น้าชีพคะ..ษาขอเถอะค่ะ” อุษาบอก
“เขาคงจะดื่มมาก..รสสุคนธ์คุณช่วยพาคุณชีพกลับไปทีเถอะ อย่ามาทำลายพิธีกันเลย” ธารินทร์บอก
“ฉันไม่ได้อยากจะมานักหรอก ชีพคะชีพกลับบ้านเราเถอะค่ะ” รสสุคนธืเข้ามาดึงตัวชีพ
“ไม่ๆๆยังไม่กลับ ฉันจะรอให้นังซากศพเนี่ยมันฟื้นก่อน”
อุษาโกรธมากแต่กลัวเสียพิธีจึงจำใจยกมือไหว้อ้อนวอนเสียงอ่อน
“น้าชีพขา ษาขอร้องน้าชีพกลับไปนะคะ นะคะ”
ชีพมองอุษาอย่างพอใจที่อุษาอ่อนให้ ชีพมองดูอุษาตาเยิ้มแล้วจับคางอุษาเหมือนเอ็นดู
“พูดดีๆกับน้าก็เป็นเหรอเนี่ย น่ารักจริงๆคนสวย”
อุษาปัดมือชีพแล้วถอยออกมา ธารินทร์ขยับเข้าใกล้ รสสุคนธ์หึงจึงเข้ามาฉุดชีพออกจากสุสานด้วยท่าทีเป็นเจ้าของ
“กลับเถอะคะชีพไปเร็วสิ..”
วิญญาณลั่นทมร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอเริ่มขุ่นเคืองจนจะทนไม่ไหว นัยน์ตาจ้องเขม็ง ผันยังก้มหน้าสวดมนต์ภาวนา
เช้าวันใหม่ พระสงฆ์ออกบิณฑบาต ชีพกับรสสุคนธ์นอนหลับกันอยู่บนเตียง ชีพตื่นก่อนก็ลุกขึ้นนั่งสะบัดให้หายมึนงง เขาเดินไปเกาะหน้าต่างมองไปทางสุสานอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองรสสุคนธ์ที่ยังหลับอยู่ ชีพยิ้มอย่างร้ายกาจก่อนจะก้มลงจูบรสสุคนธ์“รส..ตื่นเถอะ”
วิญญาณลั่นทมเดินผ่านประตูเข้ามามองภาพตรงหน้าเศร้าๆ
“ตื่นแล้วรึคะ แต่รสยังไม่อยากตื่นเลย..”
ลั่นทมกำลังจะเลือนหายไปแต่ก็ชะงักเพราะได้ยินชีพพูด “เราจะไปจดทะเบียนกันที่อำเภอ”
ลั่นทมตะลึงเพราะไม่อยากเชื่อหู รสสุคนธ์ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“พูดจริงหรือคะ ? ทำไมรีบร้อนล่ะค่ะ แล้วถ้าเมียคุณเกิดฟื้นขึ้นมาจะทำยังไง”
ชีพลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเดินไปที่ห้องน้ำ “ช่างมันปะไรมันแกล้งเราได้เราก็แกล้งมันได้ จดทะเบียนเย้ยมันซะเลย แล้วเลี้ยงฉลองมงคลสมรสในบ้านทั้งศพคาสุสานนั่นแหละและที่สำคัญเราจะส่งตัวกันที่สุสานนั้นดีมั้ย”
“ว้าว ดีจัง สนุกแน่ค่ะชีพ อุ๊ยแค่คิดก็สนุกสุดๆแล้ว”
รสสุคนธ์ปรบมือดีใจแต่แล้วก็ตะลึงตาค้างที่เห็นร่างลั่นทมปรากฏขึ้น โดยลั่นทมกำลังสะอื้นอย่างแรงด้วยความเสียใจสุดซึ้งทำให้หน้าตาลั่นทมบิดเบี้ยวดูน่ากลัว รสสุคนธ์ผวาตกจากเตียง
“ว้าย..ลั่นทม”
ลั่นทมสะดุ้งแล้วร่างก็เลือนหายไปทันที ชีพตกใจหันมาถาม
“อะไรรส”
รสสุคนธ์มองอีกครั้งแต่ก็ไม่มีอะไร เธอมองไปรอบๆ ชีพมองตามแล้วรีบถาม
“เธอเห็นลั่นทมเหรอ มันมาเหรอ”
รสสุคนธ์อึกอัก “คงตาฝาดน่ะค่ะ..ไม่มีอะไรหรอกคุณไปอาบน้ำเถอะ”
ชีพพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป รสสุคนธ์มองไปรอบๆห้องอีกครั้งก่อนจะพึมพำ
“ถึงจะใช่แกก็ทำอะไรฉันไม่ได้นอกจากแว่บไปแว่บมาจะให้ฉันตกใจนะเหรอ ไม่มีทางหรอก ฉันไม่กลัวแก ฉันจะแต่งงานกับผัวแกให้ดูนังลั่นทม”
รสสุคนธ์ข่มความกลัวแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าลงมือเลือกชุดที่สวยที่สุด ลั่นทมปรากฏร่างเลือนๆ ก้มลงมองดูตัวเองแล้วก็ร้องไห้เสียใจ
“คราวนี้ฉันคงตายแล้วใช่มั้ย” ลั่นทมสะอื้น “ฉันต้องตายแล้วแน่ๆ”
ลั่นทมร้องไห้โฮมองรสสุคนธ์ที่เลือกเสื้อผ้าอย่างสะเทือนใจ
อุษาจับมือลั่นทมฟุบหลับอยู่ข้างเตียง หน้าตาเนื้อตัวของลั่นทมเริ่มซีดมากกว่าเดิมจนเขียว ร่องรอยบาดเจ็บที่คอปรากฏชัดเจน เนื้อตัวเริ่มแข็งเกร็ง มือที่อุษาจับอยู่นั้นแข็งค้าง ผันยังคงภาวนาพึมพำ เตาและหม้อยาควันกรุ่นและยางวดลงไปแล้ว ธารินทร์สัปหงกแล้วก็รู้สึกตัวลืมตามองผัน
ธารินทร์มองไปทางอุษา มองไปทางวิเวก สมพร และฉ่ำที่เกาะกลุ่มกันหลับอย่างสบายอยู่อีกทาง วิญญาณลั่นทมเข้ามามองดูทุกคนอย่างซาบซึ้งแล้วเดินไปมองที่ร่างของตัวเอง ลั่นทมเศร้าใจก่อนจะหันมาบอกทุกคน
“ขอบใจทุกคนจริงๆที่พยายามช่วยฉัน แต่ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว”
ไม่มีใครมีท่าทางจะได้ยิน ลั่นทมยอมรับความจริง
ลั่นทมสะอื้น “ฉันตายแล้ว....ฉันตายแล้วจริงๆ”
ผันหยุดสวดแล้วมาดูยาในหม้อก็เห็นยังมีน้ำอยูจึงยังไม่ราไฟ เขาหันไปมองธารินทร์
“ปลุกหนูอุษาสิไอ้หมวด”
ธารินทร์ขยับเข้าไปใกล้อุษาแค่จับตัวเบาๆ อุษาก็ผวาลืมตา
“ได้เวลาแล้วใช่ไหมคะคุณลุงหมอ”
“ยัง..ไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบมาก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
อุษาลุกขึ้นพอดีที่ไกรย่องเข้ามา อุษาไหว้ไกร
“เป็นไงบ้างครับครั้งนี้มีโอกาสมั้ย” ไกรถาม
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ เพิ่งต้มยาเสร็จอีกสักครู่ลุงหมอคงเริ่ม” อุษาบอก
ผันปลุกทุกคน “ไป ล้างหน้าล้างตาแล้วมาช่วยกันตั้งจิตภาวนา เร็วๆกันเข้านะ” ทั้งหมดทยอยกันออกไป ไกรรีบบอกผัน “งั้นผมไปแวะคุยธุระกับคุณชีพหน่อย”
“ดีๆ ชวนแกมาตั้งจิตภาวนาด้วย ตอนนี้ไม่มีอะไรดีกว่าพลังจิตพลังใจของทุกๆ คน” ผันบอก
ไกรรีบออกไปทันที ผันมองร่างลั่นทมถอนใจหนักหน่วงก่อนจะหันไปสวดภาวนาต่อ
รสสุคนธ์ยืนมองพวกสวาทลำเลียงอาหารเช้าวางบนโต๊ะ รสสุคนธ์มองชามข้าวต้มบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่กินข้าวต้ม”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจมองหน้ากัน รสสุคนธ์ตวาด“ไม่ได้ยินเหรอ ไปทำมาใหม่เดี๋ยวนี้”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน รสสุคนธ์วางอำนาจ “หรืออยากถูกไล่ออก”
ทั้งสามคนฮึดฮัดจะเดินไป หวานเข้ามา
“ไม่ต้อง ตอนนี้ทุกคนมีงานล้นมือแกอย่าเพิ่งมาเรื่องมากนักเลยนังรส เอาไว้ให้ได้เป็นคุณนายจริงๆซะก่อนคอยมาออกคำสั่ง อย่าเพิ่งฝันลมๆแล้งๆ”
รสสุคนธ์แค้นหวานแต่ชีพเข้ามานั่งแล้วพูดจริงจัง
“รสสุคนธ์ไม่ได้ฝันลมๆ แล้งๆ หรอกน้าหวาน..เรากำลังจะไปจดทะเบียนสมรสกันเดี๋ยวนี้แล้ว”
รสสุคนธ์ยิ้มสะใจ ทุกคนอ้าปากค้าง อุษา ธารินทร์ และไกรที่เพิ่งเดินเข้ามาก็หยุดชะงักอึ้งไปด้วย
“คุณน้าจะจดทะเบียนสมรสได้ไงคะ ถ้าคุณน้าลั่นทมฟื้นจะว่าไง” อุษาถาม
ชีพยิ้มเยาะ “ก็ดีซีฉันอยากให้ฟื้นมาเห็นจริงๆ พวกเธอรีบๆทำพิธีเร็วๆเข้าสิ”
“น้าชีพใจร้ายเกินไปแล้วนะคะ น้าชีพกำลังสร้างความเจ็บแค้นให้คุณน้าลั่นทม”
ไกรกับธารินทร์มองชีพอย่างรังเกียจ ชีพพูด “แล้วที่ลั่นทมทำล่ะ น้าไม่เจ็บเหรอ..ทำพินัยกรรมทุเรศให้น้าต้องอับอายไปทั่ว..น้าก็เลยต้องตอบแทนให้สาสมกันไง” ชีพหัวเราะ
วิญญาณลั่นทมปรากฏขึ้นมาเถียงชีพ แต่ไม่มีใครเห็น
“ที่ทมทำไปเพราะรักชีพ ต้องการฟื้นมาใช้ชีวิตร่วมกับคุณอีก”
ชีพเดินไปมองรูปลั่นทมที่ติดอยู่อย่างโกรธแค้นแล้วพูดใส่รูป
“อย่าได้เจอกันอีกเลยชาตินี้”
ชีพหันมาพูดกับไกร “ผมจะไปอำเภอ คุณไกรเตรียมเรื่องพินัยกรรมและบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดของลั่นทมไว้เดี๋ยวจะกลับมาเคลียร์”
ชีพกับรสสุคนธ์พากันเดินออกไป อุษาพูดขึ้น “น้าชีพจงใจทำร้ายจิตใจคุณน้าลั่นทม ถ้าคุณน้าฟื้นคุณน้าจะเจ็บช้ำมาก”
“ถึงน้าจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก แต่น้าก็เจ็บช้ำจนสุดที่จะทนแล้ว” ลั่นทมบอก
ทุกคนแยกย้ายกันออกไป ลั่นทมกำมือแน่นตาแดงฉานเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ
อุษาเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วนั่งลงบนเตียงอย่างกลัดกลุ้ม ลมพัดวูบเข้ามาอย่างแรงจนแจกันที่โต๊ะตกแตกกระจาย อุษาตกใจ เธอหันขวับไปดูแล้วพึมพำ “คุณน้า..คุณน้าใช่มั้ยคะ”
ลมพัดวูบเข้ามาอีกแล้วก็พัดหมุนอยู่ภายในห้อง อุษาตะลึงและหน้าเสีย แต่พยายามตั้งสติ “คุณน้า คุณน้าจะบอกอะไรษา คุณน้าโกรธใช่มั้ยคะ คุณน้าอย่าทำอะไรพวกเขานะคะ มันจะเป็นบาปติดตัวคุณน้า คุณน้าได้ยินษามั้ยคะ?”
ลมพัดวูบออกไปทางหน้าต่าง อุษาวิ่งตามไปเกาะหน้าต่างแล้วมองไปทางสุสาน อุษานึกได้ก็สะอื้นอย่างหมดหวัง
“นี่หมายความว่าคุณน้า คุณน้าตายแล้ว” อุษาร้องไห้ “โธ่...”
ร่างลั่นทมนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียงโดยผิวมีสีเขียวคล้ำ เนื้อตัวแข็งเกร็ง ยาในหม้อแห้งงวดลงทุกที
วิญญาณลั่นทมเข้ามามองดูร่างตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเศร้าโศก เธอเอื้อมมือมาแตะร่างตัวเองแต่มือก็ผ่านร่างที่นอนสงบนิ่งไป วิญญาณลั่นทมน้ำตาซึมอย่างหวาดหวั่น
ผันจบสิ้นกระบวนการสวดภาวนา “เอาละ..เราจะเริ่มกันแล้วนะ”
วิเวก สมพร และฉ่ำเดินเข้ามา ทุกคนล้างหน้าตาล้างมาแล้ว ผันหยิบแก้วเล็กๆเตรียมใส่ยา “เวก..พร..” ผันเรียก
วิเวกกับสมพรยกหม้อเทยาใส่แก้วแต่ก็ได้ยาเพียงเล็กน้อย
“เอาเตากับหม้อออกไปได้แล้ว” ผันสั่ง
วิเวกหิ้วหม้อออกไป ฉ่ำเข้าช่วยสมพรยกเตาออกจากสุสาน ผันหันไปจบถ้วยกับหน้าผากตรงหน้าแท่นบูชาพลางหลับตาสวดภาวนานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อุษา ไกร และธารินทร์เดินเข้ามา ตามด้วยหวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ และต้อยติ่ง ทุกคนมองดูร่างลั่นทมที่นอนแข็งอยู่บนเตียงอย่างหวาดๆ แต่ก็ภาวนาให้ฟื้น
หวานเข้าไปไหว้ลั่นทม “ขอให้ฟื้นเถอะเจ้าประคู๊น”
อุษาเข้าไปจับมือที่เริ่มแข็งเกร็งของอุษาแล้วก็ชะงักที่มือของลั่นทมแข็งเกร็ง อุษาน้ำตาไหลพราก “มือเย็นเฉียบเลย”
ฉ่ำกระซิบบอกผัน “ซีดจนเขียวจะมีหวังหรือครับลุงหมอ”
“เอาล่ะทุกคนช่วยกันตั้งจิตภาวนาเถอะ เพราะตอนนี้ปาฎิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยได้”
ชีพกับรสสุคนธ์เดินมาที่รถเตรียมตัวจะออกไปจดทะเบียน รสสุคนธ์ร่าเริงมาก ชีพเปิดประตูแล้วก็ชะงักมองไปทางสุสาน เขาลังเลแล้วปิดประตู
รสสุคนธ์มองด้วยความแปลกใจ “ทำไมไม่ขึ้นรถละคะชีพ”
“เดี๋ยวฉันมา...”
ชีพเดินตรงไปยังสุสาน รสสุคนธ์ยืนงงอยู่ก่อนจะรีบวิ่งตาม
“รอรสด้วยค่ะชีพ...รสไปด้วย”
รสสุคนธ์เดินตามไปจนทัน เธอคล้องแขนชีพแล้วพากันเดินไปที่สุสาน
ธารินทร์เข้าประคองลั่นทมให้นั่งเพื่อให้หมอผันกรอกยา ชีพกับรสสุคนธ์เข้ามา ชีพมองแล้วเอะอะ
“อะไรกัน”
ทุกคนชะงัก วิญญาณลั่นทมที่ยืนมองอยู่ข้างๆเตียงหันมามองชีพ
ชีพโวยวาย “ทำบ้าอะไรกันเนี่ย นั่นมันศพชัดๆ จะทำให้ลั่นทมเป็นผีดิบหรือไง”
“น้าชีพคะ..เรากำลังจะเริ่มพิธี..กรุณาอย่าเอะอะเสียงดังค่ะ” อุษาว่า
“พวกแกมันบ้าต้องบ้าแน่ๆ แหกตาดูเสียบ้างสิ ตัวแข็งทื่ออย่างนั้นแล้วอี๊ชีพคะพวกนี้ต้องวิปริตแน่ๆ” รสสุคนธ์ว่า
วิญญาณลั่นทมมองรสสุคนธ์อย่างไม่พอใจ ผันพูด “เอาล่ะๆ คุณชีพครับ ผมขอทำหน้าที่ของผมเป็นครั้งสุดท้ายคุณนายจะฟื้นหรือไม่เดี๋ยวก็รู้ เอ้า ไอ้รินทร์ยกหัวคุณนายขึ้น”
ธารินทร์ยกหัวลั่นทมขึ้น ลั่นทมแข็งเกร็ง รสสุคนธ์พูดเยาะ “ทุเรศ..”
ผันไม่ฟังเสียง เขากรอกยาลั่นทม ธารินทร์คอยเช็ดยาที่หกออกมา
ธารินทร์บอกผัน “ไม่เข้าปากเลยพ่อ”
ผันสวดภาวนาพึมพำ ชีพทำหน้าสะอิดสะเอียน “ปล่อยพวกเขาปลุกผีไปเถอะรส เราไปจดทะเบียนกันเถอะ”
“นั่นสิคะเหม็นสาบผี..ยี้..แหวะ”
ชีพกับรสสุคนธ์หันกลับจะเดินออกไป วิญญาณลั่นทมซึ่งยืนอยู่ที่เดิมร้องห้ามชีพอย่างเลือดอด “ชีพ”
ทุกคนได้ยินหมดจึงสะดุ้งหันไปมองที่ร่างลั่นทม ชีพกับรสสุคนธ์หันกลับมาตะลึง
อุษาดีใจมาก “คุณน้า..ฟื้นแล้ว”
ทุกคนพากันไปมุงใกล้ๆ ยกเว้นชีพกับรสสุคนธ์ ร่างลั่นทมนอนนิ่งไม่ไหวติง วิญญาณลั่นทมสะอื้นร้องไห้แล้วปรากฏร่างขึ้นโดยไม่เจตนา ฉ่ำเงยไปเห็นเข้าอย่างจังถึงกับตาค้างปากสั่น
“เหวอ...คุณ..คุณ..นาย..”
ลั่นทมเองก็มองฉ่ำอย่างตกใจที่ฉ่ำเห็นเธอ ลั่นทมรีบหายไป ฉ่ำได้สติก็แผดร้องสุดเสียงแล้วกระโดดเข้าไปกอดขาชีพ ฉ่ำหลับหูหลับตาชี้มาทางที่เห็นลั่นทม “คุณผู้ชาย..คุณนาย คุณนาย..ยืนอยู่นั่น”
ชีพข่มความกลัวมองไปที่ฉ่ำชี้แต่ก็ไม่เห็นอะไร “ไอ้บ้าไม่มีอะไรสักหน่อย”
ชีพมองลั่นทมยังนอนนิ่งแล้วกวาดตามองทุกคนก่อนจะพูดเสียงกร้าว
“ใครเล่นบ้าๆหลอกฉัน นึกว่าจะกลัวเหรอ ต่อให้ลั่นทมเป็นผีมายืนต่อหน้าฉันก็ไม่กลัว ไปเถอะรสไร้สาระ”
ชีพโอบรสสุคนธ์พาเดินออกไป ผันหันมาถามฉ่ำ “เห็นจริงเหรอฉ่ำ”
“สาบานได้ ฉันเห็นคุณผู้หญิงจริงๆ ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น”
ผันถอนใจนิ่งงัน อุษามองลั่นทมแล้วหันมามองผันเป็นเชิงถาม ผันส่ายหน้าช้าๆ อุษาร้องไห้โฮเพราะรู้ว่าหมดหวัง ธารินทร์เข้ามาปลอบ สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจผวาเข้าหากันแล้วมองรอบๆห้อง หวานร้องไห้
ไกรยกมือไหว้ลั่นทม “ไปสู่สุขคติเถิดนะครับคุณลั่นทมอย่าห่วงอะไรอีกเลย”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าซึม ร่างลั่นทมดูเหมือนศพเข้าไปทุกที
รสสุคนธ์ยังหวาดกลัว เธอหันไปมองทางสุสาน ชีพพูดให้หายกลัว
“ไม่มีอะไรหรอกรส พวกมันแกล้งทำให้เรากลัวเท่านั้นแหละ”
“จริงหรือคะแต่รสก็ได้ยินเสียงนะแล้วไอ้ฉ่ำมันก็เห็น”
“อย่าไปเชื่อไอ้ฉ่ำเลย พวกมันรู้กัน อุษาอาจจะสั่งมันให้ทำเป็นเห็นลั่นทม ส่วนเสียงไม่นังหวาด ยาใจหรือจิ้มลิ้มเผลอๆน้าหวานก็อาจจะร่วมมือด้วย พวกมันอยากทำให้เรากลัว”
รสสุคนธ์เม้มปากเพราะเริ่มโกรธ “คงจะจริง !ถ้าเป็นผีนังลั่นทมมันก็คงเล่นงานเราแล้วล่ะ”
“อย่างที่รสคิดนะถูกเลย..ถ้าเป็นผีจริงๆมันไม่หลอกไอ้ฉ่ำหรอกมันต้องหลอกเราซีรส.. มันคงหักคอเราแล้ว เพราะเรากำลังจะไปจดทะเบียนเย้ยมัน จริงมั้ย”
รสสุคนธ์เริ่มเชื่อสนิทก็โกรธมาก “จริงค่ะ ฮึ! แสดงว่าพวกอุษากำลังคิดต่อต้านเรา แกล้งทำผีหลอกให้เรากลัว ต่อไปนี้รสจะไม่กลัวอีกแล้ว รสจะสู้ทุกๆ คน”
รสสุคนธ์หมายมั่น
ผันก้มลงกราบศพลั่นทม “ขออโหสิด้วยขอรับคุณนาย”
ผันหันมาทางธารินทร์และอุษาก่อนจะพูดเสียงเครือ “ทำใจนะหนูอุษา”
อุษาร้องไห้ซบอยู่กับอกของธารินทร์ ผันพูดต่อ “ให้เค้ามาฉีดยาศพเถอะ”
“ไม่ ไม่..ยังนะคะคุณลุงหมอ อย่าฉีด” อุษาไม่ยอม
ธารินทร์เข้ามาประคองให้สติอุษา “ถ้าไม่ฉีด จะเหม็น ขึ้นอืด แล้วถ้านานกว่านี้จะฉีดไม่เข้า”
อุษาคุมสติไม่อยู่จึงตวาด “ไม่เข้าก็ไม่เข้า เหม็นก็เหม็น ษาไม่ยอมให้ฉีดเด็ดขาดอย่าลืมสิคะคุณน้าสั่งให้รักษาสามวันนี่แค่วันเดียว”
หวานพูดกลัวๆ “แล้ว..แล้วถ้ามีน้ำเหลืองไหลออกมาล่ะคะ คุณอุษา”
อุษาร้องไห้คร่ำครวญ “ฉันไม่ยอม ไม่”
ธารินทร์ตัดสินใจ “เอาล่ะๆ ษา ไม่ต้องร้องไห้..ผมจะแก้ไขชั่วคราวก่อน จนกว่าษาจะแน่ใจ..” ธารินทร์หันไปทางผัน “พ่อ”
“เออรู้แล้วไอ้เวกเอ็งไปซื้อกระดาษฟางมาเยอะๆมันจะช่วยดูดน้ำเหลืองได้บ้าง ส่วนฉ่ำกับสมพรไปช่วยกันเก็บใบฝรั่งมาจะได้ช่วยดับกลิ่น”
ธารินทร์หยิบเงินส่งให้วิเวก ทั้งหมดพากันไปทำตามที่ผันสั่ง จิ้มลิ้มสะกิดหวานแล้วถามซื่อๆ
“ตกลงนี่คุณผู้หญิงตายแน่ๆแล้วใช่มั้ยน้า”
อุษาร้องไห้โฮอย่างระงับไม่อยู่ หวานถลึงตาดุจิ้มลิ้มแต่ตัวเองก็อดร้องไห้ไม่ได้ ทุกคนเลยพลอยร้องตามกันไปหมด
ธารินทร์ประคองอุษาเข้ามาในบ้าน อุษานั่งลงอย่างหมดแรงโดยยังสะอื้นไม่หยุด ธารินทร์ปลอบ “ษาต้องเข้มแข็งซิ..ต้องมีสตินะคนดี”
อุษาพยายามข่มใจ “ค่ะๆ ษาจะมีสติ ขอเวลาให้แน่ใจก่อนเท่านั้น คุณไปทำงานเถอะค่ะ”
“เย็นๆผมจะมาใหม่ ษาเองก็เหมือนกันงานที่โรงงานยังต้องการคนดูแลอยู่นะครับ”
อุษาเช็ดน้ำตา “ค่ะษาจะเข้มแข็งและจะมีสติ”
อุษาเข้ามาในห้องทำงานแผนกบัญชี สายสมรหน้าตาตื่นตามเข้ามา
“ตกลงท่านฟื้นมั้ยคะคุณอุษา เขาลือกันว่าที่ไม่จัดสวดเพราะหมอผันกำลังช่วยท่านอยู่ เอ้อมีหวังมั้ยคะ”
อุษาส่ายหน้าแล้วก็มีสีหน้าซีดสลด “ถ้างั้นก็แสดงว่าท่านไม่ฟื้นแน่”
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยค่ะ ษาอยากให้แน่ใจกว่านี้”
สายสมรนิ่งอึ้งแล้วก็นึกได้จึงรีบถาม “ถ้าไม่มีท่าน รสสุคนธ์เขาจะมาทำใหญ่ที่นี่ หรือเปล่าคะเพราะตอนนี้ก็เห็นประกาศตัวเป็นภรรยาคุณชีพออกนอกหน้าแล้ว”
“ษาไม่แน่ใจ..ต้องรอพินัยกรรมคุณน้าว่าจะให้สิทธิ์อะไรคุณน้าชีพบ้าง”
“แล้วพินัยกรรมจะเปิดเมื่อไรคะ” สายสมรถาม
ที่สำนักงานใหญ่ทนายความ ไกรพูดสาย “ต้องหลังจากหมอผันทำพิธีครบสามวันครับ”
ชีพพูดโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าอำเภอตรงบริเวณลานจอดรถ โดยมีรสสุคนธ์อยู่ด้วย รสสุคนธ์ถือซองใส่ทะเบียนสมรสที่จดทะเบียนกันแล้วมาด้วย ชีพพูดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“ลีลากันเหลือเกินนี่คุณเป็นทนายหรือเป็นเจ้าของสมบัติหึ”
“ผมทำตามคำสั่งคุณลั่นทมครับ ขอโทษด้วยถ้าจะทำให้คุณชีพไม่พอใจ” ไกรบอก
ชีพไม่พอใจ “ผมจะไม่พอใจแน่ถ้ารู้ว่าคุณสมรู้ร่วมคิดกับอุษา”
“ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน ทุกอย่างระบุไว้ในพินัยกรรมวันนั้นผมเอาไปให้คุณอ่านแต่คุณก็ไม่อ่านเองนี่ครับ”
ชีพตวาดเสียงดัง “แล้วทำไมคุณไม่บอก นี่ฟังนะคุณไกร คุณมาหาผมด่วน หอบเอกสารทั้งหมดที่ผมสั่งมาด้วย ผมจะไปรอที่บ้าน กรุณาอย่าซิกแซกนะคุณทนาย ผมไม่ยอมอีกแล้ว” ชีพปิดโทรศัพท์ทันที
ไกรส่ายหน้าเบื่อๆ
ชีพเก็บโทรศัพท์แล้วเดินขึ้นรถอย่างฉุนเฉียว
“กลับเลยนะรส”
รสสุคนธ์ตามใจเพราะกำลังปลื้มใบสมรส พอขึ้นรถรสสุคนธ์ก็ตาเป็นประกาย
“ดีค่ะ กลับบ้านเลย รสจะเอาทะเบียนสมรสไปให้ทุกคนแล้ว จะไปที่สุสานด้วย..เอาไปอวดคุณนายลั่นทมไงคะ..อยากจะพิสูจน์เหมือนกันว่าวิญญาณมีจริงมั้ย”
รสสุคนธ์หัวเราะเสียงดังชอบใจ เธอยกทะเบียนสมรสขึ้นมาดูอย่างปลื้มไม่หาย
อ่านต่อตอนที่ 8