น่ารัก ตอนที่ 1
บทประพันธ์ : เค้าโครงเรื่องโดย ปราณประมูล
บทโทรทัศน์ : ปราณประมูล, พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์, พรินทรา ชูโต, พิมสิรินทร์ พงษ์วานิชสุข, สกล วงษ์สินธุ์วิเสส
กำกับการแสดง : ผอูน จันทรศิริ
แนวละคร : โรแมนติก
ผลิต : เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ
อำนวยการผลิต : ถกลเกียรติ วีรวรรณ, นิพนธ์ ผิวเณร
ออกอากาศ : ทุกคืนวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 5
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก พฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 นี้
จำนวนตอนออกอากาศ : 16/+/-
ท่ามกลางความวุ่นวายในกรุงเทพมหานคร รถติดไฟแดงยาวเหยียดเป็นแพ ส่วนบนถนนผู้คนเดินเบียดเสียดยัดเยียด สวนกันขวักไขว่ไปมา ด้านบนรถไฟฟ้าบรรทุกผู้โดยสารแน่นวิ่งทะยานผ่านไป ทุกอย่างดูเร่งร้อนแข่งกับเวลา
ณ มุมหนึ่งย่านกลางใจเมืองในกรุงเทพฯ เป็นออฟฟิศบริษัท GNN บริษัทผลิตภาพยนตร์สารคดีชื่อดังอันดับต้นๆ ของไทย ที่นี่เป็นกึ่งบ้านกึ่งออฟฟิศ สวยงาม ดูดี และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุค 70 สวยงาม แต่ไม่ได้หรูหราอะไรนัก
“อะไรนะ...ฮวาซา...คืออะไรอ่ะ” เสียงจีจี้ ดังขึ้น
สามกำลังหลักของ GNN จีจี้ สาวนักขายคนเก่ง นาย นักธุรกิจหนุ่มหล่อ เจ้าของบริษัท และ แนวหน้า น้องชายของนาย ผู้กำกับโฆษณาและครีเอทีฟรุ่นใหม่ไฟแรง มีไอเดียสุดบรรเจิดในการคิดสร้างสรรค์ผลงานจนเป็นที่ยอมรับ นั่งคุยกึ่งประชุมกันอยู่ในห้องอเนกประสงค์
จีจี้ทำหน้างุนงงสงสัยเต็มที่ นายพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ส่วนแนวหน้านั่งฟังไปจิ้มไอแพดเล่นไปด้วย
“ทำไมมันเรียกยากอย่างนั้นล่ะ คุณนาย”
นายชะงัก “บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกนายเฉยๆ หรือจะเรียกที่รักก็ได้แต่อย่ามาเรียกผมว่าคุณนาย ขอร้อง”
แนวหน้าถามขึ้นมือและตายังง่วนอยู่กับแพด “แล้วมันคืออะไรล่ะเฮีย ไอ้กัวซาเนี่ย”
“ฮวาซา...” นายพูดชัดๆ “ฮะ - วา - ซา...คือประเทศที่เพิ่งประกาศตัวเป็นสาธารณรัฐใหม่ แบ่งเป็นฮวาซาเหนือ และฮวาซาใต้ ตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างพม่ากับจีน”
จีจี้บ่นงึม “ประเทศอะไรชื่อพิลึกพิลั่น ยังกับสมุนไพรล้างพิษตับ”
“อย่าไปสนใจเรื่องชื่ออะไรเลย...มันสำคัญที่ว่าตอนนี้ฮวาซาใต้จะมีการทำหนังสารคดีแนะนำประเทศ ซึ่งจะต้องเป็นงานใหญ่แน่ๆ และสำหรับประเทศไทยเรา บริษัทที่ได้รับเลือกให้ไปเสนอโครงงานกับท่านประธานสาธารณรัฐก็คือ...”
จีจี้ต่อให้ “GNN ของเรา?”
“ถูกต้อง” นายบอก
จีจี้ร้องกรี๊ดแล้วโผเข้ากอดนายอย่างดีใจ
นายบอกด้วยท่าทีมุ่งมั่น “บริษัทของเราต้องได้งานชิ้นนี้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของGNN”
แนวหน้าออกตัว “แต่ผมไม่อยากทำอ่ะ ผมไม่ชอบชื่อประเทศนี้”
ทั้งนายและจีจี้เหลียวขวับมามองแนวหน้าอย่างคุกคามโดยพร้อมเพรียง นายคว้าคอเสื้อน้องชายและดึงขึ้นมา
“แต่นายต้องทำ ชั้นจะไม่ยอมพลาดงานชิ้นนี้เป็นอันขาด นายจะต้องคิด format เจ๋งๆ พร้อมนำเสนอมาภายในวันนี้ แล้วก็เตรียมตัวจัดกระเป๋าเดินทางไว้ได้เลย เข้าใจมั้ย...ไอ้น้องชาย”
นายจ้องน้องชายอย่างคุกคามต่อ แนวหน้ากลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ
เช้าตรู่วันนี้ นาย แนว และจีจี้ พากันเดินออกมาจากสนามบินเล็กๆ บริเวณชายแดนพม่า หลังเครื่องบินลำเล็กๆ แบบใบพัด พาทั้งสาม และ ผู้โดยสารอื่นๆ ไม่กี่คน มาบินลงอย่างรอดปลอดภัย
นายเหลียวมองไปรอบๆ ตัว
จีจี้บ่นๆ “นี่มันมีบ้านเมืองจริงๆ เหรอคุณ มองลงมาจากเครื่องบินไม่เห็นมีตึกอะไรเลย มีแต่ป่าเขา”
แนวหน้าหยิบเอากล้องมาถ่ายรูปรอบตัวอย่างสนใจ
“อย่าห่วงเลย ทางกระทรวงการวังของฮวาซาบอกว่าจะส่งรถมารับที่สนามบินนี่ เราคงอยู่ที่นี่กันอย่างหรูหรากันเชียวล่ะ”
แนวหน้าชะงักมือที่ถ่ายรูปอยู่
“นั่นรึเปล่า รถที่จะมารับเรา”
ทุกคนหันไปมอง อึ้ง งง เมื่อเห็นรถจี๊ปเก่าๆ คันหนึ่งขับเข้ามาจอด ชายในเครื่องแบบทหารลงมาจากรถแล้วเดินตรงมา ทุกคนกลืนน้ำลาย
ทหารทำความเคารพ “ยินดีต้อนรับครับผม..เราต้องนั่งรถไปอีกชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะถึงสาธารณรัฐฮวาซาใต้ ขอเชิญขึ้นรถครับ”
จีจี้สะอึก “ชั่วโมงกว่า...ในรถคันนี้นะเหรอค่ะ”
“ประเทศของเรามีแต่เทือกเขา ถ้าไม่ใช้รถแบบนี้คงไปไม่ไหวหรอกครับ” ทหารว่า
ทหารกุลีกุจอช่วยจีจี้ถือกระเป๋า ทั้ง 3 คนมองหน้ากัน ยิ้มแหยๆ
รถจี๊ปแล่นมาตามถนนเขตชายแดนไทย - ราชอาณาจักรฮวาซาใต้ บริเวณแถบตะวันออกเฉียงเหนือ รอยต่อของไทย-กัมพูชา-ลาว เป็นเขตป่าเขาสุดลูกตา แลเห็นพืชพรรณอุดมสมบูรณ์เขียวขจี
รถจี๊ปกำลังแล่นปุเลงๆ มา มีจีจี้ นายและแนวหน้า นั่งตัวโยนไปมาตามจังหวะการเด้งของตัวรถที่กำลังวิ่งเข้าสู่หนทางกันดารลูกรัง ชื้นเย็น ป่าเขาสูง
นายถ่ายรูปข้างทางอย่างสนุกสนาน แนวหน้าเปิดไอแพดดูข้อมูล แต่จีจี้ที่นั่งข้างหน้าพูดโทรศัพท์ไม่หยุด
“เฮ้ย ฉันมากันแค่วันสองวันก็กลับ..โอย ไม่สบาย ไม่สนุกอะไรทั้งนั้นแหละแก” รถกระเทือนเด้งไปมา “โอ๊ย..โอ๊ย...ไม่ได้มาถ่าย มาคุยงาน ลูกค้านัดมา”
จีจี้คุยต่อ “เอ้อ ก็นั่นสิ” หล่อนเบาเสียงลงหันสีข้างให้ทหารพลขับ “ถ้าฉันรู้ว่าต้องลำบากลำบน..ถ่อมาไกลขนาดนี้ คงไม่มาหรอก ให้ไปคุยกรุงเทพฯยังจะดีซะกว่า” แล้วดังขึ้นอย่างเก่า “โหล หา..อ๋อ ที่ไหน ที่...” หันไปหาจะถามนาย พบว่านายยังถ่ายรูปอยู่ เลยไม่เรียก “ซา...ซาซา...รึ ซาฮา ไรนี่ละ”
แนวหน้าเงยหน้าบอก “ฮวาซาจ้า...เจ๊”
จีจี้ไม่ได้ฟังเม้าท์ติดลม “ไม่รู้ ฉันก็ไม่เคยมา มีแต่ป่าแต่เขา กับทางแย่ๆ..โอย ก้นระบมไปหมดละเนี่ย” รถเด้งกระเทือนไปมาอีกระลอก
“โอ้ว...โอ๊ย”
นาย แนวหน้าและจีจี้ ร้องเสียงหลง เพราะรถจี๊ปลอยตัวขึ้น จนทุกคนตัวเด้งลอยไปตามๆ กัน โทรศัพท์ร่วงจากมือจีจี้
รถจี้ปกำลังขับตะลุยข้ามลำธารน้ำที่มีแต่กรวดหิน จนน้ำกระเซ็นขึ้นมาที่กระจกรถ ทั้งสามร้องโอ๊วๆไปตามจังหวะกระเด้งของตัวรถ พลันนายเหลือบไปเห็นนกตัวโตอยู่ไม่ไกลที่ริมลำห้วย
นายร้องสียงดัง ตามจังหวะกระเด้งพอดี มองไปชี้ให้คนอื่นดู “กระทุง กระทุง กระทุง จีจี้” พอหันไปเห็นจีจี้ไม่ได้สนใจ เลยไปตบสะกิดหัวแนวหน้า “เฮ้ย กระทุง”
นายโวยวายเรียกคนดูแต่ไม่มีใครสนใจ จีจี้ควานหาโทรศัพท์มาคุยต่อ
แนวหน้าอ่านไอแพดดังๆ “ฮวาซามีการปกครองระบอบกษัตริย์ ซึ่งจะเรียกว่าประธานมนตรี ท่านประธานคนปัจจุบัน พระนามว่า ท่านประธานมนตรีธูล มีพระธิดา 1 องค์ที่ประสูติมาจากพระมเหสีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”
“หา หะ โหลฟิน..ยังอยู่ใช่มั้ย” หล่อนหันมาตวาด “นี่ เงียบๆ กันหน่อยจีจี้คุยไม่รู้เรื่อง”
นาย กับ แนวหน้า สะดุ้งโหยงก่อนพากันเงียบปาก ปล่อยให้จีจี้พ่นดังแปดหลอดไปคนเดียว
“ไรนะ...อ๋อ ลูกค้าของแก ฉันจัดไว้ให้แล้ว...กลับไปสรุปจบให้ได้เลย...เออ ใช่ ถูก...อะไร...ไผท...เนี่ยนะ จะมาเล่นละครเวที..เอาจริงดิ” แนวหน้าเงยหน้าขึ้นฟัง “ดีออก ชั้นอยากเห็นน้องไผทเล่นละครเวทีกะเค้ามานานแล้ว” สัญญาณเริ่มไม่ดี “โหล...”
แนวหน้าถึงกับหันขวับกลับมา
“โหลฟิน..โหล” จีจี้ก้มดูหน้าจอโทรศัพท์ “ว้า..ไม่มีสัญญาณแล้วอ่ะ”
แนวหน้าหาจังหวะถาม ท่าทีเกรงๆ “เจ๊...ไผท ไหน เล่นละครเวที”
“ทำไม” จีจี้มองๆ ว่าจะมาไม้ไหน “เดี๋ยวนี้ นี่เธอสนใจดารานักร้องกะเค้าด้วยเหรอ”
แนวหน้ารู้ตัว “ก็...เปล่า...ก็...แค่ ถามๆ ไปงั้น”
จีจี้ยิ้มๆ ตอบอย่างภูมิใจนำเสนอ “ก็ ไผท ไพศาลี พระเอกซุปเปอร์สตาร์ที่กำลังดังเป็นพลุแตกอยู่ตอนนี้นี่ละ จะไผทไหนล่ะ ฟินมันบอกว่า..รัชดาลัยโทร.มาขอคิวไปเล่น ฟินจะไม่เอา แต่ไผทมันอยากเล่น”
แนวหน้าเผลอรำพึง
“หน้าอย่างไอ้ไผทน่ะเหรอ...อยากเล่นละครเวที”
แนวหน้าถามด้วยน้ำเสียงดูแคลน และมีสีหน้าอึ้งๆ งงๆ กับคำตอบเมื่อครู่ ภาพอดีต เมื่อ 6 ปีก่อน ตอนเป็นนักศึกษาผุดขึ้นมาในห้วงคิดครีเอทีฟหนุ่ม
เย็นวันนั้น มีกิจกรรมของชมรมการละคร ภายในหอประชุมมหาวิทยาลัย
ส่วนที่ด้านหน้ามีสต๊าฟหญิงในชุดนักศึกษา 2-3 นาง ออกอาการดี๊ด๊า กระซิบกันคิกคักๆ อยู่แล้ว ขณะที่แนวหน้าเดินเข้ามามาดเข้มในฐานะ ประธานชมรมการละคร
“หัวเราะคิกคักมีความสุขกันมากใช่ไหม...บอกเลยนะ ถ้าวันนี้ยังหาพระเอกไม่ได้ พี่ล้มจริงๆ นะ โปรเจ็คท์นี้”
สต๊าฟ 1 บอก “พี่แนว...ใจเย็นๆ ค่ะ ดูวันนี้มีคนมาออดิชั่นคนนึงเป็นน้องปี 2 มาจากคณะวิศวะ” พลางหันไปทางเพื่อนแล้วสุมหัวกันกรี๊ดด...กับสต๊าฟที่เหลือ “แอร๊ยยย”
แนวหน้าหมั่นไส้ “อะไร โดนใครสาดน้ำมนตร์หรือไง”
“พี่แนวไปดูเลย..ขิงกำลังซ้อมให้เขาอ่านบทอยู่” สต๊าฟ 1 บอก
แนวหน้า หน้าตาดีใจ “หา...ขิงเหรอ...ขิงมาเหรอวันนี้”
สต๊าฟ 2 ดี๊ด๊าบอก “ค่ะ...น้องขิงพาน้องไผทมาค่ะ”
แนวหน้างง “ชื่ออะไรนะ..ผัดไทยเหรอ”
สต๊าฟ 3 ตาเป็นประกาย “ไผทค่ะ หล่อมาก...น่ารักมาก...ใช่เลย โรเมโอต้องคนนี้เลย”
จากนั้นสต๊าฟทุกคนก็สุมหัวกันกรี๊ด “แอร๊ยยย”
แนวหน้าส่ายหัวระอาใจ รีบเดินเข้าไปด้านใน มีสต๊าฟตามเข้าไปด้วย
บนเวที ขิง กับไผทกำลังอ่านบท โรมิโอ-จูเลียต ด้วยกัน ทั้งคู่อยู่ในชุดนักศึกษา ไผทเล่นละครไม่เป็นโดยสิ้นเชิง อ่านบทแข็งๆ แถมตะกุกตะกัก
“นางพูด โอ! พูดอีกสิ เทพธิดาผู้เจิดจ้า ข้าเฝ้ามองท่านจากเบื้องล่างดั่งเฝ้ามองฑูตสวรรค์อันลอยอยู่เหนือเมฆาสุกสกาว”
แนวหน้าเดินเข้ามา พร้อมสต๊าฟ 3 นาง
ขิงอ่านบทอารมณ์ล้นๆ เกินๆ “โอ! โรมิโอ โรมิโอ ไฉนนามของท่านต้องเป็นโรมิโอ บอกข้าสิว่ามอนตากิว ไม่ใช่บิดาของท่าน และนั่นไม่ใช่สกุลของท่าน หรือ หากท่านเพียงสัญญาว่าจะเป็นยอดรักแห่งข้า ข้าก็จักไม่เป็นคาปูเลตอีกต่อไป”
แนวหน้ายืนดู มองขิงด้วยแววตาอ่อนโยน รักใคร่ ชื่นชม ส่วนสาวๆ ด้านหลังเอามืออุดปาก กรี๊ดไผทกัน
ไผทอ่านบทแข็งๆ ต่อ “ข้าควรเอื้อนเอ่ยอันใดหรือไม่ หรือ ควรจะรอไปก่อน”
ขิงพูดกับตัวเอง “ชื่อของท่านเท่านั้นที่เป็นศัตรูของข้า ถ้าท่านมีชื่ออื่น ท่านจะยังคงเป็นคนเดียวกัน ดอกกุหลาบยังคงส่งกลิ่นหอมหวาน ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกในนามอื่น โรมิโอยังคงดีเลิศ แม้ว่าเขาไม่ได้ถูกเรียกว่า โรมิโอ ทิ้งชื่อท่านไปเสียโรมิโอ มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของท่าน เพียงแต่สิ่งสมมุติ”
แนวหน้าตบมือขึ้น ดังๆ
คนที่อยู่บนเวที ต่างหันมามอง
“พี่แนว” ขิงบอกกับไผท “พี่แนวหน้าเป็นประธานชมรมการละครของมหาลัยเราจ้ะ”
ไผทยิ้มกว้าง ไหว้แนวหน้า “พี่แนวหน้า สวัสดีครับพี่”
ขิงตื่นเต้นขณะแนะนำ “นี่ไผท วิศวะปี 2 ค่ะพี่แนว เค้าอยากมาลองออดิชั่นบทโรมิโอดู”
ไผทยิ้มกว้างซื่อๆ แต่ดูมั่นใจอย่างออกนอกหน้า ขิงและทุกๆ คนดูตื่นเต้น เอ็นดู และชื่นชม
แนวหน้ามองไผทอย่างพิจารณา สะดุดตาในความหล่อของไผท และท่าทีชื่นชมของคนรอบข้าง
ต่อมาแนวหน้า ขิงและไผท ยืนคุยกันอยู่ในห้องประชุมชมรม
“พี่อยากรู้ว่าน้องมีเวลาแล้วก็ความตั้งใจพอที่จะแสดงละครเวที อย่างจริงจังหรือเปล่า”
“คือ..ผมก็สนใจนะครับ แต่..ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะช่วงนี้เรียนหนักมาก”
พวกสต๊าฟตามมาฟังห่างๆ ลุ้นสุดขีด
แนวหน้าพูดมาดติสท์สุดขั้ว “ถ้าอยากจะเล่นละครเวที..ก็ต้องทุ่มเทกับมัน ต้องรักมันจริงๆ เพราะมันเป็นงานที่หนักมาก...ต้องให้เวลากับมันเยอะๆ ถ้ายังไม่แน่ใจแบบนี้..พี่คิดว่า...”
ขิงร้อนใจจับมือไผทเขย่าๆ “ไผท..ไหนคุณบอกขิงว่า..อยากเล่นละครเวที เพราะมันจะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ และจะเป็นประสบการณ์ที่ดีไงล่ะ”
แนวหน้าอึ้งมองมือขิงที่จับแขนไผทแน่นอยู่
“ผมกลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงของส่วนรวมนะซิ..เพราะการแอ็คติ้งมันท่าทางจะยาก ผมไม่ค่อยถนัด” ไผทว่า
“ไม่จริงหรอก ไผทเล่นได้ ขิงเชื่อ”
แนวหน้ามองเหล่มือขิง ที่จับมือไผทไม่ยอมปล่อย “เพราะละครเวทีมันเป็นศิลปะการแสดงขั้นสูงสุดก็ต้องยากอยู่แล้ว แต่ถ้าน้องจะเอาจริง...พี่ก็จะสอนพื้นฐานให้ แต่น้องต้องให้เวลาพี่มากหน่อย เพราะคงต้องเข้าเวิร์คช้อปฝึกแอ็คติ้งตั้งแต่เริ่ม”
“ไผทสู้ๆ นะ ขิงขอร้องล่ะ”
ขิงมองหน้าไผทอ้อนวอน แนวหน้ากระแอมเบาๆ
“แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้นะ เราคง...”
ไผทยิ้มให้ขิง สวนขึ้น ไม่ได้ฟังแนวหน้าเลย “ก็ได้ ผมจะลองดู”
แนวหน้าชะงัก ขิงยิ้มดีใจ สบตาไผทเหมือนแค่มีกันและกัน
สต๊าฟด้านหลังกรี๊ดกันราวกับโดนน้ำร้อนสาด แนวหน้าเริ่มอึดอัด
วันต่อมา ทุกคนอยู่ในห้องเรียนแอ็คติ้ง ของชมรมการแสดง ไผท ขิง สต๊าฟ อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงวอร์ม ทำเอ็กเซอร์ไซส์กันโดยมีแนวหน้านำ และมีสต๊าฟบางคน กับนักศึกษาจำนวนหนึ่ง นั่งดูราวกับดูคอนเสิร์ต ทุกสายตาจ้องมองไผทกันเขม็ง
“ต่อไปเราจะให้แสดงอารมณ์ต่างๆโดยใช้ประโยคเดียวกัน” แนวหน้าสั่งให้แต่ละคนทำอารมณ์ “ช่างสวยงามเหลือเกิน”
สต๊าฟ 1จินตนาการว่าเห็นภาพนั้น “ดูนกตัวนั้นสิ”
สต๊าฟ 2 ทำหน้าเหมือนเห็นอะไรที่สุดสวย “ดูนกตัวนั้นสิ”
ขิงทำหน้าสมกับความสวยของนกที่เห็น “ดูนกตัวนั้นสิ”
ไผทงง แต่พยายามแสดง ชี้มือไปข้างหน้า “ดูนกตัวนั้นสิ!”
ทันใดนั้นเอง ทุกคนรวมทั้งขิง หัวเราะ คึกคัก เพราะขำและเอ็นดูไผทสุดๆ ไผทออกอาการตื่นๆ แต่พยายามตั้งสมาธิ
แนวหน้าขมวดคิ้ว “อ่ะ..ความรู้สึกต่อไป..มันน่ากลัวมาก”
สต๊าฟ 1 เล่น โดยทำท่าสยองเหมือนเห็นก๊อดซิลล่า “ดูนกตัวนั้นสิ”
สต๊าฟ 2 ประมาณว่าพยายามหลบแอบ เสียงเบา กลัวมันได้ยิน “ดูนกตัวนั้นสิ”
ขิงถดตัวถอย ชี้ไป กลัวมันมากัด “ดูนกตัวนั้นสิ!”
ส่วนไผทเลิกคิ้วสูง ส่งเสียงดังตื่นเต้น เหมือนเดิมกับตะกี้ “ดูนกตัวนั้นสิ!!”
ทุกคนหัวเราะ ชอบใจ ไผทมองรอบตัว งงๆ
แนวหน้าดุ “ขำอะไร เดี๋ยวนักแสดงก็เสียสมาธิหมด ช่วยเงียบกันด้วยนะครับ หรือไม่ก็ออกไปข้างนอกเลย”
ทุกคนกลัว เงียบกริบ
แนวหน้าสั่งต่อ “น่าสงสารมากๆ”
สต๊าฟ 1 หน้าสลด ส่ายหัวนิดๆ มองไป “ดูนกตัวนั้นสิ”
สต๊าฟ 2 จะร้องไห้อยู่แล้ว “ดูนกตัวนั้นสิ”
ขิงคุกเข่าลง เหมือนจะเก็บศพ “ดูนกตัวนั้นสิ”
ไผทมองทุกคนงงๆ แล้วนั่งลง อ้าแขน ยิ่งใหญ่มาก เลิกคิ้วสูง ส่งเสียงดังตื่นเต้น คล้ายๆเดิม “ดูนกตัวนั้นสิ”
ทุกคนคิกๆๆ ชอบมาก แล้วในที่สุดทนไม่ไหว หัวเราะกันก๊าก
แต่ละคนเม้าท์มอย อารมณ์ประมาณ “น่ารักอ้ะ”
ไผทงงๆ ตกใจ ไม่มั่นใจ ขิงหัวเราะคิกๆๆ มองไผทอย่างเอ็นดูสุดๆ
แนวหน้ามองทุกคน หน้าหงิก
อ่านต่อหน้า 2
น่ารัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
รถแล่นมาตามทาง แนวหน้าดึงตัวเองกลับมา สีหน้าแววตาเคืองขุ่นสุดๆ
“เล่นแข็งเป็นสากกะเบือแบบนี้เนี้ยนะ จะมาเล่นละครเวที”
นายหัวเราะหึๆ “อะไรกัน มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เลวร้ายสุดๆ เลยล่ะ แล้วพอผมไม่ยอมให้เค้าเล่น ทุกคนก็มาโกรธผม หาว่าผมแกล้งมันเพราะอคติ ไม่ชอบหน้า ในที่สุดละครเรื่องนั้นก็ต้องล่มไป”
“แต่ชั้นเชื่อนะ เพราะเธอไม่เคยชอบคนหล่อเลยไม่ใช่เหรอ” จีจี้เย้า
“ไม่จริงหรอกเจ๊ ผมยังชอบตัวเองกับพี่นายเลย เนอะ” แนวหน้าพยักพเยิดกับพี่ชาย นายหัวเราะชอบใจ
เสียงดังปัง แล้วตามด้วยเสียงโครม รถกระแทกอย่างแรง แล้วเครื่องยนต์ดับลงไป ทุกคนตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับ” นายร้องถาม
ทหารไม่ตอบ วิ่งลงรถไป นายลูบหัวให้จีจี้ที่กระแทกกระจก
ทหารเปิดประตูรถ ทำหน้าเฉยๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติ
“รถเป็นอะไรค่ะ คุณทหาร”
“เครื่องหลุดครับ”
สามคนอุทาน “หา...เครื่องหลุด”
ทหารชูชิ้นส่วนของเครื่องที่หลุดออกมาให้ดู
“แล้วจะทำยังไงครับ ซ่อมได้รึเปล่า” แนวหน้าถาม
“ไม่ได้ครับ”
สามคนร้อง “อ้าว”
“พวกคุณรอผมอยู่ตรงนี้ก่อน” ทหารทำท่าจะไปทางหนึ่ง
สามคนเรียกไว้ “เดี๋ยว”
ทหารชะงักหันมา
“อย่าห่วงเลยครับ ไม่ว่ายังไง ผมก็ต้องพาพวกคุณไปเข้าเฝ้าท่านประธานธูลได้แน่นอน..สัญญาด้วยชีวิต”
ทหารจากไป ทุกคนงุนงง
“นี่มันอะไรกันน่ะ”
จีจี้เปิดประตูรถเดินลงมา คนอื่นๆเดินลงมาด้วย
รอบตัวมีแต่ป่าเขา ไม่เห็นบ้านช่องเลย แนวหน้าเอากล้องออกมาถ่ายรูป จีจี้เอาโทรศัพท์มาโบกๆ หาสัญญาณ
“โอ้ย..อะไรกันเนี่ย กลางป่ากลางเขาสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี จีจี้จะติดต่อลูกค้าอะไรก็ไม่ได้ จีจี้ต้องตายแน่ๆ”
“อยู่นิ่งๆ กันสักพักก็ดีเหมือนกันนะ รังสีโทรศัพท์จะได้ไม่เข้าสมองบ้าง” นายเหน็บ
จีจี้ตวาด “ยังจะมาพูดดีอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นแฟนคุณ ชั้นก็คงจะไม่ต้องมาลำบากลำบนแบบนี้”
แนวหน้ามองนายอย่างสงสาร แต่นายดูไม่ค่อยสนใจคำพูดนั้นนัก
“ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะเจ๊”
จีจี้ระเบิดระบายต่อ “ชั้นควรจะเชื่อนังฟิน ทำงานละคร ป่านนี้ชีวิตก็คงจะดีกว่านี้แน่ๆ รู้อะไรมั้ยแนว...ตอนนี้นายไผทเป็นซุปตาร์ที่ดังที่สุด หล่อที่สุด น่ารักที่สุด ยัยฟินเพื่อนชั้นน่ะ รวยเละเลยกับอาชีพโมเดลลิ่ง แค่จับได้นายไผทคนเดียว รับงานๆ ละ เป็นสิบล้าน เชื่อปะล่ะ เวลานี้มันเปลี่ยนฐานะไปละ ชั้นชักลังเลแล้วนะ นาย...ว่าชั้นควรจะไปทำงานเป็นผู้จัดการดารา อาจจะดีกว่ามาทำบริษัทรับทำหนังสารคดี นอนกลางดิน กินกลางทราย แล้วต้องเข้ามาในประเทศอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่มี 2 จี 3 จี อะไรทั้งนั้นกับพี่ชายซื่อบื้อของนายแบบนี้”
แนวหน้านั่งถอนใจ แทบไม่อยากเชื่อหูกับคำบ่นนั้น
ในเวลาเดียวกัน ที่กองถ่ายละครเรื่องหนึ่ง
เพื่อนสาวผู้จัดการดาราชื่อกระฉ่อน ผู้ซึ่งจีจี้พูดชื่นชมนาม ฟิน หล่อนเป็นกะเทยร่างเล็ก หน้าคล้ายแป๊ะยิ้ม แต่เสียงแปร๋นแปร๋ ยืนยิ้มเรี่ยราดอยู่หน้ารถมอเตอร์โฮมของพระเอกซุปตาร์ ไผท ไพศาลี มีผู้ช่วยผู้กำกับยืนรอ
ฟินเสียงอ่อนเสียงหวาน เอาใจสุดชีวิต ดูออกว่าตอแหลเก่ง “อย่าห่วงเลยฮ่ะคุณผู้ช่วย ไปบอกคุณผู้กำกับเลยว่า ขอเวลาอีกแป็ปเดียว พอดีเมื่อคืนไผทเค้าถ่ายหนังจนดึกมากกก...ไม่ได้นอนเลย ขอเวลาชั่วโมงเดียว พอให้หน้าหายโทรม แล้วจะออกมาถ่ายละครต่อจริงๆ ค่ะ”
“ชั่วโมงเดียวจริงๆ นะ” ผู้ช่วยถาม
“จริงสิฮะ ฟินเคยโกหกเหรอ...นะคะ คราวนี้ถือว่าฟินขอ...หายโทรมปุ๊บ ลงไปถ่ายปั๊ป ไม่ต้องห่วงฮ่ะ”
“ก็ได้...ให้ชั่วโมงเดียวเท่านั้นนะ”
ผู้ช่วยพึมพำเซ็งๆ แล้วเดินออกไป
ฟินถอนใจโล่งอก มองรอบตัว เห็นไม่มีใครแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก
ขณะเดียวกันนั้น ณ งานอีเว้นท์ ภายในห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางกรุง พิธีกรบิ้วท์อารมณ์คนดูในงาน
“ขอเสียงกรี๊ดต้อนรับ คุณไผทด้วยครับ”
เหล่าแฟนคลับต่างส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด ดังลั่นห้าง มองไปยังปลายทางพรมแดง ไผท ในชุดทักซิโด้หล่อลาก ผมถูกเซตไว้อย่างดี ใส่แว่นดำ เดินยิ้มร่าเข้ามาที่พรมแดง โบกไม้โบกมือ ให้กับแฟนคลับอย่างแจ่มใส เสียงแฟนคลับต่างกรี๊ดกร๊าด จะเป็นจะตายเอาให้ได้
แฟนคลับส่งเสียงอื้ออึ้ง “พี่ไผท...พี่ไผท ไผทหล่อจัง”
ไผทเดินเข้ามาตรงกลางพรมแดงถอดแว่นกันแดดสีดำออก แสดงให้เห็นถึงดวงตาที่ใสประกายและหวานหยาดเยิ้ม ส่งยิ้มเต็มปาก แล้วส่งจูบให้กับบรรดาสาวกแฟนคลับ ที่ชูป้ายไฟ ดูแล้วทรงเสน่ห์มากมาย
ไม่นานต่อมา รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปตามถนนที่รถติดเป็นแพ ไผทวิ่งรอกอีกงาน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อค มีโทรศัพท์แนบหู
“อะไรนะพี่ ไปอีก 2 งานเหรอ! นี่พี่ฟิน ทำอย่างนี้กองถ่ายเขาไม่เดือดร้อนเหรอ..เออๆๆ ไม่อยากเถียงแล้ว แต่มันจะทันเหรอ 3 งานในหนึ่งชั่วโมงนะ…ฮัลโหล ฮัลโหล..เฮ้ย! วางหูใส่อีกแล้วเหรอ”
ซุปตาร์หนุ่มวางโทรศัพท์ นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์อยู่ ที่กำลังบิดซิกแซกไปตามทางว่างข้างรถ
ตรงบริเวณด้านหลัง event hall ประตูบานเลื่อนถูกปิดไว้ และมีเพียงประตูเล็กที่เปิดไว้เท่านั้น รถมอเตอร์ไซค์ที่ไผทซ้อนท้ายมา จอดลงที่ประตูนี้
ผู้หญิงในชุดเสื้อเชิ๊ตดำ stage manager หญิงของงานอีเว้นท์ ใบหูสวมฟัง ที่ต่อกับวอล์คกี้ ทอล์คกี้ รีบร้อนเดินมารับ
“มาแล้วๆ ดีใจจัง” พลางพูดกับวอล์คกี้ ทอล์คกี้ “ตอนนี้พี่ไผทมาถึงแล้วค่ะ”
Stage หญิง ลากไผทเข้าไปอย่างรวดเร็ว
บนเวทีที่มีป้ายด้านหลัง เป็นงานอีเว้นท์ของเครื่องไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง ส่วนด้านล่างเวที แฟนคลับกรี๊ดกร๊าดตามธรรมเนียม
ไผทเปลี่ยนชุดเป็นขาวล้วนเหมือนเทวดา ถ่ายรูปบนเวทีกับผู้บริหาร 4-5 คน
“และเวลานี้ก็ขอเชิญผู้บริหารของบริษัท Season มาร่วมถ่ายรูปกับคุณไผท ไพศาลี บนเวทีนะคะ” พิธีกรเจื้อยแจ้ว
ไผทยิ้มแย้มแจ่มใส
ไผทรีบร้อนเข้ามาหลังเวที ถอดเสื้ออย่างด่วน โชว์กล้ามเป็นมัดๆ ชายชุดดำส่งชุดให้ เป็นชุดยีนส์กับเสื้อยืดขาวของเขา
ผู้ช่วยของฟินที่มาดูแลไผทงานนี้บอก “มีเวลา 10 นาที ต้องไปถึงโรงแรม Alex นะครับ”
ไผทดูนาฬิกา แล้วออกวิ่ง
ที่หน้ามอเตอร์โฮม ฟินยิ้มหวานให้ผู้กำกับที่หน้าตาบึ้งตึง กับผู้ช่วยผู้กำกับยืนขนาบอยู่ข้างๆ ออกโรงตอแหลต่อ
“แหมๆๆ...พี่ป้อมละก้อ นี่มันยังไม่ครบชั่วโมงเลยนะคะ ทำไมใจร้อนนักล่ะคะ”
“นี่คุณฟิน ผมอยากรู้จริงว่าเด็กของคุณเค้าไม่เดือดร้อนอะไรเลยเหรอ ที่กองถ่ายต้องมารอเค้าแบบเนี้ย” ผกก.ไม่ไว้หน้า
“แหมอย่างพูดอย่างนั้นสิค่ะ ไผทเค้าก็กังวลนะคะ แต่ถ้าให้เค้าทำงานทั้งๆ ที่หน้าตายับเยินทรุดโทรมแบบนั้น มันไม่ใช่แค่ทำให้คนในกองผิดหวังนะคะ คนดูทั้งประเทศก็จะต้องผิดหวังในตัวเค้า...ฟินขอล่ะค่ะ ให้น้องนอนพักหน้าให้ครบชั่วโมงเถอะนะคะ”
“งั้นก็ได้” ผู้กำกับดูนาฬิกา “อีก 20 นาที ถ้าไม่ออกมา…มีเรื่องแน่”
“ค่ะ ฟินไม่ผิดคำพูดหรอกค่ะ ครบชั่วโมงปุ๊บ ไผทปรากฏตัวปั๊บ”
ผู้กำกับฮึดฮัดนิดๆ แล้วพยักหน้าชวนผู้ช่วยกลับ ฟินโบกมือลานอบน้อม
พอ ผู้กำกับเดินลับตัวไป ฟินเปิดประตูรถมอเตอร์โฮมทันที พบว่าในรถมอเตอร์โฮมว่างเปล่า ฟินเดินขึ้นมาอย่างร้อนใจ หยิบโทรศัพท์มากดอีก
“ฮัลโหล” ถามเบาๆ “ตอนนี้ไผทถึงไหนแล้ว”
เสียงดนตรีช่วงท้ายของเพลงดังโหมกระหน่ำ บนเวที งานอีเว้นท์ ไผทแต่งตัวใส่แจ็คเก็ตสไตล์วัยรุ่น ร้องเพลงชูมือไม้อย่างเริงร่า โดยข้างล่างแฟนคลับโบกป้ายไฟ ร้องเพลงตาม
ด้านล่างผู้ช่วยฟินพูดโทรศัพท์อยู่ห่างเวทีออกมา
“กำลังร้องเพลงอยู่บนเวทีครับ จะเสร็จอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว เดี๋ยวผมให้เค้าซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปเลย พี่ฟินถ่วงเวลาทางนั้นไว้ก่อนแล้วกัน รับรองว่าเค้าจับไม่ได้แน่นอน”
ไผทร้องเพลงจบ คนดูกรี๊ด ตบมือเสียงดังสนั่น
ท่ามกลางความรีบเร่ง ร้อนใจ มอเตอร์ไซค์ 2 คันล้มลงตรงหน้า คนขับทั้ง 2 ค่อยๆ ประคองรถขึ้น ไผทที่กำลังซ้อนมอเตอร์ไซค์ซิ่งมาเข้าไปจอดช่วยทั้งคู่ ท่าทีห่วงๆ ว่าเป็นไรไหม
มอเตอร์ไซค์จอดอยู่ มองไปเห็นป้ายสถานีรถไฟฟ้าไกลออกไป ไผทถอดหมวกกันน็อคส่งให้คนขับมอเตอร์ไซค์ และวิ่งกระหืดกระหอบไปเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า
คนเดินถนนชี้ชวนกันดู “นั่นไผทนี่นา...อร๊ายยย”
แล้วพากันวิ่งตามขึ้นไป
รถไฟฟ้าจอด ประตูเปิด ไผทถลาออกมาออกวิ่งเต็มฝีเท้าข้างหลังมีคนวิ่งตามมาด้วย ร้องกรี๊ดๆ
บรรยากาศในกองถ่ายมาคุสุดๆ ผู้กำกับหน้าตึงเปรี๊ยะแล้วยามนี้
“ไหนคุณฟินบอกว่า1ชั่วโมง ไหนบอกว่า 20 นาที ตอนนี้มันเลยมาหมดแล้วหมายความว่าไง หรือว่าจะต้องให้ผมโทร.หานักข่าว เอาอย่างนั้นมั้ย”
พวกกองถ่ายมามุงกัน ฟินถอนหายใจแรงๆ มองหน้าผู้กำกับ เถียงไม่ออก
เสียง Line ของฟินดังขึ้น ผู้จัดการตัวแม่เปิดอ่านข้อความ หลังจากนั้นก็ยิ้มเบาๆ และหันไปหาผู้กำกับ
“ไผทพร้อมแล้ว เชิญไปรอที่หน้าเซ็ตได้เลยค่ะ...อีก 10 นาที จะเดินไป พร้อมถ่ายให้เลยค่ะ โอเคนะ”
ผู้กำกับ และเมฆยังยืนนิ่ง
“ไปสิคะ...เดี๋ยวจะเสียเวลา ถ้า 5 นาทีไม่ออกไปตรงนั้น ฟินยอมให้พี่ป้อมเหยียบหน้าฟินเลยค่ะ…โอเคปะ”
ผู้กำกับและเมฆ ผู้ช่วย เดินออกไปอย่างฮึดฮัดนิดๆ
ฟินหันไปมองซ้ายมองขวาชะเง้อรอ เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังเข้ามา
ใบหน้าของฟินยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงหู รถจอด ไผทลงจากรถมาทั้งหมวกกันน็อค
ไผทหอบแฮกๆ เสียงแหบโหย “พี่ฟิน”
“จ้า พ่อหนุ่มกล้ามปูกลับมาแล้ว”
ไผทถอดหมวกกันน็อค เหงื่อไหลเต็มตัว หน้ามันเยิ้ม ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
“ทำไมพี่ทำกับผมแบบนี้ ผมไม่เอาแล้วนะพี่”
“พี่ก็ไม่อยากทำหรอก แต่ทำยังไงได้ น้ำขึ้นต้องรีบตัก ขึ้นไปเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วไปถ่ายละครเร็วๆ เข้า ก่อนที่พี่จะถูกรุมเหยียบหน้า เร้ว”
ไผทเซ็งฝุดๆ
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง จีจี้ นั่งซึมอยู่กับกองสัมภาระ ที่ลานกรวดเวิ้งว้างริมฝั่ง มองไปไม่มีทางไปต่อ รอบตัวเห็นแต่ป่าสูงโดยรอบ ได้ยินแต่เสียงลำธารไหลและนกร้อง
นายเดินสำรวจทางไปทางโน้นทางนี้ ส่วนแนวหน้าถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
จีจี้ไม่ไหวจะเคลี้ยร์ทิ้งระเบิดใส่ “นี่ เลิกถ่ายรูปกันซักทีได้มั้ย” 2 หนุ่มหันมามอง “ไม่สนใจกันเลยเหรอว่า เรากำลังเดือดร้อน”
นายเดินมาหาอย่างเอาใจ “เดือดร้อนเรื่องอะไรจ๊ะที่รัก”
จีจี้ค้อนควัก “ก็พวกเรานะสิ อยู่ตรงนี้เป็นชั่วโมงแล้ว อีตาทหารนั่นก็หายไป จีจี้หิวจนแสบท้องไปหมดแล้วเนี่ย”
“เจ๊จะให้เฮียเค้าไปล่าสัตว์มาให้เจ้กินเหรอ หรือว่าจะให้เก็บลูกเบอร์รี่ป่ามาให้กินแบบในหนัง”
จีจี้กระทืบเท้าเร่าๆ “อย่ามายั่วนะ ไอ้บ้า..เวลาชั้นโมโหหิวชั้นกินหัวแกได้นะเว้ย”
นายมองรอบตัว “หรือว่าเขาจะเอา ฮ. มารับเรา”
“เพ้อเจ้อน่าเฮีย”
“ไม่แน่นะ เรายืนอยู่ลานโล่งๆอย่างเนี้ย” พูดจบ นายก็ไปยืนแหงนดูบนฟ้า
จีจี้ก้มมองโทรศัพท์ “สัญญงสัญญาณก็ไม่มี แย่ๆ” พลางเหลียวมองท่าทีระแวง ไปรอบๆ พูดเบาเสียงลง “ จะมีเสือโผล่ออกมาจากพุ่มไม้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
นายรีบปรามค่อยๆ “จี้ เข้าป่า อย่าพูดถึงเสือ ลงเรือ อย่าพูดถึงจระเข้ เอาเถอะน่า ใจเย็น...เดี๋ยวพวกเราก็คง…”
แนวหน้าสวนออกมาว่า “ตาย”
สองคนตกใจร้อง “เฮ้ย”
แนวหน้าสะดุ้งตาม “ไม่ใช่! ผมแค่คิดว่า...หรือเราโดนหลอกให้มาที่นี่..แล้วเค้าก็มาฆ่าทิ้งในป่า”
“ไม่นะ ไม่ แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย...ชั้นอยากกลับบ้าน”
“จี้ ไม่เอาน่า ไม่มีอะไรหรอก” นายหันมาด่าน้อง “แนวแกอย่ามามั่ว เรานัดกับท่านประธานมนตรีเลยนะ แล้วพระราชพิธีก็จะมีตอนบ่ายโมง...นี่เพิ่งจะ 10 โมงเช้า ใจเย็นๆ กันก่อนเถอะน่าพวกเรา”
ปากว่าไปอย่างนั้น แต่นายมองไปรอบตัวอย่างหวาดๆเช่นกัน
“มาแล้วครับ” เสียงทหารพลขับดังขึ้น
ทุกคนหันขวับไปมองอย่างดีใจ คุณทหารท่าทางเหนื่อยอ่อน เดินเข้ามาใกล้ๆ
“ผมหาทางพาพวกคุณเข้าเมืองได้แล้ว”
เสียงวัวร้องมอ ทุกคนมองตามเสียงไป
ด้านหลังทหาร เป็นเกวียนที่มีสัมภาระเกือบเต็มรถ มีชาวบ้านหน้างงๆ เป็นคนขับ
จีจี้ นาย และแนวหน้าอุทานลั่น “เกวียน”
ทหารพยักหน้ารับ “ครับ เราจะไปกับเกวียนนี่”
“ครับแต่ว่า...เรามีปัญหาสำคัญอีกอย่างนึง”
ทุกคนมองหน้าทหารว่ายังมีอะไรอีก
สัมภาระชิ้นสุดท้ายถูกวางลง บนเกวียนแน่นเอี๊ยด ท้ายเกวียนมีจีจี้กับนายนั่งห้อยขาอยู่ และจับข้าวของไว้ด้วย ทหารส่งกระติกน้ำให้และพูดกับแนวหน้าที่ยืนงงๆ อยู่
“เรามีที่นั่งพอสำหรับคุณ 2 คนนั่นเท่านั้น จำเป็นต้องทิ้งคุณไว้ที่นี่ก่อน แล้วผมจะรีบกลับมารับโดยเร็วที่สุด”
ทหารทำท่าจะขึ้นนั่งด้านหน้า แนวหน้าจับตัวไว้ ไม่อยากเชื่อ
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป คุณก็ให้ผมไปกับพี่นายกับพี่จี้ด้วยสิ แล้วคุณรออยู่แทนไม่ได้เหรอ”
ทหารเกาหัว “จะได้ยังไงคุณ แล้วใครจะพาพวกคุณเข้าไปในวัง รับรองว่าถูกไล่ออกมากันหมดทั้งคณะแน่ๆ”
“จริงด้วยไอ้แนว...ใจเย็นน่า รออยู่ที่นี่แหละ เราจะรีบไปรับหน้าทางในวังไว้ก่อน แล้วแกรีบตามมานะ” นายบอก
“ไปกันเถอะคุณทหาร จีจี้หิว”
ทหารชิดเท้าตะเบ๊ะแนวหน้า แล้วขึ้นเกวียนทางด้านหน้า ชาวบ้านออกเกวียน เกวียนเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ทิ้งแนวหน้ายืนงุนงงอยู่ด้านหลัง
จีจี้โบกมือ “เดี๋ยวเจอกันนะแนว”
“ทำใจดีๆ ไว้ เดี๋ยวเค้าก็มารับ ชั้นไม่ทิ้งนายหรอก รับรอง”
จีจี้ตะโกนทิ้งทวน “ระวังเสือกินนะ!!!”
แนวหน้าสะดุ้งเฮือก มองรอบตัวอย่างระแวง นายกับจีจี้หัวเราะชอบใจ เกวียนห่างออกไปเรื่อยๆ
แนวลงนั่งถอนใจ มองป้ายบอกทางว่า Hwasa 20 km. อย่างโกรธๆ
“เนี่ยเหรอฮวาซา..ประเทศบ้าอะไรน่าประทับใจจริง”
แนวหน้ามองรอบตัว มีนกร้องเสียงแปลกๆ น่ากลัว เขาเริ่มระแวง ป่าดูจะวังเวงและน่ากลัวเมื่อต้องอยู่คนเดียว แนวหน้าผุดลุกขึ้น
“ไม่รอดีกว่า เดินตามไปเนี่ยแหละ ได้แค่ไหนแค่นั้น”
แนวหน้าตัดสินใจแน่วแน่ แล้วออกเดินไปตามทาง
อ่านต่อหน้า 3
น่ารัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
แดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่อง ธรรมชาติแสนรื่นรมย์ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่น ชาวเมืองยิ้มแย้มทักทาย ต่างทำกิจกรรมยามเช้าตามความเคยชิน ตกแต่งบ้านเมืองสวยงาม รับเทศกาลเก็บเกี่ยวประจำปี แลเห็นพระราชวังตั้งเด่นงดงามอยู่ท่ามกลางขุนเขา
เสียงเฮ เสียงเชียร์ดังแว่วมา ด้วยยามนี้ที่สนามหญ้าในลานพระราชวังกำลังมีการแข่งกีฬากันสนุกสนานออกรสชาติ คล้ายแชร์บอล แบ่งสองฝ่ายได้ทั้งชายและหญิง ใช้ลูกส้มโอแทนลูกบอล ฝ่ายไหนเต็มตะกร้าก่อน ก็ชนะไป
รถเก๋งซาลูนคันโต พร้อมด้วยมอเตอร์ไซค์นำขบวน แล่นฉิวมาตามทางขรุขระลูกรังท่ามกลางแมกไม้ ขบวนรถเป็นที่สะดุดตากับชาวเมืองที่อยู่ข้างทาง
ม้าเร็วกำลังควบลิ่วๆ เร่งด่วนมาตามทางในเขตราชวัง
ท่านประธานมนตรีธูล และ สมุหราอูลเดินเข้ามา ทุกคนลุกขึ้นถวายความเคารพ ท่านประธานโบกมือเป็นการห้าม บางคนก็เลยไม่ลุกขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เคร่งราชประเพณีอะไรนัก
ท่านประธานเข้านั่งในพระเก้าอี้ ราอูลนั่งไม่ไกลนัก ชมการแข่งขัน
ในสนามมีผู้เล่นตัวเล็กๆ คนหนึ่งทีมสีขาว ซึ่งที่แท้คือองค์หญิงรัชทายาทโลลิต้า แต่งตัวเป็นเด็กหนุ่ม รวบผม เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ดูคล่องแคล่ว เก่งกาจ กำลังโยนลูกส้มโอ ชู้ตเอาๆ ทำแต้มลงตระกร้าเป็นว่าเล่น
ม้าเร็วมาถึงลานสนามหญ้า ที่ติดธงทิวไสวสวยงาม พลม้าเร็วชะเง้อมองไปมามองไปยังที่ประทับ ก่อนรีบลงจากม้า
ประธานมนตรีธูลลุ้นเชียร์ฝั่งสีขาวออกรสชาติ สมุหราอูลกำลังหันไปยิ้มกับหญิงสาวสูงวัยที่นั่งใกล้ๆ
“โอ้วๆ...เยี่ยม เยี่ยมมาก” ท่านประธานปรบมือชอบใจ “เด็กคนนั้นใครน่ะ ราอูล”
ราอูลรีบหันมา “พะยะค่ะ”
“เด็กฝ่ายสีขาวน่ะ ที่ชู้ตเอา ชู้ตเอาอยู่นั่นนะ ใครกัน”
สมุหราอูล พยายามเมียงมอง แต่เห็นไม่ถนัด เพราะคนอื่นในสนามบัง
“อ้อ...” ราอูลมองหาอยู่ ยังไม่เห็น แต่อ้อไปก่อน “ไม่ทราบเกล้าพะยะค่ะ”
“เด็กคนนั้นนั่นละ ถ้าแข่งเสร็จไปเรียกมาหาฉันหน่อยนะ จะให้รางวัล” ประธานธูลบอก
“อ้อ พะยะค่ะ” ยิ้มแหะๆ มองหาต่อ คนไหน
ชีฟอง พระพี่เลี้ยงองค์หญิงโลลิต้า ที่ยืนอยู่ริมสนาม ท่ามกลางเหล่ากองเชียร์ ก็ยืนปรบมือส่งเสียงยินดีกับฝ่ายสีขาวอย่างสนุกสนานไปมา
พลม้าเร็ววิ่งกระหืดกระหอบมาถึงที่ประทับ ทางด้านหลังของท่านธูล
“ฝ่าบาท...มีเรื่องแล้วพะยะค่ะ”
“มีอะไรล่ะ ไม่เห็นรึว่า ฝ่าบาทกำลังสำราญพระหฤทัยอยู่” ราอูลตำหนิ
“คือเมื่อครู่นี้ ที่ด่านชายแดนประตูเหนือ รายงานมาว่า…”
พลันเสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์นำขบวน ก็บีบดังลั่น นำขบวนรถเก๋งซาลูนที่แล่นโผล่มาเทียบจอดกึก ทุกคนในสนามและบริเวณโดยรอบต่างตกใจ หันไปดู แม้แต่กีฬาในสนามก็หยุด
พลขบวนตะโกนดัง “เจ้าชายชองปอล องค์รัชทายาทจากฮวาซาเหนือเสด็จแล้ว!”
ท่านธูลตกใจ ชีฟองเบิกตาโตตกใจมาก
ฯพณฯ พันเอก ชองปอล ว่าที่คู่หมั้นของเจ้าหญิงโลลิต้า สวมแว่นดำเท่ห์ แต่งตัวจัดเหมือนนักร้องจะขึ้นคอนเสิร์ต ก้าวลงจากรถมา ท่าทางหล่อเหลาสง่างาม
ชองปอลกวาดตามองรอบผ่านแว่นดำ ก่อนก้าวเดินอย่างมั่น และในก้าวแรกนั้นก็เหยียบลงไปกับกองขี้ม้าของม้าเช่าที่ผูกไว้แถวๆนั้น
ชองปอลถอดแว่นตาออกมอง “โอ้ว....พระเจ้า!”
ทุกคนตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านประธานธูล
โลลิต้ามองผ่านผู้คนในสนาม เห็นเหล่าองครักษ์ 2 นายของชองปอล กำลังช่วยกันดึงชองปอลเดินออกมาจากกองขี้ม้า กุลีกุจอถอดรองเท้าเช็ดให้พัลวัน ทางราอูลและทหารฝ่ายใต้วิ่งเข้าไปหาดูแลชุลมุนวุ่นวาย
โลลิต้ามีสีหน้าตกใจ
ส่วนอีกมุม ชีฟองที่ชะเง้อมองๆ จนแน่ใจว่าเป็นใครก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
“ท่านชองปอลเสด็จ!”
ชีฟองหันไปมองทางสนามกีฬา เห็นร่างเล็กๆ ของโลลิต้าวิ่งผละออกจากสนาม ชีฟองวิ่งตามไปทันควัน
น่ารัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
โลลิต้าวิ่งๆ ๆ วิ่งไปๆๆๆ โดยมีชีฟองวิ่งๆๆ ตามไม่ลดละ สุดท้ายโลลิต้าวิ่งมาหยุดที่สวนดอกไม้มุมหนึ่งห่างออกมาจากลานแข่งกีฬา ที่ผู้คนกำลังวุ่นวายกับชองปอล ชีฟองเหนื่อยหอบวิ่งตามหลังมาถึงติดๆ
“องค์หญิง..เดี๋ยวสิเพคะ..องค์หญิง”
โลลิต้าหยุดวิ่ง ถอดหมวกออก แล้วหันมายิ้มรอชีฟอง
ชีฟองหยุด “ทรงหนีออกมาทำไมเพคะ”
“จะให้เราอยู่ไปทำไมล่ะ ในเมื่อคนที่เราไม่ชอบหน้า เค้ามาอยู่ตรงนี้แล้ว”
ชีฟองยังหอบแฮ่กๆๆ ตามประสาสาวชาววัง ที่ไม่เคยวิ่งควาย
“ทำไมถึงได้วิ่งเร็วอย่างนี้น่ะเพคะ พี่ชีฟองเหนื่อยตับจะแตกอยู่แล้ว” เจ้าหญิงรัชทายาทหัวเราะแล้ววิ่งออกไปอีก ชีฟองตาเหลือก
“รอเดี๋ยวสิเพคะ...รอด้วยเพคะ” ชีฟองออกวิ่งตามไปอีก
ด้านแนวหน้าเดินตุปัดตุเป๋เหน็ดเหนื่อยมาตามทาง หยุดพักดื่มน้ำจากกระติกที่ทหารทิ้งไว้ให้
“เดินขึ้นเนินเรื่อยๆ แบบนี้ เมื่อไหร่มันจะถึงวะ”
แนวหน้ามองไปรอบๆ ตัวแล้วชะงัก ที่โล่งด้านหน้า ทำให้เห็นว่ากำลังอยู่ในเขตเมืองที่มีภูเขาสลับซับซ้อนสวยงาม
แนวหน้าเดินไปมอง ที่ต่ำลงไปจะเห็นวิวของเมืองฮวาซาใต้ ที่เป็นเมืองเล็กๆ โอบล้อมด้วยภูเขา มีทะเลสาบสวยงาม แผ่นน้ำกระทบแสงแดดเช้าเป็นประกายระยิบระยับอยู่ข้างหน้า สวยงามแทบลืมหายใจ
“เนี่ยเหรอ..ฮวาซา”
แนวหน้าตะลึงมองราวต้องมนต์ ก่อนจะได้สติ หยิบเอากล้องมารัวถ่ายไม่ยั้ง
ภายในโถงพระราชวัง เท้าของชองปอลใส่สลิปเปอร์หนังแทนรองเท้าเดิมแล้ว แต่ชองปอลทำหน้าตารังเกียจ ขยะแขยง ในมือกำลังรูดหน้าจอแทบเล็ตเล่นเกมไปมา มีองครักษ์ยืนอยู่ใกล้ๆ ชองปอลบ่นบ้าไม่หยุด
“ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ...ชองปอลไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมจนป่านนี้ เขาไปนิวเคลียร์ ดิจิตอล ไอโอเอสโฟร์จี ไฟฟ์จี กันจนหมดโลกแล้ว แต่ฮวาซาใต้ยังไม่พัฒนาไปถึงไหน ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ดูซิ แท็บเบล็ตบลูทูธของชองปอลใช้ติดต่ออะไรไม่ได้เลย..โอว”
ชองปอลโยนแท็บเล็ตลงบนพื้นอย่างอารมณ์เสีย องครักษ์รีบก้มเก็บแทบไม่ทัน
“แม้แต่ไอ้พวกหมูหมากาไก่ก็ยังอยู่กันไม่เป็นระเบียบ สกปรก สกปรกสิ้นดี...โอวรองเท้าหนังกระทิงอัฟริกันคู่นั้น ชั้นเพิ่งสั่งมาจากเคปทาว์นนะ..พัง พังหมดเลย”
ประตูห้องเปิดออก ท่านธูลเข้ามาพร้อมกับราอูล ทุกคนเปลี่ยนท่าที ก้มทำความเคารพ
“ท่านชองปอล โปรดอภัยด้วยที่ข้าไม่อาจจัดการต้อนรับท่านได้อย่างสมเกียรติทันท่วงที เพราะทีแรกข้าได้รับจดหมายจากฮวาซาเหนือว่า ท่านชองปอลมีหมายกำหนดมาเยือนอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า”
ชองปอลสะดุด เหลือบมองท่านธูลเล็กน้อย “ก็อย่ารับสั่งเช่นนั้นสิท่าน ฮวาซาเหนือฮวาซาใต้ใช่ว่าจะไกลกัน พอดีที่ฝรั่งเศสก็ไม่มีอะไรทำแล้ว แค่รอกลับไปรับใบปริญญา ชองปอลเลยกลับมาเร็วกว่ากำหนด แล้วก็อยากมาเจอหน้าน้องหญิงไวไว ก็เลยตัดสินใจมาก่อนหมาย...ก็เท่านั้นเอง”
“ท่านชองปอลให้เกียรติกับฮวาซาใต้ยิ่ง อย่างไรเสีย ข้าและฮวาซาใต้ ก็ยินดีและพร้อมต้อนรับท่านเสมอด้วยความเต็มใจ และต้องทูลขอประทานอภัยในเรื่องรองพระบาท” ท่านทูลว่า
ชองปอลหันขวับ ราอูลนำรองเท้าที่ใส่มาในถาดอย่างดี มาถวาย
“ทางห้องเครื่องต้นได้นำไปทำความสะอาดอย่างดี และขัดด้วยไขปลาวาฬมาแล้วพะยะค่ะ”
ชองปอลหันมาทางท่านธูล “เป็นพระกรุณาหาที่เปรียบมิได้”
องครักษ์ของชองปอลรับมา แล้วใส่ให้
“อ๋อ...ท่านพ่อฝากมาทูลเตือนท่านธูล เรื่องสนธิสัญญาการรวมประเทศฮวาซาเหนือและฮวาซาใต้..มันใกล้ถึงเวลาเต็มทีแล้วนะฝ่าบาท ฮวาซาเหนือของกระหม่อม ถึงแม้กำลังก้าวเดินหน้าพัฒนาประเทศไปไกลมากแล้ว แต่เราก็ไม่ลืมและพร้อมที่จะรับฮวาซาใต้เข้ามารวม และหยิบยื่นการพัฒนาให้เดินหน้าไปพร้อมกัน นี่มันก็ห้าปีตามที่ท่านธูลขอไว้ในสนธิสัญญาแล้ว เราเลิกรบกันมาห้าปี และก็ไม่หวังที่จะมาห้ำหั่นกันอีก ก็อยู่ที่ฝ่าบาทไม่ควรนิ่งเฉยอยู่ ควรเริ่มเข้าสู่การเจรจากับเราได้แล้ว ทั้งหมดนี้..ก็เพื่อความมั่นคงไพบูลย์ของชาวประชาลุ่มน้ำฮวาซาทั้งมวล”
ท่านธูลอึดอัด “ทั้งหมดที่ท่านกล่าวมาข้าเข้าใจดี แต่ฮวาซาใต้อาจจะยังไม่พร้อม บางทีการเจรจาขอขยายระยะเวลาในสนธิสัญญาออกไปอีกซักหน่อย อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้”
ชองปอลหันขวับมาหน้าตาถมึงทึง “นี่ท่านจะขอเลื่อนเหรอ”
ท่านธูลพยักหน้า “อาจเป็นเช่นนั้น”
“ทำไมต้องเลื่อน ถ้าเลื่อนแล้วงานหมั้นของกระหม่อมกับน้องหญิงโลลิต้าจะต้องเลื่อนด้วยไหม”
“เรื่องนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกัน...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับโลลิต้า”
ชองปอลยิ้มแฉ่ง “ค่อยยังชั่วนี่เป็นข่าวที่น่ายินดีที่สุด ชองปอลจะรีบไปทูลกับท่านพ่อทันที ว่าแต่...น้องหญิงละ อยู่ไหน กระหม่อมยังไม่เห็นหน้าน้องหญิงเลยตั้งแต่มา”
ท่านธูลผงะเล็กน้อย มองหน้าราอูล
นางกำนัลหน้าห้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินท่าทีเร่งรีบหน้าตื่น มาหยุดที่หน้าห้องเจ้าหญิงโลลิต้า
“องค์หญิงเพคะ...องค์หญิง”
นางหน้าห้องยืนรอฟังคำตอบ ก่อนจะเคาะประตูอีกครั้ง
“องค์หญิงเพคะ ท่านประธานมนตรีให้มาทูลเชิญเพคะ”
ทุกอย่างนิ่งเงียบ นางหน้าห้องตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่
“องค์หญิงเพคะ” นางมองรอบห้องอย่างตกใจ
ที่โรงเลี้ยงม้า ภายในเขตพระราชวังฮวาวาใต้ คนเลี้ยงม้าที่เพิ่งทำความสะอาดม้าเสร็จ ถือกระป๋องน้ำ และแปรง เดินกลับไป
โลลิต้าย่องเข้ามาในโรงเลี้ยง แล้วค่อยๆ โผล่หน้าดู จนแน่ใจว่าคนเลี้ยงไปไกลแล้ว ก่อนส่งสัญญาณโบกมือให้ชีฟองตามมา
โลลิต้าย่องมาลูบหัวม้าสีหมอกประจำพระองค์ ชื่อ เจ้าอองรี แล้วปลดเชือกดึงไป
ชีฟองจับมือรั้งไว้ “จะเสด็จไหนเพคะ”
“เราไปเที่ยวในหมู่บ้านกันเถอะพี่ชีฟอง”
โลลิต้าขึ้นม้าควบออกไป ชีฟองตาเหลือก วิ่งไปที่ม้าอีกตัวหนึ่งกระโดดขึ้นควบตามไป
บริเวณทางหน้าหมู่บ้านเชิงเขา แลเห็นธงทิวประดับ สวยงาม ชาวบ้านเดินเข้าออกประปราย แต่งหน้าเขียนสีกันน่าสนใจ
ฟากแนวหน้าเดินกระปลกกะเปลี้ยมาตามทาง หยุดนวดขา แล้วถอดรองเท้าออกดูรอยบวมแดง
“กูจะบ้าตาย...คอยดูนะเจอกันเมื่อไหร่ กูจะลาออกแล้วต่อยหน้า พี่ชายก็พี่ชายเหอะวะ”
มีผู้คนเดินผ่าน ทาหน้าเป็นสีๆ แนวหน้ามองตาม
แนวหน้าหันมองไป เบื้องหน้าเป็นหมู่บ้านเชิงเขา ที่ดูคึกคัก ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทาย ส่วนใหญ่ขีดหน้าเขียนตาเป็นริ้วสี บ้านเรือนก็ประดับตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากสี และริ้วผ้าสีสันสวยงาม
แนวหน้าตื่นเต้น คว้ากล้องขึ้นมาทันที
“อย่างนี้มันค่อยน่าสนใจหน่อย”
พร้อมกับรีบใส่รองเท้า แล้วเดินตรงไปที่หมู่บ้านทันที
แนวหน้าเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศแปลกตา ความสนุกสนาน และการตกแต่งเทศกาลของชาวฮวาซา เสียงร้องรำ เสียงเครื่องดนตรี เสียงหัวเราะของผู้คนดังอื้ออึง
“โวว..นี่ละที่แนวต้องการ”
แนวหน้ายกกล้องเล็งถ่ายมุมต่างๆ มุมแล้วมุมเล่า ทั้งภาพสิ่งของ ภาพผู้คน ที่ยิ้มแย้มให้กัน
แนวหน้าเข้าไปขอถ่ายรูปหญิงสาวบ้าง เด็กๆ บ้าง อย่างสนุกสนาน พยายามส่งภาษาให้เข้าใจ
เด็กคนหนึ่งเล่นกล้องสุดฤทธิ์ โพสท่าสู้ตาย ยิ้มแฉ่งตาปิด แนวหน้าถ่ายอย่างเอ็นดู
“หมู่บ้านนี้เค้ามีงานอะไรกันเหรอไอ้หนู”
เด็ก 1 บอก “เค้าฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยว”
เด็ก 2 ว่าเสริม “แล้วก็ฉลองเจ้าหญิงอายุ 18 ขวบด้วย”
แนวพยักหน้ารับรู้ แล้วออกเดินถ่ายรูป มีคณะเด็กตามเป็นขบวนอย่างตื่นเต้นที่ได้เห็นนักท่องเที่ยว
อีกด้าน โลลิต้าจูงชีฟอง ที่ขีดสีแต่งหน้ากันมาเหมือนคนอื่นๆ แล้ว เดินร่าเริง สนุกสนานไปกับชาวบ้านและเด็กๆ ที่กำลังร้องรำทำเพลง
แนวหน้าถูกแก๊งเด็กๆ รุมกันเขียนสีแต่งหน้าให้ เขายกกล้องถ่ายรูปถ่ายตัวเองกับแก๊งเด็กอย่างสนุกสนาน
แนวหน้าเดินสวนกับเจ้าหญิงโลลิต้าไปแว้บๆ
เสียงเพลงยังดังสนุกสนาน แนวหน้ายกกล้องจับภาพไปเรื่อยๆ จนไปจับภาพโลลิต้าที่กำลังหัวเราะสดใส หยอกล้อกับชาวบ้าน และเด็กๆ อยู่มุมหนึ่ง แนวหน้าถึงกับชะงัก หยุดมอง
เด็กวิ่งกลับมาดึงแขน “พี่ๆ...มาทางนี้เร็ว” แนวหน้าถูกเด็กลากออกไป
ขณะเดียวกันโลลิต้าที่เดินอยู่นึกได้ “ว้าย..ไม่ทันแล้วเร็วพี่ชีฟอง”
โลลิต้าออกวิ่ง ชีฟองที่มัวดูของอยู่ตามไม่ทัน
“รอด้วยเพคะ”
ท่านประธานมนตรีธูลกำลังกังวล มีราอูล นางหน้าห้องยืนหน้าเสียอยู่ใกล้ๆ พลันทหารองค์รักษ์เหงื่อซิกวิ่งเข้ามา
“ว่ายังไงบ้าง” ราอูลถาม
“ตอนนี้ทหารวังตามหาจนทั่วแล้วขอรับ แต่...ยังไม่พบ” ทหารรายงานจ๋อยๆ
ราอูลตกใจร้อง “หา”
“ลูกหญิงไปไหน แล้วทำไมไม่มีใครเห็นเลย ช่วยตอบหน่อยสิ นี่มันอีกไม่นานจะได้เวลาออกท้องพระโรงแล้ว” ท่านธูลแปลกใจ
ราอูลอึกอัก “เอ่อ...”
ทุกคนนิ่งเงียบอึ้งไปทั้งแถบ
ราอูลสั่งการกับทหาร “รีบไปหาอีก ทำยังไงก็ได้ พาองค์หญิงมาให้ทันตามหมายกำหนดการ”
“ขอรับ ท่านราอูล” ทหารองค์รักษ์หน้าซีด รีบถอยออกจากห้องไป
ท่านธูลมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ส่วนที่บริเวณกลางลานหมู่บ้านผู้เฒ่าของหมู่บ้านแจกจ่ายขนมเทพเจ้า ให้กับชาวบ้านและเด็กๆ ที่มารอรับ ขนมเทพเจ้า มีลักษณะเป็นก้อนยาวๆ คล้ายขนมโก๋ห่อกระดาษสีขาวมีพู่ที่หางเป็นสีสันน่ากิน
แนวหน้าถูกแก๊งเด็กลากเข้ามา แนวถ่ายรูปเด็กๆ ที่เข้าไปแย่งขนมอย่างสนุกสนาน ทำไม้ทำมือไปด้วย
“อะไร เขาแจกอะไรกัน”
“ขนมฮวาซา เทพฮวาซา” เด็ก 1 ท่าทางเป็นหัวโจก ยกมือไหว้ปลกที่ฟ้า
“อ้อ”
เด็ก 1 วิ่งเข้าไปช่วยแย่ง แก๊งกรูกันเข้าไปจะแย่งขนมกระจาดสุดท้ายที่ผู้เฒ่ายกมา ผู้เฒ่าหยิบมากำมือแล้วเหวี่ยงโยนขึ้นฟ้า ใครรับได้รับไป ช่วงนี้มีแต่เด็กเข้ามาแย่ง ผู้ใหญ่ยืนดูกันเป็นที่สนุกสนาน
แนวหน้าถ่ายรูปไปมา หัวเราะชอบใจ
ก่อนนึกสนุก เข้าไปถ่ายในวงล้อมที่เด็กกำลังกระโดดแย่งกันอย่างร่าเริง
อ่านต่อหน้า 4
น่ารัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ด้านโลลิต้าวิ่งเข้ามาดูพิธีอย่างตื่นเต้น สนุกสนาน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ใกล้โลลิต้าแย่งใครไม่ทัน ถูกเบียดหกล้ม ร้องไห้จ้า โลลิต้าประคองให้ลุก เช็ดน้ำตาให้
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องนะ เดี๋ยวเราไปเอามาให้”
โลลิต้าลุกยืน ถูมืออย่างมุ่งมั่นแล้วตรงเข้าไปในกลุ่มชุลมุน
ขนมก้นกระจาดชิ้นสุดท้าย คนเฒ่าคนแก่แกว่งกระจาดโยนขึ้นฟ้า คนเฮเข้ารุมขนมกระจัดกระจายไปตามทิศต่างๆ ขนมชิ้นนั้นลอยขึ้นฟ้า แนวหน้ากระโดดแย่ง โลลิต้าก็กระโดดลอยตัวขึ้น
แนวหน้าคว้าได้กลางอากาศ พร้อมๆ กับที่มือโลลิต้าไปถึง มือจับช่วงหัวกับท้ายของขนม ทั้งคู่ลงสู่พื้น มือกำคนละด้านของขนม สองคนเงยหน้ามองกันงงๆ
“ปล่อยนะ” โลลิต้าเสียงขุ่น
“คุณนั่นแหละปล่อย ผมได้ก่อนนะ”
โลลิต้าตาลุก กระชากขนมมา หันหลังจะเอาไปให้เด็ก แนวหน้าโมโห
“อ้าว! งั้นก็สวยสิ”
แนวหน้านึกว่าโลลิต้านิสัยไม่ดี เลยดึงคืนมา ขนมตกไปกับพื้น แนวหน้าจะก้มลงเก็บ โลลิต้ารู้สึกว่าอีนี่นิสัยเลว เลยผลักจนแนวหน้ากระเด็นหัวทิ่ม
โลลิต้ามองหยันอย่างสมน้ำหน้า แล้วจะก้มลงหยิบ แนวหน้าพุ่งจับข้อเท้าไว้ โลลิต้าล้มกลิ้ง ปิ่นหลุดจากผมโดยไม่รู้ตัว โลลิต้าแค้น
แนวหน้าหยิบขนมขึ้นมาจะแกะกินเยาะเย้ย โลลิต้าพุ่งโถมใส่ทั้งตัวด้วยความโกรธ ทั้งคู่ล้มกลิ้งไปด้วยกัน ขนมกระเด็น
แนวหน้าทั้งเจ็บและจุก “นี่คุณ..จะบ้าเหรอ ทำแบบนี้ทำไม..มันแค่ขนมนะ”
“นายนั่นแหละที่บ้า..มาแย่งชั้นทำไม ชั้นจะเอาขนมไปให้เด็ก” โลลิต้ามองหา “ขนม...ขนมหายไปไหน”
ทั้งคู่ลุกขึ้นมองหา แล้วถึงเห็นว่า ขนมบี้แบนจนเป็นผงไปหมดแล้ว เพราะแนวหน้าทับตอนล้มลง เด็กๆที่ดูเหตุการณ์อยู่หัวเราะฮาครื้น
“เละหมดแล้ว” เด็ก 1 ขำกลิ้ง
“ไอ้...ไอ้บ้าเอ๊ย...”
โลลิต้าโมโหเข้าผลักอกแนวหน้าดื้อๆ ชีฟองฝ่าวงเด็กเข้ามาดึงแขนโลลิต้าถาม
“อะไรกันคะ เกิดอะไรขึ้น”
โลลิต้าฟ้อง “พี่ชีฟอง ไอ้นี่มันแกล้ง”
แนวหน้าเถียงสวน “ผมไม่ได้แกล้ง”
“แกล้ง”
“ไม่ได้แกล้ง...” แนวหน้าลากเสียง
“แกล้ง...” โลลิต้าลากเสียงพร้อมทำท่ากำหมัดจะเข้าไปต่อย ชีฟองคว้าไว้ทัน
“พอเถอะค่ะ องค์...เอ้ย.. น้องหญิง เรากลับกันดีกว่า เร็วเถอะคะ ต้องรีบกลับแล้วเดี๋ยวไม่ทันพิธี...ไปค่ะ”
โลลิต้ายอมตามไป แต่ไม่วายหันมาชี้หน้าถมึงใส่แนวหน้า ก่อนทั้งสองจะเดินหายไป
แนวหน้าลุกขึ้นปัดเสื้อกางเกงไปมา
เด็ก 1 วิ่งเข้ามายื่นขนมให้ “ให้”
แนวหน้ายิ้ม เด็ก 1 ยิ้มกว้างกว่าเห็นฟันหลอ แนวหน้าจับหัวเด็ก 1 โยกเบาๆ
“ขอบใจมากนะน้อง”
พลันแนวหน้าเหลือบไปเห็นปิ่นปักผมรูปม้าขาว เป็นประกายวาววับตกอยู่ใกล้ๆ เข้าก้มเก็บขึ้นมาดู
“ปิ่นปักผม!” ก่อนจะเงยหน้ามองหาโลลิต้า
มีเสียงเรียก “คุณๆ” ดังมา
แนวหน้าหน้าหันไปทางเสียง เห็นเป็นทหารพลขับที่มารับยืนอยู่
“ผมหาคุณแทบแย่ เชิญเลยครับ”
แนวหน้าดีใจ รอดตายแล้วกรู
บรรดาข้าราชบริพาร เสนาบดี อยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ กำลังมายืนรอรับเสด็จ ที่ท้องพระโรง ต่างพูดคุย ทักทาย บ้างตื่นเต้นกับงานในวันนี้
นาย และจีจี้ ยืนอยู่มุมหนึ่ง ใกล้แถวหน้าตรงที่จะเสด็จ ทั้งคู่แต่งกายสวยงาม
“จีจี้สวยรึยังที่รัก โอ๊ย..มางานแบบนี้เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไม่มั่นใจเลยนาย”
“สวยแล้วจ๊ะ..ดีแล้ว..นี่ถ้าไอ้แนวมาไม่ทันเราจะทำยังไง ใครจะพรีเซ้นต์งาน”
แขกคู่หนึ่งดูเป็นชาวต่างชาติ แต่งตัวโก้หรูเดินผ่านไปยืนตั้งแถวรับอีกฝั่ง นายกับจีจี้มองตาม
“นั่นมัน...แดเนียล ลิว จากบริษัท TNB ของฮ่องกงนี่นา” จีจี้จำได้
“นี่แสดงว่าท่านประธานมนตรีเชิญบริษัทชาติอื่นๆ มาคุยด้วยเหรอเนี่ย”
จีจี้มองๆ “ต้องมากกว่า 3 ประเทศแน่ๆ จี้คุ้นหน้าทั้งนั้น ทั้งจากสิงคโปร์ แล้วก็มาเลย์”
นายชักเครียด
“ไม่รู้ละ ยังไงเราก็ต้องได้งานนี้ GNNของเราจะต้องเจ๋งกว่าทุกบริษัทในภูมิภาคนี้แน่นอน”
นายพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
มือทหารองครักษ์ติดกระดุมทองสุกปลั่งเสร็จ ชองปอลในชุดเครื่องแบบเต็มยศมกุฎราชกุมารของฮวาซาเหนือ มองตัวเองในกระจกอย่างพอใจ ก่อนหันมาทางองครักษ์
“ชั้นแต่งตัวเต็มยศแบบนี้ หล่อพอที่จะให้องค์หญิงโลลิต้าหลงรักอย่างหัวปักหัวปำได้รึยัง”
“ได้แน่นอนพะยะค่ะ”
ชองปอลทำหน้าพอใจ เสียงประตูเปิด ชองปอลหันไป
“น้องหญิงมาแล้ว” แต่ต้องชะงัก
ท่านประธานมนตรีธูลเดินเข้ามาในห้อง ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ราอูลตามมาติดๆ
“ฝ่าบาทน่ะเอง..นี่ท่านทรงมาตามชองปอลด้วยพระองค์เองเลยเหรอพะยะค่ะ” หันไปสั่งองครักษ์ “เร็วเข้า”
“เอ่อ..ท่านชองปอลไม่ต้องรีบร้อน คือว่า...” ท่านธูลอึดอัดมาก “พระราชพิธีอาจจะต้องล่าช้าไปเล็กน้อย”
“อ้าว..ทำไมล่ะท่านธูล”
“คือ...องค์หญิง...คือ”
นางหน้าห้องวิ่งหน้าตื่นมาพอดี
“ท่านประธานเพคะ องค์หญิง..องค์หญิงเพคะ” นางหยุดหอบหายใจเหนื่อย
“อะไร องค์หญิงทำไม”
“องค์หญิง...ทรงพร้อมแล้วเพคะ”
ท่านธูลมีสีหน้าโล่งอกขึ้นมาทันที ส่วนชองปอลมองอย่างไม่เข้าใจ
ฝ่ายแนวหน้ากำลังคุ้ยข้าวของ มือไม้สั่นหาเสื้อผ้าใส่เข้าร่วมพิธี
“อยู่ไหนวะ...อยู่ไหน ไม่ทันแล้ว”
ครีเอทีฟหนุ่มไปเปิดตู้ เจอเสื้อสูทแขวนอยู่ เลยรีบถอดตัวเก่าแล้วใส่อย่างรวดเร็ว ไม่มองกระจก
พอจะถอดกางเกงก็ชะงัก รู้สึกมีอะไรอยู่ในกระเป๋า พอล้วงออกมาดูเห็นเป็นขนมกับปิ่นปักผมของโลลิต้าที่เก็บเอามาด้วย
แนวหน้านึกขำ “เด็กบ้าอะไรวะ เล่นอย่างกะผู้ชาย น่าต่อยจริงๆ” เขาเพ่งมองปิ่น “คอยดูนะ ถ้าเจออีกที จะเอาปิ่นนี่จิ้มลูกกะตาซะเลย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แนวหน้าหันไปมอง มหาดเล็กเข้ามา
“จะได้เวลาเสด็จออกแล้ว คุณต้องรีบแล้วนะครับ”
“ครับๆ”
แนวหน้าถอดกางเกงออกอย่างว่องไว มหาดเล็กตกใจหันไปทางอื่น แนวหน้านุ่งกางเกงเสร็จก็รีบร้อนเดินมา
“เสร็จแล้วครับ”
แนวเดินนำออกไป มหาดเล็กอ้าปากจะพูดก็ไม่ทันว่าหน้าตาของแนวหน้ายังไม่ได้ลบสีที่ตาออก
บริเวณลานสนามหญ้าตรงบริเวณหน้ามุขของท้องพระโรง มีประชาชนชาวฮวาซาที่มารอยลสิริโฉมเจ้าหญิงรัชทายาทกันมากมาย ทุกคนต่างตื่นเต้น ชะเง้อชะแง้รอดูกันใจจดจ่อ
นาย กับจีจี้ตอนนี้ยืนรอรับเสด็จอยู่ เห็นมหาดเล็กเดินนำมีแนวหน้าโผล่เข้ามาสมทบ
“เชิญครับ” มหาเล็กบอก แล้วขยับออกไปประจำที่
นายเห็นสภาพน้อง ถามเสียงเบา “ไอ้แนว ไปทำอะไรมาน่ะ”
“หา อะไร คนเยอะแยะจัง ไม่คิดว่าในวังฮวาซาคนจะเยอะขนาดนี้”
จีจี้หันไปเห็น ตกใจจนเผลอร้องอุทานเสียงดัง “ว้าย” แล้วรีบอุบปาก พูดเบาๆ “นี่แนว ไปเล่นอะไรมาหน้าแกน่ะ”
แนวหน้าจับหน้าตัวเองเพิ่งนึกได้ “ตายโหง...ก็ตอนรอน่ะ ผมเจอหมู่บ้าน แล้วไปเล่นกับเด็ก”
นายส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “ลบเดี๋ยวนี้เลย จะได้เวลาเสด็จแล้ว”
จีจี้หยิบผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ด “หันหน้ามาจะช่วย เอาสีอะไรทาเนี่ย ทำไมมันเช็ดออกยากขนาดนี้”
“ใช้น้ำลายแตะๆ สิจะได้ออกง่ายหน่อย” นายบอก
แนวหน้าชะงัก “น้ำลายใคร”
“น้ำลายแกนั่นแหละ หรือจะใช้น้ำลายชั้นก็ได้ เลือกเอา” นายว่า
เสียงแตรโหมดังขึ้นเป็นสัญญาณ ตามด้วยเสียงขึงขังของมหาดเล็ก
“ท่านประธานมนตรีเสด็จแล้ว”
ทุกคนขยับตัวยืนสำรวม แนวรีบหลบไปยืนหลังนาย พยายามเอาน้ำลายแตะผ้าเช็ดหน้าแล้วเช็ดหน้าตัวเอง
ชองปอล ออกมายืนรอรับเสด็จ
ประธานธูล เสด็จออกพร้อมผู้ติดตามในชุดเต็มยศ สง่า น่าเกรงขาม
เสนาบดีและทุกๆคนในห้องถวายความเคารพกันพึ่บพับ
แนวหน้าพยายามยื่นหน้ามองตามพี่ชาย กระซิบถามพร้อมกับเช็ดหน้าไปด้วย
“เค้ามีพิธีอะไรกันเหรอเฮีย ต้อนรับพวกเรารึไง”
นายกระซิบตอบ “วันนี้จะมีการแต่งตั้งมกุฎราชกุมารีเว้ย”
แนวพยักหน้ามองท่านธูลที่เดินไปนั่งบัลลังก์อย่างทึ่ง จีจี้ถลึงตาชี้ให้ดูว่ายังลบหน้าไม่หมด แนวหน้าเลยแอบไปเช็ดด้านหลังพี่ชายต่อ
จังหวะนี้ท่านประธานธูลหันไปพยักหน้าให้ราอูลให้เริ่มพิธี ราอูลถวายคำนับ ก่อนก้าวเดินออกไปข้างหน้า กลางท้องพระโรง
“บัดนี้ ถึงเวลาอันเหมาะอันควรแล้ว ข้าในนามตัวแทนของราชสำนักฮวาซา ขอเบิกตัว มกุฎราชกุมารี แห่งราชอาณาจักรฮวาซาใต้ องค์หญิงโลลิต้า”
สิ้นคำประกาศ สายตาทุกคู่ตาจับจ้องไปที่หลังม่านสีทองเหนือยกขั้นบันไดทางด้านเหนือท้องพระโรง เสียงแตรเป่าประโคม พลันผ้าม่านค่อยๆ บรรจงเลื่อนเปิดแยกออกช้าๆ
ทุกคนต่างยื่นหน้าออกมามองยืนกันไม่ติด เริ่มชะเง้อ ชะแง้ไปมา ส่วนแนวหน้าเร่งเช็ดหน้ายิกๆ
หลังม่านสีทองอร่าม ค่อยๆ เผยให้เห็นหญิงสาวบอบบางร่างแน่งน้อย ผมยาวสลวย สวมมงกุฎ ใบหน้าสดสวยเปล่งประกาย งามจับตา องค์หญิงโลลิต้าปรากฏตัวในชุดเจ้าหญิงในเทพนิยาย มีชีฟองออกเดินตามมาห่างๆ ข้างหลัง
ชองปอลถึงกับเคลิ้ม เบิกตาโต อ้าปากค้าง
“โอ้ว..แองเจิ้ลของชองปอล..โอว”
เหล่าเสนาบดี ข้าราชบริพาร ตะลึงแลในความงาม
นาย และจีจี้ ก็ตะลึงไม่แพ้กัน แนวที่กำลังมัวปัดๆเช็ดๆถูหน้าอยู่ ยังไม่ทันเห็น จนได้ยินเสียงนาย
นายพึมพำอย่างลืมตัว “สวยเป็นบ้า...เจ้าหญิงของรัฐฮวาซาใต้”
จีจี้ค้อนควักนิดหนึ่ง แต่ไม่จริงจังนัก แนวหน้าอดไม่ได้ ยื่นหน้าออกมามองแล้วชะงัก เห็นเจ้าหญิงโลลิต้าก้าวเดินออกมา รูปโฉม กิริยางามสง่า ก้าวเดินผ่านหน้าไปอย่างช้าๆ งดงามเหมือนภาพฝัน
ครีเอทีฟหนุ่มตะลึงแล จำได้ทันที อุทานเสียงเบาๆ “ยายปิ่น”
แนวหน้าตกตะลึงจังงัง โลลิต้าเดินผ่านไปในระยะประชิด
จบตอนที่ 1 อ่านต่อตอนที่ 2