ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล ตอนที่ 1
ทุกองค์ประกอบต่างๆ ภายในงานแต่งงานแบบคริสต์ อันได้แก่ ซุ้มประกอบพิธี ซุ้มเค้ก ช่อดอกไม้ประดับในงาน เทียน เก้าอี้ของแขก ซุ้มถ่ายรูปหน้างาน ทุกที่ยังว่างเปล่า ยังไม่มีแขกร่วมงาน ยังไม่เห็นรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาวและชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่บรรยากาศนั้นสวยงาม โรแมนติก ดั่งภาพฝัน อีกมุม ชุดเจ้าสาวและชุดเจ้าบ่าว แขวนอยู่บนตัวหุ่น เสียงเพลงแว่วหวานดังขับคลอไปทั่วห้อง
ภายในห้องแต่งตัวในโรงแรมแห่งหนึ่ง ภัทรวลัยทำผม แต่งหน้าค้างอยู่ และยังไม่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว ร้องลั่นแผดเสียง ในบรรยากาศวุ่นวาย วินาศสันตะโร
"ฉันจะฆ่ามัน!"
เป้ในชุดเจ้าบ่าว หล่อ ล่ำ เนี้ยบเข้ามาปลอบว่าที่ภรรยา
"ใจเย็นนะคะ วลัย เพื่อนเจ้าสาวยังไม่มา ไม่น่ากลัวเท่าเจ้าสาวยังแต่งตัวไม่เสร็จนะคะ"
ภัทรวลัยพยายามใจเย็น แต่ก็ไม่เย็น
"ก็ได้ค่ะ พี่เป้ พวกมันคิดว่างานแต่งงานเราจัดที่ไหน บ้านโป่ง หรือ บางปะหัน หา!"
"ไม่ทราบค่ะ"
"จัดที่กรุงเทพ ! เมืองรถติดขั้นเทพ แต่ป่านนี้ยังมาไม่ถึง ไม่คิดเผื่อเวลา"
"อย่าช่างประชดค่ะ...แก่นะคะ"
"แล้วรักป่ะ"
"เปลี่ยนใจตอนนี้คงไม่ทัน ก็ต้องรักสิคะ เดี๋ยวพี่โทรเช็คเพื่อนให้นะ แต่งตัวก่อนนะ เดี๋ยวไม่ทัน จัดการเลยครับ" เป้พูดก่อนหันไปสั่งช่างหน้า ช่างผม จากนั้นเขาดันตัวว่าที่ภรรยาไปส่งให้ช่างจัดการ เขากำลังจะหยิบมือถือ ภัทรวลัยถามสวนมาทันที
"โทรติดหรือยังคะ"
"ยังไม่ได้กดเลยค่ะ"
"หนูไม่ชอบคนชักช้านะคะ"
เป้ชูมือ
"ไม่ช้า เร็วมาก ไม่เชื่อ ดู!"
เป้ลดมือลงลงต่ำ ทุกคนอ้าปากครางฮือ ชวนเสียวว่าคุณเป้จะชักอะไรเร็ว เขากดปุ่มบนมือถืออย่างเร็ว
"นี่ไง กดรัวๆ เร็วมั้ย!"
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก
บรรยากาศของกรุงเทพในย่านธุรกิจ ณ อาคารสูง หรูหราแห่งหนึ่งกลางกรุง ซึ่งเป็นที่ตั้งของออฟฟิศแมกกาซีน เขา...คนนั้น ถือแก้วกาแฟเดินจากร้านกาแฟหรูภายในตึกไปยังห้องทำงานที่มีป้ายชื่อ
“เมธาวลัย ว่องยานยนต์” ตำแหน่ง EDOTOR IN CHIEF ติดอยู่
เขาเคาะประตูสามครั้ง
ภายในห้อง เมธาวลัย ว่องยานยนต์ หรือ "เมเปิ้ล" สวย เฉี่ยว เปรี้ยว มั่นใจ แต่งตัวอินเทรนด์แฟชั่น เธอกำลังคุยโทรศัพท์กับคุณเป้ พลางเก็บของลงกระเป๋าด้วยความเร่งรีบ ที่ด้านหลังของเธอมีโลโก้แมกกาซีน “IT’S A MUST! Thailand” อยู่
"กำลังจะออกจากออฟฟิศนี่แหละคุณเป้ เพิ่งประชุมเสร็จ จะไปแต่งตัวที่โน่นเลย บอกมันนะ ถ้าไม่ทัน ฉันรอไปงานแต่งของมันคราวหน้าก็ได้ ล้อเล่นน่ะ ยังไงมันก็ตายอยู่กับคุณเป้แล้วล่ะ อุ๊ย...สายบอสโทร.เข้ามา ... แค่นี้ก่อนนะ"
เธอหยิบเสื้อนอกมาสวม พลางรับสายบอส
"ค่ะ บอส.... เดือนที่แล้วยอดโฆษณาของ IT’S A MUST เพิ่มขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ตามเป้า"
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"สักครู่นะคะบอส ... เข้ามา!"
กฤษฎา ควรเวโรจน์ หนุ่มหน้าใส แต่งตัวเป็นหนุ่มออฟฟิศทะมัดทะแมงแต่มีสไตล์ สะอาดสะอ้าน ยิ้มแย้มเปิดประตูถือถ้วยกาแฟเข้ามา
"กาแฟครับ"
เธอคุยมือถือต่อโดยไม่ได้หันมามอง แต่ชี้นิ้วสั่งให้วางถ้วยกาแฟบนโต๊ะ กฤษฎาวางถ้วยกาแฟ ยืนรอรับคำสั่ง
"เดือนหน้าต้องเพิ่มอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์" เธอทำหน้าสยองมาก แต่รับคำ "ได้ค่ะ"
เมธาวลัยเอื้อมมือหยิบถ้วยกาแฟ แต่เอื้อมไม่ถึง และไม่คิดจะขยับ ชี้นิ้วสั่งให้เขยิบถ้วยกาแฟเข้ามาใกล้อีก โดยไม่มองหน้ากฤษฎาเหมือนเดิม เขาหยิบถ้วยกาแฟยื่นไปวางใกล้ๆ
กฤษฎาเห็นแมกกาซีนหัวนอกคู่แข่งหลายฉบับวางเรียงอยู่บนโต๊ะของเธอ กฤษฎามองของต่างๆบนโต๊ะ ไล่ไปถึงของแตกแต่งห้องที่ดูดีมีรสนิยม รูปถ่ายของเธอตามงานอีเว้นต์แฟชั่น ภาพถ่ายคู่นางแบบ ด้วยลีลาโพสต์ไม่แพ้นางแบบมืออาชีพ , รูปที่เธอเป็นนางแบบเองในคอลัมน์สัมภาษณ์ “CELEBRITY สาวมั่นกับวันที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในตำแหน่ง EDITOR IN CHIEF” รูปที่เธอไปดูงานแฟชั่นที่ปารีส มิลาน เซี่ยงไฮ้
ระหว่างที่เธอคุยโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ กฤษฎายืนมองเธออย่างชื่นชม ช่างสวยเหมาะเจาะไปหมดไม่ว่าจะทำอะไร ขยับไปทางไหน
"ไม่ลืมค่ะ ว่า IT’S A MUST ไทยแลนด์จะต้องขึ้นเป็นผู้นำแมกกาซีนหัวนอกบนแผงหนังสือแซงหน้าคู่แข่งให้ได้ภายในหนึ่งปี...ค่ะ สวัสดีค่ะ"
เธอกดวางสาย เอี้ยวตัวไปหยิบถ้วยกาแฟ แต่พลาด แก้วกาแฟล้ม ไหล หก เลอะบนโต๊ะ ทั้งเธอและเขาต่างตกใจ เธอร้อง "ว้าย!" แต่ไม่ทำอะไร ได้แต่ยืนเหวอ
กฤษฎารีบดึงทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะมาซับกาแฟ
"วางแก้วยังไง หา!"
เธอรีบเก็บของหนีน้ำกาแฟที่ไหลนองบนโต๊ะนั้น กฤษฎาช่วยยกหนี
"เห็นมั้ยว่ามันหกเลอะโต๊ะ เลอะหนังสือ เลอะ..."
เมธาวลัยชะงัก อึ้ง เพราะใจตรงกับกฤษฎา ต่างจับของหนีน้ำกาแฟชิ้นเดียวกัน มือของกฤษฎาจับมือเธอ สองคนเงยหน้าพร้อมกัน ใบหน้าใกล้กันมาก เธอสบตาเขา ใจเต้นแรง เคมีในตัวแล่นเปรี๊ยะปร๊ะ ถ่ายทอดส่งถึงกัน เขายิ้มให้เธอ ในขณะที่เธอขอมมองหน้าเขาให้ชัดๆอีกครั้ง รอยยิ้มค่อยๆฉายบนใบหน้า กฤษฎายิ่งหัวใจพองโต ทันใดนั้น เธอก็กลับสู่สภาวะปกติ กระชากมือกลับ หน้าและเสียงเหวี่ยงทันที
"เธอเป็นใคร! ฉันไม่เคยเห็นหน้า เข้ามาได้ยังไง!"
"เอ่อ ผมคือ..."
เธอไม่ฟัง ตะโกนสั่ง
"หยาดทิพย์ อยู่ไหน ตามรปภ.เดี๋ยวนี้"
"เฮ้ย!"
มุมหนึ่งในโลเกชั่นถ่ายละคร ปินัทธา ปฏิมาวันวิภาพ หรือ น้ำผึ้ง นักแสดงสาวตัวแม่ของวงการ กำลังวีนธุรกิจกองถ่ายอยู่ ผู้กำกับและทีมงาน นักแสดงต่างยืนเหวออยู่ไกลๆ ไม่มีใครกล้าเข้ามา
"นัดสิบโมง จะบ่ายโมงนางยังมาไม่ถึง! บ้านนางอยู่ไหน เชียงใหม่ หรือ ดาวอังคาร!"
"เอ่อ..น้องมีงานอีเว้นต์ค่ะ งานเลิกช้า เลยมาช้า" ธุรกิจกองถ่ายบอก
เธอยิ่งปรี๊ด
"อีกแล้ว! นี่ครั้งที่สามสี่ห้าหกแล้วนะ ที่รับงานอีเว้นต์แล้วให้กองละครรอ"
"ใจเย็นๆนะคะป้า เหวี่ยงปุ๊บ แก่ปั๊บเลย อุ๊ยๆ หางตาเพิ่มขึ้นมาสองริ้ว"โตโต้บอก
เธอไม่สน เหวี่ยงต่อ แต่หน้าตึง เอานิ้วยกหางตาเอาไว้
"น้ำผึ้ง ปินัทธาแคนดู ไม่รู้เหรอ! เหวี่ยงด้วยตึงด้วย!" แล้วหันไปถามทีมงาน "อีกครึ่งชั่วโมงฉันก็ต้องไป ถามหน่อย ถ้านางมาถึง จะถ่ายกันทันมั้ย!"
ธุรกิจจะตอบ "เอ่อ..."
ธุรกิจหน้าเสีย หันไปมองทีมงาน ทุกคนหลบตาวูบ ธุรกิจยิ่งหน้าเสีย เธอไม่รอให้ตอบพูดเองเลย "พูดเลย ว่าไม่มีทาง ต่อให้เทพๆ ก็ไม่ทัน!"
"ยังไงก็ต้องให้ทันค่ะ เพราะวันนี้ต้องปิดโลที่นี่ มาถ่ายอีกไม่ได้แล้ว ขอเวลาป้า เอ้ย คุณน้ำผึ้งอีกนิดได้มั้ยคะ"
"แคร์ยัยเด็กนั่น แล้วมาเบียดเบียนคิวฉันแทน มันยุติธรรมเหรอ เล็ก!"
เสียงมือถือของปินัทธาที่โตโต้ถือเอาไว้ดังขึ้น นางรีบหยิบดูเบอร์
"คุณเป้โทรมาค่ะป้า" นางเลี่ยงไปรับที่มุมหนึ่ง "ฮัลโหล ตอนนี้บรรยากาศกำลังมาม่าค่ะ"
"เพื่อนฉันโทร.มาตามแล้ว...ฉันให้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นน่ะเล็ก เพราะฉันถือว่า ฉันแจ้งคิวเธอล่วงหน้าเป็นเดือนๆ และคราวนี้ฉันจะไม่ทน !"
ปินัทธา ปฏิมาวันวิภาพเดินฉุนออกไป ทีมงานหน้าเสีย ใจสั่น วิ่งไปสมทบ
ณัฎฐาลินี มงคลควร หรือ ลินี ทนายความอาสาของมูลนิธิฟ้าหลังฝน เดินมาที่สถานีตำรวจพร้อมกับกุ๊งกิ๊ง เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ที่ทำงานช่วยเหลือสตรีที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทุกรูปแบบ และเด็กสาววัยรุ่นที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี เธอกำลังคุยมือถือกับภัทรวลัยที่เสียงดังแหลมลอดเสียงมา
"ถ้าแกมาไม่ทัน ฉันจะแช่งแกให้อยู่บนคานยันแก่ตาย !!"
ณัฎฐาลินีฉุนใส่มือถือเสียงดังมาก
"แคร์ที่ไหนล่ะ ตายบนคานเพราะโสด ดีกว่าแต่งแล้วเพิ่งรู้ว่าผัวทั้งชั่วและโฉด จบนะ! ฉันพาเด็กมาตามคดีทำร้ายร่างกาย เสร็จแล้วจะรีบไป แล้วเจอกัน!"
ณัฎฐาลินีวางสายหันมา เจอกุ๊งกิ๊ง เด็กสาวและชาวบ้านรวมถึงเจ้าหน้าที่ซึ่งเดินไปเดินมาอยู่ มองเธออึ้งเป็นตาเดียว
"พูดอะไรผิดตรงไหนคะ มีหน้าที่อะไรต้องทำก็ไปทำกันสิคะ"
ทุกคนสลายตัว
"ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านซะจริง ทีเรื่องที่ควรยุ่งแล้วไม่ยุ่ง ไหวป่ะ"
"เค้าไม่ได้อยากยุ่งหรอกค่ะพี่ลินี แต่พี่พูดเสียงดังให้พวกเค้าได้ยินเอง" กุ๊งกิ๊งบอก
"เหรอ... ช่างสิ พี่พูดความจริงที่ไม่เคยตาย"
"แน่ใจเหรอ"
ณัฎฐาลินีชะงัก หันไปเห็น วายุบุตร กิตตรียะ หนุ่มใหญ่เซอร์เท่ มากับสิริมา เพื่อนสาวคนสนิทสุดเซ็กซี่ เธอมองเขาอย่างท้าทาย ด้วยสายตามั่นใจ
"ว่าบรรทัดฐานของคุณที่มีต่อความจริง มันถูกต้องแล้ว"
"ฉันไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ว่าความจริงที่คุณซ่อนไว้เบื้องหลัง คือเอเย่นต์หลอกเด็กสาวไปค้ากาม"
"แค่คำพูดของคนไม่กี่คน ก็เชื่อว่าผมทำงานสกปรก"
"ถ้าไม่อยากให้ฉันหรือใครๆเชื่อ ก็ไปแก้ตัวเอาเองที่ศาล ขอให้การมารับทราบข้อกล่าวหาวันนี้ เป็นไปอย่างราบรื่นนะคะ คุณวายุบุตร ขอตัว!"
ณัฎฐาลินีเดินออกไปกับกุ๊งกิ๊งและเด็กสาว สิริมาเข้ามาพูดกับวายุบุตร
"ทำไมเค้าถึงได้เกลียดคุณนัก รู้จักกันหรือโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวก็ไม่ใช่ แต่พยายามเหลือเกินที่จะฟ้องร้องเอาผิดคุณข้อหานี้ให้ได้"
เขาคิดว่าณัฎฐาลินีน่าจะมีปมบางอย่าง แต่ไม่พูด
"ไปเถอะ ทนายรออยู่"
เขานึกฉุนและไม่พอใจณัฎฐาลินีที่สร้างความวุ่นวายให้กับชีวิต ก่อนจะเดินไปกับสิริมา
เมธาวลัยเข้าไปซักหยาดทิพย์ เลขาสาว ที่ยืนหน้าซีด ตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ เหล่าพนักงานต่างๆทะยอยเข้ามาสาระแนตามหลืบมุมต่างๆ ไม่ให้ผิดสังเกต
"อธิบายมาสิ"
"เอ่อ...คือ"
"อนุญาตให้พูดต่อหน้า ก็พูด ไม่ใช่ไปพูดเป็นต่อยหอยลับหลัง"
เธอปรายตามองพนักงาน แต่ละคนหลบตาวูบ ร้อนตัวเพราะถูกกระทบชิ่ง
"ผมชื่อกฤษฎา เป็น..."
"ฉันไม่ได้อนุญาตให้เธอพูด"
เขาจ๋อยไปทันที
หยาดทิพย์เหงื่อแตกพลั่ก! เหมือนจะเป็นลม
"กฤษฎาเป็นเพื่อนหนูเองค่ะ มาฝึกงาน"
"ใครอนุมัติ!"
ทั้งหยาดทิพย์, เจ๊ฟู - แฟชั่นแอนด์บิวตี้เอดิเตอร์, ชาโน - กราฟฟิกดีไซเนอร์, อิ๋ว -ไรต์เตอร์ และพนักงานคนอื่นๆต่างชี้นิ้วไปที่เมธาวลัย
"ทำไมฉันจำไม่ได้"
ทุกคนคันปากมาก แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต เธอชี้นิ้วรายตัวไล่ไปทีละคน
"ประชุมรับบรีฟคอนเซ็ปต์วันก่อน คุณเมเปิ้ล พูดเองค่ะว่าให้หาคนมาช่วยงานคุณเลขา" อิ๋วบอก และกำลังจะพูดขยายความต่อ แต่เมเปิ้ลชี้นิ้วไปที่ชาโน อิ๋วหุบปากแทบไม่ทัน
"เพราะคุณเลขางานท่วมหัว" ชาโนว่า
เธอยังชี้นิ้วที่ชาโน แต่ชาโนไม่พูดต่อ "แค่นี้ครับ"
เจ๊ฟูยื่นหน้ามารับนิ้วแทนชาโน
"เดี๋ยวจะหาผัวไม่ได้เหมือนบ.ก. เพราะวันๆ ทำแต่งาน รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนคาน อู๊ย จะลงมาก็ไม่ทันแล้วล่ะตัวเธอ 555"
เมธาวลัยและทุกคนหันมองเจ๊ฟูในจังหวะนรก เจ๊ฟูอึ้ง
"อันนี้คุณเมเปิ้ลไม่ได้กล่าว เจ๊กล่าวเอง...จบข่าว สวัสดีค่ะ"
เจ๊ฟูรีบหนีออกไปในทันที เธอจ้องหน้ากฤษฎา เจอยิ้มละลายใจเข้าไป ถึงกับใจหวิวไปเหมือนกัน แต่รีบกลบเกลื่อน หันไปพูดกับหยาดทิพย์
"ให้ไปทำอย่างอื่น ฉันไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้านอกออกในห้องฉัน!"
กฤษฎาบอก
"เข้าๆออกๆบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินครับ"
"กว่าจะชิน หลวมกันพอดี" อิ๋วบอก
"อะไรหลวม"
"ลูกบิดประตูค่ะ"
"หยาดทิพย์ ไม่ได้บอกกฎเหล็กให้เด็กมันฟังก่อนเริ่มงานหรือไง"
"ไม่เด็กแล้วนะครับ"
"กฤษ! เตือนแล้วทำไมไม่จำ IT’S A Must! ควรจำ ห้ามพลาด! ถ้าไม่ได้อนุญาต ห้ามพูด"
"เผด็จการนะ"
ทุกคนสยองกับคำพูดของกฤษฏา
"ฉันไล่เธอออก!"
เธอรีบเข้าห้องไป ปิดประตูโครม! จนทุกคนสะดุ้งโหยง
"ผมผิดเหรอ"
"ผิดมาก!"
เมธาวลัยกระชากประตูออกมา ถือกระเป๋า ไอแพด ถุงใส่ชุดพะรุงพะรัง มองกฤษฎาตาเขียวปั้ด แทบจะกินเลือดกินเนื้อ ทุกคนสลายตัวทันที หยาดทิพย์ทรุดฮวบ เกาะกฤษฎาเอาไว้
"ฉัน...เป็น...ลม..."
"หยาด!"
ทุกคนตกใจ กฤษฎาประคองหยาดทิพย์ไปนั่ง อิ๋วยื่นยาดมให้กฤษฎา
เมธาวลัยเข้ามา เหมือนเป็นห่วง
"หยาด..."
"ขอโทษค่ะ หนู...ไม่ได้ทานข้าวกลางวัน"
"ลดความอ้วนผิดวิธี ไม่รักตัวเอง มันก็เรื่องของเธอ แต่ใครจะเป็นคนขับรถให้ฉัน ฉันต้องแต่งหน้าในรถ"
เธอหันมองคนอื่น ทุกคนสลายตัวไปทำงานที่จู่ๆก็ยุ่งขึ้นมาทันทีซะงั้น เมเปิ้ลหันมามองหยาดทิพย์
"โอย...หนูจะอ้วก"
หยาดทิพย์คลื่นไส้ วิ่งไปห้องน้ำ ปล่อยให้นายสาวยืนเคว้ง เหลือแต่กฤษฎาที่ยืนยิ้มให้
เธออึ้ง ขัดใจ จ้องเขาเหมือนเป็นตัวน่ารังเกียจ
อ่านต่อหน้า 2
ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล ตอนที่ 1 (ต่อ)
ปินัทธายืนดูนาฬิกาบนฝาผนังห้องภายในห้องแต่งตัว เข็มนาทีเคลื่อนมาถึงเลขสิบสองปุ๊บ เธอก็เหลือบดูประตูห้องปั๊บ ธุรกิจกองถ่ายวิ่งเข้ามาพอดี
"อีกห้านาทีน้องเมอร์ดี้มาถึงแล้วค่ะ"
"เสียใจ ฉันให้เธอแค่ครึ่งชั่วโมง ไม่มีการต่อเวลา โตโต้ไปเตรียมรถ ฉันจะเปลี่ยนชุด กลับ!"
เธอฉวยเสื้อผ้ามาจากโตโต้ เข้าห้องเปลี่ยนชุด ปิดประตูปัง! เงียบกันไปทั้งห้อง
"ช่วยจดเมมโมไว้นิสนะคะ ป้าเค้ากำลังจะได้ชื่อว่าเป็นปูชนียบุคคลของวงการบันเทิงไทย เพราะเข้าวงการมาตั้งแต่อายุสิบห้า จนห้าสิบสาม" โตโต้บอก
เธอกระชากประตูห้องเปลี่ยนชุดออกมา
"สามสิบห้า!"
"ขอโทษค่ะ ขอแถลงข่าวแก้ไขตัวเลข...สามสิบห้าค่ะ"
เธอกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดต่อ
"อย่าลืมจดค่ะพี่เล็ก...เข้าใจว่าเมอร์ดี้กำลังมาแรงแซงโค้ง แต่ป้าก็ตัวแม่ ชั่วโมงบินสูง เป๊ะทั้งเรื่องวินัยและฝีมือ เพราะฉะนั้น อย่าเลือกที่จะดูแลดาวรุ่ง แต่ข้ามหัวอุกาบาตผีพุ่งใต้ที่เคยสร้างปรากฏการณ์มาแล้วอย่างป้าน้ำผึ้ง ปินัทธา จบการแถลงบันทึกช่วยจำ สวัสดีค่ะ"
โตโต้ไหว้ลาอย่างชดช้อย รีบออกไป ทิ้งให้ทีมงานยืนอึ้ง ลับหลังโตโต้ ... ทุกคนยืนเมาท์ทันที
ธุรกิจบอก
"ขอนิดขอหน่อย...เยอะอ่ะ!!! รู้ตัวมั้ยเนี่ย ว่าไม่มีกองไหนเค้าเอาแล้ว"
"รู้สิ ว่ากำลังจะไม่มีงาน เลยต้องทำตัวเรียกร้องความสนใจ" ช่างหน้าบอก
"เบาๆสิ เมาท์ดัง เดี๋ยวนางได้ยิน ถูกเหวี่ยงอีกหรอก" ช่างผมว่า
"อุ๊ย! หูตึง ไม่ได้ยินหรอก" ธุรกิจบอก
"ว่าป้าแก่เหรอ?"ข่างหน้าว่า
ทุกคนหัวเราะกันคิกคัก
ปินัทธาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ได้ยิน ก็ชะงัก ด้วยความโกรธจัด เธอกระชากประตูออกปุ๊บ เขวี้ยงสร้อยใส่ขาเมาท์ทันที
"ฉันได้ยินนะ!"
พีศทรรษ โซ่อัมพัน บอสใหญ่ เนี้ยบ เท่ ดูดี เข้ามากับเมอร์ดี้ นักแสดงดาวรุ่งวัยรุ่นสวยใส พอดี
กับเหลี่ยมของสร้อยที่คมๆ ซึ่งเธอปาออกมาไปเกี่ยวถูกหน้าของเขาเข้า จนเลือดไหลซิบ ปินัทธาและทุกคนตกใจ โตโต้ที่วิ่งกลับเข้ามา
"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
มุมหนึ่งสถานีตำรวจ ในเวลาต่อเนื่องมา ตำรวจบอกกับกลุ่มของมูลนิธิฟ้าหลังฝนและเด็กสาว
"ขอบคุณมากเลยนะ มูลนิธิฟ้าหลังฝนของคุณช่วยแบ่งเบาภาระงานของตำรวจได้เยอะมาก ผู้เสียหายไว้ใจพวกคุณมากกว่าจะมาแจ้งตำรวจเอง ปีนี้ก็นับไม่ถูกแล้วว่ากี่ราย"
กุ๊งกิ๊งบอก
"เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยเหลือผู้หญิงด้วยกันอย่างเต็มที่ค่ะ"
"ผมชื่นชมพวกคุณนะ ยิ่งคุณณัฎฐาลินีด้วยแล้ว นับถือเลย เป็นทั้งทนายความของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานกับเครือข่ายต่างประเทศ กับยูเอ็น ผู้หญิงตัวเล็กๆแท้ๆ ทำงานหนักขนาดนี้"
"เมื่อเทียบกับ การที่ยังมีผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง ในสังคมที่เน้นวัตถุและการบริโภคที่ไม่รู้จักพออีกไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ถือว่าดิฉันทำงานน้อยไปด้วยซ้ำค่ะ"
ณัฎฐาลินีสะท้อนใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ....
วายุบุตรกับสิริมาและทนายความ เดินออกจากห้องสืบสวนสอบสวนมา วายุบุตรเห็นณัฎฐาลินีนั่งอยู่ และเห็นแววตาหม่นเศร้า ผิดกับภาพที่เคยเห็น...
เธอนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปงานแต่งงาน
"กุ๊งกิ๊ง พี่ฝากดูแลต่อนะ ต้องรีบไปแล้ว"
"ไม่ต้องห่วงค่ะ พี่ไปเถอะ"
เธอยกมือไหว้ตำรวจ ลุกขึ้นออกไป วายุบุตรรีบบอกสิริมา
"คุยกับทนายต่อที ผมมีธุระ" เขาบอกกับทนายความ "สิริมาเป็นหุ้นส่วนและผู้ช่วยผม เธอรู้เหมือนที่ผมรู้ ทุกเรื่อง"
เขาตามเธอออกไปห่างๆ สิริมาแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ติดใจอะไร ก่อนหันมาคุยกับทนายความ
ภายในห้องแต่งตัว เมอร์ดี้รีบเอาผ้าเช็ดหน้าช่วยซับเลือดให้พีศทรรษ ปินัทธายืนเหล่มองมาอย่างไม่พอใจอยู่ที่มุมหนึ่ง คนอื่นๆยืนหัวหดกัน บ้างก็ตามมาสมทบดูเหตุการณ์
"โชคดีนะคะที่ไม่ได้ลึกมาก แค่เฉี่ยวๆ" เมอร์ดี้บอก
"เรียนวิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาป่ะ เดี๋ยวก็ติดเชื้อ โตโต้!" ปินัทธาว่า
"น้ำเกลือชุบสำลีแล้วเช็ดค่ะ นี่ค่ะ กล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น พกติดตัวเสมอเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตัวเอง"
โตโต้หยิบกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นกล่องเล็กให้ ปินัทธาจะเปิดกล่อง
"ไม่ต้อง เรื่องแผลเรื่องเล็ก ผมไม่ใส่ใจ แต่ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงได้กลายเป็นผีบ้า อาละวาดปาข้าวของใส่ผม"
"ฉันจะปาใส่อีพวกแมงเมาท์ ปากอยู่ไม่สุข แต่คุณดันโผล่เข้ามาอยู่ในวิถีกระสุน ช่วยไม่ได้"
"ผมรู้ว่าคุณอยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่พูดคำว่าขอโทษออกมาเลยมันยากนักหรือไง และมันจะผิดบาปมากนักหรือไง ถ้าจะขอโทษผมที่เป็นต้นสังกัดคุณ"
โตโต้กระซิบพีศทรรษ
"ไม่ได้ค่ะ บอส เสียเหลี่ยมนางเอกเก่า"
"ฉันยังเป็นนางเอกอยู่ อย่าใช้คำว่าเก่า" ปินัทธาบอก
"ถ้ายังเหวี่ยงวีนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแบบนี้ ใช้คำว่านางเอกเก่าได้เลย ไม่กี่วันหรอก"
"จะไม่ให้วีนได้ไง นัดยัยเมอร์ดี้กี่โมง แล้วมากี่โมง เหตุผลของการมาสายคือ ไปงานอีเว้นต์ คิดจะรับงานซ้อน ก็ต้องรู้จักบริหารเวลาอย่าให้ใครต้องเสียหาย เธอได้เงิน แต่ฉันต้องเสียเพื่อน มันไม่แฟร์!"
"ผมถึงไปรับเมอร์ดี้เพื่อคุยข้อตกลงในการเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดระหว่างเดินทางมาที่นี่ เพื่อจะได้มีคนบริหารเวลาให้อย่างเป็นมืออาชีพ"
เธอกับโตโต้ถึงกับอึ้ง....คิดไม่ถึง
"เราอยู่สังกัดเดียวกันแล้ว มีอะไรแนะนำเมอร์ดี้ด้วยนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะป้า"
เธอปี๊ดแตก
"ไม่ต้องมานับญาติ! ฉันไม่ใช่ป้าเธอ คุณพีศทรรษ คุณนี่มัน... เห็นแก่ได้ หากินกับกระแสของแม่นี่ ทั้งๆที่มีแค่ความสวย แต่ด้อยความสามารถเนี่ยนะ"
"ป้าคะ ลดความแรงลงนิดนึงนะคะ นั่น...เจ้าของบริษัท GT ARTIST MANAGEMENT ที่ป้าสังกัดอยู่นะคะ" โตโต้บอก
"ตอนนี้เลือดขึ้นหน้า ฉันไม่สน ใครจะถ่ายก็ถ่ายไป ฉันไม่ถ่าย แล้วก็พูดเลย...ฉันลาออกจากละครเรื่องนี้"
ปินัทธาวิ่งออกไป ทุกคนตะลึงพรึงเพริด
พีศทรรษร้อนใจ เอาไงดี
เมธาวลัยหอบของพะรุงพะรัง รวมชุดเพื่อนเจ้าสาวสีม่วงอ่อนในถุงวิ่งมาที่บริเวณลานจอดรถ ในอาคารหรู เปิดกระเป๋าหากุญแจรถ แต่ไม่เจอ
"กุญแจ กุญแจ!"
ขณะที่เธอกำลังค้นหากุญแจอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ปรากฏว่า รถของเธอ จู่ๆเครื่องก็สตาร์ทหน้าตาเฉย เธอตกใจหันไปมอง เห็นกฤษฎานั่งยิ้มแป้นอยู่ในรถ เธอตกใจ เขาโผล่หน้าออกมาบอก
"กุญแจรถคุณอยู่ที่หยาดทิพย์ครับ เชิญครับ"
เธอมองเขาอย่างไม่พอใจ
บริเวณลานจอดรถ โลเกชั่นของละคร ปินัทธาเดินมาที่รถเพื่อเปิดประตู แต่นึกขึ้นได้ว่า ไม่มีกุญแจ
"โตโต้ เอากุญแจรถมา ไม่ทันแล้ว!"
พีศทรรษเข้ามา พร้อมกุญแจรถ เธอเข้าไปแย่ง แต่เขาไม่ให้ ปลดล็อคแล้วจูงน้ำผึ้งไปยัดใส่ที่นั่งข้างคนขับ
"เรามีเรื่องต้องเคลียร์!" พีศทรรษบอก น้ำผึ้งจะหนี เลยถูกชี้หน้า "ถ้าไม่ฟัง ปิดฉากชีวิตในวงการบันเทิงได้เลย!"
เธออึ้ง มองหน้าเขาด้วยความตกใจ จนเห็นความซีเรียสและจริงจัง
ทางด้านณัฎฐาลินีกำลังโกยกระเป๋า สัมภาระออกจากรถ ที่เปิดฝากระโปรงค้างไว้อยู่ แล้วบ่นอุบ
"ทำไมต้องมาเสียเอาตอนนี้ด้วยนะ ซวยจริงๆ"
เธอปิดประตูรถ กดล็อค วายุบุตรขับรถหรู เท่ มีคาแร็คเตอร์ ชนิดไม่รวยขับไม่ได้เข้ามาเทียบ เปิดกระจกทัก แต่เธอเดินหนี
"ผมไปส่ง"
"ไม่! ฉันจะเรียกแท็กซี่"
"เวลานี้แท็กซี่ต้องส่งรถ เหมือนจะรีบไม่ใช่เหรอ"
"ไม่สน! ไม่ต้องมายุ่ง"
"ก็ตามใจ แต่...คงรอนานหน่อยนะ คนรอแท็กซี่เพียบเลย"
เธอมองไปที่ถนน คนดักรอยืนรอเรียกแท็กซี่หลายคน เธอชักเหงื่อตกเหมือนกัน
ทั้งสาวสามและสามหนุ่มต่างอยู่ในเรื่องราวเดียวกัน
ภายในห้องแต่งตัวของโรงแรม ภัทรวลัยแต่งตัวทำผมเสร็จแล้วหมุนตัวอยู่หน้าคุณเป้
"เจ้าสาวของพี่ สวยมากเลยค่ะ"
"ไม่งั้นจะมัดใจเทรนเนอร์หนุ่มหล่อของฟิตเนสชื่อดังได้เหรอคะ"
"ไม่ใช่ความสวยของวลัยที่มัดใจพี่...แต่เป็นความแปลกแต่จริงของวลัยต่างหาก"
"นี่ชมกันใช่มั้ย"
"ค่ะ"
"จริงใจแบบนี้ไง เลยยอมสยบแทบเท้า"
"สยบเพราะความใหญ่ของพี่ด้วยใช่มั้ย"
"ใช่ค่ะ ความรักของพี่ที่มีให้วลัยมันใหญ่มาก"
"อยากให้ถึงเวลาส่งตัวเข้าหอตอนนี้เลย อยากเจอประสบการณ์แปลกแต่จริงเร็วๆ"
"เข้าพิธีก่อนเถอะค่ะ ของดีต้องช้า แต่ชัวร์ ได้แน่ๆ ว่าแต่ว่า ... แล้วเพื่อนเจ้าสาวของหนูล่ะ มันอยู่ไหน!"
เมธาวลัยวิ่งกระหืดกระหอบมาจากทางหนึ่ง กฤษฎาหอบชุดและกระเป๋าเครื่องสำอางตามมา
"เร็วๆสิ! อยากให้ฉันไล่ออกรอบที่สองหรือไง"
"ไล่รอบที่สามสี่ห้า ผมก็ไม่ออกครับ"
"ประสาทดีหรือเปล่า"
"ดีครับ ค่อนข้างไปทางอัจฉริยะด้วย"
"โอย"
"คุณไล่ผมออกเพียงเพราะผมแสดงความคิดเห็นตรงๆ ทั้งๆที่ความจริง คุณก็เป็นแบบนั้น ผมว่าไม่แฟร์ ถ้าผมทำงานให้คุณไม่ได้ก็ว่าไปอย่าง"
"ผีเจาะปากมาพูดหรือไง หา!"
เธอสะบัดเดินหนี หนุ่มรุ่นน้องตามไป
ปินัทธาหนีพีศทรรษที่พยายามจะคุยด้วย
"เงียบมาตลอดทาง จู่ๆก็เป็นใบ้หรือไง"
เธอหิ้วของหนัก โยนของให้พีศทรรษช่วยถือ
"ผมไม่ใช่เด็กถือของของคุณนะ"
"ไม่ช่วยถือ ฉันก็ไม่คุยกับคุณ! เพราะฉะนั้น ทำตัวดีๆให้ฉันใจอ่อน"
"ตัวเองเป็นคนผิดนะ ไม่ใช่ผม"
"ฉันไม่เคยทำอะไรผิด!"
เธอสะบัดเดินหนี พีศทรรษตามไป
ณัฎฐาลินีหอบของเดินหนี วายุบุตรพยายามจะช่วย
"ไหนๆก็ยอมให้ผมช่วยพามาส่งแล้ว ให้ผมช่วยถือของให้ด้วยสิ"
ณัฎฐาลินีหันไปประจันหน้า
"ตื้อฉันแบบนี้...จะจีบฉันหรือไง"
"ตรงๆแบบนี้เลยเหรอ"
"เออ! รุ่นนี้ไม่ต้องอ้อม เสียเวลา จะยังไงก็ว่ามาเลย"
"ผมสนใจคุณ และอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้"
ณัฎฐาลินีหน้าแดง แต่พูดกลบเกลื่อน
"งั้นบอกไว้เลย ว่าไม่มีทาง! อย่าหวังจะใช้ไม้นี้ ทำให้ฉันใจอ่อนหลงเสน่ห์คุณ แล้วล้มเลิกติดตามแฉพฤติกรรมลวงโลกของคุณใช่มั้ย...ผู้ชายนี่มันเลวได้ใจจริงๆ!"
ณัฎฐาลินีเดินหนี วายุบุตรยิ่งอยากใกล้ชิด ก็ตามไปเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดมาเจอกันที่หน้าลิฟท์ของโรงแรมจัดงานแต่งงาน ทั้งสามสาวต่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง ทั้งสามโพล่งขึ้นพร้อมกัน "พวกแก!"
สามหนุ่มต่างแปลกใจว่า สามสาวเป็นอะไรกัน
"พวกแกมาทำไมที่นี่" เมธาวลัยถาม
ทั้งสามสาวต่างมองชุดที่แต่ละคนถือกันมา สีเดียวกัน เหมือนกันเป๊ะ "หรือว่า..."
แล้วทั้งสามสาวก็เก็ต ภัทรวลัยเชิญทั้งสามคนมางาน แต่บอกว่าเชิญคนเดียว ไม่ได้เชิญอีกสองคนมาด้วย ทุกคนโพล่ง "นังวลัย!"
ภัทรวลัยในชุดเจ้าสาวผงะ ถอยร่นเมื่อเจอ เพื่อรักทั้งสามสาวปราดเข้ามาเอาเรื่อง คุณเป้ยืนเหงื่อแตกอยู่ข้างๆ
"ค่อยๆพูดค่อยๆจานะครับ สาวๆ นี่วันแต่งงานผมกับวลัยนะครับ"
"ดี วันแต่งวันฝัง วันเดียวกันเลย!" เมธาวลัยบอก
"เพื่อน ฟังเพื่อน อย่าฝัง อย่าหุนหันพลันแล่น"
"งั้นก็อธิบายมา! นี่มันอะไร"
"ไหนแกบอกว่าเชิญแค่ฉันคนเดียว" ปินัทธาบอก
ณัฎฐาลินีถามต่อ
"แล้วทำไมมีนังหน้าหนอนสองคนนี่มาด้วย"
เพื่อนทั้งสองจ้องหน้าเอาเรื่องณัฎฐาลินี
"แกนั่นแหละหน้าหนอน!"
"สองรุมหนึ่งหรือไง!" ณัฎฐาลินีถาม
เมธาวลัยบอก
"อย่าเอาฉันไปรวมกับนังน้ำเน่า!"
"เรียกฉันน้ำเน่า ปากแกเน่ากว่าฉันอีก นังเมเปิ้ล!" ปินัทธาบอก
ภัทรวลัยทนไม่ไหว เล่นบทโหด "โว้ย!"
ทุกคนอึ้ง
"ถามจริง จะกัดกันยันแก่เลยมั้ย"
เป้ เทรนเนอร์หนุ่มพูดสวน
"จริงๆแล้วก็ใกล้คำว่าแก่แล้วนะคะ"
ทั้งสามหยุดกึก หันไปมองหน้าว่าที่สามีเพื่อน แล้วถามพร้อมกัน
"ใครแก่!"
เป้ชี้นิ้วไปที่ภัทรวลัย
"ใช่ ฉันแก่ แต่ฉันก็กำลังเดินทางสู่หลักสี่อย่างมีวุฒิภาวะ ไม่ให้ใครมาด่าได้ว่า แก่กะโหลกกะลา วุฒิภาวะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหมือนพวกแก"
ทุกคนอึ้ง เมื่อถูกเพื่อนด่าตรงๆ และแรง
อ่านต่อหน้า 3
ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล ตอนที่ 1 (ต่อ)
ทั้งสามหนุ่มยืนรีรออยู่หน้างาน ต่างหันมายิ้มๆให้กัน
กฤษฎาพูดกับพีศทรรษและวายุบุตร
"เกือบมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวกันไม่ทันเลยนะครับ"
"เพื่อนเจ้าสาว คนอย่างน้ำผึ้งมีเพื่อนด้วยเหรอ" พีศทรรษว่า
"จากข้อมูลที่เลขาเจ้านายผมให้ไว้ เจ้าสาวเป็นเพื่อนรักของคุณเมเปิ้ล เจ้านายผมตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมน่ะครับ" กฤษฎาบอก
"ได้เป็นเพื่อนเจ้าสาว แสดงว่าทั้งสี่คนก็คงสนิทเป็นก๊วนเดียวกัน" วายุบุตรว่า
"อ้าว...คุณเป็นแฟนของเพื่อนเจ้าสาวอีกคน ไม่รู้ข้อมูลนี้เลยเหรอ" พีศทรรษว่า
"ไม่ใช่เพื่อนครับ แต่เป็นศัตรู ที่อยากจะเป็นเพื่อน" วายุบุตรบอก
กฤษฎาพูดกับพีศทรรษ
"แล้วคุณ..."
"เป็นเจ้าของบริษัทที่น้ำผึ้งเซ็นสัญญาเป็นดาราในสังกัด แต่คงจะกลายเป็นศัตรูในไม่ช้า ถ้าวันนี้ไม่เคลียร์"
วายุบุตรหันไปเห็นป้ายชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาว ภัทรวลัย-เปรม
"อ้อ... สรุป ไปหนึ่งเหลือสามที่ยังอยู่ในก๊วนคานทอง"
ทั้ง 3 หนุ่มยิ้มๆให้กัน
ในห้องแต่งตัว ภัทรวลัยพลิกกลับมาเอาคืนเพื่อน
"ฉันไม่สงสัยเลยว่า ทำไมพวกแกถึงยังอยู่บนคาน"
"วลัย....วุฒิภาวะต่ำเตี้ยของพวกฉัน มันไปเกี่ยวอะไรกับคาน" ปินัทธาถาม
"ของแกสองคน ไม่ใช่ของฉัน" เมธาวลัยบอก
"เรื่องโยนขี้ให้คนอื่นล่ะถนัดนัก"
ภัทรวลัยพูดขัดขึ้น
"ไม่หยุด ฉันกระโดดกัด!"
"ทะเลาะกันพอหอมปากหอมคอนะครับ จะได้มีเวลาแต่งหน้าแต่งตัว ใกล้ฤกษ์แล้วนะ" เป้บอก
"เงียบ!"
"ให้เหลือแค่ห้านาที ฉันก็สวยได้" เมธาวลัยบอก
ปินัทธากับณัฎฐาลินีพูดพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ "ถูก!"
"ครับ"
เป้หลบไปอยู่มุมห้องตาปริบๆ
"พวกแกฟังฉันนะ ที่ฉันโกหก เพราะฉันตั้งใจจะให้พวกแกมาเจอกันอีกครั้ง ในวันที่สำคัญที่สุดของฉันที่พวกแกบอกว่าคือ เพื่อนรัก" ภัทรวลัยบอก
สามสาวอึ้ง
"เพราะฉันคิดถึง วันที่เราสี่คนเคยอยู่ด้วยกัน...เมื่อนานมาแล้ว"
ทุกคนต่างสะเทือนใจ เพราะลึกๆภายในก็คิดถึงวันเวลาเหล่านั้น
มุมหนึ่งมหาวิทยาลัยในอดีต ทั้งสี่คนในชุดเฟรชชี่วิ่งมาจากคนละมุมมาเจอกันด้วยความดีใจ
เสียงภัทรวลัยดังบอกเรื่องราว
"เราเรียนโรงเรียนประจำด้วยกันมาตลอดหกปี จนเอ็นทรานส์ก็ติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน ถึงจะต่างคณะ แต่เราก็ไม่เคยแยกจากกัน"
ทั้งสี่สาวนั่งเมาท์กันอย่างเมามันที่โต๊ะนักศึกษา โดยมีณัฎฐาลินีนั่งอ่านหนังสือคร่ำเคร่งอยู่คนเดียว
"อ่านหนังสือด้วยกัน"
"เดี๋ยวก่อน" ณัฎฐาลินีบอก
ทุกคนหันมองณัฎฐาลินีที่ขัดการเล่าอดีตของภัทรวลัย
"ฉันอ่านคนเดียวมะ พวกแกเอาแต่เมาท์"
ทั้งสามที่เหลือมองหน้ากัน เมธาวลัยกับปินัทธายักไหล่ ทำนองยอมรับ
ณัฎฐาลินีนั่งอ่านหนังสือในขณะที่เพื่อนๆเมาท์กันเพลิน
"ใช่ พวกฉันเอาแต่เมาท์ มีแกขยันอยู่คนเดียว และแกก็เป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในก๊วน !"
สักพักณัฎฐาลินีทนไม่ไหวว้ากใส่เพื่อน เหล่าเพื่อนอึ้ง แต่ก็หันมาเมาท์กันต่อ เธอสุดเซ็ง เก็บหนังสือเหมือนจะลุกออก แต่กลับมาร่วมวงกินและเมาท์มอยกับเพื่อน
"แต่ในที่สุด....ก็ไม่มีใครทิ้งใครลง เราร่วมทุกข์"
ปินัทธากระเซอะกระเซิงเดินมา ทำดราม่าน้ำตาซึม
"ฉันติดเอฟ ฉันติดเอฟ...ได้ยังไง"
เพื่อนที่เหลือนั่งหน้าเซ็งอยู่ใกล้ๆ
"ไม่เอฟได้ไง แกลากพวกฉันไปเป็นเพื่อนคัดเลือกนักแสดงละครเวทีวันสอบ เอฟยกก๊วนเลย วิชาพื้นฐานบังคับด้วย ไม่เรียนก็ไม่ได้" เมธาวลัยบอก
"แล้วทำไมไม่เตือนกันเลย"
"ก็แกเอาแต่ซ้อมๆทำเหมือนไม่มีสอบ พวกฉันก็เลยบ้าจี้ลืมไปด้วย" ณัฎฐาลินีบอก
"สรุปโทษฉัน"
ณัฎฐาลินีกับเมเปิ้ลโพล่งพร้อมกัน "เออ!"
"ใจร้าย"
ปินัทธางอนเพื่อน ทำดรามาใส่ เดินหนี มธาวลัยกับณัฎฐาลินีไม่ง้อ แยกกันไปคนละทาง ทิ้งภัทรวลัยกลางวง
"ถึงจะเป็นการร่วมทุกข์แบบทิ้งๆขว้างๆ แต่พวกเราก็คือเพื่อน ที่ไม่เคยทิ้งกัน"
เพื่อนทั้งสี่เข้ามารวมกลุ่มกันที่โต๊ะ วางหนังสือลงหน้าตาขึงขัง
ณัฎฐาลินีบอก
"ฉันจะติววิชาที่เราติดเอฟให้ ห้ามใครไปไหนติดธุระอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้นตัดหางปล่อยวัด"
ทุกคนบอก
"ตกลง!"
ทั้งหมดลงนั่งติวหนังสือ ทุกคนตั้งใจฟัง ยกเว้นปินัทธาที่สัปหงกหลับ และถูกณัฎฐาลินีจิกหัวขึ้นมา
"แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
ภัทรวลัยมองหน้าเพื่อนด้วยความปวดใจ เพื่อนทั้งสามหน้าซึมกันถ้วนหน้า
"ทำไมพวกแกถึงได้ยอมให้เรื่องของคนอื่นมาทำให้ทะเลาะกัน ถึงขั้นไม่พูดกัน ไม่มองหน้ากัน ไม่ติดต่อกัน เหมือนตายจากกันไปได้ตั้งสิบกว่าปี!"
ทุกคนอึ้ง สะเทือนใจ เป้ที่ร่วมฟังอยู่ก็สะเทือนใจไปด้วย ตามประสาคนอ่อนโยน อ่อนไหว
"วลัย...คงสะเทือนใจที่เพื่อนต้องทะเลาะกันมากใช่มั้ยคะ" เป้ถาม
"เปล่า...ฉันเหนื่อย"
"หือ?"
"ที่ต้องคอยฟังพวกแกด่ากันผ่านฉัน จนฉันทนไม่ไหว เลยให้มาเจอกันเอง บ้าจริง! เอ้า ด่า!"
เพื่อนทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
"อะไรนะ ให้ฉันมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวกับพวกนังหน้าหนอนเนี่ย เพื่อให้ด่ากันเหรอ" เมธาวลัยว่า
"ใช้อะไรคิดเนี่ย"ณัฎฐาลินีว่า
"คิดว่าพวกฉันว่างมากหรือไง" ปินัทธาบอก
"เพราะพวกแกคิดถึงกันต่างหากใช่มั้ย พวกแกไม่ได้เกลียดกันอย่างที่ปากพูด!"
ทั้งสามคนโพล่งยืนยันพร้อมกัน "เกลียด!"
"แต่ก็ไม่เลิกชวนฉันเมาท์เรื่องของคนที่แกเกลียด เพราะลึกๆแกอยากอัพเดตชีวิตของเพื่อนแก! เพราะพวกแกคิดถึงกัน"
ทุกคนอึ้ง เมื่อโดนจี้ใจดำ
"นี่คือโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะทำหน้าที่เพื่อนให้พวกแกได้ หลังจากวันนี้ถ้าแกยังจะเชิดใส่กันอยู่...ฟังไว้เลยนะ ฉันจะเป็นคนที่ได้ผัวแล้วลืมเพื่อนทันที!"
ภัทรวลัยเดินไปจูงมือเป้เดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้เพื่อนๆยืนอึ้ง สามสาวมองหน้ากัน...ลังเลว่า จะเดินหน้าหรือถอยหลัง
ภัทรวลัยเดินเร่งฝีเท้ามากับเป้ ว่าที่สามีกระซิบถามภัทรวลัยด้วยความสงสัย
"ที่ว่าเรื่องของคนอื่นทำให้เพื่อนๆของวลัยต้องมาทะเลาะกัน คนอื่นเนี่ยหมายถึงใครเหรอคะ"
"อย่าถามเซ้าซี้ได้มั้ย"
"ก็คนมันอยากรู้"
"ก็แค่ผู้ชายหน้าเงือก นิสัยปลาร้าคนหนึ่ง!"
ภัทรวลัยพูดจบก็เดินลิ่วไป เป้แปลกใจ
"ทั้งเงือกทั้งปลาร้า ท่าจะดูไม่จืด"
เป้รีบเดินตามภัทรวลัยไป
ภายในห้องจัดงาน เวลากลางวัน พีศทรรษ วายุบุตรและกฤษฎาเข้ามาแจมนั่งกับแขก
"การแต่งงานไม่ว่าจะทำพิธีทางศาสนาอะไร ก็ดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์นะครับ" กฤษฎาว่า "แต่หลังจากพิธี...มันไม่สวยงามหรอกนะ ความจริงหลังจากนั้นน่ากลัวมากรู้มั้ยน้อง" พีศทรรษบอก
วายุบุตรบอก
"เขาถึงได้พูดกันว่า คนในอยากออก คนนอกอยากเข้าไงครับ"
"ยังไงครับผมไม่เข้าใจ"
"คนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็อยากแต่ง เพราะมองภาพชีวิตคู่เอาไว้อย่างสวยงาม ครองรักกันจนบั้นปลายของชีวิต ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร" วายุบุตรอธิบาย
พีศทรรษเสริมต่ออย่างคนมีประสบการณ์
"ส่วนคนที่ได้แต่งงานจริงๆ กลับทนทุกข์ทรมานกับชีวิตคู่ที่ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ต่างคนต่างที่มาต่างทัศนคติ ปรับตัวเข้าหากันไม่ได้ อยู่ไปด้วยความจำเป็น...จนเหมือนตกนรก พาลคิดไปว่า...รู้อย่างนี้เป็นโสดดีกว่า"
"ยากจังนะครับ"
"ใช่" พีศทรรษบอก
วายุบุตรเสริม
"แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าความพยายาม...ถ้าคนสองคนเข้าใจและยอมรับว่า ชีวิตคู่มันมีเงื่อนไขที่ต้องปรับจูนกันให้ได้"
พีศทรรษกับวายุบุตร
"มองโลกในแง่ดีจังนะคุณ"
"ไม่อยากให้น้องเค้ากลัวการแต่งงานครับ รักแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง สุดท้ายจะเป็นยังไง มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้" วายุบุตรบอก
เสียงเพลงบรรเลงเพลง BRIDE MARCH ดังขึ้น ทุกคนลุกขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าพิธี
ภัทรวลัยยืนอยู่กับพ่อ แล้วแอบกระซิบถาม
"พ่อคะ เห็นเพื่อนเจ้าสาวเข้าไปยืนประจำตำแหน่งหรือยังคะ"
"ยังนะ มีแต่เพื่อนเจ้าบ่าว"
"หืม... นังเพื่อนทรยศ เห็นแก่ตัว อีโก้!! ปลวก!"
"อย่าพูดหยาบ วันนี้วันมงคล"
"ขอโทษค่ะ"
"ไป...เดินหน้าต่อไปกับคนดีที่สุดที่จะมาแบ่งปันทุกอย่างในชีวิตกับลูก"
"ค่ะพ่อ ถึงไม่มีเพื่อนเจ้าสาว แต่หนูก็มีพี่เป้ คนเดียวก็พอ"
ประตูห้องถูกเปิดออก พ่อพาภัทรวลัยเข้าไป ท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงและบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์
ในห้องทำพิธี พีศทรรษ วายุบุตร กฤษฎายืนอยู่ริมทางเดินเข้าแท่นพิธี หันมองขบวนเจ้าสาว
ภัทรวลัยปรากฏตัวที่ประตู มองไปที่แท่นพิธี ยิ้มกว้างทันที เพราะเพื่อนทั้งสามยืนอยู่ที่ตำแหน่งเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ในชุดเสื้อผ้า หน้าผมที่สวยงาม ทุกคนยิ้มให้ภัทรวลัยยังไม่พอ ยังต่างหันมายิ้มให้กัน เสมือนว่าดีกันแล้ว
ภัทรวลัยน้ำตาซึม ส่งยิ้มให้กับเป้ที่มองมาอย่างดีใจ เธอเดินเข้าสู่แท่นพิธีอย่างมีความสุข
เมื่อภัทรวลัยหันสู่กับพิธี เพื่อนทุกคนก็หันมากัดกันเองอย่างเนียนๆไม่ให้ผิดสังเกต
"เล่นใหญ่ไปแระ น้ำผึ้ง เว่อร์" เมธาวลัยว่า
"ถ้าฉันไม่เล่นใหญ่ ยัยวลัยต้องรู้แน่ว่าพวกเราเฟค เพราะแอ็คติ้งพวกแกเลวมาก นี่ฉันช่วยกู้สถานการณ์อยู่นะ" ปินัทธาบอก
ณัฎฐาลินีบอก
"ช่วยยืนเฉยๆแล้วก็หุบปากได้มั้ย รำคาญ!"
"เรื่องของแกสิ! แต่แกช่วยแขม่วพุงหน่อยเหอะ เหมือนคลอดลูกมาแล้วสามคน ไม่รู้จักดูแลตัวเอง ย้วยเหมือนยายข้างบ้านเลย" เมธาวลัยบอก
ณัฎฐาลินี รีบแขม่วเก็บพุงทันที
"หัดมองที่สูงๆหน่อยเถอะ ชอบมองแต่ที่ต่ำเหมือนนังน้ำผึ้ง"
"ย่ะ แม่มองสูง อย่ามายุ่งกับรสนิยมฉันได้มั้ย"
"ถ้ารสนิยมแกดี ฉันคงไม่ยุ่ง ที่ยุ่งเพราะรสนิยมแกแย่ รู้จักฟังคำวิจารณ์คนอื่นมั่งเหอะ" เมธาวลัยบอก
"แล้วแกฟังคนอื่นนักหรือไง ถามจริง ไหวป่ะ ทำตัวเหมือนชะนีไม่โดนน้ำ" ปินัทธาบอก
"ชะนีที่ไหนชอบให้โดนน้ำ"
"ฉันหมายถึงผู้หญิงที่ไม่โดน...." ปินัทธาจะต่อคำ
ณัฎฐาลินีทนไม่ได้โพล่งเสียงดัง
"เถียงกันอยู่ได้ ไม่รู้จักเวลา รำคาญ ได้ยินมั้ย รำคาญ!"
ทั้งห้องหยุดกึก หันมามองที่เพื่อนเจ้าสาวเป็นตาเดียว! เพื่อนเจ้าสาวทั้งสามถึงกับยิ้มแหย....หาทางแก้สถานการณ์
เมธาวลัยบอกกับณัฎฐาลินีให้แก้สถานการณ์
"ร้องเพลงสิ ร้องเพลง"
ณัฎฐาลินีฮัมเพลงเข้ากับทำนองเพลงบรรเลง
ปินัทธาบอก
"ต่อเลยค่ะต่อ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ เราสามคนกำลังฮัมเพลงให้เข้ากับตัวเอง เอ๊ย บรรยากาศที่เพื่อนจะสละคานค่ะ เอ๊า..."
ทุกคนประสานเสียงนำ
"ข่าน ค้าน ค้าน คาน ข่าน คาน คาน ค้าน"
วาทยกรหันไปสั่งนักดนตรีบรรเลงต่อ พิธีดำเนินต่อไปทั้งสามสาวต่างโล่งอก
พีศทรรษ วายุบุตร กฤษฎามองมาที่คู่กรณีของตัวเองอย่างขำๆ....ทำไปได้
พิธีมงคลดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างสวยงาม ท่ามกลางความอิ่มเอมใจของทุกคน
เวลาผ่านจากกลางวันสู่กลางคืน ในบรรยากาศงานเลี้ยง ภัทรวลัยและเป้คุยกับแขกในงาน ที่โต๊ะมุมห้อง เมธาวลัยลงนั่งด้วยความเซ็ง มือถือแก้วไวน์ นั่งจิบ ทำตัวไฮโซเบาๆ กฤษฎาเข้ามานั่งข้างๆ เธอเหลือบไปเห็น ก็สำลักไวน์พรวด เขารีบหยิบผ้ามายื่นให้ เธอรับมาซับไวน์ที่เลอะมุมปาก
"ยังจะอยู่อีกทำไม ใครเชิญ"
"หยาดทิพย์ย้ำว่าต้องพาคุณกลับบ้าน อย่าปล่อยให้คุณขับรถเองเด็ดขาด"
"ทำไม"
เขาชี้ไปที่แก้วไวน์
"ไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ กลับไปได้แล้ว"
เขายิ้มใส่ เธอจะเดินหนี แต่กฤษฎาดึงมือของเธอเอาไว้ แล้วดึงให้ลงนั่ง
"เอ๊ะ ปล่อยมือฉันนะ เธอนี่ยังไง ทำตัวน่ารำคาญ"
"ขอโทษครับ ผมจะบอกว่าชุดคุณขาดครับ"
เธอตกใจ
"อะไรนะ ขาด!"
เธอลุกขึ้น สำรวจเห็นแนวฉีกขาด แล้วจะร้องไห้
"ชุดนี้เป็นแสนนะ อ๊าย! ใครฝีมือใคร"
"ทำไมต้องหาคนผิดด้วยครับ มันอาจจะไปเกี่ยวโดนอะไรขาดระหว่างที่คุณรีบเดินมาเข้าพิธีก็ได้"
เธอรีบทบทวนความทรงจำทันที
อ่านต่อหน้า 4
ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล ตอนที่ 1 (ต่อ)
ภายในห้องแต่งตัว เมเปิ้ลในชุดเพื่อนเจ้าสาวเดินนำออกจากห้อง ปินัทธามองชุดของเธออย่างหมั่นไส้ จงใจเดินชนออกไปให้พ้นทาง
เมเปิ้ลเสียหลักล้มไปกระแทกขอบประตู โกรธจะตามไป แต่เจอณัฎฐาลินีเบียดออกไปอีกคน เธอหมดความอดทน รีบเดินตาม จนไม่ทันสังเกตว่า ส่วนหนึ่งของชุดไปเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของล็อกประตู ฉีกขาดเป็นทางยาว
ปินัทธา ณัฎฐาลินีเดินมา เธอเข้ามาขวางข้างหน้าทันที
"มาขวางทำไม" ปินัทธาถาม
"แกชนฉันทำไม"
ณัฎฐาลินีบอก
"จะทำไม มันอิจฉาชุดแกน่ะสิ มันขี้อิจฉามาตั้งแต่ไหนแต่ไร จำไม่ได้เหรอ"
"ฉันเหรอขี้อิจฉา พวกแกต่างหากที่ขี้อิจฉา พอเห็นฉันมีแฟน ซึ่งผู้หญิงที่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เคยเห็นหัวใครอย่างแกเมเปิ้ล ไม่มีทางมี แกเลยใส่ร้ายว่าเค้านอกใจ จะให้ฉันเลิกกับเค้า เพราะไม่อยากให้ฉันมีแฟน กลัวตัวเองจะน้อยหน้า" ปินัทธาบอก
"โรคจิตป่ะ ฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องน้อยหน้าแก เพราะฉันมีทุกอย่างที่ดีกว่าแกอยู่แล้ว ผู้ชายไม่ใช่สาระสำคัญในชีวิตฉันเลย"
"นังนี่ก็ข่มคนอื่นอยู่ได้ นิสัยเสียไม่เลิก" ณัฎฐาลินีว่า
"ฉันไม่ได้ข่ม ฉันพูดในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันผิดเหรอที่ไม่ได้เกิดมาขาด แกก็ดีแต่ว่าคนอื่น ตัวเองเป็นนางฟ้าหรือไง"
"ฉันไม่ใช่นางฟ้า เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยสร้างปัญหาให้คนอื่น โอ๊ย ทำไมต้องมาพูดเรื่องนี้อีกเนี่ย"
"เพราะพวกแกจะได้เลิกยุ่งกับฉันซะทีไง" ปินัทธาบอก
"จบงานนี้ ฉันก็ไม่ยุ่งกับแกแล้ว สบายใจได้"
"จำไว้นะว่า ฉันปั้นหน้ายิ้มให้พวกแก เพื่อวลัย"
"ฉันก็เหมือนกัน"
สามสาวมองหน้ากัน ด้วยความโกรธเคืองที่ยากจะสมาน
มุมหนึ่งต่อเนื่องในงานเลี้ยง เมธาวลัยค่อยๆเปลี่ยนท่าทีจากที่โกรธเคืองเป็นสงบลงและลงนั่ง แต่เป็นความสงบที่ปวดใจเรื่องเพื่อน
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ"
"ขออีกแก้ว"
"อย่าเลยครับ"
"บอกว่าขออีกแก้ว เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าขัดคำสั่งผู้ใหญ่"
"ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ"
กฤษฎามองลึกเข้าไปในดวงตา เธออึ้ง ใจเต้นแรง อนสะอึกใส่หน้าเขา
"เอิ๊ก"
"เข้าใจแล้วครับ ขออีกแก้วหนึ่งตามคำสั่งครับ"
กฤษฎาเดินออกไปเพื่อจะหยิบเครื่องดื่ม เธอฟุบหน้าลงกับโต๊ะ คิดถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนแล้วปวดใจ น้ำตาซึม
อีกมุมหนึ่ง ปินัทธานั่งซึมมองเครื่องดื่มในมือ พีศทรรษเข้ามาจ้องหน้าเธอ
"จะคุยกันได้หรือยัง"
"ไม่มีอารมณ์"
"งั้นผมขอฉีกสัญญาที่คุณเซ็นไว้กับผม โทษฐานหนีกองถ่ายโดยไม่มีเหตุผล ผมอาจถูกฟ้องร้อง มีอารมณ์ขึ้นมาหรือยัง"
"จะทำอะไรก็ทำ"
"คุณนี่มันคงจะเข้าวัยทองเร็วกว่ากำหนด"
"จะพูดอะไรก็พูด"
พีศทรรษลงนั่งข้างน้ำผึ้ง
"สะเทือนใจที่ตัวเองยังอยู่บนคานใช่มั้ย"
"พูดอะไรก็ไม่เจ็บ"
"ไม่แปลกใจเลยพับผ่า ทำไมคุณถึงไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีข่าวกับผู้ชายคนไหนตั้งแต่เข้าวงการมา"
"มี แต่ไม่สน"
"ไม่ใช่หรอก มี แต่พอเค้าเข้ามาทำความรู้จักและสนิทสนมกับคุณเข้าจริงๆ คงหนีกันหมดเพราะนิสัยตรงข้ามกับหน้าตา"
"ขอบคุณที่ชม"
"อืม...เฮ้อ อยู่กับคุณนี่ก็ดีนะ เดาอารมณ์ไม่ถูก ไม่รู้จะมาแบบไหน ทำเอาผมเลือดสูบฉีดได้ตลอดเวลาเลย"
"จะให้สูบอย่างอื่นด้วยป่ะล่ะ นอกจากเลือด"
"อย่างอื่น อะไร"
"อะไรที่อยากฉีด แล้วให้ฉันสูบ"
พีศทรรษไปไม่เป็นเลย เดาไม่ถูก แต่คิดลึกไปแระ "โวะ!"
"พอเหอะ ฉันคุยไม่รู้เรื่องขนาดนี้ ยังจะนั่งคุยอยู่ได้"
"เอ๊า ก็..."
น้ำผึ้งตัดบท
"วันนี้เพื่อนแต่งงาน ไม่คุยเรื่องที่ไม่สบายใจ...เงียบมะ ขอร้อง"
พีศทรรษกุมขมับ เธอเหลือบตามอง สะใจทีได้ยียวนกวนประสาทเขา ก่อนจะหันมาซึมต่อ
อีกมุมหนึ่ง ณัฎฐาลินียืนมองภัทรวลัยจับมือเป้ต้อนรับแขก มีความสุขไปกับเพื่อนด้วย วายุบุตรเข้ามาคุยทางด้านหลัง
"ไม่มีเป็นของตัวเองสักคนล่ะ"
เธอตกใจ สะดุ้ง แปลกใจที่เห็นเขาและไม่พอใจ
"ยังอยู่อีกเหรอ"
"ก็คุณยังไม่กลับ"
"ไม่เกี่ยว ตัวไม่ได้ติดกัน"
"แต่ผมอยากติดนะ"
"อย่ามาพูดแบบนี้กับฉัน ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน"
"ผมหมายถึง ผมมาส่งคุณแล้วก็ต้องรับกลับ นี่คือคติของผม ถ้าร่วมหัวจมท้ายกับใครแล้วก็ต้องทำให้จบ"
"ทำอะไร"
"ทำอย่างว่า"
"ทะลึ่ง!"
"คิดว่าผมจะทำอะไร"
"จะไปรู้เหรอ"
"แต่หน้าแดงนะ"
เธอรีบแก้ตัว
"ดื่มไวน์ไปหลายแก้ว"
"ก็นี่ไงที่ผมจะทำ รถคุณเสีย ดื่มแอลกอฮอล์ ปล่อยให้กลับบ้านคนเดียวได้ไง ผมต้องไปส่งที่บ้าน"
"ฝัน! กลับไปบริหารธุรกิจค็อกเทลเลาจ์นไฮโซที่เป็นฉากบังหน้าตัวเองเถอะ ไป!"
เธอเดินหนี แต่เซ สะดุดเท้า หงายหลัง เขารับไว้ได้ทัน ณัฎฐาลินีตกใจ ด้วยสัญชาติญาณการป้องกันตัว ใช้วิชาต่อสู้ป้องกันตัว พลิกบิดข้อมือและแขนของวายุบุตรแล้วกดตัวลงหมอบกับพื้น แขกเหรื่อที่อยู่รอบๆตกใจ
"โห แฮะ ผมเป็นคนช่วยรับตัวคุณไม่ให้ล้มนะ ตอบแทนผมแบบนี้เหรอ"
"ขอโทษ ฉัน...ลืมตัว"
เธอปล่อยเขา แต่วายุบุตรไม่ยอมลุก
"ลุกขึ้นสิ"
"คุณทำผมเจ็บ ผมไม่มีแรงลุก ช่วยหน่อย"
เขาส่งมือให้
"ขอโทษนะ ฉันไม่หลงกล"
ณัฎฐาลินีเดินหนี วายุบุตรเซ็ง ลุกเองก็ได้วะ แล้วมองตามอย่างยิ้มๆ
ดูเหมือนเขายิ่งสนใจในตัวผู้หญิงคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม
ภัทรวลัยและเป้กล่าวขอบคุณแขกในงาน
"ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่สละเวลามาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานของเรา"
"และต่อจากนี้ไป เชิญทุกท่านสนุกสนานและมีความสุขกันให้เต็มที่เลยครับ"
เป้ดีดนิ้วให้ ดีเจรับลูกต่อ
"เรามาสนุกกันต่อครับ ยินดีกับเจ้าสาวเจ้าบ่าว ขอมอบเพลงนี้ให้เป็นของขวัญ เพลงร่วมสมัยของทุกคน ไม่ขยับตามผมขอล้างมือจากการเป็นดีเจเลยทีเดียว"
ดีเจเปิดแผ่นเพลงสนุกสนาน ยุค 90
"ใครยังอยู่บนคาน ขอเสียงหน่อยเร้ว!" ดีเจว่า
ทุกคนเงียบ ยกเว้น สามสาวที่ลืมตัวชูแก้ว ร้องโย่ว! ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว สามสาวค่อยๆลดแก้วลง ทำตัวหายไปกับโต๊ะในทันที
"ก็ขอให้ลงจากคานเร็วๆ อย่ารอช้า ถ้าอยากสนิทกับใครก็สะกิดกันเลย"
เสียงเฮลั่น! ดีเจกดเล่นแผ่น เพลงขึ้น แขกในงานฮิ้วกันเป็นแถวเพราะต่างรู้จักเพลงดี คู่บ่าวสาวลงไปเปิดฟลอร์
ที่โต๊ะ เมธาวลัยผงกหัวทันทีที่ได้ยินเสียงเพลง
"อร๊าย...เพลงนี้ฉันชอบ"
เธอขยับตัวตามจังหวะ กฤษฎาอมยิ้ม
"ยิ้มอะไร"
"ออกไปแจมกับเพื่อนคุณกันมั้ยครับ"
"ใช้คำว่ากันเหรอ"
"ครับ กัน แปลว่า ปืน"
"ลำกล้องยาวป่ะ"
"เก้านิ้วครับ"
"เก้านิ้ว! จะบ้าเหรอ หวาดเสียวอ่ะ"
"ปืนที่พ่อผมพกไว้ป้องกันตัวที่บ้านต่างจังหวัด แกเก็บเอาไว้ในตู้มิดชิด ไม่มีใครเห็น ไม่ทำให้ใครเสียวครับ"
"แต่ยังไงฉันก็เสียวอยู่ดี"
"ตกลงเราจะคุยเรื่องกัน ปืน หรือเรื่อง ออกไปเต้นกันครับ คุณกับผม"
"ฉันเป็นเจ้านายเธอนะ กล้าชวนฉันไปเต้นเหรอ"
"ตกลงไม่ไล่ผมออกจากงานแล้วใช่มั้ยครับ"
"ถ้ายังไม่หยุดทำตัวน่ารำคาญ จะไล่ออกเดี๋ยวนี้"
"คนอื่นว่าผมน่ารัก มีแต่คุณที่ว่าผมน่ารำคาญ"
"น่ามคาญ!"
เพื่อนหญิง 2 คนเดินมาเจอเมธาวลัย ก็ร้องทัก
เพื่อน 1 ทัก
"เมเปิ้ล ไม่ได้เจอกันนานเลย"
เพื่อน 2 บอก
"ว่าจะเข้ามาทักตั้งแต่ในพิธีแล้ว แต่ไม่มีจังหวะ"
"อ๋อ สาวิตรี วีรณา นั่นเอง จำไม่ได้ ตอนแรกคิดว่าแม่ใครซะอีก"
เพื่อน 2 คนถึงกับอึ้งไป กฤษฎารีบแก้ตัวแทน
"พอดีคุณเมเปิ้ลไม่ค่อยสบายน่ะครับ เวียนหัว ตาพร่า แกเลยมองหน้าใครไม่ค่อยชัด"
เพื่อน 1 สวน
"สงสัยจะสายตายาวนะ"
เมธาวลัยถามกฤษฎา
"ชงทำไมเนี่ย!"
กฤษฎาหน้าจ๋อย
"สามสิบห้า ร่างกายจะเริ่มเสื่อมแล้วนะ ยิ่งยังไม่ได้แต่งงานมีลูกต้องระวังนะ มดลูก หน้าอก ไม่ได้ใช้งาน ความเสี่ยงเป็นมะเร็งจะสูงนะ พวกฉันน่ะลูกสองแล้ว ไม่เป็นไร ความเสี่ยงต่ำ" เพื่อน 2 บอก
"ไม่น่าเชื่อเนอะ ตอนเรียน พวกเราคิดว่าเธอ น้ำผึ้งกับลินีน่าจะขายออกก่อนใคร ที่ไหนได้ ไปกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกเธอ"
"แล้วดูสิ ยัยวลัยได้แต่งก่อนอีกอ่ะ หน้าเงือกๆอย่างนั้นยังไม่เหลือ สงสัยเธอสามคนคงจะ...อุ๊ย อย่าให้พูดเลย...จองคานถาวรแหงๆ"
เพื่อน 1 บอก
"น่าลุ้นเนอะ เมเปิ้ล น้ำผึ้ง ลินี ใครจะไปก่อนกัน แต่ฉันว่าต้องเป็นน้ำผึ้ง เค้าเป็นดารา เจอคนเยอะ ไฮโซเซเล็บชอบมีแฟนเป็นดารา"
เพื่อน 2 บอก
"ฉันว่าลินี รูปร่างหน้าตา สเป็กฝรั่งเลย ทำงานกับฝรั่งบ่อยด้วย"
เมธาวลัยทนไม่ไหว เดินดุ่มๆไปที่บูธดีเจ ผ่านปินัทธาและพีศทรรษ กับณัฎฐาลินีและวายุบุตรที่ยืนอยู่บริเวณนั้น ทุกคนมองเมธาวลัยอย่างประหลาดใจ
เธอเดินตรงไปที่ดีเจ แย่งไมค์มาจ่อปากตัวเอง แล้วชี้นิ้วสั่งดีเจ
"ปิดเพลง!"
ดีเจตกใจ รีบปิดเพลงตามสั่ง ทุกคนในงานหันมามองเป็นตาเดียวด้วยความตกใจ แปลกใจ
เธอประกาศออกไมค์เสียงดัง
"ทุกๆท่านคะ ดิฉันนางสาวเมธาวลัย ว่องยานยนต์ เพื่อนเจ้าสาวจำได้ใช่มั้ยคะ"
กฤษฎามองเมธาวลัยอย่างแปลกใจ
"จะทำอะไรของเค้า"
เพื่อนอีกสองคู่ออกมาที่หน้าฟลอร์ ภัทรวลัยรีบจูงเป้มาสมทบกับกลุ่มเพื่อน ฟังเธอต่อไป
"เอาล่ะ คืนนี้เพื่อนดิฉัน ภัทรวลัยก็ลงจากคาน มีสามีที่น่ารักแสนดี ทำให้ดิฉันหมดห่วง ต่อไปก็ตาดิฉันบ้าง ขอประกาศว่า...ขอเรียนเชิญเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคนไปงานแต่งงานของดิฉันในอีก 1 เดือนนับจากนี้ไป"
ทุกคนฮือฮา โดยเฉพาะปินัทธาและณัฎฐาลินี ตกใจมาก โพล่งพร้อมกัน
"เป็นไปไม่ได้!"
"ก็มันยังไม่มีแฟน!" ภัทรวลัยบอก
"แน่ะ! เพื่อนดิฉันสงสัยว่า ดิฉันจะแต่งงานได้ยังไงในเมื่อยังไม่มีแฟน มี้!!!สิคะ จะแต่งงานมันต้องมีแฟน ซึ่งดิฉันเก็บเงียบเอาไว้ไม่เคยบอกใคร คืนนี้จึงขอโอกาสเปิดตัวซะเลย ขอไฟด้วย!"
เธอวางไมค์แล้วเดินลิ่วไปที่กฤษฎา ควงแขนหมับ ไฟสปอร์ตไลต์จับทันที เด่นเป็นสง่าอยู่กลางงาน
"มีแฟนเด็กด้วยล่ะทุกคน ฮิ้ว!"
กฤษฎาตกใจ ตัวแข็งทื่อ! เพื่อนคู่อริทั้งสองตกใจ ถึงขั้นตาเหลือก พีศทรรษ วายุบุตรมองหน้ากันงงๆ ก็เมื่อตอนหัวค่ำยังเป็นแค่เจ้านายลูกน้อง!
คู่บ่าวสาวแทบหยุดหายใจ ที่เห็นเมธาวลัยและกฤษฎาควงคู่กันเด่นอยู่กลางงานแต่งงานของเขาและเธอ
อ่านต่อตอนที่ 2