อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 33
ค่ำนั้นที่โต๊ะอาหารในตำหนักขาว หม่อมพริ้ม หญิงจ้อย ชายรวีนั่งอยู่แล้ว หวนกับพุดรอเสิร์ฟข้าว บรรยากาศอึมครึม
“ตักข้าวเลยไหมคะ หม่อม”
“แม่โสภิตล่ะ” หม่อมถาม
“คุณหนูฝากเรียนหม่อมว่าให้รับทานไปก่อนเลยค่ะ คุณหนูไม่หิว”
หม่อมพริ้มลุกพรวดแล้วเดินออกไปทันที ชายรวีกับหญิงจ้อยตกใจ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่กล้าตาม
โสภิตพิไลนั่งคิดหมกหมุ่นครุ่นคิดอยู่ได้ยินเสียงหม่อมพริ้มดังขึ้น
“โสภิตพิไล!”
ประตูเปิดออก โสภิตพิไลเห็นหน้าหม่อมพริ้มเครียด ก็หน้าจ๋อย
“หม่อมยาย”
“ให้ยายเข้าไปหน่อย”
โสภิตพิไลเลี่ยงให้หม่อมพริ้มเข้าไปในห้อง แล้วเดินตามกลับมายืนอย่างเรียบร้อย หม่อมพริ้มอบรมเสียงเข้ม
“ทำตัวแบบนี้เพื่ออะไร ผู้ชายเขาก็บอกแล้ว ว่าเขายังไม่อยากแต่งงานกับเราจะอดข้าวอดน้ำให้เขากลับมาเห็นใจหรือยังไง”
“ไม่ใช่ค่ะ หนู... หนูแค่” โสภิตพิไลน้ำตาเอ่อ “ไม่อยากกิน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น”
หม่อมพริ้มเห็นใจ แต่ไม่อ่อนข้อ
“เจอเรื่องแค่นี้ ถึงกับหมดอาลัยตายอยาก ต่อไปวันข้างหน้า จะทนอะไรไหว การสูญเสียพลัดพรากเป็นธรรมดาโลก... เสียใจน่ะเสียได้ แต่ชีวิตมันก็ต้องเดินต่อไป ไม่ใช่มัวแต่มานั่งก่นเศร้า”
โสภิตพิไลน้ำตาร่วง หม่อมพริ้มสงสาร ท่าทีอ่อนลง เข้ามาลูบหัวปลอบ
“รักกันง่าย มันก็หน่ายกันเร็ว อย่าเสียใจไปเลย ให้คิดซะว่าโชคดีที่เรายังไม่ได้ตบแต่งกับเขาไป”“หนูไม่เชื่อว่าพี่นุจะหมดรักหนูหนูไม่เชื่อ...จริงๆ นะคะหม่อมยาย”
โสภิตพิไลปาดน้ำตา บอกหม่อมพริ้มด้วยเสียงจริงจัง
“มันต้องมีอะไรซักอย่าง ที่ทำให้พี่นุเปลี่ยนไปหนูอยากรู้ ว่ามันคืออะไร”
ตอนกลางวันของวันใหม่
มองจากมุมสูงลงมา เห็นแนวป่าทึบและทิวเขาเขียวสุดตาในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ต้นไม้รกทึบ ไม่มีถนนใหญ่ มีเพียงถนนลูกรังโรยกรวดแดงเล็กๆ ตัดคดเคี้ยวเข้าไปในหมู่ไม้
ท่ามกลางดงไม้ใหญ่ มีลานเล็กๆ ที่ถูกถางขึ้นไม่นาน มีอาคารสำนักงานชั่วคราวที่ทำจากไม้ตั้งอยู่ ลักษณะเหมือนบ้านของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ โดยที่หน้าบ้าน มีป้ายไม้ทำมือง่ายๆ เขียนว่า “โครงการสำรวจและวิจัยการสร้างเขื่อนเขื่อนลำพระเพลิง” ปักธงไชย ในจังหวัดนครราชสีมา
จังหวะนี้ จ่อย คนงานชาวอีสาน แต่งตัวสบายๆ เดินร้องเพลงหมอลำมาที่สำนักงานอย่างร่าเริง
“นายช่างคร้าบ นายช่าง”
ด้านในบ้าน แลเห็นชิษณุแต่งตัวง่ายๆ เสื้อเชิร์ตพับแขนยับยู่ยี่เหมือน นั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด
ชิษณุเป็นวิศวกรโยธา สิ่งที่ทำคือการวางแผนว่าจะก่อสร้างเขื่อนตรงไหน จะต้องปรับสภาพพื้นที่อย่างไร เพื่อให้การก่อสร้างเขื่อนเป็นไปตามเป้าหมาย โดยทำงานร่วมกับวิศวกรสำรวจ งานที่ทำในช่วงนี้น่าจะเป็นการศึกษาผลสำรวจ ดูแผนที่ทางอากาศ
จ่อยเดินเข้ามาด้านใน ร้องเรียก
“นายช่างครับ กินข้าวกันครับ”
ชิษณุเงยหน้ามาตอบขรึมๆ “กินกันไปก่อนเถอะ ผมไม่หิว”
ชิษณุก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป เหมือนให้ลืมความทุกข์ จ่อยส่ายหัวแล้วเดินออกไป
จ่อยเดินมาที่เพิงหมาแหงนที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ มีเก้าอี้และโต๊ะไม้ วางกระติกน้ำ และของใช้จำเป็น เป็นที่สำหรับพักและกินข้าว เหมือนโรงอาหารชั่วคราว มีวิศวกรกับคนงาน 2 คนนั่งอยู่ ตรงหน้ามีข้าวเหนียวห่อใบตองกับไก่ย่างและแจ่วบอง
ช่วงนี้เป็นช่วงสำรวจก่อนสร้างเขื่อน ยังไม่ได้ลงมือสร้าง จะมีคนน้อยมาก มีแค่วิศวกร คนงานไม่กี่คน
จ่อยนั่งลงเตรียมกินข้าว นินทาชิษณุไปด้วยอย่างขำๆ
“นายช่างรูปหล่อจากกรุงเทพฯ แกเป็นอะไรของแกวะ วันๆ เอาแต่ก้มหน้าทำงานไม่เล่นไม่หัวกับใครเลย”
คนงาน 1 เย้า “นั่นสิ ทำท่าอย่างกับคนอกหัก”
ปรมัตถ์ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อแขนยาวลุยๆ พับแขนเดินเข้ามาร่วมวง
“เดากันไปเรื่อย อกหักที่ไหน” สีหน้ายังเศร้านิดๆ “นายช่างเขากำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว”
“นายช่างปอรู้ได้ยังไง” จ่อยงวยงง
“บังเอิญผมรู้จักกับว่าที่เจ้าสาวของเขาน่ะ”
จ่อยหัวเราะ “โอ๊ย ถ้างั้นไม่ผิดล่ะ ที่หน้าเศร้า แกคงจะคิดถึงแฟนแกล่ะซี๊”
ทุกคนหัวเราะกัน ปรมัตถ์ฝืนหัวเราะไปด้วย ทำใจได้แล้ว
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น ทุกคนหันไปมองทางปากทางเข้า เห็นรถแลนด์โรเวอร์เก่าๆ คันหนึ่งแล่นเข้ามา ฝุ่นตลบ
จ่อยมองงง “ใครมาล่ะนั่น”
รถจอดนิ่ง จนฝุ่นจาง เห็นชายชาวต่างชาติเดินลงมา ตามมาด้วยผู้หญิงไทย ใส่เชิร์ตแขนยาวกับกางเกงขายาวท่าทีทะมัดทะแมง
หญิงสาวคนนั้นมองมาที่สำนักงานและกลุ่มปรมัตถ์ ยิ้มสดใส
“ที่นี่ล่ะค่ะ คริสที่ทำงานใหม่ของเรา”
ไม่มีใครสังเกตว่า อัญมณีจะใส่เสื้อแขนยาวพับแขน ปิดท่อนแขนบนไว้ตลอดเวลา
ปรมัตถ์เดินนำคริสกับอัญมณีเดินไปที่สำนักงานเพื่อไปพบกับชิษณุ
“เรามีกันไม่กี่คนครับ ผมเป็นชื่อปรมัตถ์ เป็นวิศวกรสำรวจ มีวิศวกรผู้ช่วยอีกคน ส่วนอีกสองคนนั่นเป็นคนงาน”
คริสว่า “ทางสำนักงานใหญ่บอกให้ผมมาพบคุณชิษณุ”
“นายช่างใหญ่อยู่ในนี้ครับ เชิญ” ปรมัตถ์ส่งเสียงนำไปก่อนเข้าประตู “นายช่างครับทางบริษัทส่งคนมาเพิ่มครับ”
ชิษณุลุกขึ้น เดินออกมารับแขก
“อ้อ” เขายื่นมือออกมาให้จับ “ผมชิษณุนะครับ คุณคงจะเป็นคริสโตเฟอร์”
“เรียกผมว่าคริสเฉยๆ ก็ได้…ผมขอแนะนำ ผู้ช่วยของผม”
อัญมณีชิงบอกเอง “อัญมณีค่ะ”
ชิษณุเพิ่งเห็นหน้าอัญมณีชัดๆ อึ้งตะลึงแล
“อัญ… นี่อัญใช่ไหม”
คริสฉงน “คุณรู้จักกันมาก่อนหรือ”
“ค่ะ คริส” อัญมณีหันไปมองชิษณุอย่างลึกซึ้ง “ฉันกับคุณนุรู้จักกันมาก่อน เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน สมัยนั้น” หญิงสาวพูดกับชิษณุอย่างมีนัยยะ “เราสนิทกันมาก นุจำได้ไหมคะ”
อัญมณียิ้มให้ชิษณุ แววตาบ่งบอกว่ามีความผูกพันกันลึกซึ้ง ปรมัตถ์มองนิ่ง สังหรณ์ใจประหลาด
ฟากสากำลังจะปิดร้าน เห็นรถของชายรวีขับมาจอด สาดีใจ
“คุณชาย”
ชายรวีลงมาจากรถ ทักทาย
“สวัสดีครับ คุณอุษา”
สาเห็นใจสว่างก็ลงมาจากรถด้วยไหว้ “คุณป้า”
สาแปลกใจ “อ้าว หนูใจ ไปยังไงมายังไง ถึงได้มาด้วยกัน”
“พอดีผมจะมาหาคุณสาน่ะครับ เห็นใจสว่างยืนรอรถเมล์อยู่ เลยชวนนั่งรถกลับมาด้วยกัน”
สาพาชายรวีมานั่งตรงโซฟา ถามขึ้นแทบจะทันที น้ำเสียงกังวลใจมาก
“โสภิตเป็นยังไงบ้างคะ คุณชาย คุณชายบอกแกไปหรือยัง”
“ยังครับ...” สาทำท่าร้อนใจ “แต่ผมบอกชิษณุไปแล้ว...ชิษณุเลยยกตัดสินใจยกเลิกการแต่งงาน”
สาฟังแล้วโล่งใจ แต่ก็รู้สึกผิด “โสภิตคงเสียใจมาก”
“ก็มีบ้างครับ”
“แกโชคร้ายนะคะ ที่เกิดมาเป็นลูกฉัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดูเหมือนจะเป็นการทำร้ายแกอยู่ตลอดเวลา”
“ผมรู้ว่าคุณสาไม่ได้เจตนา” คุณชายแกล้งพูดตลกให้สาหายเศร้า “ในฐานะผู้พิพากษาผมลดโทษให้กึ่งหนึ่งก็แล้วกันนะครับ”
สาหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่น้ำตาปริ่ม มองชายรวีอย่างแสนรัก
ใจสว่างแอบมองออกมาจากด้านหลังบ้าน เห็นชายรวีทำให้สายิ้ม ก็พลอยยิ้มตาม มองชายรวีอย่างชื่นชมแอบปลื้ม
ใจสว่างเดินมาส่งชายรวีที่รถ ตรงหน้าร้าน
“ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่กรุณามาส่งข่าว คุณป้าเป็นห่วงพี่โสภิตมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
“ผมถึงได้อยากจะขอร้องคุณ...”
ใจสว่างยิ้มสดใส “หนูทราบค่ะ ถึงได้เดินตามอาจารย์ออกมา”
ชายรวีมองอย่างเอ็นดู “ไม่ยักรู้ว่าเป็นนักอ่านใจคน”
“หนูทราบด้วยค่ะ ว่าอาจารย์จะขอร้องอะไร ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะดูแลคุณป้าอย่างดี”
“ผมเชื่อว่าคุณต้องทำได้...คุณเป็นคนมีพรสวรรค์พิเศษ ที่สามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ รู้สึกสบายใจได้อย่างประหลาด”
ใจสว่างดีใจ แต่ก็เขินนิดๆ “อาจารย์พูดจริงหรือคะ”
ชายรวีอมยิ้ม แกล้งล้อ “ไม่รู้ คุณอ่านใจคนเก่งไม่ใช่หรือ ลองเดาดูสิ”
ใจสว่างเขินๆ ชายรวีขึ้นรถจะสตาร์ทเครื่อง
“อาจารย์คะ”
ชายรวีชะงัก ใจสว่างยกมือไหว้
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ”
ชายรวียิ้มให้ แล้วขับรถออกไป
ที่ตำหนักขาวค่ำนั้น โสภิตพิไลกำลังโทรศัพท์คุยกับหญิงศุภลักษณ์
“พี่นุไม่ติดต่อกลับมาเลยหรือคะ คุณป้าหญิง...ค่ะ ถ้ามีข่าวรบกวนคุณป้าหญิงบอกโสด้วยนะคะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ”
โสภิตพิไลวางสาย หน้าเศร้า พอหันมา ก็เห็นหม่อมพริ้มยืนอยู่ มีหวนถือกาน้ำชาตามหลัง หม่อมพริ้มมองดูโสภิตพิไลอย่างสงสาร แต่ปากก็อดตำหนิไม่ได้
“เราเป็นผู้หญิง ผู้ชายเขาบอกว่าไม่แต่งก็คือไม่แต่ง ถึงจะเป็นญาติกัน ก็ต้องหยุดวุ่นวายได้แล้ว”
“หนูไม่ได้วุ่นวายนะคะหม่อมยาย พี่นุจะไม่แต่งกับหนู หนูก็ไม่ว่า แต่หนูอยากรู้ว่าเหตุผลมันคืออะไร”
“ถ้าเขาอยากบอก เขาก็มาบอกแล้ว แต่นี่เขาไม่มา ก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้พิรี้พิไร”
“ก็หนูอยากรู้นี่คะ หม่อมยายไม่สงสัยหรือคะ พี่นุเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ แล้วทำไมจู่ๆ พี่นุถึงหนีงานหมั้นไปโดยไม่บอกไม่กล่าว... มันต้องมีเหตุผลซีคะ”
ประมุขรวีวาร อดคิดตามคำพูดของลูกเลี้ยง ผู้เข้าใจว่าเป็นหลานสาวมิได้
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 33 (ต่อ)
หม่อมพริ้มเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้องนอน หวนยกกาน้ำชาเข้ามาวางให้เช่นทุกคืน แล้วก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“ที่คุณหนูพูดก็มีเหตุผลนะคะหม่อม”
“จริงของเอ็ง ถึงชิษณุจะเป็นคนหุนหันเอาแต่ใจ แต่หลานชายข้าเขาก็เป็นคนดีเขาไม่น่าทำกับโสภิตอย่างนี้”
“หวนเฝ้าดูคุณนุกับคุณหนูมาตลอด ก็เห็นเธอสองคนรักกันดี รักกันมากด้วย...แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรล่ะคะ ที่ทำให้คุณนุต้องทิ้งคุณหนูโสภิตไป”
หม่อมพริ้มครุ่นคิดตริตรอง ยิ่งสงสัยขึ้นมา
ตกตอนกลางคือ บริเวณลานหน้าสำนักงาน แลเห็นกองไฟลุกโชนกลางวง ในนั้นมีลูกหมูตัวย่อมๆ ย่างอยู่ทั้งตัวส่งกลิ่นหอมฉุย จ่อยกับคนงานอีกคนช่วยกันดูแลหมู ชาวบ้านแต่งชุดพื้นเมืองอยู่ด้วย ส่งภาษาอีสานเว้านัวกันไปมา ชิษณุนั่งดื่มเหล้าป่าจากกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดเป็นท่อนสั้นๆ ใช้แทนแก้ว ตามองเปลวไฟ เหม่อลอย
ปรมัตถ์เดินนำคริสกับอัญมณีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว แต่ยังใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาวพับแขนเข้ามาที่รอบกองไฟ
“เชิญครับเชิญ สนุกกันหน่อยคืนนี้ ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับคุณคริสกับคุณอัญ”
“ขอบคุณมากครับ”
อัญมณีมองไปยังชิษณุที่นั่งแยกตัวปลีกวิเวกอยู่คนเดียว แล้วเดินเข้าไปพูดด้วยพอให้ได้ยินกันสองคน
“ท่าทางคุณไม่ยินดียินร้ายสักเท่าไหร่เลยนะคะ หรือไม่พอใจที่อัญมาที่นี่”
ชิษณุตอบอัญมณีอย่างบริสุทธิ์ใจ
“เปล่า ทำไมคิดหยั่งงั้นล่ะ”
“ก็... เท่าที่อัญจำได้ รู้สึกว่าครั้งสุดท้ายที่เราจากกัน มันไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่”
ชิษณุยังไม่ทันตอบอะไร คริสก็ร้องเรียก
“อัญ เฮ้ มานี่หน่อย”
อัญมณีเดินไปหาคริสกับปรมัตถ์ที่ยืนอยู่ตรงกองไฟ หน้าตายิ้มแย้ม
“มีอะไรคะ”
“หมูย่างสุกแล้วครับ ในฐานะที่เป็นสุภาพสตรีคนเดียวในที่นี้ ผมอยากจะให้คุณอัญให้เกียรติ...” คริสส่งมีดเดินป่าให้ “ลงมีดเป็นคนแรก”
“ยินดีค่ะ”
อัญมณีเฉือนหมู ฉับ! หมู่มวลร้องเฮ ชิษณุนั่งดื่มไม่สนใจใคร อัญมณีแอบมองชิษณุ ปรมัตถ์สังเกตเห็น
เวลาผ่านไป ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก ยินเสียงแคนบรรเลงเพลงสนุกสนาน จ่อยนำทุกคนปรบมือเป็นจังหวะ คริสเริ่มโซเซ มือหนึ่งถือไหเหล้า อีกมือที่เหลือรำวงป้อ
ชิษณุดื่มเหล้าจนหมดกระบอก โยนกระบอกไม้ไผ่ทิ้ง แล้วลุกออกไปเงียบๆ อัญมณีแอบเห็น ค่อยๆ ลุกตามออกไป ปรมัตถ์มองตามสีหน้าไม่สบายใจ
ชิษณุเดินมาถึงหน้าห้อง ที่เรือนพักนายช่าง กำลังจะเปิดประตู ก็มีเสียงอัญมณีเรียก
“นุคะ” ชิษณุชะงัก “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุยกันก่อนได้ไหม”
อัญมณีนั่งอยู่ในห้องแล้ว ชิษณุส่งขวดใส่เหล้าแบนๆ ที่ทำจากดีบุกสวยงามให้ อัญมณีปฏิเสธยิ้มๆ
“พอดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุยกันไม่รู้เรื่อง”
ชิษณุเลยดื่มเอง “นึกไม่ถึงว่าจะเจออัญที่นี่ ..กี่ปีแล้วนะ ที่เราไม่ได้เจอกัน”
“สี่ปี...ตั้งแต่เราเรียนจบ... นุก็ไปเรียนต่อเมืองนอก”
“ส่วนอัญไปแต่งงาน”
พูดจบ ทั้งสองก็มองหน้ากัน นิ่งๆ ความรักความหลังคุกรุ่นขึ้นมาในใจ ก่อนชิษณุจะเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนึกยังไงมาทำงานไกลถึงนี่สามีไม่ว่าเอาหรือ”
“อัญหนีเขามา”
ชิษณุชะงัก มองหน้าอัญมณี
“หนี? ทำไมต้องหนี” มองอัญมณี เห็นแววตาเศร้า “อัญไม่มีความสุขหรือ”
“ที่อัญตกลงแต่งงานกับเขาตอนนั้น” หญิงสาวมองชิษณุ แววตาตัดพ้อ “เพราะอัญอยากประชดนุ .. อยากบอกว่าถึงนุไม่พร้อมจะแต่งงานกับอัญ ก็มีคนอื่นที่พร้อมและต้องการอัญ” จังหวะนี้อัญมณียิ้มเศร้า “หลังจากแต่งงาน อัญถึงได้เห็นธาตุแท้ของเขา”
ชิษณุฉงนฉงาย “ยังไง”
อัญมณีมองชิษณุ แล้วยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อช้าๆ ชิษณุอึ้ง งงๆ ตั้งตัวไม่ติด ไม่รู้ว่าอัญมณีคิดทำอะไร
อัญมณีปลดกระดุมด้านหน้าจนหมด กระชากเสื้อเชิ้ตออกจากตัว เหลือแต่เสื้อกล้ามข้างใน เผยให้
เห็นว่าที่ไหล่และท่อนแขนด้านบน มีรอยช้ำเขียว ทั้งรอยเก่ารอยใหม่ แสดงถึงการถูกทุบตีทำร้ายอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
ชิษณุตกใจ แล้วเปลี่ยนเป็นสงสาร “อัญ!...นี่เขา...เขาทำ?”
อัญมณีพยักหน้า ยิ้มเศร้า น้ำตาคลอ ชิษณุเอื้อมมือไปแตะที่รอยช้ำที่ต้นแขน สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความรัก ปลอบโยน
อัญมณีโผเข้ากอด ชิษณุกอดตอบ
เบื้องแรกอาจเป็นเพียงการแสวงหาความรักและปลอบประโลม แต่เมื่อสบตากัน ความรู้สึกเก่าๆ ก็ปะทุขึ้นมาในใจของทั้งสองคน
“นุ... อัญรักนุนะ”
ชิษณุจูบอัญมณี...ขวดเหล้าล้มลงกับพื้น เพลิงปรารถนาโหมไหม้ลุกลาม นำพาสองคนผู้ซึ่งเคยรักกันมากไปสู่แดนสุขาวดี
รุ่งเช้า ชายรวีกำลังผูกไทอยู่ในห้อง แต่งตัวจะออกไปทำงาน หม่อมพริ้มร้องเรียก
“ชาย”
“เชิญครับ หม่อมแม่” หม่อมพริ้มเดินเข้ามา ชายรวียิ้มรับ “ผมแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังจะลงไปข้างล่างอยู่พอดี”
“คุยกับแม่บนนี้ก่อน แม่มีเรื่องอยากจะถามชายหน่อย...วันนั้น ที่ชายไปคุยกับชิษณุน่ะ เขาบอกหรือเปล่าว่าเพราะอะไรถึงไม่อยากแต่งงานกับโสภิต”
ชายรวีนิ่งอึ้ง ไม่อยากโกหก เลยคิดว่าจะบอกหม่อมพริ้มยังไงดี
“ตอนแรก แม่ก็คิดว่าเจ้าชิษณุมันโลเลเหลวไหล แต่พอหายโมโห มาคิดดูอีกทีแม่ว่ามันน่าจะมีเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น” หม่อมชราจ้องตาชายรวีแน่วนิ่ง “ชายรู้หรือเปล่า”
“ครับ”
หม่อมพริ้มดูจากสีหน้าชายรวี เดาได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ “บอกแม่ได้ไหม”
ชายรวีดึงหม่อมพริ้มมานั่งลงบนเตียงด้วยกัน แล้วค่อยๆ บอก
“คืออย่างนี้ครับ สาเหตุที่ชิษณุต้องหนีหน้าไป เพราะเขารู้ว่าเขากับโสภิตไม่อาจแต่งงานกันได้”
หม่อมพริ้มนิ่วหน้า สงสัยหนัก “ทำไม”
“เพราะนุรู้ว่า โสภิตพิไลไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้อง แต่เป็นน้า”
หม่อมพริ้มตกใจ “อะไรนะ”
“โสภิตพิไล ไม่ใช่ลูกของพี่หญิงโสภาครับ หม่อมแม่แต่เป็นลูกของท่านพ่อที่เกิดกับหม่อมอุษา”
ประมุขรวีวารตกใจสุดขีด “หา!”
“เป็นความสัตย์จริงครับหม่อมแม่ คุณอุษาเป็นคนบอกเรื่องนี้กับผมเอง”
หม่อมพริ้มอึ้ง นิ่งงันไป คาดไม่ถึง
หวนพาเจิมขึ้นมาคุยกับหม่อมพริ้มบนตำหนัก สองคนรู้เรื่องแล้ว
“คุณหนูโสภิตพิไล ก็คือลูกของท่านชายที่ติดท้องอีสาไปตอนหนีออกจากวังนั่นเอง” หวนว่า
“บ่าวนึกสงสัยอยู่แล้วเชียว...ทั้งนิสัยใจคอ ทั้งกิริยาท่าทาง คุณหนูเธอเหมือนอีสาอย่างกับอะไร” คิดแล้วก็นึกโกรธ “แล้วอีสามันนึกยังไง เอาลูกตัวไปยกให้เป็นลูกคุณหญิง”
“ชายรวีบอกว่าหญิงโสภาไม่อยากให้น้องเป็นกำพร้า ข้าก็พอจะเข้าใจ ไม่โกรธอีสามันหรอก มันคงไม่คิดว่าชาตินี้จะต้องมาเจอะเจอกันอีก”
หวนถาม “แล้วหม่อมจะบอกคุณหนูไหมคะ”
“นั่นละ ที่ข้าคิดไม่ตก...บอกให้รู้ซะ โสภิตก็จะได้เข้าใจว่าทำไมชิษณุถึงได้หนีแต่งงาน ก็จะได้หายเสียใจ แต่ว่า...”
หม่อมพริ้มถอนใจคิดไม่ตก
เจิมท้วง “ถ้าคุณหนูโสภิตเธอรู้ว่าเธอเป็นลูกอีสา เธอจะยิ่งเสียใจกว่าเดิมหรือเปล่าเจ้าคะหม่อม”
“ก็นั่นน่ะสิ เจิมเอ๊ย ชายรวีเขายังสงสาร ไม่กล้าบอกโสภิต แล้วข้าจะทำยังไงดี”
ทั้งสามคนพากันถอนใจตามๆ กัน คิดไม่ตกจริงๆ
เวลานั้นที่โถงร้านเสริมสวย เพ็ญศรีกำลังดูแลลูกค้า ชมง่วนกับการเซตผม ส่วนหลังร้านสันทนานั่งคุยกับสา สันทนาส่งกล่องใส่เครื่องเพชรให้สา
“ท่านฝากมาให้โสภิตพิไล” สาไม่รับ สันทนาวางลงตรงหน้า “เพชรแท้นะ น้ำงามมาก ผมเลือกเองกับมือ... ท่านบอกให้โสภิตพิไลใส่ไปงานเลี้ยงวันเกิดผม”
“ฉันยังไม่ได้บอกโสภิตพิไลเรื่องท่านเลยค่ะ”
“ก็ควรจะบอกได้แล้ว”
“แกไม่ยอมแน่ๆ ค่ะไม่ต้องพูดเลย”
“ไม่มีใครปฏิเสธท่านได้”
“ฉันจะพาโสภิตหนี” สันทนานิ่วหน้า “ได้ไหมคะ ฉันจะพาแกหนีไปไกลๆ ให้ท่านหาไม่เจอ”
สันทนาบอก “มีคนคิดจะหนีท่านไปต่างประเทศ ยังหนีไม่พ้นเลย คุณไม่รู้หรอกว่าอำนาจท่านล้นฟ้าขนาดไหน” นายพลโทลุกขึ้นยืน ตัดบท “วันงานให้โสภิตพิไลใส่สีแดงนะ ท่านชอบ”
สันทนาจะกลับ สาคิดอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วตัดสินใจร้องเรียก
“เดี๋ยวค่ะ” สาวิ่งเข้าไปกอด “ฉันอยากเจอท่านอยากไปขอร้องท่านด้วยตัวเองท่านอาจจะเมตตาฉันก็ได้” สามองมาแววตาอ้อนวอนสุดๆ “คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะคุณสันทนา นะคะ...นะ”
สากอดสันทนาใช้เสน่ห์หว่านล้อม จนสันทนาใจอ่อน
ยามเย็น บริเวณไซต์ลานกลางแจ้ง ในไซต์งานสร้างเขื่อน อากาศขมุกขมัว ความมืดโรยตัวเข้ามาแทนแสงตะวัน
ปรมัตถ์ จ่อย และคนงานอีกคนกำลังส่องกล้องเซอร์เวย์ จ่อยกับคนงานอีกคนซุบซิบกัน
“เอามา บักจ่อย สิบบาท เอ็งแพ้พนันข้า”
ปรมัตถ์ฉงน “พนันอะไรกัน”
คนงานพยักพเยิดไปที่อีกทาง เห็นคริส ชิษณุ อัญมณีกำลังดูแผนที่ แล้วชี้โน่นนี่ ปรึกษาหารือกันอยู่อีกทางห่างออกไป
“ไอ้บักจ่อยมันหาว่าคุณอัญกับนายช่างฝรั่งเป็นผัวเมียกันแต่ผมว่าไม่ใช่” คนงานว่า
ปรมัตถ์หัวเราะขัน “เลยพนันกัน...โธ่เอ๊ย”
“แหม ก็เห็นมาด้วยกันสองคนกับนายช่างคริส ไอ้เราก็นึกว่าเป็นหยั่งว่า...ที่ไหนได้ กลายเป็นของนายช่างใหญ่ไปซะฉิบ”
ปรมัตถ์ตกใจ เสียงดัง “อะไรนะ! ใครบอก”
จ่อยจุ๊ปาก “ชู่ว์ เบาๆ นายช่างปอ .. ไม่ต้องมีใครบอกหรอก จ่อยเห็นกับตา สองคนนั้นเขาไปกู้อีจู้กันเมื่อคืนนี้”
ปรมัตถ์อึ้ง แต่ก็เชื่อตามนั้น เพราะสังหรณ์อยู่เหมือนกัน จ่อยนินทาต่อ
“คุณอัญย่องออกมาจากห้องนายช่างใหญ่เกือบตีสี่...คราวนี้นายช่างใหญ่คงจะสบายใจ หายเครียดละเว้ย”
จ่อยหัวเราะคิกคัก ปรมัตถ์ฟังแล้วไม่พอใจอย่างแรง เดินออกไปทันที
อัญมณีเดินมากินน้ำที่เพิงพักคนงาน ชิษณุเดินตามมา
“อัญ”
อัญมณีหันมาหา “คะ?”
“เรายังไม่ได้พูดกันเลย...เรื่องเมื่อคืน”
อัญมณียิ้มแย้มเปิดเผย “นุคิดว่าเราทำผิด?”
“ก็...” ชิษณุพูดไม่ออก “ไม่รู้สิ”
อัญมณีมองหน้าเขา “ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ทำให้นุไม่สบายใจ บอกมาคำเดียว อัญจะไป”
ชิษณุสับสนเอามากๆ “ ผม... ผม...”
อัญมณีวางแก้วน้ำ พูดตรงๆ ไม่ได้ประชด “อัญจะไปบอกคริส ให้เขาหาผู้ช่วยใหม่มาแทนให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน”
อัญมณีจะเดินออกไป ชิษณุถาม
“แล้วอัญจะไปไหน” อัญมณีชะงัก “กลับไปอยู่ไอ้สารเลวคนนั้นเหรอ”
“นุจะแคร์ทำไม”
ชิษณุเดินไปหา จับมืออัญมณีไว้ “ผมแคร์คุณนะ อัญ มันอาจจะไม่มากมายเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่เคยไม่แคร์”
ทั้งสองบีบมือกันแน่น มองตากัน เยื่อใยความรักและผูกพันแต่หนหลังยังคงอยู่
ค่ำคืนนั้นโสภิตพิไลนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องนอน เสียงของคุณหญิงศุภลักษณ์ดังก้องอยู่ในความคิด
“คุณหลวงไปถามที่บริษัทจนได้ความมาแล้วจ้ะ ตานุเขาอาสาไปทำเขื่อนที่โคราช ที่นั่นไม่มีโทรศัพท์ โทรเลขก็ไปไม่ถึง มีทางเดียวก็ต้องนั่งรถเข้าไป”
โสภิตพิไลลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดที่ทะมัดทะแมงสำหรับเดินทาง เอาพับใส่กระเป๋าผ้าที่สะพายไปเรียนอย่างแนบเนียน
แววตาหญิงสาวมุ่งมั่นมาดหมายยิ่งนัก
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 33 (ต่อ)
เช้าวันนี้ โสภิตพิไลใส่ชุดนิสิตสะพายกระเป๋าใบเมื่อคืน กำลังจะออกจากบ้านพร้อมชายรวี
“ไปกันเลยนะคะ น้าชาย”
ชายรวีมองโสภิตพิไลทักตามปกติ “วันนี้หอบอะไรไปเรียนเยอะแยะ”
โสภิตพิไลระแวง หนีบกระเป๋าแน่นอย่างลืมตัว
“ข้อสอบเก่าๆ นะค่ะ ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย”
ชายรวีพยักหน้า แล้วพากันเดินออกไป โสภิตพิไลลุ้น ตื่นเต้นกลัวถูกจับได้
สากลับเข้ามาในร้าน ในมือมีกล่องของที่สาถืออย่างระมัดระวัง เพ็ญศรีมองตาม สาเดินหายไปในห้องพัก ด้านหลังร้าน
สาบรรจงเปิดกล่อง เห็นว่าข้างในเป็นปืนพกรุ่นใหม่ขนาดเล็ก เพ็ญศรีตามเข้ามา ส่งเสียงกระแอม
สารีบปิด
“ฉันเห็นนะคะ คุณสา” เพ็ญศรีลงนั่ง พูดถามอย่างห่วงใย “คุณสาไปเอามาจากไหน”
“ซื้อมา”
“เอามาทำไมคะ”
“ป้องกันตัว”
เพ็ญศีไม่เห็นด้วย “คุณสา... คุณเป็นใคร แล้ว “ท่าน” เป็นใคร คุณรนหาที่ตายชัดๆ”
สากลัวเหมือนกัน แต่เพื่อลูกสาวเลยต้องฮึดสู้
“ฉันรู้น่ะ เพ็ญ ไม่ถึงที่สุดจริงๆ ฉันไม่ทำหรอก...ฉันจะลองอ้อนวอนท่านดูก่อนท่านอยากได้อะไร ฉันยอมให้ท่านทุกอย่าง... ขออย่างเดียว ให้ปล่อยโสภิตไป”
เย็นแล้ว ชายรวีเดินกลับเข้าบ้านมา หน้าตาตื่น เจอหวนกำลังทำงานบ้านอยู่ ถามทันที
“พี่หวน โสภิตกลับมาบ้านหรือยัง”
หวนงง “ยังค่ะ อ้าว คุณหนูไม่ได้กลับพร้อมคุณชายหรอกหรือคะ”
หม่อมพริ้มรู้เรื่องก็ตกใจ
“โสภิตหายไป! หมายความว่ายังไงชายไม่ได้ไปส่งที่มหาวิทยาลัยหรอกหรือ”
“ส่งครับ ตอนเย็นผมก็ไปรับตามปกติ... รออยู่นาน ไม่เห็นเขามาซักที เลยไปเดินตามหา พอดีเจอเพื่อนของโสภิต เขาบอกว่า โสภิตไม่ได้เข้าเรียนตั้งแต่เช้าแล้วก็ไม่มีใครเห็นเขาเลยทั้งวัน”
หม่อมพริ้มหน้าเสีย ตกใจมาก “ไม่ได้ไปเรียน แล้วหายไปไหน”
ชายรวีมาตามหาโสภิตพิไลที่ร้านเสริมสวย สาตกใจที่รู้ว่าโสภิตพิไลหายไป เลยโทร.ถามสันทนา
“คุณไม่ได้เอาตัวโสภิตไปแน่นะคะ”
สันทนาพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน “ผมไม่ได้สั่ง”
“แต่ท่านอาจจะสั่ง”
“ไม่มีทาง ถ้าท่านสั่ง ผมก็ต้องรู้”
“ถ้าพวกคุณไม่ได้เอาตัวโสภิตไป แล้วแกหายไปไหน”
สันทนาดักคอ “หายจริงเรอะ...คุณอย่าเล่นลูกไม้ตุกติกกับผมนะ คุณสา”
“ฉันไม่ได้พูดเล่นค่ะ...โสภิตหายไป แกหายไปจริงๆ”
สาวางสาย ชายรวีและใจสว่างยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ชายรวีพูดขึ้น
“ผมว่าโสภิตไม่ได้ถูกใครจับตัวไปหรอกครับ ผมสังเกตท่าทีแกเมื่อเช้า แกตั้งใจจะไปที่ไหนซักแห่งมากกว่า…ผมเดาว่า แกคงจะไปตามหาชิษณุ”
“ที่ไหนล่ะคะ” สาซัก
“นั่นล่ะครับ ที่เป็นปัญหา เพราะไม่มีใครรู้เลย ว่าตอนนี้ชิษณุไปอยู่ที่ไหน”
ใจสว่างที่ฟังอยู่ด้วย ร้องเสียงดังอย่างดีใจ
“หนูรู้ค่ะ หนูรู้” ชายรวีกับสาหันมามอง ใจสว่างพูดอย่างดีใจ “วันก่อนพี่ปรมัตถ์เพิ่งโทร.มาเล่าให้ฟังว่าเขาเจอคุณชิษณุไปทำงานที่เดียวกับเขา... ที่โคราชค่ะ”
ทุกคนยิ้มได้ สีหน้ามีความหวังขึ้นมา
จริงดังว่า บนถนนลูกรังฝุ่นตลบ รถโดยสารเก่าๆ วิ่งโขยกเขยกมา โสภิตพิไลอยู่ในชุดทะมัดทะแมงนั่งอยู่ในรถในนั้นมีชาวบ้าน 7-8 คน
รถวิ่งมาดีๆ ก็จอด ชาวบ้านร้องกันขรม โสภิตพิไลตื่นจากภวังค์ หันมองรอบข้าง เป็นป่าล้วนๆ โสภิตพิไลหันไปถามหญิงชาวบ้านข้างๆ
“รถจอดทำไมคะ ป้า”
เสียงคนขับรถตะโกนมา เป็นภาษาอีสาน
“รถเสียๆๆ”
คนขับลงไปซ่อมรถ ชาวบ้านพากันส่ายหัว โสภิตพิไลมองไปรอบตัวอย่างหวั่นๆ ป้าข้างๆ ยิ้มปลอบ
“มันเป็นแบบนี้ประจำแหละหนู ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวก็วิ่งต่อได้”
โสภิตพิไลฝืนยิ้ม แต่กลัวจับใจ
ในรถโดยสารอีกคัน เป็นรถแบบเดียวกัน สีเดียวกันเปี๊ยบ ต่างกันที่เครื่องประดับที่คนขับ และของตกแต่ง ใจสว่างนั่งหลับตาอยู่ในรถ ที่เขย่าโยกไปมา ตรงที่นั่งข้างๆ ว่างเปล่าชายรวีเดินกลับมา ลงนั่ง เห็นใจสว่างหลับตานิ่งก็มองอย่างเอ็นดู อมยิ้ม แล้วกระแอมเบาๆ ใจสว่างลืมตา หันมา
“อุ๊ย อาจารย์”
“หลับหรือ”
“เปล่าค่ะ หนูสวดมนต์ในใจต่างหาก”
“สวดมนต์!?”
“ค่ะ ลุงสุขเคยสอนว่า เวลาที่เราเจอปัญหา แล้วยังไม่รู้จะแก้ยังไง ให้สวดมนต์”
“สวดมนต์บทไหน”
“บทไหนก็ได้ค่ะ ลุงสุขว่าการสวดมนต์ทำให้เรามีสมาธิ เมื่อมีสมาธิ ก็จะมีปัญญา เมื่อมีปัญญา เราก็จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง”
ชายรวียิ้ม
“ลุงสุขเข้าใจสอน...แต่มีปัญหาอย่างนึง ที่สวดมนต์ช่วยไม่ได้”
ใจสว่างฉงน “อะไรคะ”
ชายรวียื่นส้มในมือให้
“หิว” คุณชายยิ้ม “เรารีบร้อนมา ไม่ทันได้กินอะไรเลย ผมเลยไปขอซื้อมาจากชาวบ้าน” ชายรวีบุ้ยใบ้ไปที่ชาวบ้านที่มีถุงส้มในมือ “เอ้า เอาไป แบ่งกัน แก้หิว”
ใจสว่างรับส้มมา “ขอบคุณค่ะ อาจารย์ใจดีที่สุดเลย”
ใจสว่างยิ้ม แกะส้มกินอย่างสุขใจ รู้สึกดีที่อยู่ใกล้ชายรวี
อีกฟาก รถวิ่งโขยกเขยกมาตามทาง โสภิตพิไลนั่งหลับมาในรถด้วยความอ่อนเพลีย รถจอดพรืด โสภิตพิไลสะดุ้งตื่น เห็นรอบตัวก็ยังมีแต่ป่าเหมือนเดิม
คนขับตะโกนบอก “บุหัวช้าง ถึงแล้ว”
โสภิตพิไลตกใจ รีบถาม
“ป้าคะ หนูจะไปที่-ที่เขาจะทำเขื่อนกันน่ะค่ะ ต้องลงตรงไหน”
“ตรงนี้แหละหนู แต่รถเขาไม่แวะเข้าไปส่งหรอกนะ หนูต้องเดินต่อไปเอง” ป้าบอก
“อ้าว” รถขยับเหมือนจะออก โสภิตพิไลรีบลุกขึ้นร้องลั่น
“เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อน...ขอลงตรงนี้ค่ะ”
โสภิตพิไลลนลานลงไป รถกระชากตัวออก แล้ววิ่งจากไป
โสภิตพิไลยืนมองถนนลูกรังอย่างเคว้งคว้าง แล้วข่มความกลัวกัดฟันเดินต่อไป
บริเวณด้านหน้า ไซต์งาน เย็นเกือบค่ำ ปรมัตถ์กำลังซ่อมรถให้คริสอยู่ตรงนั้น จ่อยช่วยเป็นลูกมือ
“จ่อย สตาร์ทรถซิ”
จ่อยสตาร์ท เครื่องติด ปรมัตถ์ยิ้มพอใจ จ่อยมองไปที่เพิงพัก เห็นชิษณุยืนคุยท่าทีสนิทสนมกับอัญมณี เลยเปิดประเด็น
“ไหนนายช่างบอกว่านายช่างใหญ่กำลังจะแต่งงาน”
“ก็จริงนี่”
“แล้วทำไมเขามาจู๋จี๋ดู๋ดี๋กับคนอื่นแบบนี้ล่ะผู้หญิงทางโน้นเค้าไม่ว่าเอาหรือ”
ปรมัตถ์มองไปที่ชิษณุกับอัญมณียืนคุยกันปรมัตถ์อารมณ์เสีย ปิดฝากระโปรงรถดังปัง! แล้วเดินออกไป
“อ้าว นายช่าง เดี๋ยวก่อนซี แล้วรถนี่จะยังไง” จ่อยเง็ง “อะไรวะ”
โสภิตพิไลเดินมาถึงป้ายที่เขียนว่า “โครงการสำรวจและวิจัยการสร้างเขื่อน” อย่างเหนื่อยอ่อน
เจอกับจ่อยที่เดินงงอยู่แถวนั้น
“ขอโทษนะคะ ฉันมาหานายช่างที่ชื่อชิษณุน่ะค่ะที่บริษัทเขาบอกว่าอยู่ที่นี่”
จ่อยมองโสภิตพิไลอย่างแปลกใจสุดๆ แทบไม่เชื่อสายตาว่าจะมีสาวสวยดั้นด้นมาถึงที่นี่
“นายช่างชิษณุ”
“ค่ะ ฉันเป็นคู่หมั้นของเขา พี่ชิษณุอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”
จ่อยฟังแล้วอ้าปากค้าง ตาเหลือก
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 33 (ต่อ)
คืนนั้นมือใครคนหนึ่งเคาะที่ประตูห้องชิษณุ เจ้าห้องเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ใส่แต่เสื้อกล้าม กำลังเอาผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่ ปากร้องบอก
“เข้ามา”
ประตูเปิด อัญมณีเดินเข้ามา ชิษณุคุยไปเช็ดผมไปอย่างสนิทสนม ไม่ถือสา
“อ้าว อัญ”
“อัญไปบอกคริสแล้วนะ ว่าอัญจะกลับกรุงเทพ ให้เขาหาผู้ช่วยใหม่...คริสโมโหใหญ่เลย”
ชิษณุมองอัญมณีอย่างรู้สึกผิด
“ผมขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร” อัญมณียิ้ม “เราคงไม่ใช่เนื้อคู่กัน ถึงได้เจอกันผิดที่ ผิดเวลาเสมอ”
ชิษณุกุมมือ ให้กำลังใจ “ไม่แน่หรอกอัญ บางที เราอาจได้เจอกันอีก ตอนที่เราต่างไม่มีใครในใจ”
“อัญจะรอนะ นุ”
ทั้งสองมองตากัน เคลิ้มคล้อยทั้งคู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
อัญมณีผละออก “สงสัยจะเป็นคริสแน่ๆ” หญิงสาวเดินไปเปิด ส่งเสียงดัง “จะปล่อยให้คนรักเก่า เขาล่ำลากันหน่อยไม่ได้หรือไงฮะ คริส”
อัญมณีเปิดประตู แล้วชะงัก แปลกใจเมื่อเห็นโสภิตพิไลยืนอยู่
“เอ่อ” โสภิตพิไลลังเล ไม่แน่ใจ
อัญมณีแปลกใจมาก “มาหาใครคะ”
ชิษณุเดินออกมาพอดี “ใครเหรอ อัญ”
โสภิตพิไลเห็นชิษณุใส่เสื้อกล้าม มีผ้าขนหนูพาดไหล่ เดินมาโอบไหล่อัญมณีอย่างสนิทกันก็ช็อก
“พี่นุ”
“โสภิต...น้อง” ชิษณุตั้งสติได้ ปล่อยมือจากอัญมณี “น้องมาได้ยังไง”
“โสอยากรู้ ว่าทำไมพี่นุถึงทิ้งโสไป...” หญิงสาวมองอัญมณี “เพราะอย่างนี้นี่เอง”
“โสภิต ไม่ใช่นะ ไม่ใช่”
“คนใจร้าย!”
โสภิตพิไลผลักชิษณุ แล้ววิ่งหนีไปด้วยความเสียใจ
“โสภิต...เดี๋ยว” ชิษณุวิ่งตามไป
โสภิตพิไลวิ่งไปร้องไห้ไป ชิษณุวิ่งตามมาห่างๆ อัญมณีวิ่งตามชิษณุมาอีกที โสภิตพิไลเห็นปรมัตถ์กำลังสตาร์ทรถ แล้วเดินลงมาโดยไม่ได้ดับเครื่อง โสภิตพิไลวิ่งไปที่รถ
ปรมัตถ์ตกใจ นึกไม่ถึง “โสภิต”
โสภิตพิไลไม่ทันสนใจ วิ่งขึ้นไปบนรถ แล้วขับออกไปทั้งน้ำตานองหน้า
ชิษณุตะโกน “โสภิต กลับมาก่อน กลับมา”
รถวิ่งฝุ่นตลบออกไป ปรมัตถ์เห็นชิษณุกับอัญมณีวิ่งตามมา เลยเดาเหตุการณ์ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
ด้านชิษณุหยุดหอบ อัญมณีวิ่งตามมาทัน
“นี่มันอะไรกันคะ นุ แล้วผู้หญิงคนนั้นคือใคร”
ปรมัตถ์ตอบแทน เสียงขุ่น “เขาชื่อโสภิตพิไลครับ เป็นคู่รักของคุณชิษณุ”
ชิษณุอึ้ง อัญมณีหน้าเสีย รู้เลยว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
โสภิตพิไลขับรถตะบึงไปด้วยความเร็ว ทั้งๆ ที่ร้องไห้อย่างหนัก พอหันมามองถนนอีกที ก็เห็นว่ามีกิ่งไม้ขวางทางโสภิตพิไลหักอย่างเร็ว แล้วเสียหลัก รถลงข้างทางไป
โสภิตพิไลร้องกรี๊ด ด้วยความตกใจ รถกระแทกกับต้นไม้ข้างทาง โสภิตพิไลกระแทกกับตัวรถ แล้วฟุบหมดสติไปคาพวงมาลัย
ฝ่ายใจสว่างหลับซบกับไหล่ของชายรวีโดยไม่รู้ตัว จนรถโดยสารเบรกเอี๊ยด ใจสว่างสะดุ้ง พอรู้ตัวว่าเผลอซบไหล่ชายรวีก็เขิน
“อุ้ย เอ่อ...รถจอดทำไม ถึงแล้วหรือคะ อาจารย์”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน” คุณชายชะเง้อมอง “เหมือนจะมีอุบัติเหตุนะ”
คนขับตะโกนถามไปที่รถโสภิตพิไล “รถเป็นอะไรน่ะมีใครเป็นอะไรหรือเปล่า” แล้วหันมาพูดกับคนในรถ “คนขับฟุบอยู่กับพวงมาลัยแน่ะ ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า”
ชาวบ้าน 1 ในนั้นบอก “แกก็ลงไปดูซี”
ชายรวีชะเง้อมองตาม พบว่าคนในรถคือโสภิตพิไลก็ตกใจ “โสภิต!”
ชายรวีวิ่งลงไปทันที ใจสว่างตามไป
แสงเช้าของวันใหม่ส่องที่ใบหน้าสวยของโสภิตพิไล ทำให้เธอค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา โสภิตพิไล เห็นใบหน้าของใจสว่างที่นั่งเฝ้าอยู่ ก็แปลกใจ
“ใจสว่าง”
“พี่โสภิต” ใจสว่างเสียงใสดีใจมาก “อาจารย์ขาพี่โสภิตฟื้นแล้วค่ะ”
ชายรวีรีบวิ่งเข้ามา โสภิตพิไลค่อยๆ ได้สติ ยันตัวขึ้นนั่ง
“โสภิต เป็นยังไงมั่ง”
“น้าชาย...ใจสว่าง” โสภิตพอไลมองรอบตัว “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“เรามารับเธอกลับบ้าน...เธอหายออกมาทั้งวัน ทุกคนเป็นห่วงมากรู้ไหม”
โสภิตพิไล ซึมเศร้า “โสมาตามพี่นุ แล้ว...” หญิงสาวเสียใจพูดไม่ออก “แล้ว...”
“น้ารู้แล้วล่ะ...เธอเข้าใจผิดนะ โสภิต ชิษณุไม่ได้ทิ้งเธอเพราะผู้หญิงคนนั้น”
โสภิตพิไลท้วง “แต่ว่า...”
“เรื่องระหว่างเธอกับชิษณุมันซับซ้อนกว่านั้น เอาไว้กลับไปถึงกรุงเทพฯ ก่อนแล้วน้าจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง นะ...เชื่อน้า กลับบ้านกันก่อน”
โสภิตพิไลมองหน้าชายรวี ไม่เข้าใจ ใจสว่างเข้ามาประคอง
“กลับบ้านกันนะคะ พี่โสภิต”
ชายรวีกับใจสว่างพาโสภิตพิไลเดินออกมาจากห้องพักฟื้นในไซต์งาน เห็นชิษณุ อัญมณี ปรมัตถ์ยืนรออยู่
“ขอบคุณพี่ปอมากนะคะ ที่โทร.ไปบอก ไม่งั้นพวกเราคงตามหาพี่โสภิตไม่เจอ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
โสภิตพิไลมองปรมัตถ์อย่างขอบคุณ ชิษณุเดินเข้ามาหา
“โสภิต...พี่ขอโทษ ที่ทำให้เธอเสียใจ แต่ขอให้เชื่อ ว่าในใจพี่ ไม่เคยมีใคร นอกจากเธอ”
โสภิตพิไลนิ่ง พูดไม่ออก ร้าวรานไปหมด ชิษณุเข้าใจ
“แล้วสักวันเธอจะเข้าใจ” ชิษณุบอกกับชายรวี “ไอฝากด้วยนะอธิบายให้โสภิตฟังด้วย”
ชายรวีพยักหน้า แล้วพาโสภิตพิไลออกไป ชิษณุหันไปอีกทางเห็นอัญมณียืนน้ำตาคลอๆ อยู่
“อัญก็ขอโทษนะ นุ อัญไม่น่าเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกอัญ ระหว่างผมกับโสภิต มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…เดี๋ยวเขากลับไปถึงบ้าน เขาก็จะรู้เอง ว่าอะไรมันเป็นอะไร”
หม่อมพริ้มรออยู่ในตำหนักขาว ด้วยความกระวนกระวายใจ หวนกับเจิมเฝ้ารออยู่ด้วย
“คุณชายจะมาถึงซักกี่โมงคะ หม่อม” เจิมร้อนใจไม่ต่างกัน
“เขาโทร.มาบอกตอนกำลังออกจากโคราช ก็น่าจะมาถึงได้แล้วนะ”
“นั่นไงคะ มาแล้วค่ะหม่อม”
ชายรวีพาโสภิตพิไลกลับเข้ามา หม่อมพริ้มดีใจ
“โสภิต”
“หม่อมยาย” โสภิตพิไลโผเข้ามากอด
ไม่นานต่อมา โสภิตพิไลกราบขอโทษขอขมา หม่อมพริ้ม
“หนูขอโทษค่ะ ที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไร กลับมาก็ดีแล้ว” หม่อมมองอย่างสงสาร “เจอตานุแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ แต่หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
หม่อมพริ้มสวนขึ้นมา “เธอเป็นน้าของชิษณุ” โสภิตพิไลชะงัก “เธอสองคนเลยแต่งงานกันไม่ได้
โสภิตพิไลตะลึง “อะไรนะคะ...น้า”
“โสภิตพิไล เธอเป็นลูกของท่านพ่อ ที่ติดท้องคุณอุษาไป ตอนที่คุณอุษาพาพี่หญิงโสภาหนีออกจากวังรวีวาร”
โสภิตพิไลช็อก “หนู...หนูเป็น...”
โสภิตพิไลหันมองหน้าเจิมกับหวน ทั้งสองคนพยักหน้า
“เธอเป็นลูกของอีสา สามันเป็นแม่ของเธอ” หม่อมบอกด้วยเสียงทรงอำนาจ
โลกเคยถล่มตรงหน้า เมื่อครั้งถูกชิษณุปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานด้วยและหนีไป หนนี้โสภิตพิไลรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ หญิงสาวนั่งนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาค่อยๆ ไหลรินรดแก้มนวลลงมาช้าๆ ทุกสายตามองมาอย่างเวทนา
อ่านต่อตอนที่ 34