ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 32
กลางดึกคืนนั้นนันทวดีบรรทมอยู่
แต่แล้วจู่ๆ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ รู้สึกว่าตัวเองฝันร้ายไป
เวลาต่อมาเสียงโขลนดังขึ้นที่หน้าห้องบรรทม
“แม่นางโชอั้วมาเข้าเฝ้าพระมเหสี”
โขลนเปิดประตูให้โชอั้วเข้ามาคนเดียวแล้วปิดประตู นันทวดีประทับนิ่งอยู่ที่พระแท่น สีพระพักตร์มีกังวลมาก โชอั้วรีบเข้ามาหมอบเฝ้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“พระพี่นางมีพระประสงค์สิ่งใดถึงให้ข้าพเจ้ามาเข้าเฝ้ายามวิกาลเช่นนี้”
นันทวดีขยับเข้าใกล้โชอั้วมากขึ้น
“โชอั้ว ข้าพเจ้าหวั่นใจจนนอนมิหลับ หากตะละเจ้ายะข่ายเป็นดังที่ท่านแจ้งแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวิตกว่าคงมีเหตุมิปกติเกินขึ้นในแผ่นดินหงสาวดีแล้ว ข้าพเจ้าอยากส่งข่าวไปถึงพระอุปราชบุเรงนองในทัพเหลือเกิน เราจะทำเช่นไรเพื่อจะลอบส่งข่าวนี้โดยมิให้ผู้ใดรู้”
“การนี้ข้าพเจ้าขออาสาหาหนทางเอง”
“ต่อไปนี้เราต้องระวังตะละเจ้ายะข่ายให้จงหนัก และอย่าให้ตะละเจ้ารู้ได้ว่าเราได้ไหวตัวกันแล้ว เรายังแจ้งผู้ใดมิได้นอกจากพระอุปราชบุเรงนอง แผ่นดินหงสาวดีเพลานี้ไร้แม่ทัพที่จะพึ่งเสียแล้ว โชอั้ว...ท่านกับข้าพเจ้าเห็นจะต้องช่วยกันชะลอเหตุร้ายไว้ให้นานที่สุด เพื่อรอให้ทัพพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จกลับมาถึง”
“ข้าพเจ้านี้ก็เป็นบุตรีแม่ทัพ พร้อมจะถวายชีวิตเพื่อการนี้ แต่อดเป็นห่วงพระเจ้าอยู่หัวมิได้ ปลัดวังสมิงสอตุดนั้นแม้อยู่ในพระราชวังยังกล้าละเมิดพระราชอาญาร้ายแรง หากได้ไปอยู่ในทัพกลางสมรภูมิจะกำเริบสันดานก่อการกับพระเจ้าอยู่หัวถึงขนาดไหน”
นันทวดียิ่งตกใจกลัวมากยิ่งขึ้น
ค่ายพระเจ้ามังตราระหว่างทางกลับหงสาวดี ทุกคนหมอบเฝ้าอยู่เต็มเต้นท์ พยัตตะบะประคองถาดน้ำจัณฑ์เข้าก่อนนำไปถวายมังตรา มังตรารับจอกน้ำจัณฑ์ไปเสวย สมิงสอตุดสบตากับเยมส์ และมองไปที่มังตรายกแก้วเหล้ากินจนหมด พระเจ้านรบดีหันมามองจะเด็ด จะเด็ดรู้สึกอึดอัดก่อนจะกราบบังคมทูลกับพระเจ้านรบดี
“พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะจัดทัพนำเสด็จพระเจ้าอยู่หัวมังตรามุ่งสู่กรุงหงสาวดี ขอพระองค์เสด็จแยกทัพกลับแปรเถิด ไพร่พลเหน็ดเหนื่อยมามากจะได้พักผ่อนเสียที”
มังตราขว้างแก้วเหล้าใส่พยัตตะบะ พยัตตะบะหลบเกือบไม่ทัน
“ใคร ใครว่าเราจะกลับหงสาวดี เราจะอยู่ที่นี่ยังไม่มีกำหนดเคลื่อนทัพ”
จะเด็ดได้แต่มองนิ่ง หันมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้านรบดี
“หลานท่านจะเสด็จประทับที่นี่ทำไม ประชาชนกำลังรอเฝ้ารับเสด็จอยู่เต็มกรุงหงสาวดี ทุกคนกำลังจัดงานรอฉลองชัยให้พระองค์”
“ข้าพเจ้าละอายเกินกว่าที่จะบอกประชาชนว่า ข้าพเจ้านี้ชนะศึกโยเดียเพราะแท้จริงแล้วข้าพเจ้าเผาค่ายถอยทัพกลับมาเอง”
“เพราะหลานปรารถนาที่จะดำรงความเป็นพระจักรพรรดิต่างหาก หลานได้กระทำยุทธหัตถีชนะพระเจ้ากรุงโยเดีย ณ กลางทุ่งภูเขาทอง”
“ชนะเพราะอาท่านประหารสตรีกลางศึกต่างหาก ข้าพเจ้าละอายที่จะต้องโป้ปดมดเท็จกับประชาชน ท่านอานำทหารเสด็จกลับแปรไปเถิด ให้ข้าพเจ้าได้ผ่อนใจอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งก่อน”
“ตำราพิชัยสงครามเพื่อการรณรงค์นั้น หาได้สอนให้มีเพียงการประหัตถ์ประหารกันด้วยอาวุธอย่างเดียวไม่ กุศโลบายการสร้างข่าวเพื่อบำรุงขวัญประชาชนในอาณาจักร ก็มีความจำเป็นมิใช่น้อย ขงเบ้งเองก็เคยทำมาแล้วหลายครั้ง เป็นสิ่งที่แม่ทัพทุกคนต้องทำ”
“ใครมิอายก็จงกลับไปมองหน้าประชาชนตัว ข้าพเจ้าจะขออยู่ที่นี่”
พระเจ้านรบดีรู้สึกพระพักตร์ร้อนผ่าว เหมือนถูกสบประมาท จะเด็ดเสียใจมองพระเจ้านรบดีนิ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
“หากหลานท่านมีพระประสงค์เช่นนั้นอาก็สุดจะทัดทาน แต่อาคงต้องนำกองทัพกลับแปร” พระเจ้านรบดีลุกขึ้นยืนช้าๆ “ถึงอย่างไรนับจากนี้ไป ประวัติศาสตร์ของสุวรรณภูมินี้ก็ได้บันทึกไปแล้วว่า อา...พระเจ้าแปรคือผู้ประหารวีระสตรีแห่งกรุงโยเดีย ทั้งๆ ที่อาก็มิได้ตั้งใจ หลานคิดว่าอาภาคภูมิในวีรกรรมนี้หรือ แต่ที่อาต้องทำก็เพื่อจะปกป้องเกียรติยศของคนชนชาติหงสาวดีในศึกครั้งนี้เท่านั้น”
มังตราเงียบ ไม่กล้าตรัสสิ่งใดใดออกมาอีก จะเด็ดรู้สึกซาบซึ้งในพระเจ้านรบดีอย่างมาก
วันต่อมาทหารหงสาวดีนำโชอั้วเดินมาตามตรอกแคบๆ จนมาถึงกลุ่มสอยันปายกับสันเทโวที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่กับกลุ่มทหารและชาวบ้าน
“พระสนมมาแล้วท่านขุนวัง”
“ขออภัยที่ต้องเชิญพระสนมมาอย่างเร่งรีบ ทหารเขาอยากให้พระสนมระบุหมายให้เขาหน่อย เอาหลีกๆ หลีกทางให้พระสนมหน่อย”
ทหารกันชาวบ้านให้แหวกทางออก โชอั้วค่อยๆ เดินแหวกคนเข้ามาดูด้วยใจเต้นระทึก ศพนางข้าหลวงคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าจมโคลนอยู่
“เอา หงายหน้าให้พระสนมดูซิ”
ทหารจับศพนางข้าหลวงหงายขึ้น หน้าตามีแต่โคลน แต่ที่คอนั้นถูกปาดเป็นแผลเหวอะหวะเลือดไหลนอง
โชอั้วหวีดร้องเอามือปิดหน้า ไม่กล้าดู
“ใช่นางข้าหลวงของท่านหรือไม่ แจ้งเรามาเถิด หากพระสนมมิชี้ระบุหมาย ญาติของนางผู้นี้คงมิกล้าออกมาแสดงตัว เราจะเอาไปเผาเป็นศพไร้ญาติ ใช่นางข้าหลวงพระสนมหรือไม่”
โชอั้วยังปิดหน้าไม่กล้าดู แต่พยักหน้าหงึกหงัก
“ใช่ ใช่”
“งั้นพวกข้าพเจ้าก็สิ้นสงสัยแล้ว จะดำเนินตามหาผู้สังหารพระสนมให้แต่ข้าพเจ้าคาดเดาว่านางคงหนีออกมาพบชายชู้แล้วถูกสังหารเอาทรัพย์สิน เชิญพระสนมกลับได้ ทหารส่งพระสนมกลับวัง”
โชอั้วค่อยๆ เปิดหน้าออกดูอีกครั้ง แล้วรีบเข้าไปค้นตัวนางข้าหลวงนั้นอย่างละเอียด
“พระสนมค้นหาอะไร”
โชอั้วค้นไม่เจออะไร หน้าซีด
“พวกท่านเจออะไรบ้าง”
“เจออะไรหรือ”
“นางมิมีของมีค่าอะไรติดตัวบ้างหรือ”
“ข้าพเจ้ามิเจอสิ่งใดเลย คนร้ายคงชิงไปสิ้นแล้ว พระสนมกลับวังเถิด ข้าพเจ้าจะคุมการสอบสวนหาคนสังหารให้เอง”
โชอั้วพยายามกั้นน้ำตา จ้องสอยันปายกับสันเทโวด้วยความแค้น
“พวก มันโหดร้ายอำมหิตมาก สังหารได้แม้สตรี”
สอยันปลายมองโชอั้วด้วยความเห็นใจ โชอั้วเดินปาดน้ำตาออกไป สันเทโวมองตามอย่างสาแก่ใจ
โชอั้วนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้านันทวดี นันทวดีมีสีหน้าตกใจมาก
“มันสังหาร แม่นางขิ่นคยี ที่ข้าพเจ้าให้ลอบออกไปส่งข่าวให้พระอุปราชบุเรงนองอย่างทารุณโหดร้ายที่สุด ข้าพเจ้าสงสารนางเหลือเกิน”
“แล้วสาส์นที่จะส่งไปให้พระอุปราชล่ะ”
“พวกมันคงได้ไป ข้าพเจ้าค้นหาในตัวนางแล้วมิพบ เพลานี้พวกมันรู้แล้วว่าเราระแคะระคายแผนการของมัน”
“ทีนี้เป็นที่แจ้งประจักษ์ชัดแล้วว่า พวกมันกำลังวางแผนร้ายแก่กรุงหงสาวดีเรา จากนี้ไปคงสิ้นหนทางจะส่งข่าวถึงพระอุปราชยังกลางทัพแล้ว พวกมันคงจับตาการเคลื่อนไหวพวกเราทุกฝีก้าว โชอั้ว ขอให้ท่านจงระวังตัวท่านให้จงหนักเถิด”
“ข้าพเจ้ามิกลัว หากพวกมันจะประหารข้าพเจ้าก็มาตัดศีรษะไปได้เลย”
โชอั้วยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร นันทวดีหนักใจมากว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
มุขอายยังมีท่าทางโกรธอยู่มากขณะคุยกับสันเทโวที่ใต้ต้นไม้ในมุมลับตา
“แต่พวกมันเริ่มระแวงในแผนเราแล้วหากมันส่งข่าวไปถึงบุเรงนองได้เราทั้งหมดจะถูกจับประหาร แล้วจะยิ่งไม่ได้อะไรเลย”
“อาสังหารนางข้าหลวงที่ลอบส่งข่าวไปแล้ว ข่าวจะมิมีวันถึงบุเรงนอง”
“แต่หากมิรีบจัดการดับไฟก่อนควันจะคลุ้งไปทั้งป่า เราจะดับมิทันนะอาท่าน”
“หลานท่านอย่าวิตกมากเกินไป เพลานี้อาก็สั่งให้เข้มงวดการส่งข่าวทั้งหมดแล้ว ตองอูจะส่งข่าวลงไปเมาะตะมะก็ต้องผ่านหงสาวดีเรา อามิปล่อยให้รอดตาไปได้”
“แต่ข้าพเจ้าคงถูกพวกมันเจรจาดูหมิ่นถากถางอยู่ทุกวี่วัน จะทนมิไหว”
“พวกมันจะรู้ก็รู้แค่เรื่องการเล็กๆ มิได้กระจ่างเรื่องใหญ่ที่เรากำลังทำ ต้องอดกลั้นไว้ก่อนเถอะหลาน การข้างหน้าสำคัญกว่าเราต้องใจเย็นรอโอกาส มิเช่นนั้นจะพลาดการสำคัญ แล้วเพลานี้กองทหารของพ่อหลานก็ใกล้ถึงชายแดนเมืองตองอูแล้ว หากได้สัญญาณจากท่านสมิงสอตุดเมื่อใดเราก็จะได้ลงมือพร้อมกัน ถ้าเราช่วยกันตัดแขนตัดขามันทั้งสามทางเยี่ยงนี้ มีหรืออาณาจักรหงสาวดีจะรอดเราไปได้เชื่ออา”
มุขอายหงุดหงิดแทบจะทนไม่ได้ แต่ก็จำต้องสงบใจ
พระเจ้านรบดียืนเหม่อมองกองทัพ จะเด็ดยืนคุยอยู่กับสีอ่องและจาเลงกาโบห่างๆ
“ข้าพเจ้าอยากอยู่เป็นเพื่อนพระอุปราชเหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวทรงพระอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ ข้าพระเจ้าเป็นห่วงท่านนัก” สีอ่องบอกกับจะเด็ด
“พี่ท่านอย่าเป็นกังวลเลย ข้าพเจ้ายังมีจาเลงกาโบพี่ท่านอยู่ นำเสด็จพระเจ้าอยู่หัวนรบดีไปให้ถึงกรุงแปรโดยเรียบร้อยเถิด”
“จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรจะได้พบเจอกันอีก”
จะเด็ดยกมือไหว้สีอ่อง สีอ่องไหว้ตอบ และเข้ากอดจะเด็ดแบบเด็กๆ
“หากกลับหงสาวดี แล้วมิต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวใกล้ชิด ข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมท่านที่แปร และจะไปรับแม่ปอละเตียงกับลูกกลับไปอยู่ที่หงสาด้วย” จาเลงกาโบบอก จะเด็ดแยกไปหาพระเจ้านรบดี
“ข้าพเจ้าและกองทัพพระเจ้าอยู่หัวขอส่งเสด็จพระองค์”
“ดูแลมังตราให้ดี หากมิยอมรับในกุศโลบายนี้เห็นทีตำราพิชัยสงครามเล่มไหนก็มิอาจสนองความรู้พระองค์ได้ตำราที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่าตำราพิชัยสงครามใดใดก็คือตำราที่ว่าด้วยการไม่ก่อศึก”
จะเด็ดเข้าใจพระเจ้านรบดีและรู้สึกศรัทธาความเมตตาของพระองค์มาตลอด พนมมือรับ
“ข้าพเจ้าจะหาวิธีกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวมังตรา ให้ทรงวินิจฉัยให้ถูกต้องจงได้ ขอพระองค์เสด็จนิวัติแปรด้วยสิริสวัสดิ์ทุกประการเทอญ”
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 32 (ต่อ)
ท้องพระโรงในตองอู จันทราประทับอ่านสาส์นที่จะเด็ดส่งมาอย่างไม่สบายใจนัก ตะละแม่ต่างๆ นั่งล้อมฟัง
“พระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับระหว่างทาง ยังมิเข้ากรุงหงสาวดี พระอุปราชจึงยังมิมีกำหนดจะกลับตองอู”
“การศึกโยเดียครั้งนี้ใหญ่หลวงกว่าทุกคราว พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมามาก คงอยากทรงพักผ่อนพระอิริยาบถบ้าง พวกเราน่าจะต้องถวายพระพรจึงจะควร”
โขลนเดินเข้ามาเฝ้า
“พระยาตองอูทะกยอดินมีราชการด่วนมาขอเข้าเฝ้าตะละแม่”
จันทราพยักหน้าให้โขลนไปนำทะกยอดินเข้ามา ทุกคนขยับนั่งให้สำรวมขึ้น โขลนกลับไปนำทะกยอดินเข้ามากับนายกองทหาร 4-5 นาย
“ตะละแม่ เพลานี้พระเจ้าเมงบา กำลังยกทัพยะข่ายบุกข้ามแดนมาสู่เมืองตองอูของเรา”
“พระเจ้ายะข่ายยกทัพมาด้วยการใด” กุสุมาถามอย่างแปลกใจ
“คงเป็นการประสงค์ร้ายแน่ เพราะมิมีสาส์นใดใดแจ้งล่วงหน้ามาเลยการยกทัพออกจากอาณาเขตแคว้นแดนตัวโดยมิมีเหตุจำเป็น มีโทษถึงขบถทีเดียว”
“งั้นก็หมายว่า พระเจ้ายะข่ายเป็นขบถเช่นนั้นซิ”
“หาเป็นข้ออื่นได้ไม่”
“เราต้องรีบส่งข่าวไปแจ้งท่านบุเรงนองโดยเร็วด่วน”
“สถานการณ์นี้การสื่อสารคงถูกตัดขาด ถึงให้ม้าเร็วลงไป พวกยะข่ายคงมิยอมให้การข่าวเราผ่านไปได้แน่”
“งั้นส่งไปให้สมเด็จพ่อที่กรุงแปรก็ได้ แปรอยู่ใกล้กว่า”
“ข้าพเจ้าได้ส่งม้าเร็วไปแล้ว แต่มิรู้จะฝ่ากองสอดแนมของยะข่ายได้หรือไม่”
“แล้วท่านพระยาตองอูมีกำลังทหารพอที่จะต้านไหวหรือ กำลังที่เรามีอยู่ก็น้อยเหลือเกิน”
“ถึงจะน้อย ข้าพเจ้าก็จะขอถวายชีวิตปกป้องคุ้มครองตะละแม่จนสุดชีวิต”
ทุกคนมองทะกยอดินตกใจ
“เราจะถึงขั้นเสียเมืองตองอูมั้ยท่านทกะยดิน”
ทะกยอดินเงียบ ไม่กล้าตอบ
บนกำแพงเมืองตองอู ทะกยอดินยืนมองทัพยะข่ายอยู่กับเหล่าทหารอย่างหนักใจ จาพาควบม้ามาวิ่งไปมาอยู่ที่หน้าทะกยอดินที่อยู่บนกำแพง
“ตองอูเพลานี้มิมีแม่ทัพประจำเมือง ท่านพระยาตองอูก็แก่เกินจะออกมาสู้รบกลางแปลงกับเราแล้ว จงยอมมอบตัวตะละแม่พระชายาของบุเรงนองมาอยู่ในความคุ้มครองของเราแต่โดยดีเถิด อย่าให้พวกเราต้องใช้กำลังบุกข้ามกำแพงเข้าไป มิเช่นนั้นหัวท่านจะมิได้ตั้งอยู่บนบ่าอีก ว่าไง จะส่งตะละแม่ทั้งหลายออกมาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเราแต่โดยดี หรือจะให้เรานำกองทหารบุกข้ามกำแพงเข้าไปลากตัวออกมา แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าประการหลังจะมิสมพระเกียรติแก่พระชายาพระอุปราชแห่งหงสาวดีดอกนะ”
ทะกยอดินเครียดจัด ไม่รู้จะตัดสินใจดี
จันทราและเหล่าพระชายาทั้งหลายต่างนั่งนิ่งอยู่ที่ท้องพระโรง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี ทะกยอดินหมอบเฝ้าอยู่กับเหล่าทหารน้ำตาคลอเสียใจที่ปกป้องตองอูมิได้
“ข้าพเจ้าหาได้เสียดายศีรษะที่มีอยู่นี้ดอก ข้าพเจ้ายินดีจะสู้กับพวกมันจนตัวตาย แต่ข้าพเจ้าจนปัญญาว่าจะทำอย่างไรถึงจะรักษาตะละแม่ให้แคล้วคลาดจากภัยนี้ได้”
“หากสู้ต่อไปก็คงมิชนะเขา สู้รักษาบ้านเมืองและชีวิตประชาชนมิให้ต้องทุกข์ยากดีกว่า จงส่งข้าพเจ้าออกไปเจรจากับพระเจ้าเมงบาเถิด” จันทราบอก
“อย่านะตะละแม่ ขืนออกไปเจรจา พวกมันก็กุมตัวตะละแม่ไว้นะซิอย่านะ”
“ท่านทกะยอดิน อย่างเพิ่งกังวลกับความปลอดภัยของพวกเราเลย ทัพที่พระเจ้าเมงบายกมาก็มิใช่กำลังทัพใหญ่มากนัก ด้วยคงคิดว่าตองอูมีทหารเหลือมิมากคงเอาชนะมิยาก ดังนั้นข้าพเจ้าว่าขอท่านจงยื้อทัพไว้ให้นานที่สุดก่อน อย่างน้อยอีกมินานการข่าวของท่านที่ส่งไปถึงเมืองแปร ก็จะทำให้ทหารแปรรีบยกทัพมาช่วย”
“ใช่ๆๆ ยื้อศึกไว้ก่อน พระเจ้าแปรคงส่งทัพมาช่วยทันแน่ๆ”
“หมดหวังเสียแล้วตะละแม่ ม้าเร็วที่ข้าพเจ้าส่งไปถูกมันจับสังหารไปเมื่อสามวันก่อนแล้ว”
เหล่าตะละแม่ทั้งหลายตกใจ ทำอะไรไม่ถูก จันทรานิ่ง ตัดสินใจแน่วแน่
“ทำตามข้าพเจ้าบอกเถิดท่านพระยาตองอู จัดขบวนให้ข้าพเจ้าออกไป เฝ้าพระเจ้าเมงบาเถิด อย่าให้ทหารต้องเสียชีวิตมากกว่านี้เลย”
กันทิมาฟังการเจรจาของตะละแม่กับทกะยอดิน สีหน้าครุ่นคิด จันทรานิ่งพร้อมพลีชีวิตแล้ว
ที่ค่ายมังตราระหว่างทางกลับหงสาวดี จะเด็ดควบม้ามากับจาเลงกาโบ ลาดตระเวนเรียบหาดมา มีทหารม้าควบตาม
“เหตุใดการข่าวจากกรุงหงสาวดีและตองอูเพลานี้เงียบไป มีข่าวอันใดตกไปถึงพี่ท่านบ้างไม๊” จะเด็ดถามจาเลงกาโบ
“มิมีเช่นกัน ครั้งล่าสุดที่ได้รับก็เมื่อตอนยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตง เมื่อครั้งมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ข้าพเจ้าเคยแจ้งข่าวไปครั้งหนึ่ง แต่มิเห็นผู้ใดตอบมา”
“ใยจะมาเงียบการข่าวดูผิดวิสัย เงียบทั้งตองอูและหงสาวดี”
“ข้าพเจ้าเคยสอบถามพ่อค้าที่นำเรือทวนน้ำขึ้นไปค้าที่หงสาวดี ก็เห็นว่าประชาชนกรุงหงสาวดีเป็นปกติสุขดี”
“แต่ข้าพเจ้าเป็นห่วงการในพระราชวังหลวง การข่าวไม่น่าเว้นระยะห่างนานเช่นนี้”
“งั้นข้าพเจ้าจะรีบส่งม้าเร็วไปนำข่าวหงสาวดีและตองอูมาแจ้งพระอุปราชให้เร็วที่สุด”
“ขอบน้ำใจพี่ท่านมาก”
พยัตตะบะกำลังถวายน้ำโสมแด่มังตราที่พักเกษมสำราญอยู่ด้วยพระอาการเมามาย สมิงสอตุดและเยมส์ เข้าเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
“ข้ามีความสุขนักที่ได้พักอยู่ที่นี่”
“อากาศก็ดียิ่ง ข้าพเจ้าชอบมาก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่อีกสักพัก ท่านว่าอย่างไร” มังตราหันไปถามสมิงสอตุด
“หากพระองค์เกษมสำราญ ข้าพเจ้าก็เห็นดีด้วย”
มหาดเล็กเดินนำจะเด็ดเข้ามาเฝ้า
“ข้าพเจ้ามีเรื่องจะมากราบทูล”
“มิใช่เพลาจะประชุมการ เราต้องการพักผ่อนมิอยากคิดเรื่องการใดใดพี่ท่านตัดสินใจทำไปได้เลย”
“ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงพักพระเกษมสำราญมาพอแล้ว ควรเสด็จนิวัติหงสาวดีเสียที”
“ยัง เรากำลังมีความสุข ถ้าพี่ท่านคิดถึงเมียก็กลับไปก่อน การศึกสงบสิ้นแล้ว พี่ท่านก็ไม่มีเรื่องอันใดต้องทำ”
“ข้าพเจ้าเป็นห่วงราชการงานเมือง เพลานี้หงสาวดีมิได้มีแค่กรุงหงสาวดีเมืองเดียว ยังมีดินแดนแคว้นอื่นในปกครองอีกหลายเมือง เมืองหลวงมิมีพระเจ้าอยู่หัวประทับบัญชาราชการ ไพร่ฟ้าประชาชนจะเกิดวิตกทุกข์ร้อนได้”
มังตราเงียบเริ่มหายใจไม่ปกติ แต่จะเด็ดยังไม่สังเกต “เสด็จนิวัติหงสาวดีเถิด ประชาชนทั้งกรุงรอเฝ้ารับเสด็จพระองค์อยู่” มังตราหายใจช้าลงเรื่อยๆ “และที่สำคัญ เพลานี้การข่าวจากเมืองต่างๆ เงียบหายไป ข้าพเจ้าเป็นห่วงอยากรีบยกทัพกลับโดยเร็ว”
สมิงสอตุดรีบกลบเกลื่อน
“พระอุปราชกราบทูลเกินจริง พระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพระสำราญ จะทำให้หมดบรรยากาศสนุก”
“พวกท่านก็เช่นกันเลิกสนองน้ำโสมได้แล้ว หวังลาภยศด้วยการปรนเปรอเช่นนี้มิละอายใจบ้างหรือ”
สมิงสอตุดโกรธขยับตัวขึ้น
“พระอุปราชเจรจาเช่นนี้หมิ่นข้าพเจ้ามากเกินไป”
จะเด็ดจ้องมองนิ่งวางอำนาจ
“เราเป็นพระอุปราชหงสาวดี ตำแหน่งเรามีอำนาจถึงประหารคน หากเห็นว่าผู้ใดกระทำผิดเป็นเหตุให้เสียหายแก่แผ่นดิน ท่านคิดว่าเราหมิ่นท่านตรงไหน”
สมิงสอตุดโกรธมากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จะเด็ดจ้องสมิงสอตุดอย่างมีอำนาจเหนือกว่า พยัตตะบะกลัว รีบถอยห่างออกจากมังตรา ขณะที่มังตราทรุดลงจอกน้ำโสมกระเด็น จะเด็ดรีบพุ่งเข้าพยุงมังตราด้วยความตกใจ
“พระเจ้าอยู่หัว” สมิงสอตุดตกใจ แต่ก็ดีใจยืนมองนิ่ง มหาดเล็กตกใจรีบมามุงดูอยู่รอบๆ “นิ่งกันอยู่ทำไม ไปตามหมอหลวงมา”
มหาดเล็กได้สติรีบวิ่งออกไป
“หมอหลวง หมอหลวงมานี่เร็ว หมอหลวง”
จะเด็ดประคองมังตราอยู่ด้วยความตกใจ
“ไปเอาผ้าชุบน้ำมา”
พยัตตะบะถือโอกาสวิ่งออกไป ทิ้งให้จะเด็ดอยู่ดูมังตรากับสมิงสอตุด สมิงสอตุดยืนมองนิ่งอย่างพอใจ
ลานหน้าพระราชวังหลวงหงสาวดี ทหารม้าหงสาวดีแต่งกายแปลกๆ กลุ่มหนึ่งควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งเลยขึ้นไปถึงบนพระราชวังหลวง ทหารรักษาวังตกใจจับอาวุธออกมาสู้ ถูกทหารม้าฆ่าตายไปหลายคน สันเทโวควบม้าตามเข้ามาสั่งการ
“ผู้ใดต่อสู้ขัดขวางฆ่ามันให้หมด ทุกคนฟังไว้ เพลานี้กรุงหงสาวดีถูกเราสันเทโวและขุนวังสอยันปายทำการปฏิวัติยึดไว้หมดแล้ว ใครไม่อยากตายให้วางอาวุธ”
ทหารวังที่ยังจงรักษ์ภักดียังพยายามต่อสู้อยู่ ทหารวังคนหนึ่งรีบหนีออกไป
นันทวดีทรงงานอยู่กับโชอั้วที่ตำหนัก มีนางข้าหลวงช่วย เสียงนางข้าหลวงด้านนอกร้องโวยวาย
“พระมเหสีได้โปรดเถิด พระมเหสี” นันทวดีตกใจ ยังไม่ทันตั้งตัว ทหารวังกับนางข้าหลวงด้านนอกก็วิ่งเข้ามา
“เกิดเรื่องร้ายแล้วพระมเหสี มีพวกขบถเข้ายึดวังหลวง”
นันทวดีและโชอั้วยังมิทันขยับตัว ทหารขบถก็พรวดเข้ามาเต็มพระตำหนัก นันทวดีเข้ากันทหารวังไว้
“ผู้ใดบุกเข้ามาในตำหนักฝ่ายในมีโทษถึงตัดหัว”
สันเทโวเดินถือดาบเข้ามา ยิ้มกร่าง
“และหากถืออาวุธเข้ามาด้วยจะมีโทษถึงขั้นไหนอีก” นันทวดีกับโชอั้วจ้องมองสันเทโวอย่างเกลียดชัง
“บัดนี้ทหารข้าพเจ้าได้ยึดพระราชวังหลวงหงสาวดีไว้หมดแล้ว หากพระมเหสีต้องการความปลอดภัยจงอยู่ในคำสั่งข้าพเจ้า และปฏิบัติพระองค์อยู่ในพระราชวังนี้อย่างสงบ”
“ข้าพเจ้านึกแล้วว่าต้องเป็นท่าน”
“พระเชษฐาตัวเองยังทรยศได้ พวกเลี้ยงมิเชื่อง”
“ขอพระมเหสีเสด็จไปยังท้องพระโรงหน้าเถิด ทุกคนรอพระมเหสีอยู่ทหารเชิญพระมเหสีออกไป”
ทหารขบถขยับเข้ามา โชอั้วเข้าขวาง
“อย่าแตะต้องพระวรกายพระมเหสี”
นันทวดีจ้องมองอย่างไว้พระยศจนทหารต้องหยุด แล้วนันทวดีจึงเสด็จออกไปเอง ทุกคนออกเดินตาม
อ่านต่อตอนที่ 33