ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 33 อวสาน
สันเทโวและทหารขบถคุมตัวนันทวดีกับโชอั้วและนางข้าหลวง ออกมาจากท้องพระโรงในสู่ท้องพระโรงหน้า
มีทหารขบถควบคุมขุนนางชายออกไปไว้ที่ลานกันขวักไขว่
“มันกล้าดีอาจหาญก่อการขบถ พวกยะข่ายมันคืออสรพิษร้ายมิมีวันเลี้ยงเชื่อง” โชอั้วบอกอย่างแค้น
“ขอทรงตั้งสติมั่นไว้ พวกมันทำอะไรเรามิได้ดอก” นันทวดีพูดเบาๆ “ลำพังตะละเจ้ามุขอายกับท่านสันเทโว คงมิมีกำลังพอจะยึดหงสาวดีได้ ทรงอย่ากลัว”
นันทวดีไม่กล้าพูดต่อ กลัวเรื่องจะรั่วไปถึงฝ่ายตรงข้าม ทหารขบถชุดใหม่กรู่เข้ามากันอีกชุดใหญ่ ทุกคนหันไปมองตกใจ
“ทุกคนอยู่ในความสงบ ห้ามเคลื่อนไหว
โชอั้วแค้นใจลุกพรวดไปหาทั้งๆ ที่ไม่มีแรง นันทวดียั้งไว้
“มุขอาย เจ้าเหิมเกริมเกินสตรีไปแล้ว ชั่ว”
“อย่าโชอั้ว อย่า” นันทวดีมองสอยันปลายอย่างนึกไม่ถึง “เรานี้นึกมิถึงเลยว่าผู้ที่ให้การสนับสนุนพวกยะข่ายก่อการขบถ คือขุนวังสอยันปาย” สอยันปายนิ่งเงียบ “มุขอาย กรุงหงสาวดีนี้เป็นเมืองมงคล มิมีบุญญาธิการอย่าหวังว่าจะได้นั่งบัลลังก์เด็ดขาด”
มุขอายยิ้มยั่ว เดินไปนั่งบนบัลลังก์ สอยันปายทรุดลงข้างบัลลังก์
“บัลลังก์นี้คือของข้าพเจ้ากับท่านสมิงสอตุด ส่วนที่ของพวกท่าน ข้าพเจ้าจะให้ท่านสอยันปายจัดให้ใหม่”
โชอั้วระงับความโกรธไม่อยู่ลุกพรวดไปหา ทหารกั้นไว้
“คอยดู พระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงหงสาวดีเมื่อไหร่ พวกแกจะถูกตัดหัวหมดทุกคน”
“ตะเบงชะเวตี้คงจะสิ้นบุญก่อนได้เข้ากรุงหงสาวดีแล้ว”
นันทวดีและโชอั้วมีสีหน้าตกใจที่ได้ยินมุขอายพูดเช่นนั้น
“ใครทำอะไรพระเจ้าอยู่หัว”
“เป็นไปมิได้ จะเด็ดมิมีวันปล่อยให้ใครทำร้ายพระเจ้าอยู่หัวได้”
“บุเรงนองของท่านก็จะมิมีวันกลับมาเหยียบกรุงหงสาวดีอีกเช่นกัน” ทุกคนตกใจ หน้าซีด “บัลลังก์นี่จะรอท่านสมิงสอตุดกลับมานั่งคู่กับข้าพเจ้า เมื่อทำพิธีปราบดาภิเษกแล้ว หากผู้ใดร้องขอชีวิต ข้าพเจ้าก็จะปล่อยผู้นั้นไป”
นันทวดีจ้องมองมุขอายอย่างเจ็บแค้น มุขอายนั่งอยู่บนบัลลังก์มองมาอย่างเย้ยหยั่น
ทะกยอดินและเหล่าทหารยืนเต็มลาน จันทราเดินนำกุสุมาและคนอื่นๆ ออกมา มีเชงสอบู อเทตยาตามมาส่ง แต่ละนางพยายามกลั้นน้ำตาไว้ด้วยสงสารจันทรา
“ข้าพเจ้าพร้อมแล้วท่านทกะยดิน พาเราไปเฝ้าพระเจ้าเมงบาเถิด”
ทะกยอดินและทหารพากันถวายบังคม
“ข้าพเจ้าละอายใจเหลือเกิน ที่ต้องยอมนำตะละแม่ออกไปเฝ้าพระเจ้าเมงบา หากความตายของข้าพเจ้าแลกกับการนี้ได้ ข้าพเจ้าจะขอออกไปให้พวกยะข่ายมันตัดหัวบัดเดี๋ยวนี้”
“อย่าเลย ท่านยังต้องอยู่แก้ไขเหตุการณ์บ้านเมืองให้รอดได้อยู่ ข้าพเจ้าเป็นสตรีพระเจ้ายะข่ายคงมิยอมเสื่อมเกียรติประหารสตรีดอก การนี้เป็นเพียงข้าพเจ้าช่วยชะลอเหตุไว้เท่านั้น หากมิออกไปพวกยะข่ายคงปีนกำแพงเข้ามาแน่”
“ขอให้พี่ท่านรอดปลอดภัย อย่ามีผู้ใดทำร้ายพี่ท่านได้”
เชงสอบูกับอเทตยาและนางข้าหลวง ทรุดลงกราบจันทราร้องไห้
“ไปกันเถิด”
ทะกยอดินเดินนำจันทราตรงไปที่ประตูรั้ว ทันใดนั้นกันทิมากับคนงานตีดาบก็พรวดปีนกำแพงอีกด้าน เข้ามาทรุดลงกับพื้นขวางทางไว้
“ช้าก่อนตะละแม่”
“กันทิมา/แม่กันทิมา”
“ข้าพเจ้ามารับตะละแม่ทั้งหมด หนีออกจากตองอู” ทุกคนยังยืนงงอยู่ “ขอท่านทะกยอดินจงรบยื้อศึก เพื่อถ่วงให้ข้าพเจ้ามีเวลาพาตะละแม่หนีไปให้ไกลที่สุดเถิด ข้าพเจ้าขออารักษ์ขาถวายชีวิตแด่ตะละแม่เอง”
จันทรายืนมองกันทิมาด้วยความซาบซึ้ง กุสุมาเข้ามาหาจันทรา
“เราคงมิมีทางเลือกดีกว่านี้แล้วพี่ท่าน”
“หากท่านตกเป็นองค์ประกัน ต่อให้บุเรงนองมีทหารอยู่นับแสนก็มิยอมเอาชนะพวกยะข่ายเด็ดขาด”
ทะกยอดินเข้ามาหา สีหน้าเด็ดเดี่ยวขึ้น
“ขอตะละแม่รีบเสด็จเถิด รบครั้งนี้ข้าพเจ้ามิกลัวตายแล้ว”
“ขอท่านต่อสู้แต่เพียงป้องกันพระนคร ข้าพเจ้าจะรีบหาทางส่งข่าวไปแจ้งท่านบุเรงนองและเมืองแปรให้ส่งทหารมาช่วยโดยเร็ว” จันทราบอก
กระโจมพักชั่วคราวค่ายทหารมังตรา เยมส์กำลังคุมซ้อมยิงปืนใหญ่อยู่
“ปืนใหญ่ยิง”
แสงเพลิงระเบิดออกจากกระบอกปืนดูน่ากลัว ทหารหงสาที่ซ้อมอยู่พากันหัวเราะสนุกสนานเพราะบางคนกลัวมาก จนกระทั่งเห็นมังตราประทับยืนหน้าพลับพลาเต้นท์ชั่วคราวทอดพระเนตรอยู่อย่างพอใจ สมิงสอตุดกับพยัตตะบะคอยถวายน้ำโสมอย่างเอาใจ จะเด็ดยืนมองอยู่กับจาเลงกาโบห่างออกมาอย่างไม่พอใจ
“ดูพระองค์จะทรงพระเกษมสำราญเกินไปแล้ว”
มังตราเริ่มหายใจไม่ทันขึ้นมาอีก โบกพระหัตถ์ให้มหาดเล็กพาไปนั่งในพลับพลา
“ไปในพลับพลาดีกว่า ตรงนี้ลมแรงเกินไป”
สมิงสอตุดแอบยิ้ม แล้วช่วยพามังตราเข้าไปในพลับพลา
“ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าสุดทนแล้ว หากมิจัดการให้พระเจ้าอยู่หัวนิวัตหงสาวดีโดยเร็ว อาจจะเกิดเรื่องร้ายได้” จะเด็ดบอกกับจาเลงกาโบ
“ระวังด้วยนะพระอุปราช พระเจ้าอยู่หัวมิทรงฟังพวกเราแล้ว”
จะเด็ดเดินเข้าไปหามังตรา จาเลงกาโบมองตามอย่างหนักใจ มังตราอยู่ในอาการเมามาย มีพยัตตะะกับสมิงสอตุดเฝ้าถวายงานอยู่ จะเด็ดเดินหน้าขมึงถึงมาฉวยแก้วที่พยัตตะบะกำลังจะถวายทิ้ง
“ไป ทุกคนออกไป หาไม่กูจะกุดหัวพวกมึงให้หมด” ทุกคนตกใจรีบออกไป มังตราหัวเราะชอบใจที่เห็นจะเด็ดโกรธ “ทำไมพระองค์ไม่เสด็จกลับหงสาวดี”
“กลับไปให้ไพร่ทหารมันหัวเราะเยาะเอาหรือ ใครๆ ก็รู้ว่าเราแพ้ศึก”
“แพ้ตรงไหน เราเลิกทัพเพราะพระเจ้ากรุงโยเดียยอมเจรจาสงบศึก เท่ากับเรายังชนะอยู่”
“เรายกไพร่พลไปไกลตั้งหลายหมื่นลี้ แม้แต่เท้าสักข้างก็ไม่อาจเข้าไปเหยียบภายในกำแพงเมืองโยเดียได้ อย่างนี้หรือเรียกว่าชนะ”
จะเด็ดคุกเข่าลงอย่างเสียใจ
“วันนี้ข้าพเจ้าถือเป็นเสมือนวันสุดท้าย ที่จะมีชีวิตให้ตะเบงชะเวตี้ช่วงใช้ เพลิงพิโรธที่สุมในอกน้องท่าน ข้าพเจ้าจะไม่มีวันให้เกิดขึ้นอีก”
มังตรามองจะเด็ดอย่างขมขื่น
“คนร้อยลิ้นเล่ห์กระเท่อย่างท่านเราตามมิทันดอก”
“สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ขอให้น้องท่านรู้เถิดว่าข้าพเจ้านี้ควักออกจากในอกพูดอย่างพี่พูดกับน้อง”
“เราจะกินเหล้า ท่านจะไปไหนก็ไป”
มังตราเดินจะไปรินเหล้า จะเด็ดไปแยกจอกมา
“สิ่งที่น้องท่านพิโรธอยู่นี้หาได้เกิดเพราะสาเหตุอื่นดอก แต่เกิดจากความริษยาข้าพเจ้าจากในอกต่างหาก”
มังตราหัวเราะกลบเกลื่อน
“เราริษยาท่านแล้วจะปูนยศให้ท่านขึ้นเป็นอุปราชทำไม เราอยากให้ท่านเป็นถึงพระเจ้าตองอูด้วยซ้ำ”
“ปฐมเหตุก็เพราะท่านอับอายผู้คนเมื่อครั้งแพ้ศึกแปร ทหารถูกล้อมตายเกือบหมดทัพ แต่ข้าพเจ้ากลับได้แปรโดยใช้กำลังทหารน้อยกว่า ส่วนหงสาวดีหรือเมาะตะมะนี้ ที่ได้มาก็เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ทำศึกถวาย ท่านหมายจะไปตียะข่ายแก้หน้าโดยมิยอมให้ข้าพเจ้าร่วมทัพ แต่กลับได้เมืองยะข่ายมาโดยมิได้ทำศึก แล้วไปทำศึกโยเดียนี่ก็เพราะมั่นพระทัยว่ามีกองปืนใหญ่ของพวกหนังขาว แต่ต้องกลับกรุงหงสาวดีมือเปล่า จึงยิ่งทำให้น้อยใจริษยาข้าพเจ้าหนักขึ้นจนไม่กล้าเข้าหงสาวดี”
“ท่านมายั่วให้เราโกรธ อยากตายใช่ไม๊”
มังตรากระชากดาบที่บรรจุกระดูกมหาเถรไว้หมายจะฟันจะเด็ด จะเด็ดยืนให้ฟันนิ่งแต่มังตราหยุดใจไว้ทัน แล้วเดินหนี
“ท่านใจฝ่อ เพราะแท้จริงในใจน้องท่านรักและเมตตาข้าพเจ้ายิ่งกว่าผู้ใด” มังตราน้ำตาคลอ
“ท่านเจตนาหยามเราซึ่งหน้า เพราะรู้ว่าเรารักใช่ไม๊”
จะเด็ดคลานเข้ามากราบเท้ามังตราร้องไห้ มังตราก็ร้องไห้เหมือนกัน
“หากมิพูดกันให้สิ้นวันนี้ ต่อไปข้างหน้าน้องท่านก็จะมองข้าพเจ้าข้างร้ายตลอดไป” มังตรากลั้นน้ำตาเดินหนี
“กลับไปหงสาครั้งนี้ท่านจงไปอยู่ตองอูเสีย จะมาอีกทีก็ขอให้ข้าพเจ้าตายก่อน” จะเด็ดน้ำตาตก
“มังตรา น้องท่านอยู่ในตำแหน่งหาคนเทียบกุศลบารมีมิได้ แล้วทำไมไม่ทำดวงจิตให้เป็นสุขเพราะเสวยกุศลบารมี”
“เราบอกให้ออกไป”
“ข้าพเจ้ามีสิ่งสำคัญจะพูดให้ท่านทวีความริษยา เพื่อจะได้ประหารข้าพเจ้าให้สิ้นเสียที”
มังตราหันกลับมาตาขวาง
“อย่าท้าเรา จะเด็ด”
จะเด็ดจ้องตามังตรานิ่ง
“ข้าพเจ้านี้ หากจะเทียบยศบุเรงนองเบื้องหน้าแล้ว นับว่าความรุ่งเรืองปัจจุบันนี้ยังน้อยนัก เพราะมหาเถรได้ทำนายว่าชะตาชีวิตข้าพเจ้าจะได้เป็นถึง บุเรงนองมหาจักรพรรดิ์ ครองทั้งสุวรรณภูมิ”
มังตราโกรธจนคลั่งร้องไห้ดังลั่นแต่ไม่กล้าฟันจะเด็ด สุดท้ายขว้างดาบออกไป เฉียดจะเด็ดไปนิดเดียว
ดาบพุ่งปักกับพื้นอย่างแรง
“เนื้อแท้พระมหาเถรมังสินธูอุ้มชูท่าน เพราะจะให้มากบฏแข่งบุญกับเรานี่เอง”
“มิจริงตามนั้น พระคุณเจ้าบังคับให้ข้าพเจ้าให้สัตย์สาบานไว้ถึงสองหนว่า เบื้องหน้ารอยบุญตัวจะรุ่งเรืองขึ้นฉันใดก็ดี จะต้องมิคิดแย่งเศวตรฉัตรมังตรา ข้าพเจ้ากระทำตามคำสาบานนี้ทุกวัน” จะเด็ดหันไปดึงดาบขึ้นมาส่งถวายมังตรา “หากน้องท่านยังระแวงสิ่งใดในตัวข้าพเจ้า ก็จงประหารเถิด”
มังตรากระชากดาบมาแล้วขว้างทิ้งอีกครั้ง คราวนี้ทรุดลงกอดจะเด็ดร้องไห้เป็นเด็กๆ
“ข้าพเจ้ารักพี่ท่า อภัยข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว”
จะเด็ดกอดมังตราเหมือนตอนยังเป็นเด็กๆ ด้วยกัน
“พรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะจัดทัพเข้ากรุงหงสาวดีถวายน้องท่านให้ยิ่งใหญ่อย่างพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ชนะศึก เราจะกลับกรุงหงสาวดีด้วยกัน”
พี่น้องสองคนกอดกันร้องไห้ แต่แล้วมังตราก็อ่อนแรงหายใจช้าลง
“พี่ พี่ท่าน ข้าพเจ้า หายใจ มิออก”
“มังตรา มังตรา”
นอกพลับพลากระโจมมังตรา กองทหารยืนยามเฝ้าพลับพลาอย่างเข้มแข็ง หมอหลวงวิ่งเชิญพระโอสถเข้าออกพลับพลากระโจมกันวุ่นวาย
ในพลับพลากระโจม มังตราประทับนอนบนพระแท่นพระอัสสาสะ-ปัสสาสะรวยริน หมอหลวงนำพระโอสถเข้ามาถวาย จะเด็ด จาเลงกาโบ พยัตตะบะ เฝ้าดูพระอาการอยู่ใกล้ๆ หัวหน้าหมอหลวงที่จับชีพจรอยู่หันมาบอกจะเด็ด
“พระหทัยเต้นช้าเหลือเกิน”
“พระองค์ประชวรด้วยพระโรคอันใด”
หมอหลวงหยิบแก้วบรั่นดีดู
“ยังไม่แน่ใจ น่าจะ…”
สมิงสอตุดเดินถืออาวุธเข้ามากับกองทหารโปรตุเกส
“พระเจ้าอยู่หัวพระอาการเป็นเช่นไรบ้าง”
จะเด็ดโกรธที่เสียรู้ บังคับหมอหลวงบอก
“บอกมาหมอหลวง ในแก้วนั้นมีอะไร”
สมิงสอตุดยืนจ้องนิ่ง หมองหลวงบอกเสียงสั่น
“ในแก้วน้ำโสมนี้มีธาตุอันตราย”
จะเด็ดแค้นใจที่สุด ลุกขึ้น
“จาเลงกาโบพี่ท่าน อย่าให้ผู้ใดออกจากกระโจมนี้เด็ดขาด พระเจ้าอยู่หัวถูกพวกมันวางยา”
จาเลงกาโบชักดาบลุกขึ้นทันที เยมส์กับทหารโปรตุเกสที่ยืนรักษาการอยู่หน้ากระโจม ยกปืนเล็งไปที่จาเลงกาโบทันที จาเลงกาโบกางดาบกันทางเข้าไว้
“ทหาร ป้องกันกระโจมที่ประทับไว้ อย่าให้ใครเข้าไป”
จาเลงกาโบตะโกนสั่ง ส่วนภานในกระโจม จะเด็ดหันมามองทางพยัตตะบะที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่กับที่ จะเด็ดคว้าทวนเดินเข้าไปหา
“มึงใช่ไม๊ไอ้พวกหนังขาว”
พยัตตะบะกลัวมาก ถอยหนีมองหาสมิงสอตุด
“ท่านสมิงสอตุดช่วยข้าพเจ้าด้วย”
“พี่ท่านคุมตัวมันไว้”
จะเด็ดบอกแล้ววิ่งออกมาจากพลับพลาพร้อมอาวุธ
ลานสมรภูมิ ห่างจากพลับพลาเต้นท์ออกมา สมิงสอตุดยืนชูตราพระราชลัญจกรอยู่กับทหารโปรตุเกส ทหารทั้งกองยืนมองงงๆ
“ทหาร บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวได้แต่งตั้งให้เราเป็นผู้บัญชาการทัพแล้ว บุเรงนองและพวกก่อการกบฏลอบวางยาปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว จงช่วยกันจับมันประหาร”
“อย่าฟังมัน มันใส่ความพระอุปราชบุเรงนอง มันต่างหากที่ขบถ”
“เรามีตราพระลัญจกร เพลานี้เราให้กองปืนใหญ่ล้อมกองทัพทั้งสิ้นไว้แล้ว”
บนเนินไกลออกไป เยมส์คุมกองทหารโปรตุเกสเข็นปืนใหญ่ขึ้นมาเต็มเนินเขา ล้อมพลับพลาเต้นท์ไว้ ทหารทั้งหมดกลัว เริ่มลังเล
“หากผู้ใดไม่ทำตามคำสั่งเรา เราจะยิงทิ้งให้หมด ขอพวกท่านเลือกเอาว่าจะอยู่ข้างใคร” สมิงสอตุดมองยิ้มๆ เดินไปขึ้นม้า พวกทหารยืนงง ไม่รู้จะอยู่ข้างใครดี สมิงสอตุดหันไปมองพวกทหาร “หากใครมิอยากถูกปืนใหญ่ยิงถล่มจะมาอยู่ข้างเรากองปืนใหญ่ให้ตามเรามา”
สมิงสอตุดควบม้าออกไป ทหารบางส่วนวิ่งตาม ทหารบางส่วนแยกตัวออกมาล้อมกระโจมพลับพลาไว้จนแน่นเหมือนกำแพง
สมิงสอตุดควบม้าผ่านทุ่งสมรภูมิขึ้นไปบนเนินเคียงข้างกองปืนใหญ่ แล้วหัวเราะชอบใจ
“ดี จะได้ตายเสียให้พร้อมๆ กัน กองทหารปืนเข้าประจำที่”
พวกที่วิ่งตามมาเข้าอารักษ์ขาสมิงสอตุด
ส่วนที่หน้ากระโจมพลับพลา จาเลงกาโบยืนถือดาบนิ่งอยู่หน้ากองทหารอาวุธมีคมธรรมดา แต่พร้อมที่จะตาย
“ผู้ใดยังจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว จงถวายชีวิต”
จะเด็ดบอกทำท่าเหมือนจะออกไปสู้กับสมิงสอตุด
“อย่า น้องท่าน พระอาการพระเจ้าอยู่หัวสำคัญกว่า” จาเลงกาโบบอก จะเด็ดรีบวิ่งกลับเข้าไปในพลับพลาเต้นท์ จาเลงกาโบยืนกันทางเข้าไว้
ในพลับพลากระโจม มังตรานอนพระพักตร์ซีดมาก พยายามไขว่คว้าหาจะเด็ด จะเด็ดรีบวิ่งมาหา
“จะเด็ด พี่ท่าน”
“ข้าพเจ้าอยู่นี่”
จะเด็ดทรุดลงหมอบเฝ้าอยู่ข้างๆ
ลานหน้าพลับพรากระโจม จาเลงกาโบถือดาบยืนจังก้าป้องกันกระโจมพลับพลาอย่างถวายชีวิต มีทหารหงสาวดียืนอยู่เต็มลาน
ในพลับพรากระโจม มังตราจับมือจะเด็ดไว้ พยายามจะพูด
“ความริษยาของข้าพเจ้า ทำร้ายตัวเองยังไม่พอ ยังทำลายพุกามด้วย”
“อย่าโทษพระองค์เองเช่นนี้”
“ข้าพเจ้าคงไม่ได้กลับไปเห็นหงสาวดีอีกแล้ว”
“พี่จะพาน้องท่านกลับไปให้ได้”
“อภัยข้าพเจ้าด้วย”
“พี่ไม่เคยโกรธน้องท่านเลย ถึงตัดศีรษะพี่ไปเดี๋ยวนี้พี่ก็ไม่โกรธ พี่นี้คือข้าบาทของน้องท่าน” มังตราลูบหัวจะเด็ด
“พระอาจารย์มังสินธูทำนายชะตาไว้ถูกต้อง บุญข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าหงสาวดีก็นับว่าสูงสุดแล้ว ขอพี่ท่านนั่งบัลลังก์ได้เป็นพระเจ้าสิบทิศ แทนข้าพเจ้าด้วย”
จะเด็ดร้องไห้พูดไม่ออก มังตราเอื้อมมือมาจับศีรษะจะเด็ดลูบเบาๆ
บนเนินเขา สมิงสอตุดยืนบัญชาการอยู่ข้างปืนใหญ่กับเยมส์และพยัตตะบะ
“กองปืนใหญ่ ยิง”
สมิงสอตุดตะโกนสั่ง ปืนใหญ่ทั้งหมดระดมยิงออกไปอย่างรุนแรง หลายนัด
ทหารที่ล้อมกระโจมพลับพลาอยู่โดนระเบิดลูกปืนใหญ่ตายลงอย่างมากมาย จะเด็ดหันมามองจาเลงกาโบ จาเลงกาโบวิ่งบุกนำออกไปทหารทั้งหมดวิ่งตามไป
“ถวายชีวิตแก่พระเจ้าอยู่หัวเถิดพวกเรา”
ปืนใหญ่ยังระดมยิง ทหารที่ตามจาเลงกาโบมาถูกระเบิดปืนใหญ่ล้มตายระเนระนาด
ในพลับพรากระโจม จะเด็ดร้องไห้อยู่ข้างๆ มังตรา มือมังตราค่อยๆ ตกลงจากหัวจะเด็ด จะเด็ดตกใจ ดึงมังตรามากอดไว้แน่น
“มังตรา มังตรา”
ทุ่งสมรภูมิ เต็มไปด้วยระเบิดและควันโขมง ทหารที่วิ่งตามจาเลงกาโบไปโดนลูกปืนใหญ่ล้มตายลงเรื่อยๆ
บนเนินกองปืนใหญ่ สมิงสอตุดหัวเราะชอบใจขณะที่ปืนใหญ่ยิงไปเรื่อยๆ
จะเด็ดถือทวนเดินออกมาจากกระโจมน้ำตานองหน้า หยุดพนมมือไหว้ฟ้า
“หากข้าพเจ้าจะได้เป็นจักรพรรดิ์แห่งพุกามประเทศ ดังคำทำนายแล้ว ขอเทพยาดาฟ้าดินจงปกปักษ์รักษาข้าพเจ้าด้วย หากคำทำนายมิศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าขอสิ้นชีวิตในศึกนี้”
อยู่ๆ ลมก็พัดขึ้นมาเฉยๆเสียงท้องฟ้าคำรามดังสนั่น ท้องฟ้ามีเมฆเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว มีสายฟ้าผ่าและฟ้าแลบน่ากลัว ตรงที่จะเด็ดยืนอยู่เริ่มมีฝนตกลงมา จะเด็ดวิ่งไปขึ้นม้าที่ผูกอยู่ใกล้ๆ ควบออกไป
กองปืนใหญ่ที่สมิงสอตุดยืนอยู่กับเยมส์ ฝนตกลงมาอย่างแรง ปืนใหญ่เริ่มหยุดยิงที่ละกระบอกๆ
จะเด็ดควบม้าฝ่าระเบิดลูกปืนใหญ่มาในขณะที่ฝนตก ทหารกองปืนใหญ่พากันทิ้งปืนใหญ่วิ่งหนี
“ฉิบหายแล้ว”
“ยิงเข้าไปซิ หยุดทำไม”
“จะยิงได้อย่างไร ดินปืนเปียกหมดแล้ว”
สมิงสอตุดตกใจ หันไปมองจะเด็ดแล้วตะโกนสั่ง
“ทหารสู้ตาย”
ทหารที่ยังเหลือวิ่งเข้าประจัญบานต้านพวกจาเลงกาโบไว้ จะเด็ดควบม้าล้ำหน้าจาเลงกาโบขึ้นมาเรื่อยๆ
สมิงสอตุดหันไปคว้าปืนยาวที่ทหารทิ้งไว้ขึ้นมายิง แต่หยิบกระบอกไหนก็ยิงไม่ออก พวกเยมส์กับพยัตตะบะวิ่งหนีขึ้นเนิน แต่เจอพวกจาเลงกาโบบุกเข้ามาทัน ทหารและจาเลงกาโบเข้าเข่นฆ่าทหารของพวกเยมส์ทันที สมิงสอตุดหันไปเห็น รีบขึ้นม้าควบหนีลงทุ่งไปอีกด้าน
จะเด็ดควบม้าตามสมิงสอตุดไปอย่างกระชั้นชิด สมิงสอตุดชักดาบออกสู้ แต่สู้ไม่ได้ก็ควบม้าหนีอีก จะเด็ดควบม้าตามจนได้จังหวะ จึงตัดสินใจพุ่งทวนออกไป ทวนพุ่งไปปักหลังสมิงสอตุดอย่างจัง
ม้าสมิงสอตุดยังคงวิ่งไปในขณะที่สมิงสอตุดยังคงชูดาบค้างอยู่
สายฟ้าผ่าลงที่ปลายดาบสมิงสอตุดอย่างแรง
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 33 อวสาน (ต่อ)
ทหารหงสาวดีกำลังช่วยกันเก็บศพเพื่อน
จาเลงกาโบควบคุมตัวเยมส์กับพยัตตะบะและทหารโปตุเกสจำนวนหนึ่งมาหาจะเด็ดที่นั่งให้หมอหลวงทำแผลอยู่หน้ากระโจม จะเด็ดเศร้าใจมาก
“อย่าได้เอามันมาให้ข้าพเจ้าเห็นหน้า พามันไปตัดหัวให้หมด”
จะเด็ดบอก พยัตตะบะตกใจร้องไห้โวยวาย
“ไว้ชีวิตข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าถูกสมิงสอตุดบังคับ ได้โปรดเถิด”
“โปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้ากับหลานเถิด แล้วข้าพเจ้าจะใช้กองปืนใหญ่ช่วยท่านกู้เอาแผ่นดินหงสาวดีคืนมา”
จะเด็ดสุดจะทนฟังลุกขึ้นกระชากดาบจากจาเลงกาโบฟันพยัตตะบะกับเยมส์จนตายคาที่
“ไอ้พวกนี้ ใครมีเงินจ้างมันมันก็สามารถทรยศได้หมดทุกคน”
จาเลงไม่พูด หันไปพยักหน้าให้ทหารลากศพทั้งสองออกไป
“พวกทหารที่เหลือ เอาไปประหารตามคำสั่งพระอุปราชให้หมด”
ทหารหงสาลากตัวพวกทหารโปรตุเกสออกไป
“จาเลงกาโบพี่ท่าน ขอพี่ท่านอัญเชิญพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวกลับไปกรุงหงสาวดี ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ไปแจ้งข่าวยังตองอูเอง”
จะเด็ดเดินเข้าไปในกระโจมพลับพลา จาเลงกาโบและนายทหารเดินตามเข้าไป
จะเด็ดเดินเข้ามาในกระโจมแล้วทรุดลง จาเลงกาโบและนายทหารเดินตามเข้ามา ทั้งหมดถวายบังคมพระบรมศพมังตราพร้อมกัน มังตรานอนสงบนิ่งห่มคลุมด้วยผ้าปักอย่างดี สวยงาม
ทหารทั้งหมดก้มลงกราบกับพื้น มีจะเด็ดที่ยังคงนั่งมองมังตราอย่างเสียใจ
ที่พระตำหนักใน หงสาวดี นันทวดี โชอั้ว ไม่มีเครื่องยศหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดใดทั้งสิ้น
“ข้าพเจ้ากราบทูลพระมเหสีแล้วว่ามันเป็นชู้กับสมิงสอตุด มันสมรู้ร่วมคิดกัน สมิงสอตุดมันคงคิดวางแผนมาแต่ครั้งมาถวายตัวพระเจ้าอยู่หัวแต่แรกแล้ว”
ประตูห้องเปิดออก สันเทโวกับสอยันปายเดินเข้ามากับทหารพัศดี 5-6 คน อาวุธครบมือ ตะละแม่ทุกคนตกใจ
“ตะละเจ้ามุขอายให้เชิญพระนางนันทวดีแยกไปยังโรงทหาร”
“พวกท่านจะทำร้ายพระมเหสีมิได้นะ”
“เพลานี้มีพระมเหสีอยู่เพียงพระองค์เดียวคือตะละเจ้ามุขอาย แต่เป็นพระมเหสีในสมิงสอตุด”
นันทวดีลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ
“หากท่านจะแยกกุมขังเราไปอยู่ที่อื่น ท่านต้องรับปากเราก่อนว่าจะปฏิบัติต่อทุกคนเป็นอย่างดี”
โชอั้วโผเข้าจับนันทวดีไว้
“อย่าไปนะพระมเหสี อย่าไปกับพวกมัน มันอาจจะเอาท่านไปประหาร”
“หากเป็นกฎของการเป็นพระมเหสีที่ต้องตายเป็นคนแรก เพื่อปกป้องพระราชบัลลังก์ ข้าพเจ้าพร้อมยินดี”
“สมกับเคยเป็นมเหสีนั่งบัลลังก์หงสาวดีดีแท้”
“ถ้าพวกแกสังหารพระพี่นาง พวกแกจะต้องชดใช้ด้วยคนนับพันชีวิต”
“เชิญพระนาง”
นันทวดีเดินนำสันเทโวออกไป เหล่าพระราชวงศ์และโชอั้วพากันร้องไห้เสียใจ
สนามหน้าสิงหสนบัลลังค์ถูกจัดเป็นลานประหาร มีเสากากะบาดปักอยู่ใกล้ๆ หลุมสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีเครื่องพิธีประหารจัดวางไว้อย่างดี นันทวดีถูกสอยันปาย สันเทโวและทหารคุมตัวมาหยุดอยู่ใกล้ๆ นันทวดีรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทรงนิ่งทั้งๆ ที่ตกใจอย่างมาก
“ตะละเจ้ามุขอาย สืบความได้ว่าพระนางแอบติดต่อกับทหารในวัง เกรงว่าท่านจะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นได้ จึงให้ประหารท่านเสีย”
“ท่านอย่าหมายว่าจะได้ครองบัลลังก์หงสาวดีนี้ง่ายๆ เจ้าของเดิมเขามิยอมให้คนชั่วมานั่งบัลลังก์ที่บรรพบุรุษเขาสร้างขึ้นมาได้ดอก”
“พระเจ้าสักการะวุติพีสิ้นพระชนม์ไปตั้งนานแล้วจะมาทวงบัลลังก์คืนได้เยี่ยงไร”
“แต่เชื้อสายราชวงศ์มะกะโทยังมีอยู่เต็มเมือง หากท่านมิได้รับความเห็นชอบอย่าหมายว่าจะยึดหงสาวดีได้”
“หงสาวดีนี้ก็มิใช่ของท่านมาก่อนอย่าหวงไว้เลย ทหารกุมตัวเข้าหลักประหาร”
ทหารนำตัวนันทวดีเข้าสู่หลักประหาร
“เดี๋ยวก่อน” ทุกคนหยุดหันไปมองสอยันปาย สอยันปายเดินถือดาบออกมากลางลาน อยู่ใกล้ๆ กับนันทวดี
“ทหารแห่งราชวงศ์มะกะโท” สอยันปายตะโกน ทหารหงสาวดีอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากโรงทหารเข้าล้อมสันเทโวกับทหารกลุ่มเดิมไว้ “อย่าให้ผู้ใดออกจากโรงทหารนี้ได้”
“หมายความว่าอย่างไร ท่านสอยันปาย” สันเทโวถามอย่างตกใจ
“เราจะให้แผ่นดินพุกามลุกเป็นไฟอีกทำไมในเมื่อพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ได้รวมแผ่นดินทั้งลุ่มอิระวดีเป็นพุกามประเทศผืนเดียวกันแล้ว”
“พระเจ้ามังตราไม่ใช่เชื้อสายหงสาวดี ท่านจะให้ขึ้นเป็นใหญ่ทำไม”
“สมิงสอตุดก็มิใช่เชื้อสายหงสาวดีเช่นกัน เราไม่มั่นใจว่าสมิงสอตุดจะปกครองแผ่นดินให้ได้รับความสุขสงบกว่า”
“เรื่องอื่นให้เสร็จการก่อนค่อยมาตกลงกัน ขอจงมาช่วยกันล้มราชวงศ์ตองอูให้สิ้นก่อนเถิด”
“แม้พระเจ้ามังตราจะเป็นราชวงศ์ตองอู แต่พระองค์ก็ทรงละขนบตองอูมาถือธรรมเนียมหงสาวดีเต็มองค์แล้ว ทั้งยังชุบเลี้ยงหัวเมืองทุกแคว้นอย่างดี พวกท่านจะเฉือนแผ่นดินพุกามออกเป็นเสี่ยงๆ ไปอีกทำไม วางอาวุธเถิด”
“ทหาร กุดหัวมันให้หมด”
ทหารทั้งสองฝ่ายวิ่งออกมาปะทะกันอย่างดุเดือด สอยันปายและทหารวังหงสาวดีบางส่วนเข้าล้อมกันนันทวดีไว้
“ขอบน้ำใจท่านนัก ขุนวังสอยันปาย”
“มิมีราชวงศ์ใดจะปกป้องคุ้มครองอาณาจักรหงสาวดีนี้ให้รุ่งเรืองเท่าราชวงศ์เมงกะยินโยอีกแล้ว”
สอยันปายรีบพานันทวดีแหวกวงล้อมออกไป
“รีบไปแจ้งตะละเจ้ามุขอายด่วนว่าสอยันปายทรยศเรา”
ทหารทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างดุเดือด กำลังทหารของหงสาวดีเข้ามาร่วมมากขึ้นสีหน้าของสันเทโวตื่นตระหนกและพยายามหาทางหนีจากการต่อสู้
ส่วนที่เมืองตองอู ทหารตองอูต่อสู้กับทหารยะข่ายอย่างดุเดือด ทะกยอดินยืนดูทหารต่อสู้กันบนเชิงเทินอย่างกังวลใจ พระเจ้าเมงบาและจาพายืนม้าดูการรบของทหารทั้งสองฝ่าย ทหารตองอูสู้พลางถอยพลาง จนทหารตองอูหนีเข้ากำแพงเมือง
“พวกมันรบเหมือนไม่อยากรบ”
“มันหลอกล่อเรา พวกมันกำลังถ่วงเวลา”
จาพามองหน้าเมงบา เหมือนคิดอะไรออก
“เจ้าพากำลังลาดตระเวนส่วนหนึ่งไปสำรวจเส้นทางออกจากตองอู”
จาพาชักม้าออกไปอย่างเร่งรีบ
ถนนในป่าทึบชายแดนตองอู กันทิมาและนักดาบกระเหรี่ยง ทหารวังตองอู กำลังเร่งนำขบวนรถม้า 2 คัน พาตะละแม่จันทรา กุสุมา อเทตยา เชงสอบู เลาชี และลูกจะเด็ด มาได้ไม่เร็วนัก
ในรถม้าคันที่ 1 จันทรานั่งมากับเลาชี และลูก สีหน้าหวาดหวั่น
ในรถม้าคันที่ 2 กุสุมา อเทตยา เชงสอบูนั่งเบียดกันม้าในรถม้า ต่างกลัวมาก
“เราจะหนีกันพ้นไม๊ตะละแม่” เชงสอบูถามกุสุมา
“กันทิมาบอกว่าเส้นทางนี้จะปลอดภัยที่สุด”
“ทำไมเรามิไปเมืองแปรซึ่งอยู่ใกล้กว่าหงสาวดี”
“เส้นทางนั้นมีพวกยะข่ายล้อมอยู่ยากจะฝ่าไปได้”
“เรามิมีทางเลือกแล้ว ปล่อยให้แม่กันทิมาตัดสินใจเถิด”
กันทิมาควบม้านำรถม้าไปเรื่อยๆ รถม้าวิ่งตามกันทิมาไปอย่างยากลำบาก
กันทิมาควบม้านำรถม้า ผ่านป่าไปอย่างระมัดระวัง
“ให้ข้าพเจ้ากลั้นใจตายจะง่ายกว่า”
“ถึงคราวตายยังไงก็ตาย อย่ากลัวเลย”
กันทิมาควบม้าไปอย่างระมัดระวัง
กันทิมาควบม้านำรถม้า มองตรงไปข้างหน้าอย่างดีใจแล้วตะโกนให้กำลังใจทหารคุ้มกัน
“พ้นป่าข้างหน้านี้เราก็จะออกสู่ทุ่งราบแล้ว”
ขบวนรถม้าวิ่งไป จาพาควบม้าโผล่มาจากราวป่าด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“พวกมันอยู่นั่น จับให้ได้ ใครขัดขืนสังหารได้เลย”
จาพาตะโกนสั่งแล้วควบม้านำมาอย่างรวดเร็ว กันทิมาตกใจชักม้ากลับมาตั้งรับด้านหลังขบวน นักดาบต่างๆทำตาม
“ปล่อยขบวนรถม้าตะละแม่ไป สกัดพวกมันไว้ อย่าให้มันตามได้”
กันทิมาชักม้าเข้าปะทะกับกองทหารม้าจาพา รถม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็วเท่าที่เร่งได้
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าอย่างดุเดือด
“ตามรถม้านั่นไปให้ได้”
ทหารม้ายะข่ายบางคนแยกตัวตามรถม้าตะละแม่ไป ในรถม้า เชงสอบูเปิดม่านกลับไปมอง
“ตายแน่ตะละแม่ พวกมันตามเรามาแล้ว”
“ไม่ต้องไปดูมัน”
“พวกมันมีธนูด้วย”
ทหารยะข่ายน้าวธนูยิง ลูกธนูพุ่งปักรถม้าที่กำลังวิ่งไปอยู่ทะลุเข้าไปถึงข้างใน ในรถม้า ลูกธนูทะลุเข้ามาเกือบโดนตะละแม่จนต้องหลบกันวุ่นวาย
ทหารม้ายะข่ายควบตามมาอย่างรวดเร็ว ระดมยิงมาไม่ยั้ง
“สกัดมันไว้ อย่าให้มันตามรถตะละแม่ได้”
กันทิมาตะโกนสั่งแล้วชักม้าตามรถม้าไปทันที
เนงบาควบม้ามากับคนป่าโผล่ออกมาจากแนวป่า เนงบากับพวกระดมยิงธนูใส่ทหารยะข่ายที่ควบม้าตามมา
ทหารยะข่ายถูกธนูยิงตกจากหลังม้าบ้าง พวกคนป่ากระโดดพุ่งใส่ทหารยะข่ายจนตกจากม้าบ้าง กันทิมาดีใจที่เห็นเนงบา เนงบาควบม้าเข้าประกบ
“ขอบน้ำใจท่านมากเนงบา”
“พ้นชายป่านี่ไป พวกมันตั้งรับไว้เต็มทุ่งเลย”
กันทิมามองรถม้าที่มีทหารคุ้มกันเพียงเล็กน้อยวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เนงบากับกันทิมาพยายามควบม้าไปให้ทันรถม้า
รถม้าและทหารคุ้มกันตองอู พุ่งออกมาจากชายป่าอย่างรวดเร็ว คนขับมองไปข้างหน้าแล้วตกใจชะลอรถหักโค้งอย่างกะทันหัน รถม้าชะลอและเลี้ยวกะทันหันจนตะละแม่และคนในรถหน้าขมำ
“เขาชะลอรถทำไม” จันทราถามขึ้นมา
“ต้องมีอะไรอยู่ข้างหน้าแน่ๆ”
เชงสอบูเปิดม่านดูแล้วตกใจ
“ตายแล้ว ตะละแม่ เราเห็นจะไม่รอดแล้ว”
รถม้ากำลังวิ่งวนไปรอบๆ มีกองทัพยะข่ายแผ่ล้อมเป็นครึ่งวงกลม เนงบากับกันทิมาและนักดาบควบม้าตามออกมาหยุดชะงักมอง
“จะทำอย่างไรดีเนงบา”
“เราจะต้องช่วยกันถ่วงเวลาให้นานที่สุด หากมันจับเหล่าตะละแม่ได้ ให้บุเรงนองยกคนมาเรือนแสนก็ต้องพ่ายมัน”
“ข้าพเจ้ายอมตายแล้ว”
กันทิมาเก็บผม มัดผ้าโพกผมให้แน่นยิ่งขึ้น เนงบามองกันทิมาเหมือนจะมองเป็นครั้งสุดท้าย
“วาสนาข้าพเจ้าขอให้ได้ตายเคียงข้างท่านก็พอใจแล้ว” เนงบาบอก กันทิมามองเนงบาด้วยความเห็นใจ
“อภัยข้าพเจ้าเถิดเนงบา ชาตินี้เราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อท่าน แต่เราจะตายด้วยกัน”
“ท่านจงนำรถม้าตะละแม่อ้อมไปอีกทางเถิด เราจะยันทัพมันไว้ที่นี่ให้ได้นานที่สุด”
กันทิมาพยักหน้าแล้วกระตุกม้าออกไปทันที
“พนักงานรถม้า ตามข้าพเจ้ามา”
กันทิมาควบม้านำรถม้ากลับเข้าป่าไปตามทางเดิมอย่างรวดเร็ว จาพาอยู่บนหลังม้า โกรธมาก
“ทหาร จับมันเป็นตัวประกันให้ได้ จับมัน”
กองทหารยะข่ายวิ่งออกไปเป็นจำนวนมาก กองม้าเนงบาขยายม้าออกเป็นแผงหน้ากระดานตั้งรับอยู่กับที่
“พวกเรา พร้อม” ระหว่างเนงบาที่ตั้งแถวม้ารับ กับทหารยะข่ายที่วิ่งเข้ามาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนได้ระยะ เนงบาชูดาบ “สู้ตาย”
กองม้าเนงบาวิ่งออกเป็นรูปหัวลูกศร พุ่งตรงเข้าประทะกับกองทหารยะข่ายอย่างกล้าหาญ
เนงบาฟาดฟันสู้กับทหารยะข่ายอย่างสุดฤทธิ์
กันทิมาควบม้านำขบวนรถม้าตะละแม่มาอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่เห็นว่ามีทหารยะข่ายตามมา กันทิมาจึงสั่งรถม้าหยุด และชักม้าไปหาจันทรา กันทิมาพูดกับจันทราว่าจะกลับไปช่วยเนงบา กันทิมาสั่งให้พลขับรถม้ารีบพาตะละแม่ไปโดยเร็วจากนั้นกันทิมาก็นำกำลังบางส่วนย้อนกลับไปช่วยเนงบา จันทราพยายามห้ามแต่ไม่เป็นผล
เนงบาสู้กับทหารยะข่ายอย่างทรหด มีบาดแผลหลายแห่ง แต่ก็ยังพยายามไม่ให้พวกยะข่ายผ่านไปได้ กันทิมาลงจากหลังม้าเข้าไปช่วยเนงบาต่อสู้ ทั้งสองสบตากัน เนงบาบาดเจ็บมาก สุดท้ายเนงบาก็ล้มลง กันทิมาทรุดลงประครองเนงบาให้เงยหน้าขึ้น เนงบามองกันทิมาอย่างซาบซึ้ง
“เจ้ารีบหนีไปเถิด”
“ข้าพเจ้า ขอตายเคียงข้างท่าน ตามสัญญา”
“ไม่ เจ้าต้องมีชีวิตต่อไป ข้าพเจ้าไม่โกรธท่าน แต่จะไม่ขอ…จะไม่ขอเห็นหน้าจะเด็ด แม้ยามตาย”
กันทิมาเสียใจร้องไห้มากที่สุดในชีวิต เนงบาขยับออกจากอ้อมกอดกันทิมา ทิ้งร่างคว่ำหน้าลงพื้น กันทิมาลุกขึ้นต่อสู้กับทหารยะข่ายแบบไม่กลัวตาย
จะเด็ดควบม้ามุ่งตรงไปตองอูอย่างรวดเร็ว จะเด็ดควบม้าคู่มากับสีอ่องสีหน้าจะเด็ดนั้นทุกข์ร้อนมาก
รถม้าของตะละแม่ทั้งสองคัน แล่นเข้าไปหาจะเด็ดที่ขี่ม้าเข้ามาอย่างเร็ว รถม้าตะละแม่จอดประจันหน้ากับม้าจะเด็ด ตะละแม่ลงจากรถทั้งสองคัน ทั้งสองฝ่ายเข้าหากันด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง จากนั้นจะเด็ดก็รีบไปขึ้นม้าและขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว
จะเด็ดขี่ม้ามาถึงสถานที่สู้รบ ทุกอย่างว่างเปล่า เห็นศพอยู่เกลื่อนไปทั่ว จะเด็ดมองหากันทิมาและเนงบาด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก จะเด็ดลงจากหลังม้า เดินหากันทิมาอย่างบ้าคลั่ง พลิกศพดู จนกระทั่งเห็นกันทิมานอนหายใจระรินอยู่ จะเด็ดรีบมาหา ทรุดลง กันทิมามองจะเด็ดด้วยสายตาเหม่อลอย จะเด็ดพยายามเขย่าให้รู้สึกตัว
“กันทิมา กันทิมา ข้าพเจ้าขอบใจท่านนัก ท่านต้องไม่เป็นอะไร ท่านต้องกลับไปกับข้าพเจ้า”
กันทิมาหันไปมองศพเนงบา จะเด็ดหันไปจะพลิกศพเนงบาขึ้นมา กันทิมายกมือห้ามอย่างอ่อนแรง
“อย่า ท่านเนงบาสั่งว่า หากรักกัน อย่าพลิกศพขึ้นดูหน้า”
แล้วกันทิมาก็สิ้นใจในอ้อมกอดของจะเด็ด จะเด็ดกอดกันทิมาร้องไห้ จะเด็ดร้องไห้เสียใจด้วยความสงสาร
“แม่กันทิมา บุญคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิตพวกข้าพเจ้าไว้ข้าพเจ้าจะมิมีวันลืม” จะเด็ดค่อยๆ วางกันทิมาลงนอนเคียงข้างกับเนงบา จับมือคนทั้งสองให้กุมกันไว้ “ข้าพเจ้าไม่เคยคิดแย่งพี่ท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้คิดแย่งเลย พี่ท่านจะไม่
ให้อภัยข้าพเจ้าบ้างเลยหรือ”
จะเด็ดกราบลงที่เท้าเนงบาร้องไห้
มุขอาย สันเทโวและทหารยะข่ายจำนวนหนึ่งขี่ม้าหนีออกจากหงสาวดีอย่างรวดเร็ว มุขอายร้องไห้เสียใจ ผิดหวัง แค้น ที่ไม่สามารถทำตามแผนการได้สำเร็จ
วันต่อมาที่ศาลาวัด หงสาวดี นันทวดีซึ่งตอนนี้นุ่งขาวห่มขาว นั่งสงบนิ่งอยู่หน้าพระประธาน นันทวดีนั่งสงบนิ่งไร้อารมณ์ต่างๆ โดยมีจันทรา กุสุมานั่งอยู่ด้วย
“ชีวิตที่เหลือนี้ข้าพเจ้าจะขอสละทางโลก มุ่งสู่ร่มพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธโคดม ขอบวชรักษาศีลเป็นพุทธบูชาถวายแด่พระเจ้าอยู่หัวจนกว่าจะสิ้นสังขาร”
“เป็นกุศลแท้ที่ท่านได้อุทิศชีวิตถวายแด่พระพุทธศาสนา เหล่าข้าพเจ้าขอถวายอนุโมทนายิ่ง”
กุสุมากราบ คนอื่นๆ กราบตาม นันทวดียังคงนั่งนิ่งไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม
“ในวันราชาภิเษก พระเจ้าอยู่หัวหงสาวดีบุเรงนองทรงมีดำริว่าจะให้ท่านเป็นผู้ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ถือเป็นพระเกียรติยศที่ทรงมอบให้ท่านเป็นพิเศษ” จันทราบอก นันทวดียังคงนั่งนิ่งไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม
สนามหญ้าหน้าสิงหสนบัลลังค์ เปลวเพลิงที่พระเมรุลุกโชติช่วง แสงพระอาทิตย์ยามอัสดงทำให้แดงฉานไปทั่ว
ทั้งหมดแต่งชุดขาวทรุดนั่งอยู่กับพื้น กำลังถวายบังคมพระบรมศพมังตรา ข้างๆ ศพมังตราจะเห็นศพกันทิมาและเนงบาอยู่ด้วย
เลาชีร้องไห้เสียใจมากกว่าใคร มีจันทราคอยปลอบอยู่ข้างๆ นันทวดีในชุดชีสีขาวนั่งนิ่งแยกออกมา แต่แววตานั้นไร้อารมณ์ทุกอย่างแล้ว
จะเด็ดและเหล่าตะละแม่ทั้งหมดนั่งมองพระเพลิงนิ่ง ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ประธานพิธี จาเลงกาโบนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ นันทวดีนั่งนิ่ง น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาโดยไม่สะอื้น
เปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าดวงใหญ่
วันต่อมาที่ท้องพระโรงสิงหาสนบัลลังก์หงสาวดี ขบวนพราหมณ์ปุโรหิตอัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นบันไดมา มีนันทวดีถือพานมงกุฎอยู่ในขบวนด้วย พระบรมราชวงศ์และเสนาอำมาตย์ ขุนพล นั่งอยู่เต็มท้องพระโรง จะเด็ดประทับบนบัลลังก์เพียงพระองค์เดียว เหล่าพระชายาประทับแวดล้อมซ้าย-ขวาเต็มยศต่ำลงมา
จะเด็ดประทับบนบัลลังก์ นันทวดีในชุดชีสีขาวอัญเชิญมงกุฎพระเจ้าจักรพรรดิ์มาบนพานทอง นันทวดีขึ้นไปถวายมงกุฎแก่บุเรงนองจักรพรรดิ์ที่ประทับบนสิงหาสนบัลลังก์ พระเจ้าบุเรงนองจักรพรรดิ์รับมงกุฎขึ้นมาสวมให้ตัวเอง
เสียงกังสดาร สังข์แตรประโคม ขุนนางทั้งหมดในชุดเครื่องเต็มยศอลังการถวายบังคม
“ขอพระเจ้าสิริสุธรรมราชาบุเรงนองจักรพรรดิ์แห่งพุกามประเทศ จงเจริญศรีสวัสดิ์โดยธรรม ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ปกเกล้าพสกนิกรให้ร่มเย็นทั่วแคว้นทั้งสิบทิศ ตลอดไปเทอญ”
ระหว่างถวายพระพรเหล่าเสนาบดี ข้าทหาร เจ้าเมืองประเทศราชกราบถวายบังคมอยู่เต็มท้องพระโรง
จบบริบูรณ์...