อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 31
นัยน์ตาหม่อมพริ้มวาววับ โกรธถึงขีดสุด ตบหน้าชิษณุอย่างแรง
“เป็นลูกชาติลูกตระกูลเสียเปล่า ทำไมทำได้”
ชิษณุหันขวับมาเถียง “ผมรักโสภิต”
“แกกำลังพาเขาหนีแกกำลังทำลายชีวิตของโสภิต เหมือนกับที่ไอ้สมศักดิ์ มันทำลายชีวิตของหญิงโสภา” หม่อมชรามองหน้าโสภิตพิไลอย่างแค้นใจ “เลือดแม่มันแรงนักนะ วิ่งแร่ตามผู้ชายมักง่าย ใฝ่ต่ำเหมือนนังโสภาแม่แกไม่มีผิด”
โสภิตพิไลเสียใจ สักครู่ก็กลายเป็นโกรธ
“ป้าอุษาบอกหนู คุณแม่ไม่ได้มักง่าย ต้องหนี เพราะหม่อมยายจับคลุมถุงชน”
“อีสามันก็พูดเอาดีเข้าตัว! มันนั่นแหละชักหญิงโสภาไปหาผู้ชายจนใจแตก ถึงได้ทนไม่ไหวต้องหนีตามเขาไป หญิงโสภาว่าชั่วแล้ว แต่แกยังยิ่งกว่า”
หม่อมพริ้มด่าและโกรธจนหอบ หญิงจ้อยเข้าประคองแล้วหันไปหาโสภิตพิไล พูดเสียงเข้ม
“พอแล้ว เธอกลับเข้าบ้านได้ โสภิตพิไล...ส่วนตานุ น้าเรียกคุณหญิงแม่เธอมาที่นี่แล้ว ยังไงต้องคุยกัน อย่าคิดจะหนีหน้าไปไหน”
ชายรวีเดินมาหยิบกระเป๋าของโสภิตพิไลออกจากท้ายรถ แล้วจับมือโสภิตพิไล
“ไป โสภิต เข้าบ้าน”
โดยไม่มีใครคาดคิด ชิษณุตัดสินใจกระชากชายรวีมาต่อยแล้วจับทุ่มลงกับพื้น หญิงจ้อยกับหม่อมพริ้มร้องหวีด
ชิษณุกระชากโสภิตพิไลมา “ไป โส”
ทั้งสองกระโดดขึ้นรถ ชิษณุขับออกไปอย่างเร็ว ฝุ่นตลบ
หม่อมพริ้มกับหญิงจ้อยเข้าไปดูชายรวี ด้วยสีหน้าเจ็บใจ
ไฟเปิดสว่างทั้งตำหนัก หวนช่วยประคบหน้าชายรวีที่โดนต่อยอยู่ที่มุมห้องแต่ทั้งสองก็คอยฟังการสนทนาในห้องอยู่อย่างสนใจ
ส่วนกลางห้องหม่อมพริ้ม หญิงจ้อย หญิงศุภลักษณ์ และหลวงหาญกำลังโต้เถียงกันอยู่
“ถ้ากล้าทำกันถึงขนาดนี้ แม่ก็จะไม่ไว้หน้าล่ะนะ...แม่จะแจ้งตำรวจ”
หญิงศุภลักษณ์ตกใจ “อะไรนะคะ! หม่อมแม่จะให้ตำรวจจับหลาน”
หลวงหาญใช้ไม้อ่อน “หม่อมแม่ครับ ถ้าถึงตำรวจมันจะอื้อฉาวนะครับ”
หญิงจ้อยคิดตามเห็นด้วย “นั่นสิคะ ..ถ้ารู้ไปถึงพวกหนังสือพิมพ์ล่ะก็ เขียนกันสนุกใหญ่แน่”
หม่อมพริ้มได้สติ กลับไปนั่งสงบใจ แต่ก็ยังอดฮึดฮัดไม่ได้
“แล้วจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี ป่านนี้มันคงพากันหนีไปไหนต่อไหนแล้ว”
คุณหญิงศุภลักษณ์กับหลวงหาญมองหน้ากัน แล้วหญิงศุภลักษณ์ก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“หม่อมแม่ขา หญิงไม่คิดว่าหญิงจะพูดคำนี้” คุณหญิงลงนั่งกับพื้น วิงวอน “ขอให้เขาสองคนได้แต่งงานกันได้ไหมคะ”
“อะไรนะ”
“ผมกับคุณหญิงปรึกษากันแล้วครับ ผมยอม...ยอมทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพื่อความสุขของลูก ดีกว่ายอมเสียลูกชายคนเดียวไป” หลวงหาญว่า
หม่อมพริ้มเชิดหน้า ไม่ฟัง
“ตานุเป็นคนดื้อ ถ้าเราไม่ยอมรับ แกคงพาโสภิตหนีเตลิดไป” คุณหญิงน้ำตาคลอ “หม่อมแม่ขา วันที่น้องหญิงโสภาหนีไป หม่อมแม่จำไม่ได้หรือคะ ว่าหม่อมแม่เสียใจขนาดไหน”
หม่อมพริ้มหันมามองหญิงศุภลักษณ์ ตาวาววับ
หญิงจ้อยตกใจ รีบห้าม “พี่หญิงรอง พูดอะไร”
หญิงศุภลักษณ์ยังคงอ้อนวอน น้ำตาไหล
“หญิงไม่ได้เข้มแข็งเหมือนหม่อมแม่ ถ้าตานุหนีไป หัวใจหญิงคงสลาย ถ้าไม่ได้เห็นหน้ากันอีกจนวันตาย เหมือนน้องหญิงโสภา...หญิงคง...หญิงคง...”
ศุภลักษณ์สะอื้นจนพูดไม่ออก ได้แต่กราบซบลงแทบเท้าหม่อมพริ้ม หลวงหาญนั่งลงข้างภรรยา
“หม่อมแม่ครับ เราสองคน ขอความกรุณา” คุณหลวงกราบลงแทบเท้าอีกคน
หญิงจ้อย ชายรวี หวน พากันมองหน้าหม่อมพริ้ม ห้องทั้งห้องเงียบกริบ อึดใจ
หม่อมพริ้มนิ่ง ความเจ็บปวดแต่ครั้งหญิงโสภาหนีไปปะทุขึ้นมาในใจอีกครั้งเป็นริ้วๆ
หญิงจ้อยถามเสียงอ่อยๆ “หม่อมแม่คะ”
หม่อมพริ้มลุกขึ้น เดินออกไปเงียบๆ
ศุภลักษณ์ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น หลวงหาญกอดปลอบภรรยา ชายรวีลุกตามหม่อมพริ้มออกไป
หม่อมพริ้มนั่งนิ่งอยู่ในห้อง น้ำตาค่อยๆ รินออกมา ชายรวีเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า
หม่อมพริ้มเช็ดน้ำตา “ชายจะว่าแม่ใจดำก็ว่ามา”
ชายรวียิ้มปลอบ “ผมเข้าใจหม่อมแม่ครับ”
หม่อมพริ้มมองชายรวี ถามจริงจัง
“แล้วชายคิดว่ายังไง”
ชายรวีตอบอย่างชัดเจน “ผมเป็นผู้พิพากษา ถ้าถามว่าสองคนนั้น ทำผิดกฎหมายหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ ถ้าถามว่าทำผิดศีลธรรมไหม คำตอบก็คือไม่...ที่สองคนนั้นทำไป ก็ผิดประเพณีนิยมเท่านั้น”
“แปลว่าแม่ควรจะยอมใช่ไหม”
“ถ้าหม่อมแม่ย้อนเวลากลับไปได้ จะยอมให้พี่หญิงโสภาหนีไปไหมล่ะครับ”
หม่อมพริ้มอึ้ง
ตอนสายชิษณุกับโสภิตพิไลกราบลงตรงหน้าหม่อมพริ้ม
“เราสองคนกราบขอขมาหม่อมยายครับ”
หม่อมพริ้มมองหน้าทั้งสองคนนิ่งๆ
“เอาเป็นว่า ยายยอมให้เจ้าทั้งสองหมั้นหมายกัน ส่วนการแต่งงาน ต้องรอจนกว่าโสภิตพิไลเรียนจบ”
ทั้งสองดีใจ
“ขอบพระคุณหม่อมยายค่ะ”
ทั้งสองกราบลงอีกที หม่อมพริ้มลุกขึ้น ชายรวีประคองเดินออกไป ทุกคนหายใจโล่ง
“สิ้นเคราะห์ไปที” หญิงจ้อยหันมาพูดกับโสภิตพิไล “จากนี้ไปก็ทำตัวให้ดีนะ ห้ามขัดใจหม่อมยายอีกเป็นอันขาด”
โสภิตพิไลรับปาก “ค่ะ”
ชิษณุหันไปไหว้พ่อแม่
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมขอโทษ แล้วก็...ขอบคุณ”
หญิงศุภลักษณ์ยิ้ม กอดลูกอย่างแสนรัก
ฟากบรรดาบ่าวไพร่จับกลุ่มนินทากันเรื่องโสภิตพิไล เจิมนั่งฟัง ตัวตั้งตัวตีเป็นจวนเจ้าเก่า
“โอ้ย ฉันงี้ลุ้นเสียหัวใจแทบจะหยุดเต้น ไม่รู้หม่อมท่านจะว่ายังไง”
“หม่อมท่านคงกลัวนะ ว่าคุณหนูโสภิตจะหนีเตลิดไปเหมือนคุณหญิงโสภา” พุดว่า
“เลือดแม่แรงจริงจริ๊ง พับผ่าเถอะ”
“จะว่าไปคุณหญิงเธอก็ไม่กล้าขนาดนี้นะ น้าจวน แต่คุณหนูโสภิตสิ โอ้โหตอนเถียงหม่อมนะฉอดๆๆ ถ้าไม่ดูหน้า ฟังแต่เสียง นึกว่าอีสาตอนเด็กๆ มายืนเถียงนั่นแน่ะ”
เจิมฟัง ไม่สบายใจลุกหนีไปเงียบๆ
เจิมแอบมานั่งคิดถึงอดีต อยู่ในสวน ตรงบริเวณปลูกผักสวนครัว
นึกถึงเหตุการณ์ที่สาฟื้นจากเป็นลม แล้วรู้ตัวว่าท้องกับท่านชาย
เจิมพึมพำ “อีสามันมีลูกติดท้องไปด้วยนี่นา”
จวนกระเดียดกระจาดเดินมาพอดี
“อ้าว พี่เจิม มาทำอะไร”
“เปล่า”
“ตะกี๊เห็นได้ยินพูดว่าอีสาๆ”
“ข้าแค่สงสัย อีสามันมีลูกท่านชายติดท้องไปด้วย มันทำไมไม่เคยพูดถึง”
“พี่เจิมเอ๊ย มาสงสัยอะไรป่านนี้ ฉันว่าเด็กคงตายไปเกิดใหม่ถึงไหนๆ แล้ว” จวนพูดอย่างหมั่นไส้ “มันแล่นตามผู้ชายออกไปอย่างนั้น มันจะเก็บลูกคาท้องเอาไว้ทำไม”
เจิมลังเล “ก็อาจจะจริง...เพราะมันก็ไม่เคยพูดถึง”
จวนนั่งลงเก็บยอดโหระพา เด็ดไปนับไป แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น
“เออ ผ่านไปยี่สิบกว่าปี ถ้าลูกอีสามันยังอยู่ ก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูโสภิตนี่ละ ใช่ไหม”
เจิมสะดุ้งฟังแล้วยิ่งวิตก คิดกังวลอยู่ในใจ
“เจ้าประคุณขอให้ไม่ใช่ ขอให้อย่าเป็นอย่างที่ลูกคิดเลย”
ทรงศรีนั่งเด่นอยู่ที่เก้าอี้ทำผมกลางร้าน สากับเพ็ญศรีทำงานไปตามปกติ ชมชวนคุยเจื้อยแจ้ว
“ชมไปดูมาแล้วฮ่ะ บันทึกรักของพิมพ์ฉวี นางเอกเพชราส๊วยสวย”
“นั่นแหละๆ พี่จะทำผมทรงนั้น”
ทรงศรียกใบปิดหนัง บันทึกรักของพิมพ์ฉวี ให้ดูเป็นตัวอย่าง ชม สา เพ็ญศรีมองหน้ากัน
“เอาเหมือนเลยเหรอคะ” เพ็ญศรีถาม
“งั้นสิ พี่ว่า หน้าตาพี่ก็คล้ายๆ เพชราอยู่นะ” ทรงศรียกใบปิดเทียบหน้า หันไปหาสา “จริงไหม คุณสา”
“เอ่อ...” พอดีเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นสาขอตัว “อุ๊ย โทรศัพท์มา ขอไปรับก่อนนะคะ”
สารีบหนีไปยกหูรับสาย “ร้านอุษาวดีค่ะ”
อ่านต่อหน้า 2
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 31 (ต่อ)
เป็นนายพลสันทนาโทร. ที่มาจากบ้าน
“ผมเองนะ สันทนา...เดี๋ยวผมจะให้วัชรินทร์เอารถไปรับคุณมากินข้าวกัน”
สาดูนาฬิกา บอกเวลาเพิ่งจะ 11 โมง เช้า ก็แปลกใจ “ตอนนี้เลยเหรอคะ”
“อีกไม่เกินยี่สิบนาทีน่าจะไปถึงเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
สันทนาวางสายไป สายืนอึ้งๆ เพ็ญศรีเดินมาถาม
“ใครโทร.มาเหรอคะ คุณสา”
“เอ่อ คือ...”
ยังไม่ทันที่สาจะตอบ เสียงชมก็ดังขึ้น
“คุณหญิงเฉิดฉวี สวัสดีฮ่ะ”
สาตกใจหันขวับ หน้าเสียทันที เพ็ญศรีเดาสถานการณ์ได้ รีบเข้าไปทักทายแทน
“สวัสดีค่ะ คุณหญิง วันนี้ทำอะไรดีคะ”
เฉิดฉวีเมินเพ็ญศรี เพราะเห็นว่าเป็นเพียงลูกจ้าง เดินเลยไปทักทายสา
“วันนี้อยากทำเล็บค่ะ .. ทำสีอะไรดี คุณสาช่วยเลือกหน่อยซี”
สาหน้าเจื่อนๆ ยิ้มทักแห้งๆ “เชิญค่ะ เชิญทางนี้”
สานำเฉิดฉวีไปที่โซฟารับแขก เอายาทาเล็บหลากสีมาให้เลือกดูเพ็ญศรีเอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟให้
“น้ำค่ะคุณหญิง”
“ขอบใจจ้ะ...เดี๋ยวทำเล็บเสร็จแล้วคงต้องรบกวนช่วยถือกระเป๋าไปส่งหน่อยนะ คนที่เคยตามมาทุกที วันนี้นายเขาใช้ขับรถไปทำธุระ เลยไม่มีใครมาช่วยถือเลย”
“ค่ะๆ”
เพ็ญศรีมองหน้าสา ประมาณว่ายุ่งแล้วไหมล่ะ สาหน้าเจื่อน
เฉิดฉวีนั่งทำเล็บมืออยู่ในร้าน ในจังหวะที่วัชรินทร์ขับรถของสันทนาขับมาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้าน
สาคอยชะเง้อมองอยู่ตลอด เห็นรถมาจอดรอแล้ว รีบส่งสัญญาณให้เพ็ญศรี เพ็ญศรีพยักหน้ารับแล้วรีบมายืนบังสายตาเฉิดฉวี
“คุณหญิงเลือกสีเก่งจังค่ะ ทาแล้วมือผ้องผ่อง”
สารีบย่องออกไปทันที ทันใดนั้นเองเฉิดฉวีร้องขึ้น
“เดี๋ยวก่อน”
เพ็ญศรีสะดุ้งสุดตัว “ว้าย!” รีบระงับสติได้ “อะไรคะ คุณหญิง”
เฉิดฉวีชี้รองเท้าของตัวเอง “ฉันลืมรองเท้าแตะ” เพ็ญศรีโล่งอก “ทำเล็บแล้วจะใส่รองเท้ากลับได้ยังไงเธอช่วยไปเอารองเท้าแตะในรถให้หน่อยซี”
“ได้ค่ะ รถคุณหญิงอยู่ตรงไหนคะ”
เฉิดฉวีหยิบกุญแจขึ้นมา จะส่งให้ “รถสีขาว พวงมาลัยซ้ายนะ ฉันสั่งมาจากเมืองนอก” แต่แล้วชะงัก ไม่ไว้ใจ “แต่ เอ๊ะ ของฉันเต็มรถเลย ฉันไปเอาเองดีกว่า”
เฉิดฉวีลุกเดินไปหน้าร้านอย่างรวดเร็ว เพ็ญศรีถลาตามแทบไม่ทัน
“เดี๋ยวก่อนคะ คุณหญิง...ตายละ”
เฉิดฉวีเดินออกมาหน้าร้าน พอดีเห็นพลขับของสันทนาปิดประตูรถให้ใครคนหนึ่ง
“เอ๊ะ นั่น วัชรินทร์นี่”
เฉิดฉวีเพ่งมอง พบว่าคนที่นั่งอยู่ในรถเป็นผู้หญิง แต่เห็นจากด้านหลัง คุ้นๆ
“มารับใคร”
รถแล่นออกไป
เฉิดฉวียืนคิดๆ แล้วนึกได้ หันหลังเดินฉับๆ เข้าไปในร้าน
“คุณหญิงขา...” เพ็ญศรีอ้าปากค้าง เมื่อเห็นอาการของเฉิดฉวี
“คุณอุษาอยู่ไหน”
ชมและลูกค้าคนอื่นๆ หันมามองเพ็ญศรีพูดไม่ออก เอ้ออ้าอึกอักอยู่นั่น
“คือ...คือว่า”
เฉิดฉวีตวาดลั่น “ฉันถามว่าคุณอุษาอยู่ไหน!” คุณหญิงบ่าวตั้งเหลียวมองโดยรอบ “ไม่อยู่ใช่ไหมออกไปไหน! ไปหาใคร!”
หากรู้ว่าสาอยู่ภายในห้องประจำที่โรงแรมกับนายพลสามีเฉิดฉวีคงคลั่งกว่านี้
สากับสันทนานอนกอดกันอยู่บนเตียงอย่างสุขสม/ สาอ้อนถาม
“ตกลงท่านว่ายังไงบ้างคะ เรื่องโสภิต” สันทนายิ้มๆ “คุณพูดกับท่านหรือยัง”
“สั่งอะไรขึ้นมากินดีกว่า ชักหิว .. คุณอยากทานอะไร” สันทนาเปลี่ยนเรื่อง
“ฮื้อ อย่าเปลี่ยนเรื่องสิคะ...ตกลงคุณพูดกับท่านหรือยัง ท่านยอมไหม”
สันทนาตัดสินใจบอก “ไม่สำเร็จหรอก อย่าพยายามดีกว่า”
“อ้าว ไหนคุณบอกว่า...”
“ถ้าท่านบัญชามา ไม่มีคำว่าไม่ได้”
“แต่ฉัน...”
สันทนายกมือห้ามไม่ให้พูดต่อ “ท่านสั่งมาแล้ว ภายในเดือนหน้า ท่านต้องได้เจอตัวจริงของโสภิตพิไล”
สาอึ้งนิ่งงันไป
อ่านต่อหน้า 3
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 31 (ต่อ)
ค่ำนั้นสันทนาในชุดเครื่องแบบนายทหาร กลับเข้าบ้านมา เห็นเฉิดฉวียืนหน้าบึ้งรออยู่
“วันนี้ไปไหนมาคะ”
“ถามแปลก...วันนี้วันทำงานนะคะน้อง”
“แล้วทำงานทั้งวันหรือเปล่าคะ หรือว่าตอนกลางวัน แอบออกไปหาอะไรกิน”
สันทนารู้ทันว่าเฉิดฉวีหมายถึงอะไร แต่ไม่สะทกสะท้าน
“ก็ไม่ได้แอบนะคะ”
สันทนาพูดจบก็เดินขึ้นชั้นบน เฉิดฉวีเดือด พุ่งตามไป
“ไม่แอบก็แปลว่าจะเลี้ยงดูกันออกหน้าออกตาเลยใช่ไหมคะ...นังอุษามันมีอะไร ดีนักหรือคะ” สันทนาชะงัก “เฉิดอยากจะรู้นัก”
สันทนาดุ “นี่น้องแอบตามดูพี่อย่างงั้นเหรอ”
เฉิดฉวีออกอาการหวั่นกลัว แต่สู้ “ไม่ต้องตามหรอกค่ะ ฟ้าไม่เข้าข้างคนชั่วเฉิดไปทำเล็บที่ร้านนั้นพอดี เลยเห็นคนของคุณพี่ไปรับนังอุษา” คุณหญิงบ่าวตั้งขยายเกินจริง “คนเห็นกันทั้งร้าน คุณพี่ไม่คิดถึงเฉิดบ้าง เฉิดจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
สันทนาอึ้งๆ เฉิดฉวีฟูมฟายต่อไป
“พากันไปขึ้นสวรรค์กลางวันแสกๆ ก็ทำได้ ไม่รู้จักอายผีสางเทวดา”
เฉิดฉวีเข้าทุบตีอีก สันทนาจับมือไว้ ตวาดเข้ม
“หยุด พอที มันจะเกินไปแล้วนะน้อง”
เฉิดฉวีชะงัก น้ำตาปริ่ม ทั้งสองจ้องตากันอยู่ พอดีมีสาวใช้วิ่งมาขัดจังหวะ
“ท่านขา คุณหญิงขา”
เฉิดฉวีหันไปแว้ด “อะไร!”
สาวใช้หน้าตาตื่น “คุณแหววมาค่ะ คุณแหววมา”
สองคนร้อง “หา!”
สันทนาตื่นเต้น “ยายแหววกลับมา”
ทั้งสองตกใจ รีบวิ่งไปที่หน้าบ้าน
แหวว หรือ สวาทโฉม ลูกสาวสันทนากับเฉิดฉวี วัย 22 ปี แต่งตัวล้ำสมัย ดูออกว่าเป็นคนที่มาจากต่างประเทศ นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าจิบน้ำส้มอยู่ข้างกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ในห้องรับแขก
สันทนากับเฉิดฉวีเข้ามา หน้าตาแตกตื่น
“ยายแหวว นี่...นี่กลับมาได้ยังไง”
แหววยักไหล่แบบอเมริกันจ๋า ตอบอย่างไม่แคร์ “แหววขี้เกียจอยู่ค่ะ คุณแม่”
สันทนางง “หมายความว่ายังไง ยังไม่ปิดเทอมเลยนี่ ลูกกลับมาแล้วทางโน้นเขาไม่ว่าอะไรเหรอ”
แหววยิ้ม “แหววไม่สนหรอกค่ะคุณพ่อ แหววลาออกแล้ว แหววไม่กลับไปเรียนที่นั่นอีกแล้ว”
สันทนากับเฉิดวีตาค้าง แหวววางแก้วน้ำส้ม ลุกขึ้นทำเป็นบ่นๆ
“เด็กมันทำห้องเสร็จรึยังเนี่ย” แล้วบอกกับสันทนา “อยู่บนเรือบินแหววนอนไม่หลับเลยค่ะ เหนื้อยเหนื่อย ขอไปนอนพักก่อนนะคะ”
แหววเดินขึ้นชั้นบนไป ไม่รู้ไม่ชี้ สันทนากับเฉิดฉวีมองหน้ากัน อึ้งๆ
สาวใช้เปลี่ยนผ้าปูเตียงอย่างรวดเร็ว แหววเปลี่ยนเป็นชุดนอนเดินออกมา
“เสร็จแล้วก็ไปได้ ฉันจะนอน”
สาวใช้ลนลานออกไป แหววทิ้งตัวลงนอน เอาผ้าคลุมโปงอย่างง่วงจัด ประตูเปิดผลัวะเข้ามา
“อะไรอีกล่ะ”
เฉิดฉวีกับสันทนาเข้ามา เฉิดฉวีพุ่งเข้ามากระชากผ้าห่ม
“ลุกขึ้นมาพูดกับพ่อแม่ให้รู้เรื่องก่อน ยัยแหวว นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะแกเป็นคนเต้นเร่าๆ อยากจะไปเรียนนอก แล้วจู่ๆ มาลาออก... มันเกิดอะไรขึ้น”
แหววมีสีหน้าประหลาดแว่บหนึ่ง แล้วยักไหล่
“แหววเหม็นขี้หน้าคน แหววไม่อยากอยู่-ยูเดียวกับมันไม่อยากเห็นหน้า”
สันทนาถาม “ใคร”
“ศิวพจน์ไงคะ”
เฉิดฉวีประชด “ไหนก่อนไปว่ารักกันปานจะกลืนกิน”
“คุณแม่กับคุณพ่อก็ไม่ชอบเขาไม่ใช่เหรอคะ แหววก็เลิกกับเขาแล้ว ไม่ดีหรือไง”
แหววอ้าปากหาว จะทิ้งตัวลงนอน เฉิดฉวีกระชากไว้
“เดี๋ยว! เลิกกับแฟนมันก็เรื่องนึง แต่จะเลิกเรียนหนังสือด้วยหรือยังไง”
“ก็ .. เอาไว้แหววค่อยหาที่เรียนใหม่ หรือไม่” แหววแววตาแอบจริงจัง “แหววอาจจะแต่งงาน หาสามี หล่อๆ รวยๆ ซักคน”
สันทนากับเฉิดฉวีอึ้ง แหววลงนอน เอาผ้าคลุมโปง
“ยัยแหวว”
แหววหลับใส่ เฉิดฉวีทำท่าอยากกรี๊ด แต่กรี๊ดไม่ออก สันทนามองอย่างกลุ้มใจ
ไม่มีใครรู้เหตุผล แหววรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ เลยกลับมา แต่ยังไม่บอกใคร
วันต่อมาใจสว่างเดินมาอย่างเร่งร้อน กลุ่มนิสิตชายที่นั่งจับกลุ่มอยู่เห็นเข้า พากันพยักพเยิดดูเครื่องแบบของใจสว่าง เป็นกลุ่มเดิมที่เคยร้องเพลงแซวโสภิตพิไล
ชาย 1 ว่า “น้องใหม่แน่ะ”
ชาย 2 เป็นลูกคู่ “รับน้องหน่อยไหม”
ใจสว่างเดินผ่านกลุ่มนิสิตชาย เสียงเพลงก็ดัง “ขวัญใจจุฬา” ก็ขึ้น พวกนิสิตชายพากันมาร้องเพลงห้อมล้อมใจสว่าง ท่าทางน่ารัก ล้อกันเล่นในมหาลัย กะให้น้องอายเฉยๆ ไม่ใช่จะมาลวนลาม
ใจสว่างก้มหน้าก้มตาด้วยความเขิน พยายามไม่สนใจ แต่พอถึงท่อนแยก นิสิตชายคนที่แสบกว่าเพื่อนก็ร้องเดี่ยวด้วยเนื้อเพลงใหม่
“เวรกรรมอันใดจึงได้ขวัญใจอย่างนี้ ตัวดำมิดหมี แถมมีแว่นตา อาภรณ์อันใดจงถอดทิ้งไปเถิดหนา เหลือเพียงแว่นตา ให้ยอดยุพาสวมเอย”
ใจสว่างอายมาก อยากจะด่าก็ด่าไม่ออก มวลหมู่ร้องเพลงต่อไป
“ขวัญเอย ขวัญใจจุฬา โฉมเจ้าโสภาผ่องพรรณ สวยเอยสมเป็น”
คนอื่นๆ พากันอ้าปากค้าง เพลงเงียบ เหลือหัวโจกคนเดียวที่ร้องเสียงดัง
“ล้ำลาวัลย์ขวัญจุฬาน่ารักเอย”
ชาย 1 งง หันไปมองเพื่อน เห็นยืนเรียบร้อยทำท่าพยักพเยิด เลยหันหลังไปดู เห็นชายรวียืนยิ้มอยู่
“อุ่ย อาจารย์” ชาย 1 ยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
เหล่านิสิตชายพากันล่าถอยออกไป ใจสว่างยกมือไหว้ชายรวียิ้มสดใส
“ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์”
อ่านต่อหน้า 4
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 31 (ต่อ)
ทั้งสองพากันเดินไปที่รถชายรวี
“ทำไมเดินมาไกลถึงนี่ มาคนเดียวเสียด้วย พวกหนุ่มๆ เลยล้อกันสนุกใหญ่”
“หนูมาหาอาจารย์ค่ะ” ชายรวีทำหน้าแปลกใจ “หนูไปดักที่คณะนิติศาสตร์แต่ไม่ทัน หนูเลยคิดว่าอาจารย์ต้องมารับพี่โสภิตที่นี่”
“มีธุระอะไรกับผมหรือ”
“คุณป้าอุษาอยากพบอาจารย์ค่ะ”
“คุณอุษาอยากพบผม?” ชายรวีฉงน
“ค่ะ โดยเร็วที่สุดด้วย คุณป้าบอกว่ามีเรื่องด่วน เรื่องสำคัญมาก เกี่ยวกับ...”
ใจสว่างชะงัก หยุดพูด ชายรวีมองตามเห็นว่าโสภิตพิไลเดินมา
“รอนานไหมคะ น้าชาย...อ้าว ใจ มาทำอะไรจ๊ะ”
ใจสว่างยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ พี่โสภิต หนูมาคุยกับอาจารย์น่ะค่ะ” เด็กสาวหันมาทางชายรวี “อาจารย์อย่าลืมนะคะ หนูไปล่ะค่ะ”
ใจสว่างยกมือไหว้ชายรวีอีกที แล้วเดินออกไป โสภิตพิไลสงสัย
“ใจสว่างมีธุระอะไรกับน้าชายเหรอคะ”
ชายรวีกลบเกลื่อน “เปล่า ไม่ถึงกับมีธุระหรอก ก็แค่เดินผ่านมาเจอกัน ก็คุยไปเรื่อยเปื่อย”
โสภิตพิไลยังติดใจสงสัย “อยู่บัญชี เดินมาทำไมแถวนี้”
ชายรวีล้อ “มาทำหน้าที่เป็นกามเทพให้คนรักกันล่ะมั้ง”
“โธ่ พี่ปรมัตถ์น่ะเหรอคะ” โสภิตพิไลหัวเราะ “ความจริงพี่เขาเป็นคนดีนะคะ ดีมากด้วยแต่เสียดายโสรักใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากพี่นุ”
โสภิตพิไลพูดด้วยความสุขตาเป็นประกายประสาคนสมหวังในความรัก
ร้านเสริมสวยกำลังจะปิด ชมคุยกับเพ็ญศรี
“เอ แปลก วันนี้นึกว่าคุณหญิงเฉิดฉวีจะมา ปกติเธอต้องทำผมวันเว้นวันนะ”
เพ็ญศรีเดาได้ว่าเฉิดฉวีน่าจะสงสัยเรื่องสา แต่ขี้เกียจพูด
“คงขี้เกียจมั้งคะ”
“วุ้ย ไม่มีทางฮ่ะ เธอห่วงสวยจะตายไป” ชมหัวเราะคิกคัก “ผัวเจ้าชู้เหลือเกินนี่ฮะ ก็ต้องสู้ตายถวายชีวิต”
พอพูดปั๊บ ชมก็นึกอะไรขึ้นได้
“เอ๊ะ จริงสิ...”
ชมหันไปมองสาที่ยืนชะเง้อมองไปทางหน้าร้าน เหมือนคอยใคร
“คุณเพ็ญ คุณสากับท่านนายพลสันทนาเค้า...อะไรยังไงกันนี่...ใช่ไหม แล้วนี่คุณหญิงเฉิดเธอรู้หรือยัง”
เพ็ญศรียิ้มแหยไม่กล้าตอบ ชมมองไปที่สา เห็นสาเดินกลับไปข้างใน ท่าทางร้อนใจ
“แล้วนี่คุณสาแกชะเง้อคอยใคร อย่าบอกนะว่า...”
ชายรวีเดินเข้ามาในร้าน ชมอ้าปากค้างในความหล่อและดูดี
“ขอโทษ...ผมมาหาคุณอุษาครับ”
สาถลาออกมา หน้าตาท่าทางดีใจมาก
“คุณชาย...เชิญทางนี้ค่ะ”
ชมมองตาม ปากยังอ้าค้าง “คุณเพ็ญ...นั่นมัน... นั่นมัน”
“นั่นลูกเลี้ยงคุณสาเค้า...ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ เลิกคิด แล้วก็เช็ดน้ำลายด้วย”
ชมหุบปาก ค้อนขวับ
ชายรวีนั่งลง ใจสว่างเอาน้ำมาเสิร์ฟ
“น้ำค่ะ อาจารย์”
ชายรวียิ้มเอ็นดู “ขอบคุณ...ไม่ยักรู้ว่าคุณพักอยู่ที่นี่”
ใจสว่างยิ้มตอบอย่างสดใส
“บ้านหนูอยู่ลึกเข้าไปในคลองมหาสวัสดิ์โน่นแน่ะค่ะ มาเรียนลำบาก คุณป้าอุษาเลยกรุณาให้มาอาศัย”
“ป้าต่างหาก ที่ได้อาศัยหนูใจมาอยู่เป็นเพื่อน” สาหันมาพูดกับชายรวี “เลยได้ไหว้วานเขาไปส่งข่าวให้คุณชาย”
“คุณอุษาบอกว่ามีธุระสำคัญเกี่ยวกับโสภิตพิไล...เรื่องอะไรหรือครับ”
“ใจ ไปบอกน้าเพ็ญกับคุณชมนะ ว่าให้ปิดร้านแล้วกลับบ้านได้”
“ค่ะ คุณป้า”
ใจสว่างยิ้มให้ชายรวีอีกครั้ง แล้วออกไป สาหันมาบอกชายรวี
“คุณชายรู้จัก “ท่าน” ใช่ไหมคะ”
“หมายถึง “ท่าน” ที่กำลังมีอำนาจมากที่สุดในสังคมตอนนี้ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ นั่นล่ะค่ะ คุณชายคงได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาบ้าง...คือท่าน... ท่านสนใจโสภิตพิไลค่ะ”
ชายรวีตกใจ “อะไรนะ!”
“เป็นเรื่องจริงค่ะท่านให้คนสนิทมาติดต่อ ฉันปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาไม่ยอม ฉันไม่รู้จะทำยังไงเขาบอกว่า ไม่มีใครขัดขืนท่านได้”
ชายรวีอึ้งไปนิดนึง พอจะเดาออกว่าสาต้องเผชิญกับอิทธิพลขนาดไหน
“ฉันไม่อยากให้โสภิตไปเป็นเมียน้อยเมียเก็บของใคร ฉันอยากให้แกมีชีวิตที่ดี มีเกียรติ มีความสุขแต่ว่าฉัน...ฉันกลัวค่ะคุณชาย ฉันอ้อนวอนยังไง ทางนั้นเขาก็ไม่ยอมท่าเดียว”
ชายรวีปลอบใจ “ทำใจดีๆ ไว้ครับคุณสา...มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คุณกลัวก็ได้”
“ยังไงนะคะ”
ชายรวียิ้ม “เท่าที่ผมทราบ “ท่าน” สนใจผู้หญิงสวยๆ ก็จริง แต่ท่านไม่เคยยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้ว” สาฟังยิ่งงงหนัก “แล้วพอดี คงจะเป็นโชคดีของโสภิต ที่หม่อมแม่จับได้ว่าโสภิตกำลังมีคนรัก...ก็เลยจะเกิดการหมั้นหมายกันเร็วๆ นี้”
“อะไรนะคะ โสภิตมีคนรักแล้ว...ใครคะ”
“ก็...ลูกชายของพี่หญิงรองนั่นแหละครับ ชื่อชิษณุ คุณอุษาก็เคยพบแล้ว”
สาตะลึง ตกใจสุดขีด “ลูกคุณหญิงรอง! โสภิตจะแต่งงานกับลูกของคุณหญิงรอง!”
“ครับ จะหมั้นเร็วๆ นี้ และแต่งงานกันทันทีที่โสภิตเรียนจบถ้าคุณอุษาบอกเรื่องนี้กับ “ท่าน” ผมว่าก็คงจะหมดปัญหา จริงไหมครับ”
สานิ่งงันไป ตกใจกับข่าวใหม่ที่ได้ยิน
อ่านต่อตอนที่ 32