ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 31
วันต่อมามังตรา มุขอาย โชอั้ว ประทับอยู่บนพระแท่นคู่กันหน้าบัลลังก์
สมิงสอตุดกำลังกราบบังคมทูลข่าวจากจะเด็ดอยู่หน้าขุนนางอื่นๆ
“อุปราชบุเรงนองได้แจ้งข่าวมาว่าเพลานี้เสบียงอาหารต่างๆ ได้เตรียมไว้สมบูรณ์สิ้นแล้ว พร้อมรับเสด็จทัพหลวงทุกเมื่อ”
“แล้วทัพเมืองอื่นๆ พร้อมเป็นประการใด”
“ทุกทัพพร้อมตามที่กำหนดทุกประการ และครั้งนี้พระเจ้าแปรนรบดีจะทรงออกศึกตามเสด็จด้วยพระองค์เอง”
“งั้นก็ให้พราหมณ์ปุโรหิตกำหนดฤกษ์เดินทัพได้ ศึกครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าทุกศึกที่เราทำกันมา ขอแม่ทัพนายกองทุกผู้จงตั้งมั่นทำศึกนี้ให้ได้ชัยชนะเป็นที่จารึกไว้ในแผ่นดินหงสาวดีไปนับพันปีเถิด”
แม่ทัพนายกองทั้งหมดถวายบังคมพร้อมกัน สมิงสอตุดเงยขึ้นมองมุขอายอย่างถวิลหา มุขอายมองสมิงสอตุดอย่างหวั่นไหว โชอั้วสังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างมุขอายกับสมิงสอตุด
คืนนั้นสมิงสอตุดนอนทอดกายอยู่กับมุขอายบนเตียง
“พรุ่งนี้ท่านก็จะเดินทัพไปเมาะตะมะแล้ว ข้าพเจ้าคงคิดถึงท่านมาก”
“ข้าพเจ้าก็ใช่จะมิคิดถึงท่าน มิอยากจะจากท่านไปไกลดอกหากมีคนรู้ว่าเราสองคนลอบมีสวาทกัน ข้าพเจ้าต้องถูกบั่นคอขาดแน่ ตะเบงชะเวตี้ยามอำมหิตหามนุษย์ใดเหมือน”
“อย่าห่วงเลย ตะเบงชะเวตี้จะมิมีวันได้นั่งบัลลังก์หงสาวดีนานดอก” สมิงสอตุดตกใจ
“ท่านพูดถึงอะไร”
มุขอายชั่งใจก่อนพูด ด้วยสีหน้าเคียดแค้น
“ทุกวันนี้ช่วงเวลาที่มังตรามีความสุขในดื่มสุรา ร่างกายของกษัตริย์มังตราก็ได้สะสมยาพิษที่ข้าเจืออยู่ในภาชนะ ความแค้นของข้า ของพ่อข้า ของชาวยะข่ายจะเห็นผลในไม่ช้านี้”
สมิงสอตุดตกใจในความบ้าบิ่นของมุขอาย แต่เมื่อมุขอายพูดจบสีหน้าของสมิงสอตุดก็เริ่มคลายความตกใจเปลี่ยนเป็นดีใจเหมือนคิดแผนการใหญ่สำเร็จ มุขอายหยิบขวดยาออกมาจากกองเสื้อผ้า
“ระหว่างการเดินทัพ ท่านต้องสานงานต่อจากข้า”
สมิงสอตุดรับขวดยาพิษมาดู ตรงเข้ากอดมุขอายอย่างเอาอกเอาใจ”
“เสร็จศึกโยเดียนี้ก่อน ข้าพเจ้าจะยกท่านขึ้นเป็นแม่อยู่หัวของข้าพเจ้าเอง”
“ท่านจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าพเจ้ายอมสละชีวิตพร้อมมังตรา”
“ข้าพเจ้าเห็นการณ์ข้างหน้าสิ้นแล้ว สันเทโวอาท่านและเหล่าคนหงสาวดีที่อยู่ในบังคับข้าพเจ้ายังมีอีกมาก แล้วยังพระเจ้าเมงบาพระบิดาท่านอีก หากเรามารวมกำลังกัน บัลลังก์หงสาวดีนี้ก็คือของท่านและข้าพเจ้าเอง”
โชอั้วถือตะเกียงเดินมาทางสมิงสอตุดอยู่กับมุขอาย โชอั้วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงรีบดับตะเกียงและหลบหลังต้นไม้ใหญ่ สักครู่จะเห็นมุขอายเดินออกมาและรีบเดินหายไปทางอุทยาน จากนั้นก็เห็นสมิงสอตุดเดินตามออกมาเช่นกัน
โชอั้วรีบนอกเรื่องนี้ไปบอกนันทวดี นันทวดีนั่งสงบอยู่บนพระแท่น โชอั้วหน้าตื่นหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
“ข้าพเจ้าเห็นพระธิดายะข่ายกับปลัดวัง ออกมาจากอุทยานจริงๆ เชื่อข้าพเจ้าเถิด”
นันทวดีพยายามสะกดอารมณ์ให้นิ่งไว้
“มิใช่ท่านรังเกียจตะละเจ้ามุขอาย แล้ว…”
“ให้ตกน้ำ ฟ้าฝ่า หรือให้ข้าพเจ้าไปสาบานที่ไหนๆ ก็ได้ ข้าพเจ้าเห็นมากับตาจริงๆ เราไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวกันเถิด”
“มิควรดอก”
“ควร สองคนมันทำบัดสีเป็นกาลีบ้านกาลีเมืองเห็นๆ”
“พรุ่งนี้พระเจ้าอยู่หัวจะเคลื่อนทัพไปโยเดียแล้ว หากรู้การนี้การทัพจะอลเวงสิ้น ถึงอย่างไรสมิงสอตุดก็มิได้อยู่ที่นี่แล้ว ควรจะรอให้เสร็จศึกโยเดียก่อนดีกว่า”
“โธ่ ไม่น่าเพิ่งรู้เลย ถ้ามันมีลูก เด็กนี่ต้องไม่ใช่พระโอรสพระเจ้าอยู่หัวเด็ดขาด” โชอั้วบอกอย่างขัดใจ นันทวดีพยายามระงับความตื่นตระหนก ให้นิ่งไว้
ขณะนั้นสมิงสอตุดนั่งคุยกับสันเทโวและสอยันปายท่าทางจริงจังมาก
“สิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังได้มาถึงแล้ว จากนี้ไปกรุงหงสาวดีจะมีแต่อิสตรีอยู่เฝ้ากำแพงเท่านั้น ขอท่านสันเทโวอย่ากังวลใดใด การนี้จะต้องสำเร็จแน่ เพราะเรามีท่านสอยันปายช่วยหนุนอยู่อีกผู้หนึ่ง” สอยันปายนั่งนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา “ข้าพเจ้าจะหาทางสกัด มิให้ทัพหลวงกลับถึงกรุงหงสาวดีโดยเด็ดขาด ส่วนท่านกับสอยันปายให้กุมอำนาจในกรุงหงสาวดีไว้ อย่าให้มีการเคลื่อนไหวใดใด ส่วนพระเจ้าเมงบาพระเชษฐาท่าน ข้าพเจ้าได้กราบทูลให้พระองค์ทรงยกทัพลงมาตีเมืองตองอู แล้วจับบรรดาเมียๆ บุเรงนองทั้งหมดไว้เป็นตัวประกัน เมื่อข้าพเจ้าได้บัลลังก์หงสาวดี ข้าพเจ้าจะคืนแผ่นดินยะข่ายให้แก่พระเจ้าเมงบา ส่วนท่านจะได้นั่งถึงบัลลังก์ตองอู พอใจไม๊”
สันเทโวยิ้มอย่างพอใจ ส่วนสอยันปายฟังอยู่เงียบๆ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มังตราทรงชุดแม่ทัพรบเรียบร้อยแล้ว ประทับนั่งบนพระแท่นเหมือนยังอาลัยอยู่
ประตูห้องบรรทมเปิดออก แสงสาดเข้ามาในห้องมากขึ้น นันทวดีเดินถือพานเชิญพระแสงดาบที่บรรจุเถ้ากระดูกมหาเถรเข้ามาทรุดลงถวายมังตรา
“พระแสงดาบบรรจุเถ้ากระดูกพระอาจารย์กุโสดอขอพระองค์ประดับบูชาไว้ใกล้พระวรกาย เพื่อเป็นมหามงคลแด่พระองค์อยู่เสมอ”
มังตรามองอย่างภูมิใจ ก่อนจะรับดาบไป
“ใยมิให้พนักงานเวรนำมาให้”
“ข้าพเจ้าอยากถวายงานเอง”
มังตรารู้สึกแปลกเกิดความเอ็นดูเอาพระหัตถ์ลูบศีรษะนันทวดี
“ศึกนี้หนักหนานัก เป็นแคว้นดินแดนที่มิเคยมีแม่ทัพพุกามผู้ใดเคยไป ข้าพเจ้ามิอาจบอกน้องท่านได้ว่าเมื่อไรจะได้กลับ”
“ขอพระองค์รักษาพระวรกาย ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท แคล้วคลาดศัตราวุธทุกชนิด นำชัยมาสู้หงสาวดีเถิด”
นันทวดีปลดมวยผมออกเช็ดพระบาทให้มังตราเป็นการถวายความเคารพสูงสุด มังตราประครองนันทวดีขึ้นมากอดเช็ดน้ำตาให้
“ข้าพเจ้ามิเคยเห็นท่านอ่อนแอเช่นนี้เลย จงเข้มแข็งไว้ ท่านคือพระมเหสีแห่งหงสาวดี”
“หากแม้พระองค์จะมิโปรดข้าพเจ้าเป็นถึงพระอัครมเหสี ข้าพเจ้าก็จะขอเป็นข้ารองบาทในพระองค์ตลอดไป”
“ใครเจรจาเช่นนั้น ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าพเจ้านี้รักท่านแท้แค่ไหน แต่ท่านถามใจตัวเองก่อนว่าท่านนี้รักข้าพเจ้าเสมอกันหรือไม่” นันทวดีร้องไห้หนักขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “อย่าอ่อนแอ หากเป็นเช่นนี้จะทำให้ข้าพเจ้าออกศึกด้วยความลำบากใจ”
นันทวดีค่อยๆ ถอยออกมา ยิ้มให้ทั้งน้ำตา
“ขอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเถิด”
มังตราเดินออกไป แล้วหยุดที่ประตูหันมายิ้มให้อีกครั้ง
“ขอน้องท่านจงรู้ไว้. คนเรานั้นรักกันด้วยเหตุหลายประการ แต่ข้าพเจ้านี้รักน้องท่านด้วยเหตุแห่งหัวใจ”
นันทวดีมองอย่างซาบซึ้ง พยายามมิให้น้ำตาไหลออกมา มังตราหันกลับเดินออกไปตามระเบียงจนลับตาโดยไม่คิดเลยว่าจะไม่ได้กลับมาเห็นหน้ากันอีก นันทวดีผวาวิ่งไปเกาะประตูมองตามอย่างอาวรณ์อีกครั้ง
เท้าม้า,เท้าช้าง,เท้ากองทหาร,กองปืนใหญ่มากมายเดินย่ำไป มังตราในชุดกษัตริย์นักรบ ประทับบนม้าอย่างสง่างาม พระเจ้านรบดีนั่งช้างนำทหารแปรมาเป็นขบวนหลัง
มังตรา พระเจ้านรบดี จะเด็ด สมิงสอตุด เยมส์ กำลังประชุมทัพอยู่ จาเลงกาโบยืนคุยกับสีอ่องด้านหน้า
“จากตรงนี้ไปม้าวิ่งมิเกินเจ็ดราตรีก็จะเห็นกำแพงกรุงโยเดีย ทัพหน้าข้าพเจ้าได้ลงค่ายปีกกาล้อมพระนครโยเดียไว้สิ้นแล้ว”
สมิงสอตุดมองมังตราอย่างภาคภูมิใจ
“ความเป็นพระจักรพรรดิในพระองค์จะสมบูรณ์ในอีกมิกี่เพลานี้แล้ว”
จะเด็ดหันไปมองสมิงสอตุดอย่างไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้”
มังตราหัวเราะอย่างหึกเหิม
“ในที่สุด เราก็ตีฝ่าเมืองหน้าด่าน มาจนถึงกำแพงเมืองกรุงโยเดียได้อย่างมิยาก ไฉนพวกท่านจึงล่ำลือกันนักว่ากรุงโยเดียนี้ยิ่งใหญ่เสมอด้วยกรุงหงสาวดีเรา นับแต่ศึกนี้ไป ผู้คนทั่วทั้งทวีปจะได้รู้เสียทีว่าจะมิมีเมืองใด แคว้นใดในสุวรรณภูมิ จะยิ่งใหญ่เกินอาณาจักรหงสาวดีอีกต่อไป”
จะเด็ดมองมังตราด้วยความเป็นห่วงกลัวจะประมาท เพราะถูกสมิงสอตุดยุยง สมิงสอตุดหันไปสบตากับเยมส์ ยิ้มพอใจ สมิงสอตุดรินเหล้าถวายมังตรา
พลับพลาท้องพระโรงริมหน้าผากรุงยะข่าย เมงบาประทับบนบัลลังก์ จาพาและเหล่าเสนาเข้าเฝ้าอยู่เต็มท้องพระโรง
“นับว่าบุญวาสนาเรายังมีมากพอ ที่จะได้โอกาสแก้มือเอาแคว้นยะข่ายคืน ขอพระองค์ยกทัพเข้าล้อมกรุงตองอูเพื่อรอปลัดวังสมิงสอตุดให้สัญญาณเข้าจับตัวพระชายาบุเรงนองไว้เป็นองค์ประกันโดยเร็วเถิด”
“ตองอูเพลานี้กองทหารก็แทบมิมีอยู่เฝ้ากำแพงเมือง อย่างไรเสียพระชายาบุเรงนองทั้งหมดคงมิพ้นอุ้งมือเราดอก”
“แผนของสมิงสอตุดนั้นข้าพเจ้าคิดทบทวนแล้วเห็นว่าแทบมิมีโอกาสพลาดเลย”
เมงบานิ่ง แล้วค่อยๆ ยิ้ม รู้สึกหึกเหิมขึ้นจนระเบิดหัวเราะเสียงดังไปทั้งท้องพระโรง
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 31 (ต่อ)
ที่อุทยานหงสาวดี มุขอายกำลังเจรจาอยู่กับสันเทโวอยู่ที่มุมลับตา
“อายังไม่ได้ข่าวทัพของพ่อหลานบุกถึงตองอูเลย หวั่นใจนักว่าพ่อของหลานจะเร่งกองทัพเข้ายึดตองอูมิทัน จะทำให้แผนล้มเหลวลงทั้งหมดได้”
“เมียบุเรงนองมิใช่นางหงส์ที่จะติดปีกบินได้ เป็นแค่สตรีเดินดินคอยปรนเปรอสวาทบุเรงนองเท่านั้น มีหรือจะพ้นมือพ่อท่านได้ ข้าพเจ้าห่วงแต่เหล่าทหารในหงสาวดีนี้เท่านั้น อาท่านมั่นใจแค่ไหนว่าจะสามารถกุมกำลังทั้งหมดไว้ได้”
“ทหารในกรุงหงสาวดีนี้ สอยันปายรวบไว้อยู่ในอำนาจสิ้นแล้ว อามิห่วง ว่าแต่ว่าหลานอย่าลืมย้ำให้พ่อของหลานรู้ด้วยนะว่าการนี้ อาได้ให้ความร่วมมือกับหลานทุกอย่าง พ่อของหลานจะได้หายโกรธอภัยโทษให้อา”
นันทวดีเดินเข้ามาพร้อมกับโชอั้ว
“ท่านอารีบกลับไปเถิด พระมเหสีเสด็จมาโน้นแล้ว”
สันเทโวรีบเลี่ยงออกไป นันทวดีกับโชอั้วยืนมองอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างแปลกใจ
“พระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับเมื่อไหร่ ข้าพเจ้าจะกราบทูลความจริงให้ทรงรู้ให้ได้” โชอั้วบอก
“โชอั้ว ท่านคิดอย่างข้าพเจ้าไม๊”
“ข้าพเจ้ามิคิดอภัยดังพระพี่นางเด็ดขาด อย่าห้ามข้าพเจ้าเลย”
“มิใช่เรื่องนั้น การที่พระเจ้าอยู่หัวได้เมืองยะข่ายก็เพราะท่านสันเทโวเจ้าเมืองทรางทวยทรยศต่อพระเชษฐานำทัพเข้าตีเมืองพี่ตัวเอง แต่เหตุใดเมื่อสักครู่ ตะละเจ้ามุขอายจึงเจรจากับท่านสันเทโวเหมือนมิเคยโกรธแค้นกันมาก่อนเลย”
โชอั้วงง รู้สึดผิดปกติขึ้นมาทันที
กองทัพยะข่ายเคลื่อนมาตามช่องเขาอย่างยิ่งใหญ่ เมงบาในชุดนักรบประทับมาบนหลังช้างที่ท่าสีจนดูน่ากลัว
จาพาควบม้านำอยู่หน้ากองทัพ
กองทหารม้าและพลเดินเท้ายะข่ายเคลื่อนมาอย่างน่ากลัว เมงบาประทับมาอย่างมุ่งมั่น หมายจะยึดตองอูให้ได้
กองทหารม้าจาพาควบม้ามา พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าม้าที่วิ่งจนฝุ่นตลบ สีหน้าทหารม้าจาพาที่น่ากลัว บางคนแหวกปากร้องดังลั่นควบม้าพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ในค่ายหลวงหงสา ชานกรุงโยเดีย ฝนกำลังตกปรอยๆ ลานค่ายมีแต่โคลนตม พระเจ้านรบดีประทับอยู่ใต้ร่มคันใหญ่ทอดพระเนตรสายฝนไปรอบๆ ค่ายอย่างหนักพระทัย
ลานค่ายอีกมุมหนึ่ง สมิงสอตุด, เยมส์,พยัตตะบะ,จาเลงกาโบ,สีอ่อง กำลังช่วยทหารเข็นปืนใหญ่และรังดินปืนหลบเข้าเต้นท์กันวุ่นวาย บ้างก็เอาตับจากมาคลุมปิดไว้ชั่วคราว เยมส์ยืนสั่งการเสียงดังโวกเวก
“เร็วๆ เข็นไปหลบฝนเร็วๆ ปืนใหญ่และดินปืนพวกนี้มันเปียกน้ำไม่ได้”
“ก็เข็นอยู่นี่ไงจะยืนสั่งอย่างเดียวทำไมมาช่วยกันด้วยซิวะ ทำไมพวกแกไม่หาทางป้องกันอาวุธของแกให้ดีดี ทำไมมาคิดได้ตอนฝนตกแล้ววะ”
“ก็ใครจะรู้ได้ว่าภูมิประเทศนี้ฝนจะมาก่อนกำหนด นี่ยังมิใช่ฤดูฝนเลย”
“พิโธ่เอ้ย นี่แหละฤดูฝนแล้ว แผ่นดินแคว้นพวกแกมันมีแต่ฤดูหนาวนะซิฝนมันถึงไม่ตก อวดอ้างสรรพวิชากันไว้นัก ที่แท้โดนน้ำหน่อยเดียวก็ยิงไม่ออกแล้ว ไอ้เศษเหล็กเอ้ยๆ”
สีอ่องเข็นปืนใหญ่ไปถีบไป เยมส์ไม่พอใจ เข้ามาผลักสีอ่องกระเด็นจนตกโคลน
“ทำเยี่ยงนี้ได้เช่นไร ไม่พอใจก็อย่ามาช่วย”
สีอ่องไม่พอใจลุกขึ้นมาจะเอาเรื่อง
“ไอ้นี่ ไม่รู้จักกูเสียแล้ว กูอยากรู้นักว่าถ้าพวกโยเดียมันกำดาบบุกมาตะลุมบอนพวกมึงจะเอาอะไรสู้ มีแต่กระบี่เล่มจิ๋วเอามาแคะฟันก็ยังไม่ได้”
“อย่าปรามาทกันมากนัก หรือจะมาดวลดาบกันก่อนก็ยังได้”
เยมส์ชักกระบี่ออกมา สีอ่องชักดาบออกมาบ้าง จาเลงกาโบกับสมิงสอตุดรีบเข้ามาห้าม
“เพลานี้มิใช่เพลาที่จะมาฆ่าแกงกันเองนะสีอ่อง ช่วยกันเข็นปืนเหล็ก พวกนี้เข้าไปหลบก่อน หาไม่พวกโยเดียมันรู้จะพากันบุกมาถล่มค่ายเราจริงๆ ก็เป็นได้”
“เร็วเถอะท่านเยมส์ สอเรซ รีบเข็นปืนใหญ่หลบฝนเร็วหาไม่ศาสตราวุธสำคัญพวกนี้เป็นใช้การไม่ได้แน่ เร็วๆเถอะ”
เยมส์กับสีอ่องช่วยกันรีบเข็นปืนใหญ่ไปเก็บ จะเด็ดนั่งปรึกษากับพระเจ้านรบดีในกระโจม จาเลงกาโบ สีอ่องสมิงสอตุดรีบเข้ามาหารือด้วย ทุกคนต่างหนักใจ
“ยุทธภูมิกรุงโยเดียเป็นที่ลุ่มหากเราล้อมกรุงนี้ไปอีกมินาน น้ำเหนือก็จะหลากมาท่วมค่ายเรามิดเป็นแน่”
“กำลังไพร่พลโยเดียป้องกันพระนครเข้มแข็งอย่างนี้เราคงเอาชนะยากกองปืนไฟพวกหนังขาวเขาก็มีไม่น้อยกว่าเราและที่สำคัญเสบียงอาหารเราก็เหลือน้อยเต็มทน หากมิรีบถอนทัพเพลานี้ไพร่พลเราจะอดอยากยากแค้นกันสาหัส อาจจะเสียทีได้”
พระเจ้านรบดีทอดพระเนตรไปรอบๆ อย่างหนักพระทัย สมิงสอตุดรีบสนับสนุนเต็มที่
“หากพระอุปราชคิดจะถอนทัพจริงก็ควรเร่งเสียเพลานี้ ฝนตกอย่างนี้ กองปืนใหญ่ข้าพเจ้าจะถอยลำบากยิ่งกว่ากองอื่น”
“เป็นเพราะพวกท่านนี่แหละที่ยุยงพระเจ้าอยู่หัวให้มาทำศึกถึงโยเดีย พอเป็นเช่นนี้จะมาบอกให้รีบถอนทัพ มันจะง่ายอย่างปากท่านหรือ”
สีอ่องบอกอย่างโกรธๆ
“ไม่เอาน่าสีอ่อง เราต้องมาเจรจาความจริงกันแล้ว”
“นี่เป็นเพียงฝนแรกยังพอมีเวลากว่าน้ำเหนือจะหลาก ว่าแต่เราจะถอยอย่างไร จึงจะมิให้กองทัพโยเดียตามตีเราได้”
“ข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อจุดไฟเผาค่ายแล้วเราจะต้องถอนทัพขึ้นไปทางเหนือให้เอิกเกริก”
“ทำไมต้องถอยขึ้นไปข้างเหนือ ไม่ถอยไปทางด่านเจดีย์สามองค์เหมือนตอนมา”
“นั่นซิพระอุปราช กว่าจะพ้นอาณาเขตโยเดียต้องใช้เวลานานกว่าเดิม”
“ข้าพเจ้าเห็นว่าหนทางขึ้นเหนือเป็นที่ราบ สะดวกแก่การเดินทัพกว่า ข้าวปลาอาหารก็มีสมบรูณ์ เมืองหน้าด่านทางเหนือก็แค่เมืองโท เราคงตีหักเอาได้ง่าย ส่วนโยเดียเห็นทัพเราถอยอย่างประหลาดนี้ก็จะคิดว่าเป็นกลลวงคงมิกล้าไล่ตีกระชั้นชิด และอีกประการพระเจ้ากรุงโยเดียยังทรงอยู่ในพระอาการเศร้าโศกที่สูญเสียพระมเหสีและพระธิดา กว่าจะรู้ว่าเป็นกล เราก็คงออกชายแดนโยเดียไปแล้ว”
“เป็นการดีอีกประการก็คือเหล่าทหารเราเห็นแก่ความสะดวกกว่า ก็จะพากันรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวช่วยกันเร่งตีขึ้นไป เพื่อจะได้พ้นเขตแคว้นแดนข้าศึก”
“แต่เราจะทำอย่างไรให้พระเจ้าอยู่หัวมังตราทรงเห็นด้วยกับการนี้ มิทรงคิดว่าการถอยทัพครั้งนี้เป็นการพ่ายศึก”
ทุกคนเงียบ พระเจ้สนรบดีนิ่งคิด
มังตราประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีพระพักตร์ไม่พอใจและหมดหวังอย่างมาก ฝนยังตกปรอยๆ จะเด็ด นรบดี ประทับพระแท่นต่ำลงมา เหล่าเสนาบดีและทหารหมอบเฝ้าอยู่เท่าที่จำเป็น มังตรากินเหล้าตลอดเวลา บางครั้งออกอาการเริ่มไม่สบาย
“เรามารบถึงแคว้นโยเดียก็เพื่อความเป็นจักรพรรดิ์ อยู่ๆ จะมาบอกให้เราถอยทัพกลับไป ดังเช่นเราแห่เครื่องจักรพรรดิมาเปลื้องให้กษัตริย์โยเดียใช้พระบาทย่ำเล่นถึงในแคว้นแดนเขาเช่นนั้นหรือ พวกท่านมิมีหนทางอื่นแก้ไขอีกแล้วหรือไง” มังตราตวาดถาม
“ยุทธภูมิของกรุงโยเดียนี้เป็นเลิศในการสงครามนัก หากจะฝืนต่อไปเรามิอาจต้านภัยของธรรมชาติได้” พระเจ้านรบดีบอก จะเด็ดรู้สึกสงสารมังตรามาก
“เหล่าข้าพเจ้าและทหารทุกคนได้ถวายชีวิตไว้ใต้เบื้องพระยุคลบาทสิ้น หากต้องรบกันเหล่าข้าพเจ้ายินดีพลีชีพถวาย แต่ภัยธรรมชาตินี้ถึงสิ้นชีวิตไปก็มิได้หมายว่าจะได้กรุงโยเดียมา” จะเด็ดบอก พระเจ้านรบดีตัดสินพระทัยออกพระโอษฐ์
“แต่หากหลานคิดจะถอยทัพกลับจริง อาก็มีเหตุที่จะอ้างเพื่อรักษาพระเกียรติยศของหลานได้”
มังตราไม่พอใจมากขึ้น
“พ่ายศึกกลับไปทั้งๆ ที่ยังมิได้รบถึงขั้นปีนกำแพงเมือง ยังจะเหลือพระเกียรติยศอันใดอีกพระเจ้าอา”
“เหตุที่อาคิดว่าจะรักษาพระเกียรติยศของหลานไว้ได้ก็คือ เมื่อศึกรบกลางแปลงจนหลานได้ยุทธหัตถีกับพระเจ้ากรุงโยเดีย เมื่อสามวันก่อนนี้นั้น อาได้ประหารพระมเหสีและพระธิดาพระเจ้ากรุงโยเดียสิ้นพระชนม์บนคอช้างคราวเดียวถึงสองพระองค์ ทำให้หลานเกรงว่าการแผ่พระบรมเดชานุภาพจะต้องมัวหมอง มิสมเป็นพระวีรกรรมแห่งการเป็นจักรพรรดิ์”
มังตราเงียบ สมิงสอตุดนิ่งฟังอย่างพอใจ ยิ้มออก
“การที่พระองค์ยอมถอนทัพ เพราะทรงเสียพระทัยที่พระเจ้าแปรทรงประหารสตรีในสนามรบ จะทำให้ความเป็นพระจักรพรรดิ์ของพระองค์มีแต่ผู้สรรเสริญ ดีกว่าจะเสี่ยงอยู่โดยมิรู้ว่าจะแพ้หรือชนะ”
จาเลงกาโบกับสีอ่องมองสมิงสอตุดอย่างหมั่นไส้ มังตราเริ่มใจอ่อนหันไปมองจะเด็ด
“เหตุแห่งพระเจ้าแปรกราบทูลก็สมด้วยเหตุอยู่ และอีกมิกี่เพลาฝนก็จะตกลงมาแล้ว หากพระองค์ตัดสินพระทัยถอยทัพเพลานี้ก็จะมิได้ยากแก่เหล่าทหาร”
“ทำไมเราไปรบแผ่นดินใด จึงมิเคยได้ชัยชนะด้วยกำลังทหารอย่างเด็ดขาดสักครั้ง”
“แต่การยกทัพมาครั้งนี้ พระองค์ทรงได้สร้างประโยชน์แก่กองทัพหงสาวดีอย่างมากมาย ทำให้เราได้สำรวจเส้นทางและรู้ภูมิฐานของกรุงโยเดียโดยสิ้นแล้ว และข้าพเจ้าขอกราบทูลให้ถอยทัพขึ้นไปทางเหนือแทน เพื่อเราก็จะได้ทำการสำรวจเส้นทางใหม่อีกทางหนึ่ง เมื่อพระองค์ยกทัพมาครั้งหน้า พระองค์ก็จะสามารถเอาชนะโยเดียได้อย่างง่ายดาย”
มังตรารู้สึกเสียใจมาก
“ถ้าทุกคนคิดว่าหากรบต่อไปก็เอาชนะโยเดียมิได้ ก็หาทางเจรจาสงบศึกเสีย แต่ที่สำค้ญต้องให้โยเดีบยอมเจรจาด้วยแล้วกัน”
พระเจ้านรบดีรู้สึกสงสารมังตราลงคุกเข่ากับพื้น จะเด็ดลงตาม
“ถึงครั้งนี้จะมิได้กรุงโยเดีย แต่พระเดชะบารมีของหลานได้แผ่ขยายมาถึงกรุงโยเดียแล้วหลานคือจอมจักรพรรดิ์ผู้ทรงอานุภาพแผ่ไพศาลไปทั้งสิบทิศดังตั้งปณิธานแล้ว”
เสนาอำมาตย์และทหารทั้งหมดต่างถวายบังคมพร้อมกัน
“ขอพระจักรพรรดิ์ทรงพระเจริญศรีสวัสดิ์ พระบารมีปกป้องคุ้มเกล้าพสกนิกรไปทั้งสิบทิศเทอญ”
มังตราประทับนิ่งไม่ได้ภูมิใจกับคำสรรเสริญใดๆ เลย
อ่านต่อตอนที่ 33