ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 30
พลับพลาที่ราบบนหน้าผา กรุงยะข่าย
เมงบาประทับยืนดูการรบอยู่ท่ามกลางขุนนาง-แม่ทัพต่างๆ เมงบาโกรธมาก
“ไอ้น้องทรยศ สันเทโวมันอยากได้เศวตรฉัตรบัลลังก์ยะข่าย ยอมขายแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์ตัวแต่นี้ไปอย่านับมันเป็นสายเลือดวงศ์ยะข่ายอีกต่อไป ผู้ใดพบเห็นจงจับตัวมันได้ทันที แม้จะเป็นศพก็จงเอามาถวายเรา เราจะเอามันมาบูชายัญสังเวยบรรพบุรุษให้สิ้นอาย”
จาพาในชุดนักรบ กับทหารยะข่าย 2-3 คนที่เปรอะเลือดเกือบทั้งตัว เดินสะบักสะบอมเข้า กราบถวายรายงาน
“พระเมงบาเจ้าแห่งยะข่าย บัดนี้กำแพงยะข่ายที่ได้ชื่อว่าแข็งแรงที่สุดในพุกาม แม้ทัพม้าทัพช้างก็ยากจะเอาชนะได้ แต่ศึกครั้งนี้หงสาวดีนำกองปืนเหล็กศาสตราวุธสมัยใหม่มาด้วย เห็นที่กำแพงเราจะต้านกระสุนปืนใหญ่ของพวกฝรั่งหนังขาวไม่ได้แน่”
“แต่เราจะไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ ยะข่ายเรารักสงบไม่เคยรุกรานใครมานับร้อยปี ฉะนั้นครั้งนี้เราจะขอสู้ตายเพื่อรักษาเกียรติวงศ์แห่งบรรพบุรุษเราไว้”
“ข้าพเจ้ายินดีถวายชีวิตแด่พระเจ้าอยู่หัว จะรบจนกว่าตัวจะตาย”
“พระเจ้าอยู่หัวเจ้า ข้าพเจ้าและกองทัพยินดีถวายชีวิตเพื่อพระองค์ แต่หากสิ้นวงศ์ยะข่ายแล้วจะเหลือประโยชน์อันใดเล่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเรายังพอมีทางที่จะผ่อนศึกนี้ให้เบาลงได้อยู่”
“ท่านจะให้เราทำอย่างไร แม่ทัพจาพา”
“เมื่อครั้งมองโกลเรืองอำนาจคิดแผ่อาณาเขตลงมาถึงยะข่าย พระองค์ทรงได้หาทางสงบศึกเสด็จไปมองโกลเพื่อเจริญพระราชไมตรี ด้วยการขอพระราชทานพระธิดาพระเจ้ามองโกล มาเป็นมเหสีฝ่ายซ้ายเพื่อป้องกันการรุกรานของพระเจ้ามองโกล กุศโลบายในการสงบศึกครั้งนั้นหาได้มีชาวยะข่ายผู้ใด กล้าหมิ่นพระองค์ว่ายกยะข่ายให้เป็นเมืองออกของมองโกลไม่”
“ตะเบงชะเวตี้หงสามีลูกสาวที่ไหน”
จาพาพูดบางอย่างกับเมงบาแล้วก้มหน้าร้องไห้ด้วยความอับอายยิ่ง เมงบานิ่งอึ้ง นึกไม่ถึง
กองทหารมังตรากำลังพักผ่อน เฉลิมฉลองชัยกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ตากอานม้า บ้างก็ปฐมพยาบาล บ้างก็กินข้าว เสียงทหารที่กำลังเฉลิมฉลองอยู่เสียงดังด้วยฤทธิ์เมา เยมส์ สอเรซ วิ่งนำทหารโปรตุเกสเข็นปืนใหญ่เข้าประจุที่
“ทหารทั้งหมดเตรียมพร้อม เร็ว เข็นมาตั้งรับที่นี่ เร็ว”
ทหารทั้งหมดเงียบเสียงลงทันที ต่างวิ่งไปคว้าอาวุธมาตั้งรับ จาเลงกาโบเดินนำมังตรา สมิงสอตุดและคนอื่นๆมายืนมอง ทุกอย่างเงียบ เสียงดนตรีแบบมองโกลค่อยๆ ดังขึ้น ขบวนม้าของยะข่ายโดยมีตะละแม่มุขอายบนหลังม้างามสง่า มีองค์รักษ์ขี่ม้าตาม มังตราและคนอื่นๆ ยืนมอง จาเลงกาโบเตรียมพร้อม ระวังตัวสุดๆ
เมื่อขบวนใกล้ถึงหน้าค่าย ขบวนม้าหยุด ม้าของมุขอายเดินออกมาตัวเดียวและขี่เข้ามาหาที่หน้าค่ายอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อมาถึงหน้าค่ายมุขอายลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว มุขอายยิ้มให้มังตราน้อยๆ อย่างถือตัว แล้วยอกายถวายบังคมแบบมองโกล สมิงสอตุดมองตะลึง
“ข้าพเจ้า ตะละเจ้ามุขอาย พระราชธิดาพระเจ้าเมงบาแห่งยะข่าย ท่านพ่อให้ข้าพเจ้า มาอัญเชิญเสด็จพระเจ้าตะเบงชะเวตี้แห่งหงสาวดี เข้าสู่กรุงยะข่ายอย่างมิตรไมตรี เพื่อเจรจาสงบศึกแก่กัน”
มังตราไม่พอใจ แต่เห็นหน้ามุขอายแล้วพูดไม่ออก สมิงสอตุดที่มองตะลึงค้างอยู่ หันมาเห็นจาเลงกาโบมองอยู่จึงรีบเก็บอาการ มังตรายังจ้องมองมุขอายค้างอยู่ เหมือนไม่รู้สึกพระองค์ มุขอายยืนนิ่งนัยน์ตาไร้แววใดๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่พลับพลาริมหน้าผา กรุงยะข่าย เสียงดนตรีระบำกลองมองโกลดังกระหึม มุขอายในชุดประจำชาติมองโกล และเหล่านางระบำกำลังระบำกลองอยู่ที่กลางท้องพระโรง มังตราประทับบนพระแท่นสูงกว่าผู้ใด สีพระพักตร์ไม่ได้เบิกบานตามไปกับเหล่านางรำ ปีเตอร์คอยรินน้ำจัณฑ์ถวายอยู่ตลอดเวลา สมิงสอตุด จาเลงกาโบ อยู่ไม่ห่างนัก สมิงสอตุดมองมุขอายอย่างหลงใหล เมงบากับจาพาหมอบเฝ้าต่ำลงมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
“พระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัยเรื่องอันใด” สมิงสอตุดถามมังตรา
“เราแค้นใจ ยกทัพมายะข่ายครั้งนี้ขนทั้งทหารไพร่พลมากมาย มีทั้งปืนใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลานุภาพ หมายเอาชัยให้ถึงที่สุด แต่ดันรบกันไม่ทันเหงื่อตกเลย พระเจ้าเมงบามันก็ยอมให้เราเข้าเมืองโดยไม่ต้องออกแรง เท่ากับศึกนี้เราขนทหารมามากมายให้ขายหน้าเปล่า”
จาเลงกาโบ ได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างละอาใจ
“เป็นเพราะพระเจ้าเมงบาตาขาวเกรงพระบารมีเองต่างหาก”
“แต่เราต้องการรบ รบจนได้ชัยชนะใครจึงจะหมิ่นเรามิได้” สมิงสอตุดเริ่มเข้าใจ
“พระองค์ทรงลืมเสียแล้วหรือ การตียะข่ายนี้ก็เพื่อจะประลองกองทัพปืนใหญ่ให้ทหารมีความชำนาญการ จุดประสงค์แท้พระองค์ต้องการแผ่พระบารมีข้ามแม่น้ำสะโตงไปสู่ฟากทิศตะวันตกมิใช่หรือ หากพระองค์ตีได้กรุงโยเดียมาอยู่ใต้พระราชอำนาจ พระเดชานุภาพของพระองค์จะเป็นที่แส้สร้องสรรเสริญ ถึงพระจักรพรรดิสิบทิศที
เดียว”
จาเลงกาโบ ไม่พอใจสมิงสอตุดที่ยุแย่มังตรา แต่ทำอะไรไม่ได้ มังตราหัวเราะชอบใจลุกเดินไปหาเมงบา ทุกคนตกใจ มุขอายและนางรำรีบทรุดลงกับพื้น
“พระเจ้าเมงบายะข่าย แม้ท่านจะยอมศิโรราบถวายลูกสาวแก่เราแล้ว แต่หากยังมิได้ทำพิธีถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองแก่เรา เราจะถือว่าท่านนั้นยังมิได้ยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองออกของเราโดยสมบรูณ์ ฉะนั้นจงรีบจัดพิธีให้ครบถ้วนโดยด่วน เพราะเราจะต้องเร่งทัพกลับไปเผด็จศึกกรุงโยเดียเพื่อความเป็นพระจักรพรรดิสิบทิศต่อไป”
เมงบารีบรนรานลงกราบจนติดพื้น
“หามิได้ เราชาวยะข่ายคิดอยู่เสมอว่าจะต้องจัดพิธีถวายเครื่องราชบรรณาการให้ถูกต้องตามพระราชประเพณีแต่โบราณ ขอพระองค์อย่าทรงแคลงพระทัยในข้าพเจ้าเลย ทรงพระเกษมสำราญต่อเถิด พวกเราดื่มถวายพระพรเร็วทรงพระเจริญๆๆ”
สมิงสอตุดแอบยิ้ม เหลือบมองดูมุขอายอย่างพอใจ มุขอายที่ยังก้มอยู่แอบลอบมองมังตราอย่างอาฆาตแค้น ดูน่ากลัว
ท้องพระโรงในตองอู จะเด็ดนั่งอ่านสาส์นจาเลงกาโบอยู่ ทกะยอดิน จันทรา กุสุมา กันทิมา อเทตยานั่งอยู่ใกล้ๆ
“เพลานี้กองทัพพระเจ้าอยู่หัวได้ชัยชนะแก่กรุงยะข่ายแล้ว แต่มิได้ทำศึกกัน”
“เพราะเหตุใด”
“พระเจ้ากรุงยะข่ายขอเจรจาสงบศึก โดยการถวายตะละเจ้ามุขอายพระราชธิดาแด่พระเจ้าอยู่หัวเรา”
“พระเจ้ายะข่ายถวายพระธิดาให้มาด้วยหรือ”
“ทรงเป็นธรรมเนียมสงบศึก”
“แล้วนันทวดีจะทำเช่นไร ตะละแม่มุขอายเป็นถึงพระธิดายะข่ายคงมิพระราชทานตำแหน่งเพียงแค่พระสนมเอกเท่านั้น”
จะเด็ดอึ้ง กันทิมานิ่งฟังอย่างสนใจ
“อย่างน้อยๆ ก็ต้องเสวยตำแหน่งพระราชเทวี ฉะนี้แล้วหากได้พระโอรส สายพระโลหิตตองอูมิต้องแบ่งให้ยะข่ายครึ่งหนึ่งด้วยหรือ”
จะเด็ดหนักใจมาก จันทราก็ทุกข์กังวลไม่แพ้จะเด็ด
“พี่ท่านคงจะนิ่งเฉยอยู่ที่ตองอูนี่มิได้แล้ว หากพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติหงสาวดีเมื่อใดข้าพเจ้าคิดว่าพี่ท่านต้องรีบเข้าเฝ้า อย่าได้น้อยใจอันใดเลย”
จะเด็ดเห็นด้วยกับจันทราอย่างยิ่ง
ขบวนเดินทัพของมังตราเดินทางกลับหงสาวดี มังตรานั่งอยู่ในรถม้ากับมุขอาย มังตราเมาสีหน้ามุขอายมีแต่ความชิงชัง สมิงสอตุดขี่ม้าอยู่ข้างๆ รถม้ามังตรา มองมุขอายอย่างลุ่มหลง มุขอายมองตอบจากรถม้าแต่สีหน้าเรียบเฉย
มังตรานั่งอยู่ในรถม้าเมาหลับ มุขอายขี่ม้าอยู่ด้านหลังรถม้าอย่างโดดเดี่ยว สมิงสอตุดขี่ม้าอยู่ข้างหน้า และหยุดให้ขบวนผ่านไปเพื่อที่จะได้ขี่ม้าคู่กับมุขอาย จาเลงกะโบขี่ม้าจากด้านหลัง มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นึกสงสัยสมิงสอตุด
กองทหารหงสาวดีตั้งค่ายพักแรมระหว่างเดินทางกลับเมืองหงสาวดี ทหารกองสอดแนมขี่ม้าตรงเข้ามาอย่างเร็ว จาเลงกาโบเดินตรวจตราอยู่ด้านหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ ม้าวิ่งตามหลังมาอีก 2 ตัว
“ท่านอุปราชบุเรงนอง ท่านอุปราชบุเรงนองมา”
เสียงทหารสอดแนมร้องบอก เมื่อม้าทั้งสองตัวเข้ามาใกล้เราจะเห็นว่าเป็นม้าของจะเด็ดและทหารองค์รักษ์จาเลงกาโบดีใจมาก
“ท่านแม่ทัพ น้องท่าน”
ทั้งสองตรงเข้ากอดกันด้วยความดีใจ
ภานในกระโจมมังตรา มังตราประทับคู่กับมุขอาย จะเด็ด สมิงสอตุด จาเลงกาโบ เยมส์ เข้าเฝ้าอยู่ด้วย
“หากพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะแผ่อาณาเขตสู่กรุงโยเดียทิศตะวันออกครั้งนี้ ขอชะลอให้ข้าพเจ้าส่งคนเข้าไปสืบภูมิฐานประเทศให้แจ่มแจ้งก่อนเถิด เพราะกรุงโยเดียนี้ไม่ใช่อาณาจักรเล็กๆ ดังยะข่าย”
“พระอุปราชบุเรงนองท่านกล่าวเช่นนี้ดั่งปรามาสพระบรมเดชานุภาพพระเจ้าอยู่หัวเชียวนะ”
จะเด็ดมองสมิงสอตุดแล้วจำต้องเงียบ
“กรุงโยเดียกำลังผลัดแผ่นดินใหม่ หากมิเร่งทัพเข้าทำสงครามในเพลานี้ เราจะรอให้พวกโยเดียเข้มแข็งเสียก่อนหรือไร”
จะเด็ดมองเยมส์ สอเรซ อย่างไม่พอใจ
“การยกทัพไปแผ่อานุภาพในสุวรรณภูมิทางตะวันออกครั้งนี้เพราะเราต้องการที่จะสร้างพลังสามัคคีให้กองทัพพุกามประเทศ ที่ได้รวมเป็นอาณาจักรเดียวกันให้เป็นที่ประจักษ์เกรงขาม ถ้าท่านกลัวพวกโยเดียก็จงไปอยู่เฝ้าตองอูกับเหล่าเมียของท่านเถิด” มังตราบอก จะเด็ดเสียใจมาก
“พระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งเช่นนี้ข้าพเจ้าน้อยใจนัก สิ่งที่กราบทูลเกิดจากการกรองให้แยบยล หาได้ห่วงความสุขของตัวไม่ หากเป็นพระประสงค์อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าในฐานะข้าทหารใต้เบื้องบัลลังก์ในพระองค์ก็ยินดีถวายชีวิต”
“การสงครามปัจจุบันนี้พระอุปราชคงลืมไปว่า กองทัพไหนมีปืนไฟมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีเดชานุภาพมากขึ้นเท่านั้น พระอุปราชยังมิเคยทำสงครามปืนใหญ่ ฉะนั้นสงครามครั้งนี้ข้าพเจ้าจะถล่มกรุงโยเดียด้วยปืนใหญ่ให้ท่านได้ประจักษ์สายตาเอง” สมิงสอตุดบอก
“ข้าพเจ้าไม่ได้หมิ่นพลานุภาพของศาตราวุธปืน แต่ห่วงการลำเลียงกองทัพข้ามน้ำข้ามเขา ไปราวีในเขตแคว้นแดนผู้อื่นที่ทำให้ลำบากแก่ไพร่พลต่างหาก ซึ่งฐานประเทศเขาเราก็ยังมืดมน เขารบอยู่ในเขตแคว้นแดนตัว เสบียงอาหารก็สมบรูณ์กว่าเรา เขาย่อมได้เปรียบ”
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปจัดเตรียมเสบียงอาหารไว้ให้พร้อมซิ หากท่านคิดจะถวายงานเราในศึกนี้ ก็จงจัดทัพล่วงหน้าลงไปจัดการแผ้วถางทำถนนหนทางปลูกข้าวทำยุ้งฉางไว้รอเรา หมดฝนเมื่อไหร่เราจะได้ยกทัพไปทันที”
จาเลงกาโบ มองจะเด็ดอย่างเห็นใจ
“ขอรับพระบัญชา ข้าพเจ้าจะจัดทัพหน้าลุยขวากหนามกรุยทางผ่อนให้ทัพหลวงเดินทางอย่างสะดวกที่สุด”
สมิงสอตุดมองจะเด็ดอย่างสาใจ
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 30 (ต่อ)
มังตราที่กำลังเกษมพระสำราญเล่นสกาอยู่กับโชอั้วและนางพระกำนัลอยู่ที่พลับพลา
ปีเตอร์คอยรินน้ำจัณท์ถวายอยู่ใกล้ๆ ท่าทางปีเตอร์ไม่ค่อยสบาย
“วันนี้ท่านวางแผนได้ดีนะ เราจะจนมุมอยู่แล้ว”
“พระองค์ทรงขาดสมาธิต่างหาก พระทัยหาได้อยู่กับกระดานสกาไม่”
พยัตตะบะคลานเข้ามาถวายน้ำจัณฑ์ด้วยอาการไม่สบาย โชอั้วหันเห็นอาการพยัตตะบะก็สงสัย
“ท่านเป็นอะไรพยัตตะบะ”
“ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ศรีษะหมุนตลอดเวลา”
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่านก็ไปพักเถิดเราจะถวายงานพระเจ้าอยู่หัวแทนเอง” โชอั้วบก พยัตตะบะดีใจ
“เป็นความกรุณาอย่างยิ่งแม่นางโชอั้ว”
มังตราเสวยน้ำจัณฑ์รวดเดียวหมดจอก แล้วจะรินเสวยเอง
“เดี๋ยว ทำไมวันนี้มีน้ำโสมมาแค่ครึ่งขวดเอง”
พยัตตะบะที่กำลังคลานออกไปถึงกับสะดุ้ง
“เออ เออ”
“ก็ วันนี้ปีเตอร์ไม่สบาย ก็คงมิอาจปรุงน้ำโสมถวายได้เต็มกำลังนะซิพระองค์” โชอั้วบอก พยัตตะบะยิ้มแหยๆไหว้ประหลกๆ มุขอายเดินเข้ามาที่พลับพลาพร้อมขวดบรรจุน้ำจัณท์ มุขอายนั่งลงข้างมังตรา โชอั้วค่อนข้างไม่พอใจ
“ใยพระองค์ไม่ชวนข้าพเจ้าออกมาสำราญด้วย” มุขอายตัดพ้อ
“ข้าพเจ้ามิได้ห้าม อยากออกมาก็มาซิ”
“กำลังเล่นสกากันอยู่ใช่ไม๊” โชอั้วยิ้มเยาะ
“ท่านเล่นสกาเป็นด้วยรึ”
“อยู่ยะข่ายท่านพ่อชวนเล่นเป็นเพื่อนประจำ”
“งั้นแสดงว่ามีฝีมือทีเดียว โชอั้วจัดกระดานสกาใหม่ซิ”
“ข้าพเจ้าเล่นค้างไว้ กำลังจะยึดเมืองพระเจ้าอยู่หัวได้แล้ว”
“ล้มกระดานไปเลยให้ตะละเจ้ามุขอายเล่นแทน”
โชอั้วหน้าหงิก รื้อกระดานจัดให้ใหม่ ระหว่างนั้นมุขอายรินเหล้าให้มังตรา
“ข้าพเจ้านึกว่าวันนี้จะขาดน้ำโสมเสวยเสียแล้ว มา มาเล่นสกากับข้าพเจ้าสักกระดาน ท่านเป็นถึงธิดากษัตริย์น่าจะมีฝีมือเล่นสกาดีมิน้อยเล่นกับผู้อ่อนหัดน่ารำคาญ น้องท่านอย่าเบามือให้ข้าพเจ้าแล้วกัน”
มุขอายยิ้มให้อย่างแพรวพราว บาดตา โชอั้วนั่งเรียงกระดานสกาหน้าหงิกหน้างอ ไม่พอใจมุขอาย
มังตราเล่นสกากับมุขอายอย่างมีความสุข ชื่นชมในความสามารถของมุขอายมาก มุขอายนั่งเล่นสกาไปเงียบๆ ไม่มีความสุขนัก บางครั้งก็ฝืนยิม บางครั้งก็เสไปรินน้ำโสมถวาย มังตราเริ่มเมาทรงสรวลและรับสั่งดังขึ้นเรื่อยๆ
มังตราทรงยกเอามาอวดล้อมุขอายเล่น ทรงพระดำเนินไปมารอบมุขอายอย่างมีความสุข
นันทวดีกำลังทรงงานอยู่กับเหล่านางข้าหลวง โชอั้วเดินไม่พอใจเข้ามากราบ
“ข้าพเจ้าทนมิไหวแล้วนะพี่นางท่าน นางยะข่ายเพลานี้พระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดปรานดั่งแก้วมณีที่แขวนบูชาไว้บนยอดมหาเจดีย์ทอง มิทรงเห็นว่าเกล้าพวกเราจะสำคัญอีกต่อไปแล้ว พระพี่นางจะทรงนิ่งเช่นนี้มิได้แล้วต้องทรงจัดการสิ่งใดให้แจ่มชัด อย่าทรงนิ่งเฉยเช่นนี้เลย”
“โชอั้ว กาลครั้งหนึ่งเราก็เคยเป็นแบบท่าน เมื่อครั้งพระเจ้ามังตราโปรดท่าน เพลานี้ท่านเจอเข้าบ้างจะขึงโกรธเขาทำไม” โชอั้วหน้าเสีย
“มันมิใช่ความผิดของเราทั้งสองดอกนะที่ไม่มีพระราชบุตรถวาย แท้จริงเป็นเพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นหมันต่างหาก”
“อย่าด่วนปลงใจแบบนี้ เราสองคนอาจมิมีบุญพอจึงมิมีผู้มีบุญญาธิการมาจุติในครรภ์ รอดูตะละเจ้ามุขอายเถิด อาจจะทรงพระครรภ์ในเร็วๆ นี้”
ตายๆๆ ต้องตายแน่ๆ ถ้านางยะข่ายมีครรภ์พระเจ้าอยู่หัวเป็นไล่ข้าพเจ้ากับท่านกลับตองอูเป็นแน่”
โชอั้วได้แต่โกรธแค้นตัวเอง แต่นันทวดีนิ่งเงียบ ทำงานต่อไปเรื่อยๆ
คืนนั้นขณะที่มุขอายประทับทรงงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่กับเหล่านางข้าหลวงอย่างมีความสุข โชอั้วเดินมาหามุขอายกับนางข้าหลวงอย่างรู้สึกชิงชัง
“ป่านนี้แล้วยังมิเข้าถวายงานพระเจ้ามังตราอีกหรือคงคิดละซิว่าจะได้พระโอรสถวายในเร็ววันนี้”
มุขอายโกรธ ประชดกลับ
“สตรีทั่วแคว้นแดนแผ่นดินหงสาไร้ซึ่งบุญบารมี พระเจ้ามังตราจึงยาตราไปถึงยะข่ายเพื่อพึ่งบุญเรา ท่านกับพระมเหสีคงวิตกละซิว่าหากเราประสูติพระโอรส พวกท่านจะดำรงยศกันเยี่ยงไร”
“อย่าหมายมั่นว่าเลือดยะข่ายจะได้เจือปนผสมพระโลหิตพระเจ้ามังตราให้จางพระเกียรติยศลง ถึงจะเป็นธิดากษัตริย์ยะข่ายก็มิอาจรุ่งเรืองขึ้นในแผ่นดินหงสาวดีนี้ได้”
“เราขออโหสิอารมณ์แค้นที่เจรจาปรามาสเราด้วยแรงริษยา ท่านกับพระมเหสีนันทวดีแม้จะสั่งสมบุญมามาก แต่คงมิลืมว่าบุญของคนเรามิอาจเสมอกัน”
“ข้าพเจ้าที่มานี่ก็เพื่อแจ้งให้เป็นบุญว่า พระเจ้ามังตรามิมีทางโปรดให้ท่านได้ใช้พระโอรสไต่ขึ้นเล่นบนบัลลังก์หงสาวดีได้ เพราะพระองค์เป็นหมัน เลิกหวังเถิดว่าจะใช้มารยาสตรีคุ้มแผ่นดินตัวเองได้”
มุขอายทั้งแค้นทั้งตกใจ ผิดหวังอย่างนึกไม่ถึง โชอั้วยิ้มเยาะแล้วเดินออกไปอย่างสะใจ
“พวกนี้กำเริบนัก เพิ่งได้เหยียบแผ่นดินหงสานับรอยเท้ายังไม่ถึงร้อยรอยก็สำแดงเดชโอหังข่มเหงผู้อื่น คงกลัวเราจะมีพระโอรสถวายพระเจ้ามังตราซิถึงมาแจ้งเราว่าพระองค์เป็นหมัน”
สมิงสอตุดโผล่พรวดออกมาจากเงามืด พวกข้าหลวงตกใจนึกว่าผี วิ่งหลบหลังมุขอายชุลมุน
“ว้าย ผีหลอก”
“ข้าพเจ้าขออภัยที่ทำให้พวกท่านขวัญหาย เพียงหมายมาแอบอารักขาตะละเจ้ายะข่ายดอก เกรงแม่นางโชอั้วจะอดกลั้นโทสะมิได้แล้ว ทำร้ายตะละเจ้าเอา”
“ผู้คนหงสาวดีนี่ร้ายกาจทั้งบุรุษและสตรี ยังจะมีผู้ใดในแผ่นดินนี้ทำให้ข้าพเจ้าไว้ใจได้อีกเช่นนั้นหรือ”
“แท้จริงข้าพเจ้ามิใช่คนหงสาวดีแต่กำเนิดดอก จึงกล้ายืนคำว่าจะถวายชีวิตแด่ตะละเจ้ามุขอายได้จริง”
“แค่คำลิ้นรำพัน จะให้เราเชื่อเสียแล้วหรือ”
มุขอายเดินออกไปอย่างถือตัว สมิงสอตุดยังไม่สิ้นความหวัง คิดว่าจะหาทางเอาชนะมุขอายให้ได้สักวัน
มังตราบรรทมอยู่บนพระแท่น พระอาการเมาน้ำจัณฑ์ไม่ได้สติ มุขอายนั่งเหม่อมอง มังตราขยับเพ้ออย่างเมามาย มุขอายยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความคับแค้นใจ
มุขอายเดินอยู่ในอุทยานคนเดียวอย่างเศร้าหมอง ผิดหวังที่มังตราเป็นหมัน สมิงสอตุดลัดเลาะพุ่มไม้ แอบมายืนดักรอมุขอายอยู่ข้างพุ่มไม้
“ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านกำลังทรงวิตก”
มุขอายหันมาตามเสียง พอรู้ว่าเป็นใครก็แกล้งไม่พอใจ
“อย่ามารู้ดี”
“การจะมีโอรสให้พระเจ้าตะเบงชะเวตี้นั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนักแต่ก็ยังหาทางสำเร็จได้ไม่ ข้าพเจ้ามีหมอวิเศษจะมาแจ้งท่าน”
“เราไม่สนใจ”
“ขอท่านอย่าเย็นพระทัย หากผู้ใดมีพระโอรสถวายมังตราได้ก่อนนั่นหมายว่าบัลลังก์พุกามลุ่มอิระวดี รวมกับปฐพีสุวรรณภูมิที่พระเจ้ามังตรากำลังจะยาตราทัพไปทำศึก จะตกเป็นของพระโอรสน้อยนี้แต่พระองค์เดียว” มุขอายเงียบ “หากตะละเจ้าเชื่อคำข้าพเจ้า พรุ่งนี้ก่อนเพล ขอท่านมาพบข้าพเจ้าที่หลังอุทยานนี้ อย่าให้ผู้ใดเห็น”
สมิงสอตุดแอบหลบออกไป มุขอายคิดหนัก
นาข้าวที่ออกร่วงเหลืองอร่ามไปทั้งทุ่ง จะเด็ดขี่ม้ามากับจาเลงกาโบ ตรวจดูกองทหารที่ช่วยกันเกี่ยวข้าวอยู่ในทุ่งนา
“เดือนหน้าพระเจ้าอยู่หัวก็จะยกทัพหลวงลงมาแล้ว เราคงเก็บเกี่ยวเป็นเสบียงได้ทันเวลาพอดี”
“แต่ฐานประเทศโยเดียเป็นชัยภูมิที่ดี หากตีไม่แตกก่อนหน้าน้ำหลากเราคงได้ชัยยาก”
“ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านหวั่นการศึกครั้งใดเท่าครั้งนี้มาก่อน”
“ทัพโยเดียเองก็มีกองปืนไฟของชาติหนังขาวเหมือนกัน หามีเฉพาะแค่ทัพหงสาวดีเรา พวกหนังขาวพวกนี้มันเป็นทหารรับจ้าง ทำศึกเพราะเบี้ยหวัดเงินปี หาได้ทำเพราะรักบ้านรักเมืองเช่นเราดอก”
“ทำไมน้องท่านไม่ห้ามพระเจ้าอยู่หัวว่าอย่าเพิ่งทำศึกเลย”
“พระเจ้าอยู่หัวกำลังหลงศาตราวุธชาติหนังขาว คงห้ามไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้ามองการดีอันหนึ่งไว้ ศึกครั้งนี้ไพร่ทหารเราจะได้เห็นลู่ทางภูมิฐานประเทศโยเดียได้แจ้งตลอด หากครั้งหน้ายกทัพไปเราจะได้ชัยอย่างไม่ยากเย็น”
วันต่อมา สมิงสอตุดควบม้ามาตามป่า มุขอายขี่ตามมาห่างๆ แล้วทั้งสองก็ลงจากหลังม้าเดินหายเข้าไปในป่า
สมิงสอตุดเดินนำมาหยุดอยู่ริมลำธารน้ำตกกับมุขอาย มุขอายมองห่างๆ
“ไหนล่ะ พ่อหมอท่าน” มุขอายถามเหมือนรู้ตัวว่าถูกหลอก
“อยู่ในถ้ำตรงโน้น ข้าพเจ้าต้องอุ้มท่านข้ามลำธารไป”
มุขอายรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่มีทางเลือกจึงยอมให้อุ้มข้ามน้ำไป
สมิงสอตุดอุ้มมุขอายเดินมาจนถึงกลางถ้ำ
“ปล่อยข้าพเจ้าลงได้หรือยัง” สมิงสอตุดวางมุขอายลง “ไหนล่ะพ่อหมอ”
“นี่ไง”
“ไหน” มุขอายมองหา
“ก็ยืนอยู่นี่ไง”
มุขอายตกใจผละถอยออกมา สมิงสอตุดพูดไปถอดผ้าเกล้าและอื่นๆ ออก
“ท่านเชื่อหรือว่าจะมีหมอผีอุดมอาคม ทำพระเวทให้คนกำเนิดคนบุตรนั้นย่อมเกิดได้แน่นอน แต่ต้องอำนาจชายผู้เป็นพ่อกับแม่ผู้เป็นหญิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้นดอก” มุขอายตกใจ
“ท่านวิปริตหนักแล้ว”
สมิงสอตุดดึงมุขอายเข้าไปกอด
“ข้าพเจ้านั้นหมายท่านตั้งแต่แรกเห็น หากไม่คิดยุติศึกยะข่ายครั้งนั้นข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ท่านเป็นบาทบริจาริกามังตราเด็ดขาด”
“ปล่อยเราเถิด เราต้องการมีพระโอรสถวายมังตรา”
“ท่านยังหวังจะได้โอรสจากมังตราอยู่อีกหรือ ข้าพเจ้ารักท่าน รักยิ่งกว่าศีรษะตัว หากท่านใคร่เห็นหัวข้าพเจ้ากลิ้งออกจากกายก็จงนำคำนี้ไปฟ้อง บุตรที่เกิดจากข้าพเจ้าจะมีผู้ใดรู้ อย่าเห็นเป็นบัดสีเลย” สมิงสอตุดเข้าไปกอด มุขอายขัดขืนพอเป็นพิธี “ข้าพเจ้าขอสัญญา กาลเบื้องหน้า ข้าพเจ้าจะยกท่านขึ้นเป็นแม่อยู่หัวเอง”
ดอกไม้ที่แซมผมมุขอายร่วงตกลงกับพื้นร่วงลงกับสายน้ำ ดอกไม้ไหลไปกับน้ำตามซอกหิน
อ่านต่อตอนที่ 31