อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 30
กลับถึงบ้าน สากลุ้มใจทุกข์หนักเรื่องโสภิตพิไลกับชิษณุ จนไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่นั่งครุ่นคิดเหม่อลอยตั้งแต่กลางวันยันเย็น ข้าวปลาก็ไม่ได้ทำไว้กินเลย
ใจสว่างกลับจากจุฬาฯ มา เด็กสาวเห็นสานั่งเศร้าก็ไม่เรื่องมาก ลงมือทำข้าวไข่เจียวกินง่ายๆ เมื่อถามสาบอกว่า
“ป้าไม่หิว ตั้งแต่สึกชีออกมาป้าไม่ค่อยกินข้าวเย็นอยู่แล้ว” แต่พอเห็นจานอาหารไข่เจียวก็สงสาร “โธ่ถัง กินข้าวกับไข่ นี่พี่แป้นรู้เข้าจะว่าป้าเลี้ยงใจไม่ดี”
“แค่คุณป้าให้หนูอาศัยอยู่ที่นี่ก็ดีมากแล้วค่ะ ไม่งั้นหนูคงนั่งเรือออกมาเรียนไม่ไหว” ใจสว่างบอก
“ไปเรียน เจอโสภิตบ้างไหม”
“ไม่ค่อยเจอหรอกค่ะ อยู่คนละคณะ คุณป้าคิดถึงพี่โสภิตหรือคะ”
“บางทีก็อดห่วงเขาไม่ได้”
ใจสว่างมองหน้าสาแล้วตัดสินใจพูด “หนูขอโทษนะคะคุณป้า แต่หนูไม่เข้าใจ ทำไมคุณป้าไม่บอกเขาไปล่ะคะ ว่าคุณป้าเป็นแม่ของเขา”
สาฟังแล้วตกใจมาก “ใจ! นี่หนู...หนูรู้...ใครบอกหนู พี่แป้นกับพี่สุขใช่ไหม”
“ใจเย็นๆ ก่อนค่ะคุณป้า ตากับยายไม่ได้คิดจะบอกใครหรอกค่ะ แต่ตากับยายคุยกันแล้วหนูบังเอิญไปได้ยินเข้า ตากับยายเลยต้องเล่าให้ฟัง แล้วก็สั่งแล้วว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ห้ามไม่ให้พูด หนูกล้าพูดเพราะเราอยู่กันแค่สองคน หนูรู้ว่าคุณป้าคิดถึงพี่โสภิต ถ้าคุณป้ามีอะไร คุยกับหนูได้นะคะ อย่างน้อยก็อาจจะทำให้สบายใจขึ้น”
“ขอบใจมากจ้ะหนูใจ ขอบใจมาก”
สาดีใจนัก คลายกังวลลงไปอีกหน่อย อย่างน้อยก็มีใจสว่างที่เข้าใจหล่อน
ตกตอนบ่าย โสภิตพิไลนั่งอยู่ที่โต๊ะนั่งใต้ร่มไม้ในจุฬาฯ มีหนังสือกางตรงหน้า แต่ใจลอยใจสว่างเดินมากับปรมัตถ์
“พี่โสภิตคะ” โสภิตพิไลสะดุ้ง “เลิกเรียนแล้ว ไปกินไอศกรีมกันไหมคะ”
“ไม่ล่ะจ้ะ ใจกับพี่ปรมัตถ์ไปกันเถอะ”
ปรมัตถ์เอ่ยขึ้น “วันนี้วันเกิดพี่นะครับ โสภิตจะให้เกียรติพี่สักครั้งไม่ได้หรือ”
โสภิตพิไลบ่ายเบี่ยง “โสไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“ทำไมไปไม่ได้ล่ะคะ” ใจสว่างสงสัย
“พี่ไปไม่ได้ก็แล้วกันจ้ะ” โสภิตพิไลฝืนยิ้ม “พี่ขอตัวก่อนนะ
โสภิตพิไลปิดหนังสือ ลุกหนีไปอีกทาง ด้วยความอึดอัด
ใจสว่างทำท่าเสียใจกับปรมัตถ์ ปรมัตถ์ยิ้มรับอย่างแมนๆ แม้ตาจะเศร้า
โสภิตพิไลเดินทอดอารมณ์ไปตามทางในจุฬาฯ รถของชิษณุก็มาจอดเทียบข้างๆ
เสียงคุ้นหูของชิษณุดังขึ้น “โสภิต”
โสภิตพิไลตาโตดีใจ “พี่นุ” กระโดดขึ้นรถทันที
รถชิษณุแล่นมาตามถนนสายหนึ่ง ก่อนจะจอดลงตรงมุมสวยสงบ ทั้งสองพูดคุยปรับทุกข์กัน
“หม่อมยายทำอะไรน้องหรือเปล่า”
“ท่านสั่งไม่ให้โสเจอพี่นุอีก ไม่ให้ออกไปไหน จนกว่าพี่นุจะไปเมืองนอก”
ชิษณุขัดใจ “พี่จะทำให้ทุกคนเห็น ว่าเขาขัดขวางความรักของเราไม่ได้”
“พี่นุจะทำอะไรคะ”
ชิษณุจับมือ พูดจริงจัง “หนีไปกับพี่นะ”
โสภิตพิไลตกใจ “อะไรนะคะ”
“หนีไปด้วยกัน แล้วค่อยกลับมาขอขมา ถึงตอนนั้น ใครหน้าไหนก็ห้ามเราไม่ได้แล้ว” เห็นโสภิตพิไลนิ่งไปนานชิษณุถามขึ้น “ว่าไง”
โสภิตพิไลนิ่งคิด แต่แววตาบอกว่าตกลงใจไปแล้วกว่าครึ่ง
ค่ำนั้น โสภิตพิไลกลับมาถึงตำหนักขาวก็หมกตัวอยู่ในห้อง เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ตรงระเบียงนอกห้องนอน มองออกไปในความมืด ครุ่นคิดน้ำตาคลอ เสียงชิษณุดังก้องในหู
“หนีไปด้วยกัน แล้วค่อยกลับมาขอขมา ถึงตอนนั้น ใครหน้าไหนก็ห้ามเราไม่ได้แล้ว”
เสียงเรียกของชายรวีดังขึ้นข้างหลัง “โสภิต”
โสภิตพิไลสะดุ้งหลุดจากภวังค์ รีบเช็ดน้ำตา “น้าชาย”
“อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“ยังไงคะ”
“เธอจะลืมชิษณุได้”
“ทำไมโสจะต้องลืม ในเมื่อพี่นุเป็นคนที่โสรัก”
“โสภิต ฟังน้านะ...ระหว่างเธอกับนายนุมันไม่สมควร...ความจริงน้าเคยเตือนนายนุแล้ว ว่าอย่ายุ่งกับเธอ ไม่นึกว่าเขาจะกล้า”
“อย่าโทษพี่นุเลยค่ะ โสเองก็รักเขา เรารักกัน น้าชายไม่เคยรักใคร น้าชายไม่เข้าใจหรอกค่ะ ว่ามันห้ามไม่ได้”
โสภิตพิไลพูดอย่างเจ็บช้ำ แล้วลุกเดินจากไป ชายรวีมองตามด้วยความเห็นใจ
ฝ่ายสาอาบน้ำเสร็จ หวีผมอยู่หน้ากระจก มือไปปัดโดนกรอบรูปตกลงพื้นสาเก็บขึ้นมา เป็นรูปของโสภิตพิไล สาใจหาย
“โสภิต”
สากังวลใจ เหมือนสังหรณ์ว่ามีอันตรายจะเกิดขึ้นกับโสภิตพิไล
บรรยากาศด้านหน้า สโมสรกอล์ฟดูคึกคัก รถจิ๊ปทหารอย่างหรูคันหนึ่งวิ่งเข้ามา จอด ประตูเปิด พลโทสันทนา ลงมาจากรถในชุดทหาร ดูสง่างาม น่าเกรงขาม
ทหารลูกน้องคนสนิทที่รออยู่แถวๆ นั้นรีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพ
สันทนาถาม “ท่านเล่นเสร็จหรือยังวะ ไอ้น้อง”
“ยังครับ แต่สั่งเอาไว้ว่า ถ้าท่านนายพลสันทนามา ให้ไปหาท่านทันทีครับผม” ทหาร 1 บอก
แลเห็น “ท่าน” ผู้ยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง อยู่ในชุดลำลอง ใส่เสื้อสีแดงเข้มโดดเด่น กำลังตีกอล์ฟด้วยแรงอันมหาศาล ลูกโค้งยาวแล้วไปตกลงบนกรีนอย่างสวยงาม ท่านเยื้อนยิ้มพอใจ
ห่างออกมาสันทนายืนมองท่านอยู่ แล้วหันไปถามคนสนิท
“แรงยังดีอยู่เลยนี่หว่า แล้วหมอว่ายังไงมั่ง...เรื่องอาการของท่านน่ะ”
ทหาร 1คนสนิทบอก “ล่าสุดหมอก็บอกว่าอาการก็ยังไม่สู้ดีนักครับ แต่ภายนอกท่านก็ยังแข็งแรงหายห่วง ..” ทหารคนสนิทของท่านหัวเราะ “ที่ให้ตามหาพี่ ก็เพราะว่าแรงดี แรงเหลือนี่ล่ะครับผม
สันทนากับทหารคนสนิทหัวเราะอย่างรู้กัน
ท่านลงนั่งคุยกับสันทนาตรงมุมรับรองในสโมสร บนโต๊ะเบื้องหน้ามีเครื่องดื่มวางอยู่
“ไง สันทนา หายหน้าไปไหนวะ เกือบสองเดือน”
“ผมไปส่งลูกสาวเรียนต่อที่อเมริกาไงครับ จัดการเรื่องโรงเรียนเสร็จ ก็เลยพาที่บ้านเขาเที่ยวด้วย…ท่านมีเรื่องด่วนอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
“จะว่าด่วนมันก็ไม่ถึงกับด่วนหรอก เพียงแต่พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น มันจัดการได้ไม่เรียบร้อยเหมือนสัน…เอารูปเป้าหมายมาซิ”
ท่านพยักหน้าให้คนสนิท คนสนิทเอาซองใส่กระดาษมาวางตรงหน้าท่านหยิบรูปใบหนึ่งส่งให้สันทนา
นายพลสันทนารับมาดู เห็นเป็นรูปโสภิตพิไลในชุดนักศึกษา มีกองเชียร์แปรอักษรเป็นรูปพระเกี้ยวอยู่ด้านหลัง บรรยากาศวันแข่งบอลประเพณี
“นิสิตจุฬา...รายนี้เด็กกว่ารายอื่นเลยนะครับท่าน” สันทนาบอก
“น่ารักดี...พี่ให้คนไปสืบมาแล้ว ชื่อโสภิตพิไล วรประเสริฐ ดูเหมือนจะเป็นเด็กในความดูแลของหม่อมแก่ๆ ซักคน ในสกุลรวีวาร”
สันทนาคิดไปคิดมา “ลูกหลานผู้ดีตระกูลเก่า แบบนี้น่าจะคุยยากนะครับท่าน”
“เฮ่ย ไม่ขนาดนั้นหรอก เอ้า ดูเอาเอง”
ท่านส่งซองให้ สันทนาเทออกมา ในนั้นมีกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าราว 3 ปีที่แล้ว เป็นภาพข่าวหนังสือพิมพ์ ถ่ายวันที่โสภิตพิไลกับสาเดินออกมาจากศาลหลังตัดสินคดี
“ข่าวเก่าแล้ว...เด็กชื่อโสภิตพิไลคนนี้เป็นหลานของผู้หญิงในรูป เขาชื่ออุษา”
สันทนามองรูปสา ยิ่งมอง ยิ่งถูกใจ “อึมม์ น่าสนใจมากครับ”
“ในข่าวเขาว่า ยัยป้านี่เป็นคนเลี้ยง ดูแลโสภิตพิไลมาตั้งแต่เล็ก ถึงกับฆ่าคนที่มาลวนลามหลานสาวจนตาย...แกเป็นเจ้าของไนต์คลับชื่ออุษาวดี...สันลองไปเข้าหายายอุษานี่น่าจะตกลงกันได้ไม่ยาก” ท่านว่า
“ครับ ท่าน...น่าจะตกลงกันได้ไม่ยาก...แล้วผมจะจัดการเอง”
สันทนามองรูปสา พรายยิ้มอย่างพึงใจ
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 30 (ต่อ)
ตกตอนบ่าย รถประจำตำแหน่งของพลโทสันทนาเลี้ยวเข้ามาในคฤหาสน์ เป็นบ้านหลังใหญ่โต กว้างขวางโอ่อ่า ตกแต่งหรูหราสมฐานะ สันทนาเดินเข้ามาในตัวบ้าน วัชรินทร์ ทหารคนสนิทที่เคยเดินตามรับใช้เฉิดฉวีในร้านเสริมสวยอุษาวดี เดินเข้ามารับ
“คุณหญิงกำลังมีแขกนะครับ ท่าน”
“ใคร วัชรินทร์”
“สองคน สามี ภรรยา ที่มาบ่อยๆ น่ะครับ”
สันทนาทำหน้านึกออก ท่าทีเบื่อๆ
ที่ห้องรับแขก เฉิดฉวีนั่งคุยกับแขก คุณหญิงจิ๋มและปวุติ สามีคุณหญิง เป็นชายเชื้อสายจีน ท่าทางคล่องแคล่ว ติดจะขี้คุยนิดหน่อย ตรงหน้ามีกระเช้ากล้วยไม้กำลังออกดอกสวย ที่ทั้งสองเอามากำนัล
เฉิดฉวียิ้มรับตามมารยาท ไม่ได้ปลื้มเท่าไหร่ “ก็สวยดีนะคะ แต่ท่าทางจะเลี้ยงยาก” คุณหญิงบ่าวตั้งพูดกับหญิงจิ๋ม “ฉันก็ไม่ใช่คนชอบทำสวนเสียด้วย”
“แต่แหม ตอนนี้เขากำลังนิยมกันนะจ๊ะ เฉิด”
ปวุติเสริม “ใช่ครับ ยิ่งพันธุ์ไหนหายาก ยิ่งต้องมีไว้ประดับบารมีอย่างเจ้าช้างแดงต้นนี้ คนจ้องกันตาเป็นมันแต่ผมบอกเจ้าของเขาเลยว่ายังไงผมต้องได้ เพราะจะเอามาให้ท่านนายพลสันทนากับคุณหญิง”
สันทนาเดินเข้ามา โอบไหล่เฉิดฉวีอย่างคนรักเมีย แล้วพูดให้ปวุติฟังยิ้มๆ อย่างมีนัยยะ
“คุณเฉิดเขาเป็นผู้หญิงแปลกครับ ไม่ชอบดอกไม้...เวลาผมจะเอาอกเอาใจเขาทีนี่ต้องเล่นของหนักเลย ไม่ทับทิมก็ต้องมรกต ใช่ไหมน้อง”
คุณหญิงจิ๋มกับปวุติหน้าเสีย เฉิดฉวียิ้มรับมุกสามี
“แหมดอกไม้มันสวยไม่นานนะคะ สู้เพชรพลอยไม่ได้ จริงไหมจ๊ะ หญิงจิ๋ม”
หญิงจิ๋มยิ้มเจื่อนๆ “จ้ะ”
ปวุติตั้งตัวได้เร็วกว่าเพราะเป็นพ่อค้า ฉวยโอกาสเข้าประเด็นทันที
“พูดถึงทับทิม ถ้าจะเล่นกันจริงๆ มันต้องกินบ่อเซี่ยง ถ้าคุณหญิงสนใจผมหามาให้ได้นะครับ...เนื้อดี สีแดงจัดเม็ดใหญ่ๆ ไม่มีตำหนิเลย”
ได้ผล เฉิดฉวีสนใจ “อุ๊ย แพงไหมคะ”
หญิงจิ๋มรับลูกสามีทันที “อย่าพูดเรื่องราคาเลยจ้ะ เฉิด...พอดีทางคุณปวุติเธอจะตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยากเรียนเชิญเจ้านายของคุณสันทนาให้มาร่วมเป็นกรรมการด้วย ถ้าหากคุณสันทนาช่วยเป็นธุระจัดการได้...ทับทิมนี่เรื่องเล็กจ้ะ”
เฉิดฉวีเหลือบมองสามีเป็นเชิงหยั่ง สันทนาหัวเราะเสียงดังแต่แววตาไม่เอาด้วยพูดไปงั้นๆ
“เอาสิ เอา” สันทนาตัดบท “เชิญพวกผู้หญิงคุยเรื่องเพชรพลอยกันตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
สันทนาเดินออกไป ปวุติกับหญิงจิ๋มมองหน้ากันเลิกลัก
“นี่หมายความว่ายังไง เฉิด”
“กลับไปก่อนก็แล้วกัน วันหลังค่อยคุยกันใหม่” เฉิดฉวีบอกกับปวุติ “ขอตัวนะคะ”
เฉิดฉวีลุกเดินตามสันทนาไป ปวุติท่าทางขัดใจ
สันทนาอาบน้ำเสร็จแล้ว ใส่กางเกงและเสื้อกล้าม ยืนเลือกเสื้อลำลองที่จะใส่ เฉิดฉวีเดินตามเมาท์
“หญิงจิ๋มกับคุณปวุติสามีเขา อยากตั้งบริษัทมารับเหมางานของราชการค่ะ แหมทับทิมเม็ดเดียวเนี่ยนะ...เอากุ้งฝอยมาตกปลากะพงชัดๆ”
สันทนาเลือกเสื้อที่ถูกใจได้ หันมาบอกเฉิดฉวี น้ำเสียงภูมิใจในอำนาจบารมีของตน
“ตั้งแต่มีนโยบาย...น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก...บริษัทรับเหมาก่อสร้างก็ขึ้นเป็นดอกเห็ด น้องไม่ต้องห่วงหรอก นอกจากรายนี้ เดี๋ยวจะมีคนวิ่งเข้ามาหาน้องหัวกะไดไม่แห้ง” สันทนาใส่เสื้อไปด้วย “ว่าแต่ว่าสองผัวเมียนี่มาจากไหน มาสนิทกับน้องได้ยังไง”
“คุณหญิงจิ๋มเป็นเพื่อนเฉิด ตั้งแต่สมัยเรียนประถมที่คอนแวนต์ค่ะ” เฉิดฉวียิ้มหยัน “จะว่าสนิทก็เพิ่งมาสนิทกันเพราะผลประโยชน์หรอกค่ะ ตอนนั้นเรามันเป็นแค่ลูกนายทหารส่วนเขา” พูดแล้วยิ่งหมั่นไส้ “เป็นถึงหม่อมราชวงศ์หญิงในราชสกุลรวีวาร”
สันทนาได้ยินสะดุดหู
“รวีวาร? บังเอิญจริง”
“ทำไมคะ”
“วันนี้ท่านเพิ่งเรียกพี่ไปสั่ง ว่าอยากได้ตัวเด็กที่อยู่ในปกครองของพวกรวีวาร”
สันทนาเดินไปหน้ากระจก หวีผม แต่งหนวด เฉิดฉวีออกอาการไม่พอใจ
“อีกแล้วเหรอคะ แล้วแม่เทพีคนเก่าล่ะ”
สันทนาขำๆ “เก่ามันก็หมดอายุไปสิคะ”
เฉิดฉวีบ่น “เฉิดไม่ชอบเลยนะ เรื่องแบบนี้” พร้อมกับบอกสามีอย่างจริงจัง “พี่ห้ามเอาอย่างเจ้านายนะ เรื่องเมียเล็กเมียน้อยเนี่ย เฉิดไม่ยอมจริงๆ”
สันทนาไม่สนใจฟัง หยิบโคโลญจน์มาใส่แบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์ เฉิดฉวีงง
“นั่นใส่น้ำหอมทำไมคะ ไม่อยู่กินข้าวบ้านเหรอ”
“จะไปปฏิบัติราชการลับ”
สันทนาบอกแล้วเดินออกไปเลย เฉิดฉวีอึ้งกิมกี่
“แล้ว...”
สันทนาหันมาพูดสวน “ไม่เสร็จ ไม่กลับค่ะ”
จากนั้นสันทนาเดินออกไป เฉิดฉวีทิ้งตัวลงนั่ง เซ็งสุดขีด
สันทนาเป็นผู้ชายที่มีสองบุคลิก คือดุ น่าเกรงขาม แต่เวลาสนุกก็จะอารมณ์ดี พูดคะขากับผู้หญิง อย่างหนุ่มเจ้าเสน่ห์
เย็นแล้ว ลูกค้าคนสุดท้ายในร้านจ่ายเงินให้สาที่ยิ้มขอบคุณ
“ขอบคุณมากค่ะ วันหลังเชิญใหม่นะคะ ..เพ็ญส่งคุณหน่อยจ้ะ”
เพ็ญศรี “เชิญค่ะ”
ลูกค้าเดินออกประตูไปปุ๊บเพ็ญศรีพลิกป้ายหน้าร้านเป็นคำว่า ปิด ปั๊บ ส่วนชมก็พุ่งไปเปิดวิทยุ
เพลงดังขึ้นทันที
“เลิกงานแล้ว มาวาดลวดลายกันหน่อยฮ่ะ”
ทั้งสามพากันเต้น
สันทนาจอดรถตรงริมถนนหน้าร้าน แล้วเดินลงมา ได้ยินเสียงเพลงแว่วมา เลยหยุด แอบมอง เห็นสา เพ็ญศรี และ คุณชมเต้นตามเสียงเพลง สาเต้นไปหัวเราะไป ดูน่ารักและเซ็กซี่มาก
สันทนายืนมอง อย่างหลงใหล ค่อยเดินเข้าไปเหมือนถูกสะกด แล้วยืนมองอยู่อย่างนั้น
สาเต้นไปแล้วหันเห็นสันทนากำลังมองเธอเต้น สาเขิน หยุดเต้น สันทนายิ้มให้ สายิ้มตอบ เขิน หน้าร้อนวูบวาบ
เพลงจบ ชมกับเพ็ญศรีหันมา เห็นสากับสันทนายืนมองตากันซึ้ง ทั้งสองงง
เพ็ญศรีกระแอม ทั้งสองได้สติ “ขอโทษนะคะ” พลางชี้มือ “ร้านตัดผมผู้ชายอยู่ทางนู้นค่ะ”
สันทนาก้าวเข้ามาในร้าน
“ผมไม่ได้มาตัดผม ผมชื่อสันทนา ผมมีธุระสำคัญ ต้องพูดกับคุณอุษา”
สายืนงงจังงัง
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 30 (ต่อ)
ครู่ต่อมานายพลสันทนานั่งอยู่ที่ชุดรับแขกในร้านเสริมสวย สา เพ็ญศรี และชมมองอย่างสงสัย
“ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับฉันหรือคะ”
สันทนามองไปรอบๆ เห็นทุกสายตาจับจ้องอยู่ “มันเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นความลับ ผมไม่สะดวกคุยที่นี่” ท่านนายพลลุกขึ้นยืน “เชิญคุณอุษาออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า”
สาอิดออด “แต่ฉัน...”
“ร้านปิดแล้วไม่ใช่เหรอ”
สันทนาพูดด้วยแต่สีหน้า ท่าที และน้ำเสียงน่าเกรงขาม เลยไม่มีใครกล้าหืออือ
“ค่ะ แต่...” สามองชมกับเพ็ญศรี ท่าทีลังเล “แต่ว่าฉัน...”
สันทนาหยิบนามบัตรมา ส่งให้เพ็ญศรี “นี่นามบัตรของผม ผมรับประกันความปลอดภัยของเพื่อนคุณ” แล้วหันมาทางสา “เชิญ”
สามองตาสันทนา รู้ว่าไม่อาจะขัดขืนได้ เลยเดินตามไป
สาออกไปไม่นาน เพ็ญศรีทิ้งตัวลงนั่ง หยิบนามบัตรมาอ่าน
“พลโทสันทนา...ชื่อคุ้นๆ หน้าก็คุ้นๆ เคยเห็นที่ไหนน้า”
“ก็ตามหน้าหนังสือพิมพ์น่ะสิฮะ เขาออกจะอำนาจบารมีล้นฟ้า มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน เพราะเป็นคนสนิทของ...ท่าน” ชมบอก
“อ๋อ .. อ้าว แล้วคนใหญ่คนโตอย่างนั้น จะมามีธุระอะไรกับคุณสา”
“ก็น่านน่ะสิฮะ แล้วที่สำคัญ” ช่างผมคนดังทำหน้าหวาดเสียว “นายพลสันทนา ท่านเป็นฝาละมีของคุณหญิงเฉิดฉวีด้วยน่ะซี”
ฝ่ายสันทนาพาสาเดินเข้ามาในไนต์คลับ เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยศิลปะทันสมัยในยุค 60 ลวดลายสีสดใส สามองอย่างตื่นตา
“นั่งก่อน” สันทนาดีดนิ้ว สั่งบริกร “อย่างเคย น้อง”
สามองรอบห้องพลางถาม “ท่านมาที่นี่ประจำหรือคะ”
“ผมเป็นหุ้นส่วน ผมใช้ที่นี่เป็นที่คุยเรื่องสำคัญ ที่ไม่อยากให้ใครได้ยิน”
สาหวั่นๆ “เรื่องอะไรคะที่ท่านจะคุยกับฉัน”
สันทนาหัวเราะ เลิกดุ เปลี่ยนท่าทีและพูดจาแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์ “ใจเย็นๆ ยังหัวค่ำอยู่เลยดื่มอะไรเย็นๆ แล้วค่อยคุยกันยังได้”
บริการเอาแก้วบรั่นดีกับน้ำเย็นมาให้สันทนา ส่วนสาเป็นเครื่องดื่มสีส้มสวยหน้าตาเหมือนน้ำผลไม้
“น้ำอะไรคะ”
“วิสกี้ ซาวร์ .. ค้อกเทลตัวใหม่ล่าสุด ตอนนี้ที่อเมริกากำลังนิยมกันมาก”
สามีท่าทีกลัวๆ อยากๆ “ฉันไม่ได้ดื่มมาเป็นปีแล้ว กลัวเมา”
“น้ำผลไม้ทั้งนั้น ลองชิมดู ไม่เมาหรอก”
สายกขึ้นจิบ สันทนายิ้มเอ็นดู สาตัวลอยรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นสาวน้อยอีกครั้ง
ส่วนที่ตำหนักขาว หญิงศุภลักษณ์มาฟูมฟายเรื่องชิษณุไม่กลับบ้านชายรวีอยู่ด้วย หม่อมพริ้มดุเอา
“ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหญิงตามใจลูกจนมันเคยตัว”
หญิงศุภลักษณ์แก้ตัวเศร้าๆ “หญิงทั้งดุก็แล้ว ปลอบก็แล้ว ตานุก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน”
“มาดุตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร เห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว อยากได้อะไร ก็ทูนหัวให้อยากทำอะไร ก็ไม่เคยมีใครขัด มาตอนนี้ก็จะเป็นจะตายขึ้นมาล่ะซี”
คุณหญิงน้อยใจ “หม่อมแม่พูดเหมือนไม่รักหลาน ตานุแกกำลังแย่นะคะ” หันมาพูดกับชายรวี “ที่โรงแรมเขาบอกว่าตานุดื่มหนักมากดื่มจนเมาพับอยู่ที่ล้อบบี้ พี่ฟังแล้วใจจะขาด”
หม่อมพริ้มอ่อนใจ เมินหน้าหนี หญิงศุภลักษณ์ตามไปอ้อนวอน
“หม่อมแม่ขาหญิงรู้นะคะ ว่าตานุทำไม่ถูก แต่แกก็รักโสภิตจริงๆ รักมาก...รักมาก ก็เลยเสียใจมาก มากจนหญิงกลัวว่าแกจะเสียผู้เสียคนไป”
หม่อมพริ้มฉุนๆ “แล้วหญิงจะให้แม่ทำยังไง ยกโสภิตให้มันงั้นเรอะ”
คุณหญิงศุภลักษณ์เถียงทั้งน้ำตา “หญิงไม่ทราบค่ะ หญิงก็แค่อยากให้ลูกกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“นี่”
หม่อมพริ้มตั้งท่าจะเล่นงานชายรวีเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไกล่เกลี่ย
“เอาเถอะครับ พี่หญิงรอง ผมจะไปคุยกับชิษณุให้ผมว่านุต้องเข้าใจ” ชายรวียิ้มปลอบ “พี่หญิงรองกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนนะครับ ดูสิ ร้องไห้จนตาบวมแล้ว”
คุณหญิงศุภลักษณ์จับมือชายรวีแน่น “ชายช่วยพูดกับหลานด้วยนะเป็นผู้ชายด้วยกัน ตานุอาจจะฟังบ้างนะจ๊ะ”
“ครับ พี่หญิง”
หม่อมพริ้มมอง ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แล้วลุกเดินหนีไป
หม่อมพริ้มหลบมานั่งอยู่คนเดียว ชายรวีเดินมานั่งคุกเข่าลงข้างๆ กอดประจบ
“อย่าหงุดหงิดนะครับ หม่อมแม่ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“แม่ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้ในบ้านของเรา ก็รู้ว่าเป็นญาติกันแท้ๆ ทำไม”
“มีคนบอกผมว่า ความรักมันห้ามกันไม่ได้”
“ไอ้คนที่อ้างคำนี้ มีใครได้ดีเพราะความรักบ้าง ไม่เห็นมี ดูอย่างหญิงโสภา แม่ของโสภิตนั่นปะไร”
ขณะเดียวกันใจสว่างอยู่ในชุดนอน นั่งทำการบ้านอยู่เงียบๆ เห็นเพ็ญศรีเดินวนเวียนชะเง้อชะแง้
“สามทุ่มกว่าแล้ว ทำไมคุณสายังไม่กลับอีกนะ”
“น้าเพ็ญกลับบ้านก่อนก็ได้ค่ะ ใจอยู่คนเดียวได้”
“ได้นะ” ใจสว่างพยักหน้า “งั้นน้ากลับละ เดี๋ยวรถราจะหมด”
เพ็ญศรีเดินไปคว้ากระเป๋าถือ ใจสว่างลุกขึ้น จะไปส่งชวนคุย
“คุณป้าไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหน นานๆ ไปที คงสนุกใหญ่”
“ก็คงงั้นละ” เพ็ญศรีบ่นเบ่าๆ “คุณสาเอ๊ย ทำดีอยู่ได้ตั้งนาน จะดีแตกแล้วหรือยังไง”
วงดนตรีของไนต์คลับเล่นเพลงจังหวะเร่าร้อน นักเที่ยวเต้นยับเต็มฟลอร์ สันทนากับสาก็เต้น สันทนาเต้นโยกนิดๆ สไตล์ผู้ใหญ่ แต่สาวาดลวดลายเต็มที่ สนุกมาก
สากับสันทนาเข้ามา สาเต้นหนักจนเกิดอาการกระหายน้ำ
“โอ้ย นานๆ ปล่อยแก่ที เหนื่อยเหมือนกันนะคะนี่”
“แก่ที่ไหน” สันทนามองแววตากรุ้มกริ่ม “ออกจะสาวพริ้งทั้งตัว”
สาคว้าค็อกเทลดื่มหมดแก้ว สันทนากระดิกนิ้ว แก้วใหม่ก็ลงมาวางทันที
“ชอบไหม”
สายกดื่มอีก “ชอบค่ะ...แต่นี่เรายังไม่ได้คุยธุระกันเลยนะคะ ดึกแล้วด้วย”
สันทนามองหน้าสา คิดว่าถึงเวลาแล้ว จึงเปลี่ยนที่ท่าจากหนุ่มใหญ่เจ้าสำราญ เป็นสันทนาคนเดิมทันที
“ดื่มให้หมดก่อน แล้วเดี๋ยวไปหาที่เงียบๆ คุยกัน”
สายกดื่มหมดแก้วด้วยความกระหายน้ำหลายแก้วแล้ว และเมาโดยไม่รู้ตัว
มุมหนึ่งไกลจากฟลอร์ สันทนาบอกกับสาตรงๆ
“คุณเป็นผู้ปกครองของเด็กที่ชื่อโสภิตพิไลใช่ไหม”
สาตกใจ ระแวง “ทำไมหรือคะ”
“ “ท่าน...สนใจโสภิตพิไล เลยให้ผมมาติดต่อคุณ”
สาเสียงแข็งอย่างลืมตัว “สนใจ”
สันทนาพูดเรียบๆ เหมือนการเจรจาธุรกิจ “คนอื่นๆ ท่านให้เงินสดสองแสน รถคันนึง แต่สำหรับโสภิตพิไล ท่านบอกว่าเป็นกรณีพิเศษ ท่านยอมทุ่มไม่อั้น”
สาโกรธจัด “ไปบอกท่านได้เลยค่ะโสภิตไม่ยอมแน่ค่ะ ฉันก็ไม่ยอม”
“ไม่มีใครปฏิเสธท่านได้”
สาบอกอย่างท้าทาย “ฉันนี่ไงคะ”
“คุณไม่กล้าหรอก”
สันทนายิ้มร้ายดึงแขนสามาประชิด สาเชิดใส่
“ฉันกล้า ฉันฆ่าคนตายมาแล้วด้วยซ้ำ ไปบอกท่านของคุณด้วย อย่ามายุ่งกับโสภิต” สาผลักเขาออก “กลับไป”
สาลุกแล้วเดินหนี แล้วทันใดนั้น ก็รู้สึกเหมือนโลกหมุน สาเซ
“โอ้ย”
สันทนาประคองสาไว้
“คุณเมาแล้ว”
“คุณ...เมา” สามองสันทนา “ไหนคุณว่า...”
สันทนาเชยคางสาขึ้นมาจ้องตาซึ้งๆ
“คุณน่ารักมาก รู้ตัวไหม คุณอุษา”
สาละลาย สันทนาโน้มลงจูบสาอย่างละมุนละไม สาจูบตอบอย่างเร่าร้อน โหยหารสสวาทนี้มานานเหลือเกินแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 30 (ต่อ)
เพลิงสวาทดับมอดไหม้ลงสิ้นแล้วอย่างสุขสม สากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในห้องพักของโรงแรมแห่งนั้น สันทนาคลอเคลียอยู่ข้างๆ สามีความสุขมาก แต่ก็อดค้อนตัดพ้อไม่ได้
“คนฉวยโอกาส”
สันทนาหัวเราะ “ก็มันน่าฉวย”
สาทุบสันทนา “คนบ้า”
สันทนาจับมือสาไว้ “อย่างอนเลยน่ะ ผมชอบคุณจริงๆ นะ”
สารู้สึกดี มองสันทนาอย่างมีความหวัง “จริงเหรอคะ”
สันทนายิ้มเจ้าชู้ “จะให้พิสูจน์ไหม”
“ว้าย อย่าค่ะ” สาออดอ้อน “ถ้าคุณชอบฉันจริงๆ ฉันขออะไรอย่างได้ไหน” สันทนามองหน้าเป็นเชิงถาม “คุณช่วยทำให้ท่านเลิกสนใจโสภิตได้ไหมคะ”
ลึกๆ สันทนารู้ว่าไม่มีทาง แต่ไม่อยากดับความหวังสา เลยทำเป็นครุ่นคิด
“อึมม์”
“นะคะ นึกว่าเห็นแก่ฉัน”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ว่าแต่ว่า...” สันทนามองด้วยแววตากรุ้มกริ่ม “ผมจะทำไปทำไม”
สารู้ทัน ยิ้มหวานหยด แล้วโน้มคอสันทนามาจูบ ร่างทั้งสองล้มทับกันลงบนเตียงอีกครั้ง พร้อมๆ กับเสียงไก่ขันดังแว่วมา
เพ็ญศรีไขกุญแจเปิดเข้ามาในร้านเสริมสวยตอนเช้าตรู่ ในมือมีกาแฟกระป๋องผูกเชือกหิ้วมา ทั้งร้าน ยังไม่มีคน เพราะเช้าอยู่มาก เพ็ญศรีเดินเข้าไปด้านในที่เป็นส่วนที่พักอาศัยของสา ปากร้องเรียก
“คุณสา คุณสา...อ้าว หนูใจ”
ใจสว่าง ในชุดอยู่บ้าน กำลังยกชามข้าวต้มใส่จัดวางในถาด
“มาแต่เช้าเลยนะคะ น้าเพ็ญ”
“เป็นห่วงน่ะ เลยแวะมาดูคุณสาหน่อย” เพ็ญศรีส่งกาแฟให้ “น้าซื้อกาแฟมาฝาก เมื่อคืนคุณสากลับกี่โมงกี่ยามล่ะ”
ใจสว่างรับกาแฟมาเทใส่ถ้วยอย่างคล่องแคล่ว ปากก็คุยไปด้วย
“ตีสองกว่าเกือบตีสามแน่ะค่ะเช้าตื่นขึ้นมาก็บ่นว่าปวดหัว”
ใจสว่างหยิบยาแก้ปวดใส่ในถ้วยพร้อมแก้วน้ำ จัดลงถาด เป็นอย่างสุดท้าย เพ็ญศรีเดาได้เลยว่าสาไปทำอะไรมา
“ใจจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ น้ายกไปให้เอง มีเรื่องจะคุยกับเขาด้วย”
สากินยาขณะที่เพ็ญศรีมองแล้วส่ายหัว
“เมาค้างล่ะสิ คุณสา”
“โอ้ย ไม่ได้กินเสียนาน...แทบแย่”
“เหล้าหรืออะไรคะ”
สาสะอึก มองหน้าเพ็ญศรี หน้าเจื่อนๆ
“ท่านนายพลสันทนาเขาไม่ใช่คนธรรมดานะคุณสา” เพ็ญศรีเตือนอย่างเป็นห่วง
“รู้น่ะ เขาเป็นคนใหญ่คนโต”
“ไม่ใช่แค่นั้น เขายังเป็นคนของคุณหญิงเฉิดฉวีด้วย...คุณกำลังจะหาเรื่องใส่ตัวนะคะคุณสา”
สานิ่ง แต่ในใจไม่หวั่น เพราะติดใจกับรสรักที่ขาดหายไปนาน
เวลานั้นเฉิดฉวีร้องกรี๊ดลั่นบ้าน ในมือมีเสื้อที่สันทนาใส่เมื่อคืน มีรอยลิปสติกเห็นชัด ห่างออกไปเป็นสาวใช้ถือตะกร้าผ้า กลัวหงอ
“คุณพี่!”
เฉิดฉวีเดินฉับๆ ออกไป
สันทนาจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงระเบียง เฉิดฉวีเดินปึงปังเข้ามา
“นี่มันอะไรกันคะ”
สันทนาเงยหน้ามามอง เฉิดฉวีปาเสื้อใส่
“อะไรกัน”
สันทนางงก้มลงมองเสื้อ เห็นรอยลิปสติกก็หัวเราะ ตอบอย่างใจเย็น
“อ้อ เสื้อเปื้อน นึกว่าอะไร”
เฉิดฉวีไม่ขำ แทบจะกรี๊ด “เสื้อเปื้อนรอยลิปสติกค่ะ มันมาได้ยังไงคะ ไหนคุณพี่ว่าไปทำงาน”
“แหม น้อง พี่ไปทำงานการทูต มันก็ต้องมีโอ้โลมปฏิโลมกันบ้าง”
“คงไม่ใช่แค่โลมมั้งคะ ถึงได้กลับบ้านเอาเกือบสว่าง” เฉิดฉวีทุบตีแขนพัลวัน “ใช่ไหม ใช่ไหม”
สันทนาเปลี่ยนอารมณ์เป็นโหด โยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน เสียงเข้ม
“นี่ น้อง” เฉิดฉวีสะดุ้ง “พอได้แล้ว...เอาเสื้อไปเก็บ”
สันทนาโยนเสื้อใส่ แล้วเดินไปเลย เฉิดฉวีอึ้งๆ สักพัก ก็ได้สติ วิ่งตาม
สันทนาเดินเข้ามาในโถงกลางบ้าน เฉิดฉวีตามง้อ
“คุณพี่ขา คุณพี่”
“ถ้าจะพูดเรื่องนี้อีกพี่จะไม่อยู่ฟังแล้วนะ รำคาญ”
เสียงทรงอำนาจของท่านนายพลใหญ่ดังมา
“พ่อแง่แม่งอนกันแต่เช้าเลยนะผัวเมียคู่นี้”
สันทนากับเฉิดฉวีหันไปเห็นท่านเดินเข้ามา ใส่เสื้อไปรเวท สีแดงแป๊ด มีทหารคนสนิทเดินตามมาห่างๆ ทั้งสองตกใจ
สันทนาร้องทัก “ท่าน มายังไงครับ”
ท่านยักคิ้วขำๆ “มาตามงานเว้ย”
เฉิดฉวียกมือไหว้ลนลาน “เชิญนั่งก่อนค่ะ ท่าน”
ท่านมองเฉิดฉวีอย่างขำๆ
“นี่ จะสอนอะไรให้นะน้อง...นานๆ ทีก็ต้องปล่อยไอ้สันมันยืดเส้นยืดสายบ้าง...ผัวเป็นเสืออย่าเลี้ยงให้เป็นหมา... ดูที่บ้านของพี่เป็นตัวอย่าง อยู่นิ่งๆ ให้สมฐานะคุณหญิงไอ้สันมันไม่ไปไหนหรอก”
เฉิดฉวีจ๋อยสนิท “ค่ะ ท่าน”
ท่านโอบไหล่สันทนาอย่างสนิทสนม พาเดินออกไป
“เรื่องที่พี่ให้ไปจัดการเป็นยังไง ได้เรื่องไหม”
สันทนายิ้ม “ได้หลายเรื่องเลยครับ ท่าน”
ที่คอฟฟี่ช้อปโรงแรมเดียวกับที่เป็นรังรักของสาและนายพลสันทนา ชิษณุกับชายรวีนั่งจิบกาแฟคุยกันมาสักพัก ข้างตัวชิษณุมีซองเอกสารวางอยู่
“นุคิดดีแล้วหรือ เรื่องจะไปต่างจังหวัด”
ชิษณุจิบกาแฟสีหน้ามีเลศนัยนิดๆ แล้วตอบ “อืมม์”
“พี่หญิงรองคงเสียใจมาก ถ้าแกหนีไปแบบนี้”
“ไอจะไม่หนี ถ้าหม่อมยายจะยอมให้ไอกับโสภิตรักกัน”
“แกสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันนะ นุ”
“คนละนามสกุล คนละพ่อ แม่ของโสก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครพูดถึง ถ้าไม่บอกใครจะรู้ ว่าเราเป็นญาติกัน จริงไหม”
ชายรวีท้วง “แต่ว่า...”
ชิษณุตัดบท “พอเถอะ ขี้เกียจฟัง ในเมื่อหม่อมยายไม่อยากให้ไอคบกับโสภิต ไอก็จะไปให้พ้นๆ ทุกคนจะได้สบายใจ” แล้วลุกขึ้น คว้าซอง “บอกหม่อมยายด้วยว่า ไอ จะไปเชียงรายพรุ่งนี้ สิ้นปีไอจะไปเมืองนอก ไอจะไม่ไปยุ่งกับโสภิตอีก พอใจรึยัง”
ชิษณุจะไป
“เดี๋ยว นุ”
ชายรวีคว้าแขนไว้ พลาดไปโดนซองที่ชิษณุถืออยู่ตกพื้น ของในซองหล่นออกมาชายรวีเห็นพาสปอร์ตสองเล่มเล่มหนึ่งใหม่เอี่ยม ชิษญุตกใจ ลนลานเก็บ ชายรวีช่วย
“ขอโทษที”
ชายรวีหยิบพาสปอร์ตเล่มใหม่เอี่ยมขึ้นมา ชิษณุรีบกระชากไป
“เอามานี่”
ชิษณุเก็บใส่ซองแล้วเดินหนีไปเลย ชายรวีเรียก แต่ชิษณุไม่หัน ชายรวีมองตาม แปลกใจ
ฝ่ายโสภิตพิไลเอาเสื้อผ้ากันหนาวออกมา พับใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ พับไปก็ครุ่นคิดทบทวนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
ขณะนั้นบ้านทั้งหลังมืดสนิท โสภิตพิไลอยู่ในชุดนอน กำลังแอบโทรศัพท์คุยกับชิษณุ
“พี่นุแน่ใจแล้วเหรอคะ เรื่องที่จะหนี เพราะถ้าหม่อมยายจับได้”
ชิษณุอยู่ที่ห้องพักในโรงแรม
“พี่คิดเอาไว้แล้ว วันมะรืนนี้ เราจะหนีไปด้วยกัน พี่จะหลอกให้ทุกคนเข้าใจว่าเราหนีไปต่างจังหวัด แต่จริงๆ แล้วเราจะไปต่างประเทศ”
โสภิตพิไลตกใจ “ต่างประเทศ! ไปไหนคะ”
“บริษัทเคยจะส่งพี่ไปออสเตรเลียเดือนนี้ แต่พี่ขอไม่ไป เพราะอยากอยู่ใกล้ๆ โส แต่พอมีเรื่องนี้ พี่เลยไปบอกเค้าว่าพี่พร้อมจะเดินทางทันที”
“แล้วโสล่ะคะ”
“โสก็ไปกับพี่ ในฐานะภรรยา...ทางบริษัทจะจัดการเรื่องการเดินทางให้เรา กว่าใครจะรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน เราก็เป็นคนคนเดียวกัน ใครก็แยกเราไม่ได้แล้ว”
โสภิตพิไลคิดไปคิดมาจนพับเสื้อตัวสุดท้ายใส่กระเป๋าด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว แล้วหันไปหยิบรูปหญิงโสภามา
“ช่วยหนูด้วยนะคะ คุณแม่”
โสภิตพิไลกอดรูปแล้วเอารูปใส่กระเป๋าอย่างถนอม ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตู ตามด้วยเสียงชายรวี
“โสภิตเปิดประตูให้น้าหน่อย”
โสภิตพิไลตกใจ รีบผลักกระเป๋าซ่อนไว้ใต้เตียง แล้ววิ่งไปเปิดประตูห้อง
“มีอะไรคะ น้าชาย”
“หม่อมยายเรียก”
หม่อมพริ้ม หญิงจ้อย นั่งเรียงกันอยู่ในห้องโถง โสภิตพิไลเดินตามชายรวีมานั่ง
โสภิตพิไลไหว้ “น้าหญิง กลับมาเมื่อไหร่คะ”
“เช้านี้เอง เพิ่งรู้เรื่องกับเขานี่แหละ” หญิงจ้อยส่ายหัว “ไม่น่าเลยนะ โสภิต”
โสภิตพิไลก้มหน้า ละอายใจ
พริ้มพริ้มเอ่ยขึ้น “ที่เรียกมานี่ เพราะมีข่าวจะบอก วันนี้ชายรวีเขาไปคุยกับเจ้าชิษณุมา เขาบอกว่า เขาจะไปทำงานที่ต่างจังหวัด...ที่ไหนนะ ชาย”
“เชียงรายครับ ไกลมาก…แล้วสิ้นปีถึงจะไปอบรมที่อเมริกา”
หญิงจ้อยครวญ “ตาย... สงสารพี่หญิงรอง คงใจแทบขาด เธอรักลูกขนาดนั้น”
หม่อมพริ้มถอนใจ “แม่ก็เป็นห่วงลูกหลานทุกคนนะ หญิงจ้อย ไม่ใช่ใจดำ แต่เมื่อมันเกิดเรื่องแบบนี้ อยู่ให้ห่างกันไว้จะดีกว่า” หม่อมหันกลับมาที่โสภิตพิไล “ที่ว่าห้ามไม่ให้ไปไหนจนกว่าเจ้านุจะไปเมืองนอกน่ะ ก็ถือว่าตกไป เพราะอยู่ตั้งเชียงราย มันคงไม่มาวุ่นวายกับใครได้หรอก”
“ก็แปลว่าเธอจะเป็นอิสระภายในวันสองวันนี่แหละ ดีใจไหม โสภิต”
“ค่ะ น้าหญิง”
“เรื่องไม่ดีมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้ไป ก็ขอให้ทำตัวให้ดี อย่าทำเรื่องเสื่อมเสียอีก เข้าใจไหม”
โสภิตพิไลนิ่ง ก้มหน้าเหมือนรับคำ แต่ทว่าแววตาเหมือนภูเขาไฟที่รอระเบิด
ขณะเดียวกันหวนกับพุดช่วยกันทำความสะอาดห้องโสภิตพิไล
“เอ้า เร่งมือเข้าพี่พุด เอาให้เสร็จก่อนคุณหนูเธอกลับขึ้นมา”
“น่าสงสาร วันๆ เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง”
หวนเช็ดโต๊ะข้างเตียง แล้วเอะใจ
“เอ ทุกวันฉันเห็นรูปคุณหญิงโสภาวางตรงนี้ กี่ปีกี่ปีไม่เคยขยับ วันนี้มันหายไปไหน”
พุดเช็ดหน้าต่างอยู่ “ตกหรือเปล่า”
“สงสัย”
หวนลองก้มดูใต้เตียงแล้วชะงัก เมื่อพบกระเป๋าใบย่อมซ่อนอยู่
พุดถามโดยไม่หันมาดู “เจอไหม”
หวนสีหน้าขรึมลง สังหรณ์ใจอย่างแรง “ไม่เจอ”
เวลาราวตีสาม วันใหม่ บรรยากาศทั่วทั้งตำหนักขาว ทุกอย่างเงียบสงัด โสภิตพิไลอยู่ในเสื้อผ้าชุดรัดกุมถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินย่องออกมาจากบ้าน
ชิษณุยืนรออยู่หน้ารั้วตำหนัก ด้วยความกระวนกระวาย ห่างออกไปพอสมควร มีรถจอดอยู่ ชิษณุดูนาฬิกา แล้วตัดสินใจเป่าปากทำเสียงนก
โสภิตพิไลออกมาจากประตูรั้ว เรียกเสียงเบา “พี่นุ”
ชิษณุโผเข้าหากอดกันเต็มรักเต็มคิดถึง
โสภิตพิไลกับชิษณุพากันไปที่รถ ชิษณุเอากระเป๋าใส่ท้ายรถ
“เครื่องบินออกสิบโมงเช้า เราไปหาที่หลบกันก่อน” ชิษณุจับมือโสภิตพิไล “ไม่ต้องกลัวนะ”
“ไม่กลัวค่ะ มีพี่นุ โสไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
ขาดคำนั้นเองแสงไฟจากไฟฉายหลายกระบอกก็สาดจ้ามาที่คนทั้งสองทั้งคู่ตกใจ
“หยุดนะ ชิษณุ”
ทั้งสองปรับสายตาได้ เห็นหม่อมพริ้ม หญิงจ้อย และชายรวีเดินเข้ามา
“หม่อมยาย”
ชิษณุและโสภิตพิไลตกใจสุดขีด
อ่านต่อตอนที่ 31