xs
xsm
sm
md
lg

ละครเอากล่องของ "สถาพร นาควิไลโรจน์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 สถาพร นาควิไลโรจน์ ผู้กำกับเนื้อหอม
"สถาพร นาควิไลโรจน์" อยู่บนถนนวงการบันเทิงมานานถึง 28 ปีเต็มๆ โดยเริ่มต้นอย่างสวยงามด้วยการเป็นนายแบบโดมอนแมนคนแรกของประเทศไทยในปี ค.ศ. 1986 หลังจากนั้นก็ก้าวเข้ามาทำงานในด้านอื่นๆ ในวงการบันเทิงหลังจากที่ครองพื้นที่นายแบบระดับท็อปของประเทศมายาวนาน สถาพรหรือที่คนในวงการบันเทิงรู้จักกันดีในชื่อ "ถา" เริ่มต้นงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก มันเป็นยังงี้ ได้ยังไง ในปี พ.ศ. 2530 และแสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรกคือ แชมป์ชีวิต ในปี พ.ศ. 2531 หลังจากนั้นถาก็ถลำตัวให้กับแวดวงการแสดงทั้งภาพยนตร์และละครอย่างหมดหัวใจ

เส้นทางการแสดงที่ต่อยอดสู่การกำกับ ความเคี่ยวกรำจากการได้เรียนการแสดงกับหม่อมน้อย "หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล" ปลุกวิญญาณที่หลงใหลในการแสดงของเขาให้ตื่นขึ้น หลังจากที่ได้ทำงานกับบริษัทไฟว์สตาร์ในยุคทอง ทำให้ถามีโอกาสได้ร่วมงานผู้กำกับมากฝีมือ นำไปสู่การก้าวเข้ามาเป็นผู้กำกับและผู้ผลิตละครอย่างเต็มตัวอย่างทุกวันนี้

“มีอยู่ช่วงนึงที่ผมไม่ได้รับงานแสดง ช่วงนั้นไปหาประสบการณ์เพราะเป็นคนชอบเรียนรู้ ในตอนนั้นผมไปทำงานที่บริษัทไฟว์สตาร์ น่าจะประมาณปี พ.ศ. 2530 ก็ทำอยู่หลายปีเหมือนกัน ตอนนั้นก็จับพลัดจับพลู มีเพื่อน มีพี่ที่ทำอยู่เขาถามว่าลองมามั้ย เราเข้าไปดูแล้วก็น่าสนใจดี ด้วยความแปลกใหม่ก็ทิ้งงานแสดงไปหลายปีเหมือนกัน ทำหนัง ทำรายการ ตอนนั้นเป็นรายการวัยรุ่น ชื่อรายการ 4 + 1 เป็นรายการวัยรุ่นยุคแรกๆ เลย แล้วก็ทำละคร ทำหนังใหญ่ ก็อยู่เบื้องหลังทั้งนั้น ทำสคริปต์รายการ ทำนู่นนี่หลายอย่าง ชงกาแฟด้วย(หัวเราะ) ก็ถือว่าเราเป็นคนทำงานคนหนึ่ง ก็มีความสุข แฮปปี้กับงานเบื้องหลัง เป็นความรู้ใหม่ๆ ก็ทำประมาณ 5-6 ปีมั้ง"

"ตอนนั้นก็เป็นผู้ผลิตเล็กๆ ทำละคร มีบริษัทเล็กๆ ของตัวเอง ก็ทำกับไฟว์สตาร์ ก็ช่อง 3 นั่นแหล่ะครับ ไฟว์สตาร์มีเวลาช่วงเสาร์อาทิตย์ ช่วงกลางวัน เป็นละคร ก็กำกับมาตั้งแต่สมัยนั้นแหล่ะ ก่อนหน้านั้นก็เป็นผู้ช่วย ละครเรื่องแรกก็เป็นผู้ช่วยของป๊ะดุล อดุลย์ ดุลยรัตน์ จับงานแรกป๊ะก็ชวนมา บังเอิญเรื่องนั้นเล่นด้วย แล้วป๊ะกำกับ ป๊ะก็ชวน เฮ้ย มาช่วยป๊ะมั้ย เราก็คิดแต่เอามันอย่างเดียว ไปช่วยก็เรียนรู้ไปๆ วันนึงเราก็ได้เรียนรู้ในแต่ละวัน มันก็มีอะไรที่เข้ามาในชีวิตให้เราได้ศึกษาค้นคว้า ตัดต่อ ทำบทบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง ก็หมกตัวตรงนั้นอยู่นานโขเหมือนกัน จนรายการอิ่มตัว หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป แต่ความสัมพันธ์กับไฟว์สตาร์ก็ยังมีมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก็ออกมารับเล่นละครต่อ ทำนู่นนี่นั่นอะไรไปตามเรื่อง"

“จนวันนึงทีวีไทยหรือ thai PBS ก่อตั้ง ก็เป็นจังหวะที่ก่อนหน้านั้นผมรู้จักกับพี่คนนึง เขาก็ถามว่าเอาละครมาเสนอมั้ย ก็เอาสิๆ ทำเรื่องอะไรดี เราก็นึกถึงผีเสื้อและดอกไม้ มันเป็นช่วงเวลาตอนที่อยู่ไฟว์สตาร์ก็สัมผัสกับผู้กำกับหลายๆ ท่านที่มีฝีมือ พี่หง่าว (ยุทธนา มุกดาสนิท)ก็เป็นหนึ่งในนั้น เราอยากทำผีเสื้อและดอกไม้ซึ่งเป็นภาพประทับใจในช่วงเวลานึงของชีวิต ก็มาทำละครดู ก็ประสบความสำเร็จ ก็ต่อยอดมา ผีเสื้อและดอกไม้ มันก็เป็นอะไรที่ชัดเจนขึ้นในฐานะผู้ผลิต เราจะไม่เรียกตัวเองว่าผู้จัดนะ หลังจากนั้นก็มีงานของไทยพีบีเอสต่อ เรื่องที่สองพระอาทิตย์คืนแรม โฟกัสกับไมเคิล ก็เป็นละครเล็กๆ เป็นละครอีกแนวนึงที่เราไม่เรียกว่าละครน้ำดี เป็นละครสร้างสรรค์ ละครที่ดูแล้วอิ่มอกอิ่มใจ ให้กำลังใจ เป็นละครที่ดูแล้วเกิดภูมิต้านทานที่ดี อะไรแบบนี้ซึ่งเราชอบ หลังสุดสำหรับไทยพีบีเอสก็คืออำแดงเหมือนกับนายริด ซึ่งอันนั้นก็เป็นอีกรูปแบบนึงซึ่งตอกย้ำความเป็นตัวเองคือเป็นละครพีเรียดซึ่งค่อนข้างจะเป็นตัวเป็นตนของตัวเอง ด้วยความที่ชอบความเป็นพีเรียด ชอบการแสดงละครพีเรียด พอมาถึงเวลาแล้วก็หันมาทำละครพีเรียดแบบที่เราชอบดีกว่าก็มาทำอำแดงเหมือนกับนายริด ซึ่งก็เป็นงานของไฟว์สตาร์ในยุคที่ผมไปหมกตัวอยู่ตรงนั้น ก็ไปขอ อยากทำงานของอาเชิด ก็ได้รางวัลอะไรต่ออะไรก็ว่ากันไป"

"วันนึงก็ออกมาสู่โลกภายนอก หลังจากนั้นก็เจอกับพี่อ็อฟ พี่แดง ซึ่งตอนนั้นผมไปเล่นเรื่องรักเกิดในตลาดสดให้พี่อ็อฟ เฮ้ย ถา กำกับข้างนอกป่ะ ผมก็บอกก็ลองดูดิ ก่อนหน้านั้น ผมก็ถือว่าเป็นศิษย์ของหม่อมน้อยอยู่เหมือนกัน เราก็ไปเรียน ช่วงที่เล่นละครพี่น้อยก็ไปเวิร์คชอป ไปเรียนเรื่องการแสดง ก็มีความผูกพันกันในหมู่มวลพี่ๆ น้องๆ ศิษย์หม่อม ทุกคนก็รักและเคารพหม่อม ก็ถือว่าเป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นเพื่อน มีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน พี่อ็อฟก็เหมือนกัน เราก็ไปต่อยอด ทำเวียงร้อยดาว ขณะเดียวกันในช่วงเวลานั้นด้วยความที่เราก็เล่นเอ็กแซ็กส์ เราก็รู้จักแต่ไม่ถึงกับสนิทสนมนะ ก็รู้จักก็ อ่ะๆ ลองเอาเรื่องมาคุยกัน มาเสนอกันดูสิ ก็มาคุยกันจนได้เป็นโปรเจคคุ้มนางครวญที่ก่อเกิดขึ้นมาในช่วงจังหวะเวลานั้น"

ยอมรับว่าอุปนิสัยที่ชอบเรียนรู้ เก็บทุกรายละเอียด และทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดนำพาให้เขาก้าวมาถึงทุกวันนี้ แม้จะไม่เคยตั้งเป้าหมายในชีวิตอย่างชัดเจนว่าต้องเป็นผู้กำกับมืออาชีพมาก่อน

“จากวันนั้นถึงวันนี้มันก็ล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควรนะครับ ก็เป็นรสชาติที่พอนึกย้อนไปแล้วก็เห็นภาพต่างๆ ของตัวเองอยู่เยอะพอประมาณ บางทีอาจจะมาเขียนเป็นซีรี่ย์ได้สักเรื่องนึงเหมือนกัน แต่ก็ยังคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเราตั้งใจและเพราะว่าเราทำอะไรแล้วเราคิดตลอด คิดว่าทำอย่างนี้เพราะอะไร เช่น ถ่ายแบบ โพสต์ท่า ทำไมต้องโพสต์ท่าแบบนี้ พอวันนึงได้มาเล่นละคร ทำไมรุ่นพี่ๆ เขาต้องแสดงแบบนี้ ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลในการที่เรามอง อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้เป็นคนที่พอเห็นอะไรแล้วปล่อยให้มันผ่านไป หรือได้ยินอะไรแล้วปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาผ่านไป มันจะผ่านกระบวนการต่างๆ อาจจะเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตพอสมควร บางครั้งมันก็อาจจะมีผลในเชิงความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ผมว่านั่นมันก็ดีกว่าที่อะไรผ่านเข้ามาแล้วเราไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันเลย"

"ผมว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราพัฒนาในตัวของเราเองอย่างที่เราไม่รู้ตัว นี่คือการวิเคราะห์ ระหว่างทางมันไม่ได้วิเคราะห์หรอกนะ เพิ่งมาวิเคราะห์ ณ จุดต่างๆ ตรงนี้ว่าอาจจะเป็นเพราะแบบนี้แบบนั้นหรือเปล่า เลยทำให้เรามีวันนี้ ผมว่าอันนี้คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการตั้งใจทำในสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย อย่างการเล่นละคร เราก็ไม่เคยคิดว่าวันนึงเราจะได้มาเล่นหรือเล่นละครแล้ว เราก็ไม่นึกว่าวันนึงเราจะได้มาเป็นผู้ผลิต เป็นผู้กำกับ หรืออะไรพวกนั้นก็ไม่เคยคิด โอกาสต่างๆ มันมาเพราะหนึ่ง อาจจะมองว่าฟ้าลิขิต คนบนฟ้าเป็นผู้กำหนดมาหรือเปล่าก็แล้วแต่จะมอง เพียงแต่ว่าทำให้มันดีที่สุด เพราะว่าคติอย่างนึงที่ผมค่อนข้างจะยึดถือก็คือทำงานทุกงานให้เหมือนงานสุดท้ายของชีวิต เพราะว่าบางครั้งเราไม่รู้ว่าเรารักงานนี้แล้ววันพรุ่งนี้เราจะยังมีโอกาสที่จะได้ทำงานที่เรารักอยู่หรือเปล่า ก็คงเป็นความมุ่งมั่นบางอย่างที่อยู่ในตัวของเรา"

ผู้กำกับที่หลงเสน่ห์ความเป็นพีเรียดคนนี้บอกว่าทุกครั้งที่ได้แสดงหรือมีส่วนร่วมในการทำงานที่เป็นพีเรียดเขาจะรู้สึกเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างขับเคลื่อนให้ลุกจากที่นอนมาทำงานมากกว่าละครในแนวอื่นๆ เสมอ และนั่นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ละครส่วนใหญ่ของถาเป็นพีเรียด

“อาจจะแก่แล้วหรือเปล่า(หัวเราะ) มันเลยอยากจะย้อนไปคืนวันเก่าๆ อะไรแบบนั้น ไม่รู้นะ เราไม่เคยรู้ตัว แต่เรารู้อยู่อย่างนึงว่า สมัยก่อนที่เราเล่นสี่แผ่นดิน ของพี่ไก่ (วรายุทธ มิลินทจินดา) หรือก่อนหน้านั้นก็จะมีซีรี่ย์เล็กๆ เรื่องปราบพยศ ซึ่งเป็นพีเรียดแล้วเรารู้สึกว่า ตื่นเช้ามาเรารู้สึกเปรมปรีด์ในการที่จะไปกอง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เรารู้สึกว่ามีความสุข เรามีความสุขกับมันทั้งวี่ทั้งวัน แล้วเราเชื่อในสิ่งที่เราเป็น เราทำ เชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันมีความรู้สึกอย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้ ตอนแรกเราคิดว่ามันเป็นความแปลกใหม่หรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้วมันพิสูจน์ให้เห็นว่ามันไม่ใช่น่ะ จนนานวันผ่านมาจนวันนี้ มันกี่ปีมาแล้วล่ะ เราก็ยังรู้สึกผูกพันกับตรงนั้น ยังรู้สึกชอบ เรายังเห็นตัวละครทุกตัวใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในห้องส่งหนองแขมหรืออะไรประมาณนั้น มันเป็นความพิศวาสส่วนตัวหรือเปล่า แล้วหลังจากนั้นก็มีขมิ้นกับปูน เราก็ยังมีความรู้สึกเราอยากไปกอง อยากไปเล่น มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษกว่าทั่วๆ ไป ถามว่าเรารักทุกงานเรารักหมด แต่ว่ามันมีความพิเศษ ซึ่งเราก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร มันคือความชอบส่วนตัวหรือเปล่า แล้วมันก็คงตอบได้ว่าใช่"

ถาบอกว่าแม้จะได้รับรางวัล และได้รับเสียงชื่นชม แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ถือว่าตัวเองเจ๋งที่สุด สิ่งที่เขายึดถือและพยายามบอกให้ทีมงานทุกคนเชื่อเช่นเดียวกับเขามาโดยตลอดก็คือ 'จงเคารพงานที่ทำ'

"ผมว่าเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมจะบอกกับทุกคนว่าเรายังไม่เจ๋ง ทุกวันนี้มันยังพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก ว่าเราเป็นหนึ่งในยุทธจักรอะไรแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วอาจจะมีอะไรที่ดีที่สุดรออยู่ข้างหน้าหรือเปล่า ซึ่งเรายังไม่ถึงตรงนั้น ระหว่างนี้ผมว่าทุกวันคือการเรียนรู้หมดแหล่ะ ทุกวันนี้ที่ผมนั่งสัมภาษณ์อยู่เนี่ย มันก็คือการเรียนรู้ในเชิงของการปฏิบัติภารกิจต่างๆ มันก็เป็นหน้าที่ โอเค เรามากำกับ มาดูแล นี่ออฟฟิศเรา ละครเรา เราผลิตให้ใคร เราก็ทำตรงนี้ให้ดีต่อไป ไอ้ความดีอย่างที่ผมย้ำอยู่เสมอว่า ความดีตรงที่เราทำมันก็จะพิสูจน์มือเรา พิสูจน์ความเป็นตัวตนของเรา เราอย่าดูถูกงาน ผมจะบอกทุกคนอยู่เสมอว่าทุกวันนี้ที่เรามีข้าวกิน มีรถขับ เรามีครอบครัว มีลูกเต้าที่เราดูแล เงินทุกบาททุกสตงค์ก็มาจากงานที่เราทำ"

“สิ่งนึงคือผมจะบอกกับทุกคนเสมอว่าให้เราเคารพงาน เพราะถ้าเราไม่มีงาน เราก็ไม่มีวันนี้ เราก็ไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน ตรงนี้คือสิ่งที่เราพยายามบอกตัวเอง แล้วก็บอกทุกคนในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นผมจะโกรธมากกับบางคนที่เข้ามาในชีวิตแล้วเหยาะแหยะกับงาน ถึงขนาดนั้นตัดกันก็มี ไม่เคารพตัวเราไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เคารพงานผมจะปรี๊ดมาก แล้วก็มีปลดไป ในอดีตก็มีอยู่บ้าง นี่คือสิ่งที่เราทนไม่ได้ มันก็โยงไปถึงหลายๆ อย่าง พอเราเป็นแบบนี้แล้ว เราก็มองแบบ วงเล็บนะ แบบที่เราไม่ได้เจ๋ง เราก็มองนักแสดงหลายๆ คนตั้งใจ นักแสดงอีกหลายคนเหมือนกันที่เล่นไปเรื่อยๆ น่ะ เล่นไปโดยที่ตัวเองไม่รู้กูเล่นอะไร เรามองออก เราเป็นนักแสดง แล้วเราก็จะมีความรู้สึก เฮ้ย ทำไมวะๆ แต่เราก็ไปเปลี่ยนเขาไม่ได้หรอก เขาเป็นเขาไง แล้วเราก็เป็นเรา แต่เราก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย คุณทำอะไรอยู่ คุณเคารพกับสิ่งที่คุณทำหน่อยมั้ย"

เมื่อพูดถึงคำว่า 'ละครที่ดี' ในมุมมองของผู้กำกับมากฝีมืออย่างถา เขาก็นิ่งไปนานก่อนจะยอมรับว่าเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก เพราะแต่ละคนก็มีนิยามละครดีที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับผู้กำกับและนักแสดงที่เอนไปทางละครเอากล่องมากกว่าเอาเรทติ้ง ถาบอกว่าละครที่ดีสำหรับเขาจะต้องสร้างจากความเชื่อที่แรงกล้ามากพอที่จะส่งความเชื่อดังกล่าวมาถึงผู้ชมได้

"ดีในความรู้สึกของผม มันอาจจะไม่ดีในความรู้สึกของคนอื่น ความดีงามของทุกคนมันไม่เท่ากัน ความดีของผมมันไม่ได้เป็นคำตอบให้แก่สังคมหรือวงการได้ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ผมคงตอบไม่ได้ชัดเจนนัก ถ้าเราดีเฉพาะตัว เราก็คงจะตอบได้ แต่ถ้าตอบไปแล้วมันก็คงทำให้เกิดมุมมองสะท้อนกลับมา มันจะดีมั้ย มันเป็นความชอบส่วนตัว ละครที่ดีของผมมันคงเป็นละครที่เหมือนกับว่าดูแล้วเราเชื่อ ดูแล้วมันมีเหตุผลน่ะ มันไม่ใช่สักแต่ว่าทำไป เอามัน เอาตัวเลข เอาเรทติ้ง ตีกันไป ตบกันไป ด่ากันไป หรือยุคสมัยนี้มันคือสิ่งที่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์แล้ว ใช่ไหม หรืออะไรไม่รู้ แต่สุดท้ายแล้วผมว่ามันก็คงต้องแยกแยะแหล่ะนะ ในความเป็นละครของทุกๆ ช่องเนี่ย มันก็คงอาจจะต้องขีดเส้นหรือเปล่าว่าละครเรื่องนี้ตอบโจทย์อะไร เราพูดกันแบบนี้ดีกว่า จะมาถามว่าละครดีสำหรับผมคืออะไร คือแยกกันดีกว่า ละครกล่อง ละครเอาเรทติ้ง มันคงมีอยู่สองแบบมั้ง แต่ถ้าถามว่าแนวผมจริงๆ ผมชอบละครแบบไหน ผมชอบละครกล่องนิดนึงน่ะ เพราะเรามีความรู้สึกว่าชีวิตเรา เราเล่นละครมันๆ มาเยอะแล้วน่ะ แบบนีคงเป็นแนวของผมไปแล้ว"
 
.......................................................................

กับ นิพนธ์ ผิวเณร ผู้ชักชวนไปร่วมงานกับ เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ
“อำแดงเหมือนกับนายริด” ผลงาน การกำกับการแสดง ที่ได้รับคำชื่นชมจากคนในวงการด้วยกัน

คุ้มนางครวญ ผลงาน เรื่องล่าสุด ที่กำลังเข้มข้น ทางช่อง 5
กำกับ “น้ำผึ้ง-ณัฐริกา” ใน “เวียงร้อยดาว” ทางช่อง 3
ซักซ้อมบทกับ “แต้ว-ณัฐพร” ใน “ เวียงร้อยดาว”
 มาดผู้กำกับ ตอนทำงาน ในกองละคร “เวียงร้อยดาว”
“เวียงร้อยดาว” ผลงานที่ตอกย้ำฝีมือในฐานะผู้กำกับฯ ของ สถาพร
กำลังโหลดความคิดเห็น