อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 20
คืนนั้น เซกิช่วยสาหิ้วกระเป๋าเข้าบ้านของเขามาในห้องโถง
“เชิญครับ อุษาซัง”
สาวางกระเป๋าแล้วลงนั่งตรงโซฟา มองไปรอบๆ ตัว
“ผมลืมไป อีกหน่อยผมไม่ต้องเชิญแล้ว เพราะหลังจากที่เราแต่งงานกันบ้านของผม ก็คือบ้านของคุณ”
สายิ้มเศร้าๆ “คุณแน่ใจหรือคะ คุณเซกิ ฉันยังไม่ได้หย่ากับคุณวิทย์เลยนะคะ”
“ช่างมันเถอะ” ท่าทีเซกิเศร้าลงนิดๆ “สงครามสอนให้ผมรู้ว่า ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก เราอาจจะตายวันไหนก็ได้ วันที่ยังอยู่ ก็ขอให้เราใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด” เขาดึงสามากอด “ผมจะแต่งงานกับคุณแล้วเราจะไปญี่ปุ่นด้วยกัน”
สาตกใจด้วยคิดไม่ถึง “อะไรนะคะ”
“เราจะแต่งงานกัน แล้วจากนั้น ผมจะพาคุณเดินทางกลับญี่ปุ่น”
สาอึ้ง นิ่งงันไป
ในวันต่อมาสาแวะมาหาแป้นกับสุขที่บ้านสวน สองผัวเมียตกใจเมื่อฟังความจบ
“อะไรนะ คุณสาจะไปอยู่ญี่ปุ่น”
สาหนักใจ “คุณเซกิเขาว่ายังงั้นน่ะค่ะพี่สุข”
“อ้าว แล้วแม่หนูโสภิตล่ะคะ จะทำยังไง”
สามองไปที่ลานดินข้างล่าง เห็นโสภิตเล่นขายขนมครกอยู่กับจรินทร์
“แกเป็นลูกของฉัน ฉันไม่ทิ้งแกหรอกค่ะ ยังไงก็ต้องหอบหิ้วไปด้วยกัน”
“ไปถึงต่างบ้านต่างเมือง แกจะยอมไปหรือ คุณสา”
ตรงลานดินหน้าเรือน สาลงมานั่งคุยปะเหลาะกับโสภิตพิไล แป้นกับสุขสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
“โสภิตไปกับป้านะคะ เขาว่าที่นั่นมีอากาศเย้นเย็น ตอนหน้าหนาว มีน้ำแข็งไสตกมาจากฟ้าด้วยนะคะ”
โสภิตพิไลส่ายหน้าไม่สนใจ แคะขนมครกต่อหันไปถามแป้น
“ป้าแป้นเอากี่บาทคะ”
“ไม่เอาค่ะ ป้าอิ่ม โสภิตเล่นกับคุณสานะคะ”
“โสภิตคะ โสภิตฟังป้านะ เราเหลือกันแค่สองคนป้าหลาน จะไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน ป้าจะต้องไปอยู่ญี่ปุ่น โสภิตไปกับป้านะคะ”
โสภิตพิไลวางมือจากของเล่น
“ไปเล่นอย่างอื่นก็ได้”
แล้วโสภิตพิไลก็เดินหนีไปหาสุข ไม่สนใจสาเลย
“ลุงสุข หนูจะขี่ม้าก้านกล้วย”
“จ้ะๆ เดี๋ยวลุงทำให้นะ เอาตัวใหญ่ๆ เลย”
“เอาปืนด้วยนะคะ หนูจะยิงกับพี่ริน”
“จ้ะๆ” สุขหันมาทางสา “สงสัยจะไม่ได้เรื่องแล้วล่ะคุณ วันนี้”
สาส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
“ดื้อจริงๆ ถ้าแกไม่ยอมแล้วฉันจะทำยังไงล่ะคะ นี่”
“คุณชวนคุณเซกิอะไรนั่นให้อยู่บ้านเราไม่ดีหรือคะ ญี่ปุ่นมันก็ไกลแสนไกลเมืองไทย ถึงจะลำบากบ้างมันก็ยังเป็นบ้านเรา” แป้นว่า
“ฉันชวนเขาแล้วค่ะ เขาบอกว่ายังไงเขาก็จะกลับ”
“เขาก็พูดเอาสะดวกเขา” สุขมองโสภิตอย่างสงสาร “แล้วคนของเราล่ะคุณสา จะอยู่ยังไง ไหนจะโรงเรียน ไหนจะเพื่อนภาษาก็พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง จะไปอยู่ไหวหรือ”
สามองโสภิตพิไล เข้าใจที่สุขพูด แต่ก็อดคิดเห็นแก่ตัวไม่ได้
“แต่ถ้าฉันไม่ไปญี่ปุ่น แล้วคุณเซกิเขาทิ้งฉันไป ฉันจะทำยังไงล่ะคะ พี่สุข...ตอนนี้ฉันก็ไม่เหลือใครแล้ว นอกจากเขา”
สุขมองสา เข้าใจว่าสาเห็นแก่ตัว อดสงสารเด็กไม่ได้
“หนูโสภิตแกก็ไม่มีใครเหมือนกัน นอกจากคุณ...คุณเป็นอะไรกับแกคุณก็รู้อยู่แก่ใจ คุณก็คิดเอาเองก็แล้วกัน”
แป้นที่รักสา และใจอ่อนกว่า พูดขึ้นเสียงอ่อนๆ
“ไอ้ฉันกับพี่สุขมันก็คนอื่นนะคุณสา แต่ไหนๆ ก็ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจะให้ฉันเลี้ยงแม่หนูโสภิตต่อไปก็ได้...ชีวิตของคุณ จะเอายังไงก็ว่ามาก็แล้วกัน”
สามองโสภิตพิไลที่กอดสุขแน่นไม่ยอมห่าง แล้วได้แต่ทอดถอนใจอย่างหนักอก
ทางด้านหม่อมพริ้มเดินนำทุกคนมายังตำหนักขาว ลัดเลาะมาตามทาง หวนประคองเจิมกลับมาที่เรือนบ่าว มีจวนกับพุดมายืนรอรับ
“ค่อยๆ ป้าเจิม ดีๆ” หวนบอก
“เออน่ะ ข้าเดินได้”
“เป็นยังไงบ้างพี่เจิม” จวนเข้ามาถาม เจิมโบกมือไล่ อาการเบื่อๆ ขี้เกียจพูด จวนเลยหันไปหาหม่อมพริ้ม “หมอเค้าว่าพี่เจิมแกเป็นอะไรคะ หม่อม”
“ก็หลายโรคอยู่”
หวนพาเจิมลงนั่งพัก คนอื่นๆ นั่งรายล้อม หม่อมพริ้มเตือนเจิม
“หมอเค้าว่าหัวใจเอ็งไม่ค่อยดีต้องระวัง ถ้าตกอกตกใจมากๆ มันจะชักแบบนี้ฉุกเฉินช่วยเหลือกันไม่ทันจะพาลตายเอา”
“ก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะเจ้าค่ะ” เจิมปลงๆ
“ยังไงก็อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนเถอะเจิมเอ๊ย อย่าเพิ่งตัดช่องน้อยหนีไปเสียก่อนเลย” หม่อมระบายแล้วหันไปพูดกับคนอื่น “พวกเอ็งก็คอยดูเจิมมันด้วย” หม่อมพริ้มชี้หน้าจวน “เอ็งน่ะตัวดี ระวังปากบ้าง เรื่องไม่เป็นเรื่องก็อย่าพูดให้เจิมมันกลุ้มใจ”
จวนหน้าม่อย แต่ยังไม่วายเถียง “แหม บ่าวก็ไม่เคยพูดอะไรจะมีก็แค่เรื่องอี...”
หวนโมโหขึ้นเสียงใส่ “น้าจวน”
จวนหุบปาก หม่อมพริ้มหันไปดุ
“ผีเจาะปากแท้ๆ ซักวัน ถ้าชายรวีจะรู้เรื่องนี้ ก็เพราะเอ็งนี่แหละ”
เจิมถามอย่างกังวล
“แล้วตกลงว่าเมื่อวาน คุณชายเธอว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ เธอได้ยินที่คุณหญิงจิ๋มพูดหรือเปล่า”
หม่อมพริ้มถอนใจ สีหน้ายังกังวลคิดถึงเรื่องเมื่อวานที่ผ่านมา
โดยตอนกลางคืนวันวานนั้นหม่อมพริ้มเรียกลูกทั้งสองมาพบในห้องนอน และอบรมหญิงจิ๋มกับหญิงจ้อยที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นในห้องนอน หญิงจิ๋มก้มหน้างุด
หม่อมพริ้มบอกเสียงเข้มจัด “แม่ขอสั่งเป็นคำขาด ลูกทั้งสองคน ห้ามคิดว่าชายรวีเป็นคนอื่นขอให้จำไว้ให้มั่น ว่าชายรวีเป็นลูกของแม่ เป็นน้องของลูกทั้งสองคน”
หญิงจิ๋ม หญิงจ้อยรับพร้อมกัน “ค่ะ หม่อมแม่”
หม่อมพริ้มนั่งลงตรงหน้าหญิงจิ๋ม จ้องตา เอาเรื่อง
“รับปากกับแม่ได้ไหม สิริพรรณราย”
“ค่ะ หม่อมแม่” หญิงจิ๋มรับคำ
“ชายรวีจะต้องไม่รู้เรื่องนี้” หม่อมย้ำคำ
“แต่ชายรวีก็ยังไม่รู้หรอกค่ะ หม่อมแม่ เพราะถ้ารู้ ป่านนี้คงไม่อยู่เฉยแน่”
คุณหญิงจ้อยว่า
อ่านต่อหน้า 2 / พรุ่งนี้ 09.30 น.
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 20 (ต่อ)
เวลาหลังจากนั้น ชายรวีนั่งอยู่บนเตียง เตรียมจะนอน หม่อมพริ้มที่นั่งอยู่ด้วยถามเสียงอ่อนโยน
“ตกลงว่าชายไม่ได้ยินใช่ไหม ว่าแม่กับพี่หญิงทะเลาะกันเรื่องอะไร”
“ไม่ได้ยินค่ะ รู้แต่ว่าหม่อมแม่โกรธพี่หญิงมาก...พี่หญิงทำอะไรผิดหรือคะ”
“พี่หญิงจิ๋มพูดเรื่องไม่ดี เรื่องที่ไม่สมควรพูดจ้ะ”
ชายรวียิ้มประจบเข้าใจ “ชายเลยไม่สมควรรู้ใช่ไหมคะ”
“จ้ะ” หม่อมพริ้มดึงชายรวีมากอด “ชายรู้ไว้อย่างเดียวก็พอ ว่าชายเป็นลูกของแม่ แล้วแม่ก็รักชายมาก”
“ชายก็รักหม่อมแม่ค่ะ”
ชายรวีกอดหม่อมพริ้ม ด้วยความรักเต็มหัวใจ
หม่อมพริ้มนั่งนิ่งอยู่ที่เรือนบ่าว หลังเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ ให้เจิมกับหวนฟัง โดยหวนนั้นยกมือไหว้ท่วมหัว
“ซ้าธุ โล่งอก ก็ถือว่ารอดไปหนนึงนะคะหม่อม”
“ต่อไปก็ต้องระวังกันให้มาก...อีสามันก็เลวเต็มทนเป็นชู้กับไอ้สมศักดิ์ว่าเลวแล้ว ไม่กี่วันมามีผัวใหม่ ก็ยังนอกใจผัวไปมีชู้อีก...ถ้าใครรู้ว่ามันเป็นแม่ชายรวี ชายรวีจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน...ข้าเลี้ยงของข้ามาดีๆ ข้ายอมไม่ได้ ถ้าหากใครจะมาทำลายอนาคตของชายรวี”
“หม่อมพูดถูกเจ้าค่ะ อีสามันเป็นกาลกิณี มันไปอยู่กับใคร ก็ทำลายชีวิตคนดีๆ เขาจนย่อยยับ” เจิมว่า
“คิดๆ แล้วก็สงสารผู้ชายคนเมื่อวานนะคะ หม่อม ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” หวนนึกสงสารวิทย์จับใจ
วิภากับสมรนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด สีหน้ากังวลใจมาก พอเห็นหมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัด วิภากับสมรพุ่งเข้าไป
“คุณหมอคะ น้องชายดิฉันเป็นยังไงบ้าง”
“พ้นขีดอันตรายแล้วครับ” วิภากับสมรโล่งอก “แต่ว่า คุณวิทย์โดนรถชนเข้าที่ขาอย่างจัง จนกระดูกสะบ้าหัวเข่าแตก”
วิภาร้อนรน “แต่ก็จะหายได้ใช่ไหมคะ”
“ตอนนี้หมอเข้าเฝือกเอาไว้ให้ แต่เมื่อแผลหาย กระดูกประสานกันแล้ว ก็อาจจะไม่ปกติเหมือนเดิม”
สมรสงสัย “หมายความว่ายังไงคะ คุณหมอ”
หมอลำบากใจ “คุณวิทย์อาจจะเดินไม่ได้เหมือนเดิมครับ”
วิภาช็อก
ต่อมาวิภาเข้าไปในห้อง เห็นวิทย์นอนหมดสติอยู่ ที่ขาสองข้างเข้าเฝือกไว้ วิทย์เหมือนหลับอยู่
วิภาเดินไปยืนข้างเตียงมองที่ขาสองข้างของวิทย์
“โถ น้องพี่”
วิภาน้ำตาร่วงแล้วกลายเป็นกลั้นไม่ได้ สะอึกสะอื้นออกมาจนวิภาทรุดลงข้างเตียง มือของวิทย์เอื้อมมาจับมือวิภาที่จับขอบเตียงไว้ บีบเบาๆ วิภาชะงัก ลุกขึ้น รีบเช็ดน้ำตา
“วิทย์”
“คุณพี่”
“วิทย์เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหม”
“ผมขอโทษ ที่ทำให้คุณพี่เสียใจ”
วิภาสะอื้นวิทย์เปรยถามสมรที่ยืนตาแดงๆ อยู่ปลายเตียง
“ฉันได้ยินพยาบาลพูดกัน ฉันจะเดินไม่ได้อีกแล้วใช่ไหมสมร”
สมรสะอื้น พูดไม่ออก วิทย์หันไปหาวิภา พูดเสียงเศร้า
“คุณพี่ครับไวโอลินของผมอยู่ที่ไหน”
ในสวนสวย บริเวณด้านนอกของโรงพยาบาล ตอนกลางวัน วิภาเข็นรถเข็นให้วิทย์นั่ง พาวิทย์ออกมาที่กลางสวนวิทย์หน้าตาสดใสขึ้น มีไวโอลินวางบนตัก
“ปล่อยผมไว้ตรงนี้แหละครับ คุณพี่”
วิภาเลี่ยงออกไป
วิทย์ยกไวโอลินขึ้นมา หลับตา สีไปได้เพียงสองสามโน้ต ก็ชะงัก วิทย์ลืมตาเห็นบุญยงและมาลัยยืนอยู่ตรงหน้า
“เป็นยังไงบ้าง ไอ้เกลอ” บุญยงทัก
“ก็เป็นอย่างที่เห็น...”
“อย่าท้อนะเว้ย สักวัน ลื้ออาจจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง”
“หรือผมอาจจะเป็นคนพิการตลอดไป” วิทย์ปลงๆ
มาลัยปลอบ “น้องชายร่วมโลกของฉัน ถึงเธอจะโชคร้าย เสียขาไปสองข้าง แต่เธอก็ได้ชีวิตของเธอทั้งชีวิตกลับคืนมา...เธอเอาชีวิตไปทิ้งกับผู้หญิงที่ไม่มีค่า รู้ไหม”
“ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณอุษา แม้ว่ามันจะเป็นความรักที่ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด”
มาลัยกุมมือวิทย์
“กลั่นความเจ็บปวดของเธอออกมาเป็นเสียงเพลงสิ เหมือนกับคีตกวี หรือศิลปินเอกอื่นๆ ในโลก... ความเจ็บปวดฆ่าเธอไม่ได้ แต่มันจะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น”
วิทย์ยิ้มทั้งน้ำตา “ครับ ทุกอย่างในโลกนี้ มันมีสองด้าน สุดแท้แต่เราจะมอง...”
พลางวิทย์หยิบไวโอลินขึ้นมาสี เป็นบทเพลง Claire de Lune อันไพเราะเพราะพริ้ง
ที่มุมอื่นๆ ในโรงพยาบาล มีคนแก่ที่ถูกทิ้งให้เหงาหงอย คนป่วยบาดเจ็บสาหัส และเด็กพิการ ทุกคนที่ได้ยินเสียงเพลงของวิทย์ดังมาจากสวน ต่างรู้สึกดีขึ้น เสียงดนตรีหวานเศร้านั้นปลอบประโลมจิตใจบรรดาคนป่วยเหล่านั้น
วิทย์ยังสีไวโอลินต่อไป บุญยง มาลัย และวิภามองวิทย์อย่างชื่นชมระคนสงสาร
เสียงเพลงไพเราะก้องกังวาน บอกถึงกำลังใจที่เข้มแข็ง ทุกคนเชื่อมั่นว่า วันต่อไปของวิทย์จะต้องดีขึ้น
สาแต่งตัวสวยงามเพิ่งกลับจากช้อปปิ้ง ถือถุงกระดาษมาสองสามใบ เดินมาที่หน้าตึก แปลกใจที่เห็นจอมกำลังเอาป้ายลงจากตึก
“ทำอะไรน่ะ จอม .. ป้ายมันดีๆ อยู่ เอาลงมาทำไม”
“นายห้างสั่งครับ คุณอุษา”
สาแปลกใจ
เซกิอยู่ในห้องทำงาน ตอบคำถามคาใจของสา
“ใช่ ผมสั่งปิดกิจการแล้ว วันนี้ทุกคนจะทำงานเป็นวันสุดท้ายเดือนหน้า เราจะเดินทางกลับญี่ปุ่น”
สาอึ้ง ถึงกับทิ้งตัวลงนั่ง
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
“ฉัน...” สาพูดไม่ออก
“คุณไม่อยากไปอยู่กับผมหรือ อุษาซัง”
“เปล่าค่ะ” สาอึดอัดมาก “แต่ฉัน .. ฉัน” ที่สุดสาตัดสินใจบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว “ฉันมีหลานสาวอยู่คนนึงน่ะคะ ยังเล็กอยู่เลย แกเป็นกำพร้า พ่อแม่ตายไปหมดแล้วฉันต้องดูแลแก”
“หลานสาว?ยังเล็ก อายุเท่าไหร่?”
“4-5 ขวบค่ะ”
เซกิยิ้มออกมา “โตพอจะเดินทางได้แล้ว เราจะเอาแกไปญี่ปุ่นด้วย ไม่เห็นต้องกลุ้มใจเลย”
สายิ้มจืดๆ ดีใจที่เซกิรักเธอมาก แต่ยังหนักใจ
เช้าวันหนึ่งสาพาตัวเองมาอยู่ที่บ้านสวนของแป้น ยินเสียงโสภิตพิไลร้องไห้ดังลั่นไปทั่วสวน
“ไม่! หนูไม่ไป ฮือๆ หนูไม่ไป”
ที่ชานบ้าน โสภิตพิไลพยายามดิ้นให้หลุดจากสา ที่พยายามจับตัวไว้ แป้นกับสุขดูอยู่ห่างๆ อย่างลุ้นๆ
“ไม่ไปไม่ได้ค่ะ โสภิต ต้องไป...ต้องไปกับป้านะคะ”
“หนูไม่ไป ไม่ไป...ป้าแป้นลุงสุข ช่วยหนูด้วย”
สองผัวเมียทำหน้าลำบากใจ สงสารเด็ก แต่ก็เกรงใจสา
“ค่อยพูดค่อยจากันเถอะ คุณสา”
“ฉันไม่มีเวลาแล้วค่ะ พี่สุข โสภิตพิไลต้องไปทำเอกสารถ้าจะเดินทาง” สาดึงมือโสภิต “ไปกับป้านะลูกนะ”
“ไม่ไป”
โสภิตพิไลกัดมือสาหมับ สาร้องโอ้ย โสภิตพิไลสะบัดหลุด วิ่งหนีลงจากบ้านไป
“โสภิต จะไปไหนลูก” แป้นตกใจ
“โสภิต...ดูสิ ทำไมดื้ออย่างนี้นะ…โสภิต กลับมา”
สาและคนอื่นๆ วิ่งตามโสภิตพิไลไป
สา แป้น สุขวิ่งตามไปโสภิตพิไลไป ปากร้องเรียกไปด้วย
“โสภิต จะไปไหน หยุดก่อนลูก”
โสภิตพิไลวิ่งไปจนมุมที่ท่าน้ำ สุข สา แป้น ตามมาจนทัน
“โสภิตมานี่มา ไปยืนตรงนั้น เดี๋ยวตกน้ำตกท่าไปหรอก” สุขท่าทีเป็นกังวล
โสภิตพิไลกอดเสาท่าเรือไว้ “ไม่”
สาชักขัดใจ เสียงแข็งใส่ “โสภิต อย่าดื้อกับป้านะ มานี่เดี๋ยวนี้”
โสภิตพิไลตะโกนใส่ “ไม่ ไม่ไป”
สาโมโห “เอ๊ะ โสภิต ป้าบอกให้มานี่”
สาจะเข้าไปหา โสภิตพิไลถอยไปจนสุดไม้กระดาน
“หนูไม่ไปกับป้า” เด็กหญิงน้ำตาคลอ “หนูจะไปอยู่กับคุณหญิง”
แป้นกับสุขตกใจ สาอึ้ง
“โสภิตพูดอะไร”
“หนูจะไปอยู่ในน้ำกับคุณหญิง”
“หนูโสภิต อย่านะ” แป้นตีผัว “ตาสุข ช่วยห้ามหน่อยซี”
“โสภิต ฟังลุงนะ...คุณหญิงไม่ได้อยู่ในน้ำ คุณหญิงไปอยู่บนสวรรค์โน่น”
“งั้นหนูจะไปสวรรค์ หนูไม่อยากอยู่กับป้า”
สาทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ “ทำไมคะ อยู่ก้บป้ามันเป็นยังไง ทุกวันนี้ใครส่งเสีย หาเงินเลี้ยงหนูอยู่ ไม่ใช่ป้าคนนี้เหรอ”
โสภิตพิไลไม่สนใจสาเลย มองสุขกับแป้น น้ำตาคลอ “ถ้าป้าแป้นกับลุงสุขไม่เลี้ยงหนู หนูจะไปอยู่กับคุณหญิงบนสวรรค์”
โสภิตพิไลถอยไปจนสุดกระดาน เท้าเล็กๆ เหยียบอยู่แค่หมิ่นๆ สุขกับแป้นมองหน้าสา
แป้นถาม “จะเอายังไงดีคุณสา”
สาทั้งโมโห ทั้งน้อยใจลูก “พี่แป้นพี่สุขจัดการเถอะค่ะ แกฟังฉันเสียที่ไหน”
สุขนั่งลง อ้าแขนออกพูดเสียงอ่อนโยน
“โสภิต มานี่ มาอยู่กับลุงมา ไม่ต้องไปไหนแล้ว อยู่ด้วยกันที่บ้านสวนนี่แหละ”
โสภิตพิไลวิ่งมากอดสุขแน่น สามองอย่างน้อยใจ
สาบ่นกับแป้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ฉันมันคนมีกรรม...มีลูกกี่คน ลูกก็ไม่รัก”
“ก็คุณไม่ได้เลี้ยงแกนี่คะ”
“ก็ตอนนั้นมันไม่เหมือนตอนนี้นี่ พี่แป้น ตอนนั้นมันจำเป็น แต่ตอนนี้ฉันมีปัญญาเลี้ยงแกได้แล้ว ก็เกิดมากระบิดกระบวนท่านั้นท่านี้”
สากระแทกตัวลงนั่ง บ่นอย่างโกรธๆ
“ฉันไปญี่ปุ่น ไม่รู้กี่ปีกี่ชาติจะได้กลับมา แล้วนี่ฉันจะทำยังไงกับโสภิตดี”
“แกคงไม่ไปอยู่กับคุณหรอกค่ะ พูดตรงๆ นะคุณสา โสภิตแกไม่ชอบคุณ แกก็ติดใจอยู่นั่นเอง ว่าคุณทำให้พ่อแม่ของแกตาย”
แป้นแนะอย่างเกรงใจ
“ฉันก็คิดโง่ๆ นะ คุณสา หรือคุณจะบอกแกไป ว่าจริงๆแล้ว คุณเป็นแม่แท้ๆ ของแก เผื่อแกจะเปลี่ยนใจ”
สาอึ้ง มองหน้าแป้นอย่างชั่งใจ
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 20 (ต่อ)
คืนวันหนึ่ง สาใส่เสื้อชุดคลุมอยู่บ้านสไตล์ญี่ปุ่น นั่งใช้ความคิดกังวลเรื่องลูกสาวอยู่ที่หน้ากระจก เซกิเดินเข้ามาเห็นก็แปลกใจ
“ยังไม่แต่งตัวอีกหรือ อุษาซัง”
สาสะดุ้ง เพิ่งได้สติ “แต่งตัว? แต่งตัวไปไหนคะ”
“คืนนี้โทโมกิซังจะเลี้ยงฉลองให้เราสองคน จำไม่ได้หรือไง”
งานเลี้ยงฉลองจัดขึ้นที่สโมสรทหารญี่ปุ่น
ตรงโต๊ะด้านหน้าเวที จัดแต่งสวยงามเป็นพิเศษ เซกิกับสานั่งอยู่กับโทโมกิและสาวญี่ปุ่นคู่ขาภายในงานมีนายทหารลูกน้องประปราย บางโต๊ะมีผู้หญิงคนไทยที่หากินกับญี่ปุ่นบ้าง ทุกคนกำลังดื่มกินอย่างมีความสุขยิ้มแย้ม ยกเว้นสาที่สีหน้าไม่สนุกนัก
โทโมกิลุกขึ้นยืนประกาศด้วยภาษาญี่ปุ่น “เงียบก่อน ทุกคน เงียบ...” แล้วเปลี่ยนเป็นภาษาไทย “ผมจะพูด...”
ทุกคนเงียบ โทโมกิชูจอกสาเก
“ผมขอดื่มอวยพรให้กับเซกิ เพื่อนรักของผม...ที่เพิ่งแต่งงานกับอุษาซังและกำลังจะเดินทางกลับไปญี่ปุ่นเร็วๆ นี้” โทโมกิหันไปทางเซกิ “ขอให้คุณทั้งสองมีความสุขมากๆ” ท่านนายพลโค้งคำนับให้
เซกิลุกขึ้นยืน โค้งคำนับตอบ “ขอบคุณมาก” แล้วดึงสาขึ้นมายืน “ผมและภรรยาขอขอบคุณทุกๆ ท่าน สำหรับคำอวยพรในวันนี้”
เซกินำสาโค้งคำนับทุกคน
โทโมกิชูจอกดื่มนำ “ดื่ม...คัมปาย”
“คัมปาย”
ทุกคนในห้องดื่มหมดจอก แล้วส่งเสียงเฮฮา
สาสีหน้าไม่ดีนัก เซกิหันมาตำหนิ
“คุณต้องยิ้มให้มากกว่านี้”
“ขอโทษค่ะ พอดีฉันไม่สบายใจ” สาระบายออกมา “โสภิต...หลานสาวฉันน่ะค่ะแกไม่ยอมไปญี่ปุ่นกับเรา”
“เดี๋ยวผมจะจัดการเอง”
“แต่แกดื้อมากนะคะ ถ้าเราไปบังคับแก ฉันกลัวว่า...”
สาพูดไม่ทันจบคำ เซกิโอบกอด พูดตัดบท
“ไม่ต้องกลัว...ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สวยงามมาก ถ้าคุณกับหลานคุณไปถึงที่นั่นจะต้องชอบ”
เสียงดนตรีดังมา บนเวที นักร้องญี่ปุ่นออกมาร้องเพลงซากุระ โทโมกิตะโกนบอกสา
“อีกไม่นาน อุษาซังจะได้เห็นว่าซากุระที่ญี่ปุ่นสวยงามแค่ไหน”
สาฝืนยิ้มรับ เซกิพูดกับสา แววตาเปี่ยมสุขเมื่อคิดถึงบ้านเกิด
“ในฤดูที่ซากุระบาน ญี่ปุ่นจะเป็นที่ที่สวยที่สุดบนโลกใบนี้ สวยราวกับสรวงสวรรค์”
เซกิ โทโมกิและทหารพากันร้องเพลงซากุระตามนักร้อง ทุกคนคิดถึงบ้านเกิดที่จากมา
ขณะเดียวกันเครื่องบินต่อสู้อากาศยานของอเมริกาบินอยู่เหนือน่านฟ้าญี่ปุ่น และทิ้งระเบิดปรมาณูลงที่ฮิโรชิมา
ส่วนในเมืองไทย เสียงเพลงซากุระยังขับคลอในงานเลี้ยงที่สโมสรต่อไปอย่างเพราะพริ้ง
นายทหารหน้าตาคนหนึ่งเคร่งเครียดวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เข้ามาคำนับโทโมกิ กระซิบอะไรบ้างอย่าง โทโมกิหน้าเครียด รีบตามทหารนั้นออกไป เซกิมองตามอย่างแปลกใจ
ในตรอกแคบๆ หลังสโมสร เห็นทหารส่งข่าวคำนับโทโมกิ สีหน้าเสียใจคับแค้น
นายทหารคนนั้นบอกด้วยภาษาญี่ปุ่น “ท่านนายพลโทโมกิ ผมมีข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบ...”
มีเสียงปืนดังปังๆๆ เข้ามาภายในสโมสร เซกิ สา และคนอื่นๆ ตกใจ
“โทโมกิซัง” เซกิอุทานออกมา
สาวญี่ปุ่นได้สติเป็นคนแรก วิ่งถลาออกไปในตรอกหลังร้าน เห็นโทโมกิในสภาพน้ำตานองหน้า กรีดร้องไม่เป็นภาษาด้วยความเจ็บปวดเสียใจอย่างที่สุด
“อ๊า”
พร้อมกันนั้นปืนพกในมือโทโมกิยิงกราดไปทุกทิศทุกทาง เพื่อระบายความคับแค้นใจ ทหารส่งข่าวหมอบหลบกับพื้น
สาวญี่ปุ่นวิ่งออกมาด้วยความเป็นห่วง
“โทโมกิซัง” แล้วสาวเจ้าก็ชะงัก ตาค้าง เพราะโดนลูกหลง กระสุนปืนจากโทโมกิพุ่งเข้าเจาะที่หัวใจ ตายคาที่โทโมกิยืนตะลึง
เซกิ สา และทหารคนอื่นๆ ที่ตามออกมาเห็นเหตุการณ์ ทุกคนตกใจ
“มีคนตาย” สาตื่นตระหนก
เซกิหันไปสั่งทหาร “พาท่านโทโมกิกลับเข้าค่ายเดี๋ยวนี้ ไป”
พวกทหารพากันกรูเข้าไปลากตัวโทโมกิกลับค่าย
สาตัวสั่น มองศพของสาวญี่ปุ่นด้วยความหวาดกลัว
“มันเกิดอะไรขึ้นคะ”
เซกินั่งลงปิดเปลือกตาให้สาวญี่ปุ่น พูดเสียงเครียด
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันต้อง...ร้ายแรงมาก”
เซกิสังหรณ์ใจ หวาดหวั่นว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 20 (ต่อ)
เช้าวันนี้ เจิมอาการดีขึ้นมากแล้ว นั่งกินข้าวต้มอยู่มุมหนึ่งในเรือนบ่าว ห่างออกไปที่หน้าเตาไฟ หวน ชิด และจวน ตั้งวงซุบซิบกันเสียงเบาๆ ไม่ให้เจิมได้ยิน
“เมื่อคืนนี้ ผู้หญิงญี่ปุ่นโดนยิงตาย”
โกรธแค่ไหนแต่หวนอดห่วงสาไม่ได้ “ผู้หญิงญี่ปุ่นแน่นะ”
“ฮื่อ เขาว่า ..พวกทหารญี่ปุ่นเป็นคนยิง” ชิดว่า
หวนตกใจร้อง “หา! ขนาดญี่ปุ่นด้วยกันมันยังฆ่าได้ โหดแท้ๆ แล้วถ้าเป็นคนไทยล่ะวะ”
“นั่นน่ะสิ ผัวใหม่อีสามันเป็นญี่ปุ่นเหมือนกันนี่”
เจิมที่นั่งกินข้าวนิ่งๆ เหมือนไม่ได้ยิน หันมาพูดเรียบๆ
“เอ็งไม่ต้องห่วงอีสามันหรอก นังหวน” เจิมแค่นหัวเราะออกมา “มันไม่ตายง่ายๆ หรอก คนอยู่ใกล้มันต่างหาก...ที่จะตาย เพราะดันไปได้อีกาลกิณีอย่างมันเป็นเมีย”
ขณะเดียวกัน สา แวะมาหาแป้น และสุข ที่บ้านสวน 3 คนพากันเดินมาที่หน้าห้องที่เคยเป็นห้องนอนของคุณหญิงโสภา
“โสภิตอยู่ในนี้ค่ะ”
“ก่อนหน้านี้ก็เล่นอยู่กับไอ้ริน พอรู้ว่าคุณมาเท่านั้น ก็วิ่งหนีมาหลบอยู่ในห้อง”
สาหนักใจ “แกคงกลัวฉันเอาตัวไปญี่ปุ่นฉันก็ไม่อยากหรอกนะ พี่แป้น แต่ลูกทั้งคน จะทิ้งไว้ได้ยังไง”
“คุณจะบอกแกหรือคะ ว่าคุณเป็นอะไรกับแก”
“ดูก่อนเถอะค่ะ พี่แป้น ฉันกลัวว่าแกจะยิ่งตกใจมากกว่า(เคาะประตู) โสภิต ป้าเข้าไปได้ไหมลูก
ไม่มีเสียงตอบ สาเปิดประตูเข้าไป แป้นกับสุขตาม
โสภิตพิไลนั่งซุกอยู่มุมห้อง กอดบางอย่างไว้แนบอก
สาพูดเสียงอ่อนหวาน “โสภิต ป้ามาหา คุยกับป้าหน่อยนะคะ”
โสภิตพิไลไม่ตอบ ยังคงนั่งกอดอะไรบางอย่างแน่น
“ทำอะไรอยู่คะ”
โสภิตพิไลบอกซื่อๆ “คุยกับคุณหญิง”
สาอึ้ง แป้นกับสุขมองไปรอบห้อง สีหน้าเลิกลัก
“นะ..ในนี้เหรอลูก” สุขตาเหลือก
โสภิตพิไลยกของที่กอดเอาไว้ให้ดู “ในนี้”
ทุกคนมอง ของในมือโสภิตพิไลคือรูปถ่ายของคุณหญิงโสภา แป้นกับสุขโล่งอก สายิ้มออก พยายามปะเหลาะคุย
“เหรอคะ น่าสนุกจัง คุยกันเรื่องอะไรคะ”
โสภิตพิไลเอารูปมากอดอย่างรักและผูกพันมาก
“อยากไปอยู่กับคุณหญิง ไม่อยากไปอยู่กับป้า หนูบอกให้คุณหญิงมาพาหนูไป”
สาได้ยินคำนี้ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก
สาเดินคอตกเข้าบ้านมา เห็นเซกินั่งอยู่ในความมืด
“คุณเซกิ ทำไมนั่งมืดๆ คะ”
สาเปิดไฟ เห็นเซกิหน้าตาหมองจัด
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“โทโมกิส่งคนมาบอกผม...อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมะ”
สาไม่รู้จักระเบิดปรมาณู ไม่รู้ว่ามันร้ายแค่ไหน แต่เข้าใจว่าเซกิรู้สึกไม่ดีพยายามปลอบ
“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
เซกิบอกด้วยเสียงอันขมขื่น “เมืองทั้งเมืองพินาศในเสี้ยวนาที คนตายเป็นแสน บาดเจ็บและพิการอีกนับไม่ถ้วน”
สาตกใจ คาดไม่ถึง “คุณพระ”
เซกิน้ำตาไหลออกมา สากอดเขาไว้ สงสารจับใจ
รุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง หนังสือพิมพ์ในมือหม่อมพริ้ม เป็นฉบับประจำวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หม่อมพริ้มอ่านแล้วเล่าให้หวนกับจวนฟัง
“เครื่องบินรบของอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูชื่อ ลิตเติ้ลบอย ใส่เมืองฮิโรชิมาคร่าชีวิตคนไปหนึ่งแสนสี่หมื่นคนในพริบตาเมืองทั้งเมืองพินาศ” หม่อมวางหนังสือพิมพ์ ถอดแว่น “เห็นทีว่าญี่ปุ่นจะแพ้สงครามแน่”
หวนซัก “ระเบิดลูกเดียวเนี่ยนะคะ หม่อม”
“ถ้าญี่ปุ่นมันแพ้ มันก็คงกลับบ้านกลับเมืองมันไป เท่านั้นใช่ไหมเจ้าคะ หม่อม”
หม่อมพริ้มมองเจิมกับหวน รู้ว่าลึกๆ ในใจทุกคนยังห่วงสา แต่ไม่อยากพูดออกมา หม่อมพริ้มจึงพูดปลอบใจทุกคน
“ก็คงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันสมัยใหม่ ไม่มีการกวาดต้อนลูกเมียไปเป็นเชลยศึกอย่างสมัยโบราณหรอกนังเจิม”
ด้านสากำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เซกิตรวจดูเอกสารต่างๆ ก็มีเสียงแตรรถดังมาจากด้านนอก
“ใครมาคะ”
เซกิชะโงกหน้าไปดู เห็นทหารลูกน้องของโทโมกิ มาพร้อมกับรถบรรทุกคันใหญ่ เขารู้สึกแปลกใจ
ทหารยื่นจดหมายให้เซกิสามองอยู่ห่างๆ
“ท่านโทโมกิฝากมาให้”
“ขอบใจมาก…แล้วในรถนั่นขนอะไรมา”
“ผมไม่รู้ ท่านโทโมกิบอกว่าเป็นของสำคัญ ให้เอามาฝากไว้ที่เซกิซัง”
ทหารพูดจบก็คำนับ เซกิยิ่งแปลกใจ
เซกิเปิดประตูเข้าไปที่ห้องลับในบ้าน ซึ่งเป็นห้องแคบๆ ไม่มีหน้าต่างห้องหนึ่ง อยู่ที่ด้านหลังตึก
เมื่อมองไปเซกิ เห็นหีบขนาดเท่าๆ กันจำนวนสิบหีบ วางเป็นระเบียบ ทุกใบมีกุญแจคล้องเอาไว้อย่างแน่นหนา กันคนเปิด เซกิมองตัวล็อก ยิ่งสงสัย
เซกิตัดสินใจเปิดจดหมายในมือออกอ่าน ราวกับมีโทโมกิมาอ่านเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เขาฟังด้วยตัวเอง
"เซกิซัง เพื่อนรัก…เมื่อคุณได้รับจดหมายนี้ ขอให้รู้ว่า ผมจำเป็นต้อง ทำในสิ่งที่นักรบผู้มีเกียรติทุกคนพึงทำ...”
เซกิตกใจสุดขีด
อ่านต่อตอนที่ 21