เวียงร้อยดาว ตอนที่ 10
เสียงกรีดร้องของเวียงแก้วดังยาว
“กรี๊ด !”
ร้อยดาวสะบักสะบอมหลังจากตกลงมาที่คุกใต้ดินอย่างแรงจนถลอกปอกเปิก เธอค่อยๆยันกายลุกขึ้น
“คุณแม่.....”
ร้อยดาวเห็นชายคนหนึ่งที่ถูกล่ามโซ่สลบไสลไม่ได้สตินอนคว่ำหน้าอยู่ ร้อยดาวรีบเข้าไปเขย่าร่างชายลึกลับร่างมอมแมมคนนั้น
“คุณคะ ! คุณ !”
ร้อยดาวพลิกร่างชายคนนั้นขึ้นมาทำให้เห็นว่าเป็นปกรณ์
ร้อยดาวนึกถึงรูปของปกรณ์ที่ร้อยดาวเคยพบในห้องเก็บของ
ร้อยดาวตกใจ “คุณพ่อปกรณ์ !!”
ปกรณ์ลืมตาขึ้น พอเห็นร้อยดาวเขาก็ตกใจและอยู่ในอาการหวาดกลัว ตื่นตระหนก
“เธอ... เธอเป็นใคร ?”
ควันเริ่มลอยโขมงเข้ามายังคุกใต้ดินจนร้อยดาวเริ่มรู้สึกร้อน
“เรื่องมันยาว อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยนะคะ เรารีบหนีออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่าค่ะ” ร้อยดาวบอก
ปกรณ์พยักหน้าหงึกๆ เพราะอยากหนีออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว ร้อยดาวจะพาปกรณ์หนีไปแต่ติดโซ่ที่ล่ามอยู่ทำให้ไปไหนไม่ได้ ร้อยดาวเห็นโซ่ที่ล่ามปกรณ์ไว้อยู่ เธอเอาก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆ ทุบใส่โซ่เหล็กไม่ยั้งเพื่อแข่งกับเปลวเพลิงที่ใกล้เข้ามาทุกที
บังหนั่นปั่นจักยานตรวจตราความเรียบร้อยอยู่แถวๆบึงบัว เขาเห็นเปลวไฟลุกโชติช่วงที่เวียงร้อยดาว ก็ตกใจ
บังหนั่นตะโกนลั่น “อีนี่ ! ไฟไหม้จ้า ! ไฟไหม้”
บังหนั่นร้องลั่นแล้ววิ่งวนไปวนมา เขาตัวสั่น เงอะๆงะๆ ทำอะไรไม่ถูก คนงานชายหญิงที่ได้ยินเสียงบังหนั่นวิ่งแห่กันมาดู เวียงร้อยดาวมีควันลุกโขมง ไฟลุกแผดเผา คนงานวิ่งหน้าตาตื่นไปยังเวียงร้อยดาวเพื่อช่วยกันดับไฟ
ร้อยดาวเหงื่อตก เธอเอาหินทุบอย่างแรง ทันใดนั้น เสียงเวียงแก้วก็ตะโกนดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดแต่ไม่เห็นตัว
“อย่า....... !!”
ร้อยดาวหันไปมองอย่างหวาดหวั่นแต่ก็ตัดสินใจรีบเอาหินกระหน่ำทุบต่อ ข้อต่อโซ่ตรวนที่ล่ามปกรณ์เอาไว้ขาดกระเด็น
“รีบไปกันเถอะค่ะ !!! ไฟกำลังโหมใกล้เข้าทุกทีแล้ว”
ร้อยดาวรีบประคองปกรณ์เพื่อช่วยพาหนีออกไปจากคุกใต้ดิน ทันใดนั้นเวียงแก้วเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลก็ปรากฏกายขึ้น
“แกกล้าดียังไงมาปล่อยคนของฉัน นังลูกไม่รักดี”
เวียงแก้วมีแววตาเดือดดาลทั้งๆที่เจ็บระบมไปทั้งกาย แล้วเธอก็หายตัวตามไป
ร้อยดาวพาปกรณ์ขึ้นมาจากคุกใต้ดิน เปลวไฟล้อมรอบไปทุกทิศทุกทาง ร้อยดาวกับปกรณ์สำลักควันที่ลอยโขมงจนแสบตาไปหมด
“ทางนี้ค่ะ !!”
ร้อยดาวนำปกรณ์หนีจากกองเพลิงจนกระทั่งกำลังจะออกจากประตูเวียงร้อยดาวได้อยู่แล้ว จู่ๆ เวียงแก้วที่ร่างโปร่งแสงในกองไฟก็ยืนมองร้อยดาวด้วยความเจ็บใจ ผิดหวัง และโกรธ
“คิดหรือว่าจะหนีพ้น !”
เวียงแก้วรวบรวมพลังบันดาลให้ไม้คานที่ติดไฟด้านบนจะหล่นใส่ร้อยดาว
ปกรณ์ร้องบอก “ระวัง !!”
ปกรณ์เอาร่างตัวเองบังร้อยดาวเอาไว้ ทำให้ไม้คานติดไฟหล่นใส่ขาของปกรณ์
ปกรณ์ร้องลั่น “อ๊ากก”
เวียงแก้วยิ้มสะใจก่อนจะสลายร่างไปเนื่องจากหมดแรง ร้อยดาวตกใจที่ขาของปกรณ์เป็นบาดแผลพุพองฉกรรจ์ ร้อยดาวหิ้วปีกปกรณ์กึ่งประคองกึ่งลากปกรณ์ออกไป
ร้อยดาวพาปกรณ์ในสภาพสะบักสะบอมออกจากเวียงร้อยดาวได้สำเร็จ
“ทำใจดีๆไว้นะคะ”
ปกรณ์พยายามเพ่งพินิจดวงหน้าร้อยดาวชัดๆ
“แม่หนูเป็นใครกันแน่ ?”
“หนูคือ...”ร้อยดาวลังเลว่าจะบอกว่าเธอคือร้อยดาว หรือเมดา
ทันใดนั้น เสียงบังหนั่นโวยวายก็ดังขัดจังหวะ บังหนั่นวิ่งหน้าเริ่ดนำพวกคนงานมาดับไฟ
“ไฟไหม้ใหญ่แล้ว ! รีบไปเอาน้ำมาดับเร็วเข้า”
บังหนั่นยืนชี้โว้ชี้เว้ สั่งพวกคนงานเอาถังตักน้ำช่วยกันดับไฟคนละไม้คนละมือ
ร้อยดาวตะโกนเรียก “บังหนั่น ! ทางนี้”
บังหนั่นหันมาเห็นร้อยดาวอยู่กับปกรณ์ซึ่งผมเผ้าหนวดเครารุงรังเหมือนคนร้ายก็จำไม่ได้
“คุณหนู !!! เฮ้ย !!! นั่นใครวะ !!! หรือว่า... คนร้าย” บังหนั่นตะโกนลั่น “เฮ้ย !!! คนร้ายอยู่ทางนี้”
ปกรณ์เลิ่กลั่กเพราะทำอะไรไม่ถูก คนงานส่วนหนึ่งวิ่งกรูเข้ามาหมายจะรุมจับตัวปกรณ์
“จับมันเร็วเข้า ! อย่าให้มันหนีไปได้”
ปกรณ์เห็นพวกคนงานที่วิ่งเข้ามากลายเป็นผีคนงานทั้งหมด
“ผี !!!! อย่าเข้ามา !! กลัวแล้วๆ”
ปกรณ์รีบวิ่งเตลิดหนีไป
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ร้อยดาวปวดตา “โอ๊ย”
ร้อยดาวจะวิ่งตามไป แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดตา ตาพร่าจนแทบมองอะไรไม่เห็น ร้อยดาวหยุดเอามือกุมลูกตาทั้งสองข้าง บังหนั่นวิ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนูร้อยดาวเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ ?”
“ตา ! ตาฉัน”
ร้อยดาวตาบอดสนิทจนมองอะไรไม่เห็น บังหนั่นตกใจเพราะไม่รู้ว่าตาร้อยดาวเป็นอะไร
ปกรณ์วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปทางด้านหลังของเวียงร้อยดาว คนงานวิ่งตามมาหมายจะจับตัวคนร้าย แต่ปกรณ์มองเห็นเป็นผี 6 คนวิ่งตามจะมาเอาชีวิต ปกรณ์วิ่งมาสุดที่ธารน้ำเชี่ยวกราก ปกรณ์เห็นผีทั้งหมดตีวงล้อมย่างสามขุมเข้ามาหาช้าๆ คล้ายพวกผีดิบซอมบี้
“อย่า ! อย่าเข้ามา กลัวแล้ว”
ปกรณ์ถอยหลังกรูดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดที่ริมตลิ่งลำธาร เขาหันไปมองด้านหลังเห็นสายน้ำเชี่ยวกรากโดยด้านหน้าผีทั้งหมดก็ย่างสามขุมเข้าใกล้มาทุกที
“ไปอยู่กับพวกกระผมเถอะนะขอรับ คุณปกรณ์” ผีตนนึงพูด
ผีคนงานหัวเราะลั่นอย่างน่าสยดสยอง
ปกรณ์ละล่ำละลัก “ไม่ ! ฉันไม่ไป ! อย่ามาหลอกหลอนฉันเลย”
ทันใดนั้น เวียงแก้วก็ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางผีคนงานทั้งหกแล้วพุ่งกระแทกใส่ร่างปกรณ์อย่างแรง
“ตายเสียเถอะ !!”
ปกรณ์ลอยหวือตามแรงกระแทกเหมือนถูกจับโยนตกลงไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก
“อ๊ากก !!”
พวกคนงานอ้าปากค้าง ตกใจจนอุทานเสียงหลง
“เฮ้ย !!”
“คนสารเลวอย่างแกมันสมควรตาย !” เวียงแก้วหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ !!”
เวียงแก้วหายวับไปพร้อมๆกับผีคนงานที่หลอมละลายกลายเป็นคนงานตามเดิม คนงานที่ตามมาต่างตกใจที่ช่วยไว้ไม่ทัน
ร่างปกรณ์ถูกกระแสน้ำกลืนหายไปแล้ว !
บังหนั่นพาร้อยดาวข้ามมายังอีกฝั่งหนึ่ง แต่ยังเห็นเวียงร้อยดาวถูกไฟลุกอยู่อีกฝั่งไกลๆ
นมแสงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของร้อยดาวก็ตกใจ
“คุณหนูของนม !!”
ร้อยดาวยกมือไขว่คว้า เธอได้ยินแต่เสียงแต่มองไม่เห็นตัว
ร้อยดาวตกใจ “นมแสง ! บังหนั่น ! ทำไมตาฉันถึงมองอะไรไม่เห็นเลยล่ะ ?”
นมแสงกับบังหนั่นตกใจ ทั้งสองหันมามองหน้ากัน
“แย่แล้ว คุณนม !!! ต้องรีบพาคุณหนูไปโรงพยาบาล” บังหนั่นว่า
ทันใดนั้น สิบทิศก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาเห็นเวียงร้อยดาวไฟลุกโชติช่วงและมีควันโขมง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“คุณชายสิบทิศมาพอดี ช่วยคุณหนูร้อยดาวด้วยเถอะค่ะ” นมแสงบอก
“ร้อยดาว ! ร้อยดาวเป็นอะไร ?”
ร้อยดาวยังขวัญเสีย ที่ดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิทจนมองอะไรไม่เห็น
บังหนั่นหน้าดำด้วยเขม่าไฟรายงานดำรงกับสามสะใภ้ที่นั่งเรียงกันพร้อมหน้า
“ไฟจะไหม้เวียงร้อยดาวได้ยังไง ถ้าไม่มีใครอุตริเข้าไปทำอะไรที่นั่น” ดำรงว่า
สร้อยฟ้ามีพิรุธเพราะรู้ดีว่าพ่อปู่เข้าไปทำพิธีที่นั่น
“ต้องเป็นมันแน่ๆ” บังหนั่นพูดขึ้น “กระผมเห็นชายแปลกหน้าผมเผ้าหนวดเครารุงรังท่าทางมีพิรุธ อยู่ในที่เกิดเหตุขอรับ มันอาจเป็นคนร้ายที่ลอบวางเพลิง”
“มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเขตบดินทร์ธรยามวิกาลได้ยังไง ?”
“เป็นยามประสาอะไร ยิ่งแก่ยิ่งไร้ประโยชน์ เลี้ยงหมาเอาไว้เฝ้ายามยังดีเสียกว่า ! มันน่าเฉดหัวไล่ออกนัก” จงจิตว่า
ดำรงแปรสายตาคมกริบไปทางจงจิตเพื่อให้สงบปากสงบคำ
“บังหนั่นเป็นคนของฉัน หล่อนมีสิทธิ์อะไรมาไล่ ห๊ะ แม่จงจิต” ดำรงพูดกับบังหนั่น “แล้วตอนนี้ไอ้คนที่ว่านั่นมันอยู่ที่ไหน”
“พวกคนงานไล่ตามไปจับตัว แต่มันหนีกระเซอะกระเซิงตกลำธารด้านหลังเวียงร้อยดาว จมหายไปกับสายน้ำ” บังหนั่นส่ายหัว “ป่านนี้ เห็นทีไม่จะรอดขอรับ คุณท่าน”
บังหนั่นถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็ส่ายหน้าเพราะปลงตกกับความไม่แน่นอนของชีวิต ปรมัตถ์เข้ามาในโถงกลางเพื่อรายงานความคืบหน้ากับดำรง
“ตอนนี้พวกคนงานควบคุมเพลิงไว้ได้แล้วครับ แต่น่าแปลก ! ไฟลุกท่วมออกขนาดนั้น แต่เวียงร้อยดาวแทบไม่ได้รับความเสียหาย นอกจากร่องรอยเขม่าควันไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“อะไรนะ ! ไอ้เวียงร้างบ้าบอนั่น อาถรรพณ์มันแรงขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“มีอีกเรื่องที่กระผมยังไม่ได้รายงานให้คุณท่านทราบครับ” ปรมัตถ์บอก
ดำรงกุมขมับ “ยังไม่หมดเรื่องหมดราวอีกหรือไง มีอะไรอีกก็รีบๆว่ามา”
“มีคนพบศพญาติของคุณสร้อยฟ้าถูกไฟคลอกเสียชีวิตที่นั่นด้วยครับ”
สร้อยฟ้าช็อคสุดขีดจนเข่าอ่อน เธอทรุดลงนั่ง
“ตายแล้วงั้นเหรอ ?”
จงจิตแอบยิ้มเยาะแล้วพูดเหน็บแนมสร้อยฟ้า
“โถ... น่าเวทนาลูกเมียที่อยู่ข้างหลังซะเหลือเกิน”
สร้อยฟ้ามองจงจิตแล้วขบริมฝีปากตาเขียว
“ดึกๆดื่นๆญาติหล่อนไปทำอะไรที่เวียงร้อยดาวรึ แม่สร้อยฟ้า ?ถึงได้ถูกไฟคลอกเอาได้” ดำรงถาม
ทุกคนมองไปที่สร้อยฟ้าเป็นตาเดียวกัน สร้อยฟ้ารีบแก้ตัวอึกๆอักๆ
“แกคงมีน้ำใจ ไปช่วยพวกคนงานดับไฟมั้งคะ”
แม้ดำรงจะไม่ปักใจเชื่อ แต่เหตุผลของสร้อยฟ้าก็พอฟังขึ้นอยู่
“แค่ชั่วข้ามคืน มีคนเสียชีวิตที่เวียงร้อยดาวถึงสองศพเชียวหรือนี่ ?แเต็มใจคอไม่ดีเลยค่ะ กลัวว่าจะมีใครต้องมีอันเป็นไป เซ่นสังเวยเวียงอาถรรพ์นั่นอีก” เต็มเดือนเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ “เต็มกลัวเหลือเกินค่ะ”
เต็มเดือนกำลังจะบีบน้ำตา ร้องไห้ ทันใดนั้นก็มีน้ำสีดำสนิทสีเดียวกับรอยกากบาทบนเพดานหยดใส่หน้าเต็มเดือนเหมือนน้ำฝนที่รั่วซึมเพดาน เต็มเดือนย่นคิ้วด้วยความประหลาดใจ เธอเอานิ้วแตะน้ำสีดำนั้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองตาค้าง
ทุกคนมองตามสายตาของเต็มเดือนก็เห็นรอยกากบาทสีดำบนเพดานเลือนหายไป 2 รอย ต่อหน้าต่อตาทุกคน บังหนั่นแหงนมอง ชี้นิ้ว ปากคอสั่น อย่างไม่เชื่อสายตา
“อีนี่...รอยกากบาทบนนั้น อยู่ๆก็หายไปได้ยังไงจ๊ะ นายจ๋า”
ทุกคนที่อยู่ในโถงกลางต่างตกตะลึงตาค้างกับภาพที่เห็น รอยกากบาทบนเพดานเหลืออยู่ 4 รอย
เช้าวันใหม่ ณ สวนอันร่มรื่นของบดินทร์ธร ดาหลากับปรมัตถ์ช่วยกันประคองดำรงออกมาเดินเล่นในสวน
“ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ไอ้รอยพวกนั้นมันปรากฏขึ้นแล้วก็เลือนหายได้เอง” ดำรงบอก
“เป็นไปได้ไหมคะ รอยกากบาทลึกลับนั่นอาจเป็นลางบอกเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในบดินทร์ธรเหมือนอย่างที่คุณหนูร้อยดาวเคยบอก” ดาหลาว่า
“ถึงอย่างไร ผมก็เชื่อในคำอธิบายที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้มากกว่า” ปรมัตถ์บอก
“แกมันกบในกะลา เจ้าปรมัตถ์ ! ยังมีเรื่องลี้ลับอีกตั้งมากมายบนโลกใบนี้ที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์” ดำรงถามดาหลา “แล้วนี่แม่ม้าดีดกะโหลกเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“คุณชายสิบทิศกำลังตรวจดูอาการคุณหนูร้อยดาวอยู่บนห้องค่ะ” ดาหลาบอก
ดำรงพยักหน้ารับรู้แต่ก็อดเป็นห่วงร้อยดาวไม่ได้ ปรมัตถ์ได้ยินแล้วยังเจ็บแปลบที่หัวใจเพราะรู้สึกคล้ายถูกคนแย่งชิงของรักไปซึ่งๆหน้า
“กระผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปรมัตถ์พูดจบก็รีบเดินจากไป ดาหลามองตามปรมัตถ์อย่างมีเยื่อใยและเห็นอกเห็นใจ ดำรงมองสายตาของดาหลาและอากัปกิริยาปรมัตถ์ก็เข้าใจความหมายทันที
ตาดำของร้อยดาวมีภาพสะท้อนของสิบทิศที่กำลังเอาไฟฉายส่องตาเพื่อตรวจดูอาการของร้อยดาวอย่างเป็นห่วงเป็นใย สิบทิศปิดไฟฉายแล้วถอนหายใจอย่างหนักใจ
“ดวงตาของคุณหนูร้อยดาวเป็นอย่างไรบ้างคะ คุณชาย ?” นมแสงถาม
“ยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร คงต้องรอดูอาการอีกสักระยะ ถ้ายังไม่หายเป็นปรกติ อาจต้องพาร้อยดาวไปตรวจที่โรงพยาบาล”
“แล้วคุณหนูจะกลับมามองเห็นได้อีกเมื่อไรคะ ?” นมแสงถาม
“ตอบไม่ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจสูญเสียการมองเห็นแค่ชั่วขณะ แต่บางรายก็อาจรุนแรงถึงขั้น...” สิบทิศเสียงแผ่วลง “ตาบอดตลอดชีวิต”
“โธ่... คุณหนูของนม”
นมแสงหน้าเสียและใจคอไม่ค่อยดีเพราะสงสารร้อยดาว นมแสงน้ำตารื้นและมีเสียงสะอื้นเบาๆ
“ดิฉันเตรียมใจไว้นานแล้ว ถ้าตาทั้งสองข้างจะต้องบอดสนิทจริง ดิฉันก็ไม่เสียใจ ที่มองเห็นได้จนถึงวันนี้ก็นับว่าโชคดีที่สุด อย่างน้อย...ดิฉันก็ได้กลับมาเห็นเวียงร้อยดาวที่นี่ ด้วยดวงตาคู่นี้..” ร้อยดาวพูด
สิบทิศเริ่มมีท่าทีที่อ่อนโยนลงจากที่เคยแข็งกระด้างมาโดยตลอดเพราะสงสารร้อยดาวจับใจ
“ฉันจะพยายามทุกวิธี ให้เธอกลับมามองเห็นอีกครั้งให้ได้ ร้อยดาว”
ร้อยดาวยิ้มและพยักหน้าเพราะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริงของสิบทิศ
กระถินที่แอบฟังอยู่ยิ้มสะใจที่ร้อยดาวต้องตาบอด
กระถินมารายงานสามสะใภ้เรื่องอาการของร้อยดาว
โดยที่เต็มเดือนนั่งปักผ้าอยู่แบบคล้ายไม่ยินดียินร้ายต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เงี่ยหูฟัง
สร้อยฟ้าสะใจ “ดี ! ขอให้ชาตินี้มันตาบอดทั้งชาติ ! คุณชายสิบทิศไม่มีวันยอมแต่งงานกับผู้หญิงตาบอดอย่างมันแน่ ! นี่แหละหนา เขาถึงว่าแข่งเรือแข่งพายพอแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนา มันแข่งกันไม่ได้”
“ถ้านังนั่นตาบอดจริง หล่อนคิดว่าคุณชายสิบทิศจะคว้าลูกสาวหล่อนมาตกแต่ง ยกขึ้นแท่นเป็นหม่อมเวฬุมาศแทนงั้นสิ ?” จงจิตถาม
“ถ้าไม่ใช่ดาราเรศลูกสาวดิฉันแล้วจะเป็นใคร แม่ดารกาหรือไงคะ คุณพี่ ก็ดีนะคะ เวฬุมาศคงครึกครื้น บ่าวไพร่วิ่งไล่จับคนบ้ากันจ้าละหวั่น”
จงจิตควันออกหูด้วยความลืมตัว เธอลุกพรวดชี้หน้าด่าสร้อยฟ้า
“แกว่าใครบ้า ห๊า ! อีสำเพ็ง”
“ก็ว่าลูกแกนั่นแหละ อีนังผู้ดีตกยาก ต้องเอานาผืนน้อยมาเร่ขาย”
จงจิตกำมือแน่นด้วยความโกรธจนตัวสั่น จงจิตหาคำพูดเผ็ดร้อนมาโต้ตอบ
“ถึงยังไง ฉันก็ไม่เคยใฝ่ต่ำยอมลดตัวเป็นเมียหมอผีเหมือนใครบางคน”
“ไม่ใฝ่ต่ำ แต่ก็คว้าคนขับรถอย่างไอ้ปั้นมาทำผัว” สร้อยฟ้าตะโกน “เจ้าข้าเอ๊ย ! ใครอยากรู้ว่าพ่อบังเกิดเกล้าที่แท้จริงของนังดารกาเป็นใคร ก็มานี่เร็ว”
คนใช้หญิงบ่าวในบ้านได้ยินเสียงสร้อยฟ้าก็แห่กันมาดู สร้อยฟ้ามองหน้าจงจิตแล้วยิ้มเยาะเพราะถือไพ่เหนือกว่า จงจิตโกรธจัดจึงปราดจะเข้าไปตบสร้อยฟ้า แต่สร้อยฟ้าจับข้อมือจงจิตไว้ แล้วตบกลับจนล้มคว่ำ
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ อีช็อคการี อีปากนรกแตก วันนี้กูจะตบมึงให้เลือดกบปาก”
“มีปัญญามึงก็เอาสิ ! คนอย่างอีสร้อยฟ้า ถ้าไม่แน่จริง กูไม่อยู่มาจนถึงป่านนี้หรอก อีจง !”
สร้อยฟ้าปราดจะเข้าไปตบจงจิตซ้ำ แต่ถูกจงจิตถีบหงายหลังแล้วขึ้นคร่อมตบกลับ ทั้งสองฟัดกันนัว คนใช้ยืนมองเลิ่กลั่กแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม เต็มเดือนยังคงปักผ้าอย่างใจเย็น ระหว่างที่สร้อยฟ้ากับจงจิตตบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
กระถินร้อนรนจนวิ่งพล่าน ในที่สุดก็เข้าไปห้าม
“อย่าค่ะ ! ขอทีเถอะนะคะ”
“ขอทีเหรอ ได้สิ....”
จงจิตหมั่นไส้จึงถีบกระถินกระเด็นออกมา กระถินถูกถีบกระเด็นมานอนจุกที่เท้าเต็มเดือน
“อ๊ายย !!”
เต็มเดือนยิ้มยินดีที่ทั้งสองตบกันเองไม่ต้องเปลืองแรงเธอ
“ทำยังไงดีล่ะคะ คุณเต็มเดือน !!! คุณจงจิตกับคุณสร้อยฟ้าตบกันใหญ่แล้ว” กระถินถาม
“เวลาหมามันกัดกัน เขาทำยังไงล่ะ ?”
เต็มเดือนยิ้ม พอพูดจบเธอก็ลอยหน้าจากไป
“หมากัดกัน” กระถินนึกออก “อ๋อ.... !!”
กระถินรีบวิ่งปร๋อออกไป
กระถินวิ่งกลับมาพร้อมกับกาละมังใส่น้ำใบใหญ่ สร้อยฟ้ากับจงจิตยังคงตบตีกันอุตลุด กระถินสาดน้ำใส่จงจิตกับสร้อยฟ้า
จงจิตกับสร้อยฟ้าร้อง “อ๊าย !!”
ทั้งสองหยุดตบแล้วมองไปยังกระถินเป็นตาเดียวกัน กระถินยืนถือกาละมังอยู่คามืออย่างละล้าละลัง
“อีกระถิน !!! แกทำบ้าอะไรของแก ห๊า !” สร้อยฟ้าว่า
กระถินยิ้ม “ได้ผลแฮะ !!! หยุดตบกันจริงๆด้วย”
“ใช่ ! พวกฉันหยุดตบกัน แล้วจะหันมาตบแกนี่แหละ นี่แน่ะ !”
กระถินตาโต เมื่อเห็นจงจิตปรี่เข้ามาตบเธอจนหน้าหัน จงจิตกับสร้อยฟ้าช่วยกันรุมตบกระถินไม่เลี้ยง
กระถินถูกตบก็กรีดร้อง พวกคนใช้ที่แอบดูอยู่สะใจจึงยืนเฮกันลั่นเพราะหมั่นไส้กระถินมานานแล้ว เต็มเดือนที่แอบยืนมองอยู่รำพึงออกมา
“กัดกันให้ตายๆไปซะให้หมด ทั้งพันธุ์แท้ พันธุ์ทาง”
เต็มเดือนยิ้มอย่างสะใจ
ดาหลาพาดำรงมานั่งพักที่เก้าอี้ในห้อง
“ฉันจะให้เธอไปช่วยดูแลแม่ร้อยดาว” ดำรงบอก
ดาหลาตกใจ “แล้วใครจะคอยรับใช้คุณท่านล่ะคะ ?”
“นี่หล่อนเห็นฉันแก่เลอะเลือนจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้วหรือไง ?”
“หามิได้ค่ะ ดิฉันเห็นว่าคุณหนูร้อยดาวมีคุณนมคอยดูแลใกล้ชิดอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวนี้หล่อนกล้าขัดคำสั่งฉันแล้วรึ แม่ดาหลา !”
ดาหลาสะดุ้งแล้วก้มหน้านิ่ง ตัวสั่นน้อยๆเมื่อถูกดำรงเอ็ด ดำรงเห็นแล้วก็สงสารจึงค่อยพูดเสียงอ่อนโยนลง
“แม่ร้อยดาวตาบอด มองอะไรไม่เห็น ฉันเป็นปู่ จะให้อยู่เฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้อย่างไร ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันทอดทิ้งหลานสาวคนนี้ไม่เคยดูดำดูดีมาโดยตลอด ตอนนี้แม่ร้อยดาวกำลังลำบาก ฉันอยากจะทำอะไรให้เขาบ้าง ช่วยดูแลแม่ม้าดีดกะโหลกแทนฉันทีเถอะนะ แม่ดาหลา”
ดาหลาฟังดำรงแล้วรู้สึกเห็นใจร้อยดาวขึ้นมาทันที
รัตนากรถึงกับช็อคเมื่อรู้เรื่องราวจากปากของสิบทิศ
“ตาบอดงั้นรึ !! ตาบอดได้อย่างไร”
“สาเหตุที่แน่ชัด หลานยังไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร คงต้องรอดูอาการอีกสักระยะ ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง” สิบทิศบอก
ช้อยถามรัตนากร “แล้วเรื่องพิธีหมั้นล่ะมังคะ ?”
“เลื่อนไปก่อนดีไหม หนูร้อยดาวมองเห็นเมื่อไร ค่อยมาว่ากันอีกที” รัตนากรบอก
“อย่าเลื่อนเลย ท่านป้า หลานขอให้ยืนตามกำหนดเดิมไว้ก่อน” สิบทิศว่า
ช้อยพูดกับสิบทิศ “หากถึงเวลา แล้วดวงตาคุณหนูร้อยดาวยังมองไม่เห็น คุณชายไม่ต้องเข้าพิธีหมั้นหมายกับหญิงตาบอดกระนั้นหรือเจ้าคะ ?”
รัตนากรเอ็ด “แม่ช้อย ! พูดอะไรน่ะ”
ช้อยหน้าหดเหลือสองนิ้ว
“ร้อยดาวจะต้องหายเป็นปรกติก่อนถึงวันงาน เชื่อฉันสิ !”
สิบทิศพูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวจนรัตนากรเองก็อดแปลกใจไม่ได้
ร้อยดาวนั่งพิงหลังอยู่บนเตียง ดวงตาของเธอไร้วี่แววการมองเห็น สิบทิศเปิดประตูเข้ามาในห้อง
ร้อยดาวเอ่ยถาม “ดาหลาหรือจ๊ะ ?”
สิบทิศเข้ามานั่งใกล้ๆ โดยไม่ตอบ เขามองร้อยดาวอย่างสงสาร
ร้อยดาวพูด “บอกแล้วไง ไปดูแลปรนนิบัติคุณท่านเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันอยู่คนเดียวได้ มองไม่เห็นแค่นี้ เรื่องเล็ก หลับตาฉันยังเดินถูกเลย เห็นไหม”
ร้อยดาวยิ้มแล้วทำทีว่าช่วยตัวเองได้ เธอลุกสะเปะสะปะแต่สะดุดขาเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ล้มลง สิบทิศรีบเข้าไปช่วยประคองร้อยดาวให้ลุกขึ้น สิบทิศสัมผัสที่แขนร้อยดาว ร้อยดาวแปลกใจที่เป็นมือหยาบกร้านของผู้ชายซึ่งไม่ใช่ดาหลาแน่ๆ
“ไม่ใช่ดาหลา ?”
“สมกับเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนที่ท่านว่าไว้ไม่มีผิด เห็นทีฉันคงต้องคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิด”
ร้อยดาวตกใจ “คุณชาย ! เข้ามาในห้องดิฉันได้อย่างไรคะ ?”
“แล้วทำไมฉันถึงจะเข้ามาในนี้ไม่ได้ คุณปู่ของเธออนุญาตให้ฉันเข้าออกบดินทร์ธรได้ทุกเมื่อตามที่ฉันต้องการ”
“แต่ดิฉันเป็นผู้หญิง อยู่กับคุณชายในที่ลับตาตามลำพังสองต่อสองใครเห็นเข้าจะไม่ดี”
“เธออยู่ในฐานะ “ว่าที่คู่หมั้น” ของฉัน ฉันมาดูแลเธอ ไม่ดีตรงไหน”
“แต่ดิฉันไม่รบกวนจะดีกว่า ประเดี๋ยวโรคประจำตัวของคุณชายกำเริบขึ้นมาจะวุ่นวายไปกันใหญ่”
“โรคประจำตัว ?”
“ก็โรคกล้ามเนื้อไม่มีแรง ต้องคอยให้ดิฉันนวดอยู่บ่อยๆ”
สิบทิศกลั้นหัวเราะเพราะเพิ่งนึกออกว่าเคยหลอกร้อยดาวเอาไว้
“โรคฉันมันเป็นๆหายๆ ถ้าไม่ถึงเวลา อาการก็ไม่กำเริบหรอก”
ร้อยดาวรู้สึกแปลกใจขึ้นมาตงิดๆ
วีระวิทย์นอนไขว่ห้างกระดิกเท้าผิวปากสบายอารมณ์อยู่บนเตียง
ที่ประตูมีเสียงขยับลูกบิดคล้ายมีคนจากด้านนอกจะเปิดประตูเข้ามา วีระวิทย์คิดว่าเป็นสร้อยฟ้าจึงแกล้งทำเป็นคลุมโปงนอนตะแคงเหมือนกับว่าไม่มีเรี่ยวแรงเพราะเพิ่งฟื้นไข้
วีระวิทย์ทำเสียงน่าสงสาร “คุณแม่หรือครับ ?”
กระถินเปิดประตูเข้ามา เธอยิ้มยั่ว
กระถินกลั้วหัวเราะ “โถ...ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงขนาดนั้นเลยหรือคะ คุณวีระวิทย์”
พอวีระวิทย์รู้ว่าเป็นกระถินเขาก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งอย่างอารมณ์เสีย
“นังกระถิน ! ใครใช้ให้แกเข้ามาในห้องฉัน”
กระถินลูบไล้อกของวีระวิทย์จนเขาอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้
“เมียจะเข้ามาหาผัวบ้างไม่ได้หรือไง รู้มั้ย..กระถินถูกคุณทิ้งให้นอนเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่คนเดียวมากี่คืนแล้ว ?”
วีระวิทย์พยายามข่มอารมณ์ “ฉันไม่สบาย เพิ่งหาย ยังไม่อยากจะมีอะไรด้วย”
“คุณไม่อยาก แต่กระถินอยากนี่คะ”
กระถินเปิดเกมรุกถอดเสื้อให้วีระวิทย์อย่างรวดเร็วและเร่าร้อน แล้วเหวี่ยงไปไว้ที่ปลายเตียง ตะกรุดที่คล้องคอวีระวิทย์ถูกเหวี่ยงกระเด็นมาพร้อมๆกับเสื้อด้วย ผ้าถุงของกระถินถูกเหวี่ยงตามลงมาโดนตะกรุด ทำให้ตะกรุดเสื่อมทันที ตะกรุดมีแสงสว่างวาบก่อนดับวูบลง ในขณะที่ทั้งสองร่วมรักกันอย่างดุเดือด
สิบทิศเป่าข้าวต้มร้อนๆที่อยู่ในช้อนแล้วป้อนให้ร้อยดาว ร้อยดาวไม่ยอมกินเพราะรู้สึกเขินๆ
“ถึงตาดิฉันจะมองไม่เห็น แต่มือดิฉันก็ตักรับประทานเองได้ ไม่ต้องลำบากคุณชายหรอกค่ะ”
สิบทิศวางชามข้าวต้มบนโต๊ะให้เกิดเสียงเล็กน้อย พอให้ร้อยดาวได้ยิน
“เก่งนัก ไหนเธอลองกินให้ฉันดูซิ”
ร้อยดาวใช้มือค่อยๆควานหาชามข้าวต้มจนเกือบจะถึงชามข้าวอยู่แล้ว สิบทิศแกล้งยกชามข้ามต้มหนี ไม่ให้ร้อยดาวคลำถูก เขาอมยิ้มเจ้าเล่ห์ ร้อยดาวแปลกใจเพราะคลำเท่าไรก็ไม่เจอสักที
“มองไม่เห็น ก็อย่าอวดเก่งไปหน่อยเลย คราวนี้เธอยอมให้ฉันป้อนได้หรือยัง ?”
สิบทิศตักข้าวต้มป้อนให้ร้อยดาวอีกครั้ง คราวนี้ร้อยดาวยอมกินแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ว่าง่ายๆ จะได้โตเร็วๆ”
ร้อยดาวค้อน “ดิฉันไม่ใช่เด็กอมมือแล้วนะคะ คุณชาย”
สิบทิศอมยิ้มที่สามารถปราบพยศร้อยดาวได้
สิบทิศป้อนน้ำร้อยดาวหลังจากรับประทานข้าวต้มเสร็จแล้ว
“อิ่มแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาเช็ดตัว !” สิบทิศบอก
“คุณชายว่าอะไรนะคะ !!! เช็ดตัว ?” ร้อยดาวตกใจ
ร้อยดาวรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวเองเพราะเข้าใจว่าสิบทิศจะเช็ดตัวให้ สิบทิศเห็นท่าทางร้อยดาวแล้วอดขำไม่ได้
“ฉันจะไปตามคนมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เธอ หรือเธอจะให้ฉันทำให้ก็ได้นะ”
“ไม่ !!! ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันรอดาหลาดีกว่า”
ทันใดนั้นมารุตก็หน้าตาตื่นเข้าห้องมา
“เฮ้ ! ยู ! ได้ข่าวจากยัยจอมจุ้นว่าตายูมองไม่เห็น ไอเป็นห่วงแทบแย่”
“ไอสบายดี Don’t worry ! นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในห้องทั้งวัน น่าเบื่อจะแย่” ร้อยดาวบอก
มารุตเหลือบไปเห็นหน้าสิบทิศก็รู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก
“ยูเป็นหมอประสาอะไร แค่นี้ก็รักษาเพื่อนไอไม่ได้”
“ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว” สิบทิศบอก
“สุดความสามารถ เพื่อนไอก็ต้องหายแล้วสิ แต่นี่ไม่หาย แสดงว่ายูน่ะไร้น้ำยา เก่งแต่ปาก”
“มาร์ค ! เลิกตำหนิคุณชายเสียที !” ร้อยดาวบอก “คุณชายพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ มันเป็นกรรมของฉันเอง ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น”
“ไอจะพายูไปรักษาที่อังกฤษ ! แพ็คกระเป๋า ไปกันเดี๋ยวนี้เลย” มารุตบอก
“ร้อยดาวเป็นคนไข้ของผม ผมไม่อนุญาตให้คุณพาเธอไปไหนทั้งนั้น” สิบทิศว่า
“แล้วยูจะให้ทำอย่างไร รอให้เพื่อนไอตาบอดก่อนใช่ไหม ? เราบินกลับอังกฤษกันเถอะ หมอโรเบิร์ต เพื่อนของ daddy ไอจะต้องรักษาดวงตาของยูให้หายได้แน่ๆ ดีกว่าปล่อยให้รักษากับหมอขี้เท่อแถวนี้”
“แต่ร้อยดาวเป็นคู่หมั้นของผม ผมมีหน้าที่ต้องดูแลเธอ ไม่ใช่คนอื่น”
มารุตเจ็บใจ เขาโกรธจนควันออกหู
“เคยถามเพื่อนไอบ้างไหม ว่าเต็มใจเป็นคู่หมั้นยูหรือว่าถูกบังคับ”
สิบทิศมองไปยังร้อยดาวเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าร้อยดาวจะว่าอย่างไร
ร้อยดาวพูด “มาร์ค ! ไอไม่ไปไหนทั้งนั้น ! ไอจะอยู่ที่นี่ ! ส่วนตาของไอจะกลับมามองเห็นอีกครั้งหรือไม่ ก็ปล่อยให้สุดแท้แต่โชคชะตา”
มารุตอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าร้อยดาวจะตัดสินใจแบบนี้ มารุตจ้องสิบทิศตาเขียวปั้ดที่แย่งร้อยดาวไปจากตน
วีระวิทย์สวมเสื้อหลังจากเสร็จกิจ เขาคลำที่คอพอไม่พบตะกรุดก็ตกใจ วีระวิทย์รื้อหาตะกรุดที่กองเสื้อผ้าที่พื้น เขาเห็นตะกรุดอยู่ใต้ผ้าถุงของกระถิน วีระวิทย์ดีใจรีบเอาตะกรุดมาคล้องที่คอดังเดิม กระถินนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกอยู่บนเตียง
“ใส่เสื้อผ้าซะ แล้วไสหัวไปได้แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” วีระวิทย์บอก
“จะรีบไล่กระถินไปไหนล่ะคะ กระถินยังเหนื่อยอยู่เลย”
“แกอยากให้แม่ฉันเข้ามาเห็นแกในสภาพนี้หรือไง ห๊า !”
วีระวิทย์กระชากกระถินให้ลุกจากเตียง กระถินทำท่าอิดออดไม่อยากจะลุกจากเตียง ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูปังๆๆ ก็ดังขึ้น
เสียงสร้อยฟ้าดังเข้ามา “ตาวิทย์ !”
“ฉิบหายแล้ว ! แม่มา !”
กระถินดีดตัวผึงลุกขึ้นมานั่ง วีระวิทย์หันไปที่ประตูด้วยความรู้สึกใจหายวาบ
อ่านต่อหน้า 2
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 10 (ต่อ)
สร้อยฟ้าเคาะประตูหน้าห้องวีระวิทย์ปังๆๆ
“ทำอะไรอยู่ ! เปิดประตูให้แม่ซิ ! ตาวิทย์ !“
วีระวิทย์เปิดประตูออกมาแล้วแกล้งหาวเหมือนเพิ่งตื่นนอน
“คุณแม่มีอะไรเหรอครับ ?”
“แม่ได้ยินเสียงลูกคุยกับใครในห้อง ?” สร้อยฟ้าบอก
วีระวิทย์หลบตา “ผมคงนอนละเมอน่ะครับ”
“ให้แม่เข้าไปดูข้างในหน่อยซิ !”
สร้อยฟ้ารู้สึกว่าวีระวิทย์มีพิรุธ จึงผลักประตูเข้าไปดูข้างใน
สร้อยฟ้ากวาดตามองในห้องวีระวิทย์อย่างจับผิดแต่ก็ไม่เห็นใคร
“แกแน่ใจนะตาวิทย์ ว่าไม่ได้ซุกใครไว้ในห้องนี้”
วีระวิทย์ก้มหน้าหลบสายตาสร้อยฟ้า เหงื่อแตกพลั่ก สร้อยฟ้าหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ แล้วหันมามองหน้าวีระวิทย์ สร้อยฟ้าย่างสามขุมเข้าไปแล้วกระชากประตูห้องน้ำออกมาอย่างแรง
สร้อยฟ้ากราดตามองภายในห้องน้ำจนทั่วแต่ก็ไม่เห็นใคร วีระวิทย์ค่อยโล่งอกที่ความลับยังไม่แตก
“บอกแล้วไงว่าไม่มีใครๆ คุณแม่ก็ไม่เชื่อ”
“แม่ก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าผีอีเวียงแก้วมันจะย้อนกลับเล่นงานแกอีก”
สร้อยฟ้ามองที่คอวีระวิทย์พอเห็นตะกรุดยังคล้องอยู่ที่คอก็หมดห่วง
“ตะกรุดลงอาคมดอกนี้เก็บรักษาไว้ให้ดีนะลูก ห้ามถอดออกจากคอเด็ดขาด ! จะนอนก็ไปนอนเถอะ แม่ไม่กวนแล้ว”
สร้อยฟ้าทำท่ากำลังจะออกจากห้องวีระวิทย์ไป แล้วก็ชะงักเมื่อเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง สร้อยฟ้า เห็นชายผ้าถุงของกระถินที่ถูกประตูตู้เสื้อผ้าหนีบอยู่ลอดออกมา วีระวิทย์หน้าซีดเผือดเหงื่อผุดเต็มหน้า สร้อยฟ้าตาลุก เธอปรี่เข้าไปกระชากประตูเสื้อผ้าออกมา สร้อยฟ้าเห็นกระถินนั่งคุดคู้แอบอยู่ข้างใน
“อีกระถิน !!”
สร้อยฟ้ากระชากผมกระถินออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วตบไม่เลี้ยง
“อีกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา ! ร่านอยากได้ลูกกูเป็นผัวจนตัวสั่นริกๆ ผู้หญิงอย่างมึงมันก็แค่ดอกไม้ริมทาง ลูกกูไม่สิ้นคิดเอามาเสียบใส่แจกันให้เป็นเสนียดหรอก ! เพราะอะไรน่ะเหรอ ? เพราะผู้หญิงอย่างมึง มันดอกไม้สีทองไง อีกระถิน”
วีระวิทย์เข้าไปห้ามสร้อยฟ้าเอาไว้ ก่อนที่จะตบกระถินจนตาย
“คุณแม่ ! พอเถอะครับ ! เดี๋ยวนังกระถินมันก็ตายกันพอดี !”
“ก็เอาสิ ! เอาเลย ! ตบให้ตาย! ตายไปซะพร้อมๆกับสายเลือดบดินทร์ธรที่อยู่ในท้องนี่แหละ”กระถินว่า
สร้อยฟ้าตกใจ “แกว่าอะไรนะ อีกระถิน ! แกท้องงั้นเหรอ !”
กระถินยิ้มอย่างมั่นใจและลอยหน้าอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“ท้องหรือไม่ท้อง ไม่รู้... แต่เลือดกระถินขาดมาสักระยะแล้ว”
สร้อยฟ้าปากคอสั่น “บอกมา ! แกท้องกับใคร ห๊า !”
“อยากรู้ก็ลองถามคุณวีระวิทย์ดูเองสิคะ คุณแม่ผัว !”
“อีกระถิน !” สร้อยฟ้าจะปรี่เข้าไปตบแต่วีระวิทย์จับตัวสร้อยฟ้าเอาไว้
กระถินลูบท้องตัวเอง “ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคุณท่านเมื่อไร คงสั่งให้มีงานเลี้ยงรับขวัญเหลนรักคนนี้ 7 วัน 7 คืนแน่ๆ”
กระถินหัวเราะร่าก่อนจะลอยหน้าไป สร้อยฟ้ากำมือแน่น เธอมีแววตาอาฆาตเมื่อหาทางปิดปากกระถินไม่ให้บอกดำรง
มารุตกับน่านฟ้าพาร้อยดาวมานั่งเล่นในสวน
“หลังเกิดเหตุ มีใครพบเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดเครารุงรังที่เวียงร้อยดาวบ้างไหมคะ” ร้อยดาวถาม
น่านฟ้าทำหน้าครุ่นคิด
“เท่าที่ได้ยินมา มีแต่คนพบศพตาหมอผี ญาติคุณสร้อยฟ้าถูกไฟคลอกไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโกน่าอเน็จอนาถอยู่ในเวียงร้างนั่น เอ...ยังมีคนอื่นอีกเหรอคะ หญิงไม่ยักรู้ ?”
“นึกดูดีๆสิ ยัยจอมจุ้น เรื่องแค่นี้ไม่น่าเล็ดลอดหูผีจมูกมดอย่างเธอไปได้” มารุตว่า
น่านฟ้าย่นจมูกค้อนมารุตวงใหญ่ พลันเธอก็ทำตาโตเพราะนึกออก
“อ๋อ... ชายแปลกหน้าผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ท่าทางลุกลี้ลุกลนที่พวกคนงานตามจับตัวใช่ไหมคะ ?”
“ใช่ค่ะ ! ใช่ ! ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนคะ ?”
“จมน้ำตายที่ท้ายเวียงไปแล้วค่ะ”
ร้อยดาวตกใจ “อะไรนะคะ ! คุณพ่อปกรณ์จมน้ำตาย !”
น่านฟ้ากับมารุตช็อคเพราะแทบไม่เชื่อหู
“ยูพูดอะไร ! พ่อปกรณ์ของยูเสียชีวิตไปตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วไม่ใช่หรือ ?”
ร้อยดาวส่ายหน้า “ยัง ! คุณพ่อปกรณ์ยังไม่ตาย”
มารุตกับน่านฟ้ามองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าปกรณ์ยังมีชีวิตอยู่
ปรมัตถ์เอาเอกสารใบมรณบัตรของปกรณ์มาให้ทุกคนดู
“นี่ครับ ! สำเนาใบมรณบัตรของคุณปกรณ์”
น่านฟ้ารีบรับมาอ่านดังๆ ให้ร้อยดาวกับมารุตได้ยิน
“นายปกรณ์ บดินทร์ธร สาเหตุการตาย...จมน้ำเสียชีวิต”
“จมน้ำ ! แล้วศพล่ะ อยู่ที่ไหน ?” มารุตถาม
“คืนที่เกิดเหตุ กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาก จึงไม่มีใครพบศพของคุณปกรณ์” ปรมัตถ์บอก
“แล้วทำไมไม่มีใครออกตามหา บางทีคุณพ่ออาจจะยังไม่ตายก็ได้” ร้อยดาวสงสัย
“ตามกฎหมาย ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปางถูกทำลาย หรือสูญหายไป ศาลจะมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญและถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย”
“ภาษาทนาย ฟังแล้วปวดหัว หัดพูดให้เข้าใจง่ายๆหน่อยได้ไหม” มารุตว่า
“กฎหมายถือว่าคุณปกรณ์ถึงแก่ความตาย ดังนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณปกรณ์จึงกลายเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม”
“ถ้าคุณพ่อของพี่ร้อยดาวยังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะกลับมาที่บดินทร์ธรบ้างไม่อย่างนั้น ตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีมานี้ท่านไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ ?” น่านฟ้าแปลกใจ
“คืนที่เกิดไฟไหม้ ดิฉันเป็นคนช่วยคุณพ่อปกรณ์ ให้หนีออกมาจากคุกใต้ดินที่เวียงร้อยดาว” ร้อยดาวบอก
น่านฟ้า มารุต และปรมัตถ์ต่างอ้าปากค้างเพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ร้อยดาวพูด
มารุตกับน่านฟ้าพาร้อยดาวมาสืบสาวราวเรื่องกับบังหนั่นที่ป้อมยาม
“อีนี่เป็นไปไม่ได้หรอกจ้ะ นายจ๋า... ไอ้ผู้ชายหน้าอย่างกับโจรคนนั้นจะเป็นคุณปกรณ์ได้อย่างไร ให้ตายก็เป็นไปไม่ได้”
“บังหนั่นเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นชัดๆหรือเปล่าคะ” ร้อยดาวถาม
บังหนั่นส่ายหัวด่อกแด่ก
“ฮึ ! อีนี่ ฉันไม่เห็นหน้าหรอกจ้ะ คุณหนู มันมืด ! ฉันแก่แล้ว หูตาก็เลยฝ้าฟาง มองไม่ค่อยถนัด”
“อ้าว ! ไม่เห็นหน้า แล้วบังรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่ ?” มารุตถาม
“ถ้าเป็นคุณปกรณ์ตัวจริง ก็ต้องจำฉันได้สิ จะวิ่งหนีป่าราบทำไม จริงไหมล่ะนาย...” บังหนั่นบ่นเบาๆ “หน้าตาก็ดี ไม่น่าโง่เลย”
มารุตตาเขียวเพราะได้ยินบังหนั่นแอบด่าเบาๆ บังหนั่นรู้ว่าบ่นดังไปหน่อยก็รีบยกมือขึ้นปิดปากแล้วยิ้มแห้งๆ
“จริงของบังหนั่นนะคะ พี่ร้อยดาว ! ชายคนนั้นอาจจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนคุณปกรณ์ก็ได้”น่านฟ้าว่า
ร้อยดาวขมวดคิ้วเพราะเหตุผลของบังหนั่นฟังดูหนักแน่นมาก
“แต่ก็น่าแปลก ! เป็นยามเฝ้ารั้วบดินทร์ธรมาตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอก ถ้าคืนนั้นไฟไม่ไหม้ ก็ไม่ยักกะรู้ว่าที่เวียงร้อยดาวมีห้องลับใต้ดินด้วย” บังหนั่นว่า
บังหนั่นเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน
ค่ำคืนเดือนมืด ร้อยดาวกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง จู่ๆ เตียงร้อยดาวก็ยวบลงไปเหมือนมีใครนั่งอยู่ข้างๆ ร้อยดาวรู้สึกตัวก็รู้สึกระแวงแต่ก็มองไม่เห็นว่าเป็นใคร
“ใครน่ะ ? นมแสงหรือจ๊ะ ?”
ทันใดนั้น ผีเวียงแก้วก็โผล่หน้ามาใกล้ๆชนิดหายใจรดต้นคอร้อยดาว
“ฉันเอง ! นังลูกไม่รักดี !”
ร้อยดาวผงะ “คุณแม่เวียงแก้ว...”
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ ! แกทำฉันเจ็บแสบมาก นังร้อยดาว ฉันอุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจแก เพราะอย่างน้อยแกก็ยังมีสายเลือดของฉันอยู่บ้าง ไม่นึกเลยว่าแกจะกล้าปล่อยศัตรูตัวฉกาจของฉัน นังทรยศ”
“แต่ในที่สุด คุณพ่อก็ตายด้วยน้ำมือคุณแม่อยู่ดี... คุณแม่ฆ่าคุณพ่อปกรณ์ทำไมคะ ?”
เวียงแก้วหัวเราะลั่นด้วยเสียงหัวเราะที่ทั้งสะใจ ขมขื่น เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
“แกไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งโง่กันแน่ ห๊า ! ฉันทำให้แกเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่มีสิทธิ์เห็น ด้วยดวงตาคู่นี้ ! แต่แกกลับมาถามโง่ๆว่าฉันฆ่ามันทำไม เลือดชั่วๆของพ่อในตัวแกมันคงข้นกว่าเลือดในอกฉันสินะ”
“คุณแม่คะ เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรคนอื่นเสียทีเถอะนะคะ ดวงวิญญาณของคุณแม่จะได้ไปสู่สุคติ”
“หุบปาก ไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน ! นังลูกชั่ว ! ในเมื่อแกยังหลงผิดเข้าข้างไอ้พวกต่ำช้าสาระยำ ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ก็สาสมแล้วที่ดวงตาแกจะมืดบอดอยู่อย่างนี้ รอให้ตาสว่างเมื่อไร ฉันจะทำให้แกกลับมามองเห็นอีกครั้ง”
เวียงแก้วพูดจบก็สลายร่างกลายเป็นกลุ่มพลังงานสีดำหายไปในอากาศ
“คุณแม่คะ ! เดี๋ยวก่อน !”
ร้อยดาวยังคาใจที่คุยกับเวียงแก้วไม่ทันรู้เรื่อง แต่ก็รู้แล้วว่าเวียงแก้วเป็นผู้ทำให้ตาของเธอมองไม่เห็น
กลุ่มควันดำพวยพุ่งออกมาจากห้องปกรณ์ลอยเป็นมวลสารตามทางเดิน วีระวิทย์เข้ามาเห็นพอดี
“ควันอะไรวะ ?”
ทันใดนั้นกลุ่มควันก็กลายเป็นใบหน้าของเวียงแก้วที่แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว ตาเรืองแสงวาบ
วีระวิทย์ตาเหลือกค้าง “ผะ...ผะ...ผี !!”
วีระวิทย์ขยับจะวิ่งหนี แต่ควันดำพุ่งเข้าอัดกระแทกร่างวีระวิทย์อย่างแรง ร่างวีระวิทย์กระตุกเฮือก ก่อนขยับเขยื้อนร่างกายผิดธรรมชาติกระดูกลั่นดังกร๊อบๆ ดวงตาวีระวิทย์เรืองแสงวาบเนื่องจากผีเวียงแก้วได้เข้าสิงสู่ในร่างวีระวิทย์อีกครั้ง
ร้อยดาวยังนอนไม่หลับเพราะครุ่นคิดถึงสิ่งที่เวียงแก้วพูด
“รอให้ตาสว่างเมื่อไร ฉันจะทำให้แกกลับมามองเห็นอีกครั้ง”
ร้อยดาวยกมือขึ้นแตะบริแวณดวงตาของตัวเองเบาๆ
“ที่ดวงตามองไม่เห็น เป็นเพราะคุณแม่เวียงแก้วหรือนี่ ?”
รูปเวียงแก้วที่อยู่ที่หัวนอนร้อยดาวมีใบหน้าถมึงทึง เกรี้ยวกราด
ใครคนหนึ่งย่างสามขุมเข้ามาในห้องของร้อยดาว ก่อนจะเอาผ้ารัดปากร้อยดาวหมายจะฆ่าให้ตาย
ร้อยดาวดิ้นกระเสือกกระสนอยากจะร้องให้คนช่วย แต่ก็ร้องไม่ออก คนๆ นั้นเอาเชือกที่เตรียมมามัดมือร้อยดาวเอาไว้
“ไม่ต้องดิ้น ! ฉันจะส่งแกไปอยู่กับแม่ในนรก นังร้อยดาว !” เสียงคนที่เข้ามาคือเสียงของดาราเรศ
ดาราเรศลากร่างร้อยดาวที่ดิ้นกระเสือกกระสนจนชนกับใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง ดาราเรศรีบหันควับกลับมาด้วยความตกใจ ดาราเรศเห็นวีระวิทย์ยืนอยู่ก็ค่อยโล่งใจ
“นึกว่าใคร ! ตกใจหมด ! มาก็ดีแล้ว ช่วยกันจัดการนังนี่ เร็วเข้า”
วีระวิทย์แสยะยิ้ม ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบหนึ่งในความมืด ดาราเรศตาเบิกโพลงหวาดกลัวสุดขีด
ดาหลายกเหยือกน้ำที่เอาไปเติมเข้ามา ดาหลาเห็นร่างร้อยดาวถูกมัดปาก มัดมือ อยู่ที่พื้นก็รีบปราดเข้าไปแก้มัดให้ร้อยดาว
“คุณหนู ! เกิดอะไรขึ้นคะ ? ใครมัดคุณหนูไว้แบบนี้ ?”
ร้อยดาวละล่ำละลัก “ดาหลา ! ช่วยฉันด้วย ! มีคนจะฆ่าฉัน !”
“ใครกันคะ คุณหนู ?”
“ดาราเรศ ! ดาราเรศจะฆ่าฉัน”
ดาหลาตาโตด้วยความตกใจที่ร้อยดาวถูกดาราเรศลอบทำร้าย
เต็มเดือนตกอกตกใจเมื่อฟังเรื่องที่ร้อยดาวมาฟ้องดำรง
“ตายจริง ! มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ แล้วหนูเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” เต็มเดือนถาม
“อย่าไปฟังมันนะคะ คุณพ่อ ! นังร้อยดาวมันใส่ความลูกสาวดิฉัน” สร้อยฟ้าว่า
“ดีไม่ดีแม่นี่ก็ละเมอเป็นตุเป็นตะ ตื่นมายังไม่วายคิดว่าเป็นเรื่องจริง” จงจิตเสริม
“ดิฉันเป็นพยานได้ค่ะ !” ดาหลาบอก “คุณหนูร้อยดาวถูกจับมัดมือมัดปากอยู่ที่พื้น แสดงว่ามีคนลอบเข้ามาทำร้ายคุณหนูระหว่างที่ดิฉันไม่อยู่จริงๆ”
สร้อยฟ้าจ้องดาหลาตาเขียวที่กล้าเป็นพยานช่วยร้อยดาว
“หล่อนบอกว่าแม่ดาราเรศเป็นคนทำหล่อนงั้นรึ ?” ดำรงถาม
“ค่ะ ! ดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูดาราเรศ”
“นังตัวดี เมื่อคืนนี้ยัยเรศออกไปข้างนอกยังไม่กลับจะเป็นคนทำได้ยังไง” สร้อยฟ้าว่า
ร้อยดาวกับดาหลาถึงกับตกใจเมื่อรู้ว่าเมื่อคืนนี้ดาราเรศไม่ได้อยู่บ้าน
“เป็นแม่ประสาอะไร ดึกๆดื่นๆ ยังปล่อยให้ลูกสาวออกไปร่อนไหนต่อไหน ระวังเถอะ จะตกเป็นเหยื่อพวกเสือพวกตะเข้เข้าสักวัน” ดำรงตำหนิ
“ในเมื่อดาราเรศไม่ได้อยู่ ก็แสดงว่าแม่นี่ปั้นน้ำเป็นตัว กุเรื่องขึ้นมาล่ะสิ” จงจิตว่า
“ดิฉันไม่ได้โกหกนะคะ คุณดาราเรศเข้ามาในห้องดิฉันจริงๆ” ร้อยดาวยืนยัน
“หล่อนตาบอด แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นยัยเรศ ห๊า !”
สร้อยฟ้ากับร้อยดาวเถียงกันไปมาจนดำรงต้องกระแทกไม้เท้าด้วยความรำคาญ
“พอได้แล้ว ! เถียงข้ามหัวฉันกันอยู่ได้ น่ารำคาญ ไม่ยอมลดราวาศอกกันบ้างเลย”
ร้อยดาวกับสร้อยฟ้าต้องเงียบแต่ก็จ้องหน้ากันตาไม่กะพริบ
“นมแสง...แม่ดาหลา...ช่วยกันจับตาดูแม่ร้อยดาวให้ดี อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”
นมแสงกับดาหลารับคำ ดำรงอดมองร้อยดาวที่ตาบอดอยู่ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
น่านฟ้าทำท่าแบบนักสืบแกะรอยคนร้าย
“แปลก ! คุณดาราเรศจับพี่ร้อยดาวมัดเอาไว้เฉยๆ แล้วก็หายตัวไปเสียดื้อๆอย่างนั้นน่ะเหรอคะ ?”
ร้อยดาวคิดทบทวนเรื่องราวเมื่อคืนในตอนที่ถูกดาราเรศจับมัด
เสียงดาราเรศดังก้อง “มาก็ดีแล้ว ช่วยกันจัดการนังนี่ เร็วเข้า !”
ร้อยดาวคิดปะติดปะต่อเรื่องราว
“คุณดาราเรศพูดกับใครกันนะ ?”
“หญิงว่า...ใครคนนั้นจะต้องเป็นคนที่คุณดาราเรศรู้จักเป็นอย่างดีอย่าง... คุณสร้อยฟ้า... คุณวีระวิทย์ หรือไม่ก็....”
เสียงสิบทิศดังขึ้น “น่านฟ้า !!”
น่านฟ้าสะดุ้งเฮือกแล้วหันกลับไปมองก็เห็นสิบทิศยืนจ้องตาเขียวปั้ดอยู่
“พี่ชาย...”
น่านฟ้ายิ้มแหยๆ เธอกลืนน้ำลายลงคอยากเย็นที่ถูกสิบทิศจับได้
สิบทิศโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่น่านฟ้าหนีออกจากบ้าน
“อยู่ๆก็หนีออกจากบ้าน ไม่ยอมส่งข่าว รู้ไหมว่าเป็นห่วงแค่ไหน”
“พี่ชายเคยเป็นห่วง เคยสนใจด้วยหรือคะว่าหญิงจะเป็นตายร้ายดียังไง” น่านฟ้าตัดพ้อ
“เลิกประชดประชัน เรียกร้องความสนใจเป็นเด็กๆเสียที ที่พี่ทำอยู่ทุกวันนี้ยังไม่เรียกว่าสนใจอีกหรือไง”
“พี่ชายไม่เคยสนใจหญิงหรอก พี่ชายมองเห็นแต่ตัวเอง คอยบงการชีวิตหญิงให้เป็นในอย่างที่พี่ชายต้องการ รู้ไหมว่าที่ผ่านมาหญิงอึดอัดแค่ไหน ทำไมพี่ชายถึงไม่ยอมปล่อยให้หญิงตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองบ้าง”
“พี่อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร”
“บางทีการที่ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน อาจทำให้ลืมไปแล้วว่าการอาบน้ำเย็นเมื่อตอนเด็กๆก็ชื่นใจดีไม่ใช่หรือคะ ?”
สิบทิศจ้องหน้าน่านฟ้าแล้วนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนจะรับฟังในเหตุผลของน้องสาว
สิบทิศสั่ง “ไปเก็บกระเป๋า ! พี่จะพาไปส่งตำหนักท่านย่าที่กรุงเทพฯ”
สิบทิศพูดจบก็เดินจากไปเพราะขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับน่านฟ้า
“พี่ชาย !”
แม้ตาจะมองไม่เห็น แต่ร้อยดาวก็ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองเถียงกันโดยตลอด
สิบทิศนั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียว ร้อยดาวเดินเข้ามาหา
“ถ้าจะมาพูดห้ามไม่ให้ฉันส่งน่านฟ้าไปกรุงเทพฯล่ะก็ อย่าเสียเวลาเลยดีกว่า”
“ดิฉันคงไม่สามารถทำให้คุณชายเปลี่ยนใจได้ แต่อยากให้คุณชายลองใคร่ครวญเรื่องนี้ดูอีกสักครั้ง”
“น่านฟ้าจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิต ไม่ใช่เล่นเหลวไหล ไร้สาระไปวันๆ”
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เรียนร็การใช้ชีวิตได้ทั้งนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องส่งคุณหญิงไปอยู่ไกลถึงกรุงเทพฯเลยนี่คะ”
“อยู่ที่นี่มีท่านป้าคอยให้ท้าย เอาอกเอาใจไปเสียทุกอย่างจนน่านฟ้ากลายเป็นเด็กหัวดื้อ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้จักโตเป็นผู้ใหญ่เสียที”
“ทำไมคุณชายไม่คิดบ้างล่ะคะว่าสาเหตุที่ท่านหญิงรัตนากร มีกำลังใจต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะมีหลานสาวน่ารักอย่างคุณหญิงน่านฟ้า เป็นความสุขที่หล่อเลี้ยงพระทัยให้มีความหวังคืนมาอีกครั้ง”
สิบทิศอึ้งไป ในใจของเขาเริ่มคิดคล้องตามร้อยดาวแต่ก็ยังวางท่า
“หากคุณหญิงน่านฟ้าไปอยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว ใครจะทำหน้าที่หลานสาวคอยดูแลและเป็นกำลังใจให้ท่านหญิงรัตนากรสู้กับโรคร้ายต่อไปล่ะคะ”
น่านฟ้าหน้าบูดในขณะที่หิ้วกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าในวันที่หนีออกจากเวฬุมาศเข้ามา สิบทิศจ้องหน้าน่านฟ้า น่านฟ้าค้อนแล้วเบือนหน้าหนี
“ไปกันได้แล้ว !”
น่านฟ้าเข้าไปกอดร้อยดาวครั้งสุดท้ายด้วยความอาลัยรัก
น่านฟ้าร้องไห้ “หญิงต้องไปแล้ว พี่ร้อยดาวหายเมื่อไร ลงไปหาหญิงที่กรุงเทพฯบ้างนะคะ”
“ใครบอกว่าหญิงจะลงไปอยู่ที่กรุงเทพฯ” สิบทิศว่า
น่านฟ้างง เธอหันมามองสิบทิศที่ยังคงตีหน้าขรึม
“พี่จะพากลับเวฬุมาศต่างหาก”
“หมายความว่า หญิงไม่ต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯแล้วใช่ไหมคะ ?”
สิบทิศตีหน้าขรึม พยักหน้าแทนคำตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก น่านฟ้ายิ้มทั้งน้ำตา เธอกอดร้อยดาวด้วยความดีใจ
น่านฟ้าก้มลงกราบเท้ารัตนากร
“กลับมาแล้วหรือ ? ไปเที่ยวเสียตั้งนาน มาให้ป้าชื่นใจให้หายคิดถึง”
รัตนากรหอมแก้มน่านฟ้าซ้าขวาด้วยความคิดถึง
“หญิงกราบประทานอภัยมังคะ ที่หายไปจากเวฬุมาศ โดยไม่บอกกล่าวทำให้ท่านป้าทรงเป็นกังวล”
“น่าเอาไม้เรียวหวดเสียบ้าง จะได้เข็ด” สิบทิศว่า
“ชายอย่าดุน้อง !” รัตนากรพูดกับน่านฟ้า “ป้านึกอยู่แล้วเชียว พอหญิงรู้ข่าวพิธีมงคลระหว่างสิบทิศกับร้อยดาว จะต้องรีบแจ้นกลับมาก่อนถึงวันหมั้น”
สิบทิศสะดุดกับคำพูดของรัตนากร
“ท่านป้ารับสั่งเหมือนทรงทราบว่าน่านฟ้าหายไปอยู่ทีไหนมา ?” สิบทิศว่า
“ทำไมป้าจะไม่รู้ล่ะว่าน่านฟ้าพักอยู่กับหนูร้อยดาวที่บดินทร์ธร ? ถึงป้าจะแก่ แต่ก็หูตาเป็นสับปะรดนะ”
สิบทิศโมโหที่ตนไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว เขาหันไปจ้องช้อยตาเขียวทำนองว่าช้อยเป็นคนบอกใช่ไหม ?
ช้อยรีบปฏิเสธพัลวัน “ช้อยเปล่านะเจ้าคะ ? ช้อยเองก็เพิ่งทราบเหมือนกัน”
“หญิงบอกท่านป้าหรือ ? แล้วทำไมไม่ยอมบอกพี่ ?”
“หญิงเปล่านะคะ พี่ชาย...”
สิบทิศยิ่งหัวเสียไปกันใหญ่ จนรัตนากรอดขำไม่ได้
รัตนากรพูด “หนูร้อยดาวเป็นคนบอกป้าเองแหละว่าน่านฟ้าพักอยู่กับเขา รับปากว่าจะช่วยดูแลหญิงให้ ป้าถึงได้เบาใจ”
สิบทิศเคืองร้อยดาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องน่านฟ้ากับตน
สิบทิศยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ระเบียงเพราะยังเคืองร้อยดาวไม่หาย
น่านฟ้าเอ่ยถาม “พี่ชายโกรธพี่ร้อยดาวหรือคะ ?”
“มันน่าโมโหไหมล่ะ ร้อยดาวไม่เคยบอกให้พี่รู้สักนิดว่าหญิงไปอยู่ด้วยปล่อยให้พี่เป็นห่วง กินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่ตั้งนานสองนาน”
น่านฟ้าเสียงอ่อย “หญิงผิดเองแหละค่ะ ที่เป็นต้นเหตุ”
“ใช่ ! หญิงผิดแน่ๆ แต่ที่ผิดที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนคอยเจ้ากี้เจ้าการอย่างแม่ร้อยดาว”
สิบทิศแกล้งโกรธร้อยดาวแล้วเดินจากไป ปล่อยให้น่านฟ้ามองตามด้วยความเป็นห่วง
กระถินเอาไม้ขนไก่ปัดทำความสะอาดโต๊ะตู้ในห้องสร้อยฟ้าตามปรกติ
กระถินหันกลับมาก็ตกใจ ที่สร้อยฟ้ามายืนอยู่ข้างหลังเงียบๆตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“คุณสร้อยฟ้า..”
สร้อยฟ้าเดินไปนั่งที่เก้าอี้ เธอมองกระถินที่ยืนถือไม้ปัดขนไก่อยู่ด้วยท่าทางหวาดๆ
“กำลังท้องกำลังไส้ ทำงานพวกนี้ทำไมให้เหนื่อย เข้ามานี่สิ !” สร้อยฟ้าว่า
กระถินจดๆจ้องๆ แบบยังไม่ค่อยอยากวางใจเพราะไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน
“เอ้า ! ไม่ได้ยินหรือไง ฉันบอกให้แกเข้ามาใกล้ๆนี่”
กระถินกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ยอมทำตาม เธอเข้าไปนั่งใกล้ๆสร้อยฟ้า สร้อยฟ้าเปิดกำปั่นใบเล็กๆ หยิบกำไลข้อเท้าทองสำหรับเด็กคู่หนึ่งออกมา
“กำไลทองคู่นี้เป็นสมบัติเก่าแก่ คุณท่านมอบให้เป็นของรับขวัญตาวีระวิทย์ตอนเกิด… ฉันยกให้ รับไว้สิ”
สร้อยฟ้ายื่นกำไลให้ กระถินรีบคว้าเอาไว้เพราะกลัวสร้อยฟ้าเปลี่ยนใจ
“ของมีค่าอย่างนี้ คุณสร้อยฟ้าให้ดิฉันทำไมคะ ?”
“ฉันไม่ได้ให้แก แต่ฉันยกให้ลูกแกกับตาวิทย์ต่างหากล่ะ นังกระถิน !”
กระถินมองสร้อยฟ้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหู
สร้อยฟ้าพูดต่อ “ไหนๆเด็กที่มาเกิดในท้องแกก็ได้ชื่อว่าเป็นหลานฉัน ฉันเป็นย่า ถึงอย่างไร ก็ต้องรักใคร่หลานเป็นธรรมดา แกว่าจริงมั้ย ?”
กระถินพยักหน้าเพราะเริ่มหลงคารมสร้อยฟ้า
“แต่ไม่รู้ว่าคนแก่หัวโบราณคร่ำครึอย่างคุณพ่อ ถ้ารู้ว่าตาวิทย์ชิงสุกก่อนห่าม ทำผู้หญิงท้องตั้งแต่ก่อนเรียนจบ จะรับได้เหมือนฉันหรือเปล่า ดีไม่ดีจะถูกเขี่ยออกจากกองมรดกล่ะสิ คราวนี้ ทั้งแกทั้งลูกจะพลอยชวดสมบัติไปด้วย”
“ถึงอย่างไร เด็กที่อยู่ในท้องกระถินก็ได้ชื่อว่าเชื้อสายบดินทร์ธร จะตัดขาดจากกองมรดกง่ายๆได้ยังไง ใครจะไปยอม ! เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะคะ คุณสร้อยฟ้า” กระถินว่า
“อยู่เฉยๆ ปิดปากของแกให้สนิท อย่าเพิ่งให้ใครรู้เรื่องที่แกท้องเด็ดขาด โดยเฉพาะนังเต็มเดือน กับนังจงจิต ที่เหลือ... ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
สร้อยฟ้ายิ้มเหี้ยมเพราะมีแผนการร้ายบางอย่างในใจ
จงจิตยกถ้วยข้าวต้มร้อนๆมาเอาอกเอาใจดำรง
“ข้าวต้มลูกเดือยร้อนๆค่ะ คุณพ่อ !”
ดำรงรู้ทัน “เอาออกไป ! ฉันยังไม่หิว”
จงจิตรู้สึกเสียหน้าเล็กๆ เต็มเดือนไม่รอช้ารีบยกกาน้ำชาดอกยี่โถผสมยาจีนที่เป็นพิษมารินให้ดำรงทันที
“หมู่นี้มีเรื่องรบกวนให้คุณพ่อหนักใจอยู่บ่อยๆ ดื่มชาจีนนี่ดีกว่านะคะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เลือดลมจะได้ไหลเวียนดีขึ้น” เต็มเดือนบอก
ดำรงยกขึ้นจะจิบ เต็มเดือนมองอย่างสมปรารถนาแต่ก่อนจะดื่มก็หันไปถามจงจิตก่อน
“แม่ดาราเรศกลับมาแล้วหรือยัง ?” ดำรงถาม
“รายนั้นน่ะ ถ้าไม่ส่งคนไปตาม อย่าหวังเลยว่าจะกลับ ไม่แน่นะคะ กลับมาคราวนี้ ยัยเรศอาจจะกระเตงเหลนกลับมาให้คุณพ่ออุ้มก็ได้” จงจิตว่า
“ว่าแต่ชาวบ้านเขา ระวังเถอะจะเข้าตัว ! หมู่นี้แม่ดารกา ลูกสาวหล่อน หายหัวไปไหน ไม่โผล่มาให้ฉันเห็นหน้าบ้าง ?”
จงจิตหลบตา “ยัยดาอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องค่ะ”
ดำรงแค่นหัวเราะ “ไม่ยักรู้ แม่ดารกาเป็นหนอนหนังสือกับเขาด้วย”
เต็มเดือนมองจงจิตที่หลบสายตาแล้วยิ้มอย่างรู้ความเป็นไป
ดารกานั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือ ดารกาเขียนชื่อร้อยดาวด้วยปากกาหมึกแดงในกระดาษ ดารกาเอากระดาษที่เขียนชื่อร้อยดาวจุดไฟเผาคล้ายทำพิธีสาปแช่ง ดารกาแสยะยิ้มคล้ายคนเป็นโรคจิต
“ขอให้แกตาบอดไปทั้งชาติ อย่าได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย ! แกจะได้หมดโอกาสเห็นหน้าพี่ปรมัตถ์ของฉันตลอดไป” ดารกาหัวเราะ
ทันใดนั้น หางตาของดารกาก็เห็นร่างของเวียงแก้วในชุดดำเคลื่อนผ่านไปทางด้านหลัง ดารการีบหันควั่บไปมองแต่ก็ไม่เห็นใคร นอกจากเสียงน้ำหยดติ๋งดังมาจากในห้องน้ำ ดารกาลุกเดินตามเสียงนั้นไป
ดารกาค่อยๆเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งประตูเปิดแง้มอยู่ เสียงน้ำหยุดเงียบหายไปทันที ดารกามองลอดประตูห้องน้ำที่แง้มอยู่ก็เห็นผีเวียงแก้วนั่งอยู่ที่อ่างอาบน้ำแต่ยังไม่ชัดนัก ดารกาเหงื่อผุดเต็มหน้าแล้วทำใจดีสู้เสือ ค่อยๆเอื้อมมือไปผลักประตูห้องน้ำเพื่อให้เห็นกับตาจะๆ ผีเวียงแก้วนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำมีหน้าตาน่ากลัว จ้องมาทางดารกา
ดารการ้องลั่น “กรี๊ดด....... !!”
ดารกาหลับตาหันมาวิ่งชนกับจงจิตที่รีบวิ่งตามเข้ามาอย่างจัง
“อ๊ายยยย !!! นี่แกยังไม่หายบ้าอีกหรือ ยัยดา !”
ดารกาเอามือปิดตา “คุณแม่คะ ! หนูเห็น... เห็นผีมันนั่งอยู่ในนั้น !”
จงจิตผลักประตูเข้าไปแต่ก็ไม่เห็นอะไร
“ผีเผอที่ไหน แหกตาดูซิ !” จงจิตว่า
ดารกาค่อยๆลืมตาแล้วกวาดตามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร
“แต่หนูเห็นจริงๆนะคะ ผีผู้หญิงผมยาว สวมชุดดำ อยู่ตรงนี้ หนูกลัวค่ะ”
ดารกากอดจงจิตแล้วตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำด้วยความหวาดกลัว
“หยุดเพ้อเจ้อเสียที ! แกนี่มันใกล้บ้าเข้าไปทุกวัน ! ฉันจะบอกอะไรให้นะ ยัยดา ! สิ่งที่แกเห็น แกสร้างมันขึ้นมาเอง มันก็แค่ภาพลวงตา มีจริงเสียที่ไหน จำเอาไว้ !”
จงจิตพูดจบก็เดินไปอย่างไม่สนใจใยดีดารกา
“คุณแม่คะ ! แต่หนูเห็นจริงๆนะคะ”
ดารการีบวิ่งตามจงจิตออกไป เวียงแก้วนั่งอยู่ที่อ่างอาบน้ำในบริเวณที่ดารกาเห็น
ผีเวียงแก้วแสยะยิ้ม เพราะเป็นไปตามแผน
อ่านต่อหน้า 3
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 10 (ต่อ)
ร้อยดาวเอื้อมมือจะหยิบแก้วน้ำแต่มือปัดแก้วน้ำตกลงพื้นดังเพล้ง
ร้อยดาวก้มลงแล้วพยายามจะเก็บเศษแก้วที่แตก ร้อยดาวกำลังควานหาเศษแก้วที่แตกที่พื้นแลดูน่ากลัว ทันใดนั้น มือของสิบทิศก็รีบจับมือร้อยดาวไว้ก่อนที่จะถูกแก้วบาด
สิบทิศดุ “ทำอะไรของเธอ ! มองไม่เห็น แล้วยังจะดื้อรั้นดันทุรังอีก ! เศษแก้วบาดขึ้นมาจะว่ายังไง ! เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆ”
ร้อยดาวชักมือกลับด้วยความโมโหที่ถูกสิบทิศว่า
“ดิฉันก็แค่อยากช่วยเหลือตัวเองบ้าง ไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาให้ใคร ถ้าดิฉันทำให้คุณชายต้องลำบาก ต่อไปนี้ก็จะไม่ขอเป็นภาระรบกวนคุณชายให้เดือดร้อนรำคาญอีก”
“อย่าอวดดี ! ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีที่เธอปกปิดฉัน อนุญาตให้น่านฟ้ามาพักอยู่ที่นี่โดยพลการ ปล่อยให้ฉันตามหาแทบพลิกแผ่นดินอยู่ได้ตั้งนานสองนาน”
“พี่ชายจอมเผด็จการชอบบังคับขู่เข็ญน้องสาวให้ทำโน่นทำนี่ตามอำเภอใจได้รับบทเรียนเสียบ้างก็สมควรแล้วนี่คะ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะให้บทเรียนกับกับคนอวดดีอย่างเธอ ร้อยดาว”
“คุณชายจะทำอะไรคะ ?” ร้อยดาวถาม
สิบทิศแกล้งขยับยื่นหน้ามาใกล้ร้อยดาวแล้วทำท่าเหมือนจะหอมแก้ม
“ฉันก็จะปราบม้าดีดกะโหลกอย่างเธอให้หายพยศน่ะสิ !”
ร้อยดาวเบือนหน้าหนี เธอเอามือผลักอกสิบทิศเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้ไปกว่านั้นด้วยท่าทางหวาดกลัว
“อย่าค่ะ ! คุณชายไม่มีสิทธิ์ทำกับดิฉันแบบนี้”
“อย่าลืมสิ ฉันเป็นว่าที่คู่หมั้นเธอ จูบมัดจำแค่นี้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้”
สิบทิศยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เห็นร้อยดาวเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือเพราะรู้สึกว่าร้อยดาวไม่มีทางสู้
ร้อยดาวตะโกนเรียก “นมแสง ! ดาหลา ! ใครอยู่ข้างนอกบ้าง เข้ามานี่ที”
นมแสงรีบเข้าห้องมาทันทีในขณะที่สิบทิศอยู่ใกล้ชิดกับร้อยดาวจนหน้าแทบชนกัน สิบทิศรีบผละออกจากร้อยดาวด้วยความรู้สึกทั้งเขิน ทั้งอาย
“มีอะไรหรือคะ คุณหนู !”
สิบทิศลุ้นว่าร้อยดาวจะบอกกับนมแสงว่าอย่างไร
“ฉันซุ่มซ่ามทำแก้วแตก กลัวว่าหากคุณชายจะ “เผลอ” ไปเหยียบโดยไม่ตั้งใจ ใครรู้เข้า ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ร้อยดาวบอก
“โถ... นึกว่าอะไร เรียกเสียนมตกอกตกใจหมด เดี๋ยวนมจัดการให้นะคะ”
ร้อยดาวยิ้มยั่วสิบทิศเพราะไม่ยอมตกเป็นรองสิบทิศง่ายๆ
สิบทิศเก็บกระเป๋าพยาบาลสื่อว่าตรวจอาการร้อยดาวเสร็จแล้วและกำลังจะกลับ
“ใกล้ถึงกำหนดพิธีหมั้นเข้ามาทุกที แต่อาการของคุณหนูร้อยดาวยังไม่ดีขึ้น คุณท่านจึงอยากให้เลื่อนพิธีออกไปก่อนจนกว่า...” นมแสงอึกอัก
“ฝากไปเรียนท่านด้วยว่า ทางเวฬุมาศยืนยันกำหนดการเดิมเหมือนที่เคยตกลงกันไว้ ไม่ต้องเลื่อน ถึงจะช้าหรือเร็วก็ต้องแต่งกันอยู่ดี” สิบทิศบอก
“แม้ว่าดิฉันจะตาบอดอย่างนั้นน่ะหรือคะ ?” ร้อยดาวถาม
“ฉันไม่สนใจว่าจะต้องหมั้นกับใครหรอกนะ ฉันสนใจแค่ว่าจะหมั้นไปเพื่ออะไรต่างหาก”
สิบทิศพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ร้อยดาวอึ้งเมื่อคิดว่าสิบทิศแต่งงานเพราะคำขอร้องของรัตนากร ไม่ใช่เพราะความรัก
ดาหลาเดินคุยกับปรมัตถ์ปรึกษาเรื่องที่ร้อยดาวถูกลอบทำร้าย
“คนที่ลอบเข้าไปทำร้ายคุณหนูร้อยดาวถึงในห้องนอน จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่อาศัยอยู่บนตึกใหญ่เท่านั้น”
“ทุกคนที่อาศัยบนตึกใหญ่บดินทร์ธรล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องของคุณหนูร้อยดาวทั้งนั้น ผมไม่เห็นว่าบนตึกใหญ่นั่นจะมีคนร้ายที่ไหน”
ดาหลาหันไปมองตึกใหญ่บดินทร์ธรที่เต็มไปด้วยความใหญ่โตอ่าอ่าของสถาปัตยกรรมยามเย็น
“จำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ฉันเข้ามาเป็นคนงานที่นี่ พอเห็นความใหญ่โตโอ่อ่าของบดินทร์ธรเข้า ฉันก็ชอบทันที คิดในใจว่าอยากจะมีโอกาสขึ้นไปบนตึกใหญ่นั่นสักครั้ง” ดาหลาบอก
“ในที่สุดความฝันของคุณก็เป็นจริง คุณท่านเมตตารับคุณเป็นบุตรบุญธรรม จะมีสักกี่คนที่โชคดีอย่างคุณ”
“คุณท่านรับฉันเป็นลูกบุญธรรม เพราะพ่อแม่ของฉันถูกโจรฆ่าตายที่กระต๊อบท้ายไร่ คุณท่านเวทนาเด็กกำพร้าอย่างฉันที่ไม่เหลือใคร ฉันก็เลยได้ย้ายขึ้นไปอยู่บนตึกใหญ่สมใจ คุณยังคิดว่าฉันโชคดีอยู่ไหมคะ”
ปรมัตถ์ชะงักกึกด้วยความสงสารดาหลาจับใจ เมื่อได้ฟังชะตากรรมอันรันทดของดาหลา
“การได้ขึ้นไปอยู่บนนั้น ทำให้ฉันรู้ว่าตึกใหญ่อันหรูหรา แท้จริงแล้วมีแต่ความเงียบเหงา อาจเป็นเพราะความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว ทุกคนจึงเกิดความระแวงในกันและกัน พยายามแก่งแย่งเพื่อครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมด ทำให้ติดบ่วงของกิเลสตัณหาและหลงระเริงไปกับมัน ถึงขนาดทำร้ายกันเองก็ไม่กลัว”
สีหน้าดาหลามีแววของความเศร้า น่าสงสาร จนปรมัตถ์ใจอ่อน
“บนตึกใหญ่ใช่ว่าจะปลอดภัย คุณท่านถึงได้กำชับให้ฉันคอยดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิด อย่าให้คลาดสายตา”
“แล้วคุณล่ะครับ คุณดาหลา มีคนคอยดูแลแล้วหรือยัง ?” ปรมัตถ์ถาม
ดาหลานิ่งอึ้งไม่กล้าสบตา แต่กลับทำให้ปรมัตถ์เข้าใจผิดคิดว่าดาหลาไม่ได้มีใจ
ปรมัตถ์พูดแก้เกี้ยว “ถ้ายังไม่มีคนดูแล... คุณก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดี”
ดาหลาเข้าใจผิดคิดว่าปรมัตถ์ไม่ได้รู้สึกสนใจใยดีตนเลย
พระอาทิตย์ตกดิน ความมืดครอบคลุมทั่วทั้งบดินทร์ธร ร้อยดาวในชุดนอน นั่งครุ่นคิดเรื่องเวียงแก้วอยู่บนเตียง
“ต้องหยุดคุณแม่เวียงแก้วให้ได้ !”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่ร้อยดาวถูกปั้นเอาไปทิ้งที่บึงบัวจนเห็นศพเวียงแก้วถูกถ่วงอยู่ใต้น้ำแวบขึ้นมาในหัว
ร้อยดาวพยายามคิดหาทางหยุดการแก้แค้นของเวียงแก้ว
“ถ้าปลดปล่อยดวงวิญญาณคุณแม่เวียงแก้วให้ไปสู่สุคติ การแก้แค้นคนที่เหลือก็คงจะยุติ”
ทันใดนั้น ร่างเวียงแก้วก็ลอยลงมาจากเพดานมาประจันหน้ากับร้อยดาว
เวียงแก้วตวาด “ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ! จนกว่าจะล่าพวกมันครบทุกคน”
“คุณแม่คะ ! ตอนนี้คนที่เคยทำร้ายคุณแม่ต่างก็รับผลกรรมไปหมดแล้ว คุณแม่ไปสู่สุคติเถอะนะคะ”
“ยัง ! ยังไม่หมด ! การแก้แค้นของฉันมันกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทีเดียวตราบใดที่พวกคนชั่วมันยังลอยนวล วิญญาณของฉันก็ไม่มีวันสงบ”
“จะต้องให้มีคนตายอีกสักกี่ศพล่ะคะ คุณแม่ถึงจะหายแค้น”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ นังลูกไม่รักดี ! ฉันจะบอกแกให้ก็ได้ เหยื่อรายต่อไปที่ฉันเอาปูนหมายหัวเอาไว้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากอีเจ้ายาแฝดแปดยาช้างอย่างนังสร้อยฟ้ายังไงล่ะ” เวียงแก้วว่า
เวียงแก้วกรีดหัวเราะลั่นก่อนหายวับไป ร้อยดาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อรู้ว่าสร้อยฟ้าจะเป็นเหยื่อรายต่อไป
สร้อยฟ้ากำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง
ใต้ผ้าห่มสร้อยฟ้าอยู่เหมือนมีอะไรเคลื่อนไปมาอยู่ภายใน สร้อยฟ้ารู้สึกตัวขึ้นก็ตกใจ เหงื่อแตกซิก เธอรีบเลิกผ้าห่มแล้วสะบัดออกไปไว้ที่ปลายเตียงแต่ก็ไม่มีอะไร สร้อยฟ้ายกมือทาบอก ปาดเหงื่อ เพราะโล่งอกไปที
ทันใดนั้น กองผ้าห่มที่ตกอยู่ปลายเตียงก็ขยับ สร้อยฟ้าจ้องตาไม่กะพริบ ผีเวียงแก้วตัวเปียกโชกค่อยๆคลานออกมาจากผ้าห่มอย่างช้าๆ ด้วยกิริยาเคลื่อนไหวผิดมนุษย์ สร้อยฟ้าหลับตาสวดมนต์ ปากคอสั่น สวดผิดๆถูกๆ
“นะโมตัสสะ... อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา.... แล้วอะไรต่อวะ ?”
สร้อยฟ้าเห็นทุกอย่างเงียบก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่เห็นผีเวียงแก้วแล้ว ทันใดนั้น ผีเวียงแก้วก็โผล่มาตรงหน้า สร้อยฟ้าตาเบิกโพลง
“พระพุทธคุณไม่คุ้มครองคนชั่วอย่างมึงหรอก !” เวียงแก้วว่า
“อีเวียงแก้ว ! นี่พ่อปู่ยังไม่ส่งมึงไปลงนรกอีกเหรอ ?” สร้อยฟ้าว่า
“กูต่างหากล่ะ ที่ส่งไอ้แก่ชู้รักของมึงไปลงนรก !” เวียงแก้วหัวเราะ “คราวนี้ก็ถึงตามึงกับลูกๆสุดที่รักของมึงแล้ว อีสร้อยฟ้า”
ผีเวียงแก้วพุ่งเข้าไปควักดวงตาทั้งสองข้างของสร้อยฟ้าจนเลือดกระฉูดพร้อมกับหัวเราะลั่น
“กรี๊ดด !!”
สร้อยฟ้ากรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะดิ้นพราดๆ
สร้อยฟ้าเอามือกุมลูกตาแล้วกรีดร้องลั่น
“กรี๊ดด !!”
กระถินรีบวิ่งเข้าห้องมาหาสร้อยฟ้าด้วยความตกใจ
“คุณสร้อยฟ้าเป็นอะไรคะ ?”
“ตาฉัน !! ผีอีเวียงแก้วมันควักลูกตาฉัน !!”
“ไหนคะ ดวงตาคุณสร้อยฟ้าก็ยังอยู่ดีนี่คะ ไม่เห็นจะบอดสักหน่อย”
สร้อยฟ้าค่อยๆลืมตาขึ้นมาเอามือจับดวงตา ทำให้รู้ตัวว่าฝันไป
“ฉันฝันร้ายเหรอเนี่ย ?”
“นึกว่าอะไร กระถินไปนอนต่อแล้วนะคะ”
กระถินหาวหวอดแล้วจะออกจากห้อง
สร้อยฟ้าเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน นังกระถิน ! ลูกฉันล่ะ ?”
“ลูกคุณคนไหนล่ะคะ ? ลูกชายหรือว่าลูกสาว ? ถ้าคุณวีระวิทย์ก็หลับอยู่ในห้อง ส่วนคุณหนูดาราเรศ ยังไม่กลับ”
“อะไรนะ ! ป่านนี้ยัยเรศยังไม่กลับบ้านกลับช่องอีกเหรอ ?”
ทันใดนั้น กรอบรูปของดาราเรศที่ตั้งอยู่ที่หัวนอนก็ตกลงมาแตกดังเพล้ง
สร้อยฟ้าตกใจ “ยัยเรศ !”
สร้อยฟ้ามองไปที่กรอบรูปดาราเรศใจหายวาบเพราะรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เธอก้มลงเก็บรูปแล้วก็นึกเป็นห่วงขึ้นมา รูปของดาราเรศมีหยดน้ำหยดลงมาทีดวงตาดูเหมือนกับกำลังน้ำตาไหล
ดาราเรศกำลังร้องไห้ในขณะที่ถูกมัดมือมัดเท้า ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน ดาราเรศตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนเสียงแหบเสียงแห้งและอ่อนแรง
“ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยฉันที.... ฉันอยู่ในนี้ !!”
ทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างกลิ้งหลุนๆมาหยุดอยู่ตรงหน้าดาราเรศ ดาราเรศเห็นว่าเป็นศีรษะของปั้นที่เริ่มเน่าเฟะ หนอนขึ้น น่าสะอิดสะเอียน
“กรี๊ดด !!”
ดาราเรศตาเบิกโพลงและกรีดร้องออกมาสุดเสียง
ดำรงถือไม้เท้าเดินตามเสียงกรี๊ดของดาราเรศที่ดังลั่น ดำรงหยุดอยู่ที่ริมบึงบัวแล้วมองไปยังเวียงร้อยดาวที่อยู่กลางบึง เสียงกรีดร้องเงียบหายไป ดำรงมองด้วยความแปลกใจเพราะคิดว่าหรือตัวเองจะหูฝาดไป ทันใดนั้น ผีเวียงแก้วก็ค่อยๆคลานขึ้นมาจากน้ำในสภาพตัวเปียกโชก
ดำรงตกใจ “เวียงแก้ว !”
“ไหนคุณท่านเคยรับปากว่าจะช่วยข้าเจ้าขึ้นจากน้ำยังไงล่ะเจ้า ไม่ทันไรคุณท่านก็ลืมแล้วหรือ ?”
“ฉันก็สั่งให้พวกงานงมหาแล้วไง เจอเสียที่ไหน ?”
“ถ้านายเฉิ่มมันไม่ตายเสียก่อน งมต่อไป ถึงอย่างไรก็ต้องเจอ”
“ศพหล่อนอยู่ในบึงจริงๆน่ะหรือ แม่เวียงแก้ว ?”
“เจ้า... ข้าเจ้าหนาว คุณท่านได้โปรดช่วยข้าเจ้าขึ้นมาทีเถอะนะเจ้า”
“บึงบัวออกจะกว้างใหญ่ เธอจะให้ฉันงมตรงไหนก็บอกมา”
“ศพของข้าเจ้าถูกทิ้งไว้ตรงที่นายเฉิ่มตายนั่นแหละเจ้า !”
“ฉันสัญญา ! จะหาวิธีเอาศพหล่อนขึ้นมาจากน้ำให้ได้”
เวียงแก้วก้มลงกราบเท้าด้วยความตื้นตัน น้ำตาของเธอหยดแหมะลงที่หลังเท้าของดำรง
ดำรงนั่งสัปหงกอยู่ที่เก้าอี้โยกตัวโปรด เขาตกใจจนสะดุ้งจากภวังค์เร้นลับ หลังเท้าของดำรงยังคงมีหยดน้ำตาของเวียงแก้วปรากฏอยู่
“หล่อนไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม แม่เวียงแก้ว ?”
ดำรงครุ่นคิดว่าเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ นมแสงค่อยๆพาร้อยดาวเข้ามาในห้องดำรง
“คุณท่านคะ ! คุณหนูร้อยดาวมาขอพบค่ะ”
“เรื่องของหล่อนคงสำคัญมากสินะ ถึงได้ให้นมแสงพามาตั้งแต่ไก่โห่”
“ดิฉันมีเรื่องรบกวนปรึกษาคุณท่าน... เกี่ยวกับศพของคุณแม่เวียงแก้ว” ร้อยดาวบอก
ดำรงสนใจขึ้นมาทันทีเพราะอยากรู้ว่าร้อยดาวจะมาพูดเรื่องอะไร
ดำรงประกาศก้องให้ทุกคนรับรู้โดยทั่วกัน
“ฉันจะให้คนงานช่วยกันงมหาร่างของแม่เวียงแก้วที่บึงบัวอีกครั้ง”
“โอ๊ย...จะงมอะไรกันนักกันหนาคะคุณพ่อ งมไปก็ไร้ประโยชน์ จะให้พูดอีกสักกี่หนกี่ครั้งว่าศพอีนั่นถูกเผาไม่เหลือซากไปตั้งนานแล้ว” สร้อยฟ้าว่า
“เด็กเลี้ยงแกะแถวนี้คงกุเรื่องปั่นหัวคุณพ่ออีกแล้วใช่ไหมคะ ?” จงจิตถาม
จงจิตปรายตามองไปทางร้อยดาวที่นั่งนิ่งไม่ปริปากโต้ตอบ
“เห็นฉันมีเขาอยู่บนหัวหรือไง ถึงได้คิดว่าฉันจะหลงกลถูกหลอกง่ายๆ”
“หากเป็นความประสงค์ของคุณพ่อ เต็มคงไม่กล้าขัด แต่เกรงว่าพวกคนงานยังคงขวัญหนีดีฝ่อเรื่องที่นายเฉิ่มจมน้ำตาย จนไม่มีใครกล้าลงไปงมน่ะสิคะ” เต็มเดือนบอก
“เรื่องมากกันนัก ไม่มีคนงมเดี๋ยวฉันงมเอง !” ดำรงเสียงแข็ง
สามสะใภ้ได้แต่มองหน้ากันเพราะไม่มีใครกล้าหือกับดำรง
นมแสงค่อยๆประคองร้อยดาวเดินขึ้นบันได
“ทำไมคุณหนูถึงได้มั่นใจนักล่ะคะ ว่าศพของคุณแม่ถูกทิ้งไว้ใต้บึงบัว” นมแสงถาม
“ฉันเคยเห็นจ้ะนม เห็นด้วยดวงตาคู่นี้ก่อนที่มันจะมืดบอดลง” ร้อยดาวบอก
“หากดวงตาของคุณหนูมีอำนาจลี้ลับ มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นแล้วตอนนี้ดวงวิญญาณของคุณเวียงแก้วอยู่ที่ไหนคะ ?”
“คงวนเวียนอยู่ที่ไหนสักแห่งในบดินทร์ธร รอการแก้แค้นคนที่เคยทำกับท่านเอาไว้”
“ไอ้พวกนรกส่งมาเกิดหกคนนั่นก็ตายไปหมดแล้ว คุณเวียงแก้วเธอแค้นใจใครนักหนา ถึงได้ทนทุกขเวทนาเวียนว่าย ไม่ยอมไปผุดไปเกิด”
ทันใดนั้น สร้อยฟ้าก็เดินแหวกเบียดร้อยดาวกับนมแสงเข้ามาจนร้อยดาวแบบไม่ทันตั้งตัว
“หลีกไป ! ทั้งอีบอด ทั้งอีแก่ ยักแย่ยักยันขวางทางอยู่ได้”
“คุณสร้อยฟ้าคะ ! ช่วงนี้... ระวังตัวให้ดีนะคะ” ร้อยดาวเตือน
สร้อยฟ้าไม่พอใจ “หนอย... แกกล้าขู่ฉันเหรอ อีนังร้อยดาว ห๊า”
สร้อยฟ้าผลักร้อยดาวหวังให้หงายหลังตกบันได แต่นมแสงรับเอาไว้ทัน
“บอดแล้วยังไม่เจียมกะลาหัว ! คนอย่างฉันไม่มีวันเสียท่าใครง่ายๆ ไม่ว่าคนหรือว่าผีนรกขุมไหน ! จำใส่กบาลเอาไว้”
สร้อยฟ้าพูดจบก็สะบัดหน้าเดินกระทืบเท้าเดินไป ร้อยดาวอดเป็นห่วงความปลอดภัยของสร้อยฟ้าไม่ได้
ดำรงจุดธูปสิบหกดอกอธิษฐานกับเจ้าที่เจ้าทาง
“ขอแม่พระคงคา แม่พระธรณี เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย โปรดจงช่วยเปิดทางให้การงมหาแม่เวียงแก้วเป็นไปโดยราบรื่นด้วยเถิด”
ดำรงปักกำธูปลงที่พื้นดินบริเวณริมบึงบัว สายลมพัดมาวูบหนึ่ง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มคล้ายฝนจะตก พลันก็มีลมแรงพัดเคลื่อนเมฆครึ้มผ่านไปทำให้ฟ้าใสกระจ่าง ทุกคนมองกันเลิกลั่กด้วยความอัศจรรย์ เสียงผู้คนฮือฮา ร้อยดาวซึ่งยืนอยู่ใกล้กับปรมัตถ์ที่มุมหนึ่งได้ยินเสียงคนเซ็งแซ่ก็แปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ นายปรมัตถ์ ?”
“พอคุณท่านเอาธูปปักดิน ท้องฟ้าที่กำลังมืดครึ้ม ก็กลับสว่างจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ครับ คุณหนู”
บังหนั่นรีบวิ่งเข้ามาถามดำรง
“คุณท่านจะให้เริ่มงมตรงไหนก่อนดีขอรับ”
“งมตรงนั้น !!”
ดำรงชี้นิ้วไปยังจุดที่เวียงแก้วบอกในความฝัน สามสะใภ้ต่างตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกคนงานชายรีบลงไปในบึงบัวแล้วเริ่มงมหาตามประกาศิตของดำรงทันที แต่ละคนต่างมองตามแบบลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ สิบทิศมาหาร้อยดาว เขาออกอาการหึงปรมัตถ์เล็กๆที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับร้อยดาว
สิบทิศแกล้งกระแอมดังๆ “ตาบอดยังจะสอดรู้สอดเห็นอีก”
ปรมัตถ์มองสายตาสิบทิศก็รู้ตัวจึงถอยห่างออกไป สิบทิศเข้าไปแทรกกลางระหว่างปรมัตถ์กับร้อยดาว
“หากเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวข้องกับคุณแม่ของดิฉันเอง คงจะไม่เป็นการเสียมารยาทกระมังคะ คุณชายสิบทิศ”
สิบทิศเคืองที่ถูกร้อยดาวสวนทันควัน
คนงานชายต่างดำลงไปใต้น้ำเพื่อค้นหาศพเวียงแก้ว คนงานงมหาที่มุมต่างๆ ที่มีสายบัวรกไปหมด แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ
คนที่อยู่บนฝั่งแต่ละคนต่างมองลุ้นจนแทบจะไม่หายใจ โดยเฉพาะสามสะใภ้ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ
สร้อยฟ้าร้อนลน “คุณพี่ว่าพวกมันจะ “เจอ” ไหมคะ ?”
“ฉันจะไปรู้มั้ย ! ถ้าหล่อนอยากรู้ ก็ดำลงไปถามผีนังเวียงแก้วมันดูสิ” จงจิตว่า
จงจิตกับสร้อยฟ้ากัดฟันเถียงกันเบาๆ กลัวว่าเสียงจะเล็ดลอดให้ดำรงได้ยินเข้า
“เอ๊ะ อีนี่ ! ถามดีๆนะ ทำไมต้องตะคอกด้วย ! เดี๋ยวกูตบ !”
“ก็เอาสิ กูก็มีมือมีตีนเหมือน กลัวมึงเหรอ อีช้างเขย่ง”
สร้อยฟ้ากับจงจิตตั้งท่าเงื้อจะตบกัน
“หน้าสิ่วหน้าขวานยังจะ “กัด” กันอยู่ได้ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” เต็มเดือนว่า
เต็มเดือนจิกตาปราม แต่ถึงกระนั้น สร้อยฟ้ากับจงจิตก็ยังจ้องกันไม่วางตา
บรรดาคนงานชายยังงมหาอย่างไม่ย่อท้อ
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเวียงแก้วดังกังวานเหมือนเสียงที่ก้องอยู่ใต้ผืนน้ำ คนงานคนหนึ่งว่ายน้ำตามเสียงสะอื้นนั้นไปแบบกล้าๆกลัวๆ จนเห็นโครงกระดูกของเวียงแก้วถูกถ่วงด้วยหีบเหล็กอยู่ท่ามกลางก้านบัวรกเรื้อแน่นขนัด คนงานชายคนนั้นตาเบิกโพลงตกใจสุดขีด
คนงานชายคนนั้นทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากผิวน้ำ
“เจอแล้ว !!”
ทุกคนต่างตกใจส่งเสียงฮือกันลั่นเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีศพอยู่ใต้น้ำจริงๆ สามสะใภ้หลบสายตา มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทั้งสามมีเหงื่อผุดเต็มหน้าอย่างคนที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ ดำรงหันขวับมามองทั้งสามสะใภ้ ตาคมกริบเพราะหมดสิ้นความไว้ใจ
กระดูกของเวียงแก้วบางส่วนถูกโซ่ล่ามหีบถ่วงเอาไว้ถูกนำขึ้นมาไว้ที่ริมบึง ทั้ง หัวกะโหลก แขน ขา ฯลฯ และกระดูกชิ้นใหญ่ๆที่ยังหลงเหลือ บังหนั่นกับพวกคนงานต่างตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพศพถูกถ่วงน้ำอย่างอำมหิต
“คุณพระคุณเจ้า ! อีนี่ ใครหนอช่างใจดำอำมหิตทำแบบนี้ได้ลงคอ”
ดำรงแหวกลงล้อมพวกคนงานเข้ามาพร้อมกับนมแสง พอนมแสงเห็นเข้าก็ตกใจ นมแสงเห็นกำไลข้อเท้าก็จำได้ว่าเป็นเวียงแก้ว
ภาพในอดีตย้อนกลับมา นมแสงตกใจสุดขีดในตอนที่พบศพเวียงแก้วผูกคอตายห้อยอยู่กับขื่อ เท้าของเวียงแก้วสวมกำไลข้อเท้าคู่นี้อยู่
“นี่มัน... กำไลของคุณเวียงแก้วนี่คะ ?”
“แน่ใจนะ นมแสง ?” ดำรงถาม
“อิฉันจำได้ติดตา คืนที่คุณเวียงแก้วแขวนคอที่เวียงร้อยดาว สวมกำไลข้อเท้าวงนี้ไม่ผิดแน่”
สามสะใภ้แหวกไทยมุงเข้ามาพอเห็นโครงกระดูกของเวียงแก้วเข้าทั้งสามก็ตาลุก
“แม่เวียงแก้ว...”
เต็มเดือนแสร้งเป็นลมต่อหน้าต่อตาดำรง จงจิตกับสร้อยฟ้ารีบเล่นละครต่อทันที
“คุณพี่คะ ! คุณพี่ ! โถ... ดูสิคะ หน้าซีดอย่างกับศพเชียว”
“ต๊ายยย...คุณเต็มเดือนเป็นลมเป็นแล้งไปแล้ว” สร้อยฟ้าสั่งดาหลา “หล่อนน่ะรีบๆมาช่วยเร็วเข้าสิยะ ! จะรอให้คุณพี่ตายโหงไปอีกคนหรือไง”
ดาหลากับสามสะใภ้รีบเดิน สิบทิศประคองพาร้อยดาวเข้ามา โดยทีปรมัตถ์ตามมาด้วย
“พบศพคุณแม่ดิฉันแล้วใช่ไหมคะ ?” ร้อยดาวถาม
สิบทิศมองศพเวียงแก้วที่ถูกถ่วงด้วยหีบเหล็กแล้วก็อนาถใจ
ปรมัตถ์พูด “ไม่น่าเชื่อ... ศพของคุณเวียงแก้วถูกหีบเหล็กถ่วงอยู่ใต้น้ำเหมือนที่คุณหนูเคยบอกไว้ไม่มีผิด”
“เลือดเย็นจริงๆ ! แม้แต่กับคนตายก็ยังไม่เว้น ! บดินทร์ธรมีแต่เรื่องน่าอัปยศอดสู เธอยังทนอยู่เข้าไปได้อย่างไร” สิบทิศว่า
สิบทิศพูดกับร้อยดาวแล้วก็เดินไปอย่างสลดหดหู่ใจ
ดำรงกระแทกไม้เท้าอย่างไม่พอใจ
“ไหนพวกหล่อนยืนกระต่ายขาเดียวว่า ศพแม่เวียงแก้ว เผาที่วัดไปเรียบร้อยแล้วไง”
สร้อยฟ้ากับจงจิตนั่งนิ่งจนเต็มเดือนต้องแก้ตัวแทน
“เต็มแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา ! คุณพี่อุตส่าห์ไว้วางใจมอบหมายให้นายปั้นกับพรรคพวกไปจัดการให้เรียบร้อย ไม่นึกเลยว่าจะมักง่ายทำชุ่ยๆแบบนี้”
“แหม.. เสียดายนะคะ ไอ้ปั้นกับพวกดันชิงตายไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้น ดิฉันจะเรียกมาตบหน้าเรียงตัว” สร้อยฟ้าว่า
“ศพแม่เวียงแก้วถูกถ่วงอยู่ใต้น้ำน่าอนาถมาตั้งเกือบ 25 ปี ถ้าคุณพ่อไม่ฉุกใจ สั่งให้งมหา พวกดิฉันก็คงไม่มีวันทราบเรื่อง” จงจิตบอก
“ฉันก็คงเป็นไอ้แก่โง่ดักดาน หลงเชื่อพวกหล่อนสามคนไปจนตาย !” ดำรงสรุป
ปรมัตถ์ถามร้อยดาวด้วยความประหลาดใจ
“คุณหนูทราบได้อย่างไรครับ ว่าศพของคุณเวียงแก้วอยู่ในบึง ?”
“คุณแม่เวียงแก้วมาบอกฉัน” ร้อยดาวบอก
ปรมัตถ์ไม่อยากจะเชื่อ ยกเว้นดำรงเท่านั้นที่เชื่อเพราะเจอเรื่องประหลาดเหมือนกัน สามสะใภ้ได้ยินก็สะดุ้งโหยงและตกใจแต่พยายามเก็บอาการเอาไว้
ดำรงยังนอนไม่หลับเพราะครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน
เหตุการณ์ในตอนกลางวันย้อนกลับมาในหัวของดำรง
ปรมัตถ์ถามร้อยดาวด้วยความประหลาดใจ
“คุณหนูทราบได้อย่างไรครับ ว่าศพของคุณเวียงแก้วอยู่ในบึง ?”
“คุณแม่เวียงแก้วมาบอกฉัน” ร้อยดาวตอบ
“แล้วแม่หล่อนบอกหรือเปล่าล่ะว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป ?” ดำรงถาม
“เผาค่ะ ! คุณท่านได้โปรดทำพิธีเผาศพคุณแม่เวียงแก้วให้ถูกต้องตามประเพณีด้วยเถอะนะคะ ดวงวิญญาณของท่านจะได้ไปสู่สุคติ”
ดำรงคิดจะทำตามที่ร้อยดาวพูดอยู่ในใจอยู่แล้ว
ดำรงตัดสินใจจะเผาศพเวียงแก้ว
“ก็ดี ! เผาๆไปซะ จะได้จบสักที”
ทันใดนั้น สายลมวูบหนึ่งก็พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้กระดานดังขึ้นช้าๆ น่าขนหัวลุกทำให้ดำรงหันไปมอง ดำรงเห็นเวียงแก้วตัวเปียกโชกผมยาวปรกหน้าค่อยๆคลานเข้ามาหาอย่างช้าๆ
“หล่อนมาทำไมอีก ?”
“ข้าเจ้ามากราบคุณท่านที่เมตตาช่วยข้าเจ้าขึ้นมาจากน้ำตามคำสัญญา”
“ไปที่ชอบๆเถอะ ไม่ต้องห่วง ศพของหล่อน ฉันจะเผาให้”
“อย่าเผานะเจ้า !”
“ทำไมล่ะ ? ก็แม่ร้อยดาว ลูกสาวหล่อนบอกให้ฉันเผานี่ ?”
เวียงแก้วเคืองร้อยดาวแต่ก็รีบระงับอารมณ์เพราะกลัวจะเสียแผน
“คุณปกรณ์สร้างเวียงร้อยดาวให้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักอันมั่นคงของเราสอง น่าเสียดาย ข้าเจ้าบุญน้อยได้อยู่เพียงไม่เท่าไรก็สิ้นใจเสียก่อน ปล่อยให้เรือนรักต้องกลายเป็นเรือนร้าง”
ดำรงนั่งฟังเงียบกริบแล้วก็นึกเวทนาเวียงแก้วที่ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“ถึงข้าเจ้าจะอับวาสนาได้อยู่เวียงร้อยดาวอีกต่อไป แต่ก็ขอให้คุณท่านได้โปรดฝังร่างของข้าเจ้าไว้ใต้ผืนดินที่นั่นเพื่อเป็นสุสานแห่งความรักของข้าเจ้าชั่วนิรันดร์... ได้โปรดเถอะนะเจ้า...ถือว่าทำเพื่อเวียงแก้วผู้อาภัพเป็นครั้งสุดท้าย ข้าเจ้าจะไม่ลืมพระคุณ ไม่ว่าเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติ ข้าเจ้าก็จะขอเป็นข้ารับใช้คุณท่านทดแทนพระคุณ”
เวียงแก้วพูดจบก็ค่อยๆเลือนหายกลายเป็นอากาศธาตุไป ดำรงกระพริบตาแต่ยังคงนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวเดิม เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มหน้าของเขา ดำรงเริ่มหนักใจว่าจะเผาหรือฝังศพเวียงแก้วดี
ร้อยดาวก้มลงกราบหมอนสามครั้งหลังจากเพิ่งสวดมนต์ก่อนนอนเสร็จ ร้อยดาวเห็นภาพเลือนลางมากอยู่วูบหนึ่งก่อนที่จะวูบดับสนิทดังเดิม ร้อยดาวยกมือกุมที่ดวงตาแล้วส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
“นึกว่าจะหายแล้วเชียว !”
ทันใดนั้น กลุ่มควันก็ก่อร่างเป็นเวียงแก้วปรากฏตัวขึ้นด้วยใบหน้าถมึงทึง
เวียงแก้วตวาด “นังลูกทรพี !!”
ร้อยดาวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเพราะไม่รู้ว่าเวียงแก้วเข้ามาอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไร
“คุณแม่เวียงแก้ว !”
“เจ้ากี้เจ้าการนัก ! เสนอหน้าบอกคุณท่านให้เผาทำลายร่างฉัน”
“ทำไมล่ะคะ ทำไมจะเผาไม่ได้ ในเมื่อคุณแม่ก็ตายไปแล้ว”
“ถึงกายของฉันจะเน่าเปื่อยผุสลาย แต่จิตของฉันก็ยังอยู่”
“ดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคั่งแค้นอาฆาตพยาบาทน่ะหรือคะ”
“นังร้อยดาว !!”
เวียงแก้วเอามือโบกไปในอากาศ ร้อยดาวรู้สึกคล้ายถูกตบเผี๊ยะจนหน้าหัน
“หล่อนใช่ลูกฉันแน่หรือเปล่า หรือถูกนังจันทร์ฉายล้างสมองไปหมดแล้ว”
ร้อยดาวน้ำตาไหล “คุณแม่คะ หนูขอโทษ... แต่หนูไม่อยากเห็นคุณแม่ก่อกรรมทำเข็ญ เข่นฆ่าใครอีก”
เวียงแก้วหัวเราะ “ในเมื่อแกไม่อยากเห็น ฉันก็ช่วยให้แกไม่ต้องเห็นแล้วไงพอใจหรือยัง ? ไม่ช่วยฉันกำจัดศัตรู แล้วยังจะขัดขวางฉันอีก อย่าหวังเลยว่าชาตินี้ดวงตาแกจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง นังลูกชั่ว”
ร้อยดาวน้ำตาไหลพรากเพราะผิดหวังในตัวเวียงแก้ว
“หนูไม่คิดเลยว่าคุณแม่เวียงแก้วจะใจร้ายได้ขนาดนี้”
“แกยังรู้จักฉันน้อยไป ฉันยังร้ายได้มากกว่านี้อีก ! รอให้กลุ่มดาวนายพรานเจิดจรัสบนฟากฟ้าเมื่อไร แล้วแกจะได้เห็นความร้ายกาจที่แท้จริงของฉัน”
เวียงแก้วหัวเราะลั่นก่อนร่างจะระเบิดบึ้มเป็นควันสีดำหายไป ร้อยดาวหวาดกลัว
เสียงหัวเราะน่าขนลุกของเวียงแก้วยังคงก้องอยู่ในหัวของเธอ
อ่านต่อหน้า 4
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 10 (ต่อ)
ดำรงตวาดบรรดาสะใภ้เสียงกร้าวด้วยความรำคาญ
“ศพแม่เวียงแก้ว ไม่ให้เผา พวกหล่อนจะให้เก็บเอาไว้ทำไม ?”
“คดีคนงานของเราตายปริศนาติดๆกันยังฉาวไม่พออีกหรือไงคะ ความวัวไม่ทันหาย ความควายยังเข้ามาแทรก แค่ตั้งศพที่วัด ก็คงลือกระฉ่อนไปทั้งบางว่าคนตระกูลบดินทร์ธรซ่อนศพบ่าวไพร่ไว้ในบ้าน” จงจิตบอก
“กะอีแค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง กระดูกค้างปีของขี้ข้าคนเดียว ทำให้ชื่อเสียงบดินทร์ธรต้องพลอยป่นปี้กันไปหมด” สร้อยฟ้าว่า
เต็มเดือนขัด “จะพูดจะจาอะไร หัดเกรงใจคุณพ่อบ้าง เป็นผู้ดีกันแท้ๆ”
“แล้วหล่อนล่ะ แม่เต็มเดือน คิดอ่านอย่างไร” ดำรงถาม
“ใกล้จะถึงพิธีมงคลของคุณชายสิบทิศกับหนูร้อยดาวแล้ว เต็มไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องไม่ดีในอดีตขึ้นมาอีก อะไรที่อ่อนไหว เสี่ยงจะกระทบต่อความ สัมพันธ์ระหว่างบดินทร์ธรกับเวฬุมาศ เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”
ร้อยดาวน้ำตารื้นเพราะมติของสามสะใภ้ดูเหมือนจะเป็นเอกฉันท์ เธอจึงขอร้องดำรงเป็นที่พึ่งสุดท้าย
“เกือบ 25 ปีมานี้ ร่างคุณแม่เวียงแก้วถูกทอดทิ้งให้อยู่ใต้น้ำน่าอเน็จอนาถ ไม่มีใครเหลียวแล ได้โปรดสงสารคุณแม่ของดิฉันด้วยเถอะนะคะ ถือว่าทำเพื่อท่านเป็นครั้งสุดท้ายท่านจะได้ไปแบบไม่มีห่วง”
ดำรงขมวดคิ้วครุ่นคิดหนักครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ
“เอาล่ะ ! ฉันตัดสินใจแล้ว”
ทุกคนต่างลุ้น รอฟังคำตอบว่าดำรงจะทำอย่างไร
“ฉันจะเผาศพแม่เวียงแก้วของหล่อนที่เวียงร้อยดาว”
ร้อยดาวค่อยยิ้มออกด้วยความดีใจจนสามสะใภ้รู้สึกหมั่นไส้
สามสะใภ้เดินคุยกันที่โถงระเบียงเพราะไม่พอใจคำตัดสินของดำรง
“ให้ตายสิ ! ไม่รู้คุณพ่อนึกยังไง แทนที่จะเอาซากไปทิ้งที่ป่าช้าไกลๆ กลับดึงดันจะเผาผีตายโหงในรั้วบดินทร์ธรให้เป็นเสนียด ยิ่งแก่ก็ยิ่งเลอะ” สร้อยฟ้าว่า
“ถึงอย่างไร ไอ้บังหนั่นก็คนของเรา คุณพ่อให้มันจัดการเผาซะที่นี่ก็ดี ให้มันจบๆ เรื่องจะได้ไม่เอิกเกริก หล่อนคงไม่อยากเข้าไปนอนในมุ้งสายบัวหรอกนะ” จงจิตบอก
“จะเผาที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ สุดท้ายวิญญาณเวียงแก้วก็ต้อง ลงไปชดใช้กรรมอยู่ดี” เต็มเดือนบอก
“เผาศพแล้ว ผีอีเวียงแก้วจะไม่กลับมาอาละวาดอีกใช่ไหมคะ” สร้อยฟ้าถาม
“แน่นอน ! วิญญาณบาปหนาถูกส่งลงนรกหมกไหม้ไปแล้ว ไม่มีวันจะกลับมาได้อีก” เต็มเดือนบอก
เต็มเดือนยิ้มมั่นใจก่อนเดินจากไป
ที่ตึกใหญ่บดินทร์ธร พระจันทร์สวยงาม ไร้เมฆหมอก นมแสงประคองร้อยดาวมานั่งที่เตียงเตรียมตัวจะนอน
“พรุ่งนี้แล้วสินะ คุณแม่เวียงแก้วจะได้จากไปอย่างสงบเสียที” ร้อยดาวบอก
“ที่ดวงวิญญาณของคุณเวียงแก้วยังวนเวียนไปไหนไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เผาศพตามประเพณีนี่เอง เธอถึงได้มาขอร้องให้คุณหนูช่วย”
“เปล่าหรอก ! ฉันไม่ได้ทำตามที่คุณแม่ขอ แต่ทำตรงข้ามต่างหาก”
“คุณหนูหมายความว่ายังไงคะ ?”
“ช่างเถอะจ้ะ นม...” ร้อยดาวหาว “ฉันง่วงแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำบุญให้คุณแม่ที่วัดแต่เช้า”
ร้อยดาวค่อยๆเอนตัวลงนอน นมแสงขยับผ้าห่มให้
เช้าวันใหม่ นมแสงกับดาหลาช่วยจับมือร้อยดาวประเคนถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์สวดอนุโมทนา ร้อยดาว นมแสง และดาหลารับพร
ร้อยดาวแต่งตัวเรียบร้อยเตรียมตัวไปที่เวียงร้อยดาว
ร้อยดาวตะโกนเรียก “นมแสงจ๊ะ ! ดาหลา !”
ร้อยดาวแปลกใจที่ไม่มีเสียงตอบ
ร้อยดาวแปลกใจ “ไปไหนกันหมดนะ ? ใกล้ได้เวลาประชุมเพลิงแล้วด้วย”
ร้อยดาวควานหาไม้เท้าโดยค่อยๆคลำทางไปอย่างสะเปะสะปะ
ร้อยดาวพยายามที่จะไปเวียงร้อยดาวให้ได้ สักพักเธอก็สะดุดหินหกล้มข้อเท้าพลิก ร้อยดาวกัดฟัน ควานหาไม้เท้าที่หลุดมืออยู่ที่ไหนสักที่ทั้งๆที่ปวดข้อเท้ามาก สิบทิศส่งไม้เท้าให้ร้อยดาวแล้วมองด้วยแววตาเห็นใจ ร้อยดาวแปลกใจว่าใครที่ส่งไม้เท้าให้
สิบทิศเอ่ยถาม “จะไปไหน ?”
“คุณชายคะ ช่วยพาฉันไปที่เวียงร้อยดาวที”
สิบทิศเห็นร้อยดาวกุมที่ข้อเท้า
“ข้อเท้าของเธอคงพลิก”
สิบทิศเข้าไปนวดข้อเท้าให้ร้อยดาว แต่ร้อยดาวชักเท้าออกด้วยความกระดาก
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไหว...”
ร้อยดาวกัดฟันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทั้งๆที่เจ็บหัวเข่าจนแทบลุกไม่ไหว ร้อยดาวเซจะล้ม สิบทิศเข้ามาประคองเอาไว้
“ยืนแทบไม่อยู่ ยังจะปากแข็ง ! ฉันไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น”
“แค่ข้อเท้าพลิก เดี๋ยวก็หาย”
“ถ้างั้นก็รอให้หายก่อน แล้วเธอค่อยไป”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณชายจะมาเอาชนะ ดิฉันต้องไปที่เวียงร้อยดาวเพื่อเผาศพคุณแม่ของดิฉัน… ทำเพื่อท่านเป็นครั้งสุดท้าย”
“ยิ่งไปไม่ได้ใหญ่ รู้หรือเปล่า ควันจากการเผาศพมีสารพิษที่เป็นอันตราย ดวงตาเธอยังไม่หายเป็นปกติ ฉันไม่ได้ต้องการเอาชนะคะคาน แต่อยากให้เธอรู้จักเป็นห่วงตัวเองเสียบ้าง”
“ถึงอย่างไร ดิฉันก็ต้องไป”
ร้อยดาวกัดฟันใช้ไม้เท้ากะโผลกกะเผลกยันร่างกายเดินต่อไป สิบทิศยอมแพ้ต่อความมุ่งมั่นของร้อยดาวจึงยอมประคองพาร้อยดาวไป
ดำรงวางดอกไม้จันทน์บนกองฟอนที่จะเผาโลงศพของเวียงแก้ว นมแสงกับดาหลาวางดอกไม้จันทน์ที่กองฟอน ดำรงพยักหน้าส่งสัญญาณให้บังหนั่นจุดไฟเผาโลงศพบนกองฟอน
“ทำไมคุณท่านถึงไม่ให้คุณหนูร้อยดาวมาด้วยล่ะคะ ?” นมแสงถาม
“ตาหูยังบอดอยู่ จะมาทำไมให้เกะกะ ถึงยังไงก็มองไม่เห็นอยู่ดี ให้แม่ม้าดีดกะโหลกรออยู่ห้องนั่นแหละดีแล้ว” ดำรงว่า
นมแสงพยักหน้าเข้าใจเหตุผลของดำรงแต่ก็อดเห็นใจร้อยดาวไม่ได้ ดำรงมองกองไฟที่ลุกโชนตรงหน้าอย่างปลงตก
“ฉันช่วยหล่อนได้เท่านี้แหละ แม่เวียงแก้ว”
ดำรงครุ่นคิดถึงอดีต
เหตุการณ์ในอดีต เวียงแก้วน้ำตาไหลพรากขณะอุ้มร้อยดาวตอนเป็นทารกประมาณ 1 ปีเศษที่กำลังร้องไห้จ้า
ดำรงตวาดเวียงแก้วลั่น หลังจากรู้เรื่องว่าเวียงแก้วให้ท่าผู้ชายขึ้นหาที่เรือน
“บัดสีบัดเถลิง ! มั่วผู้ชายไม่เลือกหน้า ร่านยิ่งกว่าหมาเดือนเก้า”
“อีนี่มันคงทำระยำอัปรีย์มาหลายหนแล้วล่ะค่ะ คุณพ่อ เพียงแต่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเท่านั้น” สร้อยฟ้าว่า
“แล้วนั่นน่ะ ลูกคุณพี่แน่หรือ คงไม่ใช่ลูกชู้แล้วอุปโลกน์ว่าเป็นสายเลือดบดินทร์ธรหรอกนะ เอ๊ะ ! หรือว่าจะเป็นสายเลือดเวฬุมาศกันแน่ คนเคยมีใจให้กันมาก่อน ใครๆเขาก็รู้” จงจิตบอก
นมแสงจะอ้าปากแต่ถูกแววตาของจงจิตกำราบทำให้ไม่กล้า
“ไม่จริงนะเจ้า ร้อยดาวเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณปกรณ์ ข้าเจ้าไม่เคยคิดเป็นอื่นเมื่อออกเรือน”เวียงแก้วบอก
“อ้อ ! แปลว่าก่อนออกเรือนหล่อนคิดสินะ โถๆๆ...เด็ดบัวยังเหลือใยว่าอย่างนั้นเถอะ” สร้อยฟ้าแขวะ
“เลิกให้ร้ายเวียงแก้วกันเสียทีเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว..” เต็มเดือนพูดกับเวียงแก้ว “จะลูกใครก็ช่างเถอะ ลูกสาวเธอคนนี้ ยังไงฉันก็รัก”
จันทร์ฉายที่อดทนฟังอยู่นานแล้วชักทนไม่ไหวจึงเถียงแทนเวียงแก้วที่เอาแต่อมพะนำ
“เวียงแก้วไม่ได้ทำเรื่องบัดสีอย่างนี้แน่”
“หล่อนเห็นกับตางั้นรึ แม่จันทร์ฉาย ถึงได้คอยให้ท้ายนังกากีนี่” จงจิตถาม
จันทร์ฉายพูด “ถึงดิฉันไม่เห็นกับตา แต่ก็พอรู้ว่าแม่เวียงแก้วถูกฝูงบ่างช่างยุใส่ไคล้”
สามสะใภ้มองจันทร์ฉายเป็นตาเดียวกัน
“แกด่าใคร ห๊า ! อีจันทร์ฉาย”
สร้อยฟ้าปราดจะเข้าไปตบ จันทร์ฉายเชิดหน้าท้าทายและไม่กลัวเกรง ดำรงกระแทกไม้เท้าดังปัง ! ด้วยอารมณ์โกรธจัดอย่างถึงที่สุด
“ฉันไม่ฟังอะไรอีกทั้งนั้น ! ไอ้ 6 คนนั่นมันสารภาพจนสิ้นไส้ ในเมื่อทั้งหลักฐานพยานมัดตัวนังแพศยากาลีแน่นหนาขนาดนี้ หล่อนก็ไสหัวไปซะ จะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไป อย่ากลับมาเหยียบบนตึกนี้ให้เป็นเสนียด ส่วนนังเด็กนั่น หากใช่สายเลือดบดินทร์ธรของฉัน มันก็คงมีวาสนาได้กลับมาเองในสักวัน”
เวียงแก้วน้ำตานองหน้า เธอกราบเท้าดำรงเป็นครั้งสุดท้าย ดำรงชักเท้าหนีแล้วเบือนหน้าเพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน สามสะใภ้สะใจ ส่วนจันทร์ฉายกับนมแสงได้แต่มองด้วยความเห็นใจ เวียงแก้วอุ้มทารกร้อยดาวที่ร้องไห้จ้าเดินออกไปจากตึกใหญ่บดินทร์ธร
ดำรงอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เคยขับไล่ไสส่งเวียงแก้วอย่างกับหมูอย่างกับหมา
“อโหสิกรรมให้ฉันด้วยเถอะนะ แม่เวียงแก้ว...”
ดำรงมองตามควันไฟที่ลอยขึ้นไปยังแผ่นฟ้าเบื้องบนจนเห็นพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน
สิบทิศประคองร้อยดาวพามายังริมบึงบัวแต่ไม่มีเรือสักลำทำให้ข้ามไปไม่ได้ สิบทิศเห็นกลุ่มควันลอยโขมงขึ้นมาจากดงไม้
“ดิฉันมองไม่เห็นอะไรเลย คุณชายช่วยบอกทีได้ไหมคะว่าเห็นอะไรบ้าง” ร้อยดาวว่า
สิบทิศมองร้อยดาวด้วยความเห็นใจ ก่อนพูดอย่างที่ตัวเองเห็น
“ฉันเห็นกลุ่มควันลอยโขมงขึ้นมาจากเวียงร้อยดาว”
ร้อยดาวยิ้มจางๆ ด้วยความโล่งใจที่ในที่สุดก็สามารถเผาศพเวียงแก้วได้สำเร็จ
“จบสิ้นกันเสียที ขอให้คุณแม่เวียงแก้วไปสู่สุคติเถอะนะคะ”
กลุ่มควันลอยโขมงอยู่ไกลๆ เพราะกำลังเผาอะไรบางอย่างอยู่
ณ โรงพยาบาลของสิบทิศ ดวงตาของร้อยดาวถูกตรวจผ่านเลนส์ขยายของ pnemotonometer ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจวัดความดันสายตาโดยเฉพาะ สิบทิศหน้าเครียดเพราะยังหาสาเหตุของอาการผิดปกติของร้อยดาวไม่ได้
“ความดันภายในลูกตาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขั้วประสาทตาก็ไม่ได้ฝ่อ บางทีอาการมองไม่เห็นของเธออาจเป็นผลข้างเคียงจากโรคติดเชื้อบางอย่าง ผมจะพาคุณไปเจาะเลือดเพื่อตรวจหาสาเหตุอีกที”
ร้อยดาวตกใจเมื่อรู้ว่าต้องไปตรวจเลือด เธอระแวงว่าเลือดตัวเองอาจฟ้องว่าตนไม่ใช่ร้อยดาว
ร้อยดาวอึกอัก “ฉัน... ฉันยังไม่พร้อม”
สิบทิศจับผิด “ทำไม ? หรือว่าเธอกลัวอะไร ?”
“ฉันกลัวเข็ม...”
“กลัวเข็มหรือว่ากลัวอย่างอื่นกันแน่ ?”
สิบทิศหยิบสมุดไดอารี่ของร้อยดาวออกมาจากในลิ้นชัก เขาเอาสมุดไดอารี่ยัดใส่มือร้อยดาว ร้อยดาวสัมผัสหน้าปกไดอารี่ก็พอจะเดาได้ว่าคืออะไรแต่ก็ยังค่อยไม่แน่ใจ
“สมุดไดอารี่ของดิฉัน”
“ฉันเก็บมันได้ข้างบ่อน้ำหลังตึกบดินทร์ธร”
ร้อยดาวหน้าซีดเผือด
ภาพในอดีตย้อนกลับมา สิบทิศหยิบสมุดไดอารี่เล่มนี้ที่ตกอยู่บนพื้นหญ้าขึ้นมา เขามองที่หน้าปกอย่างแปลกใจว่าเป็นของใคร สิบทิศเปิดอ่านสมุดไดอารี่ดูก็รู้ว่าเป็นของร้อยดาว
ร้อยดาวถึงกับอึ้งเมื่อสิบทิศพูดเรื่องสมุดไดอารี่ขึ้นมา
“...เลยเอาคืนให้”
“คุณชายไม่ได้เปิดอ่านข้างในใช่ไหมคะ”
“ถ้าฉันไม่ถือวิสาสะเปิดดู จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นของเธอ”
ร้อยดาวเย็นวาบไปทั้งตัวเหมือนคนทำผิดแล้วถูกจับได้
“คราวนี้เธอจะบอกฉันได้หรือยัง ว่ามาที่นี่ทำไม ?”
สิบทิศมองร้อยดาวอย่างคาดคั้นความจริง
สิบทิศขับรถมาส่งร้อยดาว
“ความทรงจำในอดีตที่ถูกลบเลือนหายไปนานถึง 25 ปีและปริศนาภาพเวียงร้อยดาวที่มักปรากฏให้ดิฉันเห็นทั้งยามหลับและยามตื่นภายหลังการผ่าตัดเปลี่ยนดวงตา ทำให้ดิฉันตัดสินใจบินลัดฟ้ามาที่นี่” ร้อยดาวบอก
“เธอกล้าเดินทางกว่า 6,000 ไมล์เข้ามาอยู่ในรั้วบดินทร์ธร ทั้งๆที่ไม่รู้จักใครสักคนเลยนะเหรอ ?”
“เกิดมาบนโลกนี้ก็เหมือนเดินทางเข้ามาในเมืองที่ไม่เคยรู้จักอยู่แล้ว ให้เดินวนเวียนบนถนนที่ตัวเองคุ้นเคยทุกๆวันคงเบื่อแย่ ถนนสายอื่นมีอีกตั้งเยอะแยะรอให้เราไปเหยียบ จะมัวปิดกั้นกักขังตัวเองไปทำไม”
สิบทิศหันมามองร้อยดาวอย่างทึ่งๆ เพราะเขาเป็นผู้ชายเสียเปล่าแต่กลับกลัวนั่นกลัวนี่อยู่ได้ ร้อยดาวเห็นบรรยากาศในรถเงียบกริบจนเริ่มรู้สึกเคอะเขินจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ใกล้จะถึงบดินทร์ธรแล้วหรือยังคะ ?”
“กลัวว่าฉันจะพาเธอไปขายหรือไง ?”
ร้อยดาวกลั้นหัวเราะ “คนตาบอดอย่างดิฉัน ขายได้ราคาด้วยหรือคะ”
สิบทิศมองร้อยดาวแล้วอมยิ้ม
“ข้างหน้าก็ถึงบ้านเธอแล้ว”
รถของสิบทิศมาถึงทางแยกระหว่างบดินทร์ธรกับเวฬุมาศ สิบทิศหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าสู่เวฬุมาศทันที
ร้อยดาวเปิดประตูลงจากรถแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมนมแสงไม่เข้ามาหา
น่านฟ้ายิ้มร่าขณะวิ่งเข้ามาหาร้อยดาว
“พี่ร้อยดาว” น่านฟ้าเข้าไปจูง “ค่อยๆเดินนะคะ มาค่ะ หญิงช่วย”
ร้อยดาวงง “คุณหญิงน่านฟ้า... ที่นี่ที่ไหนกันแน่คะ ?”
“ถามแปลกๆ ที่นี่ก็เวฬุมาศน่ะสิคะ” น่านฟ้าบอก
ร้อยดาวพูดกับสิบทิศ “ไหนคุณชายบอกว่าจะพาดิฉันไปส่งที่บ้าน”
“พอแต่งงานกันแล้ว ที่นี่ก็เป็นบ้านเธอ ไม่ถูกหรือไง”
สิบทิศพูดจบก็เดินเข้าไปในตำหนัก ปล่อยให้ร้อยดาวยืนงงเป็นไก่ตาแตก
“หากท่านป้าทรงรู้ว่าพี่ร้อยดาวมาคงดีพระทัย เข้าไปข้างในดีกว่าค่ะ”
ที่น่านฟ้าพาร้อยดาวเข้าไปในตำหนัก
รัตนากรถามสิบทิศเรื่องอาการของร้อยดาวด้วยความเป็นห่วง
“ใกล้จะถึงวันหมั้นแล้ว ยังหาสาเหตุไม่พบอีกหรือ ?”
“ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและละเอียดอ่อน การตรวจรักษาต้องค่อยเป็นค่อยไป ท่านป้า” สิบทิศบอก
รัตนากรถาม “ตอนนี้อาการของหนูเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บ-ปวดดวงตาอยู่หรือเปล่า”
“ไม่รู้สึกปวดแล้วเพคะ เพียงแต่ยังมองไม่เห็นเท่านั้น” ร้อยดาวตอบ
“พี่ร้อยดาวมองไม่เห็นคงลำบากแย่ ขนาดหญิงเดินในห้องมืดๆ ยังชนโน่นชนนี่ หกล้มหกลุกอยู่เรื่อย”น่านฟ้าบอก
ร้อยดาวยิ้ม “ทุกวันนี้เราเคยชินกับสิ่งที่ตามองเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวจนลืมมองเข้าไปข้างในตัวเราเอง บางทีการที่มองอะไรไม่เห็น ก็ทำให้ดิฉันมีสมาธิอยู่กับตัวเอง ได้ทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้น”
น่านฟ้ามองร้อยดาวอย่างปลาบปลื้มเหมือนเธอเป็นไอดอล
“เด็กสมัยนี้จะมีสักกี่คนที่เจอวิกฤตในชีวิตอย่างหนูแล้วยังยิ้มสู้ มีกำลังใจเข้มแข็งอยู่ได้” รัตนากรชม
“อย่าห่วงไปเลยครับ ร้อยดาวคนนี้เธอไม่ได้อ่อนแอเหมือนอย่างที่คิด” สิบทิศบอก
ร้อยดาวรู้สึกสะดุดกับการเน้นคำว่า “ร้อยดาวคนนี้” ของสิบทิศ สิบทิศสนุกกับการได้แกล้งร้อยดาว
สิบทิศพาร้อยดาวออกมาเดินเล่นในสวน
“ฉันเข้าเมืองไปจัดการติดต่อเรื่องการ์ดเชิญ ของชำร่วย ดอกไม้ และอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะให้ช่างไปวัดตัวเธอที่บดินทร์ธร”
“ไม่เห็นจะต้องยุ่งยากขนาดนั้นเลยนี่คะ ก็แค่งานพิธีหมั้นหลอกๆ”
“ถึงแม้ว่าเธอกับฉันจะแค่เล่นละครตบตา แต่ก็ต้องแนบเนียนที่สุดไม่เช่นนั้นท่านป้าจะทรงจับได้ฉันไม่อยากทำให้ท่านป้าต้องเสียพระทัย”
“บางทีดิฉันอาจจะต้องตาบอดตลอดชีวิตก็ได้ คุณชายควรจะเปลี่ยนใจหันไปเลือกคนที่เพียบพร้อมกว่าดิฉัน อย่างคุณหนูดาราเรศหรือไม่ก็คุณหนูดารกา”
“คนที่เลือกเธอคือท่านป้า ไม่ใช่ฉัน”
สิบทิศพูดจบก็เดินผ่านหน้าร้อยดาวไป ร้อยดาวยืนหน้าม่อยอยู่คนเดียวเพราะเข้าใจว่าสิบทิศไม่เคยมีใจให้เธอเลย ร้อยดาวหันรีหันขวางจนชนเข้ากับแผงอกของสิบทิศเข้าอย่างจัง
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณชายยังอยู่ตรงนี้”
“ซุ่มซ่ามไม่เคยเปลี่ยน”
ร้อยดาวหน้าจ๋อยที่ถูกสิบทิศแกล้งดุ
สิบทิศเอาดอกราชาวดีที่เก็บในสวนมาให้ร้อยดาว
“ผลวิจัยทางการแพทย์พบว่า กลิ่นของดอกราชาวดี ช่วยให้เกิดความผ่อนคลายทางอารมณ์ ฉันหวังว่าดอกไม้นี่คงทำให้เธอเลิกวิตกกังวลเรื่องแต่งงานกับฉันเสียที”
“เลิกบำบัดดิฉันได้แล้วค่ะ นี่ไม่ใช่เวลางานแล้วนะคะ คุณหมอสิบทิศ”
ร้อยดาวดมดอกราชาวดีที่สิบทิศเอามาให้ สิบทิศมองแล้วยิ้ม
รัตนากรกับน่านฟ้าแอบดูสิบทิศกับร้อยดาวอยู่ที่หน้าต่างตำหนักแล้วเอาใจช่วย
“ทอดเนตรสิมังคะ จีบกันใหญ่แล้ว... เสือยิ้มยากอย่างพี่ชาย ยิ้มเป็นกับเขาด้วย !?! ร้อยวันพันปีไม่ยักกะเคยเห็น นี่หญิงไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมมังคะ ท่านป้า”
“ถ้าหญิงตาฝาด แสดงว่าตาของป้าก็ฝาดด้วย น่าทึ่งจริงๆ หนูร้อยดาวคนนี้ทำให้พี่ชายของหญิงกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง”
สิบทิศกับร้อยดาวยืนสวีทกันอยู่ในสวน
สิบทิศพาร้อยดาวมาส่ง นมแสงรับช่วงประคองร้อยดาวต่อ
“ต้องขับรถเทียวรับเทียวส่งคุณหนูร้อยดาวไปตรวจที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ รบกวนคุณชายด้วยนะคะ”
“ไม่ถือว่ารบกวนหรอกจ้ะ นม คุณชายก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น” ร้อยดาวบอก
ร้อยดาวพูดเน้นคำว่า “ทำตามหน้าที่” เพื่อให้กระทบสิบทิศเรื่องงานแต่งงาน
“หมดหน้าที่แล้ว ผมขอตัวกลับก่อน” สิบทิศบอก
ร้อยดาวอยากจะมองตามแต่ก็มองไม่เห็น สิบทิศหันกลับมามองร้อยดาวอีกครั้งอย่างไม่อยากจะกลับ ก่อนตัดใจเดินจากไป
สิบทิศพบเต็มเดือนที่ด้านหน้ามุข
เต็มเดือนพูด “อย่าเพิ่งรีบกลับสิคะ คุณชาย ให้เกียรติดิฉันชงชาให้คุณชายดื่มสักถ้วยจะได้ไหมคะ ?”
เต็มเดือนคลี่ยิ้ม แต่สิบทิศกลับรู้สึกตะครั่นตะครออย่างประหลาด
เต็มเดือนชงชาพลางพูดกับสิบทิศอย่างใจเย็น
“ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกในไส้ แต่ดิฉันก็รักหนูร้อยดาวไม่ต่างจากลูกสาวของดิฉัน ไม่รู้เป็นเวรกรรมอะไรทำให้ต้องตาบอดเสียตั้งแต่อายุยังน้อย”
สิบทิศพอมองออกว่าเต็มเดือนเป็นคนประเภทปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอเขาจึงอดที่จะเหน็บไม่ได้
“ต่อให้ตาดีก็ใช่ว่าจะมองออกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีอย่างที่เห็นหรือไม่ คุณเต็มเดือนว่าจริงไหมครับ”
เต็มเดือนชะงักกึกเพราะรู้สึกเหมือนถูกหลอกด่า
“ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ดีหรือเลวหรอกค่ะ มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่กำหนดว่าเป็นความดีหรือความเลว ดื่มชาสักหน่อยนะคะ ดิฉันตั้งใจชงให้คุณชายเป็นพิเศษ”
เต็มเดือนยื่นถ้วยชาที่เพิ่งชงเสร็จให้สิบทิศ สิบทิศมองถ้วยชาตรงหน้ายังไม่ไว้วางใจ
“ขอโทษด้วย ผมไม่นิยมดื่มชาดอกยี่โถ และคุณเองก็ไม่ควรจะชงให้ใครดื่มทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณท่าน เพราะสารพิษในดอกยี่โถส่งผลต่อการเต้นที่ผิดปกติของหัวใจและอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้หัวใจหยุดเต้นได้”
“อย่างนั้นหรือคะ ดิฉันเพิ่งทราบ ! แต่ไม่ทราบว่าใครบอกคุณชายหรือคะว่าดิฉันเอาดอกยี่โถชงชาให้คุณท่านดื่ม”
“ใครบอกไม่สำคัญ ผมแค่อยากจะเตือนคุณให้รู้ว่าชายี่โถที่คุณชงนี่เป็นอันตรายกับคนที่ดื่มมันเข้าไป”
“ขอบคุณนะคะที่เตือน แต่เผอิญนี่เป็นชาผู่เอ๋อ 1 ใน 10 สุดยอดชาจีนต่างหาก ฉะนั้นคงไม่เป็นอันตรายต่อคนที่ดื่มชาของดิฉันกระมังคะ ?”
สิบทิศเสียหน้าเล็กๆ เต็มเดือนยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่าและเริ่มรู้สึกว่าสิบทิศไม่น่าไว้ใจอีกต่อไป
ช่างตัดเสื้อ 2 คนช่วยกันวัดตัวเตรียมตัดชุดงานหมั้นให้ร้อยดาว
ช่างตัดเสื้อเอาแบบเสื้อ และเนื้อผ้าให้ร้อยดาวเลือก ร้อยดาวแววตาว่างเปล่าเพราะว่ามองไม่เห็น ช่างตัดเสื้อมองหน้ากันแบบไม่คิดว่าเจ้าสาวจะตาบอด สิบทิศเรียกให้ช่างตัดเสื้อมาถามเขา เขาเลือกแบบชุดที่ตัวเองคิดว่าร้อยดาวใส่แล้วน่าจะสวย ช่างตัดเสื้อขะมักเขม้นจดตามคำสั่งที่จู้จี้ของสิบทิศ
ช่างตัดเสื้อยกมือไหว้ลาสิบทิศแล้วขอตัวไป ร้อยดาวเอ่ยกับสิบทิศหลังจากที่ช่างตัดเสื้อทั้งสองคนออกจากห้องไปแล้ว
“ไม่เห็นจำเป็นต้องลงทุนตัดชุดหรูหราให้ดิฉันเลยค่ะ เปลืองเงินเปล่าๆ”
“จะให้ฉันอับอายขายหน้าแขกเหรื่อที่เห็นว่าที่เจ้าสาวของเวฬุมาศสวมชุดไปรเวทในงานหมั้นหรือไง” สิบทิศดุ “หัดรู้จักกาลเทศะเสียบ้าง”
ร้อยดาวหน้าเจื่อนลง เมื่อได้ยินเสียงที่ดูไม่อินังขังขอบของสิบทิศ
“ถ้าพิธีหมั้นทำให้คุณชายต้องฝืนใจก็บอกดิฉันมาตามตรงเถอะ ดิฉันยินดีจะเรียนให้คุณท่านทราบและปฏิเสธกับท่านหญิงรัตนากรเอง”
สิบทิศรู้สึกเหมือนถูกน้ำแข็งรดที่ใจ เขาชาวาบไปทั้งตัวจะขยับปากพูดแก้แต่ก็ปากหนัก
“ฉัน...”
ร้อยดาวพูดต่อ “ดิฉันเข้าใจค่ะว่าคุณชายต้องลำบากใจแค่ไหนที่ต้องทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจ จะมีผู้ชายคนไหนอยากเข้าพิธีหมั้นกับผู้หญิงตาบอดอย่างดิฉันให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านจริงไหมคะ”
ร้อยดาวยิ้มเศร้าๆ ก่อนใช้ไม้เท้าเดินสะเปะสะปะออกจากห้องไป
“ฉันขอโทษ...ที่ไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจฉัน...”
สิบทิศมองตามอย่างรู้สึกผิด
รัตนากรถามเสียงขุ่นเมื่อรู้ว่างานหมั้นมีปัญหา
“เรื่องหมั้นมีปัญหาอะไรรึ ?”
“ยกเลิกไปก่อนดีไหม ฝ่าบาท” ดำรงเสนอ “แม่ร้อยดาวยังตาบอดอยู่แบบนี้ หากยังปล่อยให้พิธีหมั้นดำเนินต่อไป เกรงว่าจะเป็นที่ครหาเอาได้”
“หนูร้อยดาวเองก็หนักใจเรื่องนี้ไม่น้อย ปรับทุกข์กับหม่อมฉันเกรงว่าตัวจะทำให้คุณชายสิบทิศต้องลำบากใจ ถึงอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้า”เต็มเดือนบอก
เต็มเดือนมองหน้าสิบทิศแล้วยิ้มใสๆ หลังจากพูดเพื่อขัดขวางไม่ให้สิบทิศหมั้นกับร้อยดาว
“เอาอย่างนี้ดีไหมเพคะ” สร้อยฟ้าเสนอ “เปลี่ยนตัวคู่หมั้นจากอีนัง...เอ่อ...หนูร้อยดาวเป็นหนูดาราเรศลูกสาวของหม่อมฉันแทน น่าจะเหมาะสมกับคุณชายสิบทิศราวกับกิ่งทองใบหยกนะเพคะ”
“ไม่ยักรู้ แม่ดาราเรศกลับมาแล้วรึ ลูกสาวหล่อนไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนมาล่ะตั้งหลายคืน” จงจิตยิ้มเยาะ
สร้อยฟ้าหันควับมาจ้องหน้าจงจิตแบบตาลุกเพราะโกรธที่จงจิตพูดจาไม่ไว้หน้า สร้อยฟ้าทำปากขมุบขมิบด่า “อีจง”
“หากไม่รังเกียจ คุณชายจะหมั้นกับดารกาลูกสาวดิฉันแทนก็ได้นะคะ” จงจิตเสนอ
สร้อยฟ้าแขวะ “แม่ลูกสาวหล่อนที่เป็นบ้าเป็นหลัง หายดีแล้วหรือ ไม่ใช่หมั้นๆอยู่ ลุกขึ้นมาไล่อาละวาดแขกเหรื่อกระเจิดกระเจิงล่ะ”
จงจิตจะปราดเข้าไปตบสร้อยฟ้าที่นั่งลอยหน้า แต่ก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงกระแอมของดำรง
“กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาททรงยกเลิกงานหมั้นเสีย เพื่อที่บดินทร์ธรจะได้ไม่ต้องดึงเวฬุมาศลงมาให้มัวหมอง” ดำรงบอก
“ฉันไม่เห็นว่าการที่สิบทิศหมั้นกับหนูร้อยดาวจะทำให้เวฬุมาศต้องมัวหมองตรงไหน ตาหนูร้อยดาวมองไม่เห็น รักษาไปเดี๋ยวก็หาย ถ้าหมอไทยจนปัญญา ฉันก็จะส่งไปรักษาที่เมืองนอกกับหมอฝรั่ง อะไรกัน ยังไม่ทันไรก็แช่งชักหลานตัวเองอยู่ได้ พูดไม่รู้จักคิด”
เมื่อถูกรัตนากรดุดำรงก็กลับหงอจากเสือร้ายกลายเป็นลูกแมวทันที
“งั้นก็ให้เจ้าตัวเขาตัดสินใจเองก็แล้วกัน จะเอายังไงก็ว่ามา แม่ร้อยดาว”
“หม่อมฉัน...”
ก่อนที่ร้อยดาวจะพูดอะไรสิบทิศก็แย่งพูดขึ้นมาทันที
“หลานตกลงกับร้อยดาวแล้ว ท่านป้า”
รัตนากรตั้งใจฟังสิบทิศ เช่นเดียวกับทุกคน
สิบทิศพูดต่อ “เรื่องงานหมั้น.... ขอยืนยันตามฤกษ์เดิมที่กำหนดไว้ แขกเหรื่อจะมีเพียงญาติสนิทมิตรสหายของทั้งสองฝ่าย คัดเลือกเฉพาะที่แน่นแฟ้นและใกล้ชิด จะได้ไม่เอิกเกริกจนเกินควร ส่วนเรื่องงานแต่งจะจัดขึ้นเมื่อไร ค่อยหารืออีกครั้งเมื่อทุกอย่างพร้อมก็แล้วกัน ใช่ไหมร้อยดาว ?”
ร้อยดาวงงเป็นไก่ตาแตก เธอพูดไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าไปตกลงกับสิบทิศตั้งแต่เมื่อไร
“เช่นนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ ดีไหม ดำรง ?” รัตนากรถาม
“ก็ในเมื่อเออออห่อหมกตกลงกันแล้ว ใครจะไปว่าอะไรได้” ดำรงบอก
รัตนากรมองร้อยดาวพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดู ในขณะที่สามสะใภ้จงเกลียดจงชัง
สิบทิศพาร้อยดาวเดินอกมาที่ระเบียงเพื่อรับลมยามเย็น
“ดิฉันไปตกลงแบบนั้นกับคุณชายตั้งแต่ตอนไหน” ร้อยดาวถาม
“จะตอนไหนก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเวฬุมาศกับบดินทร์ธรกำลังจะกลับมาแน่นแฟ้นกันอีกครั้ง ฉันไม่อยากจะทำให้เสียบรรยากาศ”
“ถึงแม้ว่าคุณชายจะต้องฝืนใจนะหรือคะ ?”
“มีอีกเรื่องที่เธอควรจะรู้เกี่ยวกับฉัน... ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีใครบังคับคนอย่างฉันได้”
ร้อยดาวถึงกับอึ้งไป เธอคิดในใจว่าหมายความว่าคุณชายสิบทิศเต็มใจที่จะหมั้นกับฉันหรือนี่
“หรือว่าเธอไม่เต็มใจที่ได้เป็นคู่หมั้นของฉัน ?” สิบทิศย้อนถาม
“หากทำให้ความร้าวฉานของสองตระกูลสิ้นสุดลงได้ ดิฉันก็ยินดี”
แม้ว่าร้อยดาวจะพูดเลี่ยงๆ แต่ก็ปิดความเขินอายไว้ไม่มิด สิบทิศอ่านอาการของร้อยดาวออกจึงแอบยิ้มที่มุมปาก
ดารกานั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนดอกไม้บดินทร์ธร เธอโยกตัวไปมาพลางพูดพล่ามบ่นเพ้ออยู่คนเดียว
“ทำไมไม่มีใครรักฉันเลยสักคน... ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว...คนที่ฉันรักก็ไม่รักฉัน...คุณปู่ก็ไม่รัก...ขนาดแม่ยังไม่รักฉันเลย...แม่รักแต่พวกผู้ชายที่นอนด้วยเท่านั้น...บางทีถ้าฉันเกิดเป็นผู้ชาย แม่อาจจะรักฉันบ้างก็ได้...แล้วพ่อล่ะ พ่อจะรักฉันไหมนะ...พ่อ ?”
ภาพตอนที่ดารกาแทงกระสอบ พอเปิดออกมาพบว่าเป็นปั้นแวบกลับมา
ดารกาแบมือทั้งสองข้างของตัวเองแล้วจ้องมอง
“ฉันฆ่าพ่อตัวเองตายด้วยน้ำมือของฉันเอง” ดารการ้องไห้โฮ “พ่อจ๋า...ยกโทษให้หนูด้วย...หนูไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพ่อ... หนูไม่รู้จริงๆว่าพ่ออยู่ในนั้น ...หนูขอโทษ...คนอื่นเกลียดหนูมากพอแล้ว...พ่ออย่าเกลียดหนูอีกคนเลยนะ...พ่อต้องรักหนูนะ”
ดารการ้องไห้สะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร
อ่านต่อตอนที่ 11