เวียงร้อยดาว ตอนที่ 1
ปี พุทธศักราช 2507 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมดา ซึ่งมีที่ครอบดวงตาทั้งสองข้าง หลังการผ่าตัด กำลังนั่งอยู่บนวีลแชร์ที่พยาบาลเข็นไปอย่างช้าๆ ตามทางเดิน ต่อเนื่องเข้าไปยังห้องจักษุแพทย์
หมอโรเบิร์ตที่รออยู่ในห้อง เปิดที่ครอบดวงตาของเมดาออก พูดภาษาอังกฤษกับหล่อนว่า
“ขออนุญาตนะครับ…หมอจะแกะผ้าปิดตาแล้วนะครับ พร้อมนะ”
พยาบาลขยับไปยืนข้างๆ ขณะใบหน้าเมดาค่อยๆ ถูกแกะผ้าที่ปิดตา พร้อมๆ กับเหตุการณ์ในอดีตก็หวนย้อนกลับมาในห้วงคิดของเธอ
ในตอนนั้น รถยนต์ของดิลกแล่นฝ่าไปบนพื้นถนนที่เจิ่งนองด้วยน้ำ เนื่องเพราะหิมะเริ่มละลายทำให้ถนนลื่นมาก รถของเขาฝ่าไปในความมืด มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลด้วยความเร็ว เพื่อไปดูใจร้อยดาวที่กำลังจะสิ้นใจด้วยโรคหัวใจ
ดิลกขับรถด้วยความเร็วเพื่อไปให้ทัน จันทร์ฉายนั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนเมดานั่งอยู่ที่เบาะหลัง ทั้งสามมีสีหน้าร้อนใจและเป็นห่วงร้อยดาว ที่กำลังอาการหนักด้วยโรคหัวใจ
รถยนต์ของดิลกเสียหลักแล่น สไลด์ไปตามพื้นถนนที่ลื่นมากจนหลุดโค้งแล้วพลิกคว่ำ ทั้งสามหวีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด
“อ๊ายย !!”
รถพลิกไปปะทะอะไรบางอย่างเต็มแรงจนกระทั่งได้ยินกระจกหน้ารถแตกละเอียดดังเปรี้ยง
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนเจ็บไปอย่างรวดเร็ว เมดาซึ่งประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำนอนอยู่บนเตียง มีบาดแผลถลอกปอกเปิดทั้งตัวของเธอ เศษกระจกพุ่งเข้าตาจนเลือดไหลอาบทั้งสองข้าง อาการวิกฤติ ใบหน้าของเมดาเหยเกเพราะเจ็บปวด
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้ของเมดาเข้าไปยังห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน คณะศัลยแพทย์และนางพยาบาลวิ่งกันวุ่นเพราะเธอต้องเข้ารับการผ่าตัดดวงตาเป็นการเร่งด่วน
ดวงไฟสำหรับการผ่าตัดดวงตาภายในห้องผ่าตัดฉุกเฉินสว่างพรึบขึ้น เมดานอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเพื่อรับการผ่าตัดดวงตาอย่างเร่งด่วน
เมดามองย้อนแสงที่จ้า มองเห็นทีมแพทย์เบลอมาก จนแทบจะไม่ชัดเจนว่าเป็นภาพอะไร
ภาพอดีตเลือนหายไป เมดาถูกแกะผ้ากอซที่ปิดดวงตาชั้นในออกเรียบร้อยแล้ว นั่งอยู่กับหมอโรเบิร์ต
“ทีนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น...ช้าๆ...อย่างนั้น...ดีมากเอาล่ะ... บอกหมอซิ...ว่าเห็นอะไรบ้าง?”
“ฉันเห็น...”
เมดาพบว่าตัวเองอยู่ในความมืด และเห็นเพียงร่างของ เวียงแก้ว ในชุดขาวโพลนแต่ยังเห็นหน้าไม่ชัด รอบข้างเหมือนมีหมอกจางๆ
ทันทีที่เมดากะพริบตา ภาพเวียงแก้วก็หายวับไป
เมดาเห็นใบหน้าหมอและพยาบาลเบลอมากเนื่องจากตาของเธอยังสู้แสงได้ไม่ดี
“คุณหมอ...พยาบาล...” เมดาพูดออกมา
“ดูซิ...หมอชูกี่นิ้ว” โรเบิร์ตชูห้านิ้ว
“ห้าค่ะ”
“ลองยื่นมือออกมา แล้วจับมือหมอไว้”
เมดาค่อยๆยื่นออกมาจับมือหมอโรเบิร์ตได้อย่างถูกต้อง หมอโรเบิร์ตหันไปยิ้มพอใจกับพยาบาล เพราะการผ่าตัดดวงตาครั้งนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ ในขณะที่เมดายังไม่ชินกับดวงตาหลังการผ่าตัด
หมอโรเบิร์ตกำลังตรวจเช็คดวงตาของเมดาเป็นครั้งสุดท้ายผ่านจอสแกนดวงตา
“ดูท่าทางจะโอเคนะ... ฟื้นตัวได้ดีมาก เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“แสบตานิดหน่อยค่ะ” เมดาบอก
หมอโรเบิร์ตเอาไฟฉายส่องที่ดวงตาของเมดา
“เรื่องปกติครับ อีก2-3 วันก็หาย ทางกายภาพเป็นปกติดี ร่างกายคุณไม่ได้ปฏิเสธเนื้อเยื่อกระจกตาของผู้บริจาค ยินดีด้วยนะครับ” หมอโรเบิร์ตยิ้มให้เมดา
เมดาไม่ดีใจสักเท่าไรนัก สีหน้าของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของดิลกและจันทร์ฉาย
รูปภาพของดิลกและจันทร์ฉาย ผู้เป็นบิดามารดาประดับอยู่บนหิ้งนั้น เบื้องหน้ามีโกศกระดูกตั้งอยู่ เมดาในชุดไว้ทุกข์กำลังเก็บข้าวของสมบัติส่วนตัวของพ่อกับแม่ ลงหีบใบใหญ่ทีละชิ้นๆ เมดาหยิบอัลบั้มรูปถ่ายของดิลกขึ้นมาดู ซึ่งมีทั้งการ์ดวันคริสมาสต์ที่เธอเคยทำให้พ่อตอนเด็กๆ มีรูปเธอตอนเป็นเด็กๆ และรูปถ่ายคู่กันระหว่างดิลกกับจันทร์ฉายตอนหนุ่มๆ ที่รักกันมาก เมดาพลิกย้อนดูไปเรื่อยๆ เธอมองดูรูปถ่ายแต่ละใบแล้วยิ้มทั้งน้ำตา
เมดาพลิกหลังรูปถ่ายคู่ระหว่างดิลกกับจันทร์ฉายที่ถ่ายที่วัดเจดีย์คีรีวิหาร ซึ่งเป็นวัดศิลปะล้านนา ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีข้อความที่เขียนด้วยลายมือของดิลกว่า “ชีวิตคือการเดินทาง... อยู่ไหน ก็ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา”
เมดาพูดกับโกศกระดูกที่อยู่บนหิ้ง
“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูสัญญาว่าจะพาพ่อกับแม่กลับบ้านเอง”
เมดาเอาอัลบั้มรูปใส่รวมกับสมบัติต่างๆ ที่อยู่ในหีบ
เสียงเวียงแก้วที่ดังแผ่วมากๆ คล้ายเสียงสายลมที่พัดในหุบเขาดังขึ้นพร้อมๆกับผ้าม่านที่หน้าต่างซึ่งอยู่ๆก็พัดพลิ้วคล้ายมีลมเย็นๆ วูบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งปิดสนิท
“ร้อยดาว...”
เมดาหันขวับอย่างรวดเร็วจนมือปัดไปโดนตั้งหนังสือที่วางซ้อนๆกันอยู่บนโต๊ะทำงานของดิลกตกลงพื้นกระจายเกลื่อน เมดาไม่เห็นใครก็นึกว่าตัวเองหูฝาด
“หรือว่าเราหูฝาด?”
เมดาก้มลงเก็บหนังสือที่พื้นแล้วก็เจอกับสมุดไดอารี่เล่มหนึ่งที่รวมอยู่ในกองนั้น เธอหยิบไดอารี่ขึ้นมาเปิดดูผ่านๆ จึงรู้ว่าเป็นไดอารี่ของดิลกเนื่องจากจำลายมือของดิลกได้
“ไดอารี่ของพ่อ?”
เมดารู้สึกสนใจใคร่รู้เรื่องราวในสมุดไดอารี่ของพ่อตัวเอง
เมดาอยู่ในชุดนอนนั่งอ่านสมุดไดอารี่ของพ่อ ที่หน้ากระจกกรอบหลุยส์บานใหญ่ เธอเห็นข้อความในสมุดไดอารี่ที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของดิลกเป็นภาษาอังกฤษ
“วันนี้ ร้อยดาว ลูกสาวสุดที่รักของฉันที่เพิ่งอายุครบ 2 ขวบเมื่อ 2 วันที่แล้ว เรียก พ่อ เป็นครั้งแรก”
เมดาอ่านแล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เธอก้มหน้าอ่านสมุดไดอารี่ต่อไป
“จันทร์ฉายอยากจะลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่บ้านบดินทร์ธรให้หมด บางอย่างที่เป็นความลับ ก็ควรปล่อยให้เป็นความลับตลอดไป”
“เกิดอะไรขึ้นที่บ้านบดินทร์ธร ? แล้วอะไรที่เป็นความลับ?” เมดาอยากรู้ขึ้นมา
เมดารีบอ่านไดอารี่ต่อไปด้วยความสงสัย
“พี่ปกรณ์ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันกับจันทร์ฉายตั้งใจไว้ว่าจะรักและเลี้ยงดูร้อยดาวให้ดีที่สุด เหมือนกับลูกแท้ๆของตัวเอง”
เมดาสะดุด “ลูกแท้ๆ... หมายความว่ายังไง? หรือว่า...”
เมดาตกใจมากเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ทันใดนั้น หยดน้ำหยดหนึ่งก็หยดลงมาที่หน้าสมุดไดอารี่ตรงคำว่า “ลูกแท้ๆ” ทำให้รอยปากกาหมึกซึมกระจายเป็นดวง เมดาเงยหน้าขึ้นมองบนเพดานเพราะเข้าใจว่าคงมีรอยทำให้น้ำหยดลงมา เธอจะก้มลงอ่านไดอารี่ต่อ
เสียงเวียงแก้วก็แว่วมาอีก “กลับบ้านน”
กระจกเบื้องหน้าเมดามีเงาสะท้อนร่างของเวียงแก้วขาวโพลนยืนอยู่ข้างหลังเมดา เมดารีบหันกลับไปมองทันทีด้วยความตกใจแต่ร่างเวียงแก้วก็หายไปแล้ว
เมดาเอามือกุมดวงตาเพราะเข้าใจว่าเป็นเพราะดวงตาที่เพิ่งรับการผ่าตัดมาทำให้เธอตาฝาดไป เมดาปิดสมุดไดอารี่วางไว้ที่หน้ากระจก ก่อนจะเดินมาที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน เมดาเอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่หัวนอน
ดวงจันทร์สลัวลาง เมฆทะมึนเคลื่อนผ่านไปทำให้บรรยากาศดูน่ากลัว เมดากำลังหลับสนิทอยู่ใต้ห่มผ้านวมผืนใหญ่ ผ้านวมคล้ายค่อยๆถูกลากลงไปจากตัวเมดาอย่างช้าๆ เมดาพลิกตัวแต่ยังไม่ตื่น เสียงเวียงแก้วร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้นทำให้เมดารู้สึกตัว
เมดาลืมตาขึ้น เสียงร้องไห้ยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง เมดาเหลือบไปมองที่ปลายเตียงก็เห็นร่างๆหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่ปลายเตียง
“ใครน่ะ?”
เวียงแก้วในชุดขาวโพลนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาด้วยน้ำตานองหน้า
“ร้อยดาว... กลับมา...”
“คุณเป็นใคร?”
“แม่เอง...”
เมดาแปลกใจ “แม่?”
“กลับมา...กลับมาหาแม่... กลับมา”
ทันใดนั้น ร่างของเวียงแก้วก็คล้ายถูกกระชากไปอย่างแรง จนหายกลืนไปกับความมืดมิด
เมดาตกใจจนสะดุ้งตื่นขึ้น ทำให้พบว่าทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน!
“ฝันเหรอ?”
เมดากุมขมับเพราะปวดหัวหน่วงๆ ขึ้นมา
เมดาล้างหน้าที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ เธอเอานิ้วเบิกดวงตาของตัวเองดูว่ามีอะไรผิดปกติในดวงตาหรือไม่ เมดาแปลกใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในดวงตา เธอค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปหากระจก
ภาพสะท้อนของเวียงแก้วในชุดขาวอยู่ในกระจกแก้วตา เมดาตกใจ เธอกระพริบตาทำให้ภาพเวียงแก้วหายวับไป เมดารู้สึกสับสนว่าดวงตาของตัวเองน่าจะมีอะไรผิดปกติ
เมดารูดผ้าม่านให้แดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดเข้ามาทางหน้าต่าง สมบัติต่างๆของดิลกและจันทร์ถูกเก็บลงในหีบเรียบร้อยแล้ว เมดามองไปยังรูปถ่ายของพ่อกับแม่ที่อยู่ใกล้กับโกศแล้วยิ้มจางๆให้ เมื่อเธอหันกลับมาก็แปลกใจที่เห็นซองจดหมายสอดอยู่ที่ช่องว่างใต้ประตู
เมดาก้มลงหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่ามันจ่าหน้าซองเป็นภาษาอังกฤษถึงร้อยดาว เมดาแปลกใจ เธอเลื่อนสายตาไปดูตรงชื่อผู้ส่งที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ และประทับตราจากเมืองไทย
เมดาสะกดชื่อ “ทวีป ยุติธาดา? ส่งมาจากเมืองไทย”
เมดารีบแกะจดหมายออกอ่านทันทีด้วยความอยากรู้ พออ่านจบเธอก็ตกใจ
“จดหมายเรียกให้ไปฟังการเปิดพินัยกรรมของคุณ..ปกรณ์ บดินทร์ธร”
เมดาเงยหน้าจากจดหมายด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด
ในเวลาต่อมา มาร์คมีสีหน้าตกใจเมื่อฟังสิ่งที่เมดาเล่าให้ฟัง หลังจากที่ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟ
“อะไรนะ! ยูจะกลับเมืองไทย For what? กลับไปทำไม? ในเมื่อทุกคนก็ตายไปหมดแล้ว”
“อย่างน้อยฉันก็ต้องเอากระดูกพ่อกับแม่กลับไปทำบุญที่เมืองไทย” เมดาบอก
“แต่ที่โน่น ยูไม่รู้จักใครเลยสักคน”
เมดาหนักใจที่จะเล่า “มีบางอย่างเรียกร้องให้ฉันกลับไปที่นั่น”
“อะไร?”
“ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง” เมดาหนักใจที่จะเล่า “มาร์ค! ตั้งแต่ผ่าตัดเปลี่ยนดวงตา ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับฉัน ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
“ยูใจเย็นๆ น่า บางทีอาจจะเป็นผลข้างคียงจากการรักษาก็ได้”
“ฉันเองก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นนะ มาร์ค แต่ถึงยังไง ฉันก็ต้องกลับไป”
เมดาสีหน้ามุ่งมั่นจะกลับไปค้นหาความจริงที่เมืองไทยให้ได้
เครื่องบินของสายการบินไทยลงแลนดิ้งที่สนามบินดอนเมือง เมดาลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า ผู้คนที่มายืนรอรับญาติสนิทมิตรสหายชูป้ายกันสลอน
เมดาซึ่งสวมแว่นกันแดดสีดำมองหาป้ายชื่อตัวเองแต่ไม่พบ เธอจึงเดินผ่านปรมัตถ์ที่ยืนชะเง้อชูป้ายชื่อเมดาไปในระยะเผาขน
เมดานึกขึ้นมาได้ “เฮ้ย”
เมดานึกขึ้นได้ว่าเป็นชื่อตัวเองก็รีบถอดแว่นแล้วรีบวิ่งถอยกลับมาอ่านป้ายชัดๆ เมดาถามปรมัตถ์เพื่อความแน่ใจ
“คุณทวีป ยุติธาดา หรือเปล่า ?”
“ผมชื่อปรมัตถ์”
“อ้าว ! ไม่ได้ชื่อทวีปเหรอ ?”
“ทวีปน่ะ ชื่อคุณพ่อผม ทำไมเหรอครับ ?”
“งั้นคุณก็มารับฉันน่ะสิ”
ปรมัตถ์เห็นเมดาเต็มตัวแล้วก็อึ้งไป
“คุณคือ... คุณหนูร้อยดาว ?”
เมดาพยักหน้ารับ
“จะไปกันหรือยังล่ะ ฉันอยากเห็นบ้านเต็มแก่แล้ว” เมดาว่า
ปรมัตถ์จะเข้าไปช่วยเมดาหิ้วกระเปาเดินทาง
“ผมช่วยครับ”
“ไม่เป็นไร... It’s O.K.”
“เอาสัมภาระมาแค่นี้เองหรือครับ”
“ขี้เกียจแบกมาน่ะ ขาดเหลืออะไรค่อยหาซื้อเอาข้างหน้า”
เมดาพูดจบก็เดินไปอย่างไม่แคร์ ปรมัตถ์แปลกใจคาแรคเตอร์เด็กนอกของเมดาเป็นอย่างมาก
เมดาซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังกำลังกินแซนด์วิชรองท้อง ข้างๆมีกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่ใช้ใส่สมุดไดอารี่ และโกศอัฐิอยู่ข้างใน
“นาย...” เมดาพยายามนึก “ปอ...ปอ... เอ๊ะ ! นายชื่อปออะไรนะ ?”
ปรมัตถ์ที่นั่งข้างปั้น คนขับรถหันมาตอบ
“ปรมัตถ์ครับ”
“อ่อ... จำได้ละ แล้วนายล่ะ ?” เมดาหันไปถามปั้น
ปั้นยิ้มให้เมดาผ่านกระจกส่องหลัง
“ผมชื่อปั้น เป็นคนขับรถให้คุณท่านมา 30 ปีแล้วครับ”
เมดายิ้มให้พลางคิดในใจว่าปั้นอยู่มานานคงต้องรู้อะไรดีๆแน่ๆ
“คุณท่านที่นายพูดถึงนี่ใครกัน ใช่คุณพ่อหรือเปล่า” เมดาถาม
“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงคุณท่านดำรง บดินทร์ธร คุณปู่แท้ๆของคุณหนู...อย่าบอกนะครับ ว่าคุณหนูจำคุณท่านไม่ได้”
“แหม...จะให้เด็ก 2 เดือนจำอะไรได้ แถมเรื่องยังผ่านมาตั้ง 25 ปี ฉันไม่ได้มีญาณทิพย์นะนายปั้น” เมดาพูดติดตลกแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วอีกนานมั้ยเนี่ยกว่าจะถึง”
“ถ้านั่งรถไปเรื่อยๆ ก็ประมาณ 8 ชั่วโมงครับ” ปรมัตถ์บอก
“8 ชั่วโมง !!!! ฉันขึ้นเครื่องจากอังกฤษกว่าจะบินมาถึงเมืองไทยก็ปาเข้าไป 36 ชั่วโมงแล้ว ยังต้องมานั่งทรมานสังขารต่อในรถยนต์จนก้นแฉะอีกตั้ง 8 ชั่วโมง โอ้มายกอด!”
เมดาเอนหลังพิงไปกับเบาะเพราะฟังแล้วเพลีย
รถยนต์ที่เมดานั่งเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมหรู ปรมัตถ์พูดขึ้นมา
“คุณหนูเดินทางมาเหนื่อยๆ คงจะเพลีย... คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ก่อน ผมติดต่อจองห้องพักสำหรับคุณหนูให้แล้ว”
เวลาผ่านไป ปรมัตถ์เดินมาส่งเมดาที่ห้องพัก พนักงานโรงแรมชายหิ้วกระเป๋าเข้ามาให้
“ถามจริงๆเถอะ บ้านฉันเนี่ย มีถนนตัดผ่านมั้ยต้องขึ้นหลังช้างด้วยหรือเปล่า” เมดาถาม
“บ้านบดินทร์ธรของคุณหนูไม่ได้ทุรกันดาร ขนาดนั้นหรอกครับ... รถยนต์เข้าถึง” ปรมัตถ์บอก
“โล่งอกไปที... ฉันนึกว่าต้องขี่ช้าง ล่องแพไม้ไผ่ ผจญภัยแอดเวนเจอร์เหมือนในหนังโฆษณาเที่ยวเมืองไทยซะอีก”
ปรมัตถ์อดที่จะขำในความไม่ประสีประสากับเมืองไทยของเมดาไม่ได้ จนต้องกลั้นหัวเราะ
“เออ! แล้วคืนนี้นายนอนกันที่ไหน?” เมดาถาม
“ผมกับนายปั้นพักอยู่ห้องข้างๆนี่แหละครับขาดเหลืออะไร คุณหนูเรียกผมได้ตลอด 24 ชั่วโมง”
เมดาพยักหน้าแล้วยิ้มให้ปรมัตถ์แทนคำขอบคุณและประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษของเขา
เมดาที่อยู่ในชุดนอนนั่งอ่านไดอารี่ของพ่อบนเตียงเพื่อที่จะหาข้อมูลต่อ
“เวลาที่อังกฤษผ่านไปไวมาก...ฉันอยากให้พี่ได้เห็นร้อยดาวสักครั้ง เธอเป็นเด็กสาวที่น่ารัก ยิ่งโต ก็ยิ่งเหมือนเวียงแก้ว”
เมดาสงสัย “เวียงแก้ว? ใคร?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเวียงแก้วดังขึ้นเบาๆ คล้ายกระซิบอยู่ที่ข้างหูของเมดา
“แม่เองง....”
เมดาหันขวับไปมองแต่ก็ไม่เห็นใคร
เมดาสลัดความสงสัยแล้ววางไดอารี่ไว้ที่หัวนอน ก่อนจะเอนตัวตัวลงนอน เมดาเห็นภาพห้องพักของตัวเองค่อยๆหลอมละลายกลายเป็นภาพห้องนอนของเวียงแก้วในเวียงร้อยดาวแบบไม่ค่อยชัดนัก
เมดาสะดุ้งแล้วยันตัวขึ้นมองอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ภาพนั้นได้หายวับไปแล้ว
เมดาขยี้ตา “นั่งเครื่องนานๆ สงสัยจะเจ็ตแล็ก...เลยป้ำๆเป๋อๆ”
เมดาทิ้งตัวลงนอนแล้วดึงผ้านวมขึ้นมาห่มก่อนจะหลับตาลง เงาสะท้อนในกระจกเป็นร่างของเวียงแก้วในชุดขาวโพลนลางๆ ที่กำลังยืนมองเมดาอยู่ข้างเตียง
คล้ายต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับเธอ
เช้าวันต่อมา เมดานั่งรับประทานอาหารเช้ากับปรมัตถ์ที่ล็อบบี้โรงแรม
“ฉันเพิ่งรู้ว่าพ่อดิลกเป็นน้องชายคนละแม่กับคุณปกรณ์” เมดาบอก
“พอคุณหนูอายุได้ 2 เดือน คุณดิลกกับคุณจันทร์ฉายก็รับคุณหนูไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมที่อังกฤษ และไม่เคยกลับมาเมืองไทยอีกเลย”
“แล้วคนที่ชื่อ...เวียงแก้วนี่ใคร ?” เมดาถาม
“คุณเวียงแก้วเป็นคุณแม่แท้ๆของคุณหนู เธอเป็นภรรยาอีกคนของคุณปกรณ์”
“อีกคน ? หมายความว่ายังไง คุณเวียงแก้ว เอ่อ...คุณแม่ของฉัน...ท่านเป็นภรรยาคนที่ 2 เหรอ? แล้วภรรยาคนแรกตายไปนานหรือยัง ?”
“ไม่มีภรรยาคนไหนเสียชีวิตทั้งนั้นครับ คุณปกรณ์มีภรรยาทั้งหมด 4 คน”
“โอ้มายก็อด! ตั้ง 4 คน อยู่เข้าไปได้ยังไง? แล้วคุณแม่ของฉันล่ะ เป็นภรรยาคนที่เท่าไหร่?”
เมดาฟังแล้วตกใจเพราะไม่อยากจะเชื่อหูว่าพ่อตัวเองเจ้าชู้ถึงขนาดมีภรรยาตั้งสี่คน
ปรมัตถ์เช็คเอาท์เสร็จ เขากับเมดาก็เดินต่อเนื่องเพื่อออกไปด้านหน้าของโรงแรม
“ภรรยาของคุณปกรณ์ มีคุณเต็มเดือน... คุณจงจิตร...คุณสร้อยฟ้า... แล้วก็คุณแม่ของคุณหนู... คุณเวียงแก้ว” ปรมัตถ์เล่าต่อ
“แม่เวียงแก้วของฉัน เป็นภรรยา ตั้งคนที่สี่เลยเหรอ” เมดาตกใจ
“ครับ...แต่ก็เป็นภรรยาที่คุณปกรณ์รักมากที่สุด น่าเสียดายที่...”
ปรมัตถ์หยุดเล่ากะทันหันเพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้
“เสียดายอะไร ? เกิดอะไรขึ้นกับแม่ฉัน ? แล้วคุณพ่อปกรณ์ล่ะ เป็นอะไรตาย ?”
ปั้นขับรถมาจอดเทียบที่ด้านหน้าโรงแรมที่ทั้งสองยืนรออยู่พอดี
“นายปั้นมาพอดี... เราไปกันต่อเถอะครับ”
เมดายังคาใจเรื่องที่ปรมัตถ์เล่าให้ฟัง
รถแล่นผ่านถนนชนบทคดเคี้ยวและขรุขระสะเทือนเป็นลูกคลื่นขึ้นๆลงๆ ฝุ่นจากดินลูกรังสีแดงคลุ้งตลบ สองข้างทางเป็นเรือกสวนไร่นาเขียวขจี
เมดาบ่นอุบ “จะพาฉันไปแดนสนธยาหรือไง เมื่อไหร่จะถึงสักที”
“เลี้ยวข้างหน้าโน่น...” ปั้นลากเสียงยาว “อีกไม่กี่สิบโค้ง ก็ถึง “บ้านของคุณหนู” แล้วครับ”
“งั้นจอดก่อน!”
“จอดทำไมล่ะครับ คุณหนู” ปรมัตถ์ถาม
เมดาพะอืดพะอมสุดขีด
“บอกให้จอดก็จอดเถอะน่า!! จอดๆๆๆ”
รถยนต์ที่เมดานั่งมาค่อยๆชะลอโดยยังไม่ทันจอดสนิทดี รถอีกคันของสิบทิศก็ตามหลังมาไกลๆ เมดาเปิดประตูรถพุ่งพรวดออกไปทันที
ขณะเดียวกัน สิบทิศเห็นเมดาเปิดประตูรถพุ่งออกมาที่ข้างทาง สิบทิศยกมือส่งสัญญาณให้คนขับรถจอดข้างทาง
เมดาโก่งคออาเจียนหมดไส้หมดพุงอยู่ที่พุ่มไม้ข้างทาง ปั้นที่นั่งอยู่บนรถไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาเหยียดยิ้มเล็กๆแบบดูถูก ปรมัตถ์เข้ามาถามไถ่เมดาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันเมารถ” เมดาบอก
ปรมัตถ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เมดา
“คุณหนูครับ” ปรมัตถ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
ทันใดนั้น สิบทิศก็ยื่นสำลีชุบแอมโมเนียมาให้เมดาด้วยเหมือนกัน สิบทิศอยู่ในชุดคุณชายสุดเนี้ยบ
“แอมโมเนีย... ดมซะ จะได้หายคลื่นไส้”
เมดาลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเลือกหยิบแอมโมเนียจากสิบทิศมาดม
“ขอบใจ”
เมดาดมได้ไม่ทันไรก็อาเจียนพุ่งใส่สิบทิศจนชุดของเขาเลอะเทอะไปหมด สิบทิศมองอย่างเซ็งๆ
“ผมต้องขอโทษแทน....”
พอเห็นปรมัตถ์ สิบทิศก็มึนตึงเพราะจำได้ว่าเป็นลูกชายทนายประจำตระกูลบดินทร์ธร
สิบทิศพูดเสียงเย็นชา “ไม่เป็นไร”
สิบทิศเดินกลับขึ้นรถ ก่อนส่งสัญญาณให้คนขับรถออกรถด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา เมดามองตาม ก่อนจะหันมาถามปรมัตถ์
“เขาเป็นใครน่ะ รู้สึกแย่จัง อุตส่าห์ช่วยฉันแท้ๆ แต่ดันไปแหวะใส่เขา”
“อย่าไปสนใจเลยครับ”
ปรมัตถ์รู้ดีถึงความบาดหมางของทั้งสองตระกูล แต่ไม่อยากจะพูดให้มากความ เมดาสงสัยใคร่รู้
รถของเมดาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้านบดินทร์ธรแต่ไม่มีใครเปิดประตู ปั้นบีบแตรดังลากยาวคล้ายจงใจจะแกล้งบังหนั่น บังหนั่นที่กำลังเคลิ้มได้ที่อยู่ในป้อมยามสะดุ้งโหยงลุกพรวดขึ้นมา พร้อมคว้าไม้พลองหมับ
“เปล่าหลับๆ อีนี่จ๋า! ฉันไม่ได้หลับนะจ๊ะนาย”
ปรมัตถ์ไขกระจกลงมายิ้มให้
“ฉันเอง....บังหนั่น”
“โธ่เอ๋ย ! คุณปรมัตถ์นี่เอง อีนี่ฉันตกใจหมดเลยนึกว่าคุณท่านซะอีกนะจ๊ะ นายจ๋า...”
“เปิดประตูที...”
บังหนั่นตาโตแล้วสอดส่ายสายตามองผ่านกระจกเข้าไปในรถตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น เขาเห็นเมดานั่งอยู่ที่เบาะหลัง
“อีนี่ ใครมาด้วย?”
“ฉันพาคุณหนูร้อยดาวมาส่ง” ปรมัตถ์บอก
“คุณหนูร้อยดาว!”
“เอ้า! เปิดประตูสักทีสิบัง หรือจะให้ฉันลงไปเปิดเอง ห๊ะ” ปั้นว่า
บังหนั่นกุลีกุจอไปเปิดประตูให้รถของเมดาแล่นผ่านประตูรั้วเข้าไป
บังหนั่นพึมพำเบาๆ “ลูกสาวคุณเวียงแก้วกลับมาแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีลมเย็นๆพัดมาวูบหนึ่งจนบังหนั่นขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
อ่านต่อหน้า 2
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 1 (ต่อ)
เมดาหันไปมองบังหนั่น ที่ยังคงยืนมองโดยไม่ละสายตา
“ใครน่ะ? แต่งตัวประหล๊าด ประหลาด” เมดาถาม
“บังหนั่น... แขกยามประตูใหญ่บ้านบดินทร์ธรครับ” ปรมัตถ์บอก
เมดาพยักหน้าโดยพยายามเรียนรู้
รถแล่นเข้าไปในอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลของบ้านบดินทร์ธร
“Wow! ที่นี่กว้างเท่าไหร่น่ะ?” เมดาถาม
“เฉพาะบริเวณคฤหาสน์ ไม่รวมพื้นที่ทำกิน ก็ 37 ไร่ครับ”
“37 ไร่นี่ กี่เอเคอร์เหรอ ?”
“1 เอเคอร์ประมาณ 2 ไร่ครึ่งเศษๆ อืมมมม... ก็สักเกือบๆ 15 เอเคอร์ครับ”
“15 เอเคอร์ !!! โอ้ มายก็อด !!! ไม่ใช่บ้านแล้ว อย่างนี้ต้องเรียกว่าอาณาจักร”
“คุณท่านดำรงมีที่ทางมากมายเอาไว้ให้ชาวไร่ชาวนาเช่าทำกิน เฉพาะละแวกนี้ นับแล้วก็ร่วมๆ 500 ไร่ ไม่รวมตึกแถว บ้านเช่า และตลาดสดที่อยู่ในตัวเมือง” ปรมัตถ์บอก
เมดาตื่นตาตื่นใจกับความกว้างใหญ่ไพศาลของอาณาจักรบดินทร์ธร
นมแสงกับกระถินยืนต้อนรับเมดาอยู่ด้านหน้าตัวตึก
นมแสงดีใจ “คุณหนูของนมกลับมาแล้ว”
ปรมัตถ์แนะนำนมแสงให้เมดารู้จัก
“นมแสงเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ครับ”
“ยินดีต้อนรับกลับสู่บ้านบดินทร์ธรนะคะคุณหนู” นมแสงต้อนรับ
นมแสงน้ำตารื้นคล้ายจะร้องไห้ ส่วนกระถินมีสีหน้าเย็นชาเพราะยังไม่รู้ว่าเมดาจะมาไม้ไหน
“แม่กระถิน ยังไม่รีบช่วยคุณหนูขนข้าวขนของไปเก็บอีก มัวยืนเฉยอยู่นั่นแหละ”
กระถินกระแทกเสียงประชดประชัน “เจ้าค่ะ ! คุณนม”
ปั้นยกกระเป๋าเดินทางเมดาออกจากกระโปรงรถส่งให้กระถิน กระถินจะเอากระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่ใส่ไดอารี่ไปเก็บให้ด้วย
“ใบนี้ไม่ต้อง ฉันถือเองได้จ้ะ” เมดาบอก
เมดาเอากระเป๋าใบนั้นมาถือไว้เอง
แลเห็นดาราเรศยืนมองทุกคนอยู่บนหน้าต่างชั้นบน ดาราเรศจดจ้องมายังเมดา ที่ยืนอยู่หน้าตึก
“มันมาแล้วค่ะ คุณแม่! หน้าตาท่าทางอย่างกับเด็กข้างถนน ไม่เห็นจะสวยตรงไหน”สร้อยฟ้านั่งอยู่บนเก้าอี้ชุดภายในห้อง สร้อยฟ้าเอาเล็บที่ทาสีแดงสดขบกันไปมาอย่างว้าวุ่นใจ
ปรมัตถ์สวมหมวกเตรียมตัวจะกลับ นมแสงกับเมดาเดินมาส่งที่รถยนต์ของปรมัตถ์
“คุณทนายจะมาเมื่อไหร่คะ คุณปรมัตถ์” นมแสงถาม
“อีกวัน สองวันนี้แหละครับ คุณนมไม่ต้องเป็นห่วง คุณพ่อฝากมาบอกว่าธุระเรื่องที่เคยคุยกันไว้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านเอง”
นมแสงพนักหน้าแบบคลายห่วง
“หมดหน้าที่ของผมแล้ว งั้นผมลาเลยนะครับ คุณนม”
ปรมัตถ์ยกมือไหว้นมแสง
“อ้าว ! จะไปรีบไปไหนล่ะ ไม่อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนเหรอ” เมดาถาม
“แล้วผมจะกลับมาเยี่ยมคุณหนูใหม่นะครับ”
ปรมัตถ์จำใจต้องขึ้นรถไปทั้งๆที่ยังอยากอยู่ต่อเป็นเพื่อนเมดา
น่านฟ้ากำลังเอากล้องดูดาวส่องดูตึกบดินทร์อยู่ที่ระเบียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น สิบทิศเดินเข้าเฟรมมาทางด้านหลังน่านฟ้า
สิบทิศแกล้งกระแอมดังๆ “อะแฮ้มม !”
น่านฟ้าหันกลับมาเห็นสิบทิศก็สะดุ้งเฮือก
“พี่ชาย !!!”
“ทำอะไรน่ะ น่านฟ้า?” สิบทิศถาม
“หญิง... หญิงกำลังดูดาวอยู่ค่ะ ส๊วย...สวย...” น่านฟ้าแก้ตัว
“ดูดาว! ดูดาวตอนกลางวันเนี่ยนะ?”
น่านฟ้าหัวเราะแหะๆ ด้วยความเขินที่แก้ตัวน้ำขุ่นๆ แบบฟังยังไงก็ฟังไม่ขึ้น
สิบทิศตีหน้าขรึมแล้วดุน่านฟ้า
“พี่บอกกี่หนกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ยุ่งกับคนบ้านนั้น จำไม่ได้หรือไง ชอบทำตัวเป็นพวกถ้ำมองไปได้”
“ไม่จริง...พี่ชายอย่าปรักปรำสิ หญิงไม่ได้มีจิตคิดอกุศลแบบนั้นสักหน่อย ก็แค่อยาก...”
“อยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านน่ะเหรอ”
“ค่ะ! เอ๊ย! ไม่ใช่ค่ะ ! แหม... หญิงอยากตามล่าหาความจริงเรื่องคนในบ้านบดินทร์ธร ก็แค่นั้น”
“รู้แล้วยังไง? จะลากคอใครเข้าตะรางได้ หรือก็เปล่าเลิกยุ่งกับคนบ้านนั้นเสียที” สิบทิศดุ “นี่เป็นคำสั่ง”
“พี่ชายน่ะอคติ... เพราะเรื่องในอดีตของท่านพ่อใช่ไหมล่ะ ถึงได้พาลโกรธ ไม่ยอมให้หญิงไปสุงสิงกับคนบ้านนั้น ไม่เอาแล้ว หญิงไม่คุยด้วยแล้ว... งอน”
น่านฟ้างอนตุ้บป่องๆ แล้วเดินไป สิบทิศส่ายหัวที่น่านฟ้าไม่รู้จักโตเสียที
นมแสงยกน้ำมะตูมมาเสิร์ฟให้เมดา
“เดินทางมาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำมะตูมเย็นๆให้ชื่นใจก่อนค่ะ”
“What? อะไรคือ น้ำมะตูม?”
“ลองชิมดูสิคะ”
เมดาเอาน้ำมะตูมมาดมๆ ก่อนจิบ
“หอม...รสชาติไม่เลว อร่อยดี”
“ถ้าคุณหนูชอบ นมจะทำให้บ่อยๆนะคะ”
นมแสงจ้องหน้าเมดาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“สวยเหลือเกินแม่คุณ...ไม่ได้ผิดจากที่นมวาดภาพเอาไว้สักนิด สวยไปคนละแบบกับคุณเวียงแก้ว จะเว้นก็แต่...”
นมแสงจ้องไปยังดวงตาของเมดา
“จ้องอะไรหรือจ๊ะ นม...”
“ปละ เปล่าค่ะ...คุณหนูของนม โตขึ้นเยอะเลยนะคะ สวยด้วย เค้าหน้าเหมือนคุณท่านอย่างกับแกะ”
“หน้าเหมือนคุณท่านงั้นหรือจ๊ะคุณนม” กระถินขำนิดๆ
“ขำอะไร แม่กระถิน”
“เปล่าหรอก...แค่ฉันนึกไม่ออก ว่าผู้หญิงที่สวยเหมือนคุณท่าน หน้าตาจะเป็นยังไง”
กระถินพูดจบก็ลุกขึ้นไปทันที
นมแสงปรายตามองอย่างไม่ค่อยอยากจะต่อปากต่อคำกับกระถิน
“นมจ๊ะ...ช่วยพาฉันไปพบคุณท่าน...เอ่อ...คุณปู่หน่อยสิ”
เมดาตื่นเต้น เพราะอยากเห็นหน้าดำรงขึ้นมาทันที
นมแสงพาเมดาเข้ามาในห้องดำรง ดำรงนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหันหลังให้อย่างไม่แยแส ดาหลา นางพยาบาลประจำที่อยู่ใกล้ๆ ส่งยิ้มนิดๆ เพื่อทักทายเมดา เมดายิ้มตอบ
“นมแสงมาพบคุณท่านค่ะ” ดาหลาบอก
“ฉันไม่ได้ตาบอดนะ แม่ดาหลา...”
ดาหลาหลุบตาลงต่ำแล้วก้มหน้านิ่ง เมดายืนเก้ๆกังๆ อยู่ภายในห้อง เธออึกๆอักๆ ทำอะไรไม่ถูก
“เอ่อ...คือ... หนู...”
“จะยืนค้ำหัวฉันอีกนานมั้ย ?” ดำรงว่า
เมดาค่อยๆทรุดลงนั่งพับเพียบกับพื้นแล้วก้มลงกราบที่เท้าของดำรง ดำรงรินน้ำชาดอกยี่โถจากกาใส่ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบก่อนจะยกขึ้นจิบ
“กราบเป็นกับเขาด้วยเหรอ ?” ดำรงแขวะ
“อยู่โน่น คุณแม่จันทร์ฉายสอนค่ะ” เมดาบอก
“ไม่ใช่!” ดำรงตวาดแล้วกระแทกไม้เท้าอย่างแรง จนเมดาและดาหลาสะดุ้ง
“จันทร์ฉายไม่ใช่แม่ของหล่อน! รู้หรือเปล่าว่าแม่แท้ๆ ที่เบ่งหล่อนออกมาคือใคร?”
เมดาอึกอัก “เห็นปรมัตถ์... บอกว่า... คุณเวียงแก้วเป็นแม่”
ดำรงหัวเราะในลำคอ “ไอ้ปรมัตถ์มันบอกหล่อน แล้วเจ้าดิลกกับแม่จันทร์ฉายไม่เคยบอกหล่อนเลยหรือไง”
เมดาส่ายหน้าดิกๆ
“พูดกับผู้ใหญ่ใครใช้ให้ส่ายหัว! พ่อแม่หล่อนไม่เคยสั่งไม่เคยสอนหรือไง ถึงได้แสดงกิริยาเป็นลิงเป็นค่างอย่างนี้”
เมดาน้ำตารื้นเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ เมื่อถูกพาดพิงถึงแม่
“เลิกตีหน้าเศร้าเสียที เห็นแล้วรำคาญลูกตา ไหน... เข้ามาใกล้ๆซิ”
เมดาคลานเข่าเข้าไปใกล้ๆ ดำรงเอาปลายไม้เท้าดันคางขึ้นพินิจดวงหน้า
ดำรงจ้องไปยังดวงตาของเมดา พูดเน้นคำ
“เหมือนแม่หล่อนไม่มีผิด”
ดำรงยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเบือนหน้าไม่อยากจะมอง
เมดาพาซื่อ “เหมือนแม่แล้วเป็นยังไงเหรอคะ”
ดำรงแปรสายตาคมกริบมายังเมดา
นมแสงเตือนเบาๆ “คุณหนู...”
ดำรงพูดกับนมแสง “ออกไปได้แล้ว ! ฉันไม่ค่อยอยากเห็นหน้าคนที่แกพามาสักเท่าไร”
ดาหลากับนมแสงมองเมดาด้วยความเห็นใจ
เมดางงเพราะไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
นมแสงพาเมดาเดินไปตามโถงทางเดินที่ยาวเหยียด
“ฉันพูดอะไรผิดเหรอ... นม ?” เมดาถาม
“ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่ไม่เหมาะ...เรื่องบางเรื่อง ต่อให้อยากรู้ก็ต้องเก็บไว้ในใจ ไม่ควรถามออกมาค่ะ”
“ทำไมล่ะ ก็ฉันสงสัยนี่”
เมดาเหลือบเห็นหน้าดาราเรศโผล่ออกจากห้องมาแอบมอง พอดาราราเรศรู้ว่าเมดาเห็นก็รีบงับประตูปิดดังปัง !
“นั่นใครน่ะ นม?” เมดาถาม
“คุณดาราเรศ ลูกสาวคนเล็กของคุณสร้อยฟ้า ภรรยาคนที่สามของคุณปกรณ์ค่ะ”
“พาฉันไปรู้จักหน่อยสิ”
นมแสงลำบากใจจนพูดไม่ออก
เมดาเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาภายในห้องของสร้อยฟ้า สร้อยฟ้านั่งบนเก้าอี้เยี่ยงนางพญา ดาราเรศที่ยืนอยู่ข้างๆ รอเปิดศึกอยู่ก่อนแล้ว
“หน้าตาก็งั้นๆ ดูไม่มีสุกลรุนช่อง” ดาราเรศว่า
สร้อยฟ้าเหลือบมองเมดาตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบเหยียดๆ
“คุกเข่าลง ! อยู่ต่อหน้าฉัน แกจะมายืนตีเสมอไม่ได้” สร้อยฟ้าว่า
“ทำไมต้องคุกเข่าด้วยล่ะคะ” เมดาถามซื่อๆ
“ฉันสั่ง ! แกก็ต้องทำตาม”
เมดายอมทำตามอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
สร้อยฟ้ายิ้มสะใจนิดๆ
“กลับมานี่ แกคงหวังจะได้มรดกของคุณพี่ละสินะ ฝันไปเถอะ! แกนี่มันหน้าด้านหน้าทนเหมือนแม่แกไม่มีผิด เลือดอีขี้ข้าชั้นต่ำจากนังเวียงแก้วมันแรงดีจริงๆ”
เมดาแปลกใจจึงหันไปถามนมแสง
“แม่ฉันเคยเป็น maid ด้วยเหรอ?”
นมแสงนั่งก้มหน้านิ่งเพราะไม่กล้าตอบ สร้อยฟ้ายิ้มสะใจ
“เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ แม่เป็นไพร่ ลูกมันก็เป็นไพร่”
เมดาถามซื่อๆ “ไพร่คืออะไร ? คุณเป็นไพร่ด้วยหรือเปล่า ?”
สร้อยฟ้าโกรธจนแทบเต้นเป็นเจ้าเข้า
“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไป๊”
เมดาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าพูดผิดตรงไหน
“หูแตกหรือไง ยังอีก! ออกไป!” ดาราเรศไล่
สร้อยฟ้าโกรธจนตัวสั่น เธอเขวี้ยงปาข้าวของไส่เมดาเพื่อไล่ออกไปจากห้อง
สร้อยฟ้าเรียก “นังกระถิน นังกระถินโว้ย อีนังกระถิน”
กระถินผลุนผลันเข้ามา
“ขา... คุณสร้อยฟ้า...”
“แกรีบไปตักน้ำเอามาล้างตัวเสนียดออกจากห้องฉันเดี๋ยวนี้ ไปสิ!!”
“ค่ะๆๆๆ”
สร้อยฟ้ากับดาราเรศจ้องหน้าเมดาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เมดาไม่เข้าใจว่าสร้อยฟ้าโกรธอะไรเธอนักหนา
นมแสงเล่าให้เมดาฟังขณะเดินไปตามโถงทางเดินที่ยาวเหยียด
“คุณเวียงแก้วเคยรับใช้ที่นี่ ก่อนจะเป็นภรรยาของคุณปกรณ์” นมแสงเล่า
“อ้อ... I see ! แต่ที่ไม่เข้าใจ ทำไมคุณสร้อยฟ้าถึงต้องโกรธฉันเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้นด้วยล่ะ”
“เธอก็เป็นของเธออย่างนี้... คุณดาราเรศก็เหมือนกัน ถอดพิมพ์เดียวกันกับแม่เธออย่างกับแกะ ใครอย่าได้ขัดใจเชียว”
“คุณดาราเรศเธอเป็นลูกสาวคนเดียวเหรอ ?”
“เธอมีพี่ชายอีกคนค่ะ แต่คุณวีระวิทย์ เธออยู่ไม่ค่อยติดบ้านสักเท่าไหร่”
เมดาพยักหน้า ขณะที่ผ่านห้องของจงจิตที่ตกแต่งอย่างสวยงามก็หันไปถามนมแสง
“นี่ห้องใครเหรอ ? ใช่ห้องคุณเต็มเดือนหรือเปล่า ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ห้องคุณจงจิต ภรรยาคนที่ 2 ของคุณปกรณ์!”
เมดาชักอยากเห็นหน้าจงจิตขึ้นมาตะหงิดๆ
เมดากับนมแสงเข้ามาภายในห้องของจงจิต เมดาเห็นห้องของจงจิตตกแต่งอย่างมีสไตล์ สื่อว่าจงจิตเป็นคนรักสวยรักงามมาก เมดามองของที่ตั้งในตู้โชว์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำหอมจากเมืองนอก และเครื่องประทินโฉม จงจิตกับดารกาเดินเข้ามาทางด้านหลังของเมดา
“ใครใช้ให้หล่อนเข้ามาสาระแนในห้องฉัน ไม่ทราบ”
จงจิตที่แต่งหน้าจัดเดินเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยดารกาลูกสาวที่จ้องเมดาตาเขม็ง
“แม่ฉันถาม ไม่ได้ยินหรือไง !” ดารกาว่า
“ฉันแค่อยากจะมาทำความรู้จักกับคุณ” เมดาบอก
“แต่ฉันกับแม่ไม่อยากรู้จักเธอ !”
จงจิตยกมือขึ้นห้ามดารกา แล้วเดินเข้ามาเพ่งพินิจเมดาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“หน้าตาไม่ยักเหมือนแม่แก แถมยังไม่มีเค้าพ่ออีกต่างหาก”
“จะไปเหมือนได้ยังไงล่ะคะ คุณแม่ พ่อมันคนไหนก็ยังไม่รู้”
เมดาถามซื่อๆ “อ้าว ! พ่อฉันไม่ใช่คุณปกรณ์เหรอ ?”
จงจิตหัวเราะร่วน “ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ! แกมันก็แค่...ลูกชู้ !”
“นี่คุณ ! กรุณาอย่าล่วงเกินพ่อแม่ของฉัน” เมดาบอก
“ทำไม ? แทงใจดำใช่มั้ยล่ะ แม่แกมันร่านแค่ไหน ใครๆเขารู้กันทั้งนั้น” จงจิตว่า
เมดากำมือแน่นแต่ก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้ เธอจ้องตาจงจิตโดยไม่กระพริบ นมแสงร้อนรน จนเหงื่อออกเต็มหน้าด้วยความกระวนกระวาย
“นมแสง ! เอามันออกไป !” จงจิตสั่ง
นมแสงรีบพาเมดาเดินออกไปจากห้องก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่ จงจิตกับดารกามองตาหลังเมดาด้วยแววตาเกลียดชัง
เมดาระบายกับนมแสงด้วยความอัดอั้นตันใจ
“ให้ตายสิ ! เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ที่นี่มีแต่คนประหลาดๆ เหมือนคนบ้ากันทั้งบ้าน” เมดาบอก
“โธ่... คุณหนู”
เสียงเต็มเดือนดังขึ้นมาก่อนจากทางด้านหลัง
“หนูเมดาใช่ไหมจ๊ะ ?”
เมดาหันไปมอง
“ฉันชื่อเต็มเดือน เป็นสะใภ้ใหญ่ของที่นี่จ้ะ”
เต็มเดือนยิ้มให้เมดาอย่างมีเมตตา
เต็มเดือนพาเมดามานั่งด้วยกันที่ชิงช้าไม้ใต้ต้นยี่โถพันธุ์โบราณที่ออกดอกสะพรั่งร่วงพราวบนสนามหญ้า เต็มเดือนนั่งฟังเมดาปรับทุกข์
“ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองดูแปลกแยก เป็นส่วนเกินของที่นี่ จะทำอะไรก็ดูผิดไปเสียหมด”
“ส่วนเกินของใครบางคน...ก็อาจจะเป็นส่วนเติมเต็มของใครอีกคนก็ได้นะจ๊ะ” เต็มเดือนบอก
เมดามองหน้าเต็มเดือนอย่างรู้สึกดี เต็มเดือนพูดต่อ
“ฉันมันคนอาภัพ ไม่มีลูกกับเขาเลยสักคน หนูเป็นลูกสาวแท้ๆของคุณพี่ปกรณ์ก็เหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของฉันด้วย อยู่ที่นี่ มีอะไรก็ขอให้บอกฉัน ไม่ต้องเกรงใจนะจ๊ะคิดเสียว่า ฉันก็เหมือนแม่ของหนูอีกคน”
เต็มเดือนเอื้อมมือมาจับเมดาเอาไว้
“ฉันให้นมแสงกับกระถินจัดเตรียมที่หลับที่นอนไว้ให้แล้วเชิญตามสบายนะจ๊ะ ถือว่าที่นี่เป็นบ้านของหนู”
เต็มเดือนยิ้มแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวเมดาอย่างปรานี
นมแสงเปิดประตูเข้ามา เมดาเห็นห้องนอนที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและโอ่โถง
“คุณเต็มเดือนให้คุณหนูพักที่ห้องนี้” นมแสงบอก
“คุณเต็มเดือนเธอใจดีสมกับที่เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเลยนะจ๊ะนม” เมดาบอก
“ค่ะ... สง่างาม อ่อนหวาน สมเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ผิดกับ...”
นมแสงยั้งคำพูดไว้เพียงเท่านี้เพราะเห็นกระถินอยู่ในห้องด้วย กระถินจะหยิบกระเป๋าหนังที่ใส่ไดอารี่ของดิลก แต่เมดาเอื้อมมือมาหยิบไปเสียก่อน
“เดี๋ยวฉันเก็บเองจ้ะ”
กระถินเหลือบมองไปที่กระเป๋าใบนั้นก็เข้าใจว่าต้องมีของมีค่าอยู่ในนั้นแน่ๆ เมดาวางกระเป๋าใบนั้นเอาไว้ในที่พิเศษข้างหัวนอน
ทุกคนนั่งที่โต๊ะอาหารค่ำเรียงลำดับตามความสำคัญในบ้าน ยกเว้นเก้าอี้ประจำของวีระวิทย์ที่อยู่ทางด้านขวามือของดำรงที่นั่งหัวโต๊ะซึ่งติดกับสร้อยฟ้าถูกเว้นว่างเอาไว้ บรรยากาศเงียบกริบ ทุกคนนั่งรอเมดาเพียงคนเดียวอย่างใจจดใจจ่อ
“เลยเวลามื้อค่ำมานานแล้วนะคะ คุณพ่อ” จงจิตบอก
“ไม่มีมารยาท !” สร้อยฟ้าว่า
เมดารีบร้อนเข้ามาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เธอตรงรี่จะไปนั่งที่เก้าอี้ของวีระวิทย์
“ตรงนี้ สำหรับทายาทผู้สืบสกุลบดินทร์ธร ไม่ใช่ขี้ครอกอย่างหล่อน” สร้อยฟ้าว่า
นมแสงขยับเก้าอี้ประจำของเมดาให้ เมดาเดินไปนั่ง
“นี่พ่อลูกชายตัวดีของหล่อนยังไม่โผล่หัวมาอีกหรือ” ดำรงถาม
“ใกล้สอบไล่แล้ว วีระวิทย์เลยขออนุญาตไปติวหนังสือที่บ้านเพื่อนค่ะ คุณพ่อ” สร้อยฟ้าบอก
ดำรงจ้องหน้าสร้อยฟ้าอย่างรู้ทันก่อนพูด
“หึ ! หัดดูแลลูกเสียบ้างนะ แม่สร้อยฟ้า อย่าให้มหาวิทยาลัยชั้นดีที่ฉันส่งเสียลูกชายหล่อนไปเรียน ต้องมีประวัติด่างพร้อยเลยนะ”
สร้อยฟ้าหน้าเจื่อน ขณะที่จงจิตแอบยิ้มเยาะ ดำรงนั่งเป็นประมุขอยู่ที่หัวโต๊ะ บรรยากาศเงียบกริบ กดดัน
“คิดจะกลับมาอยู่ที่นี่หรือเปล่า” ดำรงถาม
เมดานิ่เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร ทุกคนแสดงอาการอยากรู้คำตอบในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
ดำรงยิ้มเหยียด “ไม่ตอบ... แปลว่ามาเพื่อฟังพินัยกรรมโดยเฉพาะ คงอยากรู้จนตัวสั่นใช่ไหมล่ะ ว่าพ่อหล่อนเขาจะยกสมบัติอะไรให้บ้าง”
เมดาช็อคกับคำพูดดำรงจนเผลอทำช้อนหลุดมือแบบไม่ได้ตั้งใจ !
“ต๊าย! สงสัยจะติดนิสัยไพร่” สร้อยฟ้าว่า
“ผีเจาะปากหล่อนมาพูดหรือไง แม่สร้อยฟ้า” ดำรงพูดกับเมดา “หล่อนก็เหมือนกัน ไม่พอใจงั้นสิ ถึงได้ส่อกิริยาก้าวร้าวออกมา... แค่อ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่แล้วว่าหล่อนมาที่นี่ ต้องการอะไร”
“คุณปู่...”
“ฉันไม่ใช่ปู่ของหล่อน อย่ามาเรียก !”
“คุณท่านคะ... ด้วยความสัตย์จริง ดิฉันมาที่นี่ ไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น”
ดาราเรศลุกพรวดเต้นเร่าๆ ชี้หน้าเมดา
“โกหก ! นังนี่มันตอแหลค่ะ คุณปู่ ตอแหลเหมือนแม่มัน”
“นั่งลงแม่ดาราราเรศ อย่าให้ฉันต้องหมดความอดทนกับหล่อน ใช่-ไม่ใช่ ฉันจะเป็นคนตัดสินเอง”
สร้อยฟ้าเห็นท่าไม่ดีจึงดึงมือดาราเรศให้นั่งลง ดาราเรศกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่พอใจ
“หล่อนกำลังจะบอกว่า ตัวเองไม่ได้หวังสมบัติพัสถานทรัพย์สินเงินทองของพ่อหล่อนเลยงั้นสิ แม่ร้อยดาว” ดำรงถาม
เมดาตอบอย่างมั่นใจ “ค่ะ ! ไม่เลยแม้แต่น้อย”
ดำรงกระแทกไม้เท้าดังปังจนทุกคนสะดุ้งเฮือก
“จองหอง!! ถ้าหล่อนไม่คิดอะไรจริง แล้วจะกลับมาที่บดินทร์ธรนี่ทำไม อะไรเหรอที่ดึงดูดล่อใจคนที่พลัดจากบ้านไปนานถึง 25 ปีให้กลับมาที่นี่ได้ ถ้าไม่ใช่...มรดกของพ่อหล่อนในพินัยกรรม” ดำรงพูดกับดาหลา “ฉันอิ่มแล้ว... แม่ดาหลา”
ดำรงลุกพรวดจากโต๊ะอาหาร
ดาหลารีบเข้าไปประคองดำรงแล้วเดินออกไปด้วยกัน
“สมน้ำหน้า นังหมาหัวเน่า !” สร้อยฟ้าว่า
สร้อยฟ้ากับดาราเรศยิ้มสะใจก่อนจะลุกออกไป ดารกาหันไปกระซิบถามจงจิต
“เอายังไงดีล่ะคะ คุณแม่”
“หมดเรื่องสนุกแล้ว จะนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่ทำไม”
จงจิตกับดารกาลุกตามออกไป
เต็มเดือนพูดกับเมดา “อย่าถือสาคนแก่เลยนะจ๊ะ คุณพ่อท่านก็เป็นแบบนี้แหละ จริงๆแล้วท่านใจดี หนูเป็นเด็กน่ารัก สักวันคุณพ่อจะต้องเข้าใจ...เชื่อฉันสิจ๊ะ”
เต็มเดือนยิ้มแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวเมดาอย่างปรานี
ช้อยรีบแจ้นเข้ามารายงานน่านฟ้า
“คุณหนูเจ้าขา... มาแล้วเจ้าค่ะ… มาแล้ว เอิ่บ..”
ช้อยเห็นสิบทิศเดินเข้ามาทางด้านหลังของน่านฟ้าแล้วยืนจ้องเขม็งอยู่
“มาแล้วเหรอ ! เป็นยังไง รีบเล่าเร็ว” น่านฟ้าอยากรู้
“ไหน... มีอะไรจะบอกน่านฟ้าไม่ใช่รึ ว่ามาสิ” สิบทิศว่า
น่านฟ้าหันมาเห็นสิบทิศยืนจ้องอยู่ก็ใจหายวาบ เธอรีบหันมาขยิบหูขยิบตาสั่งไม่ใช้ช้อยเล่า
“เจ็บตาหรือหญิง พี่รักษาให้เอาไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ชาย หญิงแค่เคืองตาเล็กๆเท่านั้น ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว”
“เอ้า ! ว่ายังไงล่ะช้อย ฉันสั่งให้เล่า ทำไมไม่เล่า”
ช้อยอึกๆอักๆ เพราะไม่กล้าเล่า
“พี่ชายอย่าขู่สิคะ ช้อยกลัวจนตัวสั่นหมดแล้ว” น่านฟ้าว่า
“งั้นก็ไม่ต้องเล่า...” สิบทิศบอก
น่านฟ้ากับช้อยถอนหายใจพร้อมกัน
“แต่ฉันจะถาม แล้วให้เราตอบแทน” สิบทิศบอก
ช้อยตาโตและอ้าปากค้าง
“เมื่อกี้ เราบอกว่าใครมานะ”
ช้อยอึกๆอักๆ แบบจะร้องไห้สียให้ได้
สิบทิศคาดคั้น “ใคร !”
“ลูกสาวเจ้าของเวียงร้อยดาวเจ้าค่ะ” ช้อยบอก
สิบทิศแปลกใจเพราะรู้มาว่าหล่อนหายสาบสูญไปนานแล้ว
เมดาเขียนแผนภูมิต้นไม้วงศาคณาญาติตระกูลบดินทร์ธรเพื่อทบทวนความจำ
“นมแสงบอกว่า คุณปู่ดำรงมีภรรยา 2 คน คุณพ่อปกรณ์เป็นลูกของคุณย่าการะเกด ส่วนคุณพ่อดิลกเป็นลูกของคุณย่ากุหลาบ ต่อมา คุณพ่อดิลกแต่งงานกับคุณแม่จันทร์ฉาย” เมดาบอก
กระดาษแผนภูมิที่เมดาวาดขึ้นให้พอเข้าใจตามไปด้วย
“ส่วนคุณพ่อปกรณ์มีภรรยา 4 คนคือคุณเต็มเดือน คุณจงจิต คุณสร้อยฟ้า แล้วก็... คุณแม่เวียงแก้ว...”
ทันใดนั้นเมดาก็ได้ยินเสียงกล่อมเด็กของเวียงแก้วในทำนองเย็นยะเยือกแว่วมาไกลๆ
“เอ่เอ๊...”
เมดาเดินออกไปดูที่ระเบียงแล้วมองหาที่มาของเสียงร้องไห้นั้น จนเห็นเวียงแก้วในชุดขาวโพลนกำลังยืนอยู่ในสวน เธอจึงรีบวิ่งลงไป
เมดาออกตามหาที่มาของเสียงร้องไห้นั้นในสวน เธอเห็นร่างของเวียงแก้วในชุดขาวยืนหันหลังร้องไห้ท่ามกลางแสงจันทร์
เมดาเรียก “คุณ? คุณคะ?”
เวียงแก้วค่อยๆ หันมามองเมดาอย่างช้าๆ แล้วเดินไปแบบคล้ายๆ ล่องลอยไปกับพื้น เมดารีบวิ่งตามร่างเวียงแก้วไปทันที
“เดี่ยวก่อน คุณ? รอด้วย”
เมดาวิ่งเท้าเปล่าตามไป ในขณะที่ร่างเวียงแก้วเหมือนลอยนำไป เมดาแหวกสุมทุมพุ่มไม้ในป่าละเมาะรกๆ ตามไปอย่างไม่ลดละในสภาพที่หมอกลงจัดลอยปกคลุมจนขาวโพลนไปหมดทั่วทั้งบริเวณ เวียงแก้วเดินนำเมดาให้ตามเธอไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
เมดาวิ่งตามเวียงแก้วมาจนถึงบึงบัวที่กว้างใหญ่ และในนั้นมีดอกบัวสีแดงสดบานเต็มไปหมด ด้านหลังเป็นหลังคาเวียงร้อยดาวที่มีแมกไม้ปกคลุมรกครึ้มอยู่ลิบๆ ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินยวงดูสวยลึกลับและน่ากลัว
เวียงแก้วค่อยๆ หันมามองเมดาแล้วยิ้มบางๆ ด้วยใบหน้าอมทุกข์ เมดาจดจำหน้าของเวียงแก้วได้อย่างติดตา
“คุณเป็นใคร? มาให้ฉันเห็นตั้งหลายครั้งแล้ว? คุณต้องการอะไรกันแน่?”
เวียงแก้วกวักมือเรียกเมดาช้าๆ แล้วหันหลังเดินหายลงไปในบึงบัว จนกระทั่งกลืนหายไปในความมืดมิด เมดาตกตะลึงตาค้างจนทำอะไรไม่ถูก !
เมดาสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย โดยมีเหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้า
“ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว” เมดาสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อปลอบขวัญตัวเอง “ฝันบ้าๆ”
แต่แล้วเมดาก็เห็นว่าเท้าตัวเองเปื้อนดินเลนจนเลอะเต็มไปหมด
“เฮ้ย!!”
ผ้าปูที่นอนขาวสะอาดนั้น เลอะคราบขี้โคลนและขี้เลนเต็มไปหมดเช่นกัน
อ่านต่อหน้า 3
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 1 (ต่อ)
ร้อยดาวแหวกสุมทุมพุ่มไม้ในป่าละเมาะรกๆ ตามความฝัน เธอเห็นบึงบัวกว้างใหญ่ที่มีแต่ดอกบัวสีแดงสดบานจนเต็มไปหมด ด้านหลังเป็นหลังคาเวียงร้อยดาวที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางบึงบัวขนาดใหญ่ มีแมกไม้ปกคลุมรกครึ้มอยู่ลิบๆ ต้องแสงอาทิตย์ยามเช้าแลดูลึกลับ
ร้อยดาวตะลึง “เหมือนในฝันเมื่อคืนไม่มีผิด !”
ร้อยดาวเห็นรอยเท้าของตัวเองเหยียบย่ำเต็มไปหมด
“หรือว่า…มันไม่ใช่แค่ความฝัน ?”
อีกาที่อยู่แถวนั้นตีปีกบินฮือขึ้นท้องฟ้าพึ่บพั่บเนื่องจากมีผู้มารบกวน ร้อยดาวหันหลังกลับมาเห็นว่าใครยืนอยู่ก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“หล่อนมาทำอะไรลับๆล่อๆแถวนี้” ดำรงเอ่ยถาม
ดำรงที่เดินออกมาสูดอากาศยามเช้าถือไม้เท้าและมีใบหน้าถมึงทึง
ดำรงรินชาดอกยี่โถจากกาลงจอกจนควันพวยพุ่งลอยกรุ่นขึ้นมา แล้วเขาก็ยกซด
“บ้านหลังนั้นของใครเหรอคะ ?” ร้อยดาวถาม
“ก็แค่ตึกร้างเก่าๆหลังหนึ่งเท่านั้น” ดำรงบอก
“ตึกร้างหรือคะ”
“ใช่ ! ตึกนั่นไม่มีคนอยู่มานานเท่ากับอายุของหล่อน”
“แล้วทำไมตึกนั่นถึงได้...”
ดำรงกระแทกไม้เท้าดังปังดูน่าเกรงขาม
“เลิกเซ้าซี้เสียที ! น่ารำคาญ”
ดำรงจ้องหน้าร้อยดาวด้วยแววตาคมกริบก่อนจะถามร้อยดาวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือลูกของปกรณ์จริงๆ
“ยี่สิบห้าแล้วใช่ไหมเรา”
ร้อยดาวนิ่งเล็กน้อยก่อนตอบ “จวนแล้วค่ะ !”
“เจ้าดิลกกับแม่จันทร์ฉายมีลูกด้วยกันหรือเปล่า”
“มีดิฉันคนเดียวค่ะ”
“งั้นรึ ? น่าเสียดาย... แม่จันทร์ฉายออกจะแข็งแรง ต้องโทษคนของฉันที่ไร้น้ำยา หรือไม่ก็กลัวจะเลี้ยงลูกนอกไส้ไม่รอด เลยตัดปัญหาไม่มีลูกเป็นของตัวเองเสียอย่างนั้น”
“แม่เวียงแก้วของดิฉันสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงหรือคะถึงได้จากไป ตั้งแต่อายุยังน้อย”
ดำรงที่กำลังจะจิบน้ำชาอยู่ถึงกับชะงักกึกแล้วจ้องหน้าร้อยดาวตาเขม็ง
ร้อยดาวถามต่อ “ท่านเสียชีวิตด้วยโรคอะไรหรือคะ ? ร้ายแรงหนักหนามากเลยเหรอ ? หรือว่าท่านตายด้วยสาเหตุอื่น ?”
ดำรงกระแทกไม้เท้าปังใหญ่มาก
ดำรงตวาด “พอได้แล้ว !!! ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่หล่อนจะมาซักไซ้ไล่เบี้ยเอากับฉัน ผู้หญิงร้อยแปดแพศยาอย่างแม่หล่อนจะตายห่าหรือตายโหง ไปลงนรกขุมไหน ก็เรื่องของมัน ฉันไม่เกี่ยว”
ดำรงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้หน้ามืดจนเป็นลมล้มคะมำลง ร้อยดาวเข้ามาประคองรับร่างของดำรงที่สิ้นสติเอาไว้ในวงแขน
“คุณท่าน !” ร้อยดาวตะโกน “ใครอยู่แถวนี้บ้าง ! มาช่วยที”
นมแสงวิ่งเข้ามาเป็นคนแรก ตามด้วยกระถิน
“ว๊ายย !!! คุณท่านเป็นอะไรไปคะ ?”
กระถินพูดเสียงราบเรียบ “ก็เป็นลมน่ะสิคะ คุณนม เห็นๆอยู่”
“นมแสงช่วยดูแลคุณท่านก่อนนะ”
“คุณหนูจะไปไหนคะ ?” นมแสงถาม
“ฉันจะรีบไปตามหมอ !” ร้อยดาวบอก
ร้อยดาวรีบพรวดพราดออกไปทันที
ร้อยดาวมาถึงก็ฉวยจักรยานคันเก่าของบังหนั่นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ยืมก่อนนะบังหนั่น !!”
บังหนั่นโวยวายอยู่คนเดียวเหมือนคนแก่หวงของ
บังหนั่นหวง “อีนี่จ๋า....ไม่ได้จ้ะ เอาไปไม่ได้นะจ๊ะ นายจ๋า”
ร้อยดาวรีบถีบจักรยานออกไปโดยไม่สนใจบังหนั่น
“เถอะน่า... หวงไปได้ !”
“โธ่...ไปนู่นซะละ... คุณหนู !!! จักรยานนั่นมันเบรกขาดยังไม่ได้ซ่อมเลย !!”
ร้อยดาวปั่นจักรยานจะไปตามถนนลงเนินที่ลาดชันและขรุขระ ร้อยดาวพยายามเบรกแต่ก็เบรกไม่อยู่
ร้อยดาวตกใจ “เบรกสิเบรก !!! เบรกๆๆ เหวออออ!!” ร้อยดาวร้องลั่น
จักรยานของร้อยดาวเบรกไม่อยู่จึงไถลลงทางลาดชันอย่างรวดเร็ว
รถยนต์ของสิบทิศแล่นออกมาจากรั้วของเวฬุมาศ ร้อยดาวเห็นรถของสิบทิศแล่นมาแล้วก็ถึงกับตาโตด้วยความตกใจ เธอพยายามเอาเท้าเบรกกับพื้นแต่ก็เบรกไม่อยู่ รถยนต์ของสิบทิศแล่นเข้ามาใกล้ทุกที
ร้อยดาวตัดสินใจหักจักรยานหลบทำให้จักรยานล้มลงกับพื้น ร้อยดาวกลิ้งถลาลงไปคลุกฝุ่น จังหวะเดียวกันกับที่รถยนต์ของสิบทิศพุ่งพรวดเข้ามาเบรกเอี๊ยดจอดได้ทันพอดีแบบหวุดหวิด
ร้อยดาวเจ็บ “อูย... ซี้ดส์”
สิบทิศกับน่านฟ้ารีบวิ่งลงมาจากรถมาดู
“เป็นอะไรหรือเปล่า !”
หัวเข่าของร้อยดาวถลอกปอกเปิก
“It’s O.K. ฉันไม่เป็นไร แค่หัวเข่าถลอกนิดหน่อย ไกลหัวใจ”
สิบทิศเห็นหน้าร้อยดาวก็จำได้ว่าเป็นคนๆเดียวกับที่อ้วกใส่เขาเมื่อคราวก่อน
“นี่เธออีกแล้วเหรอ ? ซุ่มซ่ามจริงๆ คราวก่อนก็อาเจียนรดฉันจนเปรอะไปหมด นี่ยังขี่จักรยานตัดหน้าไม่ดูตาม้าตาเรืออีก ถ้าถูกรถชนตายขึ้นมาจะว่ายังไง”
“จะว่ายังไงก็ว่าเถอะ แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งได้มั้ย ขอไปก่อน... ฉันรีบจริงๆ” ร้อยดาวบอก
ร้อยดาวลุกขึ้นทั้งๆที่เป็นแผล เธอฉวยจักรยานจะปั่นต่ออย่างฝืนสังขาร
“เดี๋ยว !” สิบทิศขวางจักรยานเอาไว้ “จะรีบร้อนไปไหนของเธอ ?”
“นั่นสิ ! เอางี้ รีบมากมั้ย ถ้ารีบมาก เดี๋ยวให้พี่ชายไปส่ง”
สิบทิศหันมาจ้องน่านฟ้าตาเขม็งจนน่านฟ้าหงอย
“ฉันจะรีบไปตามหมอ...”
“ใครเป็นอะไร” สิบทิศถาม
“คุณท่าน ! อย่าเพิ่งถามนู่นถามนี่ได้มั้ย บอกแล้วไงว่าฉันรีบ”
สิบทิศสั่ง “ขึ้นรถ !”
ร้อยดาวดีใจ “จะพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาลเหรอ”
“เปล่า...”
ร้อยดาวหัวเสีย “เอ้า ! ถ้าเปล่า ก็หลีกไป ฉันจะรีบไปตามหมอ”
“ก็ฉันนี่แหละ... หมอ !!!”
ร้อยดาวอึ้งเพราะนึกไม่ถึงว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นหมอ
สิบทิศหยิบเครื่องมือแพทย์จากกระเป๋ามาตรวจอาการดำรงที่นอนอยู่บนเตียง ดำรงค่อยๆลืมตาขึ้น เพราะเพิ่งรู้สึกตัวแต่ก็ยังรู้สึกมึนงงอยู่
“อย่าเพิ่งขยับครับ ผมขอวัดความดัน”
สิบทิศใช้เครื่องมือวัดความดันรัดที่ต้นแขนของดำรง
“วิรุฬรึ ?” ดำรงถาม
“ไม่ใช่ครับ... ผมเป็นหมอ ชื่อสิบทิศ เวฬุมาศ !”
“สิบทิศ... ลูกชายหัวดื้อของหม่อมเจ้าวิรุฬน่ะรึ หึๆ”
“ท่านเคยมีประวัติแพ้ยาบ้างไหมครับ” สิบทิศถาม
“ทั้งชีวิตฉันไม่เคยรู้จักคำว่า “แพ้” ยาอะไร ฉันไม่กินทั้งนั้น ไม่ต้องมาจัดการ”
“สงสัยจะไม่ใช่ผมแค่คนเดียวกระมัง ที่หัวดื้ออย่างท่านว่า...ถ้าอยากชนะ ท่านก็ต้องลบคำสบประมาท รับประทานยาที่ผมจัดไว้ให้หมดนะครับ”
ดำรงมองหน้าสิบทิศแล้วก็นึกชอบใจอยู่ สิบทิศพูดพลางจัดยาใส่ซองเขียนกำกับไปพลาง
“นี่ยาลดความดันครับ... ถ้าคุณเป็นคนดูแลท่าน รบกวนให้ท่านทานยาตามที่กำกับไว้หน้าซอง ยังขาดยาอีก 2-3 ชนิด ผมจะสั่งคนที่โรงพยาบาลนำมาให้ตอนเย็น งดอาหารประเภทของทอดของมันด้วยนะครับ”
สิบทิศเก็บเครื่องมือใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับ
“ค่ะ... ขอบคุณนะคะคุณหมอ... เดี๋ยวดิฉันลงไปส่ง” นมแสงบอก
“จะกลับแล้วรึ พ่อหมอหัวดื้อ” ดำรงถามเป็นนัย “ต้องอีกนานแค่ไหน กว่าจะหาย... ?”
สิบทิศก็ตอบเป็นนัย “อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตครับท่าน... อาการบางอย่างก็ รุนแรง และ เรื้อรัง เกินกว่าที่จะเยียวยาให้หายขาด โดยเฉพาะ บาดแผลฉกรรจ์ที่บดินทร์ธรสร้างไว้กับเวฬุมาศ ชาตินี้ทั้งชาติ ก็ไม่มีวันรักษาหาย”
สิบทิศตอบสีหน้าเรียบเฉยแล้วเดินออกจากจากห้องไปพร้อมนมแสง ดำรงมองตาม
น่านฟ้าชวนร้อยดาวคุยขณะนั่งเล่นบนชิงช้าในสวน
“คุณเพิ่งมาอยู่ใหม่เหรอ” น่านฟ้าถาม
ร้อยดาวพยักหน้าแล้วยิ้มสดใส
“น่านฟ้าค่ะ... อยู่บ้านข้างๆนี่แหละ แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร”
“เรียกฉันว่า... “ดาว” เฉยๆ ก็ได้... Nice to meet you. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ...คุณน่านฟ้า”
“เช่นกันค่ะ”
ร้อยดาวยื่นมือให้ น่านฟ้ายื่นมาเชคแฮนด์ ทั้งสองรู้สึกถูกชะตากัน
“คุณเพิ่งมาทำงานที่นี่เหรอคะ ? ไม่เห็นจะคุ้นหน้า”
ร้อยดาวอึ้งแล้วคิดอยู่ว่าจะตอบยังไงดี จังหวะนั้นสิบทิศก็เดินเข้ามา
“พี่ชายมาพอดี” น่านฟ้าว่า
สิบทิศจ้องหน้าร้อยดาวหน้านิ่งและเย็นชา
“คุณท่านเป็นอะไรมากไหมคะ” ร้อยดาวถาม
“โรคคนแก่... ไม่เป็นอะไรมากหรอก แล้วเธอล่ะ ?” สิบทิศถามกลับ
ร้อยดาวงง “ฉัน? ฉันสบายดี ไม่ได้ป่วยสักหน่อย ถามทำไม ?”
ร้อยดาวกระโผลกกระเผลกเนื่องจากยังเจ็บบาดแผลตรงหัวเข่าที่จักรยานล้ม สิบทิศจ้องหน้าร้อยดาวนิ่งและเย็นชา
สิบทิศเอาสำลีชุบแอลกอฮอลล์ล้างแผลถลอกที่หัวเข่าของร้อยดาว
“โอ๊ยย !!!! แสบๆๆๆๆ เบาๆหน่อยสิ มันเจ็บ !เป็นหมอประสาอะไร มือหนักเป็นบ้า”
“ใครใช้ให้ซุ่มซ่ามล่ะ?... นั่งนิ่งๆ!”
ร้อยดาวทำหน้ากระเง้ากระงอดที่ถูกสิบทิศดุเป็นเด็กๆ สิบทิศค่อยๆทาทิงเจอร์ไอโอดีนให้ ก่อนเอาสำลีปิดบาดแผล
“เสร็จแล้ว”
ร้อยดาวนั่งเฉย สิบทิศต้องจ้องหน้าจนร้อยดาวงงว่าจ้องทำไม
“ขอบคุณสักคำน่ะ เป็นมั้ย” สิบทิศว่า
“ขอบใจ !”
น่านฟ้าเดินเข้ามา ขณะที่สิบทิศเก็บอุปกรณ์แพทย์ลงกระเป๋า
สิบทิศถามน่านฟ้า “หายไปไหนมา ?”
“เดินเล่น...” น่านฟ้าตอบเรียบๆ
“มาบ้านคนอื่น ถือวิสาสะเดินเล่นเพ่นพ่านได้ยังไง เสียมารยาท ! หัดรู้จักสำรวม นั่งให้เป็นที่เป็นทางซะบ้าง”
น่านฟ้าหน้าจ๋อย
“ไม่เห็นเป็นไรเลย... ฉันอนุญาต” ร้อยดาวบอก
สิบทิศหันขวับมามองร้อยดาวเพราะคิดว่าร้อยดาวเป็นเพียงเด็กรับใช้ในบ้าน
“คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านบดินทร์ธรหรือไง ถึงได้เที่ยวอนุญาตคนนั้น คนนี้ ตามอำเภอใจ”
ร้อยดาวมองสิบทิศแบบงงๆ สิบทิศพูดจบก็ตรงไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ โดยที่น่านฟ้าวิ่งตามไป
“กลับก่อนนะคะ... พี่ชาย รอด้วย !”
น่านฟ้าโบกมือบ๊ายบายให้ร้อยดาวก่อนที่รถของสิบทิศจะเคลื่อนออกไป
สิบทิศกับน่านฟ้าเดินเข้ามาภายในตำหนักม่วง ช้อยรีบออกมาต้อนรับ
“วันนี้คุณชายพาคุณหญิงไปเที่ยวที่ไหนมาคะ”
น่านฟ้าป้องปากกระซิบ “บ้านบดินทร์ธร”
ช้อยอ้าปากค้างและตาโตจนเพราะไม่เชื่อหูว่าสิบทิศจะไปที่นั่น
“ห๊า ! นี่ช้อยหูฝาดไปหรือเปล่าคะ!”
น่านฟ้าพยักหน้า
“ทำหน้าอย่างกับเห็นผีไปได้ ! ฉันแค่ทำตามหน้าที่ ของหมอที่ต้องรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย จ้างให้ ฉันก็ไม่มีวันเหยียบไปที่นั่น”
เสียงรัตนากรดังขึ้นมา
“มีใคร เป็นอะไรรึ พ่อสิบทิศ ?”
รัตนากรที่เดินลงบันไดมาอย่างสง่าด้วยท่าทางที่สมกับเป็นราชนิกูล
รัตนากรกับสิบทิศยืนจ้องกรอบรูปภาพเหมือนสีน้ำมันของวิรุฬบนผนัง
“หากวิรุฬ พ่อของหลานยังอยู่ เวฬุมาศกับบดินทร์ธรก็คงจะไม่ตัดขาดกันเหมือนอยู่คนละโลกเช่นนี้” รัตนาการบอก
“เหตุใดท่านป้าจึงยังไม่ทรงเลิกสนพระทัยเรื่องราวของคนในตระกูลนั้นเสียที บดินทร์ธรนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉาน ท่านพ่อต้องสิ้นเพราะใคร ถ้าไม่ใช่เพราะคนในรั้วบดินทร์ธร”
“สิบทิศ ! การตายของพ่อหลาน ไม่ใช่เพราะใครเป็นต้นเหตุทั้งนั้น กรรมต่างหาก ! กรรมเป็นเครื่องกำหนดให้ทุกชีวิตต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครหลีกหนีพ้น”
“แต่กรรมนั้นเป็นผลจากการกระทำของบดินทร์ธรฉะนั้น คนของบดินทร์ธรก็ต้องชดใช้”
สิบทิศพูดด้วยแววตากร้าว
“แล้วหลานจะให้พวกเขาชดใช้อย่างไรรึ ?”
สิบทิศจนคำตอบแก่ท่านป้า รัตนากรมองสิบทิศแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในความเจ้าคิดเจ้าแค้นของหลานชาย
บรรดาสะใภ้และหลานสาวต่างเอาอกเอาใจดำรงจนออกนอกหน้า
“แห่กันมาพร้อมหน้า กลัวชวดสมบัติจากฉันหรือไง” ดำรงว่า
“สะใภ้ทุกคนต่างก็ห่วงใยคุณพ่อด้วยใจจริงทั้งนั้น ไม่มีใครคิดหวังเงินทองของนอกกายพรรค์นั้นหรอกค่ะ”
เต็มเดือนรินน้ำชาจากการ้อนๆใส่ถ้วยส่งให้ดำรง ดำรงโบกมือเป็นสัญญาณว่ายังไม่อยากกินน้ำชา เต็มเดือนแอบผิดหวังเล็กๆ จงจิตกับสร้อยฟ้าที่หมั่นไส้อยู่แอบสะใจ
“แม่ดาหลานั่นแหละตัวดี ดูแลคุณพ่อประสาอะไร ถึงปล่อยให้คุณพ่อเป็นลมเป็นแล้งไปได้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ” จงจิตว่า
“แล้วนี่นังดาหลาหายหัวไปไหน ทำไมไม่มาดูดำดูดีคุณพ่อ มันน่าเฉดหัวอีนังกาฝากออกจากบดินทร์ธรนัก” สร้อยฟ้าว่า
ดำรงถามนมแสง “แม่ดาหลายังไม่กลับมาหรือนมแสง ?”
“ยังค่ะ... คุณท่าน” นมแสงถาม
“ฉันนึกว่าแม่ดาหลาเป็นคนไปตามหมอเสียอีก”
“คุณหนูร้อยดาวเป็นคนไปตามมาค่ะ” นมแสงบอก
ร้อยดาวเปิดประตูเข้าห้องมา ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
“แค่ความดัน ไม่ทำให้ฉันตายง่ายๆหรอก แม่ม้าดีดกะโหลก” ดำรงว่า
“ดิฉันแค่มาเยี่ยมคุณท่านเท่านั้น ถ้าอาการดีขึ้นแล้วดิฉันก็หมดห่วง จะไม่อยู่ในห้องนี้ให้คุณท่านรำคาญใจ” ร้อยดาวบอก
ร้อยดาวหันหลังจะเดินออกไปจากประตู
“เดี๋ยว !!!” ดำรงเรียกไว้
ร้อยดาวหันกลับมาแบบคิดว่าคงต้องถูกดุอีกแน่ๆ
สร้อยฟ้ายิ้มเย้ยแล้วด่าเสริมเป็นชุด
“กิริยามารยาทต่ำทราม !!! พ่อแม่แกไม่เคยสั่งเคยสอนหรือไง ! ถึงได้กล้าตีฝีปากประชดประชันคุณพ่อ ห๊า”
“หุบปากหล่อนซะ แม่สร้อยฟ้า !” ดำรงว่า
ดำรงมองหน้าร้อยดาวด้วยสีหน้าเย็นชา
ดำรงกล่าวเสียงเย็นๆ “ขอบใจ !”
ร้อยดาวค่อยยิ้มออก ในขณะที่คนอื่นๆต่างอิจฉาริษยา
ดำรงพูดต่อ “แต่อย่าคิดว่าเรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ จะเปลี่ยนใจให้ฉันนับหล่อนเป็นหลาน”
ร้อยดาวรีบหุบยิ้มลงทันที
ร้อยดาวเปรยขึ้นกับนมแสง
“ฉันไม่เข้าใจเลย นม... ฉันน่ารังเกียจนักหรือ ? ในสายตาคุณท่านถึงไม่เคยเห็นว่าฉันเป็นหลาน”
“ความจริงก็คือความจริงค่ะ คุณหนูเป็นลูกสาวของคุณปกรณ์ จะไม่ให้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณท่านได้อย่างไร คุณหนูอย่าน้อยใจไปเลยนะคะ สักวันหนึ่ง คุณท่านจะต้องรักและเมตตาหลานสาวคนนี้แน่นอนค่ะ เชื่อนมเถอะ”
ร้อยดาวมองนมแสงอย่างอบอุ่นและรู้สึกมีกำลังใจ
ดาหลาคุกเข่าต่อหน้าสะใภ้ทั้งสามด้วยน้ำตารื้น
“นังคางคกขึ้นวอ ! คุณพ่ออุตส่าห์เก็บแกมาเลี้ยงจากที่ต่ำๆ แต่แกก็ยังไม่สำนึกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดหัว แกนี่มันเนรคุณจริงๆ” สร้อยฟ้าว่า
“หล่อนหายไปไหนมา ถึงได้ไม่อยู่ดูแลคุณพ่อ หรือว่าออกไปวิ่งแร่ หว่านเสน่ห์ให้ท่าพวกคนรถ คนสวน” จงจิตถาม
“ดาหลาปละ...เปล่านะคะ คุณจงจิต ดิฉันออกไปซื้อยาให้คุณท่านที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ไม่นึกว่า....”
เต็มเดือนลูบหัว “เป็นไรหรอกจ้ะ ดาหลา... เธอทำดีแล้ว” เต็มเดือนยิ้ม
“เก็บข้าวเก็บของของหล่อนซะ แล้วไสหัวออกไปจากบดินทร์ธร เดี๋ยวนี้ ไป๊ !” สร้อยฟ้าชี้นิ้วไล่
นมแสงประคองดำรงลงบันไดมา
“เอะอะโวยวายอะไรกัน ทำตัวเป็นพวกแม่ค้านั่งตลาดไปได้” ดำรงว่า
“สร้อยฟ้า.... เห็นแก่คุณพ่อที่เก็บดาหลามาเลี้ยงแต่อ้อนแต่ออกเถอะนะ อย่าขับไล่ไสส่งดาหลาไปเลย ฉันขอ...” เต็มเดือนบอก
ดำรงพูดกับสร้อยฟ้า “หล่อนมีสิทธิ์อะไรมาไล่คนของฉัน ห๊ะ... แม่สร้อยฟ้า ฉันจะเตือนหล่อนไว้อย่าง เลิกวางท่าราวกับเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เสียที เห็นแล้วมันน่าทุเรศ” ดำรงพูดกับดาหลา “หล่อนก็เหมือนกันแม่ดาหลา ! เลิกบีบน้ำตาได้แล้ว ทำท่าอย่างกับมีใครตาย”
ดาหลาพยักหน้าแต่น้ำตายังร่วงพรู จงจิตสะใจที่สร้อยฟ้าถูกด่า ในขณะที่ร้อยดาวแอบสังเกตการณ์อยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
สร้อยฟ้าตบโต๊ะปังใหญ่เพื่อระบายอารมณ์
“สักวัน ไอ้แก่นี่จะต้องไม่ตายดี !”
ดาราเรศเสนอหน้าเข้ามาตามประสาเด็กสอดรู้สอดเห็น
“คุณปู่ว่าคุณแม่อีกแล้วเหรอคะ”
“อีนังเต็มเดือนนั่นแหละตัวดี คอยเสี้ยมให้แม่ถูกด่าหนอย... ทำตัวหงิมๆเป็นแม่พระ คิดว่าฉันรู้ไม่ทันล่ะสิ ว่าแกเองก็หวังฮุบสมบัติไอ้แก่จนตัวสั่น เชอะ ! อีนังผู้ดีแปดสาแหรก”
“เรศอยากให้เปิดพินัยกรรมคุณพ่อเร็วๆจังเลยค่ะคอยดูนะ... ถ้าบ้านหลังนี้ตกเป็นของเราเมื่อไหร่เรศจะไล่พวกมันออกไปให้หมดทุกตัวเลย”
สร้อยฟ้าหยิบถุงใส่เงินจากกำปั่นเล็กๆโยนให้กระถินที่อยู่ตรงหน้า
“ฉันให้ ! คอยจับตาดูนังเด็กร้อยดาวนั่นไว้ มีเรื่องอะไรให้รีบมารายงานฉันทันที”
“กระถินจะคอยดูไม่ให้คลาดสายตาเลยค่ะ”
กระถินเก็บถุงเงินขึ้นมาแล้วยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
จงจิตหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
“สะใจฉันจริงๆ... นั่งบนภูดูเสือกัดกัน ดี... ฟัดกันให้ตายๆ ไปซะให้หมด สมบัติจะได้ตกเป็นของฉันคนเดียว”
“เปิดพินัยกรรมของคุณพ่อเมื่อไหร่ เราย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะนะคะ คุณแม่ หนูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” ดารกาบอก
จงจิตหันขวับมาจ้องหน้าดารกาตาเขียว
“เรื่องอะไรฉันจะต้องย้ายออกไปให้โง่ ใครๆก็รู้ว่าคุณพี่รักฉันมากแค่ไหน ฉะนั้น บ้านหลังนี้ต้องตกเป็นของฉัน พวกมันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายระเห็จออกไป”
ดารกาหน้าม่อยเพราะรู้สึกว่าแม่ไม่รักตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ร้อยดาวเดินคุยกับดาหลาที่โถงทางเดินบริเวณระเบียง
“ขอบคุณคุณหนูมากนะคะ ที่ไปตามหมอมาช่วยคุณท่านไว้ ได้ทัน ไม่อย่างนั้น คงต้องแย่แน่ๆ”
“ฉันได้ยินคุณสร้อยฟ้าบอกว่า เธอเป็นลูกบุญธรรมของคุณท่านที่เก็บมาเลี้ยงเหรอ”
“พ่อแม่ของดิฉันเคยทำงานอยู่ในไร่ แต่ถูกคนร้ายฆ่าตายทั้งบ้าน คุณท่านเมตตา กลัวว่าเด็กกำพร้าอย่างดิฉันจะไม่มีอนาคต เลยชุบเลี้ยงให้เป็นคนในตระกูลบดินทร์ธร ส่งเสียจนกระทั่งดิฉันเรียนจบพยาบาล”
ร้อยดาวพยักหน้าเพราะเข้าใจความเป็นมาของดาหลา
“เหมือนฉันเลย... ฉันเองก็ไม่มีพ่อไม่มีแม่เหมือนกัน” ร้อยดาวบอก
“ดิฉันเคยได้ยินมาว่า คุณปกรณ์ท่านรักคุณเวียงแก้วมาก ถึงกับสร้างเวียงร้อยดาวให้คุณแม่ของคุณหนูโดยเฉพาะ” ดาหลาบอก
“เวียงร้อยดาว ? ชื่อเหมือนฉันเลย...คงสวยมากสินะ”
“แต่ก่อน คงจะสวยน่าดู น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ร้างไปเสียแล้ว”
ดาหลากับร้อยดาวเดินคุยจนกระทั่งถึงประตูหน้าห้องดำรง
“ถึงห้องคุณท่านแล้ว ดิฉันต้องขอตัวก่อน เดี๋ยวคุณท่านตื่นขึ้นมา เรียกหาไม่พบ จะโมโห”
ดาหลาเปิดประตูเข้าไปในห้องดำรง
“เวียงร้อยดาว... งั้นเหรอ ?” ร้อยดาวขมวดคิ้วครุ่นคิด
ร้อยดาวปั่นจักรยานไปตามทุ่งหญ้าเขียวขจีเพื่อจะออกไปดูเวียงร้อยดาวให้เห็นกับตาอีกสักครั้ง
“ที่นั่นจะต้องมีปริศนาการตายของคุณแม่เวียงแก้วแน่ๆ”
น่านฟ้าที่ปั่นจักรยานมาไกลๆ โบกไม้โบกมือแล้วตะโกนเรียก
“คุณดาว !!! ยู้ฮู !”
ร้อยดาวกับน่านฟ้าคุยกัน โดยมีรั้วลวดหนามกั้นแบ่งอาณาเขตของทั้งสองบ้านกั้นกลาง
“มาทำอะไรแถวนี้คะ ถ้าพี่ชายคุณรู้เข้า จะว่าไม่เอาเหรอ” ร้อยดาวถาม
น่านฟ้าจุ๊ปาก “จุ๊ๆๆ... ก็อย่าบอกสิคะ ถ้าคุณดาวไม่พูด หญิงไม่พูดซะอย่าง พี่ชายจะรู้ได้ยังไง จริงไหมคะ แล้วนี่คุณดาวกำลังจะไปไหนเหรอคะ”
“บอกไม่ได้ค่ะ เป็นความลับ !”
“ความลับ !!! น่าสนุกจัง !! ขอหญิงไปด้วยคนได้ไหมคะ ?”
“ได้ค่ะ แต่ต้องสัญญาก่อน ว่าจะไม่บอกใครเด็ดขาด”
ร้อยดาวยกนิ้วก้อยขึ้น น่านฟ้าเกี่ยวก้อยสัญญาด้วย
“สัญญาค่ะ”
“ถ้างั้น โดดขึ้นมาซ้อนท้ายเลยค่ะ”
น่านฟ้าจะลอดรั้วไปแต่ก็ยังเป็นห่วงจักรยานของตัวเอง
“อ้าว... แล้วจักรยานของหญิงล่ะ”
“พิงไว้ที่ข้างรั้วนั่นแหละค่ะ ไม่หายหรอก”
น่านฟ้าจอดจักรยานพิงไว้ที่ข้างรั้วแล้วซ้อนท้ายจักรยานร้อยดาวออกไป
ร้อยดาวปั่นจักรยานโดยมีน่านฟ้าซ้อนท้ายผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจีไปตามทางที่ไปยังเวียงร้อยดาว
“คุณพอรู้จักเวียงร้อยดาวไหมคะ” ร้อยดาวถาม
“บรื๋อออ...ตึกผีสิงนั่นน่ะเหรอ แค่ได้ยินชื่อก็ขนลุกซู่แล้ว” น่านฟ้าว่า
“มีผีด้วยเหรอคะ ?”
“ค่ะ ! ช้อยบอกว่าเคยมีคนตายที่นั่น”
“ใครตาย ? พอทราบไหมคะ ?”
น่านฟ้าส่ายหัวดิกๆ “ไม่ทราบหรอกค่ะ เรื่องมันผ่านมาเป็นสิบๆปีแล้ว ตั้งแต่น่านฟ้ายังไม่เกิดโน่น”
ร้อยดาวฟังอย่างเก็บข้อมูล
จักรยานของร้อยดาวจอดอยู่ที่ริมบึงบัว น่านฟ้าตกตะลึงเมื่อเห็นบึงบัวสีแดงบานสะพรึ่บไปทั่วทั้งท้องน้ำ ในขณะที่เบื้องเป็นหลังคาเวียงร้อยดาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ในดงไม้ บนเกาะกลางบึงบัว
“ที่นี่มัน.... !”
“เวียงร้อยดาวใช่ไหมคะ” ร้อยดาวถาม
“เรากลับกันเถอะค่ะ”
น่านฟ้าหันหลังจะกลับขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน
“เดี๋ยวสิคะ ไม่อยากรู้เหรอว่าข้างในนั้น มีอะไร”
น่านฟ้าส่ายหน้าดิกๆ เหมือนเด็กขวัญอ่อนที่ไม่กล้าเข้าบ้านผีสิง
“ไม่ดีกว่าค่ะ น่ากลัว”
“กลัวอะไรคะ ฉันอยู่ด้วยทั้งคน หรือว่าไม่ไว้ใจ ?”
“ไว้ใจน่ะไว้ใจค่ะ แต่ฉันกลัวผีนี่”
“ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง ถ้าอยากเอาชนะความกลัว ก็ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน ถ้าคุณกลัว จะกลับก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
น่านฟ้ากล้าๆกลัวๆ เธอชั่งใจจนเหงื่อแตกพลั่กๆ
“ไปก็ได้... แต่จะไปยังไงล่ะ” น่านฟ้าถาม
ร้อยดาวมองหาครู่นึง “นั่นไง !!”
ร้อยดาวชี้ไปที่เรือไม้เก่าๆ เล็กๆที่จอดเสยตลิ่งอยู่
ช้อยหน้าตาตื่นกระวีกระวาดเข้ามาหาสิบทิศ
“ช้อยหาจนทั่วแล้ว ไม่พบเลยค่ะ ทำยังไงดีล่ะคะ คุณชาย”
“ฉันกำชับแล้วใช่มั้ย ว่าให้คอยดูแลน่านฟ้าให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ออกไปเที่ยวเล่นซุกซนข้างนอก ดูซิ ! เย็นป่านนี้ยังเถลไถล ไม่กลับบ้าน”
“ยกโทษให้ช้อยด้วยเถอะนะเจ้าคะ ช้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ชักจะเอาใหญ่แล้ว !”
สิบทิศมองช้อยอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินออกไปจากตำหนักม่วงเพื่อไปตามหาน้องสาว
ร้อยดาวพยายามหัดพายเรือทั้งที่พายเรือไม่เป็น ส่วนน่านฟ้าซึ่งนั่งที่หัวเรือเอามือวักน้ำอย่างสนุกสนาน เรือเคลื่อนออกจากฝั่งห่างไกลออกไปทุกที
“ถามจริงๆ เถอะ... ทำไมคุณถึงได้อยากไปที่ตึกร้างนั่นนัก” น่านฟ้าถาม
“ฉันว่าต้องมีใครอยู่ที่นั่น” ร้อยดาวบอก
“ใครที่ว่าน่ะ คนหรือผี ?”
“ฉันมั่นใจว่าคน ! ดีไม่ดีที่นั่นอาจจะมีขุมทรัพย์อย่างในหนังเรื่องเกาะมหาสมบัติซ่อนอยู่ก็ได้”
“นี่มันตึกร้างกลางบึงบัวนะคะ ไม่ใช่เกาะกลางทะเลแคริบเบียน จะได้มีโจรสลัดมาซ่อนขุมทรัพย์”
ร้อยดาวหัวเราะในความน่าเอ็นดูของน่านฟ้า
เรือที่ร้อยดาวพายอยู่กลางบึงบัวเพราะพายไปได้ประมาณครึ่งทางแล้ว น่านฟ้าก้มลงมองกลางลำเรือแล้วหน้าตาตื่น
“นั่น!”
“ว่าไง เจอกัปตันฮุก หรือว่าแจ๊ค สแปโรว์คะ”
น่านฟ้าส่ายหน้าหงึกๆ ว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่างแล้วก็ชี้นิ้วไปที่กลางลำเรือ ร้อยดาวเห็นน้ำพุ่งทะลักเข้ามากลางลำเรือเจิ่งนองไปหมด
“เฮ้ย !!! เรือรั่ว !!”
ร้อยดาวตาค้าง
สิบทิศขับรถจี๊ปออกมาตามน่านฟ้า เขาเห็นจักรยานของน่านฟ้าจอดพิงรั้วลวดหนามอยู่ สิบทิศพอเดาออกว่าตอนนี้น่านฟ้าอยู่กับใคร เขาลงจากรถจี๊ปแล้วกระโดดข้ามรั้วไม้เตี้ยๆข้ามไปยังฝั่งของบดินทร์ธร
ร้อยดาวกับน่านฟ้าช่วยกันวักน้ำที่ทะลักเข้าลำเรือ
“ทำยังไงดีล่ะ ยิ่งวัก น้ำก็ยิ่งเข้า...” น่านฟ้าตกใจ
น้ำยังคงทะลักเข้ามาในลำเรือไม่หยุด
“ไม่เป็นไร ! น้ำคงไม่ลึกสักเท่าไหร่หรอก” ร้อยดาวบอก
ร้อยดาวพยายามเอาไม้พายหยั่งดู แต่ก็หยั่งไม่ถึงพื้น
“แต่หญิงว่ายน้ำไม่เป็น !” น่านฟ้าบอก
ร้อยดาวตกใจ “ห๊า !”
น่านฟ้าตะลีตะลานจนกระทั่งเรือโคลงล่มลงกลางน้ำ ร่างของน่านฟ้าจมดิ่งลงไปใต้น้ำที่เต็มไปด้วยสายบัวระโยงระยางรกทึบจนน่ากลัว ร้อยดาวทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วมองหาน่านฟ้าแต่ก็ไม่พบร้อยดาวรีบดำดิ่งไปหาน่านฟ้าที่ใต้น้ำ น่านฟ้าถูกสายบัวพันแขนพันขาเกี่ยวรัดเต็มไปหมดจนเหมือนถูกยุดให้จมอยู่ใต้น้ำ ร้อยดาวว่ายน้ำตรงรี่มาหาน่านฟ้าแล้วปัดป่ายสายบัวที่เกี่ยวพันออกก่อนจะกระหวัดตัวน่านฟ้าไว้ได้ ร้อยดาวทะลึ่งพรวดขึ้นมาบนผิวน้ำพร้อมร่างของน่านฟ้า
ร้อยดาวนำน่านฟ้าขึ้นมาริมตลิ่งได้ก็หมดแรงจนแทบขาดใจ เธอหายใจหอบ ส่วนน่านฟ้าสำลักน้ำ ตาแดง
“ทำไมไม่บอกก่อน ว่าว่ายน้ำไม่เป็น” ร้อยดาวว่า
“ก็คุณไม่ได้ถามนี่ อีกอย่าง...หญิงไม่คิดว่าเรือมันจะล่ม” น่านฟ้าบอก
“หัดพายเรือครั้งแรกในชีวิต ก็พาล่มไม่เป็นท่าเสียแล้ว”
“หญิงก็เหมือนกัน เคยกินแต่สายบัวต้มกะทิฝีมือแม่ช้อย เพิ่งจะเคยเห็นกับตาว่าสายบัวของแท้มันเป็นยังไง”
น่านฟ้าหันมาหัวเราะร่ากับร้อยดาว โดยที่ไม่รู้ว่าสิบทิศยืนอยู่ด้านหลัง น่านฟ้าเงยหน้าขึ้นไปเห็นสิบทิศกำลังยืนจ้องตาเขม็ง
“พี่ชาย !”
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”
น่านฟ้าเสียงอ่อย “ก็แค่จะลงไปเก็บสายบัวกัน”
“กลับบ้านกับพี่เดี๋ยวนี้!”
ร้อยดาวรู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าสิบทิศจะโกรธมากขนาดนี้
อ่านต่อหน้า 4
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 1 (ต่อ)
น่านฟ้าจามดังๆ แล้วเอาผ้าห่มคลุมตัวไว้ในสภาพคล้ายจะเป็นหวัด
“ท่านพ่อจะเสียพระทัยแค่ไหน ถ้ารู้ว่าคนของเวฬุมาศเกือบจะต้องพลาดท่าจบชีวิตเซ่นพลีให้พวกบดินทร์ธร โดยเฉพาะ หากคนๆนั้นคือหญิงเอง” สิบทิศว่า
“มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกค่ะ พี่ชาย”
“ใครเป็นคนชวน ?”
น่านฟ้าหลบตา “หญิงเอง...”
“อย่าโกหก ! ใครเป็นคนชวน ?”
น่านฟ้าตอบเลี่ยงๆ “หญิงเป็นคนตามไปเอง... ถ้าคุณดาวไม่ช่วยไว้ หญิงก็คงจมน้ำตายไปแล้ว”
“อ้อ... แม่นั่นชื่อดาวเองหรอกรึ ! ออกรับแทนกันดีนักนะ ดีล่ะ ต่อไปนี้พี่ขอยื่นคำขาด ห้ามข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับแม่ดาวอะไรนั่นอีก ถ้าหญิงยังดื้อรั้นขัดคำสั่งพี่ พี่จะส่งหญิงกลับกรุงเทพฯ”
น่านฟ้าหน้ามุ่ย เธอไม่อยากกลับไปอยู่ที่กรุงเทพเพราะกลัวว่าจะหมดสนุก สิบทิศเดินออกจากห้องน่านฟ้าไปอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ร้อยดาวเดินตัวเปียกโชกกลับมาเจอกับกระถินที่หน้าตึก กระถินมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไปทำอะไรมา ?” กระถินถาม
“อาบน้ำ” ร้อยดาวตอบ
“อาบทั้งๆที่ใส่เสื้อแสงอย่างนี้เนี่ยนะ มีที่ไหนกัน ?”
“ที่อังกฤษเขาอาบกันอย่างนี้”
“จริงเหรอ ?”
“จริงสิ ที่นั่นมีหิมะ ต้องใส่เสื้อผ้าอาบ จะได้ไม่หนาว”
พูดจบร้อยดาวก็ขึ้นตึกไป ปล่อยให้กระถินเกาหัวแกรกๆ ว่ามีอย่างนี้ด้วยเหรอ
นมแสงตาโตตกใจเมื่อรู้ว่าร้อยดาวไปไหนมา
“อะไรนะคะ !!! คุณหนูน่ะหรือ ไปที่เวียงร้อยดาวมา !”
ร้อยดาวเอาผ้าขนหนูเช็ดผมเพราะเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ
“อืม... แต่น่าเสียดาย เรือล่มซะก่อน ไม่งั้นคงได้รู้กัน ว่าในนั้นมีอะไร”
“เรื่องบางเรื่องไม่รู้ ดีกว่ารู้นะคะ คุณหนู”
“แต่เรื่องนี้ รู้ดีกว่าไม่รู้จ้ะนม”
“โธ่.... คุณหนูนี่ ดื้อเหมือนคุณปกรณ์ไม่มีผิด”
นมแสงมองร้อยดาวอย่างอ่อนใจ
พระจันทร์วันพระใหญ่ลอยเด่นบนท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาว ร้อยดาวนอนตะแคงหลับสนิทอยู่ที่เตียง อยู่ๆ เวียงแก้วในชุดขาวโพลนก็ลอยละล่องจากด้านบนก้มลงมากระซิบที่ข้างหูร้อยดาว
“ร้อยดาว...”
ร้อยดาวลืมตาขึ้นเห็นร่างเวียงแก้วอยู่ที่ประตูโดยกำลังหันหน้ามาหาก่อนลอยละล่องออกจากห้องไป ร้อยดาวไม่รอช้ารีบลุกพรวดตามเวียงแก้วออกไปทันที
ร้อยดาวเดินออกมาที่โถงทางเดินแล้วเห็นชายผ้าสีขาวไหวๆ ของเวียงแก้วลอยนำไป
“เดี๋ยวก่อน !!! รอด้วย !”
ชายผ้าไหวๆ นั้นนำพาร้อยดาวลดเลี้ยวไปตามโถงทางเดินคล้ายจะพาไปที่ไหนสักแห่ง ร้อยดาวเดินตามไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งมาสุดทางที่หน้าห้องสมุด
ร้อยดาวค่อยๆย่องเข้ามาในห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีชั้นหนังสือตั้งเรียงรายเต็มไปหมด เวียงแก้วยืนรอเวียงแก้วอยู่หน้าชั้นหนังสือภาษาอังกฤษที่มีแต่หนังสือเล่มโตๆเต็มไปหมด
“คุณเป็นใครกันแน่ ! ต้องการอะไร ! บอกฉันมาสิ ! บางทีฉันอาจช่วยได้”
เวียงแก้วจ้องที่ตาร้อยดาวคล้ายสะกด ดวงตาของร้อยดาวมีภาพสะท้อนอะไรบางอย่างที่ม่านตา
ภาพที่ปรากฏในม่านตาของร้อยดาวเป็นภาพดำรงนั่งไขว่ห้างอยู่บนชุดรับแขกในห้องโถงรับแขก ณ ตึกบดินทร์ธร พ่อของเวียงแก้วกับเวียงแก้วนั่งอยู่ที่พื้น
“จนปัญญาแล้วขอรับ... หาเงินไม่ได้จริงๆ นาล่มหมดตัว หนำซ้ำเมียยังมาป่วยตาย กระผมจะลงใต้ รีบทำงานหาเงินมาใช้คืนคุณท่านนะขอรับ แต่ตอนนี้ ขอเอาลูกสาวมาขัดดอกไว้ก่อน” พ่อของเวียงแก้วบอก
เวียงแก้วยังคงก้มกราบด้วยตัวที่สั่นน้อยๆ เพราะสะอื้นไห้
“ไหนเงยหน้าซิ !” ดำรงสั่ง
เวียงแก้วที่หมอบกราบอยู่ค่อยๆเงยหน้าขึ้น
ดวงตาร้อยดาวกระพริบลงทำให้ภาพหายวับไป ร้อยดาวอยู่เพียงลำพังในห้องสมุดเพราะร่างของเวียงแก้วหายไปแล้ว ร้อยดาวงุนงงกับภาพที่เห็นเมื่อครู่ เธอสลัดหัวแบบยังไม่อยากจะเชื่อสายตา
จู่ๆ ร้อยดาวก็ร้องลั่น “อ๊าย !!”
ร้อยดาวถูกกอดรัดจากทางด้านหลัง แล้วถูกถาโถมตระโบมลูบคลำของสงวนพร้อมทั้งไซ้ซอกคอจากทางด้านหลังอย่างหื่นกระหายจากวีระวิทย์
“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวฉันจะพาเธอขึ้นสวรรค์เอง” วีระวิทย์บอก
“แกเป็นใคร ?”
“ผัวของเธอไงล่ะ หึๆๆ อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลยน่าเด็กใหม่ เพิ่งมาอยู่ที่นี่ก็ต้องผ่านการรับน้องเป็นของธรรมดา ! รับรองน่า... เธอจะต้องติดใจลีลาของฉันไปจนวันตาย อา....”
วีระวิทย์พรมจูบไปทั่วทั้งเรือนร่างของร้อยดาวแล้วกระชากกระดุมเสื้อเชิ้ตนักศึกษาออก ร้อยดาวอาศัยจังหวะนั้นยกขาเตะผ่าหมากวีระวิทย์เต็มแรงจนเขาหน้าเขียว
“ไอ้เดนนรกเอ๊ย !!!” ร้อยดาวว่า
ร้อยดาวซัดกำปั้นเข้าที่ปากวีระวิทย์อีกดอกจนหน้าหงาย วีระวิทย์ล้มคว่ำ หนังสือบนชั้นหล่นลงมากองกับพื้นเสียงดัง นมแสงเดินเข้ามาด้วยความตกใจสุดขีด
“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณหนู ?”
“ก็ไอ้ชั่วนี่น่ะสินม มันจะปล้ำฉัน !!” ร้อยดาวว่า
นมแสงมองลงมาเห็นวีระวิทย์นอนจุกอยู่ที่พื้นในสภาพเลือดกบปาก
“คุณวีระวิทย์ !”
วีระวิทย์นอนโอดโอยร้อยแทบไม่เป็นภาษามนุษย์
วีระวิทย์โกหกหน้าด้านๆ ชักแม่น้ำทั้งห้าแก้ตัวกับดำรงโดยที่มีคนอื่นๆ รายล้อม
“ผมไม่ทราบจริงๆครับคุณปู่... เห็นเงาตะคุ่มๆอยู่ในห้องสมุด นึกว่าเป็นพวกหัวขโมย ก็เลยจะช่วยจับให้ ผมหวังดีนะครับ”
“เป็นใครก็ต้องนึกว่าโจรกันทั้งนั้น ใครจะไปคิดล่ะ ว่าแม่นี่เกิดอยากอ่านหนังสือในห้องสมุดตอนดึกๆ” สร้อยฟ้าเสริม
“เลิกเข้าข้างลูกหล่อนเสียที สันดานมันเป็นยังไง ฉันเป็นปู่ ทำไมจะไม่รู้” ดำรงว่า
วีระวิทย์ก้มหน้านิ่งเพื่อหลบตา
“พี่น้องพ่อเดียวกันแท้ๆ จะสมสู่กันเอง เรื่องบัดสีแบบนี้รู้ไปถึงไหน อับอายขายหน้าไปถึงนั่น” ดำรงว่า
วีระวิทย์จ้องหน้าร้อยดาวแบบยังเคืองไม่หายที่ถูกเตะผ่าหมาก
“แม่สร้อยฟ้า ! หัดอบรมลูกชายหล่อนให้เป็นผู้เป็นคนกับเขามั่ง อย่าปล่อยให้ทำระยำตำบอนแบบนี้อีก” ดำรงสั่ง
“แหม... คุณพ่อคะ เรื่องแบบนี้โทษตาวิทย์ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกค่ะ มาอยู่ไม่กี่วัน ก็จ้องจะจับผู้ชายเสียแล้ว”
ร้อยดาวจ้องสร้อยฟ้าตาเขม็ง
“ลูกชายคุณต่างหากที่จะเข้ามาปล้ำฉัน” ร้อยดาวบอก
“ก็เธอนั่นแหละ ให้ท่าฉัน !” วีระวิทย์ว่า
ร้อยดาวเถียงกับสร้อยฟ้าและวีระวิทย์เสียงดังลั่นไปหมด ไม้เท้าของดำรงกระแทกปังลงที่พื้นดังลั่น
“ไม่เห็นหัวฉันกันเลยใช่มั้ย !”
ทุกคนเงียบกริบลงทันที
ดำรงพูดกับร้อยดาว “ดึกๆดื่นๆ ทำไมหล่อนไม่รู้จักหลับจักนอน แล้วจะไม่ให้คนอื่นเขามองหล่อนว่าให้ท่าทอดสะพานได้อย่างไร... ทำนิสัยเหมือนแม่ไม่มีผิด” ดำรงพูดกับดาหลา “แม่ดาหลา ! ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน”
“ค่ะ คุณท่าน” ดาหลารับคำ
“เปิดพินัยกรรมเมื่อไหร่ จะได้ไปๆให้หมด !” ดำรงบอก
ดาหลาประคองดำรงเดินออกไป
สร้อยฟ้าด่าร้อยดาว
“สำส่อนทั้งแม่ทั้งลูก !”
แล้วสร้อยฟ้าก็ดึงแขนวีระวิทย์ให้เดินไป ร้อยดาวได้แต่นั่งมองเพราะไม่รู้จะพูดอะไร
วีระวิทย์เอาผ้าห่อนำแข็งประคอมุมปากที่ถูกต่อยจนเขียวช้ำ
“เสียดาย... ไม่น่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเลย...ไม่งั้น...”
“อย่า ! แม้แต่จะคิด ! นังร้อยดาว ลูกสาวอีเวียงแก้ว ถือเป็นศัตรูของเราอีกคน มันมาที่นี่ก็หวังจะแย่งสมบัติคุณพ่อ เราต้องหาทางกำจัดมัน !” สร้อยฟ้าบอก
“มันจะยากอะไรครับแม่... แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะกำจัดเมื่อไหร่ก็ได้ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด”
“เก่งแต่ปากล่ะสิไม่ว่า !”
“แกว่าใคร ห๊า ! ยัยเรศ !”
“ว่าพี่นั่นแหละ เก่งแต่ปาก แต่พอเอาเข้าจริงก็เห็นคว้าน้ำเหลวทุกที”
“ชักจะมากไปแล้วนะ !”
“ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้”
“แม่ !!!!” ดาราเรศไม่พอใจ
“ยังอีก ! แม่บอกให้ขอโทษพี่เขาไง !”
ดาราเรศยกมือไหว้แบบขอไปที “ขอโทษ !!”
ดาราเรศขอโทษเสร็จก็กระแทกเท้าปึงปังออกจากห้องไป
“แล้วนี่เราหายหน้าหายตาไปไหนมาตั้งหลายวัน” สร้อยฟ้าถาม
วีระวิทย์ตอบห้วนๆ “ห้องเพื่อน”
วีระวิทย์ทำเนียนโดยตอบไม่กระจ่าง สร้อยฟ้ารู้ทันที
“ตาวิทย์... แม่ขอล่ะ ! เรื่องผู้หญิงเพลาๆเสียบ้างเถอะ เรียนให้จบ แล้วลูกจะมีเมียอีกสักกี่คน แม่ก็ไม่ว่าตอนนี้ อย่าเพิ่งเอาเรื่องผู้หญิงมาทำให้แม่หนักใจจะได้มั้ย”
วีระวิทย์ทำหูทวนลมและพยักหน้าแบบขอไปที
ร้อยดาวเดินคุยกับนมแสงอยู่ที่มุขหน้าตึกบดินทร์ธร
“นมจ๊ะ... แม่เวียงแก้วของฉันผิดอะไร ใครต่อใครถึงได้จงเกลียดจงชังท่านนัก”
“คุณเวียงแก้วไม่ได้ผิดอะไร นมยืนยันว่าเธอ “บริสุทธิ์” ค่ะ” นมแสงบอก
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วทำไมถึงถูกต่อว่าเสียๆหายๆ”
“เพราะตัณหาราคะแท้ๆที่ครอบงำแน่นหนาจนกระทั่งจิตใจคนเรามืดบอด... ก่อกรรมทำเข็ญสารพัด เมื่อไหร่หนอ... จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมกันเสียที”
ร้อยดาวอึ้งเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่นมแสงพูด ทันใดนั้นร้อยดาวก็เห็นรถของปรมัตถ์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึกพอดี ร้อยดาวยิ้มดีใจที่ปรมัตถ์มาเป็นเพื่อน ปรมัตถ์ซึ่งลงจากรถมาพร้อมกับทนายทวีปส่งยิ้มให้ร้อยดาว ทวีปลอบสังเกตดวงหน้าร้อยดาว
ทวีปคุยกับนมแสง
“พินัยกรรมคุณปกรณ์ กำหนดเงื่อนไขว่า จะเปิดได้ ก็ต่อเมื่อทายาทตระกูลบดินทร์ธรผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกทุกคนอยู่พร้อมหน้ากัน แล้วอ่านพินัยกรรมต่อหน้าทายาททั้งหมดเท่านั้น”
“ตอนนี้คุณหนูร้อยดาว ทายาทคนสุดท้าย เดินทางมาถึงแล้ว พินัยกรรมจะได้เปิดเสียที จะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือปีหน้า ทุกคนก็ต้องรับรู้อยู่ดี ช้าหรือเร็วเท่านั้น” นมแสงบอก
กระถินซึ่งแอบดูอยู่ที่มุมลับตาเห็นทวีปมาก็รีบเดินไปทันที
ต่อมากระถินป้องปากกระซิบกระซาบกับสร้อยฟ้าเพื่อรายงานว่าทวีปมาแล้ว
สร้อยฟ้าตาลุกวาว เมื่อรู้แล้วเธอก็แทบอยู่ไม่สุขเดินพล่านเป็นเสือติดจั่น
ทวีปคุยกับดำรงอยู่ในห้องนอน
“ตั้งแต่ย้ายไปอยู่อังกฤษ เจ้าดิลกก็เงียบหาย ไม่เคยส่งข่าวไม่คิดว่ามันไปแล้ว จะไม่ได้กลับมาอีก...” ดำรงว่า
“ทันทีที่ทราบว่าคุณดิลกกับคุณจันทร์ฉายเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ กระผมก็รีบติดต่อคุณหนูร้อยดาว ขอให้เธอกลับมาที่นี่ทันทีครับท่าน” ทวีปบอก
“อ้อ... เดี๋ยวนี้ริทำตัวเป็นทนายหน้าหอ เจ้ากี้เจ้าการดีนัก”
“หามิได้ครับคุณท่าน กระผมเห็นว่าตราบใดที่คุณหนูยังมีชีวิต เธอย่อมมีสิทธิ์เทียบเท่าทายาทคนอื่นๆของคุณปกรณ์ รวมถึงสิทธิ์ที่จะได้รับรู้เรื่องการเปิดพินัยกรรมในครั้งนี้ด้วย”
“แล้วพินัยกรรมส่วนของดิลกจะเปิดเมื่อไหร่”
“ตามพินัยกรรมระบุไว้ชัด จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อคุณดิลกถึงแก่กรรมครบร้อยวันครับ”
ดำรงเศร้าเพราะคิดถึงลูก ทวีปเข้าใจความรู้สึกของดำรง
ร้อยดาวเดินคุยกับปรมัตถ์อยู่ในสวน
“คุณหนูอยู่ที่นี่สบายดีไหมครับ” ปรมัตถ์ถาม
“ก็สบายดีนะ...ที่นี่อากาศดี ต้นไม้ก็เยอะ กว้างใหญ่ไพศาลกว่าบ้านฉันที่อังกฤษไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่บอกตามตรง... อยู่ที่โน่น มีความสุขกว่าตั้งเยอะ” ร้อยดาวว่า
“ความสุขคนเราอยู่ที่ใจครับ แต่คนส่วนใหญ่ชอบไปแสวงหาไขว่คว้าความสุขจากที่อื่นให้เหนื่อยเปล่า กว่าจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ใกล้แค่เอื้อม ก็ต้องเสียทั้งพลัง...เสียทั้งเวลา...เสียดายโอกาสที่ถูกใช้ไปไปอย่างไร้ค่า”
“นั่นสินะ... โลกจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมอง หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตก็มีแต่สิ่งรื่นรมย์ แต่ถ้ามองโลกในแง่ร้าย ชีวิตก็จะมีแต่ความวุ่นวายทุกข์ระทมไม่รู้จักจบสิ้น”
ร้อยดาวยิ้มให้ปรมัตถ์ด้วยความขอบใจที่เขาช่วยให้แง่คิดเตือนสติ เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
“ถ้าตอนนี้... แม่ (จันทร์ฉาย) ของฉันยังอยู่ก็คงจะดี”
“คุณเวียงแก้วไม่น่าจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย” ปรมัตถ์ว่า
“ถามจริงๆเถอะ ปรมัตถ์ ! แม่ฉันเป็นอะไรตาย ?”
“ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ... แต่เคยได้ยินเหมือนกับว่า... เธอจะอัตวิบาตกรรม ! เอ่อ... ผมหมายถึงฆ่าตัวตายน่ะครับ”
ร้อยดาวแทบไม่เชื่อหูว่าแม่เวียงแก้วของเธอจะฆ่าตัวตาย
ทันใดนั้น เสียงตะโกนโหวกเหวกของสิบทิศก็ดังขึ้น
“เธอ ! เธอ !”
ร้อยดาวเห็นสิบทิศยืนตะโกนโหวกเหวกอยู่ที่ประตูรั้ว เธอจึงเอานิ้วชี้ที่ตัวเองเพราะไม่แน่ใจ
“เรียกฉันเหรอ ?” ร้อยดาวถาม
สิบทิศตะโกน “เธอนั่นแหละ !! มานี่หน่อย ! ฉันจะคุยด้วย”
ร้อยดาวงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่รู้ว่าสิบทิศมีเรื่องอะไรจะคุยด้วย
สิบทิศเปิดประเด็นกับร้อยดาวด้วยสีหน้าจริงจังผ่านรั้วที่กั้นระหว่าง 2 ตระกูล
“น่านฟ้าไม่สบาย หลังจากที่ตกน้ำตกท่ากับเธอวันนั้น”
“คงจะสำลักน้ำไปเยอะแน่ๆ” ร้อยดาวบอก
“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ! น่านฟ้าเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็กๆ จะออกไปเที่ยวหัวหกก้นขวิด เล่นทโมนเหมือนคนอื่นๆไม่ได้”
“ยิ่งร่างกายอ่อนแอ ยิ่งต้องออกมาสัมผัสกับโลกภายนอกไม่ใช่จะปล่อยให้อุดอู้อยู่แต่ในบ้าน แล้วเมื่อไหร่จะแข็งแรงกับเขาเสียที”
“เธอจะมารู้ดีกว่าหมออย่างฉันได้ยังไง ! ฉันขอสั่ง ! ห้ามเธอยุ่งกับน่านฟ้าอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ฉันจะฟ้อง “คุณท่าน” ให้ไล่เธอออก รับรอง ! เธอตกงานแน่”
สิบทิศพูดจบก็เดินไปโดยยังเข้าใจว่าร้อยดาวเป็นคนใช้บ้านนี้
ร้อยดาวทำหน้างงว่าสิบทิศพูดเรื่องอะไร พอปรมัตถ์เห็นสิบทิศเดินไปแล้วก็เข้ามาถามร้อยดาว
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ คุณหนู ?”
ร้อยดาวส่ายหน้าเพราะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสิบทิศจะกีดกันอะไรน่านฟ้านักหนา
นมแสงเดินลงมาส่งทนายทวีป
“ยิ่งใกล้ถึงกำหนดวันเปิดพินัยกรรมคุณปกรณ์เท่าไหร่ พวกคุณๆ เธอยิ่งนั่งกันแทบไม่ติด” นมแสงบอก
“อีกไม่กี่วัน คุณหนูร้อยดาวก็จะอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์แล้วผมจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดครับ คุณนมไม่ต้องกังวล” ทวีปบอก
ร้อยดาวกับปรมัตถ์เดินเข้ามาพอดี
ร้อยดาวพูดกับทวีป “อ้าว... จะกลับแล้วหรือคะ คุณทนาย”
“ครับ... หมดธุระแล้ว ผมลาล่ะครับ”
ร้อยดาวยกมือไหว้ทวีป ทวีปรับไหว้
ปรมัตถ์พูดกับร้อยดาว “ผมกลับก่อนนะครับ คุณหนู”
ปรมัตถ์ส่งสายตามองร้อยดาวอย่างมีเยื่อใยจนทวีปต้องส่งเสียงกระแอมเพื่อปราม
ปรมัตถ์นั่งขับรถอยู่ โดยมีทวีปนั่งอยู่ที่เบาะข้างๆ
“คุณหนูร้อยดาวเธออัธยาศัยดีนะพ่อ เป็นกันเอง ไม่ค่อยถือตัว ผิดกับคนอื่นๆในบ้านบดินทร์ธร ตอนแรกที่พ่อให้ผมไปรับที่สนามบิน ผมวาดภาพไว้ในใจอีกอย่าง”
“ตอนนั้น แกคิดว่าคุณหนูจะเป็นยังไง” ทวีปถาม
“ก็น่าจะเรียบร้อย เจ้าระเบียบ ติดหรูตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ไม่คิดว่าจะเป็นตัวของตัวเองขนาดนี้ แถมยังร่าเริงสดใสใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข พ่อว่ามั้ย ?”
ปรมัตถ์พร่ำเพ้อด้วยอารมณ์ปลื้มร้อยดาวไปเรื่อยๆ แต่เห็นพ่อเงียบไปเขาจึงหันไปถามพ่อ
ทวีปมองหน้าปรมัตถ์แบบพอรู้เลาๆ ว่าลูกชายเริ่มสนใจร้อยดาวเข้าให้แล้ว
ร้อยดาวไม่รอช้า เธอรีบก้าวเท้าฉับๆ ไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องสมุดทันที ร้อยดาวเดินเข้ามาภายในห้องสมุดแล้วพูด
“คุณ! ปรากฏตัวออกมาเถอะ! ฉันอยากพบคุณ”
ร้อยดาวสอดส่ายมองหาเวียงแก้วในห้องสมุดแต่ก็ไม่พบ !
“คุณ! ได้ยินฉันหรือเปล่า? ฉันรู้นะว่าคุณอยู่ที่นี่”
ร่างขาวโพลนโปร่งบางของเวียงแก้วค่อยๆลอยละล่องลงมาจากเบื้องบนอย่างช้าๆ ร้อยดาวหันขวับกลับไปก็เห็นร่างเวียงแก้วยืนอยู่ข้างหลัง ร้อยดาวเข้าไปถามเวียงแก้วอย่างต้องการค้นหาความจริง
“สิ่งที่ฉันเห็นในคืนนั้น คือเรื่องราวในอดีตของคุณใช่มั้ย ? คุณต้องการสื่อสารอะไรกับฉันกันแน่ ? ช่วยทำให้ฉันเห็นอีกครั้งได้มั้ย ? ขอร้องล่ะ”
“ฉันไม่ได้ทำให้เธอเห็น ดวงตาของเธอต่างหากที่ทำให้เห็นเรื่องราวของฉัน”
เวียงแก้วยิ้มเศร้าๆ ด้วยความขมขื่น ร้อยดาวอยากรู้เรื่องราวของผีเวียงแก้วต่อ
เต็มเดือนเข้ามาหาร้อยดาวในห้องนอน
“ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้ ลองดูสิจ๊ะ ชอบมั้ย ?”
ร้อยดาวหยิบเสื้อที่พับอย่างเป็นระเบียบออกมาคลี่ดูก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าสีหวานๆ
“ชอบค่ะ น่ารักดี สีก็หวาน ขอบคุณมากค่ะ” ร้อยดาวเอาจมูกดมที่เสื้อฟุดฟิดๆ “เอ... นี่กลิ่นอะไรคะเนี่ย ? หอมจัง”
“เขาเรียกว่า “บุหงารำไป” จ้ะ... เป็นเครื่องหอมไทยโบราณทำด้วยดอกไม้หลายชนิด ผึ่งแห้ง พรมด้วยน้ำหอมหรือน้ำปรุง แล้วบรรจุในห่อผ้าโปร่ง เอาไว้ใช้สำหรับอบผ้าให้หอม”
“คุณเต็มเดือนเก่งงานบ้านงานเรือนสมกับเป็นผู้หญิงไทยจริงๆเลยนะคะ ฉันอยากเก่งเหมือนคุณบ้างจัง”
“ถ้าอยากทำเป็น ว่างๆฉันจะสอนให้... ไม่ยากหรอกจ้ะ”
“คุณพ่อปกรณ์โชคดีจังนะคะ ที่ได้คุณเป็นภรรยา”
“ไม่ถือว่าเป็นโชคหรอกจ้ะ... เป็นกรรมต่างหาก”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะฉันเป็นหมัน ไม่มีปัญญาให้กำเนิดทายาทแก่คุณพี่ เลยได้แต่ยอมทนเห็นสามีพาผู้หญิงอื่นเข้าบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้”
ร้อยดาวมองเต็มเดือนอย่างเห็นอกเห็นใจ
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เวียงแก้วนั่งอยู่ในเรือที่วิรุฬพายอยู่ในบึงบัวยามเย็นแดดอ่อนๆ
“บัวในบึงนี้งามแท้ๆ มีทั้งบัวเผื่อน บัวผัน บัวหลวง และบัวสาย ยิ่งช่วงปลายหน้าหนาวอย่างนี้ บัวออกดอกสะพรั่งพร้อมกันเต็มบึง ยิ่งงามนักเจ้า”
“ดอกบัวต่อให้งามขนาดไหน ก็ยังงามไม่เท่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเราแม้แต่น้อย”
เวียงแก้วหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย วิรุฬเด็ดดอกบัวสีแดงมายื่นส่งให้เวียงแก้วพร้อมส่งสายตาหวาน
“เราให้...”
“ดอกบัว เขาเอาไว้ไหว้พระกันไม่ใช่หรือเจ้า”
“ใช่... ดอกบัวเป็นดอกไม้แทนความบริสุทธิ์... ถึงแม้จะเคยอยู่ใต้โคลนตม แต่ก็โผล่พ้นน้ำออกมาเบ่งบานเหนือน้ำได้ในที่สุด เหมือนความรู้สึกที่เรามีให้เจ้าในตอนนี้ เป็นความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง”
เวียงแก้วรับดอกบัวจากวิรุฬทำให้มือทั้งสองสัมผัสกันเบาๆ เวียงแก้วเอียงอายสายตาหวานเยิ้มของวิรุฬที่จับจ้องมายังเธอ
วิรุฬกับเวียงแก้วเดินคุยกะหนุงกะหนิงอยู่ในสวน ปกรณ์ควงสร้อยฟ้าซึ่งแต่งหน้าฉูดฉาดเดินพะเน้าพะนอคลอเคลียเข้ามาแบบไม่อายผีสางเทวดา ทั้งสองพบกันในสวนพอดี ปกรณ์โค้งทักทายวิรุฬ พอเป็นพิธี
“ลมอะไรนะ พัดพาฝ่าบาทมาถึงที่นี่ได้”
“เราแค่คิดถึง....” วิฬุธจะพูดว่าเวียงแก้วแต่ก็ชะงัก “เกลอไง ! เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอหน้ากันเสียนาน สบายดีหรือ”
“กระหม่อมสบายดี เพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ นี่” ปกรณ์ผายมือกำลังจะแนะนำสร้อยฟ้า
สร้อยฟ้ากรีดกรายถอนสายบัวให้กับวิรุฬแล้วรีบแนะนำตัวเอง
“หม่อมฉัน สร้อยฟ้า ภรรยาคุณพี่เพคะ”
“พูดกับเราธรรมดาๆเถอะ อย่าใช้คำราชาศัพท์เลย มีเพคะ-เพขา ฟังแล้วมันเขินๆน่ะ” วิฬุธบอก
“สร้อยฟ้าเป็นภรรยาคนใหม่ของกระหม่อม ฝ่าบาท...” ปกรณ์พูดต่อ
สร้อยฟ้างงๆ เพราะสะดุดกับคำว่า “คนใหม่”
“แล้วนั่น... ?” ปกรณ์มองไปทางเวียงแก้วที่ยืนนิ่งไม่กล้าสบตาเขา
วิรุฬเอื้อมมาจับมือเวียงแก้วเพื่อสื่อความนัย
“เพื่อนเราเอง...”
ปกรณ์จดจ้องเวียงแก้วตาเป็นมัน
อ่านต่อตอนที่ 2