เวียงร้อยดาว ตอนที่ 9
สร้อยฟ้านุ่งกระโจมอกผืนเดียวยืนอยู่เบื้องหน้าพ่อปู่ที่มองเธออย่างหื่นกระหาย
“จะมัวรีรออะไรอยู่เล่า ถอดออกสิ ! ข้าจะได้เริ่มพิธี”
สร้อยฟ้ากระอักกระอ่วนแต่ก็ยอมทำตาม เธอปลดผ้าถุงออกมาให้ร่วงกองที่พื้น พ่อปู่ตาลุกวาวเมื่อเห็นเรือนร่างของสร้อยฟ้าเต็มๆตา จงจิตซึ่งสะกดรอยตามมาแอบดูเห็นพ่อปู่กำลังร่วมเสพสมกับสร้อยฟ้า
“ที่แท้...ก็มาลงของกับไอ้แก่ตัณหากลับนี่เอง บัดสีบัดเถลิง”
จงจิตเหยียดยิ้มอย่างสะใจเมื่อได้รู้ความลับของสร้อยฟ้า แล้วเธอก็เดินลอยหน้าออกไป
ร้อยดาวเดินนำเต็มเดือนที่ประคองดำรงมายังเรือนพ่อปู่
“หล่อนแน่ใจนะ แม่ร้อยดาว ?” ดำรงถาม
“แน่ใจค่ะ ดิฉันเห็นกับตาว่าญาติของคุณสร้อยฟ้าเป็นพวกคลั่งลัทธิ ทำพิธีกรรมทรงเจ้าเข้าผีไม่ผิดแน่” ร้อยดาวบอก
“เป็นไปไม่ได้ ! ญาติแม่สร้อยฟ้า เท่าที่ฉันเห็นเป็นแค่ชาวนาจนๆสิ้นไร้ไม้ตอกเท่านั้น ไม่น่าจะใช่หมอผีหมออาคมอย่างที่หนูเข้าใจ”
“หยุดเถียงกันเสียที จะเป็นชาวนาหรือว่าพ่อมดหมอผี เดี๋ยวจะได้รู้กัน” ดำรงตะโกน “ใครอยู่บนนั้น ลงมานี่ซิ !”
เต็มเดือนร้อนใจ เธอแอบชำเลืองร้อยดาวด้วยสายตาตำหนิที่สอดรู้ไม่เข้าเรื่อง
เสียงตะโกนของดำรงดังลั่น สร้อยฟ้าซึ่งกำลังร่วมหลับนอนกับพ่อปู่ได้ยินเสียงดำรงก็รีบผละออกทันที
สร้อยฟ้าหน้าตาตื่น “เสียงคุณพ่อนี่ !!”
พ่อปู่กระซิบกระซาบ “เอ็งรีบลงไปรับหน้าก่อนไป !”
สร้อยฟ้ากระวีกระวาดแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างรีบร้อน
สร้อยฟ้าตาลีตาเหลือกลงมารับหน้าดำรง
“ปล่อยให้ฉันโก่งคอตะโกนเรียกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน หล่อนหูแตกหรือไงห๊า แม่สร้อยฟ้า !” ดำรงว่า
“เอ่อ... คุณพ่อมาที่นี่ทำไมคะ ?” สร้อยฟ้าถาม
“อาณาเขตบดินทร์ธรเป็นของฉัน ทำไมฉันจะไปไหนมาไหนไม่ได้”
สร้อยฟ้าหน้าเจื่อน เธอสบตาเต็มเดือนเพื่อขอให้ช่วย
เต็มเดือนพูด “หนูร้อยดาวเขาไปรายงานคุณพ่อนะจ้ะ ว่าญาติผู้ใหญ่ของแม่สร้อยฟ้าเป็นหมอผีหมอเสน่ห์ ยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่อย่างนั้น คุณพ่อก็เลยให้ฉันช่วยพามาที่นี่ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา”
สร้อยฟ้ามองหน้าร้อยดาวแล้วอยากจะปราดเข้าไปตบที่สาระแนนัก
“ว่ายังไงล่ะ แม่สร้อยฟ้า ขอฉันขึ้นไปดูหน้าญาติหล่อนหน่อยได้ไหม ?” ดำรงถาม
“ตอนนี้ญาติดิฉันป่วยหนัก คุณพ่ออย่าเพิ่งขึ้นไปข้างบนเลยนะคะ ประเดี๋ยวจะติดโรคเสียเปล่าๆ” สร้อยฟ้าบอก
“ยิ่งป่วย ฉันยิ่งต้องขึ้นไปเยี่ยม เดี๋ยวญาติหล่อนจะหาว่าฉันแล้งน้ำใจ” ดำรงบอก
ดำรงพูดจบก็เดินฝ่าสร้อยฟ้าเดินขึ้นบันไดไป สร้อยฟ้าปราดมาขวางหน้าประตูไว้อีกครั้งด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนและมีพิรุธ
“คุณพ่อ อย่าเข้าไปเลยนะคะ”
“เอ๊ะ ! แม่สร้อยฟ้า พูดจาภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ถ้าบริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรต้องปิดบังอำพรางฉัน ก็หลีกไป”
ดำรงเอาไม้เท้ากระแทกไปที่ประตูจนเปิดออก สร้อยฟ้ากับเต็มเดือนต่างใจหายวาบ
ดำรงปรี่เข้าไปภายในห้องทันที เขาเห็นห้องว่างเปล่า มีเพียงข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นที่บ่งบอกว่าผู้อาศัยเป็นชาวนาจนๆ พ่อปู่ค่อยๆชันกายจากเสื่อที่นอนอยู่มาไอแห้งๆอย่างคนป่วย ก่อนจะยกมือไหว้ดำรงอย่างช้าๆ ดำรงรับไหว้แล้วมองอย่างเวทนาก่อนจะหันไปจ้องทางร้อยดาวที่กล้าพูดจาเหลวไหล
ร้อยดาวก้มหน้าหลบสายตาดำรงด้วยความสับสนว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ร้อยดาวจ้องหน้าพ่อปู่ พ่อปู่ส่งยิ้มนิดๆที่มุมปากให้เธอ เต็มเดือนกับสร้อยฟ้ามองอย่างสะใจ
ดำรงกระแทกไม้เท้าดังปังจนร้อยดาวสะดุ้งเฮือก
“ฉันไม่น่าหลงเชื่อเด็กเลี้ยงแกะอย่างเธอเลย ! ขายขี้หน้าจริงๆ”
ร้อยดาวพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่ก้มหน้านิ่ง
“ใจเย็นๆก่อนนะคะ คุณพ่อ ! เต็มว่าหนูร้อยดาวคงเข้าใจผิด หรือไม่ก็แค่ “ล้อเล่น” สนุกๆเท่านั้น ใช่ไหมจ๊ะ ?” เต็มเดือนยิ้ม
ร้อยดาวเสียงสั่น “ดิฉันไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นจริงๆค่ะ ไม่ทราบว่าทำไมเหตุการณ์มันถึงกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ไปได้ ก็ดิฉันเห็นกับตา…”
“หุบปาก ! เลิกปั้นน้ำเป็นตัวเสียที ! จะไปไหนก็ไปให้พ้นๆ”
ร้อยดาวก้มลงกราบขอโทษดำรง ดำรงเบือนหน้าไปทางอื่น ร้อยดาวออกจากห้องไป เต็มเดือนมองตามอย่างสมน้ำหน้า
พ่อปู่ร่ายคาถาเป่าพรวดไปเบื้องหน้า ห้องพ่อปู่ที่เป็นห้องนอนซอมซ่อ กลายเป็นห้องพิธีดังเดิม
สร้อยฟ้าแทบไม่เชื่อสายตา “พ่อปู่ทำได้ยังไงเจ้าคะ !”
“เล่นไม่ยาก... ข้าก็แค่ร่ายคาถาพรางตา กำบังไว้ ก็ไม่มีใครเห็นแล้ว มาทำพิธีสะเดาะเคราะห์ของเรากันต่อดีกว่า ! กำลังได้ที่เชียว”
พ่อปู่เป่าคาถาเบาๆที่ข้างหูสร้อยฟ้าให้ระทวยแล้วก้มลงไปหอมหัวไหล่สร้อยฟ้าจนรู้สึกรัญจวน
มารุตตาโตเพราะไม่อยากจะเชื่อ
“มันจะหายไปได้ยังไง !! หรือตาแก่เจ้าเล่ห์จะเสกคาถา ให้ข้าวของพวกนั้นล่องหนหายไป”
ร้อยดาวส่ายหน้า “ตอนนี้ไอกลายเป็นคนเหลวไหลในสายตาของใครๆไปแล้ว บอกตามตรงนะ มาร์ค ตั้งแต่ไอเห็นหน้าญาติคุณสร้อยฟ้าครั้งแรก ก็รู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย ไม่รู้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ชาติปางไหน”
“หญิงสังหรณ์ใจ เหมือนตาแก่นั่นคอยจ้องจะเล่นงานพี่ยังไงก็ไม่รู้ พี่ร้อยดาวต้องระวังตัวไว้ให้ดีนะคะ”
ร้อยดาวครุ่นคิดเพราะรู้ดีว่าเป้าหมายอันดับหนึ่งที่พ่อปู่จะเล่นงานคือผีเวียงแก้ว !
สร้อยฟ้ากลับจากเรือนพ่อปู่ในสภาพหมดเรี่ยวหมดแรง
“ได้ฤกษ์กลับมาแล้วหรือไงจ๊ะ แม่สร้อยฟ้า ?” จงจิตทักขึ้น
จงจิตเดินถือพัดลอยหน้ามาหาสร้อยฟ้าแล้วมองจิกอย่างรู้ทัน
“หายหน้าไปไหนมาทั้งวันล่ะ หืม ?” จงจิตถาม
“น้องไปปรึกษาพ่อปู่ หาวิธีปราบผีอีเวียงแก้ว” สร้อยฟ้าบอก
“งั้นเหรอ ? นึกว่าไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตากับพ่อปู่มาเสียอีก ท่าทางจะเคราะห์หนัก ต้องต่อชะตากันหลายยก กว่าจะเสร็จพิธี ถึงหมดเรี่ยวหมดแรงกลับมา เป็นยังไงมั่งล่ะ ลงของกันเหนื่อยไหม”
จงจิตยิ้มอย่างรู้ทัน สร้อยฟ้าโกรธจนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
“อีจงจิต ! มึงแอบสะกดรอยตามกูไปเหรอ ?”
จงจิตจุ๊ปาก “เบาๆสิจ๊ะ ! อย่าเอ็ดตะโรไป ! เดี๋ยวใครรู้เข้า มันจะไม่งาม”
จงจิตมองสร้อยฟ้าเหยียดๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเดินลอยหน้าจะขึ้นบันได สร้อยฟ้าเดือดปุดๆ คว้าผมของจงจิตกระชากจนหน้าหงาย
“หนอย... สู่รู้เรื่องของกูนักนะ อีจง ! วันนี้ล่ะ กูจะตบมึงให้กินน้ำพริกไม่ได้ไปอีกหลายวันเลย คอยดู”
“นึกว่ากูกลัวหรือไง ห๊า ! อีช็อคการี !”
สร้อยฟ้ากับจงจิตตบกันโดยผลัดกันได้เปรียบ เสียเปรียบ ไม่มีใครยอมใคร ทันใดนั้น ก็มีน้ำสาดลงมาจากระเบียงชั้นบน ทั้งสองหยุดตบแล้วหันไปมองพร้อมกัน เต็มเดือนที่ถืออ่างล้างเท้ายืนอยู่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
“เบาๆกันหน่อยสิจ๊ะ ฉันฟังเพลงอยู่ อย่ารบกวนสมาธิ”
เต็มเดือนพูดจบก็เดินไป สร้อยฟ้ากับจงจิตลุกแล้วผละออกจากกันในสภาพเนื้อตัวเปียกปอนทั้งคู่
สร้อยฟ้าเข้าห้องมาในสภาพแก้มช้ำหัวยุ่ง เธอเอาผ้าขนหนูเช็ดเนื้อตัวด้วยความโมโห
“ฝากไว้ก่อนเถอะ อีจงจิต สักวันกูจะสาวไส้เรื่องไอ้ปั้นกับลูกสาวมึง !”
สร้อยฟ้าปราดไปนั่งที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ทันใดนั้นผีเวียงแก้วมาปรากฏอยู่ด้านหลังสร้อยฟาแต่สร้อยฟ้ายังไม่เห็น สร้อยฟ้าเอายาแต้มทารอยช้ำบนใบหน้า แล้วเธอก็เห็นร่างเวียงแก้วในชุดคลุมยืนอยู่ด้านหลังผ่านกระจก แต่พอหันไปก็ไม่พบ
สร้อยฟ้าหันกลับมาอีกทีแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระจก ทันใดนั้นใบหน้าของเวียงแก้วก็ชะโงกออกมาจากกระจกแล้วเอามือบีบคอสร้อยฟ้าเอาไว้ สร้อยฟ้าฝืนใจคว้าตะกรุดที่คอออกมายื่นใส่หน้าเวียงแก้ว
เวียงแก้วหัวเราะลั่น “ตะกรุดเก๊ของมึง ทำอะไรกูไม่ได้หรอก”
สร้อยฟ้าถูกบีบคอ “หมาย...ความ..ว่า...ยังไง”
“มึงถูกอีคนใช้ทรยศ สับเปลี่ยนเอาตะกรุดของแท้ไปแล้วน่ะสิ อีโง่ !”
สร้อยฟ้าถูกผีเวียงแก้วบีบคอจนหายใจไม่ออก เธอหลับตาและกำลังจะขาดใจตาย ทันใดนั้นมือของดาราเรศตะปบที่บ่าของสร้อยฟ้าจนสร้อยฟ้าสะดุ้งเฮือกหลุดจากภวังค์
“คุณแม่นั่งบีบคอตัวเองหน้ากระจกทำไมคะ ?”
สร้อยฟ้ายังพูดอะไรไม่ออก เธอไอสำลักแล้วมีแววตาเจ็บแค้นกระถิน
ปั้นนอนตะแคงไม่สวมเสื้อ ผีนายหม่อง นายดำ นายบึก นายเฉิ่ม นายชิด ยืนล้อมรอบก้มมองเขาอยู่ห่างๆ ทันใดนั้นกลุ่มควันดำของผีเวียงแก้วก็ปรากฏขึ้นก่อนสลายไปเป็นผีเวียงแก้วในชุดดำที่เดินย่างสามขุมเข้าหาปั้นที่กำลังนอนหลับสนิท
“ในฐานะที่แกเป็นคนขับรถพาลูกสาวฉันหวนกลับคืนสู่อ้อมอกแม่ ฉันจะทดแทนคุณด้วยการฆ่าอย่างเมตตา ทรมานน้อยกว่าเพื่อนรักทั้งห้าของแก ถือเสียว่าช่วยโปรดสัตว์ หึๆๆ”
เวียงแก้วเอื้อมมือเข้ามาหมายจะบีบคอปั้นให้ตาย ทันใดนั้นเสียงโอมอ่านสาธยายมนตราภาษาเขมรของพ่อปู่ก็ดังระรัวขึ้น รอยสักยันต์รูปท้าวเวสสุวรรณ เรืองแสงวาบส่องกระแทกไปยังร่างของเวียงแก้ว เวียงแก้วถูกยันต์ท้าวเวสสุวรรณกระแทกกลับกลายเป็นมวลควันดำฟุ้งกระจาย
เวียงแก้วหวีดร้อง “กรี๊ดด”
ผีนายหม่อง นายดำ นายบึก นายเฉิ่ม นายชิด ที่ยืนล้อมรอบอยู่ร้องโหยหวนแล้วหายวับไป ปั้นตกใจ สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเวียงแก้วและผีทั้งห้าร้องโหยหวน ปั้นเหงื่อแตกพลั่กที่เกือบตายโดยไม่รู้ตัว เขานึกถึงอานุภาพของยันต์ที่อยู่กลางหลังแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก รอยสักรูปท้าวเวสสุวรรณที่หลังของปั้นเรืองแสงออกมาเพราะความศักดิ์สิทธิ์
ร่างเวียงแก้วกระเด็นมายังปลายเตียงของร้อยดาวโดยมีสภาพควันขึ้นไหม้คลุ้งเพราะฤทธิ์ยันต์
เวียงแก้วร้องเจ็บปวด “ร้อยดาว....ช่วยแม่ด้วย ลูก.....”
ร้อยดาวได้ยินเสียงแม่ก็ตกใจตื่น ขณะที่น่านฟ้ายังคงนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ ร้อยดาวเห็นร่างเวียงแก้วถูกทำร้ายอยู่ที่ปลายเตียงก็รีบเข้ามาดู
“คุณแม่เป็นอะไร ทำไมถึงได้..... ? ใครทำร้ายคุณแม่คะเนี่ย ?”
“ไอ้หมอผีชั่วมันใช้อาคมทำร้ายแม่ ร้อยดาว... แม่เจ็บปวด ทรมานเหลือเกิน เหมือนร่างแม่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ช่วยแม่ด้วยนะลูก”
ทันใดนั้นร่างของเวียงแก้วในชุดขาวก็ค่อยๆเลือนหายไปในอากาศ ร้อยดาวสงสารเวียงแก้วจับใจ เธอนึกโกรธแค้นพ่อปู่ที่เล่นงานเวียงแก้ว
เช้าวันใหม่ กระถินถูกสร้อยฟ้าจิกหัวตบไม่ยั้ง
“อีงูพิษ ! มึงเอาตะกรุดของจริงไปไว้ที่ไหนห๊า ! มึงจะบอกหรือไม่บอก”
กระถินปากคอสั่น “ยอมแล้ว ดิฉันยอมบอกแล้ว ตะกรุดของจริงที่ขโมยมาจากห้องคุณเต็มเดือนอยู่นี่ค่ะ...คุณสร้อยฟ้า”
กระถินเอาตะกรุดที่แขวนไว้กับคอส่งคืนให้สร้อยฟ้า
“ดิฉันกลัวว่าผีคุณเวียงแก้วจะมาหักคอ ก็เลย....”
“ก็เลยเอาตะกรุดเก๊มาแหกตากูใช่มั้ย มึงกลัวกูน้อยกว่าอีเวียงแก้วใช่มั้ย ห๊า ! อีสารเลว !”
สร้อยฟ้าโมโหถึงขีดสุดจึงจิกหัวกระถินโขกกับผนังหมายจะฆ่ากระถินให้ตายคามือเสียให้ได้ วีระวิทย์กับดาราเรศวิ่งกรูกันเข้ามาห้ามแล้วแยกทั้งสองเอาไว้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ กระถินไปทำอะไรให้คุณแม่ ?” วีระวิทย์ถาม
“เมื่อคืนนี้ แม่เกือบถูกผีอีเวียงแก้วบีบคอตาย ก็เพราะมัน อีเนรคุณ” สร้อยฟ้าบอก
สร้อยฟ้าเห็นหน้ากระถินแล้วเดือดปุดๆ จะปราดเข้าไปตบอีก แต่วีระวิทย์ห้ามเอาไว้
“พอได้แล้วครับ ! กระถินถูกคุณแม่ตบตีจนน่วมไปทั้งตัวแล้ว”
“แหม... ดูพี่จะเป็นห่วงป็นใยมันเสียเหลือเกินนะคะ ออกโรงปกป้องนังกระถินเสียจนเรศเห็นแล้วยังอดประทับใจไม่ได้” ดาราเรศว่า
ดาราเรศจ้องไปยังวีระวิทย์กับกระถินที่ต่างหลบตาส่อพิรุธ วีระวิทย์รีบเปลี่ยนท่าทีเล่นละครตบตา ไล่กระถินเพื่อไม่ให้สร้อยฟ้าผิดสังเกต
“ยืนลอยหน้าอยู่ได้ อยากถูกคุณแม่ตบอีกหรือไง ไสหัวไป”
กระถินออกจากห้องด้วยน้ำตานองหน้าและเขียวช้ำไปทั้งตัว
กระถินนั่งร้องไห้ ทั้งเสียใจ ทั้งแค้นที่ทำอะไรสร้อยฟ้าไม่ได้ เธอได้แต่เอามือจิกพื้นดินแล้วกระชากต้นหญ้าระบายอารมณ์ จงจิตเดินมาหยุดตรงด้านหน้ากระถิน กระถินเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็นจงจิต
“คุณจงจิต !”
จงจิตยอบตัวลงเอามือพลิกดูรอยช้ำตามเนื้อตามตัวของกระถิน
“โถ..ดูสิ เนื้อตัวเขียวช้ำไปหมด คงถูกนังสร้อยฟ้ามันเล่นงานอีกล่ะสิกระถินเอ๊ย ! ฉันล่ะเวทนาแกจริงๆ... สู้อุตส่าห์ทำงานรับใช้มันงกๆ ดูมันทำกับแกสิ เหมือนกับไม่ใช่คน นี่คงกะจะฆ่าแกให้ตายคามือถึงจะสาแก่ใจ เฮ้อ...แต่แกก็ช่างอดทนดีจริงๆ ถ้าเป็นฉันหน่อยไม่ได้”
จงจิตแสร้งทำหน้าเห็นอกเห็นใจแต่ในใจหวังจะใช้กระถินเป็นเครื่องมือ พอฟังคำยั่วยุของจงจิตกระถินก็ยิ่งคิดแค้นสร้อยฟ้าขึ้นไปอีก
ร้อยดาวกำลังนั่งคิดถึงเรื่องประหลาดเกี่ยวกับพ่อปู่
เธอนึกถึงตอนที่นายชิดขับรถรับพ่อปู่มายังบดินทร์ธรตอนที่สวนกันที่หน้าบ้าน แล้วอีกาตกลงมาตาย
นึกถึงภาพในหัวร้อยดาวในอดีตที่เห็นตอนพ่อปู่เป็นจอมขมังเวทย์ทำพิธีปราบผีเวียงแก้ว
นึกถึงตอนที่ร้อยดาวพบเครื่องประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ที่เรือนของพ่อปู่
นึกถึงตอนที่พ่อปู่นอนบนเสื่อยกมือไหว้ดำรง แต่กลับยิ้มที่มุมปากให้กับร้อยดาว
นึกถึงตอนเวียงแก้วกระเด็นมายังปลายเตียง สภาพควันขึ้นไหม้คลุ้งเพราะฤทธิ์ยันต์
เสียงเวียงแก้วดังก้อง “ไอ้หมอผีชั่วมันใช้อาคมทำร้ายแม่”
ร้อยดาวมั่นใจ
“ที่แท้ญาติของคุณสร้อยฟ้า ก็คือหมอผีที่ทำร้ายคุณแม่เวียงแก้วนี่เอง”
ร้อยดาวเหลือบเห็นสร้อยฟ้าออกจากตึกบดินทร์ธรด้วยท่าทางรีบร้อน ร้อยดาวแปลกใจ เธอรีบสะกดรอยตามไปห่างๆ จนกระทั่งเห็นว่าสร้อยฟ้ามาที่เรือนพ่อปู่
ร้อยดาวเห็นสร้อยฟ้าทำท่าทำทางเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนตอนที่ผีเวียงแก้วพุ่งออกมาจากกระจกมาบีบคอตนเมื่อคืนนี้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ร้อยดาวพยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพ่อปู่กับสร้อยฟ้ากระซิบกระซาบวางแผนจะทำอะไรกัน ทันใดนั้น แมวดำตัวเขื่องก็กระโดดลงมาขู่แยกเขี้ยวใส่ร้อยดาว ร้อยดาวตกใจจึงผงะถอยหลังจนไปเตะเอาถังสังกะสีที่คว่ำอยู่ดัง พ่อปู่กับสร้อยฟ้าหันควั่บมามองทางที่ร้อยดาวแอบอยู่เป็นตาเดียวกัน
พ่อปู่ตวาด “นั่นใครน่ะ !!”
ร้อยดาวสะดุ้งเฮือกแล้วเอามือปิดปากตัวเองไว้
สร้อยฟ้ากับพ่อปู่รีบออกมาดูที่หน้าเรือน
ทั้งสองไม่เห็นร้อยดาวนอกจากแมวดำที่ส่งเสียงร้องแม๊ว....ข้างๆถังสังกะสีที่คว่ำอยู่
“ไอ้แมวเปรต !!!! ไป๊ !” สร้อยฟ้าไล่
แมวดำกระโจนหายไป พ่อปู่กับสร้อยฟ้าโล่งอกเพราะเข้าใจว่าเป็นแมวที่ทำเสียงดัง ร้อยดาวที่แอบอยู่หลังต้นไม้เหงื่อแตกแต่ก็คิดว่ารอดไปที
จงจิตกำลังเคี่ยวไก่ดำตุ๋นยาจีนอยู่ จงจิตหยิบยาจีนซึ่งเป็นห่อเดียวกับของเต็มเดือนใส่ลงไปเคี่ยวในหม้อด้วย
เวลาผ่านไป ซุปไก่ดำเคี่ยวเสร็จ ควันลอยกรุ่นถูกใส่จงในโถกระเบื้องเคลือบ จงจิตปิดฝา เธอถือถาดซุปไก่ดำตุ๋นยาจีนออกไปจากครัว จงจิตออกไปได้ไม่นาน ดาหลาก็เดินสวนเข้ามาเห็นวัตถุดิบที่เพิ่งใช้ทำซุปไก่ดำเมื่อครู่วางอยู่ ดาหลาหยิบยาสมุนไพรในห่อขึ้นมาดูอย่างสงสัยพอรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไรก็ถึงกับตาค้าง !
จงจิตป้อนซุปไก่ดำตุ๋นยาจีนให้ดำรงที่อยู่บนเตียง
“ซุปไก่ดำตุ๋นเครื่องยาจีน....ช่วยบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้เป็นอย่างดี ดิฉันตั้งใจทำมาให้คุณพ่อโดยเฉพาะ”
ดำรงมองซุปในช้อนแล้วทำท่าลังเลเหมือนจะไม่ยอมกิน
เต็มเดือนคะยั้นคะยอ “ลองชิมดูสักนิดนะคะ คุณพ่อ แม่จงจิตจะได้ไม่เสียน้ำใจ”
จงจิตยื่นช้อนเข้าไปจ่อที่ปากดำรงและกำลังจะกินอยู่แล้ว ทันใดนั้นนมแสงก็เปิดประตูเข้ามาพอดี จงจิตกับเต็มเดือนเสียอารมณ์เล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ
“เรื่องที่ฉันสั่ง ได้ความว่าอย่างไรบ้าง นมแสง ?” ดำรงถาม
“ตั้งแต่นายเฉิ่มจมน้ำเสียชีวิต ไม่มีใครกล้าขันอาสาลงไปงมที่บึงบัวอีกเลยค่ะ คนงานต่างหวาดกลัวกันหมด ลือกันว่าที่บึงนั่นมีผีสิง” นมแสงบอก
“อุวะ ! กลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง ! ศพแม่เวียงแก้วอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่จริง เลยไม่ต้องรู้ความกันพอดี”
“เต็มว่าอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะคะ ยิ่งตอกย้ำคนงานจะยิ่งเสียขวัญกันซะเปล่าๆ หมู่นี้ยิ่งมีคนเสียชีวิตติดๆกันด้วย” เต็มเดือนบอก
“ตั้งแต่แม่ร้อยดาวเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็เกิดเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน เห็นทีคุณพ่อคงต้องทำบุญเลี้ยงพระ ขับไล่สิ่งอัปมงคลออกไปจากบดินทร์ธรยกใหญ่แล้วกระมังคะ” จงจิตว่า
“เลิกปรักปรำแม่ร้อยดาวเสียที ! ฉันเห็นความอัปมงคลในบ้านหลังนี้ก่อนที่แม่ร้อยดาวก้าวเข้ามาเหยียบที่นี่เสียด้วยซ้ำ ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะพูดหรือไม่พูดก็เท่านั้น”
ดำรงพูดพลางจ้องจงจิตตาคมกริบจนจงจิตต้องหลบสายตาเพราะมีชนักปักหลัง
ดาหลาเอาห่อยาสมุนไพรที่ลอบเอาออกมาจากครัวมาปรึกษาปรมัตถ์ ปรมัตถ์หยิบขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์
“เครื่องยาจีนพวกนี้มีพิษจริงๆน่ะหรือ ?”
“ไม่ผิดแน่ค่ะ เพียงแต่ดิฉันไม่ทราบว่าจะออกฤทธิ์รุนแรงสักแค่ไหน” ดาหลาบอก
“คุณจงจิตจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร มีแรงจูงใจอะไรที่ต้องทำแบบนี้”
“ดิฉันไม่ทราบ และไม่กล้าคาดเดาด้วย ตอนนี้คุณท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย ดิฉันไม่รู้จะหันหน้าปรึกษาใครที่พอจะไว้วางใจได้อีกแล้ว นอกจาก....” ดาหลาหลบตา “คุณปรมัตถ์”
“ผมจะช่วยเป็นธุระเรื่องยาจีนพวกนี้ให้ครับ ระหว่างนี้คงต้องรบกวนคุณดาหลาช่วยดูแลคุณท่านใกล้ชิดเป็นพิเศษ”
ดาหลาพยักหน้าด้วยความรู้สึกดีใจที่ได้ใกล้ชิดกับปรมัตถ์
ร้อยดาวจะป้อนมะระใส่ปากสิบทิศ
“มะระอีกแล้ว ! น่าเบื่อ ! ทำเป็นอยู่อย่างเดียวหรือไง ?” สิบทิศว่า
“ระยะนี้คุณชายยังไม่ควรรับประทานอาหารอื่น นอกจากแกงจืดมะระ” ร้อยดาวบอก
สิบทิศรู้สึกขัดใจ “ทำไมถึงไม่ได้ !”
“คุณชายมีอาการร้อนในร่วมด้วย ทำให้เจ็บคอ มีเสมหะ ลิ้นแตก และปากขม ถ้าดิฉันทายไม่ผิด ตอนนี้คุณชายแทบจะไม่รับรู้รสชาติของอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วใช่ไหมคะ ?”
สิบทิศอึ้งเพราะอาการที่ร้อยดาวบอกมานั้นตรงทุกข้อ
“เธอไม่ได้เป็นหมอ จะมารู้ดีได้ยังไง ?”
“ไม่ต้องเป็นหมอ ดิฉันก็ทราบค่ะ โรคภัยไข้เจ็บทั่วไปมักแสดงอาการเบื้องต้นออกมาทางร่างกายให้รับรู้ ดิฉันก็แค่สังเกตจากใบหน้า ดวงตา แล้วก็...ริมฝีปากของคุณชาย”
ร้อยดาวเผลอจ้องหน้าสิบทิศจนเขารู้สึกเขิน
“เลิกจ้องหน้าฉันสักที” สิบทิศว่า
“มะระมีสรรพคุณเป็นยารสเย็น บรรเทาอาการร้อนใน แก้อักเสบ เจ็บคอ หากรับประทานบ่อยๆก็ช่วยให้หายร้อนในได้ โดยไม่ต้องพึ่งยา เหตุผลของดิฉันพอจะทำให้คุณชายฝืนใจรับประทานได้หรือยังคะ”
สิบทิศไม่ตอบแต่ก็ยอมกินมะระที่ร้อยดาวป้อนแต่โดยดี
ร้อยดาวพาสิบทิศออกมาเดินเล่นในสวน
“น้องสาวฉันติดต่อเธอมาอีกหรือเปล่า ?”
สิบทิศถามอย่างจับผิดเพราะเริ่มสงสัยว่าบางทีน่านฟ้าอาจจะพักอยู่กับร้อยดาวก็ได้
“ยังค่ะ” ร้อยดาวตอบ “คุณหญิงคงจะกลัวคุณชายส่งไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯมั้งคะ ?”
“ไม่อยากเรียนก็เลยหนีหายไปดื้อๆ ปล่อยให้คนอื่นเขาเป็นห่วง แทบกินไม่ได้ นอนไม่หลับ อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน”
“มนุษย์เราก็เท่านี้แหละค่ะ ไม่วิ่งหนีความจริง ก็ไล่ตามความฝัน แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณหญิงน่านฟ้าจัดอยู่ในประเภทหลังมากกว่า”
“แต่ความจริงก็คือความจริง ถึงยังไงน่านฟ้าก็ต้องไปอยู่กับท่านป้าที่กรุงเทพฯอยู่ดี ความฝันที่จะไปเรียนต่อที่อังกฤษไม่มีวันเป็นจริงไปได้ ฉันใจไม่กล้าพอที่จะยอมให้น้องสาวเอาชีวิตไปเสี่ยงเพียงลำพัง”
“คุณหญิงไปอยู่ที่โน่นคนเดียวเสียที่ไหนกัน ? ดิฉันไปอยู่ด้วยทั้งคน”
“เธอยังแทบเอาตัวเองไม่รอด แล้วจะไปดูแลใครได้ ร้อยดาว?”
“อย่างน้อยดิฉันก็ดูแลคุณชายได้แล้วกัน”
ทั้งสองจ้องตากันอย่างจะท้าวัดใจ แต่สิบทิศเป็นฝ่ายสายตาอ่อนลงก่อน ทันใดนั้น สิบทิศก็เซหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
“คุณชายนั่งพักก่อนดีกว่าค่ะ”
ร้อยดาวลากเก้าอี้ให้สิบทิศนั่ง สิบทิศยังคงกุมขมับเหมือนปวดหัวซะเต็มประดา
“สงสัยอาการโรคเก่าจะกำเริบ”
“คุณชายมีโรคประจำตัวด้วยหรือคะ ทำไมคุณหญิงไม่เคยบอกดิฉัน ?”
สิบทิศพอจะจับไต๋ได้ว่าน่านฟ้าต้องเป็นคนบอกเรื่องต่างๆให้ร้อยดาวรู้แน่ๆ
“ฉันเป็นโรคไฮโปคอนดริเอซิส (Hypochondriasis) ตอนนี้กล้ามเนื้อยึดไปทั้งตัวแล้ว เธอช่วยนวดให้ฉันที”
ร้อยดาวตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่คิดมาก่อนว่าสิบทิศจะเป็นโรคร้ายแรงขนาดนี้
“นวด ? นวดตรงไหนคะ ?”
“ตรงไหนก็ได้ เร็วสิ ! ก่อนที่กล้ามเนื้อฉันจะตาย กลายเป็นอัมพาต”
ร้อยดาวละล้าละลังนวดสิบทิศทั้งบ่าแขนไหล่ ไล่ไปยังขาทั้งๆ ที่หน้าของเธอซีดเป็นไก่ต้ม
สิบทิศลอบอมยิ้มด้วยความสะใจที่แกล้งร้อยดาวได้สำเร็จ
ร้อยดาวยังคงนวดแข้ง นวดขาให้สิบทิศที่นอนอยู่บนเตียงโดยที่หน้ายังไม่คลายห่วง
“พอได้ ! ฉันหายแล้ว” สิบทิศบอก
ร้อยดาวบิดขี้เกียจเพราะปวดหลังที่ถูกแกล้งให้นวดมานานมากจนเมื่อยไปหมด
“ถ้าเช่นนั้น ดิฉันขอตัวกลับบดินทร์ธรก่อน”
สิบทิศเห็นร้อยเดาวลุกขึ้นจะไปก็รีบแกล้งถ่วงเวลา
“เดี๋ยว ! เธอยังไปไหนไม่ได้”
ร้อยดาวมองหน้าสิบทิศด้วยความสงสัย
“ถ้าเธอกลับไป แล้วโรคประจำตัวฉัน อาการกำเริบขึ้นมาอีกจะว่ายังไง” สิบทิศถาม
ร้อยดาวอึกอัก “แต่ว่า....”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ในเมื่อเธอกล้ารับปากกับท่านป้าว่าจะเป็นคนดูแลฉัน... เธอก็ต้องทำหน้าที่นั้น จนกว่าฉันจะหายเป็นปกติ”
ร้อยดาวทรุดลงนั่งที่เดิมเพราะติดกับตัวเองทำให้ไปไหนไม่ได้ เธอนึกในใจว่าเมื่อไหร่เขาจะหายสักทีรัตนากรซี่งยืนแอบดูอยู่ห่างๆถึงกับอมยิ้มเพราะรู้ทันหลานชาย
“เห็นมาดนิ่งๆ เอาเข้าจริงสิบทิศก็ร้ายไม่เบา...”
รัตนากรส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ
น่านฟ้างงเป็นไก่ตาแตก เมื่อรู้เรื่องจากร้อยดาว
“พี่ชายน่ะเหรอคะ มีโรคประจำตัว ?”
“ค่ะ ! ดิฉันต้องคอยนวดอยู่พักใหญ่ อาการถึงได้บรรเทาลง พอคุณชายหลับ ดิฉันถึงได้ถือโอกาสกลับมานี่ โชคดีนะคะที่กล้ามเนื้อยังไม่ทันตายจนกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตไปเสียก่อน”
“มีโรคประหลาดๆ อย่างนี้ด้วยหรือคะ ก่อนหน้านี้ หญิงก็ยังไม่เคยเห็นว่าพี่ชายจะเป็นอะไรแบบนี้มาก่อน”
ร้อยดาวพูดจริงจัง “บางทีอาจจะเป็นอาการโรคแทรกซ้อนในวัยเด็กก็ได้ค่ะ”
“เหรอคะ ?”
น่านฟ้าเกาหัวแกรกๆ พร้อมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ ทันใดนั้น นมแสงก็เข้ามาขัดจังหวะ
“คุณท่านให้มาตามคุณหนูร้อยดาวขึ้นไปพบค่ะ”
ร้อยดาวสงสัยว่าดำรงมีเรื่องอะไร
ร้อยดาวนั่งอยู่ต่อหน้าดำรง
“ฉันจะให้เธอย้ายขึ้นมาอยู่บนตึกใหญ่นี่” ดำรงบอก
ร้อยดาวตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องนี้ สะใภ้ทั้งสามก็ตกใจ
สร้อยฟ้าค้าน “ไม่ได้นะคะ คุณพ่อจะให้มันขึ้นมาเกลือกกลั้วกับพวกดิฉันบนนี้ไม่ได้เด็ดขาด... มันก็แค่ลูกอีขี้ข้าชั้นต่ำ”
“แล้วกำพืดแม่ค้าเนื้อสดอย่างหล่อนสูงส่งสักแค่ไหนกัน ห๊า ! แม่สร้อยฟ้า กดหัวคนอื่นให้ต่ำลง ก็ใช่ว่าตัวหล่อนเองจะลอยสูงขึ้นเสียที่ไหน” ดำรงว่า
“บนตึกห้องหับก็เต็มหมดแล้ว คุณพ่อจะให้แม่คนนี้นอนที่ไหนคะ หรือว่าจะเป็นห้องเก็บของ”จงจิตบอก
“ฉันจะยกห้องเจ้าปกรณ์ให้แม่ร้อยดาว” ดำรงบอก
สามสะใภ้ช็อคหนักยิ่งกว่าเก่า
“ไม่ยุติธรรม ! วีระวิทย์เป็นลูกชายคนเดียวของคุณพี่แท้ๆ ยังไม่มีสิทธิ์ได้นอนห้องนั้น นังร้อยดาวโผล่หน้ามาไม่ทันไร ทำไมถึงได้....” สร้อยฟ้าตัดพ้อ
ดำรงกระแทกไม้เท้าดังปัง จนสร้อยฟ้าต้องหุบปาก
“เจ้าของบดินทร์ธรคือฉันหรือหล่อนกันแน่ ! ฉันจะให้ใครอยู่ห้องไหนมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน ถ้าใครไม่พอใจ จะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เชิญ !”
“คุณท่านคะ ได้โปรดให้ดิฉันพักที่เรือนนมแสงตามเดิมเถอะค่ะ” ร้อยดาวขอ
“ไม่ได้ ! หล่อนอยากให้ฉันถูกคนอื่นมองว่าเป็นปู่ใจไม้ไส้ระกำ ปล่อยให้หลานสาวนอนที่เรือนคนใช้ไม่ดูดำดูดีหรือไง”
“ให้หนูร้อยดาวย้ายขึ้นมาอยู่บนตึกนี่ก็ดีเหมือนกันค่ะ คุณพ่อ อย่างน้อยหนูร้อยดาวก็มีเลือดครึ่งหนึ่งของคุณพี่ปกรณ์ ยิ่งเป็นสาวด้วยแล้ว พักที่เรือนคนใช้ เห็นจะไม่เหมาะ ใครเห็นเข้าจะเป็นที่ครหา หนูร้อยดาว...ขึ้นมาพักด้วยกันบนตึกเถอะนะจ๊ะ ฉันจะได้ไม่เหงา”
พูดจบเต็มเดือก็นยิ้มเชิญชวน แต่ร้อยดาวกลับรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด
นมแสงเปิดประตูพาร้อยดาวหิ้วกระเป๋าหนังใส่ไดอารี่เข้ามาในห้องปกรณ์
“ดิฉันให้แม่กระถิน ช่วยขนสัมภาระของคุณหนู ย้ายมาไว้ที่ห้องนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
ร้อยดาวกราดตามองรอบห้องก็เห็นว่าห้องนี้ถูกตกแต่งไว้สำหรับตนเรียบร้อย
“ขอบใจมากนะจ๊ะ นม ! แต่ห้องนี้ดูใหญ่โตเกินไปสำหรับฉัน”
“ห้องนี้เคยเป็นห้องของคุณพี่ปกรณ์ อดีตประมุขของบดินทร์ธรมาก่อนก็ต้องหรูหรากว่าห้องอื่นๆเป็นธรรมดา หนูถือว่าได้รับเกียรติมากนะจ๊ะที่ได้พักห้องนี้ แม้แต่ฉันเองยังเคยเข้ามาแทบจะนับครั้งได้”
ร้อยดาววางกระเป๋าหนังไว้บนเตียงแล้วเดินไปรูดผ้าม่านที่ผนังกระจกด้านหนึ่ง ร้อยดาวเห็นวิวบดินทร์ธรมุมกว้างโดยรอบที่มีความสวยงามมาก
“วิวสวยจังเลยค่ะ ! มองเห็นอาณาเขตของบดินทร์ธรสุดลูกหูลูกตา”
“ยิ่งตอนเย็นพระอาทิตย์ตกยิ่งสวยกว่านี้ค่ะ” นมแสงบอก
เต็มเดือนยิ้มแต่ใจริษยา พอเห็นกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่ร้อยดาวถือติดตัวมาตลอดก็เอื้อมจะไปหยิบ
“นี่กระเป๋าของหนูหรือจ๊ะ ? สวยดีนี่”
ร้อยดาวใจหายวาบก่อนจะรีบคว้าไปจากมือของเต็มเดือนจนเต็มเดือนจับพิรุธได้
“คุณพ่อดิลกให้ดิฉันก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตน่ะค่ะ ก็เลยหวงเป็นพิเศษ” ร้อยดาวแก้ตัว
เต็มเดือนหัวเราะเบาๆ หวงแม้กระทั่งฉันงั้นหรือจ๊ะ เด็กน้อย...”
เต็มเดือนยิ้ม แต่ตายังคงจับจ้องไปที่กระเป๋าหนังใบนั้นไม่วางต าเธอคิดว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ
ณ มุมที่แสดงถึงความปิดบังซ่อนเร้นและความทรุดโทรมของบ้านบดินธร เต็มเดือนตกใจเมื่อรู้เรื่องที่จงจิตมาบอก
“ว่ายังไงนะ ! ห่อยาหายไป”
“ไม่รู้ว่ามันหายไปได้ยังไง ก็วางทิ้งไว้ในครัวแท้ๆ” จงจิตว่า
“สะเพร่าจริงๆ! ของสำคัญอย่างนั้น วางทิ้งประเจิดประเจ้อได้ยังไง”
“ต้องมีใครสักคนเข้ามาขโมยห่อยาไปแน่ๆ แต่ใครล่ะคะคุณพี่ที่เอาไป”
“ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น ในบ้านนี้จะมีใคร”
เต็มเดือนมั่นใจว่าร้อยดาวขโมยเอาห่อยาไปแน่ๆ พอฟังเต็มเดือน จงจิตก็รู้เลาๆว่าน่าจะเป็นร้อยดาว เธอจึงคิดหาทางกำจัดก่อนที่แผนจะแตก
ดาราเรศยืนขู่วีระวิทย์ดังคนที่ถือไพ่ถือกว่าในมือ
“ตกลงว่าพี่จะทำหรือไม่ทำ !!!”
“แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ยัยเรศ ! จะให้ฉันปล้ำนังร้อยดาว”
“ตอนนี้คุณปู่พิศวาสมันอย่างกับอะไรดี ถึงขั้นให้มันลอยหน้ามาอยู่ที่ห้องคุณพ่อ อีกหน่อยเราสองคนก็กลายเป็นหมาหัวเน่า ฉะนั้น เราต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม กำจัดนังร้อยดาวซะ” ดาราเรศบอก
“ถึงยังไง มันก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน ถึงจะคนละแม่ก็เถอะ”
“พี่รู้ได้ยังไงว่ามันเป็นลูกของคุณพ่อ ? ดีไม่ดีนังร้อยดาวอาจจะเป็นลูกติดท้องชู้รักคนใดคนหนึ่งของนังเวียงแก้ว แม่มันก็ได้ ! อย่าคิดอะไรให้มันยุ่งยากนักเลย ก็แค่จับผู้หญิงคนหนึ่งทำเมีย พี่ถนัดอยู่แล้วนี่ ทำให้นังร้อยดาวมีราคีคาวซะ จนไม่กล้าอยู่สู้หน้าใครได้อีก ! พี่จะทำหรือไม่ทำก็ว่ามา”
วีระวิทย์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เมื่อฟังแผนการของดาราเรศ
ดาราเรศบอก “ไม่ตอบ แสดงว่าไม่ทำ ! ดีล่ะ เรศจะฟ้องคุณแม่เรื่องที่พี่กับนังกระถินทำบัดสีบัดเถลิงกันในห้อง แฉให้รู้กันทั้งบดินทร์ธรไปเลย”
กระถินรีบปราดไปขวางดาราเรศเอาไว้แล้วคุกเข่าก่อนจะยกมือไหว้ขอร้อง ลนลาน กลัวฤทธิ์สร้อยฟ้า
“อย่าค่ะ คุณหนู ! กระถินขอร้อง จะให้กระถินกราบก็ได้...” กระถินพูดกับวีระวิทย์ “คุณวีระวิทย์ รับปากกับคุณหนูดาราเรศสิคะ !”
วีระวิทย์ชั่งใจครู่หนึ่ง “ตกลง ! แกจะให้ฉันลงมือเมื่อไหร่ ?”
“คืนนี้ !!”
ดาราเรศตาลุกวาวแล้วยิ้มอำมหิต !
อ่านต่อหน้า 2
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 9 (ต่อ)
ปั้นกำลังเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและดูแลรถอยู่ที่โรงรถ
ดารกาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้งก่อนจะจ้องปั้นอย่างไม่พอใจ ปั้นที่ผิวปากอยู่พอหันมาเห็นดารกามาหาก็ยิ้มด้วยความดีใจ
“คุณหนู....”
ดารกาไม่พูดพร่ำทำเพลงหยิบประแจที่วางอยู่ฟาดไปที่ขมับปั้นทันที ปั้นมีเลือดข้นๆไหลย้อยลงมาอาบแก้ม เขารู้สึกปวดไปทั้งศีรษะ
“โทษฐานที่แกกล้าผิดคำพูดกับฉัน ไอ้ปั้น ! ไหนแกบอกว่าจะช่วยฉันจัดการกับนังร้อยดาวไง จนถึงป่านนี้มันยังลอยหน้าอยู่ในบดินทร์ธร หนำซ้ำมันยังขอของย้ายขึ้นมาอยู่บนตึกใหญ่ให้บาดตาบาดใจฉันอีก
แล้วแกมัวทำอะไรอยู่ หรือจะให้ฉันอกแตกตายก่อน ห๊า ! ใช่ไหม”
“กระผมขอโทษขอรับ ที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เคยรับปากไว้กับคุณหนู”
“ใช่สิ ! ฉันมันไม่มีค่า ! ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยมีใครสนใจใยดีฉันอยู่แล้วนี่ ต่อให้ฉันจะเป็นจะตายก็ไม่เคยมีใครหันมามอง” ดารกาน้ำตาไหล
ปั้นฟังแล้วสะท้อนใจ “คุณหนู....ยกโทษให้กระผมด้วย กระผมผิดไปแล้วขอรับ”
ดารการีบปาดน้ำตา เธอมีอารมณ์เหมือนคนคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวกราดเกรี้ยว
“ขอโทษแค่นี้มันยังไม่สาสมกับความผิดของแกที่ทำไว้กับฉันหรอกนะถ้าอยากให้ฉันยกโทษให้ คุกเข่าสิ”
ปั้นยอมคุกเข่าเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นพ่อ แต่ไม่ได้มีโอกาสดูแลลูกจนทำให้ลูกกลายเป็นแบบนี้ ดารกายิ้มอย่างพอใจที่อย่างน้อยปั้นก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ตัวเองดูมีความสำคัญขึ้นมา
“กราบฉัน ! กราบสิ ! กราบตรงนี้” ดารกาชี้ไปที่เท้าตัวเอง
ปั้นน้ำตารื้นแต่ไม่กล้ากราบเพราะกลัวว่าลูกจะอายุสั้น
“คุณหนู... อย่าให้กระผมต้องกราบเลยนะขอรับ”
ดารกาโกรธที่ปั้นขัดใจ เธอเอาประแจหวดไปที่หน้าของปั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
“ทำไมแกถึงไม่กราบ ! กราบสิ ! ฉันบอกให้แกกราบ แกก็ต้องกราบ”
ทันใดนั้น จงจิตก็เข้ามาเห็นปั้นกำลังถูกดารกาทำร้ายเข้าพอดี
“นายปั้น ! ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ !!” จงจิตสั่ง
จงจิตปราดเข้าไปคว้าแขนปั้นที่มีเลือดอาบให้ลุกขึ้น จงจิตหันไปเห็นดารกาถือประแจอยู่ก็ตกใจ
“แกทำอะไรของแกน่ะ ยัยดา !!”
“หนูก็แค่สั่งสอนไอ้ขี้ข้าให้มันรู้สำนึกทีหลังจะได้ไม่กล้าลองดีกับหนูอีก” ดารกาบอก
“เลวจริงๆ ! จิตใจแกมันทำด้วยอะไร แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
“ใช่สิ ! ปกป้องมันเข้าไป ไอ้ปั้นมันเป็นผัวแม่อีกคนนี่”
จงจิตโกรธจัดจนทนไม่ไหวจึงตบหน้าดารกาจนหน้าหัน
ปั้นปราดเข้ามาขวาง “พอได้แล้ว ! อย่าทำลูก !”
ดารกาผลักปั้นออกไป
“แกอย่าแส่ ! แม่ลูกเขาจะคุยกัน” ดารกาพูดกับจงจิต “จะบอกให้รู้ หนูทั้งสะอิดสะเอียน ทั้งขยะแขยงแม่จนบอกไม่ถูก คุณพ่อตายไม่ทันไร แม่ก็สำส่อนมั่วรักไม่เลือก แม้กระทั่งคนขับรถชั้นต่ำก็ยังไม่เว้น”
จงจิตทนไม่ไหวจึงตบหน้าดารกาอีกฉาดจนเลือดกลบปาก
“อีลูกเนรคุณ !!! ฉันจะบอกอะไรแกให้ จะได้ตาสว่างหายโง่เสียที”
ปั้นร้องห้าม “จงจิต อย่า !”
“ไม่ต้องมาห้ามฉัน ! แกฟังให้ดีนะ ยัยดา ! ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าแกนี่แหละ คือ “พ่อบังเกิดเกล้า” ของแกเอง”
ดารกาช็อค “คุณแม่ว่ายังไงนะคะ ?”
“แกไม่ใช่ลูกคุณพี่ปกรณ์ นายปั้นต่างหากเป็นพ่อแท้ๆของแก ยัยดา”
ดารกาอึ้ง เธอมองหน้าปั้นอย่างพินิจ แล้วก็ใจหายวาบ
“ไม่จริง ! ดาเป็นลูกคุณพ่อปกรณ์ ไม่ใช่ไอ้ปั้น คุณแม่กำลังล้อดาเล่น ใช่ไหมคะ ?”
“ฉันพูดความจริง” จงจิตย้ำ “แกเป็นลูกของฉันกับนายปั้น”
ดารกากรี๊ดลั่น เธอเอามืออุดหูแล้ววิ่งหนีไป จงจิตเข่าอ่อนจนปั้นต้องโอบไหล่เธอเอาไว้ ทั้งจงจิตและปั้นต่างเจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่
ดารกาเดินอย่างเลื่อนลอยเข้ามาในดงไม้พร้อมกับเชือกในมือหมายจะมาผูกคอตาย เชือกถูกคล้องที่กิ่งไม้สำหรับทำเป็นบ่วงสำหรับผูกคอ
ดารกานึกถึงความเจ็บปวดต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา ทั้งแม่มั่วผู้ชาย ทั้งพ่อคือปั้น ทั้งปรมัตถ์ตัดรอน ดารกาหลับตาแล้วน้ำตาก็ไหล เธอจึงเตรียมจะผูกคอตาย ปั้นพุ่งเข้ามาชาร์จช่วยชีวิตดารกาไว้ได้ทัน
“อย่า !!! คุณหนู !”
ดารกาปล่อยโฮ “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันอยากตาย มาช่วยฉันไว้ทำไม จะให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อชีวิตฉันมันระยำบัดซบขนาดนี้ ฉันอยากเป็นลูกคุณพ่อปกรณ์ เป็นสายเลือดบดินทร์ธร ไม่ใช่ลูกคนขับรถอย่างแก”
“สงบสติอารมณ์บ้างเถอะขอรับ คุณหนู ได้โปรดอย่าคิดสั้นเลยนะขอรับ หัวใจของไอ้ปั้นจะขาดอยู่แล้ว คุณหนูต้องการอะไร ไอ้ปั้นยอมทำตามทุกอย่าง ขออย่างเดียวคุณหนูอย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”
ดารกากราดเกรี้ยว “น้ำหน้าอย่างแกจะทำอะไรให้ฉัน... บอกมาสิ !!”
“กำจัดคุณหนูร้อยดาว และทำให้คุณหนูสมหวังกับนายปรมัตถ์”
ดารกาดีใจ “จริงๆนะ ! อย่าโกหกฉัน แกอย่าหลอกฉันนะ จับตัวนังร้อยดาวมาให้ฉันคืนนี้ ฉันจะจัดการมันด้วยมือของฉันเอง สัญญาสิ ! ไม่ใช่... สาบาน ! สาบานว่าจะช่วยฉันกำจัดนังร้อยดาวให้ได้ สาบานสิ สาบาน !!”
“กระผมขอสาบานขอรับ สาบานด้วยชีวิต”
ดารกายิ้มตาวาว “ดี... ดีมาก !” ดารกาหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
ปั้นมองดารกาที่คุ้มดีคุ้มร้ายแล้วหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
ร้อยดาวเอาสมุดไดอารี่มานั่งเขียนที่ศาลาในสวน
“ตอนนี้ คุณปู่อนุญาตให้หนูขึ้นมาอยู่บนตึกใหญ่แล้วค่ะ ห้องของคุณพ่อปกรณ์ใหญ่โตและหรูหราเกินไปสำหรับคนแปลกหน้าที่เข้ามาอาศัยชายคาบดินทร์ธรอย่างหนู สายตาของคนอื่นๆที่จ้องมองมาราวกับเคียดแค้นชิงชังแต่ชาติปางไหน ทำให้หนูอยากจะบินกลับบ้านที่อังกฤษวันละหลายๆหน แต่มีอะไรบางอย่างทำให้หนูอยากอยู่ที่นี่ต่อ”
ภาพสิบทิศในอิริยาบถต่างๆ แวบขึ้นมาในหัวร้อยดาว ร้อยดาวเผลออมยิ้มก่อนที่จะรีบสลัดภาพสิบทิศออกไปจากหัว
“บ้าจริง ! ไปคิดถึงเขาทำไม ?”
ทันใดนั้น ร้อยดาวก็ได้ยินเสียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือดังก้องๆ เหมือนอยู่ในบ่อแว่วมา
“ช่วยด้วย !! ใครก็ได้ช่วยข้าเจ้าที....”
ร้อยดาวปิดสมุดไดอารี่แล้วเอาติดตัวไปด้วย เธอรีบตามเสียงนั้นไป
ร้อยดาวถือไดอารี่ตามเสียงร้องนั้นไปจนกระทั่งมาถึงที่บ่อน้ำร้างหลังตึก ร้อยดาวค่อยๆเดินเข้าไปยังบ่อน้ำนั้นอย่างระแวดระวัง ร้อยดาวชะโงกหน้าลงมามอง เธอเห็นผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในบ่อเงยหน้าขึ้นมาทำให้เห็นว่าเป็นเวียงแก้ว
“ช่วยด้วย ! ช่วยข้าเจ้าขึ้นไปที !”
ร้อยดาวผงะ ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีดจนเผลอทำสมุดไดอารี่หลุดมือ สมุดไดอารี่ตกลงที่พื้นหญ้าใกล้ๆบ่อน้ำ ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ผลักร้อยดาวตกลงไปในบ่อ
ร้อยดาวร้องลั่น “อ๊ายย !!”
ร้อยดาวตกลงไปในบ่อน้ำร้าง
ร้อยดาวถูกผลักตกลงไปในบ่ออันมืดมิด ภาพต่างๆ แวบขึ้นมาในหัวของเธอ
ภาพเวียงแก้วขณะท้อง 5 เดือนกำลังกว้านน้ำจากบ่อ แล้วถูกมือลึกลับผลักตกบ่อ
เสียงน้ำกระเซ็นตูมเพราะร้อยดาวตกลงไปในบ่อน้ำเบื้องล่าง
ภาพเวียงแก้วโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำ ตะเกียกตะกายร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย !! ใครก็ได้ช่วยข้าเจ้าที....”
ภาพจันทร์ฉายวิ่งมาเกาะที่ขอบบ่อด้วยความตกใจสุดขีด จันทร์ฉายรีบเรียกคนให้มาช่วยเวียงแก้ว
“เวียงแก้ว ! ใครก็ได้มานี่เร็วเข้า”
ร้อยดาวที่เห็นภาพทั้งหมดลางเลือนพยายามเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยย !!”
ร้อยดาวค่อยๆ มองเห็นภาพลางเลือนก่อนจะหมดสติลง
เหตุการณ์ในอดีต เวียงแก้วค่อยๆลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าจันทร์ฉายเป็นคนแรก
“เวียงแก้วรู้สึกตัวแล้วค่ะ คุณพี่ !” จันทร์ฉายบอก
พอเวียงแก้วได้สติเธอก็รู้สึกปวดหัวหนึบ เวียงแก้วรีบยันกายจะลุกขึ้นแล้วเอามือลูบท้องตัวเองเป็นอย่างแรก
“โชคยังดี ! ที่หลานฉันดวงแข็ง ไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน เธอนี่มันรั้นจริงๆ ฉันสั่งนักสั่งหนาว่าอย่าทำงานหนัก ทำอะไรให้เห็นแก่ลูกในท้อง แต่เธอก็ยังไม่ฟัง” ดิลกว่า
จันทร์ฉายมองดิลกอย่างขอร้องว่าอย่าตำหนิเวียงแก้วซ้ำอีกเลย ก่อนที่จะถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“เธอไม่ได้พลาดตกลงไปเองใช่ไหม ? ใครผลักเธอตกลงไปในบ่อนั่น เวียงแก้ว ?”
“ข้าเจ้าไม่รู้” เวียงแก้วบอก
“อย่าปิดฉัน ! ใครทำ บอกมา ฉันจะไปเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”
“ข้าเจ้าไม่รู้จริงๆเจ้า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมากจนข้าเจ้าตั้งตัวไม่ติด”
ทันใดนั้น นมแสงก็พาปกรณ์เปิดประตูเข้ามา ปกรณ์ปรี่เข้ามาดูเวียงแก้วด้วยความเป็นห่วง
“นมแสงบอกพี่ว่าน้องตกลงไปในบ่อ เจ็บปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
ปกรณ์เอามือลูบท้องเวียงแก้วเพราะเป็นห่วงลูกในท้องมาก
“ไม่เจ้า...ข้าเจ้าไม่ได้เป็นอะไร ลูกของเราก็ปลอดภัยดีเจ้า...” เวียงแก้วบอก
“ค่อยโล่งอกไปที คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะลูกนะ”
“ถ้าแม่จันทร์ฉายไม่บังเอิญไปพบเข้า ก็ไม่แน่ว่าคุณพระคุณเจ้าจะยังช่วยคุ้มครองรักษาอยู่หรือเปล่า ? เล่าไปสิ เวียงแก้วว่าตกลงไปในบ่อได้ยังไง ?”
ปกรณ์หันมาฟังเวียงแก้วเพราะอยากรู้สาเหตุที่ตกลงไปเหมือนกัน
เวียงแก้วหนักใจ “ข้าเจ้า..... หน้ามืด ก็เลยพลัดตกลงไปเจ้า”
จันทร์ฉายกับดิลกต่างมองหน้ากันเพราะรู้ดีว่าเวียงแก้วปิดบังความจริงไม่ให้ปกรณ์รู้
ปกรณ์หัวเราะเบาๆ “กำลังท้องกำลังไส้ หน้าก็เลยมืดเป็นธรรมดา ทีหลังก็อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวอีก ให้นมแสงคอยอยู่เป็นเพื่อนด้วยรู้ไหม”
เวียงแก้วรับคำ “เจ้า....”
เวียงแก้วฝืนยิ้มกับปกรณ์เพื่อไม่ให้ปกรณ์เป็นห่วง จันทร์ฉายกับดิลกได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับการอมพะนำของเวียงแก้ว
สามสะใภ้นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เต็มเดือนนั่งปักผ้าอย่างใจเย็น
“ตายยากตายเย็นทั้งแม่ทั้งลูก ! ดวงลูกในท้องนังเวียงแก้วมันยังไม่ถึงฆาต ขนาดตกลงไปในบ่อลึกขนาดนั้น ยังไม่ยอมแท้ง !” จงจิตไม่พอใจ
“อีนี่มันร้าย แสร้งตกบ่อ ทำมารยาสาไถย หวังจะให้คุณพี่ปกรณ์เอาอกเอาใจมันล่ะสิ เดี๋ยวนี้จะกินจะนอนแทบไม่ต้องขยับ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ ! น้องล่ะอยากเข้าไปฉีกอกแล้วสับมันเป็นชิ้นๆ” สร้อยฟ้าว่า
“คุณพี่จะไม่พูดอะไรบ้างเลยหรือไงคะ”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด เพราะถ้าฉันคิดจะทำ ฉันจะลุกขึ้นมาทำเลย” เต็มเดือนบอก
เต็มเดือนพูดเนิบๆ แต่แฝงความอำมหิตจนน่าขนลุก
ปกรณ์ค่อยๆพาเวียงแก้วซึ่งท้อง 5 เดือนลงบันไดเวียงร้อยดาว
เวลาผ่านไป ปกรณ์พาเวียงแก้วซึ่งท้อง 9 เดือนจวนคลอดออกมายังลานดูดาว ปกรณ์ชี้ชวนเวียงแก้วให้ดูดวงดาวที่ดารดาษเต็มท้องฟ้า วิรุฬเดินมาเห็นปกรณ์อยู่กับเวียงแก้วก็อดเสียดายไม่ได้
“คืนนี้เสด็จมาเสียดึกดื่นเชียว คงมีเรื่องสำคัญมากใช่ไหม ฝ่าบาท ?” ปกรณ์ถาม
“เปล่า... เราแค่มาเยี่ยมตามประสาคนเคยรู้จักมักคุ้น” วิรุฬบอก
วิรุฬมองหน้าเวียงแก้วแล้วรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ปกรณ์มองอย่างรู้ทันว่าทั้งสองยังมีเยื่อใยต่อกันอยู่ เขาจึงดึงเวียงแก้วเข้ามาโอบเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
“ฝ่าบาทเสด็จมาก็ดีแล้ว กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอ” ปกรณ์ว่า
“ว่ามาเถอะ.... เราเป็นสหายกัน”
“หากวันข้างหน้า กระหม่อมกับเวียงแก้วมีลูกด้วยกัน... ยังไม่รู้ว่าหญิงหรือชาย แต่กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทช่วยประทานชื่อให้”
“พ่อแม่ตั้งเองไม่ดีกว่าหรือ เรามันก็แค่ คนนอก” วิรุฬตัดพ้อ
“คนนอกอะไรกัน” ปกรณ์หัวเราะ “ถึงจะเป็นคนอื่น แต่กระหม่อมก็ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยผ่านอะไรด้วยกันมาบ้าง ฝ่าบาทมีพระเดชพระคุณกับกระหม่อมแค่ไหน กระหม่อมยังจดจำได้ไม่ลืม”
วิรุฬสะดุดกับคำว่า “ไม่ลืม” ของปกรณ์ที่ดูเน้นเป็นพิเศษ
“ถือเสียว่ากระหม่อมขอร้อง อยากให้ฝ่าบาทช่วยประทานชื่อและพรแก่ทายาทในอนาคต อย่างน้อย ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่บดินทร์ธร จะได้หรือไม่” ปกรณ์ถาม
วิรุฬพูดอย่างตัดใจ “หากเกลอขอ เราก็ยินดี”
วิรุฬทอดสายตาไปเบื้องหน้าเห็นท้องฟ้ามีดวงดาวดารดาษ ระยิบระยับ
“หากเป็นบุตรชาย... เราอยากให้สหายตั้งชื่อว่า “พันดวง” ความหมายคือชายผู้มีชะตากล้า เขาจะฟันฝ่าและเอาตัวรอดจากอุปสรรคทั้งปวงได้ราวกับมีดวงชะตานับพันในกำมือคอยเกื้อหนุน”
ปกรณ์พยักหน้าพอใจ “หากเป็นลูกสาวล่ะ ฝ่าบาท ?”
“ถ้าเป็นลูกสาว ตั้งชื่อแม่หนูว่าร้อยดาว เราอยากให้ลูกสาวของเกลอ งดงามจับตาเหมือนดวงดาวที่สุกสกาวอยู่บนฟากฟ้านับร้อยๆดวง”
เวียงแก้วจดจำได้อย่างตราตรึง
แผ่นเสียงเล่นเพลงลาวคำหอม วิรุฬดื่มไวน์จนเมามายไม่ได้สติ ขวดเปล่าตั้งเรียงรายเต็มไปหมด
“เวียงแก้ว... ฉันขอแสดงความยินดีกับเธอด้วยนะ ที่เธอกำลังจะมีลูกกับเจ้าปกรณ์”
วิรุฬเมามายจนหน้าแดงก่ำพูดอ้อแอ้อยู่คนเดียว เขายิ้มแต่น้ำตาไหลออกมา รัตนากรยืนมองอยู่ทางด้านหลัง
“เวรกรรมของเธอแท้ๆ วิรุฬ...”
รัตนากรมองน้องชายด้วยสายตาที่เป็นห่วง
เวียงร้อยดาวตั้งตระหง่านกลางบึงบัว เสียงร้องของเวียงแก้วและหมอตำแยดังจากการทำคลอดสักพักเสียงเด็กทารกก็ร้องอุแว้ๆดังขึ้น นมแสงอุ้มเด็กทารกเพศหญิงตัวแดงๆ ปกรณ์เข้าห้องมาพร้อมด้วยจันทร์ฉาย และดิลก
ปกรณ์ตื่นเต้น “ลูกฉัน ผู้ชายหรือผู้หญิง นมแสง ?”
“ลูกสาวค่ะ” นมแสงบอก
ปกรณ์นึกถึงลูกชื่อที่วิรุฬเคยตั้งให้
“ถ้าเป็นลูกสาว ตั้งชื่อแม่หนูว่าร้อยดาว เราอยากให้ลูกสาวของเกลอ งดงามจับตาเหมือนดวงดาวที่สุกสกาวอยู่บนฟากฟ้านับร้อยๆดวง”
ปกรณ์คลี่ยิ้มด้วยความยินดี
“ร้อยดาวลูกพ่อ....”
จันทร์ฉายกับดิลกต่างเห่อหลานสาวจึงขอปกรณ์มาอุ้มบ้าง
“ขอผมอุ้มหลานบ้างสิพี่....” ดิลกรับมาอุ้ม “ว่าไงจ๊ะ ! ร้อยดาวหลานอา”
“หลานอาดิลกคนเดียวเสียที่ไหน หลานอาจันทร์ฉายด้วยเนอะ ?”
เวียงแก้วยิ้มอย่างเพลียๆ แต่ก็ดีใจที่ลูกสาวของตนเป็นที่รัก
สิบทิศเรียกชื่อร้อยดาวดังขึ้น
“ร้อยดาว.... ร้อยดาว....”
ร้อยดาวค่อยๆลืมตาขึ้นมาแบบยังมึนๆ เธอเห็นสิบทิศยิ้มอ่อนโยนเป็นคนแรก ตามด้วยนมแสง
“คุณชาย...นมแสง... นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันงงไปหมดแล้ว ?”
“คุณหนูพลัดตกลงไปในบ่อร้างหลังตึกบดินทร์ธรค่ะ โชคดีที่คุณชายสิบทิศตามมามาพบเข้า เลยช่วยคุณหนูขึ้นมาจากบ่อ”
“คุณชายมาที่นี่ได้ยังไงคะ หายดีแล้วเหรอ ?”
“ยัง ! แต่ก็น่าแปลก ตอนที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา...” สิบทิศบอก
สิบทิศทบทวนความฝันของตัวเอง
ในความฝัน สิบทิศเห็นเวียงแก้วชุดขาวเปียกน้ำกวักมือเรียกเขา เวียงแก้วเดินนำสิบทิศคล้ายลอยไปในอากาศ สิบทิศรีบตามไปด้วยความอยากรู้ ระหว่างทางที่ไปยังบ่อน้ำหลังตึกนั้นหมอกลงจัดมาก
สิบทิศพูดถึงความฝันนี้ “ฉันฝันเห็น ผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดขาว เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด มาตามฉันให้ไปที่บ่อน้ำหลังตึก...”
เวียงแก้วพาสิบทิศมาที่บ่อน้ำร้าง เวียงแก้วชี้นิ้วลงไปในบ่อ
เสียงร้อยดาวดังก้องมาจากบ่อ “ช่วยด้วยย !!”
สิบทิศจำเสียงร้อยดาวได้ก็ตกใจจะรีบเข้าไปช่วย ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งตื่น
สิบทิศเล่าความฝันโดยยังนึกแปลกใจไม่หาย
“พอตื่นขึ้นมา ก็เจอแต่รอยน้ำเปียกเป็นทางเต็มไปหมด ช้อยบอกว่าเธอกลับไปแล้ว ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจบอกไม่ถูก เลยออกมาตามหาเธอ จนกระทั่งพบเธอสลบอยู่ที่ก้นบ่อนั่นเหมือนในความฝันไม่มีผิด”
“คุณชายฝันเห็นผู้หญิงชุดขาวด้วยหรือคะ ?” ร้อยดาวถาม
สิบทิศพยักหน้าช้าๆ ร้อยดาวรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
“คุณหนูไปทำอะไรที่นั่นคะ ? แล้วทำไมถึงตกลงไปในบ่อนั้นได้ ?” นมแสงถาม
ร้อยดาวนึกย้อนไปตอนที่มีใครบางคนผลักเธอตกลงไปในบ่อ ร้อยดาวขมวดคิ้วครุ่นคิด
“มีใครบางคนผลักฉันให้ตกลงไป”
นมแสงยกมือทาบอก “ตายจริง !”
“หมายความว่า มีคนลอบทำร้ายเธอเหรอ พอจำหน้ามันได้ไหม ?” สิบทิศถาม
“ฉันถูกผลักจากด้านหลัง เลยไม่ทันเห็นหน้า...”
ร้อยดาวนึกถึงตอนที่ทำสมุดไดอารี่ตกใกล้ๆบ่อน้ำ พอนึกถึงสมุดไดอารี่เธอก็ใจหายวาบรีบเอามือควานหารอบๆตัว
“คุณหนูหาอะไรเหรอคะ?” นมแสงถาม
“เปล่าจ้ะ... ไม่มีอะไร !”
ร้อยดาวเริ่มวิตกเมื่อรู้ว่าสมุดไดอารี่ของดิลกไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว
ร้อยดาวเดินมาส่งสิบทิศแล้วยกมือไหว้ขอบคุณเขา
“ขอบพระคุณคุณชายค่ะที่ช่วยดิฉัน”
“ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เธอช่วยดูแลฉัน...เอ่อ ! น้องสาวฉันมาโดยตลอด”
“ดูคุณชายสีหน้าสดใสขึ้น อีกไม่นานก็คงจะหายเป็นปรกติ”
“โรคภัยไข้เจ็บเอาแน่เอานอนได้ซะที่ไหน ยิ่งโรคประจำตัวของฉันด้วยแล้ว รักษายังไงก็ไม่มีวันหายขาด”
ร้อยดาวมองสิบทิศอย่างเห็นใจที่ต้องเป็นโรคร้ายขนาดนี้ สิบทิศเห็นร้อยดาวมองตาละห้อยก็นึกขำในใจที่ร้อยดาวหลงกล ทันใดนั้น ปรมัตถ์ก็ถือห่อยาเข้ามา
“คุณหนูร้อยดาว.... คุณชายสิบทิศอยู่ด้วยพอดี กระผมมีเรื่องสำคัญจะรบกวนปรึกษาครับ”
ร้อยดาวกับสิบทิศมองหน้ากันแปลกใจว่าปรมัตถ์จะมาปรึกษาเรื่องอะไร
สิบทิศหยิบตัวยาจากห่อกระดาษที่ใส่ยาจีนที่ปรมัตถ์เอามาให้ขึ้นมาดม
“คุณดาหลาเห็นคุณจงจิตใส่ตัวยาพวกนี้ลงไปในอาหารที่ปรุงให้คุณท่านรับประทานครับ”
“ตัวยาพวกนี้มีพิษทั้งนั้น ใส่ในอาหารให้ท่านรับประทานได้ยังไง ไม่รู้หรือว่าเป็นอันตรายถึงชีวิต” สิบทิศบอก
“หมายความว่า...คุณจงจิตวางยาพิษคุณท่านอย่างนั้นหรือคะ” ร้อยดาวถาม
“เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกี่ยวเนื่องถึงความปลอดภัยของประมุขบดินทร์ธร คุณชายแน่ใจนะครับ?” ปรมัตถ์ถามย้ำ
สิบทิศพยักหน้ากับปรมัตถ์ด้วยความมั่นใจ
ร้อยดาวนึกทบทวน ปะติดปะต่อเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับตัวเอง
เธอนึกถึงตอนที่ร้อยดาวถูกมือมืดทุบหัว จะเอาไปถ่วงในบึงบัว
นึกถึงตอนที่ร้อยดาวถูกมือมืดผลักตกบ่อน้ำร้าง หลังตึก
“หรือว่า...คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดก็คือคุณจงจิต”
ปรมัตถ์กับสิบทิศขมวดคิ้วมองหน้าร้อยดาวเป็นตาเดียวกัน
เต็มเดือนแสร้งเล่นละครตบตาร้อยดาวด้วยการทำทีเป็นตกใจมาก
“แม่จงจิตน่ะหรือจะกล้าทำเรื่องร้ายกาจกับคุณพ่อถึงขนาดนี้ !!”
“ดิฉันมองไม่เห็นใครในบดินทร์ธรพอจะเป็นที่พึ่งได้อีกแล้วจริงๆ นอกจากคุณเต็มเดือน” ร้อยดาวบอก
“ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความกับตำรวจ”
“ใจเย็นๆก่อนค่ะ ไม่เช่นนั้นคนร้ายจะไหวตัว ทำลายหลักฐานเสียก่อน”
“คุณพ่อกำลังตกอยู่ในอันตรายมีคนลอบปองร้ายถึงชีวิต ฉันเป็นสะใภ้ใหญ่จะให้นิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร”
“ดิฉันอยากให้คุณเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าเพิ่งบอกให้ใครรู้ และคอยจับตาคุณจงจิตไว้ให้ดี อย่าให้เอาอาหารหรือเครื่องดื่มที่ไม่น่าไว้วางใจมาให้คุณท่านรับประทานโดยเด็ดขาด”
เต็มเดือนแสร้งน้ำตาคลอ ร้องไห้ ผิดหวังในตัวจงจิตอย่างแรง
“ฉันไม่นึกเลยว่าคนใกล้ตัวอย่างแม่จงจิตจะใจคออำมหิตโหดเหี้ยม มุ่งร้ายหมายชีวิตชีวิตแม้กระทั่งคุณพ่อได้อย่างเลือดเย็นขนาดนี้”
“คนเรารู้หน้า แต่ก็ไม่รู้ใจหรอกค่ะ บ่อยครั้งสิ่งที่เราเห็นกับความเป็นจริงก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ที่นี่มีแต่ภัยมืดรอบตัวเต็มไปหมด คุณเองก็ต้องระวังตัวด้วยนะคะ”
เต็มเดือนกุมมือร้อยดาวเบาๆ แล้วยิ้มเย็นๆ
“ขอบใจหนูมากนะจ๊ะที่เป็นห่วง ฉันจะ “ระวังตัว” อย่างดีทีเดียวจ้ะ”
เต็มเดือนยิ้มอย่างผู้ชนะ
ตกกลางคืน ฟ้าแลบแปลบปลาบคล้ายฝนกำลังจะเทลงมา ร้อยดาวนอนไม่หลับจึงลงมาเดินเล่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่สนามหญ้าหน้าตึก
เธอนึกถึงตอนที่เห็นรอยกากบาทรอยที่ 7 ปรากฏขึ้นบนเพดานที่โถงกลาง
นึกถึงตอนที่เฉิ่มสารภาพตอนที่อยู่บนรถ
“เธอไม่ได้ผูกคอตายเองหรอกครับ... คุณเวียงแก้วถูกสั่งให้....”
ร้อยดาวรำพึง “กากบาทรอยที่ 7 อาจจะหมายถึงคนที่สั่งให้ฆ่าคุณแม่เวียงแก้ว”
เธอนึกถึงตอนที่จงจิตกับเสงี่ยมรุมตบเวียงแก้วกรณีเก็บไหลบัว
นึกถึงตอนที่จงจิตสั่งให้เสงี่ยมเอาน้ำเกลือมาราดตอนเวียงแก้วถูกเฆี่ยนเรื่องหาว่าทำเสน่ห์ใส่ปกรณ์
ร้อยดาวตาโตด้วยความมั่นใจว่าคนที่สั่งคือ จงจิต !
“คุณจงจิตงั้นเหรอ”
ทันใดนั้นก็มีมือลึกลับเอาผ้าเช็ดหน้าโปะยาสลบมาปิดจมูกร้อยดาวจากทางด้านหลัง ร้อยดาวตกใจสุดขีดและพยายามดิ้นรน ก่อนจะค่อยๆอ่อนแรงเพราะฤทธิ์ยาแล้วก็สลบไป ปั้นเอากระสอบใส่ร่างร้อยดาวเอาไว้แล้วเอาเชือกมัดปากกระสอบ
ปั้นรู้สึกเหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ทางด้านหลังจึงรีบหันกลับมา ฟ้าแลบแปลบปลาบทำให้เห็นร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเต็มๆตา ปั้นตาเบิกโพลงเพราะถูกบีบคออย่างแรง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
ณ กระท่อมร้างท้ายไร่ ฝนเทลงมาอย่างหนัก ร่างตะคุ่มๆของดารกาฝ่าสายฝนเข้าไป ดารกาที่เนื้อตัวเปียกโชกผลักประตูกระท่อมเข้ามาอย่างแรง ดารกาเห็นกระสอบมัดปากวางอยู่บนแคร่ก็ยิ้ม ดารกาถือมีดเล่มคมกริบมาด้วย เธอพูดกับกระสอบแบบคุ้มดีคุ้มร้าย
“ในที่สุด... วันนี้ก็มาถึงจนได้ วันนี้ฉันจะได้สะสางกับแก นังร้อยดาวแกไม่ควรมาที่นี่เลย... ไม่ควรเลยจริงๆ... ถ้าไม่มีแก... เรื่องระหว่างฉันกับพี่ปรมัตถ์คงไม่ลงเอยแบบนี้... แกมันนังแพศยา ร่านรักเหมือนแม่แกไม่มีผิด”
คนในกระสอบดิ้นเหมือนจะเอาชีวิตรอด ดารกาปักคมมิดฉึกลงไปในกระสอบ ร่างในกระสอบกระตุกเฮือกด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงข้นไหลซึมกระสอบออกมา ดารกายิ้ม
ดารกายิ้มทั้งน้ำตา “ฉันเฝ้ามองพี่ปรมัตถ์ทุกครั้งที่ติดตามทนายทวีป พ่อของเขาเข้ามาทำธุระที่บดินทร์ธร ฝัน...ว่าสักวันจะได้ใส่ชุดเจ้าสาวขาวบริสุทธิ์ เข้าพิธีวิวาห์กับพี่ชายที่แสนดีคนนั้น....แต่ทุกอย่างก็ต้องพังพินาศ เพราะแก..แกๆๆๆๆ”
ดารกากระหน่ำมีดแทงกระสอบไม่ยั้ง เลือดซึมกระสอบแดงฉาน ร่างในกระสอบแน่นิ่งไปแล้วแต่ดารกายังไม่ยอมหยุดแทง
“เพราะแกคนเดียว อีนังร้อยดาว ฉันจะฆ่าแก ไปลงนรกซะ !”
ดารกาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแข่งกับเสียงลมฝน และพายุข้างนอก
แสงฟ้าแลบจับดวงหน้าดารกาดูโหดเหี้ยมน่ากลัว ดารกาถีบกระสอบกลิ้งลงจากแคร่ด้วยความสะใจ กระสอบกลิ้งตกจากแคร่ เชือกที่ปากกระสอบคลายออกทำให้มือของปั้นโผล่ออกมาที่ปากกระสอบ
ดารกาแปลกใจว่าทำไมมือในกระสอบเหมือนมือผู้ชาย เธอจึงค่อยๆเดินไปยังกระสอบ แล้วค่อยๆดึงกระสอบออกมา ดารกาเห็นร่างของปั้นตาเหลือกโพลงถูกแทงจมกองเลือดอยู่ในกระสอบ ที่หน้าผากมีรอยกากบาทสีดำอยู่ที่กึ่งกลางหน้าผากโดยมีผ้ามัดปากกันไม่ให้ร้อง
ดารกาตกใจแทบช็อค มีดหลุดจากมือ เธอเอามืออุดปากตัวเอง ผีทั้ง 5 ตนผิวดำมะเมื่อมล้อมรอบ จับตาดูอยู่ในอิริยาบถต่างๆบ้างยืน นั่งยองๆ นั่งห้อยขากับขื่อ นอนอยู่บนแคร่ โดยทุกตนมีกากบาทที่หน้าผาก เหมือนกันหมดแต่ดารกามองไม่เห็น ดารกาหวีดร้องดังแข่งกับพายุฝนที่เทลงมาอย่างหนักภายนอก
วีระวิทย์เทกระสอบ ร่างร้อยดาวที่ถูกมัดปากสลบเหมือดร่วงผล็อยกองกับพื้น ดาราเรศมองอย่างสมใจก่อนจะหันไปถามวีระวิทย์
“เก่งนี่ ! จับมันมาได้ยังไง ?”
วีระวิทย์ซึ่งยืนเหงื่อแตกพลั่กๆ หน้าซีดเล่าเหตุการณ์ตอนจับร้อยดาวให้ดาราเรศฟัง
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ วีระวิทย์ถูกผีเวียงแก้วบังตาให้เห็นปั้นเป็นร้อยดาว ร้อยดาวหันกลับมา ฟ้าแลบ วีระวิทย์ทำหน้าเหี้ยมเกรียม วีระวิทย์บีบคอร้อยดาวจนสลบเหมือดร่างร่วงผล็อยล้มลงหน้าแนบพื้น
แล้ววีระวิทย์ก็เอาผ้าที่เตรียมมามัดปากร้อยดาวเพื่อกันไม่ให้ร้อง
วีระวิทย์เอาร่างร้อยดาวใส่กระสอบ แล้วมัดปากถุง เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อแล้วแบกขึ้นบ่า กระสอบอีกใบหนึ่งที่มีปั้นอยู่ด้านในวางอยู่ที่พื้น
ดาราเรศฟังวีระวิทย์เล่าแล้วยิ้มตาเป็นประกาย
วีระวิทย์ถาม “จะให้ฉันจัดการนังนี่ยังไงก็ว่ามา ?”
“ข่มขืนมันซะ !” ดาราเรศสั่ง
“แกจะให้ฉันทำจริงๆน่ะเหรอ ?”
“ตามใจ ! พี่จะไม่ทำก็ได้... แต่ถ้านังร้อยดาวมันฟื้นขึ้นมา แล้วเอาเรื่องไปฟ้องคุณปู่ ก็เตรียมเดือดร้อนได้เลย แต่ถ้าเชื่อเรศ ปิดปากมันซะ รับรอง นังร้อยดาวมันไม่กล้าปากโป้งแน่”
วีระวิทย์กลอกตาไปมาอย่างคนกำลังชั่งใจ
“จะทำหรือไม่ทำ ก็ตามใจพี่แล้วกัน ดึกแล้ว เรศจะไปนอน !”
ดาราเรศพูดจบก็เดินไปปล่อยให้วีระวิทย์อยู่กับร่างร้อยดาวที่นอนสลบเหมือดตามลำพัง
วีระวิทย์เรียก “ยัยเรศ !!! เดี๋ยวก่อนสิ !!! โธ่เว๊ย”
วีระวิทย์กำลังหัวเสียอยู่ ทันใดนั้นร้อยดาวที่อยู่ด้านหลังก็ลุกขึ้นยืนตัวแข็งทื่อ วีระวิทย์หันกลับมา เห็นร้อยดาวกระชากผ้าที่มัดปากตัวเองออกก็ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“นังร้อยดาว.... แก...”
ร้อยดาวพูดด้วยเสียงเวียงแก้ว “กูไม่ใช่ร้อยดาว”
ทันใดนั้น ควันสีดำก็ลอยพุ่งออกมาจากร่างร้อยดาว ร้อยดาวตัวจริงสลบไป เวียงแก้วปรากฏตัวขึ้นเผชิญหน้ากับวีระวิทย์ด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
วีระวิทย์ละล่ำละลัก “แก.... แกเป็นใคร ?”
เวียงแก้วหัวเราะในลำคอก่อนจะย่างสามขุมเข้าไปหาวีระวิทย์ที่ถอยหลังกรูดจนหงายหลังไม่เป็นท่า
“ลองทายดูสิว่าฉันเป็นใคร ?”
วีระวิทย์คิดแล้วก็ตกใจ “เวียงแก้ว”
เวียงแก้วหัวเราะ “ช่างหลักแหลม สมกับเป็นทายาทผู้สืบสกุลบดินทร์ธรจริงๆ คุณวีระวิทย์ทายถูก ดังนั้น ฉันมีรางวัลเล็กๆน้อยๆจะมอบให้”
เวียงแก้วเอานิ้วชี้จิกเป็นรูปกากบาทบนหน้าผากวีระวิทย์ มีหนอนเลื้อยไปมาอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าผากของวีระวิทย์ วีระวิทย์เหมือนถูกสะกด เขาเอามือคุ้ยพื้นดินที่อยู่ตรงหน้า ใต้ดินมีหนอน ไส้เดือนเลื้อยยุ่บยั่บเต็มไปหมด วีระวิทย์ตาเหลือกลานเพราะบังคับตัวเองไม่ได้ เขาเอามือกอบหนอน ไส้เดือนพวกนั้นใส่ปากกิน เวียงแก้วยิ้มแล้วกรีดเสียงหัวเราะสะใจ
ฟ้าแลบแปลบปลาบ จงจิตลุกขึ้นมาปิดหน้าต่าง จงจิตเห็นรอยเลือดหยดเป็นทางไล่ยาวไปที่พื้น เธอจึงเดินตามไปจนกระทั่งมาถึงที่ห้องน้ำ รอยเลือดหายเข้าไปข้างใน จงจิตแปลกใจ
จงจิตเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ เธอเห็นมืดเปื้อนเลือดแดงฉานอยู่ที่พื้น เสียงร้องไห้ของดารกากระซิกๆดังแทรกอยู่ในความมืด จงจิตเห็นมีดเปื้อนเลือดแล้วก็ใจคอไม่ค่อยดี จงจิตเห็นดารกานั่งกอดเข่าเจ่าจุกร้องไห้หันหลังอยู่ที่มุมห้องน้ำ
“ยัยดา !”
จงจิตเอื้อมมือจะไปจับที่บ่าดารกา ดารกาหันมาในสภาพเนื้อตัวแดงฉานไปด้วยเลือด จงจิตผงะตกใจ
ดารการ้องไห้ขวัญเสีย “คุณแม่ขา... หนูฆ่ามันตายแล้วค่ะ”
“แกฆ่าใคร ?”
“หนูฆ่านายปั้นตายแล้วค่ะ”
จงจิตเข่าอ่อนและพูดเสียงแผ่ว “อย่าพูดบ้าๆ ยัยดา... แกไม่ได้ทำใช่ไหม นายปั้นเป็นพ่อแก แกไม่ได้ฆ่าพ่อแท้ๆของแกเองใช่ไหม ?”
“หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะ คุณแม่ หนูคิดว่า นังร้อยดาวอยู่ในกระสอบนั่น หนูก็เลยเอามีดแทงๆๆๆๆๆ แทงมันจนเลือดแดงฉานไปทั้งตัวเลย แต่คนที่ตายไม่ใช่มัน ! นายปั้นเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไง หนูไม่รู้”
จงจิตบีบแขนดารกาแน่นแล้วตะคอกถามดารกา พร้อมกับปล่อยโฮออกมาดังๆ
“ยัยดา ! นังลูกทรพี ! แกทำอะไรลงไป แกรู้ตัวบ้างไหม”
“หนูไม่รู้...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น... คุณแม่พาหนูไปส่งตำรวจทีสิคะ.... หนูจะไปมอบตัว ไปสารภาพว่าเป็นคนฆ่านายปั้น ฆ่าพ่อตัวเองตาย”
ดารการ้องไห้อย่างคนขวัญกระเจิง จงจิตโกรธลูกไม่ลง เธอกอดตัวดารกาไว้แน่นคล้ายจะปลอบขวัญ ทั้งสองร้องไห้จนตัวสั่น
ปกรณ์เอาก้อนหินทุบบริเวณรอยต่อของโซ่ล่ามที่สนิมเกาะเกรอะกรัง มือของเขาถลอกเลือดซิบเต็มไปหมด เขาทุบจนรอยต่อโซ่ขาดออกจากกัน ปกรณ์ตาลุกวาวที่ในที่สุดโซ่บ้านี่ก็หลุดจนได้ เขาไม่รอช้ารีบหาทางหนีออกไปจากคุกใต้ดินทันที
ปกรณ์หนีออกมาจนถึงประตู เขาไม่รอช้ารีบผลักประตูออกไป ปกรณ์เห็นผีเวียงแก้วชุดดำยืน แสยะยิ้ม ดักรออยู่ก่อนแล้ว เขาสะดุ้งและตาค้าง !
ปกรณ์ถูกเหวี่ยงอย่างแรงกลับมายังคุกใต้ดิน
“จะหนีไปไหน ? คุณปกรณ์สิ้นรักข้าเจ้าแล้วหรือ ?”
“เวียงแก้ว...ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันสำนึกผิดแล้ว สำนึกแล้วจริงๆ”
เวียงแก้วจิกผมปกรณ์ที่ยกมือไหว้ปลกๆ แล้วกระชากขึ้นมาจนหน้าหงาย
“ต่อให้สำนึกได้ มันก็สายเกินไปแล้วเจ้า...ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตได้ นอกจากก้มหน้ารับกรรมต่อไป”
เวียงแก้วจับหัวปกรณ์กระแทกกับพื้นจนเลือดอาบ
“คุณปกรณ์ลองดูสิเจ้า.... ข้าเจ้าเอาอะไรมาฝาก”
เวียงแก้วเหวี่ยงหัวของปั้นกลิ้งหลุนๆไปหยุดอยู่ตรงหน้าปกรณ์ ปกรณ์เห็นหัวนายปั้นก็ตาเหลือกลาน
“นายปั้น”
“ไอ้ระยำหกคนที่มันขืนใจข้าเจ้า ชดใช้เวรกรรมที่มันก่อไว้ครบทุกคนแล้ว คุณปกรณ์ดีใจกับข้าเจ้าไหม ? แต่อย่าเพิ่งดีใจให้มากนัก...เพราะนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น... จริงไหมเจ้า ?”
เวียงแก้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ปกรณ์ พร้อมๆกับที่ใบหน้าของเธอค่อยๆเน่าเฟะมากขึ้นทุกที ปกรณ์หลับตาเบือนหน้าหนีด้วยความสยดสยองก่อนจะร้องลั่น
ร้อยดาวตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกมึนหัวไปหมดจากฤทธิ์ของยาสลบของปั้น
เวียงแก้วพูด “แม่แก้แค้นไอ้พวกสารเลวที่มันทำกับลูกเรียบร้อยแล้ว”
ร้อยดาวตกใจ “แก้แค้น ? แก้แค้นใคร ?คุณแม่ทำอะไรเขาคะ ?”
“ลูกถูกคนทำร้ายก็เหมือนมันควักดวงใจของแม่ด้วย ใครทำกรรมไว้ มันก็ต้องชดใช้ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน แม่ไม่มีวันยอมให้ใครมาทำอันตรายลูกแม่แม้แต่ปลายก้อยเด็ดขาด”
“คุณแม่คะ... คนที่อ้างว่าเป็นญาติคุณสร้อยฟ้าเขาเป็นหมอผี !เขากำลังจะหาวิธีจัดการกับคุณแม่”
“แม่รู้แล้ว... ไอ้พ่อปู่ทุศีลมันเป็นคนสะกดแม่ไว้ที่เวียงร้อยดาว ตามจองล้างจองผลาญแม่ไม่สิ้นสุด อาคมของมันแก่กล้าเกินกว่าที่แม่จะต่อกรกับมันไหว วันใดที่แม่เพลี่ยงพล้ำขึ้นมา เราอาจจะไม่ได้พบกันอีก แต่ขอให้ลูกจงรู้เอาไว้....แม่รักลูกของแม่เสมอ”
เวียงแก้วเอื้อมมือมาสัมผัสที่แก้มร้อยดาว แต่กลับผ่านทะลุไปคล้ายกับเป็นอากาศธาตุ
เวียงแก้วน้ำตาคลอ “ขอให้ความรักของแม่จงเป็นเกราะคุ้มครองลูกตลอดไป”
ร้อยดาวซาบซึ้งใจในความรักของเวียงแก้วที่มีต่อลูกสาวความสงสารแล่นเต็มหัวอกของเธอ ทันใดนั้น นมแสงก็เปิดประตูเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณหนูคะ ?”
ร้อยดาวรีบเบือนหน้าแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาเพราะกลัวนมแสงเห็น ในขณะที่เวียงแก้วหายไปแล้ว
“มีอะไรหรือจ๊ะ นม ?”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
ร้อยดาวแปลกใจในท่าทีตื่นตระหนกของนมแสงอย่างเห็นได้ชัด
อ่านต่อหน้า 3
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 9 (ต่อ)
ดำรงนั่งเป็นประธานเพื่อแจ้งข่าวเรื่องปั้นให้ทุกคนรับรู้
ร้อยดาวตกใจ “นายปั้นน่ะหรือคะ ตายแล้ว !”
“ใช่ ! ตายเมื่อคืนนี้ ที่กระท่อมร้างท้ายไร่ แล้วนี่ตำรวจกลับไปกันหมดหรือยัง เจ้าปรมัตถ์?” ดำรงถาม
“ยังครับ ตอนนี้กำลังเก็บลายนิ้วมือแฝงและหลักฐานในที่เกิดเหตุเพื่อติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ท่าทางมันคงจะแค้นนายปั้นมาก ขนาดเอามีดกระหน่ำแทงจนยับทั้งร่างไม่พอ ยังตัดหัวไปไว้ไหนไม่รู้”
เต็มเดือนบีบน้ำตาทำเป็นสงสาร “โถ่.. เห็นกันอยู่หลัดๆแท้ๆ ใครนะ ทำได้ลงคอ ช่างอำมหิตผิดมนุษย์ ฆ่าแกงกันเป็นผักปลา”
จงจิตครุ่นคิดว่าดารกาตัดหัวปั้นไปซ่อนไว้ที่ไหน
ดำรงเรียก “แม่จงจิต !”
จงจิตซึ่งนั่งใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงกับสะดุ้งเฮือก
“คะ... คะ ? คุณพ่อ !”
“นายปั้นเป็นคนขับรถส่วนตัวของหล่อน พอรู้บ้างไหมว่าไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกับใครเขา ถึงได้ถูกฆ่าตายน่าเอน็จอนาถอย่างนี้”
จงจิตก้มหน้า หลบตา “ดิฉันไม่ทราบค่ะ คุณพ่อ”
“ไม่รู้หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่คะ คุณพี่ น้องเห็นก็สนิทชิดเชื้อกันดีนี่คะ” สร้อยฟ้าแขวะ
จงจิตมองหน้าสร้อยฟ้าอย่างกับกินเลือดกินเนื้อที่พูดจาเยาะเย้ยถากถาง ร้อยดาวมองจงจิตที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เหงื่อผุดเต็มหน้าอย่างจับพิรุธ จงจิตหน้าซีดเผือดรู้ดีว่าดารกาเป็นคนฆ่า
“ตายสยองอย่างนี้ จะฝีมือใคร ถ้าไม่ใช่ผีอีเวียงแก้ว !” สร้อยฟ้าว่า
ดำรงสวน “พูดพล่อยๆ ! คนตายจะฆ่าคนเป็นได้ยังไง”
“น้อยไปสิคะ ! ทั้งไอ้หม่อง ไอ้ดำ ไอ้บึก ไอ้เฉิ่ม ไอ้ชิด แล้วก็ไอ้ปั้น ถูกผีอีเวียงแก้วฆ่าตายทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อ คุณพ่อก็ลองถามลูกมันดูสิคะ”
“วิญญาณแม่เวียงแก้วเคียดแค้นอะไรนักหนา ถึงได้ลุกขึ้นมาไล่ฆ่าไอ้หกคนนั่นเรียงตัว ไหนหล่อนลองจาระไนให้ฉันฟังซิ แม่สร้อยฟ้า”
สร้อยฟ้าขัดใจเพราะรู้อยู่เต็มอกถึงสาเหตุที่เสียงแก้วฆ่า 6 คนนั้น แต่ก็พูดไม่ได้ ทันใดนั้นร้อยดาวก็ฉุกใจจึงแหงนขึ้นไปมองรอยกากบาทที่เพดาน
“หกคนแล้วสินะ เหลือกากบาทแค่อีกรอยเดียวเท่านั้น…”
ทุกคนมองตามสายตาร้อยดาวขึ้นไปบนเพดาน
รอยกากบาทรอยที่ 1 ค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน แต่ละคนแทบไม่เชื่อสายตา โดยเฉพาะร้อยดาวที่ถึงกับอ้าปากค้าง
ร้อยดาวยังครุ่นคิดเรื่องรอยกากบาทที่โถงกลางอยู่
“ไม่น่าเชื่อ ! รอยกากบาทบนเพดานโถงกลาง อยู่ๆก็เลือนหายไปเอง”
“ในที่สุด เหตุการณ์ร้ายๆในบดินทร์ธรก็จบลงเสียที” น่านฟ้าบอก
“แต่ไอไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องนี้จะลงเอยจบแบบ happy-ending สักเท่าไร กากบาทลึกลับมีตั้งเจ็ดรอย แต่เพิ่งจะเลือนหายไปแค่รอยเดียว แล้วอีกหกรอยที่เหลือล่ะ ทำไมถึงไม่หายไปด้วย ?” มารุตบอก
“นายนี่มันชอบคิดลบ ! มองโลกในแง่ร้าย มิน่าล่ะ...ถึงหาผู้หญิงมาเป็นแฟนกับเขาไม่ได้สักที” น่านฟ้าว่า
“หาว่าไอคิดลบ งั้นคนคิดบวกอย่างยูก็ลองอธิบายมาสิ คนตายตั้งหกคน ทำไมกากบาทปริศนาพวกนั้นถึงได้หายไปแค่รอยเดียว ไม่ใช่หกรอย ห๊า ยัยจอมจุ้น !”
“จะไปรู้เหรอ ตาบ๊อง ! ฉันไม่ใช่คนวาดกากบาทพวกนั้นขึ้นมานี่”
“โธ่เอ๊ย ! ไม่รู้แล้วยังจะมาอวดรู้อีก”
น่านฟ้าจ้องมารุตตาเขียว “นายว่าใคร ?”
มารุตลอยหน้ายียวน “ใครอยากรับก็รับไปสิ”
“พอเถอะค่ะ ! อย่าเถียงกันเลยนะคะ ! ดิฉันขอร้อง” ร้อยดาวกุมขมับ
มารุตกับน่านฟ้าต่างจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายก่อนสะบัดหน้าไปทางอื่นพร้อมกัน
“แล้วศีรษะของนายปั้นที่หายไปล่ะ หาพบแล้วหรือยัง ?” ร้อยดาวถาม
ปรมัตถ์ตอบ “ยังเลยครับ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งตามหาอยู่ ไม่รู้ว่าคนร้ายเอาไปทิ้งอำพรางคดีไว้ที่ไหน ?”
ร้อยดาวครุ่นคิดว่าหัวของปั้นหายไปไหน
ดารกานั่งซุกตัวอยู่ที่มุมห้องอันมืดมิดและเต็มไปด้วยบรรยากาศสลัว เธอมีอาการหลอน หวาดกลัว ภาพศพปั้นเลือดท่วมอยู่ในกระสอบทำปากพะงาบๆ ถามว่าคุณหนูฆ่ากระผมทำไมขอรับ แวบขึ้นมาในหัว ดารกานั่งตัวสั่นงันงก ยกมือไหว้ปลกๆ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ... ฉันไม่ได้จะฆ่านายปั้น.... ฉันจะฆ่านังร้อยดาว”
จงจิตจับที่บ่าดารกาจนดารกาสะดุ้งเฮือก เธอหวีดร้องและปิดตาเพราะนึกว่าผีปั้นมาตามทวงชีวิต
“กรี๊ดด !!!! ฉันกลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย”
จงจิตตวาด “ยัยดา !!! นี่ฉันเอง”
ดารกาค่อยๆลดมือลงแล้วเหลือบมอง พอเห็นว่าเป็นจงจิตเธอก็ค่อยโล่งอกแต่ตัวยังสั่นอยู่
“คุณแม่ขา... หนูกลัว....”
ดารกายังพูดไม่ทันขาดคำ จงจิตก็สวนขึ้นมาทันที “แกเอาหัวนายปั้นไปไว้ที่ไหน !”
ดารกางงๆ เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก “หัว ? หัวนายปั้น ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ! แกฆ่าพ่อแก แล้วตัดหัวเอาไปไว้ที่ไหน บอกมา นังลูกชั่ว”
จงจิตบีบแขนดารกาอย่างแรงเพราะเข้าใจผิดคิดว่าดารกาโหดเหี้ยมผิดมนุษย์
“หนูเปล่า.... หนูแค่เอามีดแทง ไม่ได้ตัดคอสักหน่อย”
จงจิตผลักดารกากระเด็น “โกหก !!! แกไม่ได้ทำ แล้วใครจะทำ”
“หนูไม่รู้.... กรี๊ด !!!”
“ไม่บอกใช่มั้ย ! แกอยากลองดีกับฉันใช่มั้ย นังลูกสารเลว !”จงจิตว่า
จงจิตเหลียวซ้ายแลขวา เธอเห็นไม้แขวนเสื้อก็หยิบขึ้นมาตีดารกาไม่ยั้ง ดารกากรีดร้องลั่น ผีเวียงแก้วที่แอบดูอยู่ในกระจกแสยะยิ้มสะใจ
เต็มเดือนพูดกับร้อยดาวอย่างคนปลงตกในชีวิต ในขณะที่ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมาที่พื้นหญ้า
“คนที่ฉันเคยรู้จักล้มหายตายจากทีละคนสองคนเป็นใบไม้ร่วง ลมหายใจคนเราช่างไม่จีรัง สักวันคนที่ถูกฆ่าตายอาจจะเป็นฉันก็ได้”
“พูดอะไรอย่างนั้นคะ คุณแม่จันทร์ฉายสอนดิฉันว่า คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คุณเต็มเดือนเป็นคนดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองรักษา ไม่มีใครทำอะไรคุณได้หรอกค่ะ” ร้อยดาวบอก
“ความตายมันวนเวียนอยู่รอบตัวเรานี่แหละ เราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่า เมื่อไรที่ความตายจะย่างกรายเข้ามาหาเรา ยิ่งคนใกล้ตัวอย่างนายปั้นถูกฆ่าตาย ฉันเองก็อดใจหายไม่ได้”
“คุณเต็มเดือนคิดว่าใครเป็นคนร้ายที่ฆ่านายปั้นคะ ?” ร้อยดาวถาม
“หนูต้องสัญญานะจ๊ะ ว่าจะเก็บเรื่องที่ฉันเล่าให้ฟังเป็นความลับ” เต็มเดือนบอก
คำพูดของเต็มเดือนยิ่งทำให้ร้อยดาวยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่
“ค่ะ... ดิฉันสัญญาจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด”
“ฉันสงสัยว่าจงจิตจะเป็นคนฆ่านายปั้น”
“ทำไมคุณจงจิตถึงต้องฆ่าคนขับรถของตัวเองด้วยล่ะคะ ?”
“เท่าที่ฉันรู้ นายปั้นไม่ได้เป็นแค่คนขับรถเท่านั้น แต่ยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับจงจิตด้วย”
ร้อยดาวพูดเบาจนแทบกระซิบ “แบบ.. สามี ภรรยาน่ะหรือคะ ?”
“ใช่จ้ะ นายปั้นเป็นสามีลับๆของจงจิตอีกคน ดีไม่ดี ดารกาอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณพี่ปกรณ์ แต่เป็นลูกติดท้องของนายปั้น พอเรื่องเกิดแดงขึ้นมา จงจิตเลยจำเป็นต้องฆ่าปิดปากนายปั้นเสีย เพื่อความลับจะได้ยังคงเป็นความลับต่อไป”
ร้อยดาวยังไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อยเท่าไรนัก เธอคิดในใจว่าต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้
ร้อยดาวรำพึงเบาๆ “คุณพระช่วย ! เป็นไปได้หรือนี่ ?”
เต็มเดือนแสร้งเล่นละครตบตาด้วยการร้องไห้จนน่าสงสาร
“บดินทร์ธรมีอันตรายรอบตัว ถ้าไม่ติดว่าคุณพ่อกำลังป่วย ฉันคงจะเอาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดถวายวัด ปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหนสักแห่ง จะได้ไม่ต้องคอยหวาดวิตกว่าใครในบดินทร์ธรจะเป็นศพรายต่อไป”
ร้อยดาวมองเต็มเดือนที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร เธอกุมมือเต็มเดือนเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ
“ตั้งแต่บินกลับมาเมืองไทย มีเพียงคุณเต็มเดือนเท่านั้น ที่รักและห่วงใยดิฉันไม่ต่างจากคุณแม่แท้ๆ ขอให้ดิฉันได้ทำหน้าที่ลูกสาวดูแลคุณเต็มเดือนเป็นการตอบแทนบ้างเถอะนะคะ”
เต็มเดือนมองอย่างซาบซึ้ง “ขอบใจหนูร้อยดาวมากนะจ๊ะ”
เต็มเดือนกอดร้อยดาวแล้วลูบหัวอย่างเอ็นดู เต็มเดือนยิ้มที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
สร้อยฟ้าตกใจเมื่อฟังเรื่องที่กระถินมารายงาน
“แกว่ายังไงนะ นังกระถิน ! ตาวิทย์หายไป ! หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“เมื่อคืนนี้ ดิฉันเห็นคุณวีระวิทย์ออกไปไหนก็ไม่รู้กับคุณหนูดาราเรศแต่คุณหนูขึ้นตึกมาคนเดียวตอนสองยาม คุณวีระวิทย์ไม่ได้กลับมาด้วย ดิฉันเลยตามหาคุณวีระวิทย์จนทั่วบดินทร์ธร แต่ก็ไม่พบค่ะ”
ดาราเรศจ้องหน้ากระถินที่ปากไวคาบข่าวมาฟ้องสร้อยฟ้าแล้วก็กำมือเพราะอยากตบหน้าสักฉาด
“ยัยเรศ ! เมื่อคืนนี้ แกออกไปไหนกับตาวิทย์มา ?” สร้อยฟ้าถาม
ดาราเรศอึกอัก “เอ่อ... คือ... ไป..”
“อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั่น ! อย่าบอกนะ แกสองคนไปก่อเรื่องอะไรมาอีก ห๊า ?”
กระถินจ้องไปยังดาราเรศเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าวีระวิทย์หายไปไหน ดาราเรศกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้สร้อยฟ้าฟัง สร้อยฟ้าฟังเรื่องราวจากดาราเรศแล้วตาโตเพราะคิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำกันขนาดนี้
วีระวิทย์ถูกมัดเท้าห้อยหัวต่องแต่งอยู่ที่เวียงร้อยดาวจุดเดียวกับที่เวียงแก้วผูกคอตาย เขาร้องขอความช่วยเหลืออย่างอ่อนระโหยโรยแรงเนื่องจากอาการเลือดตกหัว
“ช่วย....ด้วย.... ใครก็ได้...ช่วยฉันออกไปที...”
ผีเวียงแก้วเดินออกมาจากผนังด้านหนึ่งของเวียงร้อยดาว
“จะรีบไปไหนเล่า ข้าเจ้ายังไม่ได้ต้อนรับขับสู้ให้สมฐานะทายาทชายคนเดียวของบดินทร์ธร”
วีระวิทย์เห็นผีเวียงแก้วก็ตาเหลือกตาลานด้วยความหวาดกลัว
“อย่า ! อย่าเข้ามา... ไป... ไปให้พ้น... กลัวแล้ว !”
“กลัว ? ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างคุณวีระวิทย์กลัวตายด้วยรึ ? ต่อให้ความตายน่ากลัวสักแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เท่าความกลัวตายจริงไหม ?”
“ปล่อยผมไปเถอะ อย่าทำอะไรผมเลย แล้วผมจะทำบุญกรวดน้ำไปให้”
ทันใดนั้น หน้าเวียงแก้วก็กลายเป็นผีหน้าเละในบัดดล เวียงแก้วยื่นหน้าจ่อวีระวิทย์
“กูไม่รับ ! บุญกุศลจากคนชั่วอย่างมึง กูไม่ต้องการ ! กูจะตามจองเวรพวกมึงทุกคนที่เคยก่อกรรมไว้กับกู รวมถึงร้อยดาวลูกของกู ให้สาสมกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส... หนี้ชีวิตก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
เวียงแก้วหัวเราะลั่น ก่อนกลับคืนสู่สภาพหน้าเดิมอีกครั้ง
“เชิญคุณวีระวิทย์พักผ่อนหลับนอนให้สบายเถิดนะเจ้า อย่าเพิ่งด่วนรีบร้อนไปไหน รอเวลาที่แม่ของคุณพาคนมารับกลับไป หรือไม่...ก็อยู่ด้วยกันกับข้าเจ้าเสียที่เวียงร้อยดาวนี่ดีไหมล่ะเจ้า...คุณวีระวิทย์ ?”
เวียงแก้วแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม วีระวิทย์กลัวจนน้ำหูน้ำตาเล็ด
พ่อปู่หลับตานั่งทางในหน้าหิ้งพิธีในท่าทางน่าเกรงขาม สร้อยฟ้านั่งรอฟังผลจากพ่อปู่อย่างใจจดใจจ่อ นิมิตพ่อปู่เป็นภาพวีระวิทย์ถูกมัดเท้าห้อยหัวต่องแต่ง ร้องขอความช่วยเหลืออย่างอ่อนระโหยโรยแรง พ่อปู่ลืมตาโพลงแล้วออกจากการนั่งทางในจับยามสามตา
“ลูกเอ็งถูกผีอีนังเวียงแก้วจับไปไว้ที่เวียงร้างนั่น !”
สร้อยฟ้าตกใจ “แล้วตอนนี้ตาวิทย์เป็นตายร้ายดียังไงมั่งเจ้าคะ พ่อปู่ ? อีผีอัปรีย์มันทำอันตรายลูกชายอิฉันหรือไม่เจ้าคะ ?”
“ลูกเอ็งมันดวงแข็ง ยังไม่ตายง่ายๆหรอก... แต่ถูกอาถรรพ์ของเวียงร้อยดาวบังตาเอาไว้ ทำให้หาเท่าไร ก็หาไม่พบ”
สร้อยฟ้าเจ็บใจที่เวียงแก้วทำกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน
“พ่อปู่ได้โปรดช่วยตาวิทย์ออกมาจากเวียงอีผีนรกนั่นทีเถอะเจ้าค่ะ ช่วยให้ลูกชายอิฉันปลอดภัยกลับมา ส่วนค่าบูชาครู... ต้องเสียเงิน เสียทองสักเท่าไร อิฉันยอมถวายให้ทั้งนั้น... นะเจ้าคะ”
สร้อยฟ้าพูดจบก็ถอดสร้อย ถอดแหวนออกจากนิ้วแล้วใส่ลงในพานเปล่าตรงหน้าพ่อปู่เป็นค่ายกครู พ่อปู่มองสร้อยกับแหวนในพานด้วยแววตาโลภ เขาลูบคางตัวเองแล้วยิ้มอย่างพอใจ
ร้อยดาวแอบเข้ามาที่ห้องปั้นซึ่งตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่มย่ามเพราะกลัวผี คำพูดของเต็มเดือนก้องอยู่ในหัว
“เท่าที่ฉันรู้ นายปั้นไม่ได้เป็นแค่คนขับรถเท่านั้น แต่ยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับจงจิตด้วย...นายปั้นเป็นสามีลับๆของจงจิตอีกคน”
ร้อยดาวครุ่นคิด
“ถ้าเรื่องที่คุณเต็มเดือนเล่ามาเป็นความจริง ก็น่าจะมีหลักฐานอะไรพอหลงเหลืออยู่บ้าง”
ร้อยดาวรื้อตามลิ้นชัก ตามกล่องต่างๆ เพื่อพยายามหาหลักฐานมัดตัวจงจิตแต่ก็ไม่พบ ทันใดนั้น กระจกที่ตั้งอยู่ที่หัวเตียงของปั้นก็หล่นลงมาแตกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ร้อยดาวตกใจหันไปมอง เธอเห็นรูปถ่ายซ่อนอยู่หลังกระจกที่แตก ร้อยดาวหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นรูปดารกาเมื่อครั้งยังแบเบาะ ร้อยดาวแปลกใจว่าเป็นรูปเด็กที่ไหน
ร้อยดาวพลิกด้านหลังรูปก็เห็นข้อความเขียนด้วยลายมือของปั้นว่า “คุณหนูดารกา... ลูกรักของพ่อ” คำพูดของเต็มเดือนดังขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง
“ดารกาอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณพี่ปกรณ์ แต่เป็นลูกติดท้องของนายปั้น”
ร้อยดาวรู้ความจริงแล้วก็ถึงกับตาค้าง
“ที่คุณเต็มเดือนพูดมา เป็นความจริงเหรอนี่”
ร้อยดาวมองรูปถ่ายในมืออีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
สิบทิศเข้ามาหารัตนากรที่ห้อง เขาเรียกแต่ก็ไม่พบ
“ท่านป้า...”
สิบทิศเหลือบไปเห็นหนังสือคู่มือเกี่ยวกับโรคมะเร็งวางที่โต๊ะหลายเล่ม เขาหยิบหนังสือขึ้นมาดูแล้วก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมรัตนากรถึงสนใจโรคมะเร็งนัก ซองผลตรวจสุขภาพจากทางโรงพยาบาลที่สอดอยู่ในหนังสือร่วงหล่นลงมา สิบทิศหยิบซองขึ้นมาดูแล้วก็เอะใจ เขาจึงถือวิสาสะอ่านผลตรวจสุขภาพของรัตนากร
ที่เอกสารมีลายเซ็นแพทย์ “สุนทร บริรักษ์” รับรอง ระบุว่ารัตนากรเป็น “มะเร็งลำไส้” สิบทิศตกใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่ารัตนากรเป็นมะเร็ง สิบทิศหันมาแล้วก็พบว่ารัตนากรยืนอยู่ข้างหลัง
สิบทิศนั่งคุยกับรัตนากรที่มุมนั่งเล่นในสวนร่มรื่นภายใต้บรรยากาศสบายๆ ไม่ตึงเครียด
“หมอสุนทรบอกว่าป้าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะลุกลาม รักษาอย่าไงก็ไม่มีทางหายขาด”
“โรคร้ายแรงขนาดนี้ ทำไมท่านป้าถึงได้ทรงปิดบังหลานเอาไว้ แม้แต่หมอสุนทรก็ยังปิดเงียบ ไม่ยอมบอกให้หลานรู้สักคำ”
รัตนากรมีสีหน้าแช่มชื่นแบบคนกำลังใจดีไม่เหมือนคนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคร้ายแต่อย่างใด
“ป้ากำชับไม่ให้หมอสุนทรบอกชายเอง ชายรู้แล้วจะช่วยอะไรป้าได้ นอกจากจะยิ่งกังวลใจไปเสียเปล่าๆ”
สิบทิศมองรัตนากรที่ยิ้มอยู่ตรงหน้าแล้วก็น้ำตารื้นเพราะรู้สึกเหมือนผู้มีพระคุณที่พึ่งสุดท้ายกำลังจะจากไป
“ท่านป้า....”
“อย่าเสียใจไปเลย คนเราเกิดมาก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ต่อให้ชายเป็นหมอที่เก่งกาจสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความตายเอาไว้ได้หรอก แต่ก่อนจะลาจากโลกนี้ไป ป้าอยากจะขออะไรชายสักอย่างจะได้ไหม “
“ท่านป้าโปรดรับสั่งมาเถอะ หลานสัญญาว่าจะทำทุกอย่างตามพระประสงค์”
“สัญญากับป้าแล้วนะ”
สิบทิศพยักหน้าหนักแน่นและมีแววตามุ่งมั่น
รัตนากรยิ้มก่อนพูดต่อ “ป้าอยากให้ชายแต่งงานกับลูกสาวบ้านบดินทร์ธร”
สิบทิศตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าเรื่องที่รัตนากรให้รับปากจะเป็นเรื่องนี้
กลางดึก สิบทิศที่อยู่ในชุดนอนนอนไม่หลับ
เขาเดินออกมาที่ระเบียงห้องนอนด้วยความคิดว้าวุ่นสับสน เรื่องที่รัตนากรขอร้องเมื่อตอนกลางวันยังก้องอยู่ในหัวของเขา
สิบทิศนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
สิบทิศตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่รัตนากรขอร้องให้รับปาก
“หลานยังไม่อยากแต่งงาน โดยเฉพาะกับคนตระกูลนั้น ท่านพ่อจะเสียพระทัยแค่ไหนถ้ารู้ว่าเวฬุมาศไปร่วมวงศ์วารว่านเครือกับลูกหลานของศัตรู”
“ศัตรูที่ไหน ? คนบ้านบดินทร์ธรล้วนเป็นมิตรสหาย โตมาด้วยกันทั้งนั้น ป้าว่าวิรุฬ จะเสียใจมากกว่าหากรู้ว่าชายกลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความโกรธเกลียดไม่รู้จักจบสิ้น”
“หลานยังไม่ทันตั้งตัว ทรงขออย่างอื่นแทนไม่ได้หรือ ท่านป้า ?”
“คนใกล้ตายอย่างป้าจะต้องการอะไรอีก นอกจากอยากให้หลานของป้าอยู่ดีมีความสุข ป้าดูแลชายได้อีกไม่นานแล้ว คู่ชีวิตของชายต่างหากที่จะอยู่ดูแลชายไปทั้งชีวิต ชายมีคู่เมื่อไร ป้าจะได้ตายตาหลับเสียที”
สิบทิศขมวดคิ้ว ถึงเขาจะไม่เต็มใจแต่ก็ยากที่จะปฏิเสธ
สิบทิ้งทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนแล้วพลิกไปพลิกมาเพราะนอนไม่หลับ สิบทิศยกมือก่ายหน้าผากอย่างคิดไม่ตกเพราะไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี สิบทิศมองออกไปนอกหน้าต่างทางทิศของบ้านบดินทร์ธร
น่านฟ้าสอนมารุตส่องกล้องดูดาวอยู่ มารุตมีท่าทางตื่นเต้นเพราะไม่เคยส่องกล้องดูดาวมาก่อน ร้อยดาวเดินรับลมเล่นลงจากตึกใหญ่เพื่อมาหาเพื่อนคุย
“พี่ร้อยดาว ! ส่องกล้องดูดาวด้วยกันไหมคะ ?” น่านฟ้าชวน
“เชิญคุณหญิงตามสบายเถอะค่ะ”
มารุตกับน่านฟ้าเห็นร้อยดาวสีหน้าไม่สบายใจจึงมานั่งคุยเป็นเพื่อน
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ? เล่าให้ฟังได้นะ บางทีการที่เราได้ระบายก็อาจช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจลงบ้างก็ได้” มารุตบอก
“มาร์ค ! ถ้ายูเป็นไอ แล้วรู้ว่าใครเป็นฆาตกรที่ฆ่าแม่ตัวเอง ยูจะทำยังไง” ร้อยดาวถาม
“ไอก็จะแก้แค้นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอาคืนมันให้สาสมน่ะสิ”
น่านฟ้าพูดขึ้น “ป่าเถื่อน ! บ้านเมืองมีขื่อมีแป จะใช้ศาลเตี้ยตัดสินได้ยังไง ถ้าเป็นหญิงหญิงจะจับมันส่งตำรวจ ลากคอมันเข้าคุก รอวันถูกตัดสินประหารชีวิต”
“จะศาลไหนก็ไม่เห็นจะต่าง ! สุดท้ายคนชั่วก็ต้องรับกรรมเหมือนๆกัน”
“แปลกนะ ! ทุกคนต่างก็รักตัวกลัวตาย ห่วงชีวิตตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่พอเป็นชีวิตของคนอื่น กลับเห็นความอาฆาตแค้นในใจมีค่ายิ่งกว่า”
มารุตกับน่านฟ้ารู้สึกตัวจึงเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของร้อยดาวแล้วก็อึ้งไป
สร้อยฟ้า กระถิน และคนงานชาย 3-4 คนขึ้นจากเรือที่ท่าน้ำ ไฟจากไต้ที่ทุกคนถือสว่างโร่ ทุกคนมาหยุดยืนอยู่หน้าเวียงร้อยดาว คนงานชายเหงื่อผุดเต็มหน้าด้วยความกลัวจนสร้อยฟ้าต้องตวาดใส่
“จะยืนเป็นสากกะเบือรอครกอีกนานไหม รีบเข้าไปสิ”
คนงานรีบเปิดประตูเวียงร้อยดาวจนเกิดเสียงดังแอ๊ดแล้วเข้าไปข้างใน ทุกคนเปิดทางให้พ่อปู่เข้ามาอย่างไม่เกรงกริ่ง พ่อปู่เดินนำหน้าเข้าไปข้างใน
พ่อปู่เหยียบย่างเข้าไปในเวียงร้อยดาว เสียงตุ๊กแกร้องทักเป็นด่านแรก สร้อยฟ้าและกระถินต่างหวาดกลัวจึงเหลียวมองรอบตัวกันเลิ่กลั่ก กระถินกวาดตามองฝ่าความมืดไปรอบๆ ก็เห็นบรรยากาศอันน่ากลัวรกร้างของเวียงร้อยดาว ผีเวียงแก้วยืนอยู่ในมุมมืดด้านบนแล้วหายวับไป กระถินใจหายวาบแล้วขยี้ตา แต่พอดูอีกทีเธอก็ไม่เห็นผีเวียงแก้วแล้ว กระถินเริ่มใจคอไม่ค่อยดี
กระถินพูดกับสร้อยฟ้า “คุณวีระวิทย์คงไม่ได้อยู่ที่นี่... เรากลับกันเถอะนะคะ”
“เอ๊ะ ! อีนี่ ! ถ้ากลัวผีจนขี้ขึ้นสมองนัก ก็ไสหัวกลับไป” สร้อยฟ้าว่า
ทันใดนั้น แสงไฟจากไต้ในมือของคนงานชายก็ดับพรึ่บลงพร้อมกันทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด คนงานชายต่างตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อและขนหัวลุกไปตามๆกัน เสียงเวียงแก้วหัวเราะเย็นๆดังขึ้นมาในอากาศแต่ไม่รู้มาจากทิศไหน
“มึงอยากลองดีกับกูใช่ไหม ? อีผีบ้า ! ได้...”
พ่อปู่ล้วงข้าวสารเสกจากย่ามขึ้นมาบริกรรมคาถาแล้วซัดไปข้างหน้าทำให้เสียงหัวเราะเงียบไป พ่อปู่เขม้นตามองฝ่าความมืดแต่ก็ไม่รู้ว่าผีเวียงแก้วหายไปไหน
“มันหายไปไหนแล้วเจ้าคะ พ่อปู่ ?” สร้อยฟ้าถาม
“ข้าจะไปรู้ไหม ! ฤทธิ์มากนักนะมึง”
ทันใดนั้น น้ำเหม็นๆก็ตกลงมาใส่กระถิน กระถินเอามือเช็ดแล้วยกขึ้นมาดมก่อนจะทำหน้าสะอิดสะเอียน เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปดูข้างบน กระถินเห็นผีเวียงแก้วนั่งอยู่บนขื่อโดยกำลังจ้องลงมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
กระถินตาเหลือกค้างอยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก เธอค่อยๆชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน ทุกคนมองตามกระถินขึ้นไปเห็นผีเวียงแก้วที่นั่งอยู่บนขื่อหัวเราะลั่นแล้วพุ่งกระโจนลงมาก่อนที่ร่างจะหายวับไปกลายเป็นกลุ่มควันสีดำจางๆ
อยู่ๆคนงานชายทั้งสามก็มีอาการคล้ายถูกตบจนเลือดกลบปาก ฟันร่วงลงมาที่พื้นเป็นแถวๆ คนงานทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่เห็นตัวว่าใครทำ ทันใดนั้นเวียงแก้วก็โผล่พรวดจากทางด้านหลัง คนงานทั้งสามแหกปากร้องลั่นว่าผีหลอกก่อนจะวิ่งหนีกระเจิงเอาตัวรอด
“ไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว ! เลี้ยงเสียข้าวสุก คอยดูนะกลับไปเมื่อไร ฉันจะเฉดหัว ไล่ไอ้ไพร่พวกนี้ออกไปให้หมด” สร้อยฟ้าว่า
พ่อปู่ก้าวเท้าเดินเข้าไปภายใน สร้อยฟ้ากับกระถินรีบเดินตามไป
พ่อปู่ท้าทายผีเวียงแก้ว
“อีเวียงแก้ว ! มึงจะออกมาดีๆ หรือต้องให้กูออกแรง หา !!”
ทันใดนั้น กลุ่มควันสีดำก็ลอยคลุ้งไปทั่วทั้งเวียงร้อยดาวก่อนจะค่อยๆหลอมตัวขึ้นกลายเป็นเวียงแก้ว
“นึกว่าเสียงหมาที่ไหนมันเห่า ที่แท้ก็พ่อปู่นี่เอง ? เรียกหาเวียงแก้ว มีสิ่งใดให้ข้าเจ้ารับใช้หรือเจ้า ?”
“อย่ามาตีฝีปากกับกู อีผีชั้นต่ำ ! มึงลักเอาลูกเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน”
เวียงแก้วกรีดเสียงหัวเราะลั่นแบบไม่กลัวเกรงพ่อปู่แม้แต่น้อย
“เก่งนัก มึงก็หาเอาเองสิ จะถามกูหาพระแสงอะไร ไอ้แก่ตัณหากลับ”
“สามหาวนัก วันนี้กูจะปราบผีอย่างมึงให้สิ้นจองหอง จับมึงมาเป็นขี้ข้ารับใช้อยู่ใต้อุ้งตีนกูให้จงได้”
“ก็เอาสิ !!! หมอผีชั่วอย่างมึงใช้เดรัจฉานวิชาหากินบนความเดือดร้อนทุกข์ยากของคนอื่น คาถาอาคมที่มีอยู่ จะไม่เสื่อมก็ให้มันรู้ไป”
“วิชากูมันไม่เสื่อมง่ายๆหรอกโว้ย.... มึงอยากลองดีกับกูนักก็เอา”
พ่อปู่เอาหวายอาคมออกมาร่ายมนต์กำกับแล้วหวดแหวกอากาศดังควั่บ เวียงแก้วหายวับหลบไปได้ พ่อปู่รู้ว่าพลาดก็กวาดตามองหา สร้อยฟ้ากับกระถินเหงื่อแตกพลั่ก
เวียงแก้วค่อยๆ โผล่ขึ้นมาด้านหลังกระถิน กระถินเห็นอะไรบางอย่างทางด้านหลังจากหางตา กระถินหันควั่บไปเห็นผีเวียงแก้วหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ กระถินอ้าปากค้าง เวียงแก้วพุ่งใส่ กระถินตาเบิกโพลงแล้วเรืองแสงวาบหนึ่งหลังจากโดนเวียงแก้วเข้าสิง
พ่อปู่กวาดตามองแต่ไม่พบผีเวียงแก้ว พอหันกลับมาเขาก็ตกใจจนตาแทบถลนที่เห็นกระถินผ้าถอดถุงหล่นลงไปกองที่พื้น สร้อยฟ้ามองอย่างงงๆ เพราะไม่รู้ว่ากระถินจะทำอะไร กระถินตาแข็งแล้วยิ้มนิดๆที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
ทันใดนั้น กระถินก็ปาผ้าถุงในมือหมายจะให้ข้ามหัวพ่อปู่เพื่อจะทำให้อาคมเสื่อม แต่พ่อปู่หลบทัน
“เล่นสกปรก ริจะใช้ของต่ำทำให้อาคมกูเสื่อมรึ ! อีผีชั่ว ! จับมันเอาไว้”
สร้อยฟ้ารีบรวบตัวกระถินเอาไว้ กระถินดิ้นไม่ยอมให้จับง่ายๆ แล้วก็ตบสร้อยฟ้าจนหน้าหัน กระถินจิกผมสร้อยฟ้ากระชากหมายจะเอาหัวสร้อยฟ้าโขกที่กำแพงแต่สร้อยฟ้าสู้ยิบตา
“อ๊าย !!นังกระถินแกเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ห๊า ! ปล่อย !”
พ่อปู่อาศัยจังหวะชุลมุนหยิบหวายอาคมขึ้นมาบริกรรมคาถา แล้วหวดไปที่ร่างกระถินอย่างแรง
กระถินร้องเสียงเวียงแก้ว “กรี๊ดด....”
ผีเวียงแก้วกรีดร้องแล้วพุ่งออกจากร่างกระถิน กระถินทรุดฮวบแล้วเป็นลมไป เวียงแก้วถลาลงแทบเท้าของพ่อปู่ เสื้อที่หลังของเธอขาดเป็นรอยหวายมีควันลอยกรุ่นเหมือนถูกนาบด้วยของร้อนจนไหม้ เวียงแก้วใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดระคนแค้น
“ฤทธิ์ของมึงมีแค่นี้เองหรือวะ อีเวียงแก้ว !”
พ่อปู่เห็นผีเวียงแก้วสิ้นสภาพตั้งแต่ยกแรกก็หัวเราะลั่นด้วยความอหังการ
มารุตย้อนถามร้อยดาว
“แล้วยูล่ะ ถ้าจับได้ว่าใครเป็นคนร้ายที่ฆ่าแม่ตัวเอง จะทำยังไง ?”
ร้อยดาวคิด “ฉันก็จะ....”
ทันใดนั้น หูของร้อยดาวก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเวียงแก้ว
“ร้อยดาว... ช่วยแม่ด้วย”
ร้อยดาวตกใจลุกพรวดขึ้นจนมารุตกับน่านฟ้าตกใจ
“เสียงคุณแม่เวียงแก้ว !” ร้อยดาวบอก
“เสียงใครคะ ? หญิงไม่เห็นจะได้ยิน” น่านฟ้าบอก
ร้อยดาวไม่รอช้ารีบวิ่งตาลีตาเหลือกไปทันที
น่านฟ้าลุกตาม “พี่ร้อยดาว !!! จะไปไหนคะ”
“ไม่ต้องถาม รีบตามไปเร็ว”
มารุตกับน่านฟ้าวิ่งตามร้อยดาวไปทันที
พ่อปู่เอาหวายอาคมเฆี่ยนเวียงแก้วไม่ยั้งจนผิวไหม้พุพองตามรอยหวายไปทั้งตัว
“มึงจะบอกหรือไม่บอก ห๊ะ อีตัวดี ! ว่าเอาลูกชายเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ต่อให้มึงเฆี่ยนกูจนวิญญาณกูแตกดับ กูก็ไม่บอก ! ลูกสุดที่รักของมันจะได้ตกนรกหมกไหม้ไปพร้อมๆกับกู”
สร้อยฟ้าด่า “อีงูพิษ ! เฆี่ยนมันแรงๆสิ พ่อปู่ ! เฆี่ยนให้หนักจนกว่าจะยอมปริปาก”
เวียงแก้วยิ้มท้าทายสร้อยฟ้าทั้งๆที่บอบช้ำอย่างหนัก พ่อปู่จับพิรุธเห็นผีเวียงแก้วชำเลืองเหลือบมองขื่อบริเวณที่ผูกวีระวิทย์เอาไว้อยู่บ่อยๆ พ่อปู่เห็นมีแต่เชือกห้อยลงมาแต่ไม่เห็นวีระวิทย์ แต่ก็จับพิรุธผีเวียงแก้วได้
พ่อปู่ยิ้มอย่างรู้ทัน “นึกว่าจะตบตากูได้งั้นรึ ! อีเวียงแก้ว”
พ่อปู่หลับตาบริกรรมคาถาก่อนจะเป่าพรวดลงไปบริเวณเชือกที่ห้อยลงมา ทันใดนั้นร่างวีระวิทย์ที่ถูกผูกเท้าห้อยหัวลงมาก็ปรารกฏขึ้น วีระวิทย์ร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วย...ด้วย..”
สร้อยฟ้าตกใจจนตาค้าง เธอรีบเข้าไปช่วยวีระวิทย์ลงมา
“ตาวิทย์ ! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ใครทำลูกของแม่ ?”
พอเห็นหน้าเวียงแก้ว วีระวิทย์ก็ตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวก่อนจะซุกหน้ากับสร้อยฟ้า
“ผี... ผีแม่นังร้อยดาว !!! กลัวแล้ว... พาผมออกไปจากที่นี่ที..”
สร้อยฟ้ากัดฟันแน่นด้วยความแค้นที่ผีเวียงแก้วกล้าทำกับลูกตน
“อีเวียงแก้ว ! มึงกับกูเห็นจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ พ่อปู่ ! ถ้ากำจัดผีอีเวียงแก้วให้มันตกนรกหมกไหม้ได้ พ่อปู่ต้องการอะไร ดิฉันจะถวายให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียว ให้อีเวียงแก้วมันทุกข์ทรมานให้ถึงที่สุด”
พ่อปู่แสยะยิ้มที่มุมปากเป็นการรับคำ
“เอ็งพาลูกกับนังนี่กลับไปก่อน ทางนี้ข้าจะจัดการเอง”
สร้อยฟ้าเขย่าตัวกระถินแล้วโยนผ้าถุงให้นุ่ง กระถินรู้สึกตัวก็งงงวยเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
“นุ่งผ้านุ่งผ่อนซะ ! แล้วรีบตามฉันมา”
สร้อยฟ้าหิ้วปีกวีระวิทย์ที่อ่อนระโหยโรยแรงแล้วพาออกไป กระถินนุ่งผ้าเสร็จก็รีบวิ่งตามไป พ่อปู่มองเวียงแก้วอย่างลูกไก่ในกำมือ
น่านฟ้ารีบคว้ามือร้อยดาวแล้วเอาตัวมาขวางไว้ก่อนที่ร้อยดาวจะเข้าไปในอาณาเขตของเวียงร้อยดาว
“พี่ร้อยดาว ! อย่าเข้าไปเลยนะคะ” น่านฟ้าบอก
“ดิฉันต้องเข้าไป ! มีใครบางคนกำลังทำร้ายคุณแม่เวียงแก้วของดิฉัน”
มารุตขนลุก เขามองรอบตัวอย่างๆหวาดๆ ก่อนจะเข้าไปหลบหลังน่านฟ้า
“คุณแม่เวียงแก้วของยู ! หมายถึง...วิญญาณ ใช่ไหม ?” มารุตถาม
“ประมาณนั้น ! ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่ดิฉันสัมผัสได้ ว่าคุณแม่เวียงแก้วกำลังตกอยู่ในอันตราย ได้โปรดให้ดิฉันเข้าไปเถอะนะคะ”
น่านฟ้าลังเล
“แต่...หญิงไม่อยากให้พี่ร้อยดาวต้องเข้าไปข้างในเวียงอาถรรพ์นั่นอีก” น่านฟ้าบอก
ทันใดนั้น ร้อยดาวก็ได้ยินเสียงพ่อปู่ร่ายคาถาปราบผีภาษาเขมรรัวเร็วทำให้เธอปวดหัวจนแทบระเบิด
“โอ๊ย !”
ร้อยดาวไม่รอช้า เธอวิ่งฝ่ามารุตกับน่านฟ้าเข้าไปในเวียงร้อยดาวทันที
“พี่ร้อยดาว ! / เฮ้ ! ยู กลับมาก่อน”
น่านฟ้ากับมารุตวิ่งตามร้อยดาวเข้าไปในเวียงร้อยดาว
พ่อปู่ร่ายคาถาปราบผีเป็นภาษาเขมรรัวเร็ว เวียงแก้วร้องครวญคราง ดิ้นทุรนทุราย มีควันลอยขึ้นจากร่างของเวียงแก้วคล้ายถูกเผาจากข้างใน ร้อยดาววิ่งเข้ามาหาเวียงแก้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ! อย่าทำอะไรแม่ฉัน ! บอกให้หยุดไง !”
พ่อปู่ยังคงหลับตาบริกรรมคาถานิ่งอย่างไม่วอกแวก
เวียงแก้วร้องลั่น “กรี๊ด !! ช่วยแม่ด้วย ทรมานเหลือเกิน”
มารุตกับน่านฟ้าวิ่งตามเข้ามาด้วยใบหน้าเหรอหราเพราะทำอะไรไม่ถูก
“หยุดสวดสักทีได้ไหม !!! แม่ฉันจะแย่อยู่แล้ว” ร้อยดาวว่า
“ให้หยุด ไม่หยุดใช่ไหม !”
พูดจบมารุตก็ไม่รอช้า เขาเข้าไปถีบพ่อปู่จนหงายหลัง เวียงแก้วเป็นอิสระจากเวทมนตร์ของพ่อปู่ก็รีบหายวับหนีไป พ่อปู่โมโหที่ถูกทำลายสมาธิ เพราะเกือบจะปราบผีเวียงแก้วได้อยู่แล้ว แต่กลับถูกขัดขวาง
“อุวะ ! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ! กล้าดียังไงมาทำลายพิธีข้า”
“พิทงพิธีอะไร ไอไม่สนทั้งนั้น” มารุตว่า “แต่บุกรุกเข้ามาทำลับๆล่อๆอย่างนี้ในยามวิกาล ไม่ลากคอเข้าตะรางก็บุญเท่าไรแล้ว ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากกว่านี้ก็ไปซะ ! ไอไม่อยากทำร้ายคนแก่ ! Get Out”
มารุตเอากำปั้นชกที่ฝ่ามือตัวเองเพื่อขู่พ่อปู่
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้พวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” พ่อปู่ว่า
พ่อปู่จ้องหน้าแต่ละคนเรียงตัวด้วยแววตาอาฆาตมาดร้ายแล้วเดินออกไป ร้อยดาวมองหาเวียงแก้ว แต่ไม่รู้ว่าหายไปไหน
สร้อยฟ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้วีระวิทย์ที่นอนอยู่บนเตียงเพิ่งเสร็จ วีระวิทย์ยังเลิ่กลั่กเพราะหวาดกลัวไปเสียหมดเหมือนคนขวัญกระเจิง
“ป่านนี้พ่อปู่คงจัดการส่งผีอีเวียงแก้วมันลงนรกอเวจีไปแล้ว ! สมน้ำหน้า ! ใครมันบังอาจทำให้ลูกของแม่เจ็บ มันก็ต้องเจ็บยิ่งกว่า” สร้อยฟ้าว่า
“คุณแม่แน่ใจได้ยังไงคะ ว่าผีแม่นังร้อยดาวจะไม่กลับมาอาละวาดอีก” ดาราเรศถาม
“ผี ! ผีแม่นังร้อยดาว ! อย่าเข้ามา ! กลัว ! กลัวแล้ว” วีรวิทย์ขวัญเสีย
สร้อยฟ้ากอดวีระวิทย์เพื่อปลอบขวัญ
“ไม่ต้องกลัวลูก ! ไม่ต้องกลัว ! มันไม่กลับมาแล้ว ! เชื่อแม่ ยัยเรศ ! หุบปากซะ ! เลิกพูดพล่อยๆเสียที ไม่รู้ไปติดนิสัยจากใครมา”
“แต่ผีก็คือคนที่ตายไปแล้วนะคะ เราจะฆ่ายังไง มันก็ไม่มีวันตายซ้ำสอง” กระถินบอก
แม้จะไม่พอใจคำพูดของกระถิน แต่สร้อยฟ้าก็อดคิดตามไม่ได้
วีระวิทย์เพ้อ “มันยังไม่ตาย กลัว ! กลัวแล้ว ! อย่าทำอะไรผมเลย”
วีระวิทย์ซุกตัวกับสร้อยฟ้าเหมือนเด็กๆ สร้อยฟ้ากอดลูกชายไว้แล้วถอนใจหนักๆด้วยความเป็นห่วง
เสียงร้องไห้ของเวียงแก้วด้วยความเจ็บปวดทรมานดังขึ้นจากในความมืดสลัว ร้อยดาวเดินฝ่าความมืด ตามเสียงร้องไห้นั้นไป ร้อยดาวเห็นร่างของเวียงแก้วนั่งหันหลังร้องไห้อยู่ในความมืด
ร้อยดาวเป็นห่วง “คุณแม่คะ... คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
เวียงแก้วค่อยๆหันมาอย่างช้าๆ ร้อยดาวเห็นเนื้อตัวของเวียงแก้วเต็มไปด้วยบาดแผลจากหวายลงอาคมจนน่าสงสาร
ร้อยดาวตกใจ “คุณแม่ !”
“ร้อยดาว... แม่ทรมานเหลือเกิน.... ไอ้คนสารเลวมันใช้หวายอาคมเฆี่ยนแม่... ทำร้ายแม่...จนเป็นแผลยับไปทั้งตัว”
ร้อยดาวน้ำตารื้นด้วยความสงสาร “คุณแม่เจ็บมากไหมคะ ? หนูจะช่วยคุณแม่ยังไงดี ?”
“ไม่ต้องหรอกลูก !แผลที่กายเจ็บไม่นานก็หาย แต่แผลกลัดหนองที่ใจแม่ ต่อให้เนิ่นนานแค่ไหน ก็ไม่มีวันรักษาหาย...ร้อยดาว... ลูกต้องรู้จักเจ็บ รู้จักจำ รู้จักตอบแทนให้สาสม...จำเอาไว้ ! ลูกต้องช่วยแม่แก้แค้นไอ้คนชั่วที่มันทำกับแม่นะลูก”
ร่างของเวียงแก้วค่อยๆเลือนรางก่อนที่จะหายวับไป
ร้อยดาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาโดยที่น้ำตายังคลออยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้างเพราะสงสารเวียงแก้ว
“คุณแม่ !”
ร้อยดาวลุกขึ้นนั่งกุมขมับเพราะรู้สึกปวดหัวหนึบ เธอมองไปที่นาฬิกาปลุกข้างหัวเตียง พรายน้ำบอกเวลาตีห้า รูปเวียงแก้วในกรอบรูปที่หัวนอนมีน้ำตาไหลออกมา ใบหน้าของเวียงแก้วคล้ายจะวิงวอน ขอร้องให้ช่วย ร้อยดาวแปลกใจ เธอคว้ากรอปรูปมาดูชัดๆ แต่รูปก็กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
ร้อยดาวขมวดคิ้วคิดว่าจะหาวิธีช่วยเหลือเวียงแก้วอย่างไรดี
อ่านต่อหน้า 4
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 9 (ต่อ)
เสียงวีระวิทย์ดังเอะอะเอ็ดตะโรดังออกมาจากห้อง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเขวี้ยงปาข้าวของ
“ไป ! ออกไปให้พ้น !!! อย่ามาถูกตัวกู ! อีดอกกระทือ !”
กระถินรีบยกสำรับออกมาจากห้องวีระวิทย์ด้วยหน้าตาไม่ค่อยดีที่ถูกไล่ออกมา
สร้อยฟ้าเดินมาได้ยินเสียงวีระวิทย์เอะก็แปลกใจ
“ตาวิทย์เป็นอะไร เอะอะเอ็ดตะโรไปทั้งบดินทร์ธร”
“คุณวีระวิทย์อาละวาดใหญ่แล้วค่ะ ไม่ยอมรับประทานอาหารที่ดิฉันจัดสำรับมาให้ มิหนำซ้ำยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ดิฉัน....”
กระถินยั้งคำพูดเอาไว้ทัน สร้อยฟ้ารอฟังอย่างใจจดจ่อ
กระถินรีบกลับคำพูด “คุณวีระวิทย์โกรธที่ดิฉันจะป้อนให้ ก็เลยไล่ดิฉันออกมาแทบไม่ทัน ดูท่าทางคุ้มดีคุ้มร้ายพิลึก”
“นี่ ! ลูกฉันแค่ไม่สบาย ไม่ได้เป็นบ้านะ ! แล้วถ้าแกยังปากไม่ดีอีกล่ะก็แกเตรียมเก็บผ้าเก็บผ่อน ไสหัวกลับบ้านนอกไปได้เลย จะไปไหนก็ไป”
สร้อยฟ้าโบกมือไล่กระถินแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงวีระวิทย์ขึ้นมา กระถินถือถาดอาหารค้อมตัวเดินไป พอผ่านสร้อยฟ้ากระถินก็เบ้ปากแล้วเดินไป สร้อยฟ้าเปิดประตูเข้าไปในห้องวีระวิทย์
สร้อยฟ้าเข้ามาในห้องวีระวิทย์ที่มีข้าวของเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้น
สร้อยฟ้าบ่น “อีนังกระถินมันทำอะไรขัดใจลูกแม่อีกล่ะ”
วีระวิทย์นอนตะแคง ห่มผ้า หันหลังให้อยู่บนเตียง สร้อยฟ้าได้กลิ่นเหม็นอบอวลอยู่ในห้องจนต้องเบ้หน้า
“ดูซิ ! ปล่อยให้ห้องหับเหม็นสาบๆสางๆ นังกระถินนี่ชักจะสันหลังยาวใหญ่แล้ว ! นับวันยิ่งขี้เกียจตัวเป็นขน”
สร้อยฟ้าเห็นห้องมืดๆ เลยเดินไปที่หน้าต่างเพื่อจะเปิดผ้าม่านให้
วีระวิทย์พูดเสียงกร้าว “ไม่ต้อง !!”
สร้อยฟ้าสะดุ้งตกใจที่วีระวิทย์เสียงกร้าวกว่าทุกครั้ง
“ทำไมล่ะลูก เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทซะบ้าง จะได้ไม่อุดอู้อย่างนี้”
“ผมชอบอยู่มืดๆ... แม่อย่ายุ่งดีกว่า !”
สร้อยฟ้าตามใจ เธอเดินมานั่งที่เตียงวีระวิทย์ที่ยังคงนอนตะแคงหันหลังให้ด้วยความเป็นห่วง
“นังกระถินมันบอกแม่ว่าลูกไม่ยอมกินข้าวกินปลา ! หิวไหมลูก ? อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แม่จะสั่งให้คนไปหาซื้อมาให้”
สร้อยฟ้าเอื้อมมือจะไปลูบหัววีระวิทย์ด้วยความเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันถูกตัววีระวิทย์ก็ปัดออก วีระวิทย์ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยอาการแปลกๆ เขาไม่ยอมหันมาสบตาสร้อยฟ้า
“ไม่เป็นไร... ผมหากินเองได้”
วีระวิทย์เดินตัวแข็งทื่อออกจากห้องไป ปล่อยให้สร้อยฟ้ามองตามด้วยความแปลกใจ
วีระวิทย์เดินตัวแข็งทื่อเข้ามาในครัวด้วยอาการคล้ายคนถูกผีเข้า เขากวาดตามอง วีระวิทย์หยิบเนื้อดิบๆ เนื้อแดงๆ และเครื่องในสดๆ ที่จะใช้ปรุงอาหารใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ อย่างเอร็ดอร่อย กระถินซึ่งเข้ามาเก็บสำรับแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งถึงกับตาเหลือก เธอเบ้ปากด้วยสีหน้าสยดสยอง
ณ เวฬุมาศ ถ้วยชาของรัตนากรที่เย็นแล้วน้ำชาไม่พร่องลงแม้แต่น้อย รัตนากรนั่งนิ่งขึงอยู่ในสวน รอฟังคำตอบจากสิบทิศว่าจะตัดสินใจอย่างไร
“ท่านป้า !”
รัตนากรหันมาเห็นสิบทิศที่เดินเข้ามานั่งด้วย
“เรื่องที่ท่านป้ารับสั่ง หลานตัดสินใจแล้ว”
รัตนากรลุ้นรอฟังคำตอบจากปากสิบทิศ
รถของรัตนากรจอดอยู่หน้าตึกบดินทร์ธร ร้อยดาวเดินเข้ามาในห้องรับแขกเป็นคนสุดท้ายจึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ร้อยดาวเห็นรัตนากรนั่งข้างๆสิบทิศ รายล้อมด้วยคนอื่นที่นั่งประจำตำแหน่ง ร้อยดาวเหรอหราไม่รู้จะนั่งตรงไหนดี
“หล่อนมานั่งกับฉันนี่ แม่ร้อยดาว” ดำรงบอก
ร้อยดาวเดินตัวลีบเข้าไปนั่งข้างๆดำรงแล้วยกมือไหว้รัตนากรกับสิบทิศ
“ที่ฉันเรียกทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะมีข่าวจะบอก”
ดาราเรศกับสร้อยฟ้ายิ้มไม่หุบ ทั้งสองตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่เพราะสำคัญว่ารัตนากรมาสู่ขอตน
ดาราเรศยิ้มร่า “ข่าวอะไรหรือคะ คุณปู่ ?”
“ข่าวมงคล... ท่านหญิงรัตนากรเสด็จมาที่นี่ด้วยธุระสำคัญเรื่อง เอ่อ...” ดำรงอึกอัก
รัตนากรพูดแทน “เรามาด้วยเรื่องที่เวฬุมาศจะเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับบดินทร์ธร เราสองตระกูลจะได้สนิทสนมแน่นแฟ้นกันยิ่งขึ้น”
“ทรงทาบทามให้คนไหนหรือเพคะ คนพี่หรือคนน้อง ?” สร้อยฟ้าถาม
“หลานชายเราเอง... หม่อมราชวงศ์สิบทิศ เวฬุมาศ”
สร้อยฟ้ากับดาราเรศยิ่งกระดี๊กระด๊า จงจิตเองก็หวังอยู่ลึกๆในใจ ว่าอาจจะเป็นดารกาจึงรีบถามขึ้น
“กับใครหรือเพคะ ?”
“ให้เจ้าตัวเขาบอกเองดีกว่าว่าหมายตาใครไว้เป็นว่าที่เจ้าสาว” รัตนากรบอก
สิบทิศอ้ำอึ้งเมื่อถูกรัตนากรโยนให้เขาต้องออกปากด้วยตัวเอง สิบทิศนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“เอ้า ! บอกไปเสียทีสิ เดี๋ยวสาวน้อยสาวใหญ่ได้ลุ้นจนหัวใจวายกันพอดี” รัตนากรเร่ง
“ผมมาสู่ขอ...ร้อยดาว บดินทร์ธรครับ”
ทุกคนต่างก็อึ้งไปตามๆกัน แม้กระทั่งร้อยดาวเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อหู
ร้อยดาวเหวอ “ใครนะคะ ?”
“ผมหมายถึงคุณนั่นแหละ” สิบทิศบอก
ดารกายิ้มแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างคนโรคจิตก่อนจะพูดเบาๆ ให้จงจิตที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคนเดียว
“ดี...ฉันจะได้หมดเสี้ยนหนามสักที”
ดาราเรศอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ แต่สร้อยฟ้าบีบมือดาราเรศแล้วส่งสายตาดุให้เก็บอาการ
ดำรงกระแอมดังๆ “โบราณว่าไว้ ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน หล่อนจะว่ายังไงแม่ร้อยดาว แต่งหรือไม่แต่งก็ว่ามาฉันไม่บังคับ”
ร้อยดาวอึกอัก “เอ่อ...คือ...ดิฉัน...”
“หนูร้อยดาวรังเกียจฉันหรือจ๊ะ” รัตนากรถาม
“ท่านหญิงทรงมีน้ำพระทัยเมตตาหม่อมฉันมาโดยตลอด หม่อมฉันรักและเคารพท่านหญิงเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของหม่อมฉันเพคะ”
“แล้วหนูไม่อยากมาเป็นหลานฉันหรือจ๊ะ” รัตนากรถามต่อ
“เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้สำหรับหม่อมฉันเพคะ หากแต่ว่า...”
ร้อยดาวเหลือบมองไปทางสิบทิศที่นั่งหน้าถมึงทึงบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆรัตนากร
“อ้อ...แย่จริง ! ฉันดันมีหลานชายกับเขาคนเดียวเสียด้วย หนูเลยเลือกไม่ได้ น่าเสียดาย...หลานชายฉันคงยังดีไม่พอ เพราะถ้าเขาดีจริง หนูคงไม่ปฏิเสธฉันหรอก จริงไหมจ๊ะ ?” รัตนากรถาม
ร้อยดาวนิ่งอึ้งจนดำรงกลัวว่ารัตนากรจะกริ้ว
ดำรงว่า “กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรือไง ! ฝ่าบาทรับสั่งถาม ทำไมไม่ตอบ”
รัตนากรส่งสายตาปรามดำรง จนดำรงหงอ
“หามิได้เพคะ...” ร้อยดาวหลุดปาก “คุณชายสิบทิศเป็นสุภาพบุรุษ เพียบพร้อมทุกประการเพคะ”
สิบทิศเขินจนหน้าแดงที่ถูกร้อยดาวชมซึ่งๆหน้า
“เช่นนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ ! ฉันจะได้รีบไปตระเตรียมเรื่องงานพิธียิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี จริงไหม ดำรง”รัตนากรถาม
คนอื่นๆถึงกับอ้าปากหวอ พูดไม่ออก ต่างก็ตะลึงตะไลไปตามๆกัน
“ฝ่าบาทเห็นควรอย่างไร กระหม่อมก็ว่าตามนั้น” ดำรงบอก
เต็มเดือนยิ้ม “เป็นพระกรุณากับหนูร้อยดาวยิ่งแล้วเพคะ” เต็มเดือนพูดกับร้อยดาว “ฝ่าบาททรงมีพระเมตตารับเธอเป็นหลานสะใภ้ ยังรีบเข้าไปกราบพระบาทอีก”
เต็มเดือนเตือน ร้อยดาวจึงคลานเข้าไปกราบพระบาทของรัตนากร ส่วนคนอื่นๆบ้างยิ้มยินดี บ้างอิจฉาริษยา หมั่นไส้ รัตนากรมองร้อยดาวด้วยความเอ็นดู ขณะที่ร้อยดาวยังตั้งตัวไม่ติดจึงยังอึ้งอยู่
ร้อยดาวเข้ามาเคลียร์ใจกับสิบทิศสองต่อสอง
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ? อยู่ๆท่านหญิงรัตนากรก็เสด็จมาถึงที่นี่ รับสั่งให้ดิฉันเป็นเจ้าสาวคุณชายแบบสายฟ้าแลบ จนแทบตั้งตัวไม่ติด ดิฉันยังไม่อยากจะแต่งงานสักหน่อย”
“แล้วใครอยาก ?” สิบทิศถามกลับ
“เอ๊ะ ! ก็คุณชายมาขอ”
“แล้วไง ! ฉันขอ แล้วเธอต้องอยากแต่งด้วยงั้นเหรอ ?”
ร้อยดาวงงเป็นไก่ตาแตกเธออ้าปากหวอกับเหตุผลข้างๆคูๆของสิบทิศ สิบทิศหันมาจ้องหน้าร้อยดาว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฟังให้ดีนะร้อยดาว ! ที่ฉันยอมบากหน้ามาขอเธอแต่งงานถึงบดินทร์ธรไม่ใช่เพราะความรัก หรือความเสน่หาหรอกนะ แต่ฉันต้องทำตามหน้าที่ของหลาน เพื่อให้ท่านป้าสบายพระทัยเป็นครั้งสุดท้ายก็เท่านั้น”
“คุณชายหมายความว่ายังไงคะ ?”
สิบทิศถอนใจหนักๆก่อนจะอธิบายเหตุผลที่แท้จริงให้ร้อยดาวฟัง
ดาราเรศเดินกระทืบเท้าปึงปัง กระฟัดกระเฟียดเข้ามาในห้องแล้วก็ร้องกรี๊ดลั่น
“อีนังร้อยดาวมันกล้าดียังไงมาแย่งคุณชายสิบทิศไปจากเรศ”
“ท่านหญิงรัตนากรก็เหมือนกัน แก่จนหัวหงอกแล้วยังตาต่ำคว้าเลือดเชื้อเชื้อไขอีขี้ข้าเอามาเป็นหลานสะใภ้ให้แปดเปื้อนวงศ์ตระกูล” สร้อยฟ้าว่า
“คนอย่างเรศ ไม่มีวันยอมแพ้อะไรง่ายๆ ในเมื่อนังร้อยดาวมันริตั้งตัวเป็นศัตรู แย่งชิงทุกอย่างไปจากเรา เรศก็จะใช้วิธีของเรศจัดการกับมัน”
ดาราเรศพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง จนสร้อยฟ้าเองยังอดกลัวลูกสาวตัวเองไม่ได้
“แกจะทำอะไรของแก ยัยเรศ ?”
ดาราเรศแสยะยิ้มที่มุมปากเยี่ยงอสรพิษแทนคำตอบก่อนเดินออกไป สร้อยฟ้าเหลือบเห็นกระถินทำท่าจดๆจ้องๆที่ประตูเหมือนชั่งใจจะเข้ามาหาบอกสร้อยฟ้าหรือไม่
“นังกระถิน ! ยืนลับๆล่อๆอยู่ได้ จะเข้าก็เข้ามา”
กระถินเดินเข้ามาหาสร้อยฟ้าด้วยความหนักใจที่จะเล่าเรื่องวีระวิทย์ที่ตัวเองเห็นมากับตา
น่านฟ้ามีท่าทางตื่นเต้นตาโตเมื่อรู้ข่าวว่าสิบทิศมาขอร้อยดาวแต่งงาน
“พี่ชายน่ะหรือคะ มาขอแต่งงาน !!! ก็ดีน่ะสิคะ ! คราวนี้พี่ร้อยดาวจะได้เป็นพี่สาวของหญิงจริงๆเสียที “
มารุตหน้าเสียอย่างแรง เขาเริ่มเวิ่นเว้อต่างๆนานา แตกต่างจากทีท่าของน่านฟ้าโดยสิ้นเชิง
“แล้วไอล่ะ ? ไอจะอยู่ยังไง ? อยู่ๆยูก็ทิ้งไอไปแต่งงานกับหมอนั่นเนี่ยนะ... ไอผิดอะไร ? ไอไม่ดีตรงไหน ? ทำไมยูต้องทิ้งไอด้วย”
“ฉันจะบอกนายให้เอาบุญก็ได้นะ.. นายมาร์ค ! ที่พี่ร้อยดาวตกลงปลงใจแต่งงานกับพี่ชายฉัน นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด และนายก็ทำดีที่สุดแล้ว เพียงแต่...ยังดีไม่พอ O.K. ?” น่านฟ้าว่า
พอฟังคำปลอบใจแบบแปร่งๆของน่านฟ้า มารุตก็ถึงกับปล่อยโฮออกมา
มารุตเอามือกุมหัวใจ “เจ็บแปลบขึ้นมาทันที นี่ไอกำลังอกหักใช่ไหม ?”
น่านฟ้าเหมือนจะปลอบ แต่ยิ้ม “Exactly !!!! ถูกต้องที่สุด”
“คุณหญิงคะ ! ดิฉันรับปากจะแต่งงานกับคุณชายด้วยเหตุผลบางอย่างเกี่ยวกับ...ท่านป้าของคุณหญิงค่ะ” ร้อยดาวบอก
น่านฟ้าทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าร้อยดาวไม่สู้จะดีนักเธอจึงรอฟังร้อยดาวพูดต่อไป
“คุณชายบอกกับดิฉันว่า...หม่อมเจ้ารัตนากรประชวรด้วยพระโรค...มะเร็งในลำไส้”
น่านฟ้าได้ยินแล้วก็ถึงกับเข่าอ่อนจึงทรุดลงไปนั่ง
“พี่ร้อยดาวบอกว่าท่านป้าทรงเป็นอะไรนะคะ ?”
“ท่านหญิงกำชับไม่ให้แพทย์ประจำพระองค์บอกใครๆว่าทรงเป็นมะเร็ง แม้กระทั่งคุณชายสิบทิศและคุณหญิงเอง ท่านอยากเห็นหลานทั้งสองของท่านมีความสุขจึงทรงปิดบังไว้ ไม่ให้รับรู้เรื่องความทุกข์ของท่าน”
น่านฟ้าน้ำตารื้นจนอยากจะร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออกเพราะยังช็อคอยู่
ร้อยดาวพูดต่อ “เพราะอย่างนี้คุณชายสิบทิศจึงจำต้องทำตามความปรารถนาสิ่งสุดท้ายของท่านหญิงเพื่อความสบายพระทัย ด้วยการ...แต่งงานกับดิฉัน”
น่านฟ้ามีสีหน้าหม่นเศร้าลงจนมารุตรู้สึกเห็นใจ
น่านฟ้ามาแอบนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เมื่อรู้ว่าท่านป้าเป็นมะเร็ง
เสียงร้อยดาวดังก้องในหัว “คุณชายบอกกับดิฉันว่า...หม่อมเจ้ารัตนากรประชวรด้วยพระโรค...มะเร็งในลำไส้”
มารุตเดินเข้ามาเห็นน่านฟ้าแอบร้องไห้ก็รู้สึกสงสารจับใจ มารุตยื่นผ้าเช็ดหน้าให้น่านฟ้า
“เช็ดน้ำตาซะ !”
น่านฟ้าหันมาเห็นมารุตนั่งเป็นเพื่อนก็รีบปาดน้ำตาแล้วทำสีหน้าเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย ก็แค่... ผงเข้าตา”
“น้ำตาไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ แต่บางทีอะไรที่มันมากเกินไป เกินกว่าที่จะรับไว้ก็จำเป็นต้องระบายออกมาบ้าง อย่าปิดกั้นความรู้สึกข้างในของตัวเองเลย...ถ้าอยากร้องไห้…ก็ร้องเถอะ ร้องออกมาให้พอ”
น่านฟ้าน้ำตาไหล เธอปล่อยสะอื้นออกมาจนตัวโยนเหมือนเด็กๆ
“ตั้งแต่ท่านพ่อกับท่านแม่ตาย ฉันกับพี่ชายก็มีกันแค่สองคนพี่น้อง จะมีก็แต่ท่านป้าเท่านั้นที่ยอมรับพวกเราไปดูแล ท่านยอมสละชีวิตสมรส ปฏิเสธยศถาบรรดาศักดิ์ที่ถูกหยิบยื่นให้ ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อจะเลี้ยงหลานทั้งสองคนให้ดีที่สุดเท่านั้น”
มารุตฟังแล้วก็ถึงกับอึ้งเพราะไม่เคยเห็นน่านฟ้าอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าเท่านี้มาก่อน
“ไม่เข้าใจเลย ทำไมคนบนฟ้าจะต้องพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉัน หากท่านป้าทรงเป็นอะไรไป ฉันกับพี่ชายก็ไม่เหลือใครที่ไหนอีกแล้ว”
มารุตเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้น่านฟ้าด้วยความสงสาร
“ไอไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคนบนฟ้าถึงได้บันดาลแต่เรื่องแย่ๆให้เกิดกับยู แต่ที่ไอรู้และเชื่อมาเสมอก็คือหลังจากผ่านเหตุการณ์ร้ายๆไปแล้ว จะต้องมีเรื่องดีๆตามมาอย่างแน่นอน”
มารุตยิ้มเป็นกำลังใจให้น่านฟ้า น่านฟ้ามองมารุตอย่างรู้สึกประทับใจ
สร้อยฟ้ากับกระถินย่องเข้ามาในห้องวีระวิทย์แบบกล้าๆกลัวๆ
“แกแน่ใจนะนังกระถิน ว่าตาไม่ได้ฝาด !” สร้อยฟ้าถาม
“จะเอาดิฉันไปสบถสาบานที่วัดไหนก็ได้ค่ะ ดิฉันเห็นกับตาว่าคุณวีระวิทย์กินเนื้อดิบๆ เครื่องในสดๆ... พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย”
สร้อยฟ้าเห้นวีระวิทย์นั่งหันหลังบนเตียงในห้องที่ปิดจนมืดสลัวโดยวีระวิทย์กำลังทำอะไรบางอย่าง
“ตาวิทย์ ! เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ? นังกระถินมันบอกว่าลูกดูแปลกๆไปไข้ขึ้นหรือเปล่าลูก ? ไหนหันมาคุยกับแม่ซิ ?”
วีระวิทย์ค่อยๆหันมาช้าๆ ในมือของเขาถือมีดโกนกำลังเฉือนที่ข้อมือเป็นรอยจนเลือดไหลโชก
สร้อยฟ้าตาค้าง “ตาวิทย์ !”
ทันใดนั้น วีระวิทย์ก็กระโจนเข้ามาบีบคอกระถินจนเธอหายใจไม่ออก ใบหน้าเวียงแก้วซ้อนใบหน้าของวีระวิทย์แวบขึ้นมาวูบหนึ่ง
วีระวิทย์พูดด้วยเสียงเวียงแก้ว “อีสาระแน !!! กูจะลากลิ้นมึงออกมาสับเป็นชิ้นๆ”
“คุณคะ... ช่วยดิฉันด้วย” กระถินหายใจไม่ออก
สร้อยฟ้ายืนตะลึงเพราะทำอะไรไม่ถูก พอได้สติเธอก็รีบวิ่งออกไป
สร้อยฟ้ารื้อค้นตามลิ้นชักต่างๆ กระจุยกระจายเพื่อหาตะกรุดของพ่อปู่ที่กระถินเคยมอบให้ เธอเห็นตะกรุดอยู่ในลิ้นชักเล็กๆ บริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง สร้อยฟ้าตาลุกวาวก่อนรีบวิ่งไป
วีระวิทย์บีบคอกระถินจนหน้าเขียวและเกือบจะหมดลมหายใจอยู่แล้ว ทันใดนั้น สร้อยฟ้าก็เอาตะกรุดเข้ามาคล้องคอวีระวิทย์เอาไว้
วีระวิทย์กรีดร้องเป็นเสียงเวียงแก้ว “กรี๊ด !!”
ผีเวียงแก้วพุ่งออกจากร่างวีระวิทย์ไป กระถินสำลักและหายใจรวยระริน เธอหลบไปอยู่หลังสร้อยฟ้า วีระวิทย์หมดสติไป
วีระวิทย์ยังสลบอยู่ เขาไม่รู้สึกตัวแม้จะอยู่หน้าหิ้งพิธีพ่อปู่ พ่อปู่รดน้ำมนต์ทั่วร่างวีระวิทย์ก่อนจะอมน้ำมนต์แล้วพ่นใส่หน้าอย่างแรง
“ผีอีเวียงแก้วมันออกไปจากร่างลูกชายเอ็งแล้ว”
“ทำไมมันถึงกลับมาได้อีก ก็พ่อปู่กำจัดมันไปแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ?” สร้อยฟ้าถาม
“อีเวียงแก้วมันเกือบจะสิ้นท่าอยู่แล้วเชียว ถ้าข้าไม่ถูกขัดขวางเสียก่อน”
“ใครมันกล้าทำลายพิธีของพ่อปู่เจ้าคะ ?”
“นังร้อยดาวกับพวกของมัน”
สร้อยฟ้ากำมือแน่นด้วยความโกรธแค้นร้อยดาวยิ่งขึ้นไปอีก
“อีนังร้อยดาวอีกแล้วเหรอ !”
พ่อปู่เพ่งพินิจใบหน้าของวีระวิทย์ที่ยังหมดสติอยู่แบบชัดๆ พอเห็นเค้าหน้าเหมือนตนเขาก็แปลกใจ กลุ่มควันพุ่งออกมาจากหัวกะโหลกที่อยู่บนหิ้งมากระซิบกระซาบเสียงแหบๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ที่ข้างหูพ่อปู่ พอโหงพรายกระซิบบอกพ่อปู่จบทุกตัวก็ถูกดูดเป็นควันม้วนลอยกลับเข้าไปยังกะโหลกดังเดิม พ่อปู่ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อรู้เรื่องจากโหงพราย หันไปตวาดสร้อยฟ้าจนเธอสะดุ้ง
“ไอ้หนุ่มคนนี้เป็นลูกใคร ? บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้”
สร้อยฟ้าอึกอัก เลิ่กลั่ก ไม่กล้าสบตาพ่อปู่
“วีระวิทย์ก็ลูกของอิฉันกับคุณพี่ปกรณ์น่ะสิเจ้าคะ” สร้อยฟ้าบอก
“โกหก ! นังโหงพรายรายงานข้าหมดแล้วว่ามันเป็นลูกของเอ็งกับข้า”
สร้อยฟ้าตกใจจนอ้าปากค้างที่พ่อปู่ล่วงรู้ความลับของตน
ภาพในอดีตย้อนกลับมา สร้อยฟ้านั่งร้องไห้ต่อหน้าพ่อปู่ เธอวิงวอนขอร้องให้ช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร
“ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำเวรทำกรรมอะไรมา ชาตินี้อิฉันถึงได้อาภัพไม่มีลูกเต้าไว้สืบสกุล แม้แต่เมียทาสชั้นต่ำอย่างอีนังเวียงแก้ว มันก็ยังมีลูกสาวให้คุณพี่เชยชม นังจงจิตสะใภ้รองก็ตั้งท้องอ่อนๆ กำลังจะมีลูกในอีกไม่ช้า อิฉันพยายามเท่าไรๆ แต่ก็ไร้วี่แววจะมีลูกกับเขาเสียที”
“กะอีแค่มีลูกจะไปยากอะไรวะ ถ้าเอ็งอยากมีนัก ข้าก็จะทำพิธีขอลูกให้ถือเสียว่าช่วยสงเคราะห์”
สร้อยฟ้าดีใจ เธอมีแววตาเป็นประกายไปด้วยความหวัง
“พ่อปู่ช่วยให้อิฉันมีลูกได้จริงๆนะหรือเจ้าคะ ?”
พ่อปู่มองสร้อยฟ้าด้วยสายตาหื่นกระหาย
สร้อยฟ้านุ่งผ้าถุงกระโจมอกสุดวาบหวิว เนื้อตัวสั่นระริกแล้วมองอย่างหวาดๆ พ่อปู่นุ่งโสร่ง ไม่สวมเสื้อเดินเข้ามาในห้องแล้วมองเรือนร่างของสร้อยฟ้าก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์
“นอนลงสิ ! ข้าจะได้เริ่มพิธี”
“จะดีหรือเจ้าคะ ?”
“อุวะ !! ถ้าเอ็งไม่อยากได้ลูก ก็ตามใจ”
“อยากเจ้าค่ะ อยาก...ขอแค่มีลูก จะให้ทำอะไร อิฉันก็ยอมทั้งนั้น”
สร้อยฟ้ารีบเอนตัวลงนอน เหงื่อผุดเต็มหน้า ใจเต้นไม่เป็นส่ำ พ่อปู่ยิ้มแล้วค่อยๆปลดโสร่งออก
พ่อปู่มองหน้าวีระวิทย์เต็มๆตาอีกครั้งแล้วก็มั่นใจว่าเป็นลูกตนไม่ผิดแน่ สร้อยฟ้าพูดด้วยความขมขื่น เพราะต่อให้มีลูกชายเพียงคนเดียวแต่ก็ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของปกรณ์
“ในเมื่อพ่อปู่ก็รู้เรื่องดีอยู่แล้ว จะมาถามอิฉันอีกทำไม ?”
พ่อปู่เอื้อมมือลูบหัววีระวิทย์ด้วยความเป็นพ่อ พอเห็นสภาพอิดโรยของวีระวิทย์ก็อดเวทนาไม่ได้
“ลูกพ่อ....”
พ่อปู่เห็นรอยกรีดลึกที่ข้อมือของวีระวิทย์ สร้อยฟ้าสบโอกาสยุส่งพ่อปู่ทันที
“ดูเสียให้เต็มตา ว่าผีอีเวียงแก้วมันทำอะไรกับลูกของเรา ตาวีระวิทย์ถูกเล่นงานแทบปางตายขนาดนี้ พ่อปู่เป็นพ่อ จะยอมได้หรือเจ้าคะ ?”
พ่อปู่มีแววตาอาฆาตเวียงแก้วสุดขีด เขาแค้นจนอกแทบจะระเบิด
สร้อยฟ้ายิ้มนิดๆที่มุมปากเพราะต้องการใช้พ่อปู่เป็นเครื่องมือกำจัดผีเวียงแก้ว
ร้อยดาวนั่งที่ชิงช้าในสวนอย่างคิดไม่ตกเรื่องตัวเองตกบันไดพลอยโจนแต่งงานกับสิบทิศ
คำพูดของสิบทิศยังคงก้องอยู่ในหัวร้อยดาว
“ฟังให้ดีนะร้อยดาว ! ที่ฉันยอมบากหน้ามาขอเธอแต่งงานถึงบดินทร์ธรไม่ใช่เพราะความรัก หรือความเสน่หาหรอกนะ แต่ฉันต้องทำตามหน้าที่ของหลาน เพื่อให้ท่านป้าสบายพระทัยเป็นครั้งสุดท้ายก็เท่านั้น”
ร้อยดาวหลับตาคิดถึงคำพูดของสิบทิศแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือถูกกันแน่
สิบทิศอธิบายเงื่อนไขของการแต่งงานให้ร้อยดาวฟัง
“เราแค่แต่งงานกันเพียงในนามเท่านั้น ฉันหมายถึง...แค่แต่งงานหลอกๆ ไม่มีพันธะอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อถึงเวลา...เราจะหย่าขาดแยกทางกัน เธอก็มีชีวิตของเธอ ส่วนฉันก็มีชีวิตของฉัน เข้าใจไหม ?”
สิบทิศพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย เย็นชา ราวกับเรื่องงานแต่งงานกับเธอไม่ได้สลักสำคัญอะไร
ร้อยดาวกำลังคิดไม่ตก ทันใดนั้นก็มีใครบางคนมาไกวชิงช้าให้ทางด้านหลัง ร้อยดาวหันไปมองก็เห็นปรมัตถ์กำลังยิ้มเศร้าๆ ยืนไกวชิงช้าให้เหมือนเช่นที่เคยทำ
“ผมเพิ่งทราบข่าวงานพิธีมงคลระหว่างคุณหนูกับคุณชายสิบทิศ ยินดีด้วยนะครับ”
ร้อยดาวฝืนยิ้มแล้วพยักหน้า แต่ในใจของเธอไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย
“แต่งงานแล้ว คุณหนูยังจะอยู่ที่นี่หรือบินกลับอังกฤษครับ ?” ปรมัตถ์ถาม
“ยังไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงดี ปล่อยไปตามดวงมั้ง คิดมาก ปวดหัวเปล่าๆ”
“ผมมีอะไรบางอย่างอยากบอกคุณหนูนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสสักที”
“อะไรเหรอ ?”
ปรมัตถ์มองหน้าร้อยดาวแล้วทำท่าเหมือนจะบอกรัก แต่กลับเปลี่ยนใจบอกเรื่องอื่นแทน
“หลังจากเปิดพินัยกรรมของคุณดิลกแล้ว ผมจะไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ต่างประเทศ”
“เรียนต่อที่อังกฤษสิ” ร้อยดาวบอก “มหาวิทยาลัยด้านนิติศาสตร์ชื่อดังของโลกอันดับต้นๆก็ตั้งอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น หัวดีอย่างนาย ต้องสอบติดอยู่แล้ว”
ปรมัตถ์ส่ายหน้า “ผมคงจะไปเรียนต่อที่อื่นครับ ที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่อังกฤษ”
ร้อยดาวแปลกใจ “ทำไมล่ะ ?”
ปรมัตถ์มองตาร้อยดาวแล้วทำท่าเหมือนจะบอกเธอ
ปรมัตถ์พูดความในใจ
“ที่ไม่อยากไปอังกฤษ เพราะผมไม่อยากเจอหน้าคุณหนูอีก จะได้ตัดใจจากคุณหนูได้ง่ายขึ้นยังไงล่ะครับ”
ดาหลาเอาขนมอบกับน้ำกระเจี๊ยบมาเสิร์ฟให้ปรมัตถ์แล้วนั่งคุยเป็นเพื่อนปรมัตถ์
“ของว่างค่ะ ! ฉันทำขนมอบกับน้ำกระเจี๊ยบมาให้... ลองชิมดูสิคะ”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่เห็นคุณดาหลาจะต้องลำบาก”
“ฉันเต็มใจค่ะ” ดาหลาบอก
ดาหลาสังเกตเห็นปรมัตถ์มีใบหน้าหม่นหมอง
“กำลังคิดถึงคุณหนูร้อยดาวอยู่หรือคะ ?”
ปรมัตถ์จ้องหน้าดาหลาที่พูดสะกิดใจ ดาหลารีบหลบสายตาปรมัตถ์เพราะไม่กล้าสบสายตา
“เอ่อ ! ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่พูดเดาสุ่มไปเรื่อย... ขอตัวก่อนนะคะ” ดาหลาบอก
ดาหลาจะลุกออกไปแต่ปรมัตถ์คว้ามือของเธอเอาไว้ ปรมัตถ์รู้สึกตัวจึงรีบปล่อยมือจากดาหลา
“ช่วยอยู่คุยเป็นเพื่อนกับผมสักครู่ได้ไหมครับ ?”
ดาหลาพยักหน้าน้อยๆ โดยที่เธออายจนหน้าแดง
ดาหลาเดินคุยเป็นเพื่อนปรมัตถ์ในบรรยากาศโรแมนติก
“ถ้าคุณแอบรักใครสักคน แต่ไม่กล้าบอก คุณจะทำอย่างไร ?”
ดาหลาพูดจากความรู้สึกที่มีอยู่ในใจตัวเอง เพราะว่าเธอแอบชอบปรมัตถ์อยู่เหมือนกัน
“บางครั้งการได้ฝันไปคนเดียวมันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่เจ็บปวด คนส่วนใหญ่ก็เลยเลือกที่จะแอบรักใครสักคนมากกว่าเปิดเผยความในใจแล้วต้องรับรู้ความจริงว่าเราไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย”
“ถึงแม้ว่า ในที่สุดเราจะต้องสูญเสียเขาไปนะเหรอ ?”
“ค่ะ... เพราะการแอบรักใครสักคน ไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่การตัดใจต่างหากที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ลองชั่งใจดูสิคะ ระหว่างความสุขยามที่คุณได้สบตาเขา กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบสายตาเขา อย่างไหนมันหนักหนากว่ากัน ?”
ดาหลากับปรมัตถ์สบสายตากัน ทั้งคู่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ปรมัตถ์ยิ้มนิดๆที่มุมปากด้วยความรู้สึกประทับใจในมุมมองเรื่องความรักของดาหลา
ร้อยดาวกลับเข้ามาในห้องปกรณ์ก็ต้องตกใจ เต็มเดือนที่อยู่ในห้องหันมาโดยถือกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่เคยใส่ไดอารี่อยู่ในมือ เต็มเดือนยิ้มให้
“คุณเต็มเดือน !”
“ฉันแค่เข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยน่ะจ้ะ เผื่อว่าหนูจะขาดเหลืออะไร”
ร้อยดาวมองกระเป๋าหนังสีน้ำตาลในมือเต็มเดือนอย่างหวาดระแวง
“กระเป๋าใบนี้สวยดี ฉันชอบ ถ้าหนูเจอที่ไหน ฉันฝากซื้อสักใบนะจ๊ะ”
เต็มเดือนพูดจบก็เอากระเป๋ากลับใส่ตู้ดังเดิมแล้วยิ้มให้ร้อยดาวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ร้อยดาวรีบวิ่งเข้าไปหยิบกระเป๋าใบนั้นออกมาดูอีกครั้งว่ามีหลักฐานอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่า เธอพบว่าภายในกระเป๋าว่างเปล่า ร้อยดาวค่อยโล่งอก แล้วถอนใจเฮือกใหญ่
“ค่อยยังชั่ว ! สมุดไดอารี่ของคุณพ่อไม่ได้อยู่ในนี้ แต่มันหายไปไหนนะ”
ร้อยดาวยังคาใจเรื่องสมุดไดอารี่ที่หายไป
ร้อยดาวมาหาสมุดไดอารี่แถวๆบ่อน้ำร้างหลังตึก ร้อยดาวนึกถึงตอนที่สมุดไดอารี่ตกที่พื้นหญ้าใกล้ๆบ่อน้ำ ก่อนถูกผลักตกลงไป
“ก็น่าจะตกอยู่แถวๆนี้ ?”
ขณะที่ร้อยดาวก้มลงก้มๆเงยๆหาสมุดไดอารี่อยู่นั้น เสียงจงจิตก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“หาอะไร ?”
ร้อยดาวหันควับไปเห็นจงจิตยืนมองอยู่ด้วยสายตาจ้องจับผิด
“เปล่าค่ะ”
“เป็นกาฝากมาอาศัยบ้านคนอื่นเขายังไม่พอ พ่อแม่หล่อนไม่เคยสั่งสอนหรือไง ถึงได้เที่ยวซอกแซกสอดรู้ เหมือนพวกไพร่ไร้สมบัติผู้ดี”
“หากเป็นเรื่องส่วนตัวของใคร ดิฉันก็ไม่สนใจใคร่รู้นักหรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นเรื่องความปลอดภัยของคุณท่าน คงห้ามดิฉันให้หลับหูหลับตาอยู่เฉยๆไม่ได้”
จงจิตจ้องร้อยดาวตาเขียวด้วยความโกรธจัดเหมือนงูถูกตีขนดหาง
“ไอ้พวกที่มันรู้ดี มักไม่ค่อยตายดีนักหรอก”
จงจิตพูดจบก็เดินไป ร้อยดาวมองตามจงจิตอย่างไม่ไว้ใจ
วีระวิทย์กลับมานอนพักฟื้นที่ห้องโดยมีตะกรุดพ่อปู่คล้องอยู่ที่คอ ใบหน้าวีระวิทย์ยังคงซีดเซียว
“หมดเคราะห์หมดโศกเสียที ! ถ้าไม่ได้ตะกรุดพิศมรกับน้ำมนต์ของพ่อปู่ช่วยไว้ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้” สร้อยฟ้าบอก
“แม่ครับ... ผมกลัว...” วีระวิทย์เพ้อ
“ไม่ต้องกลัวลูก ! ตราบใดที่แม่ยังอยู่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ต่อให้อีเวียงแก้วหรือผีห่าซ่าตานตนไหนก็ไม่มีวันทำอันตรายลูกของแม่ได้”
สร้อยฟ้าลุกขึ้นแล้วหันมาสั่งกับกระถิน
“นังกระถิน ! เฝ้าตาวิทย์ไว้ให้ดี”
“คุณสร้อยฟ้าจะไปไหนคะ ?”
สร้อยฟ้าไม่ตอบแต่มีแววตาอาฆาตมาดร้าย
พ่อปู่นั่งบริกรรมคาถาปลุกเสกเชือกปะกำลงอาคมที่อยู่บนหิ้งภายใต้พิธีที่ขลังมาก
เครื่องเซ่นเชือกปะกำอยู่ในกระทงใบตอง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ขนมต้มขาว ต้มแดง หมากพลู บุหรี่ และเหล้าขาว เชือกปะกำสว่างวาบขึ้นชั่วครู่เพราะการปลุกเสกสัมฤทธิผล พ่อปู่ลืมตาขึ้นเอามีดหมอที่วางอยู่บนหิ้ง กรีดลงบนฝ่ามือตัวเองเป็นรูปกากบาทจนเลือดไหลทะลัก เลือดสดๆของพ่อปู่รดลงบนเชือกปะกำจนควันขึ้นโขมง
“มีแต่เชือกปะกำลงอาคมของอาจารย์ข้าเท่านั้น ที่จะสะกดวิญญาณผีร้ายอย่างอีเวียงแก้วได้อย่างราบคาบ”
สร้อยฟ้ามองเชือกปะกำในพานเชื่อมั่นในอานุภาพ
“พ่อปู่จะลงมือเมื่อไหร่เจ้าคะ ?”
“คืนนี้ !”
พ่อปู่ตาลุกวาวโรจน์แล้วยิ้มอย่างมาดมั่น
ร้อยดาวกราบดำรงด้วยความนอบน้อม
“อีกหน่อยหล่อนได้ดีมีวาสนาเป็นหม่อมเวฬุมาศก็คงนั่งหน้าเชิดคอแข็ง ก้มหัวกราบใครไม่เป็น” ดำรงว่า
“หนูร้อยดาวไม่ใช่คนลืมตัวแบบนั้นหรอกค่ะ คุณพ่อ... แต่งงานกับคุณชายสิบทิศแล้ว ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่โน่น ฉันคงคิดถึงหนูมาก” เต็มเดือนบอก
“ดิฉันยังไปไหนไม่ได้ จนกว่า...” ร้อยดาวจะพูดว่าคุณแม่เวียงแก้วจะไปสู่สุคติ
เต็มเดือนเอ่ยถาม “จนกว่าอะไรหรือจ๊ะ ?”
“จะนำศพคุณแม่เวียงแก้วขึ้นจากน้ำมาทำพิธีทางศาสนาค่ะ” ร้อยดาวบอก
ดำรง เต็มเดือน และนมแสงต่างตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าร้อยดาวจะกล้าพูดเรื่องนี้
“ตายจริง ! นี่ยังไม่เลิกคิดว่าศพแม่เวียงแก้วของหนูอยู่ในบึงอีกหรือจ๊ะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก... ไม่อย่างนั้น พวกคนงานก็งมศพแม่หนูพบไปตั้งนานแล้วสิ จริงไหม ?”
“วันนั้น คนงานยังงมได้ไม่เท่าไร นายเฉิ่มก็มาเสียชีวิตเสียก่อน ก็เลยยังไม่ทันได้พบ แต่ดิฉันแน่ใจค่ะ ว่าศพคุณแม่เวียงแก้วยังอยู่ใต้น้ำที่บึงบัวนั่น...รอรับการปลดปล่อย”
“ผีแม่หล่อนมาเข้าฝันบอกหล่อนหรือไงถึงได้ดูมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกิน”
“อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่สัมผัสพิเศษบางอย่างบอกกับดิฉันอย่างนั้นค่ะ”
“นี่หนูกำลังจะบอกว่า...หนูมีญาณทิพย์ ติดต่อกับคนตายได้อย่างนั้นน่ะหรือจ๊ะ” เต็มเดือนหัวเราะ “แหม...หนูร้อยดาวช่างมีอารมณ์ขันนะคะ คุณพ่อ”
ร้อยดาวหน้าเจื่อนเพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวตลก
“ถ้าสิ่งที่แม่ร้อยดาวพูดมาเป็นความจริง หล่อนอาจจะขำไม่ออกก็ได้นะ แม่เต็มเดือน”
เต็มเดือนหน้าจ๋อยแล้วหุบยิ้มลงทันที เธอนึกด่าดำรงในใจ ดำรงจ้องหน้าร้อยดาวอย่างต้องการอยากจะรู้ความจริงจากปากของหลาน
ร้อยดาวเดินคุยกับนมแสงขณะเพิ่งจะออกมาจากห้องของดำรง
“คุณเต็มเดือนยืนยันว่าศพคุณเวียงแก้วทำพิธีฌาปนกิจไปเรียบร้อยตั้งแต่ยี่สิบห้าปีที่แล้ว ทำไมคุณหนูถึงดูเหมือนยังติดใจอยู่ล่ะคะ ?”
“เรื่องบางเรื่อง ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง จะด้วยสัมผัสที่หกลางบอกเหตุ หรืออำนาจลึกลับอะไรก็แล้วแต่ ทำให้ฉันรู้ ฉันเห็น ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ไม่เห็น จนทุกวันนี้ใครๆก็มองฉันไม่ต่างจากตัวตลก”
“แล้วคุณหนูเคยเห็น..” นมแสงอึกอัก “เอ่อ...คุณเวียงแก้วบ้างไหมคะ ?”
ร้อยดาวพยักหน้าช้าๆ นมแสงรู้สึกตื่นเต้นระคนตกใจ
เชือกปะกำลงอาคม พ่อปู่ตั้งพิธีปราบผีเวียงแก้วชุดใหญ่โดยมีเครื่องทำพิธีพร้อมสรรพ ท่าทางของพ่อปู่น่าเกรงขามในขณะบริกรรมคาถาภาษาเขมรระรัว ลมพัดอู้ ต้นไม้ใหญ่เอนลู่ตามแรงลม ฟ้าแลบแปลบปลาบใครบางคนเดินเข้ามาหาพ่อปู่ ในขณะที่พ่อปู่ยังคงหลับตาอยู่
“มาแล้วรึ อีเวียงแก้ว !” พ่อปู่พูดขึ้น
คนที่เดินมาคือสร้อยฟ้าที่อยู่ในชุดคลุมวาบหวิว
“พ่อปู่ ! อิฉันเองเจ้าค่ะ สร้อยฟ้า ! ลืมตาสิเจ้าคะ ดูให้เต็มตาว่าอิฉันมีอะไรมาถวาย”
สร้อยฟ้าค่อยๆถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นเรือนร่างอวบอัดเต็มๆตา สร้อยฟ้าเข้าไปยั่วยวนพ่อปู่ ในขณะที่พ่อปู่ยังคงนั่งหลับตานิ่งเพื่อสำรวมจิตไม่ให้วอกแวก
“ได้โปรดเมตตาช่วยลงเสน่ห์ให้อิฉันหน่อยเถอะนะเจ้าคะ พ่อปู่เจ้าขา”
พ่อปู่เอากระบวยตักน้ำมนต์ในขันตรงหน้า แล้วสาดใส่ร่างสร้อยฟ้าทันที
สร้อยฟ้าร้องเสียงเวียงแก้ว “อ๊ายย !!”
สร้อยฟ้าซวนเซแล้วก็ควันขึ้นก่อนจะหายวับไปกลายเป็นกลุ่มควันสีดำฟุ้งกระจาย กลุ่มควันสีดำคืนร่างกลับกลายเป็นเวียงแก้ว
“เจ้าเล่ห์เพทุบายนักนะ อีเวียงแก้ว ! นึกหรือว่ากูจะหลงกลมึง” พ่อปู่ว่า
“มาแก้แค้นแทนไอ้วีระวิทย์ ลูกมึงกับอีนังสร้อยฟ้างั้นรึ” เวียงแก้วหัวเราะ “น่าขัน ! วางท่าเป็นพ่อปู่ผู้ทรงศีลให้คนเลื่อมใส ฮึ ! ที่แท้ มึงก็เป็นแค่ไอ้แก่ตัณหากลับ”
พ่อปู่โกรธแทบเต้นเพราะถูกด่าจนแทงใจดำ “หุบปากเดี๋ยวนี้ อีร้อยแปดแพศยา !”
“กรรมที่มึงเคยใช้เดรัจฉานวิชาทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนวิบัติ จะต้องตามสนองมึงในอีกไม่ช้า” เวียงแก้วว่า
“เดี๋ยวก็รู้ ระหว่างมึงกับกู กรรมจะตามสนองใครก่อน”
พ่อปู่หยิบเชือกปะกำขึ้นมาบริกรรมคาถาแล้วเป่าพรวดใส่เชือกปะกำเรืองแสงวาบ พ่อปู่เหวี่ยงเชือกลักษณะคล้ายบ่วงบาศเข้าไปคล้องร่างผีเวียงแก้วทันที ผีเวียงแก้วจะหลบแต่ไม่ทันจึงถูกเชือกปะกำรัดเอาไว้
เวียงแก้วร้องลั่น “กรี๊ด !!”
เชือกปะกำมีไฟอาคมลุกพึ่บแผดเผาร่างเวียงแก้วที่ดิ้นทุรนทุราย
นมแสงพยายามซักไซ้ร้อยดาว
“คุณเวียงแก้วบอกหรือเปล่าคะ ว่าเธอตายเพราะอะไร ?”
ร้อยดาวหนักใจเพราะไม่รู้จะบอกสิ่งที่ตนเห็นกับนมแสงดีหรือไม่ ?
“ว่ายังไงคะ ? คุณหนูทราบใช่ไหมคะ... คุณเวียงแก้วเธอฆ่าตัวตายเองหรือถูกฆาตกรรมกันแน่คะ ?”
“คุณแม่เวียงแก้วเสียชีวิตเพราะ...”
ขณะที่ร้อยดาวทำท่ากำลังจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นมแสงฟังนั้น พลันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเวียงแก้วดังขึ้นแสบแก้วหู
“กรี๊ดด !”
ร้อยดาวตาพร่าไปหมด
ภาพในหัวของร้อยดาวเห็นเป็นภาพเวียงแก้วถูกเชือกปะกำมัดร่างไฟลุกท่วม
เวียงแก้วร้องลั่น “กรี๊ดด !!”
พ่อปู่บริกรรมคาถาเป็นภาษาเขมรรัวเร็ว กองไฟที่ล้อมรอบเวียงแก้วลุกพรึ่บโชติช่วงยิ่งขึ้น เวียงแก้วกรีดร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน
ร้อยดาวกระพริบตา แม้จะตาพร่าไปหมดแต่ก็พยายามสลัดศีรษะให้หายเบลอ นมแสงพยายามซักไซ้ร้อยดาว
“คุณแม่กำลังตกอยู่ในอันตราย !”
นมแสงงง “คุณแม่ ? คุณหนูหมายถึงใครคะ ?”
ร้อยดาวไม่รอช้า เธอรีบวิ่งไปยังเวียงร้อยดาวทันที
“คุณหนูคะ ! เดี๋ยวก่อนค่ะ ! คุณหนู”
นมแสงได้แต่มองตามหลังร้อยดาวด้วยความเป็นห่วง
เวียงแก้วถูกเชือกปะกำมัดติดกับเสาเอกของเวียงร้อยดาว
“เชือกปะกำจะสะกดวิญญาณมึง พันธนาการให้มึงสิงสู่อยู่ในเสาเอกต้นนี้ตลอดไป ! ยังไม่พอ... กูจะทรมานมึงยิ่งกว่านั้นอีเวียงแก้ว ทรมานให้สมกับที่มึงทำกับเลือดเนื้อเชื้อไขของกู”
เวียงแก้วตกใจ “มึงจะทำอะไร”
พ่อปู่กระชากผ้ายันต์ผืนใหญ่ที่คลุมอยู่ออกทำให้เห็นถังน้ำมันเบนซินที่เตรียมไว้รวมกับของทำพิธี
“กูก็จะเอาน้ำมันเสกเผาทำลายดวงวิญญาณมึงให้มอดไหม้กลายเป็นจุณมหาจุณไปพร้อมๆกับซากผุๆของเวียงร้างโกโรโกโสนี่ ฮ่าๆ” พ่อปู่หัวเราะลั่น “ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดกันล่ะมึงคราวนี้”
เวียงแก้วตกใจ พ่อปู่ราดน้ำมันเบนซินล้อมรอบเวียงแก้วพร้อมร่ายอาคมสำทับ
ร้อยดาววิ่งมาถึงบึงบัว แต่ร้อยดาวมองไม่เห็นเรือ เนื่องจากเรือถูกพ่อปู่พายไปไว้ยังอีกฝั่งหนึ่งแล้ว
“ไม่มีเรือ ! ทำยังไงดีล่ะ ?”
ทันใดนั้น ร้อยดาวก็ได้ยินเสียงร่ายคาถาเขมรของพ่อปู่สลับกับเสียงคร่ำครวญทรมานของเวียงแก้ว ร้อยดาวไม่รอช้า เธอตัดสินใจกระโดดลงน้ำว่ายไปยังเวียงร้อยดาวทันที
พ่อปู่เอาเทียนชัยจุดไปยังน้ำมันลุกพรึ่บไล่เป็นทางยาวไปตามพื้นไปยังร่างของเวียงแก้ว ไฟลุกพรึ่บล้อมรอบตัวเวียงแก้วที่กรีดร้องด้วยความทรมาน ร้อยดาวที่ตัวเปียกโชกเดินเข้ามาภายใน เธอตาเบิกโพลงต่อภาพที่เห็นตรงหน้า
“คุณแม่ !”
“ร้อยดาว ช่วยแม่ด้วย”
ร้อยดาวจะเข้าไปช่วยแก้มัดให้เวียงแก้วแต่ถูกพ่อปู่จับตัวล็อคเอาไว้จากทางด้านหลัง
“นังตัวดี ! เสร็จกูล่ะคราวนี้”
พ่อปู่บีบคอร้อยดาวไว้แน่นจนเธอแทบหายใจม่ออก
“มาก็ดีแล้ว กูจะได้จับมึงเผาทั้งเป็นพร้อมๆกันทั้งแม่ทั้งลูก”
“ไอ้แก่ชั่วชาติ ! ปล่อยลูกกูเดี๋ยวนี้” เวียงแก้วว่า
“ทีมึงยังทำกับลูกกูได้ แล้วทำไมกูจะทำกับลูกมึงไม่ได้ห๊า อีเวียงแก้วกูจะช่วยสงเคราะห์ลูกมึง ส่งให้ไปลงนรกพร้อมๆกับมึง ไม่ดีหรือไง”
เวียงแก้วน้ำตาไหล “อย่าทำอะไรร้อยดาว !! ได้โปรด”
ร้อยดาวฮึดสู้ เธอกัดมือพ่อปู่จนร้องลั่นก่อนจะรีบดิ้นจนหลุดออกมาได้
“อ๊าก !! ฤทธิ์เยอะนักใช่มั้ย อีเด็กเปรต”
พ่อปู่คว้ามีดหมอที่ทำพิธีจะเอามาแทงร้อยดาว แต่ร้อยดาวเบี่ยงตัวหลบทัน ร้อยดาวถีบพ่อปู่จนกระเด็นล้มไปบนถังน้ำมันที่เหลือครึ่งถังอยู่ล้มนองพื้นเปียกพ่อปู่ ร้อยดาวจะเข้าไปแก้มัดให้เวียงแก้ว แต่ไฟลุกจนท่วมจนไม่รู้จะเข้าไปยังไง
“คุณแม่ !”
“ร้อยดาว ! อย่าเข้ามาลูก”
ร้อยดาวมองซ้ายมองขวา เธอเห็นกระสอบเก่าๆ ก็รีบจะเอามาดับไฟ พ่อปู่จุกแต่ก็ยันกายลุกขึ้นมา ต่อยร้อยดาวที่ท้องแล้วเหวี่ยงร้อยดาวจนกระเด็น ร้อยดาวไปกระแทกพื้นไม้ที่ผุจนร่วงโครมตกลงไปด้านล่าง“อ๊ายย !”
เวียงแก้วตกใจ “ลูกแม่ !”
พ่อปู่หัวเราะลั่นด้วยความสะใจอย่างผู้ที่กำชัยชนะอยู่ในมือ เวียงแก้วแค้นจนตาเรืองแสงวาบเป็นประกาย ทันใดนั้นลมก็พัด ไฟลุกพรึ่บแรงขึ้นตามแรงลม
“มึงทำกับกู กูยังไม่แค้นเท่ามึงทำกับลูกกู ในเมื่อดวงวิญญาณกูจะต้องแตกดับ กูก็จะขอจองเวร ส่งมึงลงนรกด้วยน้ำมือกู ไอ้พ่อปู่ทุศีล”
ลูกไฟคุกระจายปลิวว่อนไปตกที่รอยน้ำมันที่หกบนพื้นทำให้ไฟลุกวิ่งเป็นทางไปยังร่างพ่อปู่ทางด้านหลัง พ่อปู่หันมาเห็นก็หัวเราะไม่ออก ตาของเขาเหลือกค้างด้วยความตกใจ ร่างพ่อปู่ที่ชุ่มน้ำมันติดไฟพรึ่บทำให้ถูกย่างสดอย่างน่าสยดสยอง
“อ๊าคค !”
เวียงแก้วมองด้วยความสะใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ไฟจะลุกท่วมเสาเอกโชติช่วง
“กรี๊ดด !”
เวียงแก้วกรีดร้องโหยหวนเพราะถูกเปลวเพลิงลุกท่วม
อ่านต่อตอนที่ 10