เวียงร้อยดาว ตอนที่ 8
สิบทิศเปิดประตูเข้ามายังห้องนอนน่านฟ้าด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงน้อง
เขาเห็นห้องนอนของน่านฟ้าเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่ไร้ชีวิตชีวา สิบทิศหยิบกรอบรูปที่หัวนอนซึ่งเป็นรูปสิบทิศถ่ายคู่กับน่านฟ้าในวัยเด็ก สิบทิศนั่งที่เตียงพลางคิดว่า... พรุ่งนี้จะไปตามหาน่านฟ้าที่ไหนดี ?
เช้าวันใหม่ รัตนากรนั่งจิบชาเอิร์ลเกรย์อยู่ในสวน
“สิบทิศยังไม่ตื่นอีกหรือ ?”
“คุณชายออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางแล้วมังคะ บอกว่าจะไปคอยที่สถานีรถไฟเช่นเคย” ช้อยถอนใจ “ระยะนี้คุณชายคร่ำเครียดเรื่องตามหาคุณหญิงน่านฟ้าจนสีหน้าหมองคล้ำ แถมยังอดนอนแทบทุกคืน ข้าวปลาก็ไม่ยอมแตะ ช้อยสงสารคุณชายเหลือเกิน กลัวว่าจะล้มหมอนนอนเสื่อไปมังคะ… เมื่อไหร่หนอ คุณหญิงน่านฟ้าจะกลับมาเสียที จะรู้ไหมว่าพี่ชายเป็นห่วงมากแค่ไหน”
รัตนากรอดเป็นห่วงสิบทิศไม่ได้เช่นกัน
สิบทิศนั่งคอยที่ม้านั่งชานชาลารถไฟตามลำพัง เสียงเด็กผู้หญิงคล้ายๆน่านฟ้า ดังขึ้นจากด้านหลังสิบทิศ
“พี่ชาย.......”
สิบทิศคิดว่าเป็นเสียงน่านฟ้าเรียกก็ยิ้มดีใจรีบหันกลับมา เขาเห็นเด็กหญิงขอทานคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมแบมือขอเงิน
“พี่ชายๆ... ขอเงินหน่อย หนูยังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เมื่อวาน”
สิบทิศผิดหวังที่ไม่ใช่น่านฟ้า เขาล้วงหยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทขึ้นมาส่งให้ เด็กหญิงขอทานยิ้ม ดีใจ ไหว้ แล้วฉวยเงินแล้ววิ่งปร๋อจากไป สิบทิศมองตามหลังเด็กหญิงขอทานด้วยความคิดถึงน่านฟ้า เขาคิดว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
ร้อยดาวกับน่านฟ้าใส่บาตรพระที่ถนนหน้าบดินทร์ธร นมแสงช่วยส่งของให้ พระเดินไป ทั้งสามยกมือไหว้
ร้อยดาวกรวดน้ำให้เวียงแก้วที่โคนต้นไม้ใหญ่
“ขอให้ผลแห่งบุญกุศลครั้งนี้ ส่งผ่านไปยังคุณแม่เวียงแก้ว นายเฉิ่ม และพรรคพวกที่ล่วงลับด้วยเถิด”
น่านฟ้าชวนร้อยดาวคุย หลังจากที่กรวดน้ำเสร็จ
“ทำบุญกรวดน้ำแล้ว พี่ร้อยดาวสบายใจขึ้นบ้างไหมคะ”
ร้อยดาวพยักหน้า แต่ยังคงไม่สบายใจเสียทีเดียว
“ค่ะ... อย่างน้อยดิฉันก็ได้ทำเพื่อนายเฉิ่มกับพวกเป็นครั้งสุดท้าย”
ทั้งสามเดินคุยกันหลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว
“คุณหนูอย่าคิดอะไรมากเลยนะคะ” นมแสงบอก “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมไม่มีใครหลีกหนีเจ้ากรรมนายเวรที่ติดตามตัวเองพ้น”
“ว๊า.... ทำอะไรไว้ก็ต้องถูกตามมาทวงคืน อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้ว ใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหญิงบ้าง” น่านฟ้ากังวล
“แต่ถ้าเรา “หยุด” การจองเวร ให้เลิกแล้วต่อกันได้ล่ะ นม ?”
“เขาเรียกว่า “อโหสิกรรม” ค่ะ คือเราจะไม่อาฆาตจองเวรกับเขาอีกต่อไป ส่วนบาปที่เคยกระทำไว้นั้น กรรมจะเป็นผู้ลงโทษเขาเอง”
“ต้องอโหสิกรรมอย่างนั้นเหรอ ?”
ร้อยดาวคิดว่าพอมีวิธีที่จะช่วยชีวิตอีก 2 คนที่เหลือ
“ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้มีการล้างแค้น ฆ่าแกงกันเป็นผักปลาอีกแล้ว”
ร้อยดาวตั้งใจมุ่งมั่นแล้วเดินไป
ทั้งสามเดินมาถึงประตูรั้ว พร้อมๆกับรถของชิดที่แล่นเข้ามาจอด ชิดบีบแตรดังสนั่น บังหนั่นกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ ร้อยดาวเห็นรถชิดแล่นผ่านหน้าโดยมีพ่อปู่ ทรงอาคม นั่งอยู่ที่เบาะหลัง พ่อปู่หันมาจ้องหน้าร้อยดาวตาคมกริบเพราะรู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ ไม่ธรรมดา ร้อยดาวปวดหัวจี๊ดก่อนจะเห็นภาพเหตุการณ์ในอดีตแล่นเข้ามาในหัว
เหตุการณ์ตอนที่พ่อปู่ทำพิธีตั้งเครื่องประกอบพิธีที่เวียงร้อยดาว
เหตุการณ์ตอนที่พ่อปู่ปราบผีเวียงแก้วจนอยู่หมัด
เหตุการณ์ตอนที่พ่อปู่ติดยันต์สะกดวิญญาณบริเวณที่เวียงแก้วผูกคอตาย
ทันทีที่รถของชิดเคลื่อนผ่านไป ร้อยดาวก็กลับเป็นปกติ
น่านฟ้าเอ่ยถาม “พี่ร้อยดาวปวดตาอีกแล้วหรือคะ ?”
“แค่นิดหน่อยค่ะ ไม่ได้เป็นไรมาก”
นมแสงชะเง้อมองตามรถนายชิดที่แล่นไปยังตึกบดินทร์ธร
“นายชิดพาใครมาด้วยน่ะ บังหนั่น ?” นมแสงถาม
“อีนี่.... ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะจ๊ะ คุณนม...” บังหนั่นว่า
ร้อยดาวมองตามด้วยความรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องกับเวียงแก้วแน่ๆ !
ท้องฟ้าที่กระจ่างใสมีก้อนเมฆดำทะมึนเคลื่อนตามรถที่พ่อปู่นั่งไป
ร้อยดาวแหงนมองเมฆดำบนฟ้าเห็นเป็นรูปร่างคล้ายใบหน้าดวงวิญญาณหลายดวงลอยตามรถไป ลมแรงพัดอู้จนทุกคนสัมผัสถึงความผิดปกติ นกกาบนท้องฟ้าบินวนแตกตื่นเหมือนรู้ว่ามีภัยมา อีกาฝูงที่บินอยู่ตกลงมาตายตรงหน้าร้อยดาว ทุกคนต่างตกใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรกัน ร้อยดาวรู้ว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย เธอมองตามรถพ่อปู่ที่เคลื่อนไปจอดหน้าตึกบดินทร์ธร
สามสะใภ้ กระถิน และปั้นต่างออกมารอรับที่หน้าตึกบดินทร์ธรกันพร้อมหน้า ชิดกุลีกุจอเปิดประตูให้พ่อปู่ด้วยความนอบน้อม พ่อปู่ที่มีท่าทางทรงอาคมก้าวลงมาจากรถมากวาดตามองดูความใหญ่โตโอ่อ่าของบ้านบดินทร์ธร ทุกคนยกมือไหว้พ่อปู่อย่างนอบน้อม
ร้อยดาวรีบวิ่งมาดูก่อนเป็นคนแรก น่านฟ้ากับนมแสงตามมาด้วยความอยากรู้ว่าใครมา พ่อปู่หันมาสบสายตากับร้อยดาวด้วยดวงตาคมกริบแล้วก็มองเข้าไปที่ดวงตาของร้อยดาวซึ่งสะท้อนเงาใบหน้าของพ่อปู่ แล้วภาพเหตุการณ์ในอดีตก็ย้อนกลับมาเป็นช่วงๆ
ภาพพ่อปู่กำลังเป่าพรวดลงไปยังตุ๊กตาดินฝังรูปฝังรอยแล้วมัดด้วยเส้นผมผีตายโหงร่ายอาคม
ภาพใบหน้าสร้อยฟ้าที่ตาลุกวาว กราดเกรี้ยวกำลังด่า
“นังแพศยา !!! แกกล้าทำเสน่ห์ใส่คุณพี่ ! อีเนรคุณ !”
ภาพจงจิตที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“บอกมาซะดีๆ หมอเสน่ห์สำนักไหนทำหุ่นรูปรอยนี่ให้แก”
ภาพเต็มเดือนที่มีสีหน้าแสร้งว่าสงสารและเห็นใจ
“พอได้แล้ว ! สารภาพออกมาสิ เวียงแก้ว”
เสียงหวายแหวกอากาศหวดควั่บๆลงบนเนื้อผสานกับเสียงร้องไห้ด้วยเจ็บปวดของเวียงแก้ว
ร้อยดาวตาพร่าไปหมด เธอเห็นภาพในปัจจุบันเบลอก่อนที่จะชัดขึ้น พ่อปู่ยิ้มอย่างมีเลสนัย เต็มเดือนหันมาเห็นร้อยดาวกับนมแสงยืนมองอยู่เลยรีบตัดบท
เต็มเดือนพูดกับปั้นและชิด “พาพ่อปู่ไปพักก่อน !”
ปั้นกับชิดรับคำสั่ง ทั้งสองช่วยกันขนสัมภาระของพ่อปู่แล้วเดินนำพ่อปู่ไป สามสะใภ้กลับเข้าตึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นมแสงได้แต่มองตามพ่อปู่ด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะไม่ได้มาดี !
นมแสงเข้ามารายงานดำรง
“นายชิดพาใครที่ไหนมาด้วย อิฉันก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่หน้าตาท่าทางไม่ค่อยน่าไว้วางใจ”
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน ?” ดำรงถาม
นมแสงอ้าปาก ยังไม่ทันจะพูด เต็มเดือนก็เปิดประตูเข้ามา
“เต็มให้ไปพักที่เรือนหลังเล็กท้ายไร่ค่ะ เห็นแม่สร้อยฟ้าบอกว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ที่นับถือมาจากต่างจังหวัด เลยจะขออาศัยที่นี่สักระยะ”
“แม่สร้อยฟ้ามีญาติโกโหติกากับเขาด้วยรึ ? ไหนเจ้าปกรณ์เคยเล่าให้ฉันฟังว่าแม่คนนั้นหัวเดียว กระเทียมลีบ” ดำรงว่า
“เป็นญาติห่างๆน่ะค่ะ แกแก่มากแล้ว เต็มสงสารก็เลยอนุญาตให้พัก” เต็มเดือนบอก
ดำรงพยักหน้าอย่างไม่คิดจะใส่ใจมากไปกว่านี้ เต็มเดือนเห็นดำรงไม่ติดใจก็ยิ้มก่อนจะออกปากไล่นมแสงกับดาหลาให้ออกไปก่อน
“ฉันมีธุระสำคัญ ขอคุยกับคุณพ่อเป็นการส่วนตัวจะได้ไหมจ๊ะ ?”
นมแสงรู้ว่าถูกเต็มเดือนไล่ก็พยักหน้ากับดาหลา แล้วออกจากห้องไป
ดำรงพูด “แม่ดาหลากับนมแสงไม่ใช่คนอื่นคนไกล ไม่เห็นจะต้องไล่”
“เต็มจะเรียนปรึกษาเรื่อง... พินัยกรรมของคุณพ่อน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าได้ร่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วหรือยังคะ ถ้ายัง... เต็มจะได้เรียกทนายทวีปมาพบคุณพ่อ”
“ทวีปมันคนของฉัน จะเรียกเมื่อไหร่ก็มาได้เมื่อนั้น ไม่จำเป็นต้องไหว้วานหล่อน ช่วยออกหน้าเป็นธุระให้หรอก”
เต็มเดือนแอบเสียหน้าเล็กๆ
“คุณพ่อยังตั้งใจจะยกบ้านบดินทร์ธรให้แม่ดาหลาอยู่หรือเปล่าคะ” เต็มเดือนถาม
“ฉันคิดดีแล้ว บ้านหลังนี้ ฉันจะยกให้แม่ดาหลา ถือว่าตอบแทนที่ให้ช่วยดูแลฝากผีฝากไข้ ลูกหลานในไส้ มันพึ่งพาไม่ได้สักคน”
“แม่ดาหลาคงดีใจมากนะคะ...เต็มว่าคุณพ่อดื่มชาอุ่นๆสักถ้วยดีกว่า”
เต็มเดือนรินชายี่โถจากกาใส่จอก ควันพวยพุ่ง ก่อนจะยื่นให้ดำรง ดำรงรับมาทำท่าว่าจะจิบ
ปั้นกับชิดขนสัมภาระของพ่อปู่ไปยังเรือนหลังเล็กท้ายไร่ ระหว่างทางผ่านเวียงร้อยดาวพ่อปู่หันไปยังที่ตั้งของเวียงร้อยดาว ซึ่งมีเมฆดำทะมึนปกคลุมด้วยสายตาคมกริบ
“เดี๋ยว ! อย่าเพิ่งไป !” พ่อปู่บอก
“มีอะไรหรือขอรับ พ่อปู่ !” ปั้นถาม
“ข้าอยากทักทายคนเคยรู้จักสักหน่อย”
ปั้นกับชิดมองหน้ากัน แล้วก็มองรอบตัวอย่างหวาดๆ
พ่อปู่เหยียบย่างเข้ามาภายในเวียงร้อยดาว ควันสีดำลอยกรุ่นคละคลุ้งไปหมด ตามด้วยเสียงหัวเราะเย็นๆของเวียงแก้ว ประตูปิดเองแล้วล็อคจากด้านนอก ชิดกับปั้นเปิดเท่าไรก็เปิดไม่ออก อยู่ๆ กระจกตั้งพื้นบานใหญ่ก็แตกเปรี้ยง ทันใดนั้น เศษกระจกก็ลอยพุ่งเข้าหาพ่อปู่เป็นชุด พ่อปู่หลับตา ร่ายคาถาให้เศษกระจกหยุดจ่อตรงคอหอยพอดี แล้วเศษกระจกเหล่านั้นก็ร่วงลงพื้น เวียงแก้วหัวเราะ
“ไม่ได้เจอตั้งนาน ออกมาทักทายกันหน่อยสิวะ อีเวียงแก้ว !” พ่อปู่ตะโกน
ควันสีดำที่ลอยคละคลุ้งค่อยๆประกอบรวมตัวขึ้นกลายเป็นผีเวียงแก้วในชุดดำ ชิดกับปั้นตาค้างแล้วรีบหลบหลังพ่อปู่
“ข้าอยู่นี่แล้วไง ไอ้แก่ทุศีล ! กำลังนึกอยากเห็นหน้า ก็รนมาหาถึงที่”
“ออกจากผ้ายันต์กูได้ไม่เท่าไหร่ ก็ปากกล้าเชียวนะมึง อยากลองดีกับกูนักก็ได้... ไอ้ชิด ! เอาข้าวสารในย่ามซัดใส่มัน”
“กะ...กระผมหรือขอรับ ?” ชิดหวั่นใจ
“เออสิ ! ข้าสั่งให้เอ็งทำ เอ็งก็ทำสิวะ”
ชิดมือสั่นเทาขณะล้วงหยิบข้าวสารเสกแล้วปาออกไป เม็ดข้าวสารถูกแขนของเวียงแก้ว จนเป็นสะเก็ดแดงควันลอยขึ้นเหมือนเนื้อที่ถูกสะเก็ดไฟ เวียงแก้ว นิ่ง แม้จะเจ็บแต่ก็ไม่ถึงกับทุรนทุราย เธอเอามือลูบควันที่แขนหายวับไปแล้วก็หัวเราะ
“ของเล่นชุ่ยๆของมึง ทำอะไรกูไม่ได้อีกแล้ว”
พ่อปู่หัวเราะลั่น “ค่อยสูสีอย่างนี้สิ ข้าชอบ..มึงฆ่าคนไปกี่ศพแล้ววะอีเวียงแก้ว ถึงได้เฮี้ยนขึ้นผิดหูผิดตา”
“จะกี่ศพก็ช่าง ! แต่มึงนั่นแหละ ไอ้แก่ ! ศพต่อไป”
เวียงแก้วสลายร่างเป็นควันพุ่งเข้ามาหาพ่อปู่แบบจู่โจม พ่อปู่หลับตา เป่าพรวดไปเบื้องหน้า ควันกระจายหลบแยกเป็นสองฝั่ง พ่อปู่กวาดตามองแต่ก็ไม่พบ เห็นแต่ควันลอยอบอวลไปหมด พ่อปู่เอาตีนกระทืบแรงๆที่พื้นแบบข่มนาม
“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง ! อีเวียงแก้ว”
พลังของพ่อปู่แผ่ซ่านไปทั้งเวียงร้อยดาวจนสะท้านสะเทือน เสียงเวียงแก้วหวีดร้องโหยหวน
“กรี๊ดด !!”
ควันดำสลายจางหายไป ประตูที่ปิดอยู่ ก็เปิดอ้าออก แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้ามา ปั้นกับชิดค่อยโล่งอกที่เวียงแก้วก็ยังพ่ายแพ้ต่ออาคมของพ่อปู่ พ่อปู่ยิ้มอย่างอหังการ
ร้อยดาว น่านฟ้า และมารุตจับกลุ่มคุยกันเรื่องแขกที่มาใหม่
“ตั้งแต่ตาลุงคนเมื่อเช้าก้าวเข้ามาที่บดินทร์ธร หญิงก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เสียวสันหลังพิกล ท่าทางแกเหมือนพวกพ่อมดหมอผีจอมขมังเวทย์ยังไงก็ไม่รู้”
“นมแสงบอกว่าแกเป็นญาติห่างๆของคุณสร้อยฟ้า แต่ทำไม...ดิฉันถึงได้คลับคล้ายคลับคลา เหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน”
“เดจาวูหรือเปล่า ? ประมาณซิกส์เซนส์ สัมผัสพิเศษวาบเข้ามาในหัว รู้สึกเหมือนเคยพบคนๆนี้มาก่อน”
“หรือไม่พี่ร้อยดาวก็ถูกตาลุงนั่นสะกดจิต”
ร้อยดาวนึกย้อนเหตุการณ์ เธอเห็นพ่อปู่จ้องมาคล้ายถูกสะกดจริงๆ
“ตาลุงแปลกหน้าคนนั้นเป็นใครมาจากไหน หญิงชักอยากจะรู้แล้วสิ” น่านฟ้าว่า
“ยัยจอมจุ้น ! วันๆสนใจแต่อยากรู้เรื่องของชาวบ้าน” มารุตว่า
“ฉันจะสนใจเรื่องของใคร แล้วมันหนักส่วนไหนของนายไม่ทราบ”
“เอาเวลาอยากรู้เรื่องโน้นเรื่องนี้ของคนอื่น มาสนใจคนใกล้ตัวจะดีกว่า ถามจริงๆเถอะ ไม่อยากรู้บ้างเลยเหรอว่าตั้งแต่ยูหายออกไปจากบ้าน ตอนนี้พี่ชายขี้เก๊กของยู เขาจะเป็นยังไง เป็นห่วงแค่ไหน?”
น่านฟ้าฉุกใจคิดถึงสิบทิศขึ้นมา
สิบทิศยืนมองรูปของวิรุฬ
“ท่านพ่อ...ชายผิดเองที่ดูแลน้องไม่ดี ตอนนี้น่านฟ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ท่านพ่อได้โปรดช่วยคุ้มครองน่านฟ้าให้อยู่รอดปลอดภัย รีบกลับมาหาชายโดยเร็วด้วยเถอะ”
รัตนากรเข้ามาทันได้ยินที่สิบทิศอธิษฐานกับกรอบรูปวิรุฬพอดี
“คิดถึงน้องหรือ ?”
สิบทิศพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเดินตามรัตนากรไปนั่งที่ชุดรับแขกกลางห้อง
“ยังจำตอนที่แม่ของชายตั้งท้องน่านฟ้าได้ไหม ?”
สิบทิศย้อนคิดถึงอดีตในวัยเยาว์
สิบทิศในวัยเด็กกำลังเอาหูแนบที่ท้องของอาภาที่จวนคลอด อาภานั่งถักถุงมือ ถุงเท้า ไหมพรม สำหรับลูกในท้องอยู่
“ได้ยินเสียงน้องของชายดิ้นไหม ?”
“ท้องท่านแม่มีเสียงอะไรไม่รู้ดัง ปุ...ปุ... อยู่ข้างใน” สิบทิศบอก
รัตนากรกับอาภาต่างหัวเราะในความไร้เดียงสาของสิบทิศ
“นั่นแหละ น้องของชายกำลังดิ้นล่ะ ไหนชายลองบอกป้าซิ ว่าอยากได้น้องชายหรือน้องสาว ?”
“น้องชาย...จะได้เป็นเพื่อนเล่นกัน”
“ทำไมลูกถึงไม่อยากมีน้องสาวน่ารักๆล่ะ หืม ?”
“เด็กผู้หญิงขี้แย ชอบร้องไห้ น่ารำคาญ เล่นด้วยไม่สนุก”
“ฟังป้านะชาย” รัตนากรพูดขึ้น “ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ชายก็ต้องรักน้องให้มากๆ พี่น้องกัน ถ้าไม่รักกันแล้ว ใครเขาจะมารักเรา”
“ต่อให้ไม่มีคนบนโลกนี้รักชายเลยสักคนเดียว ท่านพ่อท่านแม่ก็รัก” สิบทิศเหลือบเห็นวิรุฬ “ท่านพ่อเด็จกลับมาแล้ว ?”
สิบทิศรีบวิ่งปร๋อเข้าไปหาวิรุฬ วิรุฬหอมแก้มลูก
“วันนี้ชายดื้อหรือเปล่า ?”
สิบทิศส่ายหน้า “ชายเป็นเด็กดี ท่านป้าบอกว่าเด็กดีไม่ดื้อ เด็กดื้อไม่ดี”
“น้องกำลังจะเลือกไหมพรมถักถุงมือให้ลูก ท่านพี่โปรดสีไหน” อาภาถาม
อาภาหยิบไหมพรมสีฟ้ากับสีชมพูมาถามความเห็นวิรุฬ
วิรุฬตอบเย็นชา “สีไหนก็ดีทั้งนั้น... ตามใจน้องแล้วกัน พี่ขอตัวก่อน”
วิรุฬพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องทำงาน แล้วขังตัวเองอยู่ในนั้น อาภามองตามแล้วก็อดน้อยใจไม่ได้ รัตนากรมองอาภาอย่างเข้าใจถึงหัวอกลูกผู้หญิง
วิรุฬเอื้อมมือไปลูบไวโอลินเบาๆ เขานึกถึงตอนที่สีไวโอลินเพลง “ลาวคำหอม” ให้เวียงแก้วฟังที่บึงบัว
วิรุฬเปิดลิ้นชักออกมามีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งวางไว้ในลิ้นชักนั้น เขานึกถึงตอนที่วิรุฬใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ซับน้ำตาให้เวียงแก้ว วิรุฬค่อยๆหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาหอมเบาๆ อย่างทะนุถนอม
สิบทิศยืนหน้าประตูซึ่งแง้มอยู่แอบดูว่าวิรุฬกำลังทำอะไร
เสียงปืนดังปัง ! สิบทิศถูกกระชากให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
“หลังจากสิ้นท่านพ่อกับท่านแม่ ท่านป้าก็ส่งหลานกับน่านฟ้าไปอยู่กับท่านยายที่กรุงเทพเพื่อจะได้หนีฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนหลานอยู่ทุกคืน ที่นั่น เราเหลือกันแค่สองคนพี่น้อง จริงดังที่ท่านป้าเคยตรัสไว้ไม่มีผิด ถ้าพี่น้องไม่รักกัน แล้วใครจะมารักเรา”
“ชายจะส่งน่านฟ้าไปอยู่ที่กรุงเทพกับญาติทางฝั่งโน้นจริงๆน่ะหรือ” รัตนากรถาม
“ถึงท่านยายจะมิได้ทรงเอ็นดูน่านฟ้าเท่าลูกหลานแท้ๆของตัวเอง แต่ก็ยังดีกว่าส่งน่านฟ้าไปเรียนต่อที่อังกฤษตามลำพังมิใช่หรือ ?”
“บางทีการส่งน้องไปเรียนเมืองนอก อาจไม่ได้แย่อย่างที่ชายคิดก็ได้ชายกำลังกลัวในสิ่งที่ชายคิดไปเอง น้องโตแล้ว ปล่อยให้คิดตัดสินใจเองบ้าง ป้าไม่อยากให้ชายเข้มงวดกวดขันน่านฟ้าจนเกินไป”
สิบทิศรับฟังแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรตามประสาคนปากหนัก
“ได้เวลาที่หลานต้องไปรอน้องที่สถานีรถไฟ” สิบทิศไอเพราะเจ็บคอ
“อาการชายดูไม่ค่อยดี ไปไม่ไหวก็อย่าเพิ่งไปเลย คอยน้องอยู่ที่นี่ก็ได้”
“น่านฟ้ารักการผจญภัย คงจะเที่ยวสนุกอยู่ที่ไหนสักที่ พอเบื่อแล้วสักวันก็ต้องกลับมา หลานจะไปรอรับน้องที่นั่น”
สิบทิศเดินออกไปด้วยความมุ่งมั่นจนรัตนากรอดเป็นห่วงไม่ได้
สิบทิศรอน่านฟ้าอยู่ที่ม้านั่งตั้งแต่กลางวันยันพระอาทิตย์ตกดิน จากตอนแรกที่มีผู้คนพลุกพล่านจนเริ่มซาจนกระทั่งเหลือสิบทิศนั่งคอยที่ม้านั่งคนเดียว สิบทิศยังคงรอคอยอย่างไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่าอาการไอจะหนักขึ้นเรื่อยๆ สิบทิศนั่งคอยจนท้องฟ้าเริ่มมืด
ที่สถานีรถไฟ น่านฟ้าเปิดประตูลงมาจากรถมารุต
“พี่ชายน่ะเหรอเป็นห่วงหญิง ? ห่วงแต่ปากละสิไม่ว่า บอกจะมารอหญิงที่สถานีรถไฟ ให้ตายหญิงก็ไม่เชื่อ คุณชายสุดหรูจะมาอยู่ที่จ้อกแจกจอแจอย่างนี้ได้ยังไง...ไหนล่ะ พี่ชาย ? ไม่เห็นจะมี”
“ยังไม่ทันหา จะเจอได้ยังไง ห๊า ! ยัยบ๊อง ถ้าไอมีน้องพูดๆๆๆ เป็นน้ำไหลไฟดับอย่างยู ไอเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็กแล้ว”
“โอ๊ย รู้อย่างนี้ อยู่กับพี่ร้อยดาวดีกว่า ฉันไม่น่าหลงเชื่อคนเพ้อเจ้ออย่างนาย ติดรถมาด้วยเลย เสียเวลา ! ถ้าพี่ชายไม่ได้อยู่ที่นี่ นายต้องรับผิดชอบ”
น่านฟ้าพูดจบก็หน้านิ่วเดินไป
“ยัยบ๊องเอ๊ย ! ขี้บ่นไม่พอ ยังขี้โวยวาย พาลใส่คนอื่นอีก” มารุตว่า
มารุตบ่นอุบก่อนรีบเดินตามน่านฟ้าไป
น่านฟ้ากวาดตามองหาสิบทิศที่ชานชาลาพลางบ่นในใจว่าไม่เห็นจะมี สักพักน่านฟ้าก็เห็นสิบทิศนั่งหลับอยู่ที่ม้านั่งชานชาลาด้วยความอ่อนเพลีย น่านฟ้าถึงกับอึ้งเพราะแทบไม่เชื่อสายตา มารุตเดินเข้ามา
“กลับบ้านเถอะ พี่ชายยูเขามารอรับแล้ว”
น่านฟ้ามองสิบทิศอย่างตัดสินใจ
สิบทิศกำลังหลับอยู่ สักพักก็มีมือมาสะกิดเรียก สิบทิศสะดุ้งตื่นแล้วหันมามอง เขาเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยื่นกระดาษโน้ตให้ กระดาษโน้ตมีข้อความลายมือน่านฟ้าเขียนว่า... “ไม่ต้องเป็นห่วงหญิง พร้อมกลับเมื่อไร หญิงจะกลับเอง... น่านฟ้า”
สิบทิศดีใจ “คนที่เอากระดาษแผ่นนี้ให้หนูอยู่ที่ไหน ?”
เด็กผู้ชายชี้นิ้วไป สิบทิศมองตาม
สิบทิศยิ้ม “ขอบใจมากนะ”
สิบทิศวิ่งตามไปที่เด็กชี้นิ้วบอกด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความหวัง
สิบทิศวิ่งมายังบริเวณที่รถของมารุตเคยจอดแต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว สิบทิศมองหา สิบทิศวิ่งกลับมาที่ชานชาลาเพื่อจะมาหาเด็กผู้ชายคนนั้น แต่ก็ไม่พบแล้ว สิบทิศยืนคว้างด้วยความเจ็บใจที่คลาดกับน้องสาวเพียงเสี้ยววินาที
น่านฟ้านั่งซึม มารุตขับรถจะพากลับไปส่งที่บดินทร์ธร
“คิดดีแล้วเหรอ ที่ปล่อยให้พี่ชายยูนั่งตากน้ำค้างคอยเก้ออยู่อย่างนั้น”
น่านฟ้านึกย้อนตอนที่มีปากเสียงกับสิบทิศแล้วสิบทิศต่อว่าเธอ
“ยิ่งนับวันยิ่งหัวแข็ง ชักจะเอาใหญ่แล้วนะเรา”
“โตป่านนี้แล้ว ยังเอาแต่คิดเรื่องเล่นสนุก เลิกงอแงเป็นเด็กๆเสียที คำสั่งของพี่ถือเป็น “เด็ดขาด”
“น่านฟ้ายังเด็กเกินไป ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองได้”
น่านฟ้าน้ำตาซึมแต่ไม่ยอมตอบมารุตเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูก
อ่านต่อหน้า 2
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 8 (ต่อ)
ร้อยดาวเดินเข้ามาที่โถงกลางแล้วแหงนมองบนเพดาน ร้อยดาวเห็นรอยกากบาทปริศนาสีดำทั้ง 6 รอย
ร้อยดาวนับ “นายหม่อง... นายดำ... นายบึก... นายเฉิ่ม... 4 ศพแล้วเหลืออีกแค่สองเท่านั้น แต่ใครจะเป็นรายต่อไป แล้วเมื่อไหร่ ?”
เต็มเดือนเดินเข้ามาที่โถงกลาง พอเห็นร้อยดาวยืนมองเพดานอยู่ก็เข้ามาดูด้วย
“ดูอะไรอยู่หรือจ๊ะ ?”
“คุณเต็มเดือนเชื่อเรื่องเวรกรรมตามสนองหรือเปล่าคะ ?”
เต็มเดือนสะอึกเล็กน้อยเพราะคิดว่าร้อยดาวหลอกด่า
“เชื่อสิจ๊ะ... คนสมัยนี้ไม่ค่อยเกรงกลัวบาปกรรม ก็เลยผิดศีลผิดธรรมกันตามอำเภอใจ แต่กงเกวียนกำเกวียนมันหนีกันไม่พ้นทำอย่างไร ก็ต้องได้รับอย่างนั้น ไม่มีวันหลีกหนีได้... พูดถึงเรื่องนี้ทีไร ฉันก็อดนึกสงสารแม่เวียงแก้วของหนูไม่ได้สักที”
ร้อยดาวสงสาร “คุณแม่เวียงแก้วทำอะไรไว้หรือคะ ?”
“เรื่องมันผ่านมาตั้งหลายปีดีดักแล้ว อย่าให้ฉันพูดอีกเลยดีกว่าเพราะมันไม่ดีกับคุณแม่ของหนูที่ล่วงลับไปแล้ว”
“ได้โปรดเถอะค่ะ คุณเต็มเดือน ! ได้โปรดเล่าเรื่องราวในอดีตให้ดิฉันกระจ่างเสียที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีก็ตาม ดิฉันอยากรู้”
เต็มเดือนนึกกระหยิ่มในใจที่ร้อยดาวพลาดท่าจึงฉวยโอกาสใส่ร้ายเวียงแก้วเต็มที่ เต็มเดือนเดินนำร้อยดาวมานั่งคุยที่เก้าอี้รับแขกในโถงกลาง
“ว่ากันว่าที่คุณพี่ปกรณ์ทั้งรักทั้งหลงแม่เวียงแก้วของหนูอย่างถอนตัวไม่ขึ้นนั้น เป็นเพราะ.... ถูกทำเสน่ห์”
“ทำเสน่ห์ ! หมายถึงคุณแม่เวียงแก้วทำให้คุณพ่อหลงรักด้วย black magic น่ะหรือคะ ?”
ร้อยดาวนึกถึงภาพที่เธอเห็นเมื่อเช้า เป็นภาพพ่อปู่กำลังทำพิธีฝังรูปฝังรอยให้ใครบางคนอยู่
เต็มเดือนพูดต่อ “ถึงแม้มนต์เสน่ห์จะช่วยให้เวียงแก้วจะได้ขึ้นเป็นภรรยาคุณพี่สมใจ แต่ก็หนีผลกรรมไปไม่พ้น จนต้องพบจุดจบน่าเวทนาเช่นนี้ ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เลยเชื่อเรื่องอำนาจบาปบุญคุณโทษฝังใจ ที่จริงฉันไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้หนูฟังเลย ดูสิ ! ทำให้หนูไม่สบายใจเสียเปล่าๆ อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยนะจ๊ะ”
ร้อยดาวเริ่มรู้สึกสับสนว่าเวียงแก้วเป็นคนอย่างไรกันแน่ ?
ร้อยดาวกลับมาซักไซ้นมแสงเรื่องที่เวียงแก้วทำเสน่ห์
“คุณเวียงแก้วจะทำเสน่ห์เล่ห์กลใส่คุณปกรณ์หรือไม่ ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ....อย่าด่วนตัดสินจากสิ่งที่เห็นหรือได้ยินเลยนะคะคุณหนู เพราะความเป็นจริง อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป” นมแสงว่า
“อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ฉันเชื่อว่าจะต้องมีมูลมาก่อน ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ถ้าคุณแม่เวียงแก้วไม่ได้ทำเสน่ห์ ใครจะกล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น”
“ชีวิตคนเราล้วนมีด้านมืดกับด้านสว่างด้วยกันทั้งนั้น เหมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลานั้นจะเผยด้านไหนขึ้นมา คนบางคนอาจไม่ได้แสนดีอย่างที่คิด” นมแสงหมายถึงเต็มเดือน “เรื่องนี้ความจริงจะเป็นอย่างไร มีแต่คุณเวียงแก้วเท่านั้นที่รู้”
ร้อยดาวคิดในใจว่าจะต้องถามเรื่องนี้กับเวียงแก้วให้ได้
น่านฟ้าหลับสนิทไปแล้ว แต่ร้อยดาวยังนอนก่ายหน้าผากเพราะคิดไม่ตกกับเรื่องที่ได้ยินมา
เสียงเต็มเดือนย้อนกลับมา “ว่ากันว่าที่คุณพี่ปกรณ์ทั้งรักทั้งหลงแม่เวียงแก้วของหนูอย่างถอนตัวไม่ขึ้นนั้น เป็นเพราะ.... ถูกทำเสน่ห์”
เสียงนมแสงดังในหัว “ชีวิตคนเราล้วนมีด้านมืดกับด้านสว่างด้วยกันทั้งนั้น... คนบางคนก็อาจไม่ได้แสนดีอย่างที่คิด”
ร้อยดาวนึกถึงตอนที่เวียงแก้วฆ่าหม่อง ดำ บึก เฉิ่มอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ร้อยดาวนอนกระสับกระส่าย พอพลิกมาเห็นเวียงแก้วกำลังลูบหัวน่านฟ้าอยู่ก็ตกใจ
“คุณแม่จะทำไรคะ !”
“หลับปุ๋ยเชียว หน้าตาน่าเอ็นดูจริงๆ น่ารักเหมือนลูกสาวแม่ไม่มีผิด เสียดายที่ไม่ใช่ลูก”
ร้อยดาวระแวง “คุณแม่อย่าทำอะไรเธอเลยนะคะ เธอไม่รู้เรื่อง หนูขอร้อง”
เวียงแก้วกราดเกรี้ยว “คิดว่าฉันจะทำอะไร ฆ่าเด็กคนนี้เหมือนกับที่ฉันฆ่าไอ้เดนนรก ตอบแทนความเลวระยำที่พวกมันเคยทำกับฉันก่อนตายงั้นเหรอ... หล่อนคิดว่าฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
เวียงแก้วหายตัววับจากบนเตียงไปปรากฏตัวที่ด้านนอกเพื่อไม่ให้น่านฟ้าตื่น
ร้อยดาววิ่งตามเวียงแก้วออกมาที่ระเบียงเพื่อคุยให้รู้เรื่อง
“เลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกอาฆาตพยาบาท จองเวรเถอะนะคะปล่อยให้บาปกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตคอยลงโทษพวกเขาเอง” ร้อยดาวบอก
“ฉันไม่ใจเย็นพอจะนั่งรอให้ฟ้าดินลงโทษคนโฉดอย่างพวกมันหรอก มันช้าไป ฉันกำลังเล่นเกมของฉัน... เกมไล่ล่าที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน และจะไม่มีใครหนีรอดจากเกมนี้ได้เลยสักคนเดียว”
“จิตใจของคุณแม่ทำด้วยอะไรคะ ถึงได้เห็นชีวิตของคนพวกนั้นเป็นผักปลานึกจะฆ่าจะแกง ก็ทำได้ ความดีของคุณแม่หายไปไหนหมดหรือที่จริงแล้ว...มันไม่เคยมีอยู่ในหัวใจคุณแม่เลย”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ แม่ร้อยดาว ! ฉันทำดีมาเกือบจะทั้งชีวิต แต่มีใครหน้าไหนเห็นความดีของฉันบ้าง แม้แต่พ่อบังเกิดเกล้าของหล่อน”
“คุณแม่เลยต้องใช้มนต์เสน่ห์ ให้คุณพ่อหันมาสนใจใยดีใช่ไหมคะ”
“ถ้าไม่รู้อะไร ก็อย่าพูดดีกว่า ! ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งกดไว้ ข่มไว้เท่าไหร่ ก็ยิ่งพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ... เหมือนความอดทนของฉันที่ใกล้จะสิ้นสุดลง เมื่อวันที่ฉันรู้ตัวว่า...กำลังจะเป็นแม่คน”
ร้อยดาวสะดุงวาบ ตาเบิกโพลงก่อนจะเห็นภาพในอดีต
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา จันทร์ฉายแววตาเป็นประกายเมื่อรู้ข่าวดีที่เวียงแก้วเอามาบอก
“จริงหรือเปล่า เวียงแก้ว ? เธอไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่มั้ย ?”
“เลือดข้าเจ้าขาดได้ 3 เดือนแล้วเจ้า”
“ตอนแรกอิฉันก็ยังไม่มั่นใจ แต่เห็นคลื่นไส้อาเจียน บ่นร่ำๆว่าอยากรับประทานของเปรี้ยวๆ เห็นทีจะแพ้ท้องแน่แล้วค่ะ” นมแสงบอก
จันทร์ฉายตื่นเต้น “คุณพี่คะ ! เวียงแก้วกำลังจะมีลูกกับคุณปกรณ์แล้วค่ะเราสองคนกำลังจะได้อุ้มหลานกันแล้วนะคะ คุณพี่”
“ในที่สุดตระกูลบดินทร์ธรของเราจะได้มีทายาทไว้สืบสกุลกับเขาเสียที แล้วนี่พี่ปกรณ์รู้ข่าวดีแล้วหรือยัง ฉันจะได้ไปบอก” ดิลกว่า
“อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับคุณปกรณ์เลยนะเจ้า... ข้าเจ้าขอร้อง” เวียงแก้วบอก
“ฉันไม่เข้าใจ... จะปิดบังไปทำไม ?” จันทร์ฉายสงสัย
“หมู่นี้คุณปกรณ์งานยุ่งจ้าดนัก บางคืนต้องนั่งทำงานจนรุ่งสาง ข้าเจ้ายังไม่อยากเอาเรื่องไปกวนใจคุณปกรณ์เจ้า จะเสียงานเปล่าๆ อดใจคอยท่าเสียหน่อย แล้วค่อยบอกก็ยังไม่สายหรอกเจ้า”
“ก็ได้...ถ้าเธอจะสบายใจ ตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้ ฉันไม่อยากให้เธอทำงานหนัก อะไรที่งดได้ก็งดเสีย ใช้ให้บ่าวไพร่มันทำเสียบ้าง จะได้ไม่เหนื่อย ฉันเป็นห่วงหลาน...นมแสง ฉันฝากดูแลด้วย”
“อย่าห่วงไปเลยค่ะ คุณพี่... น้องกับนมแสงจะช่วยดูแลลูกในท้องของเวียงแก้วอย่างดี” จันทร์ฉายบอก
ทั้งสี่มีใบหน้าแช่มชื่นดีใจที่บดินทร์ธรจะได้มีทายาทสืบวงศ์ตระกูล เสงี่ยมซึ่งแอบฟังอยู่มุมหนึ่ง ได้ยินเข้าก็รีบไปรายงานจงจิตทันที
สามสะใภ้ซึ่งนั่งเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันอยู่ต่างก็ตาลุก เมื่อรู้ข่าวที่เสงี่ยมมารายงาน
“ท้อง !!!” จงจิตตกใจ
“ค่ะ...ดิฉันได้ยินเต็มสองรูหู แม่เวียงแก้วตั้งท้องได้ 3 เดือนแล้ว”
“คุณพี่เพิ่งจะได้มันมาเป็นเมีย มันจะท้องได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ !” สร้อยฟ้าว่า
“แน่ใจนะ เสงี่ยม ! ว่าได้ยินมาไม่ผิด” เต็มเดือนถาม
“จะเอาดิฉันไปสาบานที่วัดไหนก็ได้ค่ะ ! แม่คนนั้นยังขอร้องให้คุณดิลกกับคุณจันทร์ฉายช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ อย่าเพิ่งบอกให้คุณปกรณ์รู้”
“มันรู้ว่าคุณพี่อยากมีลูกมากแค่ไหน ก็เลยจะเก็บไว้ต่อรองเรียกร้องสมบัติน่ะสิ” จงจิตยุเต็มเดือน “ดีไม่ดี...ตำแหน่งสะใภ้ใหญ่บ้านบดินทร์ธรของคุณพี่ อาจจะตกเป็นของขี้ข้าม้าครอกอย่างนังเวียงแก้วก็ได้”
“ในเมื่อเวียงแก้วอยากให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เราก็ทำตามใจเขาเถอะ อย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ ความลับจะได้ยังเป็นความลับต่อไป”
เต็มเดือนกำมือแน่นจบเล็บจิกฝ่ามือตัวเองพร้อมกับคิดแผนกำจัดลูกของเวียงแก้วเงียบๆ
สร้อยฟ้าผิดหวังอย่างแรง เธอเดินคอตกกลับมาห้องเพราะเคยมั่นใจนักหนาว่าตัวเองต้องมีลูก สร้อยฟ้าเอามือทุบที่ท้องตัวเองด้วยความเจ็บใจพร้อมกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
สร้อยฟ้าทุบที่ท้อง “ทำไม !! ทำไมต้องเป็นมัน ไม่ใช่ฉัน ! ทำไม”
สร้อยฟ้านั่งกุมขมับน้ำตาไหล เธอหวนคิดถึงคำพูดของเสงี่ยม
“คุณปกรณ์ตอนนี้ หน้าก็ดำยังกะถูกเสน่ห์อีเป๋อหรือว่าแม่นั่นจะทำเสน่ห์เล่ห์กลใส่คุณปกรณ์คะ ?”
สร้อยฟ้ามีประกายแห่งความหวังรำไร
“ในเมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกล มันก็ต้องพึ่งมนต์คาถา”
ดวงตาของสร้อยฟ้าวาวโรจน์ขณะคิดจะทำอะไรบางอย่าง
สร้อยฟ้านั่งอยู่ที่เบาะหลัง โดยมีชิดเป็นคนขับ รถแล่นมาจอด สร้อยฟ้าลงจากรถแล้วมองไปยังเรือนไทยหลังใหญ่ บรรยากาศเรือนไทยขรึมขลังที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้า สร้อยฟ้าตัดสินใจครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวเข้าไปยังเรือนไทยที่อยู่เบื้องหน้า
สร้อยฟ้านุ่งกระโจมอกนอนพนมมือหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีเครื่องประกอบพิธีเต็มไปหมด พ่อปู่เป่าแผ่นทองที่อยู่บนหน้าผากให้ซึมหายเข้าไปก่อนจะใช้ต้นเทียนคลึงลูบไล้ ลงเอาน้ำมันเสน่ห์ชโลม ปิดทองทั่วทั้งเรือนร่างสร้อยฟ้า ร่ายคาถาภาษาเขมรรัวงึมงำจนสร้อยฟ้ารู้สึกรัญจวน
พ่อปู่มองเรือนร่างอันอวบอัดของสร้อยฟ้าในขณะร่ายมนตราด้วยแววตาหื่นกระหาย พ่อปู่เป่าพรวดลงไปยังตุ๊กตาดินฝังรูปฝังรอยแล้วมัดประกบด้วยเส้นผมผีตายโหง
“เอาหุ่นรูปรอยขี้ผึ้งปากผีนี่ไปไว้ใต้ที่นอน รับรอง ! ไม่ทันชั่วข้ามคืนผัวของเอ็งก็จะร่อนมาหา ส่วนนี่ ! น้ำมันพราย เอาไว้ป้ายผัวเอ็ง แค่หยดเดียว ผัวเอ็งก็จะลุ่มหลงอยู่ในโอวาทจนแทบโงหัวไม่ขึ้น”
สร้อยฟ้ารับตุ๊กตารูปรอยและน้ำมันผีพรายจากพ่อปู่
“ได้ผลแน่นะเจ้าคะ พ่อปู่”
“ทั้งลงน้ำมันจันทน์มหาเสน่ห์ ฝังรูปฝังรอย แล้วยังป้ายน้ำมันพรายถ้าไม่ได้ผล ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะโว้ย” พ่อปู่หัวเราะลั่น
สร้อยฟ้ายิ้มอย่างมาดมั่น
ปกรณ์นอนกอดเวียงแก้วอยู่ เสียงสวดคาถาเขมรของพ่อปู่ระรัวลอยมาตามลม สร้อยฟ้าทำลับๆล่อ ๆ เข้ามาเอาตุ๊กตาฝังรูปฝังร้อยใส่ไว้ที่ใต้ที่นอนของปกรณ์ ปกรณ์กระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาเพราะรู้สึกร้อนรุ่มพิกล จนเวียงแก้วรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“คุณปกรณ์นอนไม่หลับหรือเจ้า”
ปกรณ์ปัดผ้าห่มออกแล้วลุกพรวดหันมองเวียงแก้วที่นั่งตาปริบๆไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างหงุดหงิด แล้วปกรณ์ก็ก้าวเท้าฉับๆออกไปจากห้องนอน
สร้อยฟ้าผุดลุกผุดนั่ง แล้วเดินพล่านเพราะไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูหนักๆถี่ๆ ก็ดังขึ้น สร้อยฟ้าได้ยินแล้วถึงกับยิ้มร่าแล้วรี่ไปเปิดประตู ทันทีที่ปกรณ์เห็นหน้าสร้อยฟ้าเปิดประตูมารับ เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงพุ่งเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยง ปกรณ์จูบสร้อยฟ้าหนักหน่วงจนแทบตั้งตัวไม่ติด แล้วอุ้มเธอไปที่เตียง
จงจิตปรับทุกข์กับเต็มเดือน
“น่าแปลกนะคะ ! เสงี่ยมบอกว่าคุณพี่ไม่ได้ไปค้างที่เวียงร้อยดาวตั้งหลายคืนแล้ว วันๆเอาแต่ขลุกอยู่กับแม่สร้อยฟ้าในห้อง ไม่ยอมออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน แม้แต่น้ำท่าข้าวปลายังต้องยกขึ้นไปประเคนให้ถึงเตียง” จงจิตบอก
“คุณพี่อาจเริ่มเบื่อผู้หญิงจืดชืดเป็นท่อนไม้พูดได้อย่างแม่เวียงแก้วเลยเปลี่ยนรสชาติกลับมาหาผู้หญิงจัดจ้านอย่างแม่สร้อยฟ้าก็ได้” เต็มเดือนว่า
“แต่ระยะนี้ คุณปกรณ์เอออวยเห็นดีเห็นงามตามคุณสร้อยฟ้าไปเสียทุกอย่าง ถึงขนาดชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้” เสงี่ยมบอก
“เป็นไปได้ไหมคะ คุณพี่อาจจะโดนเสน่ห์เล่ห์พรายทางไสยศาสตร์”
เต็มเดือนหันมามองจงจิตที่คิดตรงกัน ทันใดนั้น สร้อยฟ้าก็เดินควงปกรณ์ซี่งมีท่าทีเลื่อนลอยเข้ามายังห้องนั่งเล่น
“สุมหัวกันนินทาอะไรน้องอยู่หรือคะ ? ต๊ายยย ! คุณพี่ดูสิคะ แต่ละคนจ้องหน้าน้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ” สร้อยฟ้าอ้อนปกรณ์
“เมื่อไหร่จะเลิกนินทาว่าร้ายเสียที สร้อยฟ้าเขาไปทำอะไรให้ ถึงได้จงเกลียดจงชังเขานัก ผีเจาะปากพอกันทั้งนายทั้งบ่าว” ปกรณ์ว่า
เต็มเดือนถึงกับสะดุ้งเพราะปกรณ์ไม่เคยด่ากระทบกระเทียบตนแรงขนาดนี้
“โถ...คุณพี่ทั้งสองคงไม่ได้ตั้งใจว่าร้ายน้องเสียๆหายๆหรอกคะ คงแค่ปรับทุกข์กันตามประสาน้ำพริกถ้วยเก่าเหม็นเน่าขึ้นรา เราไปดูของสวยๆงามๆในสวนกันดีกว่าค่ะ แถวนี้มีแต่อะไรก็ไม่รู้ เห็นแล้วน่าหดหู่ เศร้าหมอง”
สร้อยฟ้ามองเต็มเดือนกับจงจิตอย่างเย้ย แล้วพาปกรณ์เดินไป เต็มเดือนกับจงจิตมองอย่างเจ็บแค้น
สร้อยฟ้าชี้นกชมไม้กับปกรณ์อยู่ในสวน เธอพบกับเวียงแก้วที่กำลังจะไปตึกใหญ่พอดี ปกรณ์พอเห็นหน้าเวียงแก้วก็คล้ายจะคลายมนต์สะกด
สร้อยฟ้าว่า “มองอะไร งานการมีก็ไสหัวไปทำซะสิ อีขี้ข้า”
เวียงแก้วยอบตัวจะเดินออกไป แต่ถูกสร้อยฟ้าขัดขาด้วยความหมั่นไส้ เวียงแก้วล้มลงที่พื้นหญ้าโดยเอามือยันไว้ เธอใจหายวาบเพราะกลัวกระทบกระเทือนลูกในท้อง
ปกรณ์ห่วง “เวียงแก้ว.... เป็นอะไรหรือเปล่า”
ปกรณ์จะเข้าไปประคอง สร้อยฟ้าเห็นท่าจะไม่ดีรีบควักขวดน้ำมันพรายป้ายสำทับปกรณ์เข้าอีก พอถูกป้ายน้ำมันพรายปกรณ์ก็รู้สึกมึนหัวไปหมด
“ซุ่มซ่าม ! ไม่ดูตาม้าตาเรือ ! ระวังให้ดีเถอะ ! อะไรที่อยู่ข้างใน มันจะเล็ดออกมา”
สร้อยฟ้าจิกตามองเวียงแก้วอย่างรู้ทัน
เวียงแก้วเข้ามาทำความสะอาดเช็ดถูห้องปกรณ์จนเหงื่อโทรม เวียงแก้วเห็นที่นอนยุ่งเหยิง หลุดลุ่ยก็เลยจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ ทันใดนั้นมือเวียงแก้วก็สัมผัสอะไรบางอย่างที่ซุกอยู่ใต้ที่นอนจึงหยิบออกมาดู เวียงแก้วประหลาดใจเมื่อเห็นตุ๊กตาขี้ผึ้งสองตัวผูกมัดติดกันด้วยเส้นผม ทันใดนั้น เสงี่ยมก็ผลักประตูเข้ามา ตวาดลั่น
“นั่นทำอะไรน่ะ !”
เวียงแก้วสะดุ้งเฮือกเพราะตกใจเสียงเสงี่ยม สร้อยฟ้ากับปกรณ์กลับเข้าห้องมา ปกรณ์เห็นเวียงแก้วถือหุ่นรูปรอยละล้าละลังก็เดาออก
“นี่มัน.... !” ปกรณ์โกรธจัดจนพูดไม่ออก
สร้อยฟ้าใจหายวาบที่ถูกจับได้จึงคิดจะโยนความผิด เธอรีบปราดเข้าไปตบเวียงแก้วทันที
“นังแพศยา !!! แกกล้าทำเสน่ห์ใส่คุณพี่ ! อีเนรคุณ”
“เปล่านะเจ้า ! ข้าเจ้าไม่รู้เรื่อง”
เต็มเดือนกับจงจิตได้ยินเสียงเอะอะก็ตามขึ้นมาดู สร้อยฟ้าแสร้งเล่นละครตบตาจิกผมเวียงแก้ว
“จับได้คาหนังคาเขา ของอัปรีย์อยู่ในมือแท้ๆ มึงยังกล้าปดกูอีกเหรอ”
สร้อยฟ้าตบเวียงแก้วอีกฉาดจนเลือดกลบปากโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรทั้งนั้น นมแสงปราดเข้ามาร้องขอ
“อิฉันขอทีเถอะคะ ยังไม่ทันสืบสาวราวความ อย่าถึงกับต้องลงไม้ลงมือ ตบตีคุณเวียงแก้วขนาดนี้เลย”
เสงี่ยมเข้ามาขวางเอาไว้ “เรื่องของนาย ขี้ข้าอย่าแส่”
“อีเวียงแก้ว! อีสันดานงูเห่า เลี้ยงไม่เชื่อง คุณพี่ต้องจัดการมันนะคะ”
“ลากตัวมันออกไป ฉันจะเฆี่ยนมันจนกว่าจะรับสารภาพ” ปกรณ์สั่ง
เวียงแก้วถูกสร้อยฟ้ากับเสงี่ยมลากตัวออกไป
สร้อยฟ้าสั่งให้ชิดมัดเวียงแก้วเอาไว้กับเสาหน้าตึก เสงี่ยมวิ่งเอาหวายมาให้ปกรณ์
“หวายมาแล้ว เจ้าค่ะ”
“ยอมรับสารภาพมาซะดีๆ ว่ามึงริทำของต่ำช้าใส่กู” ปกรณ์ว่า
เวียงแก้วได้แต่ส่ายหน้า น้ำตาไหลพรากเพราะไม่รู้อิโหน่อิเหน่
สร้อยฟ้ารีบเชียร์ “เฆี่ยนมันเลยค่ะคุณพี่ ! เฆี่ยนมันจนกว่าจะยอมรับสารภาพ”
ปกรณ์เงื้อหวายขึ้นสุดแขนจะเฆี่ยนเวียงแก้ว แต่เมื่อเห็นหน้าเธอชัดๆ ก็เฆี่ยนไม่ลง สร้อยฟ้าเห็นปกรณ์ใจอ่อนก็รีบคว้าหวายมาจากมือปกรณ์
“เอามานี่ ! ถ้าคุณพี่ไม่เฆี่ยน ! น้องเฆี่ยนเอง”
สร้อยฟ้าเฆี่ยนเสียงดังควับๆ !อย่างทารุณ
“นังแพศยา !!! จะยอมรับมั้ย ว่าแกทำเสน่ห์ใส่คุณพี่”
ใบหน้าจงจิตเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“บอกมาซะดีๆ หมอเสน่ห์สำนักไหนทำหุ่นรูปรอยนี่ให้แก จะบอกหรือไม่บอก !” จงจิตสั่งเสงี่ยม “ไปเอาน้ำเกลือมา”
เต็มเดือนแสดงสีหน้าแสร้งว่าสงสาร เห็นใจ
“พอได้แล้ว ! สารภาพออกมาสิ เวียงแก้ว... ยอมรับซะเถอะ”
หวายแหวกอากาศหวดควั่บๆลงบนเนื้อผสานกับเสียงร้องเจ็บปวดของเวียงแก้ว
ดำรงพาดิลกกับจันทร์ฉายตรวจตราการทำงานของคนในไร่หวังให้สืบทอดกิจการ นมแสงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
ทั้งสามตกใจในท่าทีตื่นตระหนกของนมแสงที่รีบร้อนมารายงาน
สร้อยฟ้าปาดเหงื่อหอบแฮ่กๆ เพราะเฆี่ยนจนหมดแรง เสงี่ยมวิ่งเอาอ่างน้ำเกลือเข้ามา
“น้ำเกลือมาแล้วค่ะ !”
“เอาน้ำเกลือราดมัน ดูซิว่าจะปากแข็งไปได้อีกสักกี่น้ำ” จงจิตสั่ง
เสงี่ยมเตรียมจะราดน้ำเกลือลงบนหลังเวียงแก้ว
เสียงดำรงดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้นะ !”
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน นมแสงพาดำรงเข้ามา ดำรงมองเวียงแก้ว ทั้งๆที่ชังน้ำหน้า แต่ก็อดนึกเวทนาไม่ได้
ดำรงนั่งเป็นประธานไต่สวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“จะเอากันให้ตายเลยใช่มั้ยถึงจะสาแก่ใจพวกหล่อน ! เจ้าปกรณ์รึก็ช่างกระไร ! เมียถูกเฆี่ยนตรงหน้า ทำไมถึงไม่ห้าม ยืนบื้อใบ้อยู่ได้”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเฆี่ยนตีเวียงแก้วจนแตกยับไปทั้งตัวขนาดนี้”
“ก็ลองถามนังงูพิษนี่ดูสิคะ ว่ามันทำอัปรีย์อะไรไว้” จงจิตว่า
เสงี่ยมส่งตุ๊กตาหุ่นรูปรอยให้ดำรงพร้อมกับอธิบาย
“ดิฉันเห็นแม่เวียงแก้วถือหุ่นรูปรอยนี่ อยู่ในห้องคุณปกรณ์ค่ะ”
“หลักฐานมัดตัวแน่นหนาขนาดนี้ คุณพ่อยังจะเข้าข้างมันอีกหรือคะ” สร้อยฟ้าว่า
“เวียงแก้ว ! หล่อนไปเอาไอ้ตุ๊กตาบ้าๆนี่มาจากไหน” ดำรงถาม
“ตุ๊กตาอะไร ข้าเจ้าไม่รู้เรื่องทั้งนั้น...ข้าเจ้าเข้าไปปัดกวาดห้องคุณปกรณ์ ก็พบมันวางอยู่ใต้ที่นอนแล้วเจ้า”
“อีหน้าด้าน ! ทำผิดแล้วยังแกล้งไขสือ มันน่าจะเฆี่ยนให้ตายคาหวาย”
“นั่งลง แม่สร้อยฟ้า ! อย่าให้ฉันเหลืออดกับหล่อน ! มีอะไรจะแก้ตัวอีกมั้ย แม่เวียงแก้ว”
เวียงแก้วได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“คนมันมีกำพืดมาจากที่ต่ำๆ ก็คิดแต่จะทำเรื่องต่ำๆนั่นแหละค่ะ”
“เต็มไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวียงแก้วจะทำเรื่องพรรค์นี้ แต่ถ้าแม่เวียงแก้วไม่ได้ทำ แล้วใครจะเป็นคนทำล่ะคะ” เต็มเดือนปรายตาไปทางสร้อยฟ้า
“หลักฐานก็ฟ้องอยู่โทนโท่ ว่านังเวียงแก้วจะเอาหุ่นคุณไสยนั่นไปซุกไว้ใต้ที่นอน จริงมั้ยคะ.. คุณพี่”
สร้อยฟ้าเอาน้ำมันพรายลอบป้ายปกรณ์
“จริงครับ! ผมเห็นคาตาว่านังแพศยานี่เอาของอุบาทว์เข้ามาในห้อง” ปกรณ์บอก
“แต่หัวเด็ดตีนขาดดิฉันก็ไม่เชื่อ ! ทุกวันนี้ คุณพี่เองก็รักแม่เวียงแก้วไม่ได้น้อยหน้าภรรยาคนไหนๆ แล้วจะทำเสน่ห์ เล่ห์กลให้เป็นอัปมงคลกับตัวเองไปทำไม ดีไม่ดีเวรกรรมจะพลอยตกแก่ลูกในท้อง”
สะใภ้ทั้งสามสบตากันแล้วหน้าถอดสี เมื่อรู้ว่าความลับปิดไม่มิด
“หล่อนว่ายังไงนะแม่จันทร์ฉาย ลูกในท้องใคร ?” ดำรงถาม
“เวียงแก้วกำลังตั้งท้องกับพี่ปกรณ์ได้ 3 เดือนแล้วครับคุณพ่อ” ดิลกบอก
ดำรงเสียงอ่อนลงทันที “จริงหรือเปล่า แม่เวียงแก้ว ?”
เวียงแก้วพยักหน้าทั้งน้ำตา “จริงเจ้า...”
“จริงหรือนี่... เต็มไม่เคยรู้มาก่อน ! สกุลบดินทร์ธรของเรากำลังจะมีทายาทแล้วค่ะ คุณพ่อ ! เต็มดีใจเหลือเกิน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้” เต็มเดือนว่า
“แกเป็นผัวประสาอะไร ห๊า ! เจ้าปกรณ์เมียกำลังจะมีลูกยังไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้ถูกแม่พวกนี้เฆี่ยนตีปางตาย ถ้าหลานฉันเป็นอะไรขึ้นมา ใครหน้าไหนจะรับผิดชอบ... พาแม่เวียงแก้วไปพักผ่อนได้แล้ว”
“แล้วเรื่องตุ๊กตาทำเสน่ห์นี่ล่ะคะ จะว่ายังไง ?” จงจิตถาม
“เอาไปทำลายทิ้งให้สิ้นซาก ! งมงายไม่เข้าเรื่อง” ดำรงว่า
จันทร์ฉายกอดเวียงแก้วด้วยความดีใจที่พ้นผิด
จันทร์ฉายทายาที่หลังให้เวียงแก้วเสร็จพอดี
“ฉันทายาแผลที่หลังให้แล้ว กินยาอีกสักหน่อย ไม่นานก็หาย”
เวียงแก้วก้มลงเวียงแก้วกราบดิลกกับจันทร์ฉายด้วยความซาบซึ้ง
“ถ้าคุณดิลกกับคุณจันทร์ฉายไม่เมตตาช่วยไว้ ข้าเจ้ากับลูกในท้องคงต้องตายคาหวายไปแล้ว”
“คิดแล้วมันน่าเจ็บใจ ใครนะ เล่นสกปรกทำเสน่ห์เล่ห์กลใส่คุณปกรณ์”
“จะใครก็ช่าง....ฉันเอาน้ำมนต์ธรณีธารของหลวงพ่อที่วัดให้พี่ปกรณ์ทั้งกินทั้งอาบ จะได้ล้างอาถรรพ์ ขับไล่สิ่งอัปมงคลให้พ้นตัว”
“แล้วหุ่นรูปรอยเจ้าปัญหานี่ จะทำลายยังไงดีล่ะคะ” นมแสงถาม
“เอามาให้ฉัน.... เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
จันทร์ฉายรับตุ๊กตาเสน่ห์มาจากนมแสงเพราะรู้วิธีจัดการ
จันทร์ฉายถือหุ่นรูปรอยยืนอยู่หน้ากองไฟ
“ใครที่บังอาจเล่นของสกปรกต่ำช้า ทำคุณไสยใส่คนอื่น ขอให้ของเหล่านั้น จงย้อนเข้าตัวมันด้วยเถิด”
จันทร์ฉายโยนตุ๊กตาเสน่ห์ใส่กองไฟลุกพรึ่บเพื่อเผาตุ๊กตาขี้ผึ้งจนหลอมละลาย กลายเป็นควันสีดำ
ควันสีดำนั้นลอยพุ่งเข้าไปยังห้องสร้อยฟ้าทีเปิดหน้าต่างอยู่
อ่านต่อหน้า 3
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 8 (ต่อ)
ควันสีดำเหล่านั้นสูดเข้าไปทางจมูกของสร้อยฟ้าที่กำลังจะเดินมาปิดหน้าต่าง
“ใครมันเผาบ้าอะไรแถวนี้ ควันโขมง เหม็นไปหมด....”
สร้อยฟ้าสำลักควันด้วยความรุ่มร้อนเหมือนมีไฟแผดเผา สักพักเธอก็ปวดท้องจนทรุดลงไปที่พื้น แขนสร้อยฟ้าคล้ายๆกับมีอะไรบางอย่างวิ่งไปมาอยู่ใต้ผิวหนัง
สร้อยฟ้าร้องลั่น “กร๊ดด”
สร้อยฟ้าขวัญกระเจิง
สร้อยฟ้าร้องลั่น ดิ้นพราดๆ ชิดกับลูกศิษย์พ่อปู่ต้องช่วยกันกดเอาไว้ไม่ให้ดิ้น พ่อปู่ทำพิธีเรียกคุณไสยออกจากตัวสร้อยฟ้า เขาเสกน้ำมนต์แล้วเอากรอกปาก สร้อยฟ้าอาเจียนออกมาเป็นน้ำมันพรายเมือกๆ มีเส้นผม และหนอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
“ฤทธิ์คุณไสยที่มันย้อนเข้าตัว ถ้าทำพิธีถอนไม่ทัน เอ็งตายไปแล้ว”
สร้อยฟ้าที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงยกมือไหว้พ่อปู่ที่ช่วยชีวิตเอาไว้
ภาพในอดีตฉายชัดในดวงตาของร้อยดาวก่อนที่จะกลับสู่ปัจจุบัน
“มนต์เสน่ห์จากสำนักไสยศาสตร์ใดก็ไม่ทรงอำนาจ และน่ากลัวเท่าฤทธิ์ของตัณหาราคะที่ทำให้จิตใจคนเราหมกมุ่น ไม่อิ่มในกามารมณ์ตลอดเวลา 25 ปี แม่อกไหม้ไส้ขม ถูกตราหน้าจากทุกคนในบดินทร์ธรว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ ร่านริษยา ใช้เล่ห์เพทุบายเสกคุณไสยทำเสน่ห์ใส่พ่อของลูกจนถอนตัวไม่ขึ้น.... คราวนี้รู้แล้วใช่มั้ย !” เวียงแก้วว่า
“คุณแม่ขา... หนูไม่ได้ตั้งใจ.... หนูขอโทษ...ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้”
“ถูกคนอื่นประณามหยามเย้ย ยังไม่เจ็บปวดเท่าลูกตัวเองพลอยผสมโรงไปกับเขาด้วย น้ำนมจากอกแม่มันหมดยางแล้วนี่ ลูกปีกกล้าขาแข็งแล้ว ถ้าคิดจะไปร่วมมือกับศัตรู ย้อนกลับมาทำร้ายแม่ก็เอาเลย”
เวียงแก้วร้องไห้เพราะทั้งเสียใจ น้อยใจ ระคนแค้น ก่อนหายวับไปเมื่อตอนใกล้ฟ้าสางพอดี
“คุณแม่...”
ร้อยดาวรู้สึกผิดที่หลงเชื่อคนอื่นจนมองเวียงแก้วผิดไป
สะใภ้ทั้งสามมาปรึกษาเรื่องปราบผีเวียงแก้วที่เรือนพ่อปู่ พ่อปู่นั่งหน้าหิ้งบูชา ที่มีเทวรูป หัวกะโหลกและเครื่องประกอบพิธีตั้งตระหง่านแลดูขลัง
“ตั้งแต่หลุดจากยันต์ที่พ่อปู่เคยสะกดมันเอาไว้ได้ ผีอีเวียงแก้วก็ออกอาละวาด ไล่ฆ่าคนเป็นว่าเล่น เห็นทีจะกำจัดมันให้สิ้นซาก พ่อปู่จับมันลงหม้อถ่วงน้ำดีไหมเจ้าคะ มันจะได้ไม่ต้องไปผุดไปเกิด”
“จะเอาไปถ่วงน้ำทำไมให้เสียของ ยิ่งเฮี้ยนยิ่งดี ! ข้าจะได้จับมัน เอามาเลี้ยงเป็นบริวารรับใช้” พ่อปู่ว่า
จงจิตเหน็บ “โบราณว่าไว้หมองูตายเพราะงู แล้วหมอผีอย่างพ่อปู่ไม่กลัวตายเพราะอีผีร้อยเล่ห์อย่างนังเวียงแก้วบ้างหรือเจ้าคะ”
“ถ้าไม่แน่จริง ข้าไม่หนังเหนียวอยู่รอดมาจนถึงป่านนี้หรอก นังหนู.....”
พ่อปู่ส่งสายตาเจ้าชู้ไปยังจงจิต จงจิตเบ้ปากเพราะรู้สึกสะอิดสะเอียน
พ่อปู่หัวเราะ “ปราบผีน่ะมันเรื่องเล็ก ! แต่พวกเอ็ง 3 คนจะให้ค่าวิชาข้าสักเท่าไหร่”
“แล้วแต่พ่อปู่เถอะ หากกำจัดผีร้ายให้ออกไปให้พ้นบดินทร์ธรได้ ต้องการอะไร ดิฉันก็ยอมถวายให้ทั้งนั้น” เต็มเดือนว่า
พ่อปู่มองสามสะใภ้แบบคิดไม่ซื่อ
สามสะใภ้ปรึกษาหารือกันเรื่องพ่อปู่
“บอกตรงๆ.... ฉันไม่ค่อยอยากจะไว้ใจพ่อป่งพ่อปู่อะไรนั่น ดูหน้าตาท่าทางชีกอ เหมือนพวกเฒ่าหัวงูเสียมากกว่า”
“คุณพี่อย่าได้พูดจาลบหลู่พ่อปู่เชียวนะคะ ! น้องได้ยินมาว่าพ่อปู่เลี้ยงพรายกระซิบ เกิดพูดจาไม่เข้าหู พ่อปู่กริ้ว เสกหนังวัวหนังควายเข้าท้องคุณพี่โทษฐานที่ปากเสีย น้องไม่รู้ด้วย”
“ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาเพ่นพ่านที่นี่นัก เดี๋ยวใครรู้เข้าจะผิดสังเกต อีกนานไหม แม่สร้อยฟ้า กว่าพ่อปู่จะลงมือ ?”
“เห็นว่าพ่อปู่กำลังรอฤกษ์ยามที่เหมาะสมอยู่ค่ะ คงจะอีกไม่นานนี้”
“เดี๋ยวก็รู้ คนหรือผีจะแน่กว่ากัน” จงจิตว่า
สร้อยฟ้าพูด “แน่หรือไม่แน่ แค่ลำพังอานุภาพตะกรุดของพ่อปู่ ยังสยบผีอีเวียงแก้วมาแล้ว จำไม่ได้หรือไงคะ คุณพี่เต็มเดือนเก็บตะกรุดลงอาคมเอาไว้ให้ดีเชียวนะคะ ของศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ ถ้าสะเพร่าทำหายไปล่ะก็ เสียดายแย่”
เต็มเดือนฟังสุ้มเสียงหน้าตาเยาะเย้ยของสร้อยฟ้าพอมั่นใจว่าเป็นคนเอาตะกรุดไปก็ยิ่งแค้น
ดาราเรศเดินสะโหลสะเหลเพราะอดนอน เธอกำลังจะเดินขึ้นบันได สร้อยฟ้ายืนดักอยู่ตรงเชิงบันได
“หายหัวไปไหนมา ยัยเรศ ! บ้านช่องไม่ยอมกลับ”
ดาราเรศหาวหวอด “ปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนน่ะแม่”
“วันเกิดอะไร เลี้ยงกันข้ามวันข้ามคืน ดูสารรูปซิ อย่างกับไปฟัดกับหมาที่ไหนมา” สร้อยฟ้าทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นเหล้า ! นี่แกริกินเหล้าเมายาด้วยเหรอ ยัยเรศ !”
“โอ๊ยย... ใครๆเขาก็กินเพื่อเข้าสังคมกันทั้งนั้นแหละแม่”
“หัดทำตัวให้เป็นกุลสตรี สมกับว่าที่หม่อมแห่งเวฬุมาศเสียบ้างเกิดคุณชายสิบทิศมาเห็นแกในสภาพนี้เข้า จะว่ายังไง ห๊า”
“รู้แล้วน่า ! ไปนอนก่อนนะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว”
ดาราเรศเดินหาวหวอดๆ กระแทกเท้าขึ้นบันได
สร้อยฟ้ามองไล่หลัง “นังลูกคนนี้”
จงจิตเดินถือพัดลอยหน้าเข้ามาข้างๆสร้อยฟ้า
“เลี้ยงลูกสาวได้ดีจริงๆ ถอดแบบจากแม่มาทุกกระเบียด”
พอเย้ยเสร็จจงจิตก็เดินจากไป สร้อยฟ้ามองตามอย่างไม่สบอารมณ์
ร้อยดาวนั่งคุยกับปรมัตถ์ บนโต๊ะเบื้องหน้ามีของว่างและแก้วน้ำกระเจี๊ยบวางอยู่
“จิตใจฉันตอนนี้ ไม่ค่อยดีเลย ปรมัตถ์...มันทั้งสับสน เศร้าหมอง หดหู่ยังไงบอกไม่ถูก จนบางที ฉันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ความตายกำลังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ จนแทบจะหายใจรดต้นคอ”
ดาหลาผ่านมาเห็นเข้าพอดีก็ชะงัก
ปรมัตถ์พูด “อาจเป็นเพราะระยะนี้มีคนเสียชีวิตในบดินทร์ธรติดต่อกัน ก็เลยทำให้คุณหนูไม่สบายใจ ถ้ามีโอกาส กระผมจะพาคุณหนูไปทำบุญที่วัดออกไปเที่ยวข้างนอก เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง เผื่อคุณหนูจะดีขึ้น”
ดาหลารู้ชัดแล้วว่าปรมัตถ์มีใจให้ร้อยดาว เธอก็เดินจากไปอย่างคนที่เจียมตัวเจียมใจ ปรมัตถ์เอื้อมมือจะไปจับมือร้อยดาว แต่ก็ชะงักทำได้เพียงแค่ปลายนิ้วแตะกัน ร้อยดาวเกรงว่าจะไม่เหมาะสมจึงขยับมือเลื่อนหนี ทันใดนั้น ดารกาก็ปรี่เข้ามาแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงเอาแก้วน้ำกระเจี๊ยบที่อยู่บนโต๊ะสาดใส่ร้อยดาว
“นังร้อยดาว !!! นังหน้าด้าน”
ดารกาจะปราดเข้าไปตบร้อยดาว ปรมัตถ์ปกป้องร้อยดาวโดยเอาตัวเองขวางไว้
“หยุดนะครับ ! คุณหนูไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้” ปรมัตถ์ว่า
“พี่ปรมัตถ์อย่าไปหลงมารยาร้อยเล่มเกวียนของนังร้อยดาวนะคะนังนี่มันร้าย ให้ท่ายั่วผู้ชายไม่เลือกหน้า”
“คุณจะหยุดให้ร้ายฉันได้หรือยังคะ คุณดารกา ! ถึงฉันจะเติบโตที่เมืองนอก แต่ก็ไม่เคยประพฤติตัวเสื่อมเสียอย่างที่คุณกล่าวหา”
“อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ ! เลือดแม่มันแรง แกถึงได้สำส่อน มักมากจะไปมั่วกับผู้ชายที่ไหนก็ไป แต่พี่ปรมัตถ์เป็นของฉัน แกอย่าสะเออะ”
“พอได้แล้วครับ คุณหนู ! ไม่มีใครเป็นของใครทั้งนั้น ! หัวใจเป็นของผม ผมมีสิทธิ์จะมอบให้กับคนที่ผมรัก ไม่มีใครบังคับผมได้ คุณหนูกลับไปเถอะครับ อย่าให้ผมต้องรู้สึกแย่กับคุณหนูมากไปกว่านี้เลย”
ดารกาฟังปรมัตถ์แล้วถึงกับอึ้ง เธอรู้สึกเสียหน้าร้อยดาวจึงวิ่งหนีไป
ดารกาวิ่งมายังดงไม้แล้วร้องไห้เพราะอยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพัก ทันใดนั้น ดารกาก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของคนงานดังลั่น ดารกาแหวกพุ่มไม้แอบดูก็เห็นปั้นกำลังกระทืบคนงานชายอย่างหนักจนแทบปางตาย
“ไอ้ชาติชั่ว ! จำไว้นะ ! ถ้ากูไม่สั่ง มึงไม่สิทธิ์”
“เรื่องแค่นี้ จะกระทืบมันให้ตายเลยหรือไง” จงจิตว่า
“เรื่องแค่นี้เหรอ !ไอ้ระยำนี่มันคิดไม่ซื่อ ลักลอบได้เสียกับคุณจะให้เก็บมันไว้ทำไม !” ปั้นกระทืบไม่ยั้ง
ดารกาตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ปั้นพูด จงจิตทนต่อไปไม่ไหวจึงปราดเข้าไปห้ามปั้น
“พอได้แล้ว ! มันไม่ผิด ! ฉันเป็นคนสั่งให้มันมีอะไรกับฉันเอง”
ดารกาแทบจะกรีดร้องออกมาแต่ก็ต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำตัวเหลวแหลกเสียที ถ้าคุณหนูดารการู้ว่าแม่ตัวเองนอนกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้า จะรู้สึกยังไง”
“ฉันจะไปนอนกับใครมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับแก ไอ้ปั้น”
ดารกาทนฟังต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เธอทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวังจึงรีบวิ่งหนีไป
ดารกากลับมาที่ห้องปิดประตูโดยยังช็อค เสียงปั้นที่ได้ยินยังตามมาหลอกหลอน
“ถ้าคุณหนูดารการู้ว่าแม่ตัวเองนอนกับชายอื่นไม่ซ้ำหน้าจะรู้สึกยังไง”
ดารกาวิ่งเข้าห้องน้ำไปไขฝักบัวให้น้ำรดทั่วร่างโดยหวังจะให้ตื่นจากฝันร้าย ดารกานั่งกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องน้ำ ท่ามกลางสายน้ำจากฝักบัวจนเปียกปอน
ดาหลาหลบมาอยู่ที่หลังตึกคนเดียวซึ่งเป็นมุมที่ดาหลาชอบหลบตัวมาอยู่เป็นประจำ เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่ดาหลาเห็นปรมัตถ์กับร้อยดาวสวีทหวานกัน กระถินเข้ามานั่งข้างๆดาหลาแล้วแสร้งว่าเห็นใจแต่ต้องการจะเสี้ยม
“แอบรักคนที่เขาไม่รัก ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งเจ็บ สู้ไม่เจอหน้ากันเลยยังดีเสียกว่า แต่ก็ยังเจ็บปวดทรมานใจไม่เท่า เห็นเขารักคนอื่นต่อหน้าต่อตา”
“ความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการได้ยืนมองคนที่เรารักมีความสุข ถึงแม้ว่าความสุขของเขา คือการไปรักกับใครคนอื่นก็ตาม” ดาหลาบอก
“มัวแต่สวมบทเป็นแม่พระอยู่อย่างนี้ ก็คงต้องยอมเสียผู้ชายดีๆอย่างคุณปรมัตถ์ให้กับคุณหนูร้อยดาว คิดแล้วก็น่าเสียดาย...”
“ทำไมต้องเสียดายด้วยในเมื่อคุณหนูร้อยดาวเธอเพียบพร้อมทุกอย่าง”
“จะเว้นก็แต่...คุณปรมัตถ์เป็นแค่ของเล่นฆ่าเวลาไปวันๆของคุณหนูร้อยดาวน่ะสิ ลองคิดดู มีผู้ชายรวยๆมาติดพันคุณหนูตั้งมากมาย จะเลือกลูกชายทนายไส้แห้งทำไมให้โง่ สู้แต่งงานเสวยสุขไปเป็นหม่อมหรือไม่ก็ภรรยาทูตจะไม่ดีกว่าเหรอ จริงไหมคะ คุณดาหลา ?”
ดาหลาอดคล้อยตามกระถินไม่ได้ เธอคิดเป็นห่วงปรมัตถ์ขึ้นมาทันที
จงจิตกลับมาที่ห้องที่ดารกานั่งคอยท่าอยู่
“คุณแม่ไปไหนมาคะ ?” ดารกาเอ่ยถาม
“ฉันจะไปไหนมาไหนต้องคอยมารายงานแกด้วยหรือไง” จงจิตว่า
“มันน่าอับอายจนคุณแม่ไม่กล้าบอกหนูใช่ไหมล่ะคะ”
ดารกานำตารื้นเสียงสั่น จงจิตไม่กล้าสบตาลูกสาวแต่ก็เก็บอาการพิรุธไม่อยู่
“พูดเรื่องอะไรของแก ยัยดา ? แกไปรู้อะไรมา ?”
“หนูรู้เรื่องแม่กับคนงานในไร่หมดแล้ว”
จงจิตหน้าซีดเผือด ใจหายวาบ
“คุณแม่ทำแบบนี้ได้ยังไง คุณแม่เป็นเมียคุณพ่อนะคะ ทำไมถึงได้ทำตัวน่ารังเกียจ มากชายหลายรักอย่างนี้” ดารกาว่า
จงจิตตบหน้าดารกาฉาดใหญ่ด้วยความโกรธ
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ ยัยดา ! ฉันเป็นเมียพ่อแกแล้วยังไง ! นังเต็มเดือน นังสร้อยฟ้า แม้แต่ขี้ข้าอย่างนังเวียงแก้วก็เป็นเมียพ่อแกกันทั้งนั้น พ่อแกมีเมียหลายคนได้ ทำไมฉันจะมีผู้ชายหลายคนบ้างไม่ได้”
จงจิตพูดทั้งน้ำตา ทั้งขมขื่น ทั้งเจ็บปวดและกล้ำกลืน
“ผู้ชายก็มันเลวเหมือนกันหมด ! เห็นแก่ตัว มักมาก ไม่รู้จักพอ ใช้ผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบำเรอกาม กี่ครั้งแล้วที่พ่อแกทำให้ฉันน้ำตาเช็ดหัวเข่า แล้วแกจะเรียกร้องให้ฉันรักเดียวใจเดียว ซื่อสัตย์กับพ่อแกไปทำไม ในเมื่อพ่อแกทำได้ ฉันก็ทำได้”
“แต่หนูเชื่อว่า ผู้ชายไม่ได้เลวไปหมดทุกคนอย่างที่คุณแม่คิด โลกนี้ยังมีคนดีๆเหลืออยู่ อย่างน้อย...ก็พี่ปรมัตถ์”
“ตาสว่างเสียทีเถอะยัยดา ! ไอ้ปรมัตถ์มันไม่ได้รักแก ขนาดแกทอดสะพานให้ท่ามันถึงห้อง มันยังไม่ชายตามองเลยด้วยซ้ำ เลิกหลงมันหัวปักหัวปำเสียทีเถอะ เอาเวลาไปคิดหาทางกำจัดศัตรูที่จะมาแย่งสมบัติของเราดีกว่า”
ดารกามีสีหน้าเย็นชาและห่างเหิน
สิบทิศยืนรอน่านฟ้าที่สถานีรถไฟจนเย็นย่ำแต่ก็ไร้วี่แววของน้องสาว
สิบทิศไข้ขึ้นสูงและรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง สิบทิศถึงกับทรุดลงนั่ง หน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป
รถที่ชิดขับแล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึกบดินทร์ธร โดยมีเต็มเดือนนั่งที่เบาะหลัง ชิดมาเปิดประตูให้เต็มเดือนลงจากรถ เธอลงมาพบกับร้อยดาวพอดี
“ออกไปข้างนอกมาหรือคะ คุณเต็มเดือน ?” ร้อยดาวถาม
“จ้ะ... ฉันไปธุระในเมืองมา เพิ่งกลับ”
ร้อยดาวเห็นเต็มเดือนถือห่อกระดาษที่ใช้ห่อยาจีนกลับมาด้วย
“นั่นห่ออะไรคะ ?” ร้อยดาวถาม
“ยาจีนน่ะจ้ะ... พอใกล้วัยหมดระดู มันร้อนวูบวาบไปหมด ซินแสก็เลยจัดยาบำรุงมาให้...”
“ให้ดิฉันช่วยต้มยาให้คุณนะคะ”
ร้อยดาวยื่นมือจะหยิบห่อยาจีน แต่เต็มเดือนรีบชักกลับ
“ไม่ต้อง !”
ร้อยดาวเอะใจเล็กๆ กับน้ำเสียงและท่าทีของเต็มเดือน
“ยาจีนไม่ใช่ต้มกันง่ายๆ ต้องกะให้ตัวยาถูกขนาด ถูกสัดส่วน พอดีกัน ไม่อย่างนั้นจะรักษาไม่ได้ผล ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ แต่ฉันต้มเองดีกว่า”
เต็มเดือนยิ้ม ก่อนเดินเข้าไปในตึก
ร้อยดาวมองตามเต็มเดือนก็เห็นท่าทางแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก ชิดสตาร์ทรถจะขับเข้าไปจอดในโรงรถ ร้อยดาวเห็นใบหน้าของชิดเป็นหัวกะโหลก ร้อยดาวกะพริบตาอีกครั้งก็เห็นที่หน้าผากของชิดมีกากบาทอยู่ที่กลางหน้าผาก เธอเห็นผีนายหม่อง นายดำ นายบึก นายเฉิ่ม ตัวดำมะเมื่อม นั่งอยู่ในรถของชิดด้วย ร้อยดาวมองตามรถที่บึกขับเคลื่อนออกไป
ร้อยดาววิ่งมาหาชิดที่เอารถจอดในโรงรถเรียบร้อยแล้ว
“นายชิด ฟังฉันให้ดีนะ ตอนนี้ นายกำลัง...”
“พอ !” ชิดขัดขึ้น “ถ้าจะเตือนเรื่องดวงผมถึงฆาตล่ะก็ ผมไม่ฟงไม่ฟังอะไรทั้งนั้น คุณหนูอย่าพูดให้เปลืองน้ำลายจะดีกว่า”
“นายก็เห็นเพื่อนนายเป็นตัวอย่างมาแล้ว ทั้งนายหม่อง นายดำ นายบึก นายเฉิ่ม ว่าประสบชะตากรรมยังไง นายชิด นายต้องเชื่อฉัน”
“ต่อให้คุณหนูรู้ว่าใครกำลังจะตาย แต่คุณหนูก็หยุดมันไว้ไม่ได้แล้วจะมาเตือนผมทำไม ไปเตือนนังผีร้ายแม่ของคุณหนูเถอะ ไป๊”
“แต่ถ้านายฟังฉัน ทำตามที่ฉันบอก นายอาจจะรอด...”
“ผมต้องรอดอยู่แล้ว”
ชิดล้วงสายสิญจน์ที่คอมาให้ร้อยดาวดู
“นี่อะไร รู้มั้ย ! สายสิญจน์ลงอาคมไงล่ะ ! ต่อให้ผีจากนรกขุมไหนก็ทำอันตรายผมไม่ได้ทั้งนั้น ! อีกไม่นาน ผีคุณแม่ของคุณหนูที่เฮี้ยนนักเฮี้ยนหนาก็จะถูกปราบจนสิ้นซาก ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด คอยดู !”
ชิดพูดจบก็เดินไปอย่างหัวเสีย ร้อยดาวมองตามตาค้าง เธอเห็นผีนายหม่อง นายดำ นายบึก นายเฉิ่มเดินตามเป็นพรวน
น่านฟ้าทำตาโตเมื่อรู้เรื่องจากร้อยดาว
“พี่ร้อยดาวพูดราวกับว่า นายชิด...จะเป็นรายต่อไป...” น่านฟ้าว่า
“ทุกครั้งที่เห็นรอยกากบาทปริศนาปรากฏบนหน้าผากของใคร ต่างก็ต้องมีอันเป็นไปพบจุดจบกันทุกคน นายชิดคือคนที่ 5 ซึ่งกำลังจะถูกไล่ล่าในคืนนี้”
“การตายที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุหรือเรื่องบังเอิญก็ได้ คิดมาก” มารุตว่า
“แล้วกากบาทที่หน้าผากแต่ละศพล่ะ ยูจะอธิบายว่ายังไง ถ้าไม่ใช่สัญลักษณ์ของกลุ่มดาวนายพรานที่อยู่บนเพดาน 6 รอยนั่น”
น่านฟ้าแหงนหน้าพิจารณารอยกากบาทที่อยู่บนเพดานก่อนจะลากนิ้วไปมาในอากาศ
“ตำแหน่งของรอยกากบาทนี่ดูๆไปก็คล้ายกับตำแหน่งของกลุ่มดาวนายพรานอยู่ แต่จำนวนนี่สิคะทำไมมีแค่ 6 รอย ถ้าเป็นสัญลักษณ์ของดาวนายพรานจริง ก็น่าจะมีกากบาทตรงนั้นอีกรอยถึงจะครบ 7”
“ถูกเผงของยัยบ๊อง ! กากบาทนี่มีแค่ 6 รอยเท่านั้น จะเป็นดาวนายพรานไปได้ยังไง ยูน่ะคิดมากไปจริงๆด้วย”
มารุตแกล้งกระเซ้าร้อยดาวที่ยืนแหงนมองบนเพดานตาค้าง
“ดูนั่น !”
“โอ้ มาย กอต !!! เป็นไปได้ยังไง”
น่านฟ้ากับมาร์คค่อยๆแหงนขึ้นไปมองตามสายตาของร้อยดาวแล้วได้แต่ยืนมองตาค้าง รอยกากบาทรอยที่ 7 ค่อยๆเลือนเข้าอย่างๆช้าๆในตำแหน่งเดียวกับที่น่านฟ้าบอก
กลุ่มดาวนายพรานทั้ง 7 ดวงบนท้องฟ้า แล้วกว้างออกเห็นร้อยดาวยืนมองตาเขม็ง น่านฟ้าเปิดตำราเล่มหนาเตอะเกี่ยวกับตำนานดวงดาวแล้วอ่านให้ทุกคนฟัง
น่านฟ้าอ่าน) ตำนานอียิปต์เชื่อกันว่ากลุ่มดาวนายพรานคือเทพโอซิริส จ้าวแห่งชีวิตหลังความตาย เนื่องจากภายหลังที่โอซิริสเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ได้ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมแล้ว วิญญาณได้กลับมาอีกครั้งจากโลกแห่งความตายเพื่อเฝ้ารอการแก้แค้นจากผู้เป็นบุตร...”
“เดี๋ยวนะ !” มารุตขัด “ถ้าโอซิริสเก่งกล้าสามารถ ขนาดกลับจากโลกแห่งความตายได้ ทำไมต้องรอให้ลูกมาช่วยล้างแค้นด้วยล่ะ ไม่ฆ่าศัตรูให้ตายๆไปซะจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
“เพราะว่ารสชาติของการแก้แค้นจะได้หอมหวานคุ้มค่ากับการรอคอยที่แสนจะทุกข์ทรมานน่ะสิ”
“ยูพูดราวกับหยั่งรู้หัวจิตหัวใจของโอซิริสดีซะเหลือเกิน หรือว่า...จริงๆแล้วยูคือลูกของโอซิริสที่กลับมาช่วยทวงแค้น”
ร้อยดาวถึงกับสะดุ้งเมื่อฉุกคิดว่าตนนั้นก็ไม่ต่างจากลูกของโอซิริสจริงๆ
“ไร้สาระ ! นี่ถ้าพี่ร้อยดาวไม่บอกว่านายเป็นลูกท่านทูต จ้างให้ฉันก็ไม่เชื่อ คนอะไร...พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย” น่านฟ้าว่า
“ยูว่าใครห๊า ! ยัยเพี้ยน” มารุตชี้หน้าน่านฟ้า
“ก็ว่านายนั่นแหละ ตาบ๊อง” น่านฟ้าเอาหนังสือฟาดใส่หัวมารุต
มารุตวิ่งไล่จับน่านฟ้า น่านฟ้าวิ่งหนีชุลมุน ร้อยดาวจ้องมองกลุ่มดาวนายพรานด้วยความหนักใจ
ชิดกำลังพลอดรักกับสายใจ สาวคนงานในไร่
“มามะ...แม่สายใจ มาให้พี่ชิดชื่นใจสักฟอดสองฟอด” ชิดหอมแก้ม
“ไม่เอาน่า.... ดูซิเนี่ย สายใจช้ำไปทั้งตัวแล้ว”
ชิดไม่ยอมหยุด เขาฝังจูบไปที่ต้นคอสายใจจนสายใจอดเคลิ้มไปไม่ได้ สายใจเห็นดวงไฟคล้ายหิ่งห้อย แต่ดวงใหญ่กว่าลอยไปลอยมาอยู่ด้านหลังชิด
สายใจทัก “นั่นอะไรน่ะ !”
ทันทีที่สายใจทัก ดวงไฟดวงนั้นก็ลอยวูบเข้าสิงร่างสายใจทันที ชิดหันมากวาดตามองแต่ไม่เห็นอะไร
“ไม่เห็นจะมีอะไร... ฮั่นแน่ ! หลอกพี่ใช่มั้ย อย่างนี้ต้องถูกทำโทษ”
ชิดจะโผเข้ากอดสายใจ สายสิญจน์ที่คอชิดสว่างวาบ สายใจผงะกระถดหนี
“จะไปไหนอีกล่ะจ๊ะ สายใจ เมื่อไหร่จะยอมใจอ่อนเสียที เล่นตัวอยู่ได้”
สายใจพูดเสียงเย็นๆ “สายสิญจน์ที่คอพี่ ถอดออกก่อนดีไหมจ๊ะ”
“ทำไมต้องถอดด้วย ?”
“ของศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ คล้องไว้ พี่ไม่กลัวเสื่อมหมดหรือจ๊ะ”
ชิดคิด คล้อยตาม
“ถอดออก แล้วแขวนเอาไว้ที่สูงๆจะดีกว่า”
ชิดถอดสายสิญจน์ ออกมาแขวนกิ่งไม้เอาไว้โดยไม่ทันเฉลียวใจคิด
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ.... ทีนี้ก็ถึงเวลาสนุกของเรากันแล้วนะจ๊ะ”
“ใช่จ้ะ ! ถึงเวลาของพี่แล้ว”
ผีเวียงแก้วพุ่งออกจากร่างสายใจ สายใจหงายหลังเป็นลมหมดสติไป
ชิดตาเบิกโพลง “คุณเวียงแก้ว !”
ชิดตาเหลือกตาลาน เวียงแก้วย่างสามขุมเข้ามาหาช้าๆ
ชิดล้มลุกคลุกคลาน เขาจะเอื้อมไปหยิบสายสิญจน์ แต่สายสิญจน์ตกหายไปไหนก็ไม่รู้ ชิดเอามือควานหาสายสิญจน์แทบเป็นบ้า เวียงแก้วย่างสามขุมเข้ามาเรื่อยๆ ชิดตัดสินใจวิ่งหนีเอาตัวรอด
ร้อยดาวกับน่านฟ้าเดินมาส่งมารุตที่รถแล้วโบกมือบ๊ายบายเตรียมตัวจะกลับ ทันใดนั้น ชิดก็วิ่งกระหืดกระหอบแบบไม่คิดชีวิตมาหาร้อยดาวในสภาพปากคอสั่น
“คุณหนูขอรับ.... ช่วยกระผมด้วยขอรับ”
“จะให้พี่ร้อยดาวช่วยอะไร นายชิด ใจเย็นๆ ค่อยๆเล่า” น่านฟ้าว่า
“ช่วยชีวิตกระผมด้วย.... ผีคุณเวียงแก้ว กำลังจะตามมาแล้ว”
ทั้งสามตาค้าง มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“มาร์ค สตาร์ทรถ เราต้องรีบพานายชิดไปจากที่นี่ ! เร็วสิ” ร้อยดาวเร่ง
ทั้งหมดรีบขึ้นไปนั่งในรถของมารุตทันที
มารุตขับรถด้วยความเร็วสูง น่านฟ้านั่งเบาะหน้าข้างๆมารุต
“นี่ยูจะให้ไอขับพานายคนนี้ไปไหนเนี่ย” มารุตถาม
“ไปวัด ! วัดไหนก็ได้ ที่อยู่ใกล้บริเวณนี้ที่สุด” ร้อยดาวบอก
“นี่นายชิด ! ฉันถามจริงๆเถอะ นายหนีตำรวจหรือหนีอะไรมากันแน่” น่านฟ้าถาม
“สาบานให้ตายตรงหน้า ! กระผมหนีผีมาจริงๆครับ” ชิดบอก
“บอกความจริงได้หรือยัง พวกนายทำผิดคิดร้ายอะไรไว้กับแม่ฉันพวกนาย 6 คนรุมข่มขืนจนแม่เวียงแก้ว แล้วใส่ร้ายป้ายสีว่าแม่ฉันคบชู้จนต้องผูกคอตายหนีอายใช่มั้ย”
ชิดอึกอักก่อนจะก้มหน้าสำนึกผิด
“พวกกระผมทั้ง 6 คนลงมือข่มขืนคุณเวียงแก้วก็จริง แต่คุณเวียงแก้วเธอไม่ได้ผูกคอตายเองหรอกครับ” ชิดบอก
“อะไรนะ ! แม่ฉันไม่ได้ผูกคอตาย แล้วแม่ฉันตายยังไง”
“ไม่ต้องไปมันแล้ว วัด ! ไปให้การที่โรงพักเลยดีกว่า...” มารุตบอก
“ไม่ได้นะ ทำอย่างนั้นเท่ากับส่งนายชิดให้ไปหาความตาย ยังไงคืนนี้เราก็ต้องพานายชิดไปส่งให้ถึงวัดให้ได้ ถึงจะปลอดภัย” ร้อยดาวว่า
“มีหน้าที่ขับก็ขับไปเถอะน่า ข้างหน้าโน่นก็จะถึงวัดอยู่แล้ว”
“ว่ายังไงนายชิด ! แม่เวียงแก้วเป็นอะไรตายกันแน่ ?” ร้อยดาวคาดคั้น
“คุณเวียงแก้วถูกสั่งให้....”
ชิดยังพูดไม่จบยางล้อรถของมารุตก็ระเบิดบึ้มจนรถส่ายไปมา น่านฟ้ากับร้อยดาวหวีดร้องด้วยความตกใจ รถของมาร์คค่อยๆชะลอจอดที่ไหล่ทาง
รถมารุตจอดตายอยู่ที่ไหล่ทาง มารุตเปิดประตูออกมาดู
“บ้าเอ๊ย !!! ยางดันมาระเบิดอะไรตอนนี้”
“รถนายนี่นะ แพงซะเปล่า แต่ห่วยชะมัด อีกนิดเดียวก็จะถึงอยู่แล้ว”
ทันใดนั้นลมก็พัดอู้เหมือนพายุกำลังจะมา ร้อยดาวหันไปแหงนมองบนฟ้าเห็นกลุ่มเมฆดำทะมึนลอยมาเป็นรูปร่างของเวียงแก้ว
เวียงแก้วหัวเราะเย็นๆในอากาศ “ฮ่าๆ”
น่านฟ้าเบียดตัวไปหามารุตอย่างหวาดๆ
“เสียงใครหัวเราะคะ พี่ร้อยดาว” น่านฟ้าถาม
“ฟังให้ดีนะ นายชิด ! วิ่งไปที่วัดข้างหน้านั่นให้เร็วที่สุด แล้วอย่าได้หันกลับมา อำนาจพระพุทธคุณจะช่วยคุ้มครองรักษาชีวิตนาย วิ่ง” ร้อยดาวบอก
ชิดวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปยังวัดที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ร้อยดาวหันหลังมายืนกางแขนคล้ายจะขวางผีเวียงแก้วเอาไว้ มวลพายุสีดำของเวียงแก้วพุ่งปะทะร้อยดาวอย่างแรงจนร้อยดาวถลาล้มลงกับพื้นถนน
ร้อยดาวเห็นมวลสีดำเคลื่อนเข้าใกล้ชิดทุกขณะ ทั้งๆ ที่อีกนิดเดียวจะถึงวัดอยู่แล้ว ชิดล้มถลาที่พื้น เขาหันกลับมามองตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง กลุ่มควันดำพุ่งพรวดหายเข้าไปในปากของชิดทันที ชิดฟุบคว่ำหน้าลงกับพื้นถนน ร้อยดาวรีบวิ่งไปหา
ร้อยดาวพลิกร่างชิดหงายขึ้นมาก่อนจะเขย่าให้รู้สึกตัว
“นายชิด !!! ฟื้นสิ นายชิด !”
ทันใดนั้น ชิดลืมตาโพลงขึ้นมาด้วยตาแดงก่ำจนร้อยดาวผงะตกใจ ชิดค่อยๆลุกขึ้นมาในสภาพเนื้อตัวลั่นกร๊อบๆ ด้วยท่าทางผิดสรีระมนุษย์ปกติคล้ายคนไม่มีกระดูก
ชิดพูดด้วยเสียงเวียงแก้ว “ไม่มีใครขวางทิศทางสู่ขุมนรกของพวกมันได้สำเร็จหรอก ร้อยดาว ลูกรัก” เวียงแก้วกรีดเสียงหัวเราะ
ชิดทุรนทุราย ผีเวียงแก้วพุ่งไปมาอยู่ในร่างจนร่างกายของชิดบิดเบี้ยว ควันดำพุ่งออกปากออกจมูกของชิด ชิดดิ้นพราดๆ จนกลายเป็นร่างเหี่ยวแห้งคล้ายซากมัมมี่
“นายชิด !” ร้อยดาวตกใจ
ร้อยดาวเห็นที่หน้าผากของชิดมีรอยกากบาทสีดำปรากฏขึ้น มารุตกับน่านฟ้าวิ่งตามมา พอเห็นสภาพของชิดน่านฟ้าก็เบือนหน้าซบกับอกของมารุตอย่างเสียขวัญ ร้อยดาวเห็นวิญญาณของชิดที่ดำมะเมื่อมเคลื่อนออกจากศพแล้วเดินไปยืนรวมกับวิญญาณ
เพื่อนๆทั้งสี่ที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานรออยู่ก่อนแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 8 (ต่อ)
พ่อปู่ตบพื้นกระดานดังปังด้วยความเจ็บใจเมื่อรู้ว่าชิดเสียทีผีเวียงแก้ว
“ผีอีเวียงแก้วมันร้อยเล่ห์เพทุบายนัก ! ขนาดข้าให้สายสิญจน์ลงอาคมไอ้ชิดมันไปแล้ว ยังพลาดท่าเสียที ถูกมันหลอกล่อให้ถอดสายสิญจน์ออกจากคอจนเอาชีวิตมันไปจนได้ ไอ้ชิดนะไอ้ชิด”
จงจิตเหน็บ “เห็นวางท่าเป็นจอมขมังเวทย์ สุดท้ายก็ท่าดีทีเหลว ดูท่าพ่อปู่จะแก่จนเลอะเลือนเสียแล้วกระมัง อาคมถึงได้สิ้นความขลัง”
พ่อปู่แปรสายตาคมกริบหันควั่บไปยังจงจิต จงจิตเชิดหน้าท้าทาย
สร้อยฟ้าพูด “5 ศพแล้วนะเจ้าคะ พ่อปู่ ! ที่ถูกผีอีเวียงแก้วมันฆ่าตายโหง ทุกวันนี้อิฉันเสียวสันหลังวาบๆ เห็นนั่งๆกันอยู่ ไม่รู้ใครจะเป็นศพต่อไป”
สามสะใภ้เหลือบมองปั้นที่นั่งหน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก เป็นตาเดียวกัน ปั้นนั่งหน้าซีด เงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้า จิตใจของเขาพะว้าพะวน
“ไม่ต้องห่วงนะ... ถ้านายปั้นมีอันเป็นไป ลูกเมียของนายปั้น ฉันจะช่วยดูแลให้เอง” เต็มเดือนบอก
เต็มเดือนยิ้มอย่างรู้ทันก่อนจะปรายตาไปทางจงจิตเพื่อสื่อว่ารู้เรื่องระหว่างจงจิตกับปั้นเป็นอย่างดี จงจิตก้มหน้า ไม่กล้าสบตาเต็มเดือนพลางนึกด่าในใจว่ามาพูดอะไรตอนนี้จนสร้อยฟ้าจับพิรุธได้
“ตายจริง ! ถ้าคุณพี่ไม่บอก น้องก็ไม่รู้ ว่านายปั้นไปแอบมีลูกมีเมียกับเขาด้วย นังผู้หญิงหน้าไหนมันแร่ให้ท่าแกล่ะ หืม”
สร้อยฟ้าส่งสายตามองช้อนไปยังจงจิตที่นั่งนิ่งเพราะมีชนักปักหลัง พ่อปู่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามสะใภ้ในทันที
ร้อยดาวยืนทอดสายตาเหม่อลอยนึกถึงเรื่องที่ชิดเล่าให้ฟังเมื่อคืน
เสีพวกกระผมทั้ง 6 คนลงมือข่มขืนคุณเวียงแก้วก็จริง แต่คุณเวียงแก้วเธอไม่ได้ผูกคอตายเองหรอกครับ... คุณเวียงแก้วถูกสั่งให้....”
ร้อยดาวขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ใครสั่ง ? แล้วสั่งให้ทำอะไร ?”
ร้อยดาวรู้สึกปวดตาจนลืมไม่ขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอปวดร้าวไปทั้งศีรษะเหมือนถูกทุบอย่างแรง
ร้อยดาวเห็นภาพร่างที่สลบของเวียงแก้ว หายใจรวยระรินถูกชายทั้ง 6 รีบหามเข้ามา
ทั้ง 6 ชุลมุนช่วยกันเอาเชือกผูกคอเวียงแก้วแล้วไปแขวนไว้บนขื่อ
เท้าของเวียงแก้วห้อยต่องแต่งเหนือพื้นและขาดใจตายแล้ว
“หรือว่า...จะไม่ได้มีแค่ 6 คนนั้น”
ภาพกากบาทปริศนารอยที่ 7 เลือนเข้ามาที่เพดานโถงกลางต่อหน้าต่อตาเมิ่อคืนนี้
“ต้องมีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลัง...”
ร้อยดาวคิดปะติดปะต่อเหตุการณ์อย่างค่อนข้างมั่นใจ
เช้าวันใหม่ รถสิบทิศจอดทิ้งเอาไว้ที่ด้านหน้าเพราะเพิ่งกลับมา ช้อยเดินเข้ามาที่โถงกลางจนเห็นสิบทิศนอนสิ้นสภาพอยู่ที่โซฟาในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่
“คุณชาย !!!! ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะเจ้าคะ ?”
สิบทิศหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้โดยเขายังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
รัตนากรเอามืออังที่หน้าผากสิบทิศอย่างเป็นกังวล
“อาการของคุณชายดูท่าไม่สู้ดีเลยมังคะ... ดูรึ ! คุณหญิงน่านฟ้าหายไปยังไม่ทันได้ข่าว คุณชายสิบทิศก็มาล้มเจ็บไปอีกคน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรอย่างนี้ ช้อยใจคอไม่ค่อยดีเลยมังคะ”
“ให้คนเอารถไปรับหมอสุนทรมาที่นี่ที” รัตนากรบอก
“ไม่ต้องหรอก ท่านป้า ! หลานไม่ได้เป็นอะไรมาก” สิบทิศบอก
“ไม่เป็นไรได้ยังไง ไข้ขึ้น ตัวร้อนจัดขนาดนี้ ยังจะรั้นอยู่ได้”
“จะต้องตามหมอมาทำไมให้เสียเวลา ? ในเมื่อหลานเองก็เป็นหมอ อาการไข้แค่นี้ เรื่องเล็กน้อย หลานดูแลตัวเองได้”
“ดื้อเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ! ชายดูแลตัวเองหรือจะดีสู้ให้คนอื่นเขาช่วยดูแลชาย เราเองต่างก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอ ต้องการให้ใครสักคนมาคอยดูแลด้วยกันทั้งนั้น อย่าทำใจแข็งนักเลย”
รัตนากรขยับลุกขึ้น สิบทิศรีบพูดดักคอ
“หลานหวังว่าท่านป้าจะไม่ทรงตามหมอ ?”
รัตนากรยิ้มนิดๆที่มุมปากให้สิบทิศแต่ไม่ตอบก่อนออกจากห้องไป
รัตนากรนั่งคุยกับดำรงที่โถงกลาง นมแสงนำเครื่องว่างมาถวาย
“ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่แต่เช้า มีธุระสำคัญอะไรหรือกระหม่อม ?” ดำรงถาม
“ว่ากันตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อม เราถูกตาต้องใจหลานสาวตัว อยากได้มาดองด้วย ตัวจะยกให้ไหม” รัตนากรถาม
“อย่าทรงล้อกระหม่อมเล่น หลานคนไหน ฝ่าบาท ?”
“ตัวไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่ฮะ... ก็คนที่เราเคยคุยกันไว้น่ะสิ”
“แน่พระทัยแล้วหรือ ? กระหม่อมอยากให้ทรงลองทบทวนอีกสักครั้ง”
“โยกโย้ ! ทำพิโยกพิเกนอยู่นั่น เวฬุมาศต้อยต่ำน่ารังเกียจนักหรือไง ถึงไม่คู่ควรกับบดินทร์ธร”
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกริ้ว ! พระทัยเย็นฟังกระหม่อมก่อน เรื่องนี้จะให้กระหม่อมตกปากรับคำเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องเรียกเจ้าตัวมาไถ่ถามความสมัครใจเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงถูกถอนหงอกจนหมดหัว”
“เรื่องอื่นเราจะจัดการเอง ตัวจะให้หรือไม่ให้ก็บอกมา ถ้าไม่ให้ เราจะได้รู้ไว้ คำสัญญาลูกผู้ชายที่ตัวเคยให้ไว้เป็นมั่นเหมาะ เป็นเพียงแค่ลมปากไร้ค่า ร้อยลิ้นกะลาวน หาสัจจะอะไรมิได้”
ดำรงได้แต่ถอนใจและอ้ำอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ตอบ ถือเป็นอันตกลงตามนี้...” รัตนากรสรุป
ดำรงได้แต่นั่งอ้าปากค้างที่รัตนากรพูดเองเออเองเสร็จสรรพ
รัตนากรพูดต่อ “ฤกษ์ยามพิธีหมั้นเราจะเป็นฝ่ายหาให้ ส่วนสินสอดทองหมั้นจะเรียกสักเท่าไรก็ว่ามา เรายอมให้ทั้งนั้น”
กระถินแอบฟังอยู่ก็เข้าใจว่ารัตนากรมาสู่ขอดาราเรศให้สิบทิศจึงรีบเดินไป
กระถินเข้ามารายงานสร้อยฟ้าเรื่องที่แอบได้ยินมา
สร้อยฟ้ากับดาราเรศดีใจจนตัวสั่นเพราะสำคัญผิดคิดว่ารัตนากรมาสู่ขอดาราเรศ
“คราวนี้ลูกสาวแม่จะได้นั่งเท้าแขนเป็นหม่อมที่เวฬุมาศสักที”
“ในที่สุดวันที่เรศรอคอยก็มาถึงจนได้ เรศจะไปอาบน้ำแร่แช่น้ำนม ขัดสีฉวีวรรณ เตรียมเป็นเจ้าสาวของพี่สิบทิศ ดีไหมคะ แม่ ?”
วีระวิทย์เข้ามาได้ยินเข้าก็หมั่นไส้
“คุณปู่มีหลานสาวแค่ยัยเรศเสียที่ไหน ดีไม่ดีท่านหญิงบ้านโน้นอาจจะมาทาบทามขอยัยดารกา ลูกสาวป้าจงจิตก็ได้ ใครจะไปรู้”
“วันๆยัยดาเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง รำพันพร่ำเพ้อหาแต่ไอ้ปรมัตถ์ ดูสภาพสิ ! ยิ่งนับวันยิ่งใกล้บ้าเข้าไปทุกที... ไม่มีทางเป็นไปได้”
วีระวิทย์ประชด “สู้ยัยเรศเราก็ไม่ได้ ! สาวสังคมจัด รักสนุก เมาหัวราน้ำ บ้านช่องไม่ยอมกลับ ดีเลิศกว่ายัยดาเป็นไหนๆ ! ช่างตาถึงจริงๆ”
ดาราเรศถูกวีระวิทย์พูดยั่ว เธอหันไปค้อนตาเขียวที่ถูกกระทบกระเทียบ
“ถึงยังไงเขาก็มาขอเรศให้คุณชายสิบทิศแล้วกัน ! ว่าแต่พี่เถอะ... มีปัญญาคว้าลูกสาวผู้รากมากดีบ้านไหนมาเป็นสะใภ้บดินทร์ธร แล้วเรศจะคอยดู”
ดาราเรศกับวีระวิทย์จ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมลงให้ใคร
รัตนากรเดินเข้ามาภายในเรือนนมแสงอย่างไม่ถือตัว ร้อยดาวรีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ
“ท่านหญิงรัตนากรเสด็จมาตั้งแต่เมื่อไรเพคะ ? หม่อมฉันมิได้เตรียมถวายการต้อนรับ ต้องขอประทานอภัย...” ร้อยดาวบอก
“ไม่ต้องพิธีรีตองให้มากเรื่องมากความหรอก นั่งตามสบายเถอะ”
รัตนากรนั่งลงในที่เหมาะสมก่อนจะกวาดตามองสภาพภายในเรือนนมแสง
“อะไรกัน ! บดินทร์ธรก็ออกจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับให้หลานสาวตัวเองมานอนห้องแคบๆในเรือนคนใช้ไม่ยอมดูดำดูดี ไม่รู้เป็นปู่ประสาอะไร ! เห็นทีฉันคงต้องไปต่อว่าดำรงเสียหน่อย”
“เป็นความสมัครใจของหม่อมฉันเองเพคะ ห้องนี้เคยเป็นห้องของคุณแม่เวียงแก้วมาก่อน หม่อมฉันพลัดบ้านไปไกลตั้งแต่ยังแบเบาะ การได้กลับมาพักที่นี่ ทำให้หม่อมฉันรู้สึกว่าคุณแม่เวียงแก้วยังอยู่ใกล้ๆ” ร้อยดาวบอก
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถึงอย่างไรหนูก็ได้ชื่อว่าเป็นทายาทบดินทร์ธร จะอาศัยชายคาเรือนคนใช้หลับนอนคงไม่เหมาะสม ใครเขาจะติฉินเอาได้”
“ต่อให้อยู่ที่เรือนคนใช้หรือตึกใหญ่บดินทร์ธรก็ไม่สำคัญหรอกเพคะไม่มีใครนินทาเหยียบย่ำให้เราตกต่ำลงได้ นอกจากความประพฤติของตัวเราเอง”
รัตนากรยิ้มพอใจ “ฉันมองคนไว้ไม่ผิดจริงๆ...”
รัตนากรเห็นปลายเท้าน่านฟ้ายืนแอบอยู่หลังผ้าม่าน
“ไม่นึกว่าที่นี่จะมีหน่วยสอดแนม... อยากรู้อยากเห็นนัก ก็ออกมานั่งฟัง นี่ ยืนลับๆล่อๆแอบฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่ได้”
น่านฟ้าค่อยๆแง้มผ้าม่านที่ยืนแอบอยู่แล้วยิ้มแห้งๆ
“ท่านป้าเรียกหาหญิงหรือมังคะ”
“พี่ร้อยดาวของหญิงเขาเล่าให้ป้าฟังหมดแล้ว”
รัตนากรอมยิ้มกับร้อยดาวอย่างรู้ทัน
น่านฟ้ากับร้อยดาวเดินไปส่งรัตนากรที่รถ
“ก็พี่ชายรั้นเอง !!! นั่งคอยหญิงที่สถานีรถไฟอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนบอกแล้วว่าไม่ต้องห่วงๆ อยากกลับเมื่อไร เดี๋ยวหญิงก็กลับเองแหละ....” น่านฟ้าเสียงอ่อยลง “ไม่รู้จะรอทำไมให้ป่วย”
“เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ไม่รู้นิสัยใจคอพี่ชายเราหรอกหรือว่าเป็นคนยังไง ?”
“ก็เพราะว่าหญิงรู้ดีน่ะสิมังคะ ถึงต้องแกล้งเสียให้เข็ด จะได้ไม่ต้องคอยบงการชีวิตหญิงตลอดเวลา”
“ทำแบบนี้ หญิงไม่เป็นห่วงพี่เขาบ้างหรือ ?”
คำพูดของรัตนากรทำให้น่านฟ้าฉุกคิดถึงสิบทิศในมุมดีๆ น่ารักๆ จนรู้สึกซาบซึ้ง
รัตนากรพูดต่อ “ชายเขาเป็นห่วงหญิงมากนะ”
น่านฟ้าถึงจะเป็นห่วงแต่ก็ปากหนักไม่กล้าตอบ รัตนากรขึ้นรถไป น่านฟ้ายืนมองรถของรัตนากรเคลื่อนออกไป
ร้อยดาวตาโต เมื่อรู้เรื่องจากน่านฟ้า
“ว่ายังไงนะคะ ! คุณหญิงจะให้ดิฉันไปดูแลคุณชายสิบทิศที่เวฬุมาศ”
“นะคะ... พี่ร้อยดาว... ท่านป้าบอกว่าตอนนี้พี่ชายป่วยหนัก เพราะหญิงคนเดียวที่เป็นต้นเหตุ พี่ร้อยดาวช่วยไปทำหน้าที่ดูแลพี่ชายแทนหญิงทีเถอะนะคะ น๊า..”
“No Way ! ไม่มีทาง บ้านช่องยูออกจะใหญ่โต มีคนอยู่ตั้งเยอะเรื่องอะไรต้องให้ว่าที่ศรีภรรยาไอ ไปดูแลพี่ชายยูด้วย หัวเด็ดตีนขาด ไอก็ไม่ยอม ถ้ายูอยากไป ยูก็ไปเองเถอะ” มารุตว่า
“ถ้าฉันไป พี่ชายก็ส่งฉันให้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ทุกอย่างที่อุตส่าห์วางแผนเอาไว้ก็จบเห่น่ะสิ ! คิดตื้นๆ”
“จะให้ดิฉันไปดูแลคุณชายสิบทิศแทนได้อย่างไร ในเมื่อดิฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ชายของคุณหญิงสักอย่าง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เกิดผิดพลาดอะไรขวางหูขวางตา ดิฉันก็ถูกกริ้วเท่านั้น”
“พี่ร้อยดาวไม่รู้ แต่หญิงรู้ ! เรื่องแค่นี้ ทำไมจะ lecture กันไม่ได้”
น่านฟ้ายิ้มมาดมั่นเพราะมีทางออก ในขณะที่ร้อยดาวปวดหัวตึ่บ
ปั้นยกมือไหว้ปลกๆ อ้อนวอนกับพ่อปู่ด้วยความรักตัวกลัวตาย
“ได้โปรดช่วยชีวิตกระผมด้วยขอรับ ! พ่อปู่ ! เพื่อนของกระผมถูกนังผีร้ายฆ่าตายไม่เหลือหรอ ศพต่อไปเห็นทีจะเป็นกระผมไม่ผิดแน่”
“ตราบใดที่สายสิญจน์ลงอาคมของข้ายังคล้องที่คอ เอ็งก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
ปั้นเอามือกุมสายสิญจน์ที่เป็นสายสิญจน์แบบเดียวกับของนายชิดซึ่งอยู่ที่คอ แล้วเหงื่อก็ผุดเต็มหน้า
“แล้วถ้ากระผมหลงกลนังผีร้ายเหมือนไอ้ชิดล่ะขอรับพ่อปู่ ?”
พ่อปู่เอามือลูบคาง กลอกตาครุ่นคิดว่าก็จริงของปั้น
พ่อปู่เอาเข็มสักยันต์ให้ที่กลางหลังของนายปั้น เวลาผ่านไป ปั้นก้มลงกราบ กลางแผ่นหลังของเขาเป็นยันต์รูปท้าวเวสสุวรรณ พ่อปู่พ่นน้ำมนตร์ใส่ที่หลังของปั้นเมื่อเสร็จพิธี
“ข้าสักยันต์ท้าวเวสสุวรรณ จ้าวแห่งภูตผีปีศาจทั้งหลายให้เอ็ง ยันต์นี้ศักดิ์สิทธิ์นัก ใช้คุ้มครองป้องกันอำนาจผีร้ายได้สารพัด ปกติข้าไม่ค่อยสักให้ใครง่ายๆหรอกโว้ย นอกจากลูกศิษย์ลูกหาคนสำคัญๆเท่านั้น”
ปั้นยกมือไหว้พ่อปู่อย่างเปี่ยมศรัทธา
“หากกระผมรอดตายจากเงื้อมือนางผีร้าย จะไม่มีวันลืมพระคุณของพ่อปู่เลยขอรับ”
พ่อปู่ตบบ่าปั้นหนักๆ เพราะชอบใจที่ปั้นยอมนอบน้อม
“ดูซิ ! ข้าลงยันต์ท้าวเวสุวรรณกลางหลังขนาดนี้ ผีชั้นต่ำอย่างอีเวียงแก้วมันจะมีน้ำยาทำอะไรเอ็งได้”
พ่อปู่หัวเราะลั่นด้วยความอหังการ แววตาของปั้นแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งเพราะไม่กลัวเกรงผีเวียงแก้วจะมาเอาชีวิตอีกต่อไป
ปั้นกลับมาจากสักยันต์ที่เรือนพ่อปู่ก็มาเผชิญหน้ากับร้อยดาว
ร้อยดาวเป็นห่วง “นายรู้ตัวแล้วใช่มั้ย นายปั้น ?”
“กระผมเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึงสักวัน” ปั้นบอก
“เชื่อฉัน... สารภาพความจริงกับคุณท่าน ทุกเรื่องที่พวกนายทำไว้กับคุณแม่เวียงแก้ว เพื่อเป็นการล้างรอยมลทินที่พวกนายเคยสร้างไว้”
“สิ่งที่แม่ของคุณหนูทำนั่นแหละ คือรอยมลทินชั่วร้ายที่ลบล้างอย่างไรก็ไม่มีวันหมด”
“แต่นายทำผิดกับแม่ฉัน จะไม่ยอมสำนึกผิดเพื่อชดใช้บ้างเลยหรือไง”
“หากพวกกระผมต้องชดใช้ วิญญาณของคุณเวียงแก้วเองก็ต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับพวกกระผมด้วยเช่นกัน” ปั้นสายตากร้าว
ร้อยดาวชักเอะใจ “นี่นายกำลังจะทำอะไรแม่ฉัน ?”
ปั้นยิ้มแต่ไม่ยอมตอบแล้วก็เดินไป ร้อยดาวชักใจคอไม่ค่อยดีเพราะไม่รู้ว่าปั้นมีแผนการจะทำอะไรกันแน่
วีระวิทย์กำลังโอ้โลมกระถินอย่างดูดดื่ม
ดาราเรศผลักประตูผลั๊วะเข้ามากอดอกยืนมองอย่างสมใจที่เป็นไปตามแผน วีระวิทย์รีบผละออกจากกระถินทันที ทั้งสองมองดาราเรศตาค้าง
วีระวิทย์กับกระถินพูดพร้อมกัน “ยัยเรศ !/ คุณหนู !”
“บทรักระหว่างนายหนุ่มสุดห้าวกับสาวใช้ร้อนสวาท ช่างดุเด็ดเผ็ดร้อน น่าประทับใจเสียจริงๆ” ดาราเรศว่า
“ยัยเรศ ! ไหนแกบอกว่าจะออกไปเสริมสวยข้างนอกไง” วีระวิทย์ถาม
“แหม... ถ้าไม่แกล้งบอกพี่ไปอย่างนั้น เรศก็อดเห็นอะไรดีๆน่ะสิ นึกว่าพี่สะใภ้ของเรศจะเป็นลูกผู้รากมากดีที่ไหน ที่แท้ก็สาวใช้ใกล้ตัวที่เคยจิกหัวใช้อย่างนังกระถินนี่เอง....งามหน้าจริงๆเลยนะคะ” ดาราเรศว่า
“แกนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ ! ปิดปากแกให้สนิท ไม่อย่างนั้นฉันจะ....”
วีระวิทย์เงื้อหลังมือจะตบดาราเรศ แต่ดาราเรศกลับเชิดหน้าสู้ท้าทายจนวีระวิทย์ไม่กล้าตบ
“ทำไม ? พี่จะทำอะไรฉัน ! จะตบฉันเหรอ ก็เอาสิ ! เรศจะได้เอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณแม่ ฟ้องคุณปู่ โพนทะนาให้รู้กันทั้งบ้านว่าพี่ตาต่ำคว้าคนใช้มาทำเมีย อยากรู้เหมือนกัน ถ้ารู้ว่าสะใภ้ใหญ่ตระกูลบดินทร์ธรคนต่อไปคือนังกระถิน คุณแม่จะทำหน้ายังไง ?”
กระถินโผเข้ามากอดขาดาราเรศแล้วอ้อนวอน
“อย่านะคะ คุณหนู! ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคุณสร้อยฟ้า กระถินต้องตายแน่ๆ”
วีระวิทย์เสียงอ่อยลง “อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร พี่ขอร้อง”
“ขอร้องกันแบบนี้ มันไม่ง่าย...เกินไปหน่อยหรือคะ ?”
ดาราเรศยิ้มร้ายอย่างมีเลศนัย
สิบทิศนอนอยู่บนเตียง ร้อยดาวเอื้อมมือเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ ร้อยดาวเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าของสิบทิศอย่างเต็มตาแล้วก็รู้สึกว่าสิบทิศจอมหัวดื้อก็หล่อดีเหมือนกัน สิบทิศที่ตัวร้อนไข้ขึ้นสูงครึ่งหลับครึ่งตื่นเข้าใจว่าร้อยดาวเป็นน่านฟ้า
“หญิงกลับมาแล้วเหรอ ?”
สิบทิศยิ้มอย่างอ่อนเพลียนิดๆ ที่มุมปากก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น สิบทิศเห็นร้อยดาวเป็นคนเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้เขาเพื่อบรรเทาอุณหภูมิร่างกาย
“รู้สึกตัวแล้วหรือคะ ?” ร้อยดาวถาม
สิบทิศรีบยันกายลุกขึ้นเพราะไม่พอใจที่ร้อยดาวเข้ามาในห้อง
“ถือวิสาสะอะไรเข้ามาในห้องส่วนตัวฉัน ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา”
รัตนากรตามหลังร้อยดาวเข้ามาติดๆ
“ป้าเป็นคนอนุญาตหนูร้อยดาวเอง !”
สิบทิศกระอักกระอ่วนจนพูดอะไรไม่ออก “ท่านป้า”
“ทำหน้าอย่างกับเห็นผี ! รู้ตัวไหม ? ตอนชายไข้ขึ้นสูง หนูร้อยดาวเขาอุตส่าห์มาช่วยดูแล เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จนไข้ลด” รัตนากรว่า
“อาการคุณชายค่อยยังชั่วขึ้นบ้างหรือยังคะ ?” ร้อยดาวถาม
“ฉันป่วยเองได้ ก็หายเองได้ ไม่จำเป็นต้องวานใครให้มาดูแล”
สิบทิศเอนลงไปนอนดังเดิมแล้วแกล้งเบือนหน้าไปทางอื่น
“ได้ยินน่านฟ้าเล่าว่าตอนอยู่อังกฤษ หนูเคยเป็นพี่เลี้ยงเด็กมาก่อน”
“แค่งานพิเศษเล็กๆน้อยๆ ระหว่างปิดภาคเรียนที่นั่นเพคะ”
“ดีเลยจ้ะ ! ป้ามีหลานชายอยู่คนหนึ่ง ออกจะหัวดื้อเสียหน่อย ถ้าให้หนูช่วยเป็นพี่เลี้ยงดูแล จะคิดค่าจ้างสักเท่าไร”
“หามิได้เพคะ บดินทร์ธรมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยทีไร คุณชายยังช่วยมารักษาไม่เกี่ยงงอน ตอนนี้คุณชายมาล้มป่วยเสียเอง หม่อมฉันจึง ขอตอบแทนด้วยการเป็นพี่เลี้ยงดูแลคุณชายโดยไม่คิดค่าจ้างเพคะ”
ร้อยดาวเหลือบไปยิ้มเหมือนเย้ยสิบทิศในที สิบทิศจ้องร้อยดาวตาเขียวที่บังอาจรับลูกจากรัตนากร
รัตนากรเดินคุยกับร้อยดาวเรื่องสิบทิศ ขณะเดินผ่านกรอบรูปสีน้ำมันของวิรุฬ
“ตั้งแต่สูญเสียพ่อกับแม่ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน สิบทิศก็กลายเป็นคนละคน จากที่เคยเป็นเด็กร่าเริง ว่านอนสอนง่าย ก็กลับดื้อรั้น เงียบขรึม ไม่สุงสิงกับใคร ใช้ความเย็นชาปกปิดหัวใจที่อ่อนไหวของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยไม่รู้ตัว”
“มิน่าเล่า หม่อมฉันถึงไม่เคยเห็นคุณชายยิ้มให้เห็นเลยสักหน”
“สิบทิศไม่ใช่คนแข็งกระด้างอย่างที่เห็น ที่จริงแล้ว เขาต้องการคนที่เข้าใจ และอยู่เคียงข้างในยามที่เขาอ่อนแอ... ป้าเองก็แก่ลงทุกที จะอยู่กับเขาไปได้อีกสักกี่วันก็ยังไม่รู้ ฝากหนูช่วยดูแลสิบทิศด้วยนะ”
รัตนากรจับมือร้อยดาวแล้วมองหน้าอย่างฝากฝัง ร้อยดาวเข้าใจว่ารัตนากรต้องการฝากสิบทิศไว้ให้เธอดูแลแค่ตอนป่วยเท่านั้น
ร้อยดาวเอาช้อนตักต้มจืดมะระในชามขึ้นเป่า แล้วยื่นให้สิบทิศ
“ฉันไม่ชอบกินมะระ ไม่รู้หรือไง ?” สิบทิศว่า
“ดิฉันทราบดีค่ะ ว่าคุณชายไม่ชอบรับประทานมะระ เพราะมันขม”
“ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ชอบ แล้วทำมาทำไม”
“โบราณว่าหวานเป็นลม ขมเป็นยา... คุณชายเป็นหมอคงจะทราบดีถึงแม้มะระจะมีรสชาติขม แต่ก็มีประโยชน์ช่วยเจริญอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังฟื้นไข้ ดิฉันก็เลยเข้าครัว ทำต้มจืดมะระถ้วยนี้กับมือให้คุณชายลองรับประทานดูยังไงคะ”
“ฉันไม่กิน ถ้าเธออยากจะกิน ก็กินเองสิ”
“ถ้าคุณชายไม่รับประทาน ก็ไม่เป็นไร เพราะดิฉันไม่ชอบฝืนใจใคร”
ร้อยดาวหดมือกลับมา สิบทิศแปลกใจว่าทำไมง่ายผิดวิสัย
“อ้อ ! เกือบลืม ! เมื่อเช้านี้ คุณหญิงน่านฟ้าส่งข่าวมาถึงดิฉัน” ร้อยดาวบอก
สิบทิศชะงักกึก “น่านฟ้า ! น่านฟ้าส่งข่าวมาว่ายังไง น้องสาวฉันอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่า บอกมาเร็วสิ”
“ดิฉันไม่ชอบฝืนใจใคร แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมาฝืนใจดิฉันด้วย ถ้าคุณชายอยากทราบ ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
ร้อยดาวยื่นช้อนมะระจ่อที่ปากสิบทิศแล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ สิบทิศจ้องมะระคำนั้นอย่างจำใจ
ร้อยดาวถือถาดอาหารเดินออกมาเจอช้อยที่ยืนรออยู่หน้าห้อง
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณชายยอมรับประทานมั้ย ?” ช้อยถาม
“ไม่จ้ะ” ร้อยดาวตอบ
“ช้อยว่าแล้วเชียว ตั้งแต่เล็กจนโต คุณชายเกลียดมะระเข้าไส้ บ่นว่าขมบ้างล่ะ เหม็นบ้างล่ะ ช้อยเตือนแล้ว คุณชายไม่มีวันยอมรับประทานมะระเด็ดขาด แต่คุณก็ไม่เชื่อ”
“ที่ฉันบอกว่าไม่น่ะ ไม่เหลือจ้ะ”
ชามต้มจืดมะระว่างเปล่าไม่เหลือมะระเลยสักชิ้น ร้อยดาวส่งถาดให้ช้อยแล้วยิ้มก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป
ปล่อยให้ช้อยมองตามอย่างไม่เชื่อสายตา
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ สิบทิศจ้องหน้าร้อยดาวตาเขม็ง
“คราวนี้จะเล่าเรื่องน่านฟ้าให้ฉันฟังได้หรือยัง ฉันยอมทำตามเงื่อนไขเธอตั้งหลายข้อแล้ว”
“ได้สิคะ.... แต่ต้องหลังจากที่คุณชายรับประทานยาหลังอาหารนี่ก่อน”
ร้อยดาวยื่นถาดใส่ยา และแก้วน้ำให้สิบทิศ
“ร้อยดาว ! เมื่อไหร่จะเล่าเสียที มีข้อแม้นั่นนี่อยู่ได้ ฉันชักจะหมดความอดทนกับเธอแล้วนะ”
“ทันทีที่คุณชายรับประทานยา ดิฉันจะเล่าให้ฟังทันที แต่ถ้าคุณชายหมดความอดทนกับดิฉัน ก็ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันขอตัวกลับ”
ร้อยดาวทำทีลุกขึ้น สิบทิศเผลอตัวรีบคว้ามือร้อยดาวเอาไว้
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป”
มือของสิบทิศที่จับมือร้อยดาวเอาไว้ สิบทิศรู้สึกตัวจึงค่อยๆปล่อยมือออก สิบทิศเอายาใส่ปากตามด้วยดื่มน้ำอึกใหญ่
“น่านฟ้าส่งข่าวถึงเธอว่ายังไง ?” สิบทิศถาม
“พอคุณหญิงทราบว่าคุณชายล้มป่วยเพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็รู้สึกเสียใจมาก และฝากมาบอกว่าขอให้คุณชายหายไวๆ”
“น่านฟ้าบอกหรือเปล่าว่าไปอยู่กับใคร ที่ไหนมา ?”
ร้อยดาวหลบสายตา “คุณหญิงไม่ได้บอกไว้ค่ะ”
“แล้วทำไมถึงไม่ถาม ! น่านฟ้ามาหาเธอได้ แสดงว่าจะต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวนี้แน่ ฉันจะไปรับกลับมาเดี๋ยวนี้”
สิบทิศฝืนลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆ ที่โซเซ ร้อยดาวเข้าไปประคอง
“คุณชายยังไม่หายดี หากดื้อดึงออกไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำร้ายอาการจะยิ่งทรุดเปล่าๆ สู้นอนพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่าค่ะ” ร้อยดาวบอก
สิบทิศรู้สึกหัวหมุนจึงต้องยอมทำตามคำสั่งของร้อยดาวโดยดุษฎี ร้อยดาวห่มผ้าห่มให้
“สำหรับเรื่องคุณหญิงน่านฟ้า คุณชายไม่ต้องเป็นกังวล ดิฉันรับปากว่าจะพาน้องสาวกลับมาหาคุณชายให้ได้”
“เธอรับปากฉันแล้วนะ ร้อยดาว !”
ร้อยดาวพยักหน้าด้วยแววตามาดมั่นจนสิบทิศเชื่ออย่างสนิทใจ รัตนากรที่แอบมองอยู่ยิ้มอย่างพอใจเพราะไม่ค่อยมีใครที่ทำให้สิบทิศเชื่อฟังได้ถึงขนาดนี้
น่านฟ้ายืนชะเง้อชะแง้มองข้ามรั้ว ขณะที่มารุตเดินพล่านเป็นหนูติดจั่น
มารุตหึง “ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับออกมาอีก ไม่รู้ต้องดูแลอะไรกันนักหนา”
“หยุดเดิน แล้วก็เลิกพล่ามเสียทีได้ไหม ผู้ชายอะไร จู้จี้ขี้บ่นน่ารำคาญ”
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มเปิดศึกสงครามน้ำลายอยู่นั้น ร้อยดาวก็เดินออกมาพอดี
“พี่ชายเป็นยังไงบ้างคะ ? พี่ร้อยดาว” น่านฟ้าเอ่ยถาม
“ไข้เริ่มลดลงแล้วค่ะ ตอนนี้ยาออกฤทธิ์ หลับไปได้เมื่อครู่นี้เอง” ร้อยดาวบอก
“ทีหลังยูก็เอายานอนหลับผสมไปด้วยสิ หมอนั่นจะได้หลับเร็วๆเข้า”
“มีหัวเอาไว้แค่กั้นหูหรือไง นายจะให้พี่ร้อยดาววางยาพี่ชายฉันเนี่ยนะ ประสาท !”
ร้อยดาวเห็นพ่อปู่เคี้ยวหมากก้าวฉับๆมุ่งหน้าไปยังตึกใหญ่ โดยมีปั้นสะพายย่ามกางร่มให้ สาวใช้เดินถือพานหมากเดินพินอบพิเทาตามไป เหมือนสานุศิษย์เดินตามจอมขมังเวทย์ น่านฟ้ากับมารุตซึ่งแอบอยู่หลังต้นไม้กระซิบกระซาบกัน
“นั่นไง ! ตาแก่คนนั้นที่ฉันเคยพูดถึง” น่านฟ้าบอก
“ท่าทางเจ้าเล่ห์เจ้ากล มาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงกันแน่” มารุตว่า
ร้อยดาวได้ยินเสียงสวดสาธยายมนตราเขมรระรัวเร็วดังก้องในหัว
“ได้ยินเสียงอะไรไหม ? ภาษาแปลกๆ... เหมือนบทสวด ?”
น่านฟ้ากับมารุตส่ายหัวดิกๆพร้อมกัน ร้อยดาวประหลาดใจว่าชายชราคนนี้เป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับเวียงแก้วกันแน่
ร้อยดาว น่านฟ้า และมารุตลับๆล่อๆอยู่ที่เชิงบันไดเรือนพ่อปู่ภายใต้บรรยากาศเงียบและวังเวง
“นมแสงบอกว่าญาติของคุณสร้อยฟ้าพักที่เรือนหลังนี้ไม่ผิดแน่” ร้อยดาวบอก
“งั้นเราขึ้นไปดูพร้อมกัน บางทีในนั้นอาจจะมีร่องรอยอะไรบ้างก็ได้” มารุตว่า
“จะดีเหรอ ? ถ้าใครมาเห็นเข้า หาว่าพวกเราเป็นหัวขโมยล่ะ” น่านฟ้าท้วง
“ยูไม่ขึ้นก็ตามใจ คอยดูต้นทางไว้ก็แล้วกัน”
มารุตกับร้อยดาวเดินขึ้นบันไดเสียงดังแอ๊ดอ๊าด น่านฟ้าเห็นบรรยากาศวังเวงเลยตัดสินใจวิ่งตามไปอีกคน
ทั้งสามเปิดประตูเข้าไปภายในก็ถึงกับตาค้างที่เห็นว่าภายในมีทั้งหิ้งพิธี เทวรูปน่ากลัว หัวกะโหลก เครื่องประกอบพิธีเต็มไปหมด
“คุณพระช่วย ! นี่มัน...เครื่องทำพิธีไสยศาสตร์ทั้งนั้น” น่านฟ้าบอก
“ชัดเลย ! ตาแก่คนนั้นต้องเป็นพวกพ่อมดหมอผีเจ้าลัทธิอะไรแน่ๆ” มารุตว่า
“เขาจะมาเปิดสำนัก ทำพิธีอะไรที่นี่คะ พี่ร้อยดาว ?”
ร้อยดาวเดินดูจนทั่วแล้วก็ฉุกคิดถึงคำพูดของปั้นขึ้นมา
“หากพวกกระผมต้องชดใช้ วิญญาณของคุณเวียงแก้วเองก็ต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับพวกกระผมด้วยเช่นกัน”
“ไม่ได้การแล้ว !”
ร้อยดาวพรวดพราดออกไปจากเรือนพ่อปู่ทันที ปล่อยให้มารุตกับน่านฟ้ายังยืนงง
พ่อปู่หลับตานั่งทางในอยู่เบื้องหน้าสร้อยฟ้า
“ข้าเห็นเงาดำทะมึนด้วยอำนาจของผีนังเวียงแก้วครอบคลุมอยู่ทั่วอาณาบริเวณของบดินทร์ธร อาถรรพณ์ลี้ลับที่สิงสู่ในเวียงร้างกลางบึงนั่น จะทำให้หลายชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่กำลังจะมีเคราะห์หนักจนถึงขั้นมีอันเป็นไป”
อยู่ๆพ่อปู่ก็ลืมตาโพลงขึ้นมาประกาศก้อง
“ระวังนังเด็กนั่นเอาไว้ให้ดี !”
“พ่อปู่หมายถึง นังร้อยดาว ลูกสาวอีเวียงแก้วใช่ไหมเจ้าคะ” สร้อยฟ้าถาม
พ่อปู่เคลือบแคลงใจเล็กน้อยตรงคำว่า “ลูกสาวเวียงแก้ว” แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ
“นังเด็กคนนั้นมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา มันจะนำความวิบัติมาให้”
“นึกแล้วเชียว ตั้งแต่นังร้อยดาวเข้ามาในรั้วบดินทร์ธร ก็เกิดเรื่องคอขาดบาดตายไม่เว้นแต่ละวัน อีนังนี่ มันตัวเสนียด ตัวกาลกิณี ! แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะพ่อปู่ ? ดิฉันร้อนใจเหลือเกิน”
“เอ็งก็รู้ เรื่องไสยเวทวิทยาข้าไม่เคยเป็นสองรองใคร ถ้าร้อนใจนัก ก็ตามข้าไปที่เรือนโน่น” พ่อปู่พูดเบาๆ “ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้”
พ่อปู่มองหน้าสร้อยฟ้าด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
สร้อยฟ้าพิพักพิพ่วนเพราะพอจะรู้ว่าพ่อปู่จะทำอะไร จงจิตซึ่งแอบฟังอยู่สีหน้าสงสัยว่าทั้งสองเจรจากันเรื่องอะไรถึงดูมีลับลมคมในแบบนี้
เต็มเดือนรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วส่งให้ดำรง ดำรงกำลังจะยกขึ้นจิบแต่พอได้กลิ่นก็ชะงัก เขาถามเต็มเดือนอย่างไม่วางใจ
“ทำไมชาวันนี้ ทั้งกลิ่น ทั้งสี ดูแปลกๆ ?”
“ซินแสแนะนำว่าหากผสมเครื่องยาจีนบางอย่างลงในชายี่โถด้วย จะช่วยบำรุงพละกำลังให้คุณพ่อแข็งแรงไวยิ่งขึ้น เต็มเป็นห่วงคุณพ่อ ก็เลยให้ซินแสช่วยเจียดยาให้” เต็มเดือนบอก
“ต้องไปซื้อมาทำไมให้เปลืองเงินเปลืองทอง หล่อนนี่ช่างเจ้ากี้เจ้าการ”
“สำหรับคุณพ่อแล้ว เรื่องแค่นี้ เต็มถือว่าเล็กน้อยมากค่ะ”
ดำรงทำท่าจะยกชาขึ้นจิบ เต็มเดือนมองอย่างสมปรารถนา ทันใดนั้น ร้อยดาวก็พรวดพราดเข้ามา
ดำรงวางถ้วยชาก่อนที่จะดื่ม เต็มเดือนขัดใจ
ดำรงเอ็ด “พรวดพราดเข้ามาได้ ไม่มีมารยาท ! แล้วนี่จะยืนค้ำหัวฉันอีกนานมั้ย แม่ม้าดีดกะโหลก”
ร้อยดาวค่อยๆคุกเข่าลงตรงหน้าดำรงและเต็มเดือน
“ท่าทางธุระของหนูคงจะสำคัญมากสิจ๊ะ ถึงได้รีบร้อนซะขนาดนี้” เต็มเดือนว่า
“ดิฉันมีเรื่องบางประการจะมาเรียนให้คุณท่านทราบ... เกี่ยวกับญาติของคุณสร้อยฟ้าที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ค่ะ”
เต็มเดือนตกใจจ้องร้อยดาวแล้วพยายามระงับอารมณ์ ดำรงนั่งรอฟังใจจดใจจ่อว่าร้อยดาวจะพูดเรื่องอะไร
อ่านต่อตอนที่ 9