อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 1
พระนคร ปีพุทธศักราช 2459
ตำหนักใหญ่วังรวีวาร ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ดูสวยงามร่มรื่น ส่วนที่โรงครัว แลเห็นบ่าวไพร่มากมายทำหน้าที่ต่างๆ อยู่ในโรงครัว ทั้งโม่แป้ง เอาพริกแห้งออกมาใส่กระด้งตากผึ่งแดด บ้างขูดมะพร้าว หน้าตาบ่าวไพร่ทุกคนดูมีความสุข
หม้อดินต้มสมุนไพรตั้งอยู่บนเตาไฟ มีเฉลวปัก ยาสีคล้ำข้นๆ กำลังเดือด ควันกรุ่น มีสน กำลังพัดเตา แต่ตาส่ายมองล่อกแล่ก ท่าทางหลุกหลิก มีพิรุธ คล้ายคิดบางอย่างวุ่นวาย เจิมเข้ามาข้างหลัง ส่งเสียงเรียก
“นังสน”
สนสะดุ้งเฮือก พัดแทบหล่นจากมือ
“โอ้ย พี่เจิม ส่งเสียงเอะอะทำไมเนี่ย ตกใจหมด”
เจิมมองหน้าด้วยความสงสัย “ตกไปไหนล่ะใจเอ็งน่ะ หะ ดูซิ ฝากให้ต้มยา ยาเดือดจนจะแห้งหมดหม้อแล้ว”
“ว้าย”
สนตกใจ มองดูหม้อ รีบกุลีกุจอ เอาผ้ามาจับ ยกลง เจิมส่ายหัว ทั้งรักทั้งเอือม
“เสร็จแล้วก็รีบยกขึ้นให้หม่อมท่าน ประเดี๋ยวยาจะเย็นเสียหมด”
สนหน้าตามีพิรุธ
“พี่เจิมเอาขึ้นไปแทนฉันทีได้ไหมจ๊ะ” เจิมมองหน้า “เผอิญว่าฉันปวดท้องน่ะไม่รู้กินอะไรผิดสำแดงเข้าไป” สนจับท้องประกอบ “โอ้ย ฉันฝากพี่ด้วยนะจ๊ะ”
สนวิ่งหลบออกไป ทิ้งเจิมไว้กับหม้อยา เจิมมองตาม สงสัย งงๆ
หม่อมพริ้มวัยสาวสะพรั่งนั่งอยู่ที่หน้ากระจกคันฉ่อง เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ห่มแพรสีสวย ใบหน้านวลผ่องใส กำลังหวีผม เสร็จแล้วก็บรรจงแตะน้ำหอมลงบนตัว เจิมคลานเข้ามา ในมือถือถาดเงิน บนถาดมีถ้วยกระเบื้องเคลือบปิดฝา ใส่ยาสมุนไพร
“ยาบำรุงได้แล้วเจ้าค่ะ หม่อม”
หม่อมพริ้มหันมา สีหน้าแปลกใจ
“อ้าว นังสนไปไหน ทำไมเอ็งต้องเอาขึ้นมาเอง”
“สนมันปวดท้องเจ้าค่ะ” เจิมเปิดฝาถ้วยให้ “หม่อมรับเลยนะเจ้าคะ ยาอุ่นๆ รับง่ายหน่อย”
หม่อมพริ้มยิ้มขำๆ “จะกินตอนไหน ยาของเอ็งก็ขมเหมือนบอระเพ็ด” พลางยกยาขึ้นจิบ “ถ้าไม่จำเป็น ข้าคงเลิกกินไปนานแล้ว”
“รับเถอะเจ้าค่ะ หม่อมจะได้แข็งแรง” เจิมพูดจริงจัง “ท่านชายมีพระประสงค์จะได้ลูกชาย หม่อมก็ต้องมีลูกชายถวายท่าน”
“สองท้องที่ผ่านมา ข้ามีแต่ลูกสาว ท่านชายถึงต้องไปมีคนใหม่ เพราะหวังจะได้ลูกชาย”
เจิมท้วง “แต่หม่อมคนอื่น ก็ยังไม่มีวาสนาพอ ไม่มีใครถวายลูกชายให้ท่านได้...หม่อมต้องท้องเจ้าค่ะ แล้วก็ต้องท้องให้ได้ก่อนคนอื่นด้วย”
หม่อมพริ้มกลั้นใจ ยกยาซดหมดถ้วย แววตามุ่งมั่น
ภายในห้องบรรทมของ ม.จ.โชติช่วงระวี รวีวาร ประมุขแห่งวังรวีวาร ท่านชายตกแต่งเรียบง่าย แต่สวยงาม ในห้องสว่างไม่มาก แต่แลดูมะลังมะเลืองด้วยแสงโคม
ท่านชายในชุดนอนนั่งบนเตียง หม่อมพริ้มนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนเตียงด้วย ท่านชายอธิบายเสียงนุ่มนวล
“ฉันเป็นลูกชายเดียวของเสด็จพ่อ รับหน้าที่สืบต่อราชสกุลรวีวาร ถ้าหากไม่มีลูกชายสืบสกุล ตายไป ก็คงจะสู้หน้าบรรพบุรุษไม่ได้”
“เพคะ”
“แม่พริ้มเป็นเมียแต่ง ถึงจะมีใครอื่น ก็ไม่คิดจะยกย่องขึ้นมาแทนที่ ถ้าหากจะมีลูกชาย ฉันก็อยากจะให้เกิดจากท้องแม่พริ้มนี่แหละ...ได้ไหม”
“เพคะ”
หม่อมพริ้มกราบลง ท่านชายประคองไหล่หม่อมพริ้มขึ้นมา แล้วโอบกอดโน้มตัวลงบนเตียง ไฟโคมในห้องดับวูบไป
หนึ่งปีผ่านไป
ตำหนักใหญ่วังรวีวาร ตั้งตระหง่านอยู่ในความมืด ด้วยเป็นเวลาประมาณตีสี่ ท้องฟ้ายังมืดทะมึนเป็นสีน้ำเงินเข้ม แต่ที่ตัวตำหนักมีการจุดโคมไฟ และตะเกียงสว่างไสวราวกับกลางวัน
ห้องโถงใหญ่วังรวีวารตกแต่งด้วยเครื่องเรือน และเครื่องประดับที่บ่งบอกว่า เจ้าของเป็นคนที่ชอบดนตรีและนาฏศิลป์ แต่ตู้หนังสือติดผนังขนาดใหญ่มีตำรากฎหมายปกหนัง และโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ภูมิฐาน
หม่อมเจ้าโชติช่วงระวี รวีวาร วัย 32 ปี ในชุดลำลองอยู่กับบ้านอยู่ในนั้น และกำลังลุกๆ นั่งๆ กระสับกระส่าย ท่าทางตื่นเต้นเหมือนรอคอยสิ่งสำคัญ ที่มุมห้องมีบ่าวชายคนสนิทยืนเฝ้าคอยรับใช้อยู่
จังหวะนี้ พุด บ่าวหญิง วัย 18 ปี ถือกาน้ำร้อนที่หมดแล้วจะเอาไปเติม เดินลงมาจากชั้นบน ท่านชายเห็นพุดรีบปรี่ไปหาอย่างร้อนใจ
“พุด”
พุดชะงัก ยอบตัวลง “เพคะ ท่านชาย”
“แม่พริ้มเป็นยังไงบ้าง คลอดหรือยัง”
พุดส่ายหน้า “ยังเลยเพคะ”
ขาดคำก็มีเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังมาจากชั้นบน ท่านชายสะดุ้ง เงยหน้ามองตามเสียงด้วยความเป็นห่วง
ภายในห้องนอนชั้นบนซึ่ง หม่อมพริ้ม วัย 28 ปี กำลังคลอดลูก นอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ เหงื่อแตกโทรมไปทั้งกาย ท่าทางเจ็บปวดมาก มีหมอตำแยเป็นหญิงแก่ราว 60 ปี รูปร่างผอมเกร็งแต่ดูคล่องแคล่ว คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ทว่าสีหน้าเครียด มีเจิม บ่าวคนสนิทวัยกลางคนคุกเข่าอยู่ข้างเตียง ให้กำลังใจ หม่อมพริ้มพูดกับเจิมอย่างอ่อนแรงเต็มทน
“เจิม ทำไมคราวนี้มันเจ็บนานนัก”
เจิมเองมีสีหน้าเป็นกังวลไม่น้อย แต่แกล้งทำเสียงร่าเริงปลอบใจ
“เด็กมีบุญก็คลอดยากอย่างนี้ล่ะเจ้าค่ะ อีฉันว่า คราวนี้ หม่อมคงได้ลูกชายสมใจล่ะเจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มมีสีหน้าดีขึ้น นัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความหวัง
“ลูกชาย...ข้าต้องได้ลูกชาย”
ขณะเดียวกันที่เรือนไม้หลังเล็ก ตกแต่งสวยงามของหม่อมอีกคน หม่อมลำดวน 26 ปี หน้าตาสวยจัดจ้าน นั่งลุ้น อาการเครียด กระพือพัดในมือถี่ๆ ด้วยความกังวลใจ แววตาริษยาเห็นได้ชัด มีชด บ่าวหญิงวัยกลางคน นั่งรอสัปหงกอยู่ที่พื้นตรงมุมห้อง
“ถ้าหม่อมพริ้มได้ลูกชายจริงๆ ข้าแย่แน่”
ชดสะดุ้งเฮือก “อุ๊ย ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ หม่อมลำดวนเจ้าขา ลูกสองคนก่อนของหม่อมพริ้มเธอก็เป็นลูกสาว”
หม่อมลำดวนลุกขึ้นยืน โบกพัดถี่ยิบ กระสับกระส่าย
“แต่ถ้าคราวนี้เป็นลูกชายล่ะ นังชด ข้ากับลูกสาวข้า มิกลายเป็นหมาหัวเน่าหรอกรึ”
อีกฟากหนึ่ง ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักดังในความมืด ในทุ่งร้างที่มีต้นไม้ขึ้นรกเรื้อด้านนอกวังรวีวาร สน หญิงท้องโย้ใกล้คลอด วัยราว 25ปี อุ้มท้องวิ่งกระเซอะกระเซิงหนีไม่คิดชีวิต แสงสว่างรางๆ ทำให้เห็นหน้าตาสะสวย แต่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางอิดโรยสุดๆ ใบหน้าและลำตัวมีบาดแผลเหมือนโดนทำร้ายตบตีมาอย่างหนัก
ลอ ชายวัยเดียวกับสนวิ่งไล่ตามมา มันเป็นชายหน้าตาดี รูปร่างสะโอดสะองแบบพระเอกลิเก แต่ตาแดงก่ำ ท่าทางเหมือนคนเมาขาดสติ สนสะดุดคันดิน เซไปปะทะต้นไม้ ชายนั้นวิ่งมาทัน ดักหน้าสนเอาไว้
“มึงจะหนีกูไปไหน อีสน”
“พี่ลอ ฉันไหว้ล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
“ไม่ได้ มึงเป็นเมียกู มึงก็ต้องอยู่กับกู” ลอคำราม
“แต่ฉันทนมือทนตีนพี่ไม่ไหวแล้ว พี่เมาทีไรก็ตบตีฉัน เมื่อก่อนฉันไม่ว่า แต่ตอนนี้ฉันมีลูก”
สนเอามือปกป้องท้องแก่เกือบคลอดของตัวเองอย่างหวงแหน ลอมองที่ท้องสนอย่างแค้นๆ
“ลูกมึงก็ลูกกู จะทำไม สำออยนัก กูจะตีให้ตายทั้งแม่ทั้งลูกนี่แหละ”
ลอโถมเข้ามา สนคว้าไม้ใกล้มือฟาดใส่สุดแรง ลอล้มลงไป สนเจ็บท้อง แต่กัดฟันวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
ไม่นานต่อมาสนกระเสือกกระสนข้ามคลองเล็กๆ ไปยังรั้วด้านหลังของวังที่เห็นอยู่ตรงหน้า มุดเข้าไปด้านใน สนทั้งเจ็บท้อง ทั้งเหนื่อยแทบหมดแรง แต่พยายามแข็งใจวิ่งไปที่โรงครัว ที่เห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า
บรรยากาศในโรงครัวสว่างด้วยแสงไฟจากตะเกียงและเตาไฟฟืนขนาดใหญ่หลายเตา
อาบ แม่ครัวร่างอ้วน วัย 50 ปี กินหมากปากดำคุมบ่าวหญิงทำงานง่วนอยู่ บ้างหุงข้าวด้วยกระทะใบบัว บ้างโม่แป้ง บ้างคั้นกะทิ จวนวัย 25 ปี กำลังเด็ดผัก โดยมี หวน เด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบนวัย 6 ปี หลานของยายเจิมคอยช่วยอยู่ ทุกคนใจไม่อยู่กับงาน คอยชะเง้อชะแง้รอคอยฟังข่าว
“ดูทีรึ พี่เจิมก็หายเงียบ ไม่มาส่งข่าวเลย” จวนว่า
“เด็กอุแว้ออกมาก็รู้เองล่ะน่ะ นังจวนเอ๊ย ถ้าได้ลูกชายจริงๆ นังเจิมมันคงออกมาตีฆ้องร้องป่าวไปสามบ้านเจ็ดบ้าน” อาบบอก
“ผู้ชายมันดีกว่าผู้หญิงตรงไหนหรือจ๊ะ น้าจวน ถึงต้องดีใจขนาดนั้น” หวนถามซื่อๆ
“เอ็งไม่รู้อะไร นังหวน .. ลูกชายก็จะได้สืบวงศ์ตระกูลท่านน่ะซี ท่านชายท่านอยากได้ลูกชายมานานนักหนาแล้ว อุตส่าห์มีหม่อมตั้งสองคน ก็พากันมีแต่ลูกสาว” จวนยกมือท่วมหัว “คราวนี้ขอให้ท่านได้สมใจทีเถอะ เจ้าประคู้ณ”
ขาดคำ ก็เป็นเสียงของล้มดังโครมครามมาจากทางด้านหลังครัว ทุกคนหันขวับไปมอง เห็นร่างของสนล้มกองอยู่กับของ สนค่อยๆ ตะกายขึ้นมา
จวนจำได้ “อีสน”
“ช่วยฉันด้วยจ้ะ ฉัน...” สนเอามือกุมท้อง หน้านิ่ว
พูดไม่ทันจบ จวนก็เห็นน้ำใสปนสีเลือดอ่อนๆ ไหลลงมาที่ขาของสน จวนตกใจ
“เฮ้ย อีสน”
สนทรุดลงกับพื้น ทุกคนฮือกันเข้าประคอง ตกใจ
ด้านหม่อมพริ้มเบ่งสุดชีวิต มือที่โหนผ้าที่โยงลงมาจากเพดานกำแน่น เหงื่อเม็ดโตๆ แตกเต็มหน้า ปากก็ร้องด้วยความเจ็บปวด
“เบ่งเลยเจ้าค่ะ หม่อม เบ่งให้สุดแรง” หมอตำแยบอก
“อีกนิดเดียวเจ้าค่ะ หม่อม ทนอีกนิดเดียว” เจิมเอาใจช่วยสุดชีวิต
หม่อมพริ้มเจ็บจนน้ำตาไหล เจิมกุมมือหม่อมพริ้ม ให้กำลังใจ
“เอาเลยเจ้าค่ะ...เบ่ง”
หม่อมพริ้มกัดฟันออกแรงเบ่งอย่างอดทน เจิมมองอย่างลุ้น เอาใจช่วย
สนนอนบนเสื่อที่พื้นโรงครัว กำลังเบ่งลูก อาบกับจวนช่วยกันทำคลอด คนอื่นๆ มุงกันโดยรอบ ห่างออกไป
“โผล่แล้วเว้ย หัวโผล่แล้ว” อาบตะโกนอย่างตื่นเต้น
เวลาเดียวกันนั้นหม่อมพริ้มกรีดร้องสุดเสียง หมอตำแยกับเจิมท่าทางดีใจ
“เด็กออกมาแล้ว!”
หมอตำแยดึงเด็กออกมา ระหว่างที่กำลังวุ่นวายตัดรก เจิมชะโงกดู
“ผู้ชาย” เจิมวิ่งไปข้างเตียง “ผู้ชายจริงๆ เจ้าค่ะหม่อม หม่อมได้ลูกชายสมใจจริงๆ”
หม่อมพริ้มได้ยินเสียงเด็กร้องอ้อแอ้เบาๆ มองไปที่ปลายเท้า ผ่านสายตาอันพร่าเลือน เห็นหมอตำแยวุ่นวายกับเด็กอยู่ หม่อมพริ้มระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หันมองไปที่หน้าต่าง เห็นดาวประกายพรึกบนท้องฟ้าใกล้รุ่ง หม่อมพริ้มคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วหลับตาอย่างอ่อนแรง
ด้านเจิมออกจากตึกใหญ่วิ่งหน้าตั้งไปที่โรงครัว หน้าตาเบิกบาน
“กระจองงองกระจองงองเจ้าข้าเอ๊ย ข่าวใหญ่จ้ะข่าวใหญ่” แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นคนมุงกันเป็นกลุ่ม “มีอะไรกันรึ”
คนที่มุงอยู่แหวกเป็นช่องให้ เจิมเห็นสนนอนหายใจรวยรินอยู่ ก็ตกใจ
“นังสน!”
เจิมเดินเข้ามานั่งข้างๆ สนที่มีสภาพบอบช้ำ มีรอยทุบตี เห็นในอ้อมแขนของสนคือเด็กทารกห่อด้วยผ้าแถบเก่าๆ
“มันโดนผัวตี หนีซมซานกลับมาออกลูกที่นี่”
สนลืมตา พยายามรวบรวมแรงสั่งเสีย
“พี่เจิม ฉัน...” สนพยายามส่งเด็กในอ้อมแขนให้เจิม “ฉันฝากลูกไว้กับพี่ได้ไหมนึกว่าเมตตาเด็กตาดำๆ”
เจิมรับเด็กมา แปลกใจในคำพูดของสน
“นังสน อะไรของเอ็ง ทำไมพูดพิกล”
สนจับมือเจิมแน่น พูดอย่างอ่อนแรง
“ฉันฝากลูกด้วย”
สนมือตก สิ้นลมไปต่อหน้า เจิมอึ้ง ทุกคนอึ้ง
จวนเอามืออังจมูกร้องลั่น “นังสนตายแล้ว! พี่เจิม นังสนตายแล้ว!”
ทารกน้อยร้องไห้จ้าเหมือนจะรับรู้การจากไปของมารดา เจิมมองทารกน้อยในมือ อึ้งๆ ไป
เช้าวันนี้หม่อมพริ้มกึ่งนั่งกึ่งนอนพักฟื้นบนเตียง ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด เจิมกับพุดหมอบกับพื้น หลบหน้าหลบตา บ่าวทุกคนตระหนักว่าหม่อมพริ้มเป็นคนดุ
“ลูกข้าอยู่ที่ไหน” ความโกรธผุดขึ้นมา “อีเจิม! อีพุด! เอ็งเอาคุณชายไปไว้ที่ไหน คุณชายลูกข้าอยู่ที่ไหน”
เจิมถลาเข้าไปข้างเตียง จับปลายเท้าหม่อมพริ้มไว้
“หม่อมเจ้าขา ทำใจดีๆ ก่อนนะเจ้าคะ”
หม่อมพริ้มมองหน้าเจิม เห็นเจิมหูตาแดงก่ำเหมือนร้องไห้มาอย่างหนัก หม่อมพริ้มใจหายวับ รู้ทันทีว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับลูกแน่
“มันเกิดอะไรขึ้น” เจิมน้ำตาไหล พูดไม่ออก หม่อมพริ้มกรีดร้องเสียงดัง “ลูกข้าอยู่ที่ไหน”
ท่านชายเดินเข้ามาในห้องพอดี สีหน้าเข้มขรึม
“อย่าเอะอะไปเลย แม่พริ้ม”
หม่อมพริ้มหยุดทันที เห็นใบหน้าของท่านชายเสียใจปนโกรธ
“ลูกชายของเราไปเกิดใหม่แล้ว” หม่อมพริ้มชะงักงัน อึ้งไป “ฉันกับแม่พริ้มคงบุญไม่ถึงที่จะได้เขามาเป็นลูก”
หม่อมพริ้มตะลึง “อะไรนะเพคะ ลูก... ลูกตาย”
“เด็กออกมาได้ไม่กี่อึดใจก็ตาย” น้ำเสียงท่านชายคล้ายตำหนิหม่อมพริ้มอยู่ในที “หมอตำแยบอกว่ารกมันพันคอเด็กเสียแน่นตอนที่อยู่ในท้อง กว่าจะออกมาได้ เด็กก็เกือบสิ้นใจแล้ว”
หม่อมพริ้มช็อก อึ้ง หูอื้อพูดไม่ออก ท่านชายมีสีหน้าผิดหวัง
“ฉันหวังว่าแม่พริ้มจะให้ทายาทกับฉัน ทายาทที่จะมาสืบสกุลรวีวาร... ไม่นึกเลย ว่าจะโชคร้ายอย่างนี้”
“หม่อมฉัน...” หม่อมพริ้มเสียใจ จนพูดไม่ออก น้ำตาร่วงพรู “หม่อมฉัน...ขอประทานอภัย”
หม่อมพริ้มก้มลงจะกราบแทบตัก ท่านชายกลับลุกขึ้นยืน ไม่แยแส
“แม่พริ้มพักเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว”
ท่านชายเดินออกไป หม่อมพริ้มร้องไห้ คร่ำครวญ
“ท่านชายเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันขอประทานอภัย”
หม่อมพริ้มทิ้งร่างลงกับเตียงร้องไห้เหมือนใจจะขาด เจิมมองอย่างสงสาร
หม่อมลำดวนรอฟังข่าวอกแทบระเบิด ถามชดอย่างตื่นเต้น
“ยังไง นังชด แล้วท่านชายท่านว่ายังไงอีก”
“ท่านชายไม่ได้รับสั่งอะไรอีกเลยค่ะ หม่อม” ชดใส่ไข่ “แต่คงจะทรงกริ้วหม่อมพริ้มมาก เห็นอีพวกบนตำหนักใหญ่มันว่า ขนาดหางพระเนตรยังไม่แลไปเลยค่ะ”
หม่อมลำดวนยิ้ม ท่าทางสาแก่ใจ
ที่ห้องชั้นล่างมุมหนึ่งของตำหนัก ถูกจัดเป็นห้องอยู่ไฟของหม่อมพริ้ม มีตั่งไม้และเตาอยู่ไฟให้หม่อมนอนอยู่มุมหนึ่ง กั้นด้วยม่านผ้าป่านบางๆ สีขาวโดยรอบเพื่อบังสายตา
หม่อมพริ้มห่มผ้าแถบนอนอยู่ไฟ สีหน้าหม่นเศร้า มีเจิมหมอบเฝ้ารับใช้อยู่
คุณหญิงโศภี และคุณหญิงศุภลักษณ์ ลูกสาวของหม่อมพริ้ม วัย 4 และ 3 ขวบ ยังไว้จุก ยืนอยู่หน้าห้องนั้น หญิงโสภีบอกกับพุด
“พุด หญิงกับน้องจะหาหม่อมแม่”
เด็กหญิงราชนิกุลทั้งสองนั่งลงกับพื้น กราบหม่อมพริ้มอย่างเรียบร้อย หม่อมพริ้มยิ้มพอใจ ทักลูกสาว
“โศภี ศุภลักษณ์ สองสามวันมานี่ซนหรือเปล่าลูก”
สองคุณหญิงส่ายหน้าบอกพร้อมกัน “ไม่ซนค่ะ”
หญิงโศภีมองการอยู่ไฟอย่างสนใจ
“หม่อมแม่นอนกับไฟไม่ร้อนแย่หรือคะ”
“อุ๊ย ไม่นะคะ คุณหญิง ไม่พูดอย่างนี้ค่ะ คนโบราณเค้าถือ...เห็นคนอยู่ไฟ เค้าห้ามทักว่าร้อนไหม” เจิมบอก
“ทักแล้วจะเป็นไรหรือ ป้าเจิม”
“ทักแล้วก็จะร้อนซีคะ”
หญิงโศภีย้อนซื่อๆ “ถ้าไม่ทัก แล้วไฟจะไม่ร้อนหรือคะ”
เจิมอึ้ง หญิงโศภีถามอีก
“ถ้าไฟไม่ร้อน จะนอนอยู่ไฟทำไมล่ะคะ”
เจิมตอบไม่ถูก หม่อมพริ้มอดยิ้มขำไม่ได้
“ว่าไงล่ะ นังเจิม จนแต้มแล้วล่ะซี”
พุดเข้ามาคุกเข่าบอก
“ท่านชายเสด็จค่ะหม่อม”
ท่านชายเดินเข้ามาคนเดียว ทุกคนหันไปมอง หม่อมพริ้มมีแววตาดีใจที่เห็นท่านชาย
ท่านชายเดินมานั่งที่เก้าอี้ยาวที่จัดเอาไว้มุมหนึ่ง ลูกสาวทั้งสองลุกมาหา ท่านชายดึงเข้ามากอด
“มากวนหม่อมแม่หรือเปล่าคะหญิง”
โศภีกับศุภลักษณ์ส่ายหน้าท่าทีน่ารัก “ไม่กวนเพคะ”
พริ้มทักเสียงอ่อนหวาน “วันนี้ท่านชายอุตส่าห์เด็จมาเยี่ยมหม่อมฉันได้”
ท่านชายพูดสีหน้านิ่งๆ “พุด พาคุณหญิงออกไปเล่นข้างนอกก่อนไป”
พุดรับคำแล้วพาเด็กทั้งสองออกไป หม่อมพริ้มมองอย่างสงสัย
“ฉันพาคนมาให้แม่พริ้มรู้จัก”
หม่อมพริ้มสังหรณ์ใจวูบ
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 1 (ต่อ)
สักครู่หนึ่ง หญิงสาวหน้าตาสะสวย รูปร่างกะทัดรัด ชดช้อยแบบนางรำสองคนเดินเข้ามาในห้อง
คนหนึ่งท่าทางเรียบร้อยซื่อๆ อีกคนท่าทางดูแพรวพราวกว่า ทั้งสองอายุประมาณ 20 ปีต้นๆ นิ่มกับน้อยมานั่งที่พื้นตรงหน้าหม่อมพริ้ม ก้มลงกราบอย่างเรียบร้อย
หม่อมพริ้มรับไหว้ แล้วหันไปมองหน้าท่านชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นเชิงถาม ท่านชายอธิบายเรียบๆ
“แม่นิ่มกับแม่น้อยเป็นหลานสาวของแม่เนื่อง ละครเก่าที่หม่อมแม่ของฉันเคยชุบเลี้ยงเอาไว้”
หม่อมพริ้มนึกหวั่นๆ “จะโปรดให้ตั้งคณะละครหรือเพคะ”
“เปล่า ก็แค่คนเก่าคนแก่ เคยอุ้มชูกันมา พอแม่เนื่องตาย ก็เหมือนแพแตก ฉันเลยจะรับแม่นิ่มแม่น้อยมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่”
หม่อมพริ้มสังหรณ์ใจ มองหน้าสองพี่น้อง นิ่มที่ท่าทางสู้คนกว่า ยิ้มตอบอย่างหยดย้อย ส่วนน้อยก้มหน้า ท่าทางขวยเขินละอายใจ
นิ่มเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “อิฉันกับแม่น้อยไร้ญาติขาดมิตร โชคดีที่ท่านชายทรงเมตตา”
หม่อมพริ้มหยั่งเชิง “แล้วท่านชายจะโปรดให้สองคนนี้อยู่ที่ไหนหรือเพคะ”
ท่านชายตอบตรงๆ สีหน้าปกติ ไม่ได้รู้สึกผิด เหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
“ฉันรับปากแล้วไง ว่าจะไม่ให้ใครขึ้นมาบนตำหนักใหญ่ ที่นี่เป็นที่ของแม่พริ้มคนเดียว แม่นิ่มแม่น้อยก็ไปอยู่เรือนข้างหลัง เหมือนกับแม่ลำดวนนั่นแหละ”
หม่อมพริ้มอึ้ง เข้าใจชัดเจนจากคำตอบว่าท่านชายรับสองพี่น้องมาเป็นหม่อมคนใหม่ ได้แต่พยักหน้ารับรู้ เสียใจอยู่ลึกๆ
เจิมมองหม่อมพริ้มอย่างเข้าใจ แสนสงสาร
ที่โรงครัวยามค่ำ พวกบ่าวผู้หญิงล้อมวงกินข้าว คุยไปกินไป อาบอยู่หน้าเตา ส่งเสียงเปรยขึ้นมา
“สงสารหม่อมท่านนะ”
จวนละมือจากเปิบข้าว หันไปตอบ
“ฮู้ย...พี่อาบ หม่อมพริ้มท่านเป็นเมียเอก เป็นคนเดียวที่ได้เสกสมรส ทรัพย์สินบริวารท่านก็ยกให้หม่อมดูแลเป็นสิทธิ์ขาด สบายกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ”
“ขึ้นชื่อว่าเมีย จะเจ้าหรือไพร่มันก็เหมือนกันแหละ จวนเอ๊ย เสียทองเท่าหัว ไม่อยากจะเสียผัวให้ใคร”
“แหม พี่เจิมก็พูดซะหยั่งกะเคยมีผัวมาซักสิบคน”
“อีจวน อีปากตำแย แม่เอ็งสิมีผัวสิบคน”
เจิมยกเท้าถีบจวนกระเด็นไปด้วยความโมโห
“โอ๊ย เจ็บนะเว้ย”
ทั้งสองทุบกันเสียงดังตุ้บตั้บ เสียงเด็กทารกร้องขึ้น อาบตะโกนด่ามา
“เอ้า เฮ้ย นังสองคนนั่น เด็กมันตกใจตื่นแล้วเห็นไหม”
ทั้งสองละมือจากการตีกัน หวนที่ช่วยเลี้ยงเด็กทารกน้อยอยู่บนแคร่ร้องตอบมา
“มันคงร้องเพราะหิวน่ะจ้ะ ป้าอาบ...นังคนนี้มันกินเก่ง หิวทั้งวันเลย”
เจิมชี้หน้าจวนว่าฝากไว้ก่อน แล้วเดินไปอุ้มเด็กเขย่าให้เงียบ อาบเดินมาพร้อมกับถ้วยใบเล็กใส่น้ำข้าว
“เอ้า กินซะ” อาบถอนใจ “ดูๆ ก็น่าเวทนา เกิดมาแม่ก็ตาย ข้ากับนังหวนก็ได้แต่เอาน้ำข้าวกรอกปากเลี้ยงกันไป ก็ไม่รู้ว่าจะรอดไปได้ซักกี่น้ำ”
เจิมมองเด็กในอ้อมแขนแล้วสงสาร
วันใหม่วันหนึ่ง ขณะที่หม่อมพริ้มนั่งกึ่งนอนอยู่ในห้องไฟอยู่ เจิมเอาเด็กวางลงที่พื้นตรงหน้า
“ก็เลี้ยงมันไปเถอะ เจิมเอ๊ย นึกเสียว่าเอาบุญ ยังไงนังสนมันก็เคยเป็นคนของข้า” หม่อมบอก
“ถ้ามันไม่หนีตามไอ้พระเอกลิเกนั่นไป คงไม่อายุสั้นอย่างนี้ เวรกรรมเลยมาตกกับนังหนูนี่”
หม่อมพริ้มมองดูเด็กอย่างเวทนาสงสาร “มันเกิดมาได้กี่วันแล้วนี่”
“เจ็ดวันเข้านี่แล้วเจ้าค่ะ หม่อม นังหนูมันเกิดมา เวลาเดียวกันกับที่คุณชาย... ” เจิมไม่ค่อยกล้าพูด ต่อ
หม่อมพริ้มอึ้งไป พยักหน้าให้เจิมเอาเด็กมา เจิมเอาเด็กไปส่งให้หม่อมอุ้ม
หม่อมพริ้มพูดกับเด็ก “เอ็งเสียแม่ ส่วนข้าก็เสียลูก...เราสองคนโชคร้ายพอๆ กัน”
เด็กทารกร้องจ้าขึ้นมา เจิมรีบจะเข้ามาเอาไป
“คงจะหิวน่ะเจ้าค่ะ หม่อม”
หม่อมพริ้มคิดๆ แล้วตัดสินใจ เบี่ยงตัวเข้าข้างฝา ปลดผ้าแถบลง เอาผ้าแพรคลุมไหล่ ให้เด็กทารกกินนมจากอก เจิมอึ้ง ตะลึงแล ปลาบปลื้ม
“แม่นมที่ข้าหาไว้เลี้ยงคุณชาย เอ็งให้มาเลี้ยงนังหนูนี่แทน”
เจิมดีใจสุดๆ “เจ้าค่ะ หม่อม”
“เรียกแต่นังหนู นังหนู เอ็งตั้งชื่อมันหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ” เจิมประจบ “แต่ถ้าหม่อมจะเมตตา”
หม่อมพริ้มคิดนิดหนึ่ง
“แม่มันชื่อสน ให้มันชื่อสาก็แล้วกัน”
เจิมทวนชื่ออีสาขมุบขมิบ มองเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนหม่อมพริ้ม ปลื้มใจจนน้ำตาคลอ
เวลาหมุนเวียนผ่านไป สิบปีต่อมา
บรรยากาศในโรงครัววุ่นวายได้ที่ เห็นบ่าวหญิงทำงานอยู่ จวนตอนนี้รับหน้าที่แม่ครัวแทนยายอาบ เดินถือกระจ่า หน้าตาโมโหจัด ร้องตะโกนเรียก
“นังสา นังสา อีนังสา” ตอนท้ายตะโกนดังสุดๆ “อีสา!”
เจิมที่ยามนี้เริ่มมีผมขาวแซมประปราย เดินเข้ามา
“อะไรกัน นังจวน ร้องแรกแหกกระเชออะไร”
“ก็อีหลานสาวตัวดีของพี่เจิมน่ะซี ฉันใช้ให้มันกับนังหวนช่วยกันโขลกพริกแกงมันหายหัวไปไหนไม่รู้ ทิ้งให้นังหวนทำอยู่คนเดียว”
เจิมเดินไปที่หวน ที่ตอนนี้เป็นสาวแล้ว ท่าทางซื่อๆ เรียบร้อย หวนนั่งโขลกพริกแกงอยู่
“นังสามันไม่ได้บอกเอ็งรึ ว่ามันไปไหน”
“มันบ่นว่าพริกกระเด็นใส่มัน มันแสบ ทนไม่ไหว เลยจะไปล้างตัวน่ะจ้ะป้า” หวนบอก
จวนเบ้หน้า ค้อนขวับ
“มันแสบหรือมันคันกันแน่” เจิมมองหน้าจวน “พนันกันไหมล่ะ ฉันว่ามันคงไปเล่นน้ำกับไอ้พวกทโมนนั่นมากกว่า”
จริงดังคำจวนว่า ที่คลองหลังวัง มีต้นไม้ใหญ่ที่ยื่นกิ่งไปในน้ำ เห็นเด็กผู้ชายยืนอยู่บนคาคบนั้น กระโดดทิ้งตัวลงน้ำดังตูม ในน้ำตอนนี้ มีเด็กผู้ชายวัยประมาณ 8 - 10 ปี ยังไว้จุก ลอยคออยู่เจ็ดแปดคนร้องเฮ เสียงใสๆ ของสา วัย 10 ขวบ ร้องลั่น
“เอ็งดูข้ามั่ง เอ็งคอยดู”
สายังไว้ผมจุก หน้าสวยจัด ตาโตคมกริบ นุ่งผ้ากระโจมอก ปีนไปทำท่าก๋ากั่นอยู่บนคาคบของต้นไม้นั้น เด็กผู้ชายร้องท้าทาย
เด็ก 1 ท้า “ข้าว่าอีสามันไม่กล้าโดดหรอก”
สาเท้าสะเอว “ทำไมข้าจะไม่กล้า”
เด็ก 2 บอก “กล้าก็โดดซี ยืนอยู่ทำไมเล่า”
เด็กๆ เชียร์ลั่น “กล้าก็โดดเลย โดดเลยๆๆๆๆ”
สากระโดดทิ้งตัวลงมาจากคาคบ ร่างลอยหวือลงมา ระหว่างทาง ผ้าถุงเลื่อนหลุด
สาร้อง “ว้าย”
เด็กๆ ร้อง “เฮ้ย”
ร่างสากระแทกน้ำดังตูมแล้วจมหาย เห็นแต่ผ้านุ่งลอยเป็นวงกลม สาทะลึ่งขึ้นมา ลนลานคว้าผ้าถุงมานุ่งขมวดปมใหม่แทบไม่ทัน เสียงเด็กโห่ฮาลั่นคลอง
เด็ก 1 ตะโกน “อีสาผ้าหลุด เห็นตูดดำปี๋เลยโว้ย”
เด็กคนอื่นโห่ฮา ร้องตามกันเซ็งแซ่ “อีสาผ้าหลุด เห็นตูดดำปี๋”
สาทั้งโกรธทั้งอาย
“หยุดนะ ไอ้พวกปากหมา”
เด็กผู้ชายวิ่งหนีขึ้นฝั่ง พลางร้องตะโกนไม่หยุด
สาคว้าท่อนไม้แถวนั้น วิ่งไล่ตามไปอย่างเอาเรื่อง
สาวิ่งไล่ตามฟาดพวกเด็กผู้ชายคนที่เป็นหัวโจกเข้ามาในสวนของวังด้วยความโมโห เด็ก 1 วิ่งล่ออย่างสนุก สาวิ่งทัน ฟาดไม้ไปโดนกลางหลังดังพลั่ก
เด็ก 1 ร้อง “โอ๊ย” หันมาอย่างโกรธแค้น “อีสา มึงทำกู”
สาไม่กลัว “เออ จะทำไม”
“เฮ้ย” เด็ก 1 พยักหน้าให้ลูกสมุน “รุมมัน”
เด็ก 1 คว้าก้อนดินที่พื้นปาไปที่สาโดนจังๆ เต็มหน้า คนอื่นๆ รุมกันทำตาม อีสาปัดป้อง ควงไม้ไล่ตี พวกเด็กผู้ชายวิ่งหนี สาวิ่งตามไป แต่แล้วกลับสะดุดหกล้มหน้าคว่ำกับพื้น จุกแอ้ก พวกผู้ชายหัวเราะแล้ววิ่งหนีไป สายันตัวขึ้นมา หน้ามอมแมม น้ำตาคลอ
สาในสภาพเนื้อตัวมอมแมมด้วยขี้ดิน เดินไปร้องไห้ไปด้วยความเจ็บใจ
“ไอ้พวกหมาหมู่ …คอยดู ซักวัน กูจะเอาคืน คอยดู”
สาเอามือมอมแมมป้ายเช็ดน้ำตา ยิ่งทำให้หน้าเลอะเป็นทาง พอลดมือลง ก็ต้องชะงัก อ้าปากค้างเมื่อเห็น หม่อมเจ้าโชติช่วงระวี ในชุดลำลองยืนอยู่ตรงหน้า สาลงนั่งยองๆ กับพื้นทันที
ท่านชายมองอย่างขำๆ แกมเอ็นดู “นี่มันตัวอะไรกันนี่”
สาตอบเสียงเบาหวิว หวาดหวั่น “สา...” ลังเลนิดหน่อย “เพคะ”
ท่านชายเดินเข้ามา ทรุดตัวลงมองดูสาใกล้ๆ สาก้มหน้างุด ไม่กล้ามองท่านชายตรงๆ แต่ยังเห็นท่อนแขนขาวผ่อง และได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวท่านชายกรุ่นมา ท่านชายมองสา พูดอย่างเมตตาปนขำ
“ชื่อสารึเอ็งน่ะ...ไปทำอะไรมา หน้ามอมเป็นแมวคราว”
สาเงยหน้า ท่านชายเห็นคราบน้ำตา ก็นึกรู้
“โดนใครแกล้งมารึไง”
สาได้ยินเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน รู้สึกเต็มตื้นในใจ พูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้า น้ำตาไหลออกมาอีก ท่านชายยิ้มๆ พูดอย่างเมตตา
“อย่าร้องไห้ วันนี้เอ็งเจอข้าถือว่าโชคดี” ท่านชายหยิบเงินสตางค์หนึ่งออกมาจากชายพกส่งเงินให้สา “เอาไป ข้าให้ ถือว่าทำขวัญ”
สามือสั่น แบมือมารับเหรียญ ท่านชายโยนใส่มือให้ แล้วเดินออกไป สามองเหรียญในมือ แล้วมองตามท่านชาย น้ำตาปริ่ม ตื้นตัน
เช้าวันหนึ่งหม่อมพริ้มแต่งไม้ดัดอยู่ในศาลา สักครู่หนึ่งจึงวางกรรไกรลง หันมาพูดกับเจิมที่หมอบฟังอยู่
“อีสามันจะเป็นสาวแล้ว เอ็งก็ต้องดูแลมันให้ดีๆ”
“บ่าวก็ดูอยู่เจ้าค่ะ แต่สามันดื้อเหลือเกิน” เจิมถอนใจ “บ่าวเลี้ยงมันมาแต่เล็ก ไม่ใช่ลูกก็รักเหมือนลูก สาเองมันก็หน้าตาสะสวย บ่าวก็หวังจะปลูกฝังให้มันได้ดีกว่าแม่ของมัน”
“แต่ขืนเอ็งปล่อยให้มันเล่นหัวกับพวกเด็กผู้ชายอย่างนั้น อีกหน่อยเถอะนังเจิม ได้ฉีกผ้าอ้อมกันไม่ทัน”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะเจ้าคะ หม่อม”
หม่อมพริ้มใคร่ครวญครุ่นคิด
การเลี้ยงไม้ดัดไทยโบราณ พวกชา ตะโก ข่อย เหมือนจะสื่อว่าหม่อมพริ้มเป็นคนที่เข้มงวด ชอบการควบคุม ให้สิ่งต่างๆ อยู่ในระเบียบ สวยงาม ไม่ชอบให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
วันต่อมา สากับเจิมนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นห้องโถง เรือนหม่อมนิ่ม หม่อมน้อย มีเครื่องดนตรีไทยวางไว้อย่างเป็นระเบียบ มีโต๊ะบูชาหัวโขนและหัวฤๅษีแบบบ้านครูนาฏศิลป์ อีกด้านเป็นที่นั่งรับแขก หม่อมนิ่มกับหม่อมน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้
“หม่อมพริ้มท่านให้อิฉันเอาอีสามาหัดรำเจ้าค่ะ”
หม่อมน้อยมองอีสาอย่างพิเคราะห์ แล้วหันไปบอกหม่อมนิ่ม “ปากคอคิ้วคางมันก็หมดจดดี หน่วยก้านพอจะหัดละครได้”
หม่อมนิ่มลุกขึ้นเดินไปหาสา จับคางสาขึ้นมาดูหน้า แล้วยิ้มเยาะ
“แต่หน้ามอมแมม ขี้ไคลหนาเตอะเต็มบ้องหู อีสาเอ๊ย น้ำหน้าอย่างเอ็งเนี่ยนะ แค่นจะมาเป็นนางละคร”
หม่อมนิ่มเอานิ้วจิ้มหัวสา ผลักจนเซไป สาหน้างอ ตาวาววับแบบคนไม่ยอมแพ้
เวลาผ่านไปเจิมกับสาอยู่ที่ท่าน้ำเรือนบ่าว เจิมจับสาขัดตัวด้วยมะขามเปียก สาทั้งร้องทั้งดิ้นปวดแสบไปหมด
“โอ๊ย ป้า แสบ เบาๆ หน่อยได้ไหม”
“อยากสวยไหมล่ะ นังสา อยากสวยก็ต้องอดทน”
ได้ยินดังนั้นสากัดฟันอดทน เจิมเอามะขามเปียกขัดแขนสา ตามด้วยขมิ้นจนตลอดทั้งแขนเป็นสีเหลืองลออ
เวลาต่อมาที่มือเล็กๆ ของสาถูกแม่ครูจับแช่ลงไปดัดในอ่างดินเผาใส่น้ำข้าวอุ่นจัด สาแหกปากร้องลั่น
“อ๊าย.....”
หม่อมนิ่ม หม่อมน้อย ชี้หน้าสาปราม สาหุบปากหมับ กัดฟันทน หน้าตาเด็ดเดี่ยวมาก
ทุกๆ วัน ที่ท่าน้ำเรือนบ่าวไพร่ จะเห็นสานุ่งกระโจมอก อาบน้ำขัดขมิ้นให้ตัวเองอย่างขันแข็ง แขนที่ถูกขมิ้นกลายเป็นแขนเรียวสวยของหญิงสาว มือที่เจียนแต่งเล็บอย่างสวยงามขัดผิวอย่างคล่องแคล่ว
มือของสาละเลงขมิ้นสีเหลืองจากแขน ไล่ไปที่ลาดไหล่ เนินอก จนเห็นใบหน้าสวยบาดใจของสา ที่ตอนนี้โตเป็นสาว วัย 16 ปีแล้ว
สาใช้ขันตักน้ำเทราดตัวอย่างมีความสุข ขมิ้นไหลออกไปหมด เห็นผิวผ่องยองใยดูเย้ายวน สายกแขนของตัวเองขึ้นมอง ยิ้มอย่างพอใจ ยินเสียงฉิ่งเคาะจังหวะดังแว่วมาจากเรือนหม่อมนิ่มหม่อมน้อย
ไม่นานต่อมา แขนเรียวสวยของสา กำลังรำอย่างคล่องแคล่ว ครูเข้ามาช่วยจับแขนจัดท่านิดหน่อย สารำได้สวยงาม หม่อมนิ่มพยักหน้าเป็นทีว่าใช้ได้ หม่อมน้อยยิ้มอย่างพอใจ
สาหมุนตัวมา เอียงหน้าพรายยิ้มตามท่าของนางละคร สวยงามจับใจ
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 1 (ต่อ)
อยู่มาวันหนึ่ง หม่อมพริ้มนั่งพักผ่อนอยู่บนตั่งในโถงกลางตำหนักใหญ่ มีสาวใช้ทำหน้าที่พัดวีอยู่ข้างหลัง เจิมพาสามาเฝ้า สากราบหม่อมพริ้มอย่างสวยงาม หม่อมพริ้มมองอย่างพอใจ
“กราบสวยนี่... แม่นิ่มแม่น้อยเขาก็สอนเอ็งมาใช้ได้”
สาเงยหน้ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“สารำสวยด้วยค่ะ หม่อม แม่ครูยังบอกว่าออกงานได้ไม่อายใคร”
“อย่าฝันไปเลยนังสา ที่ข้าให้นังเจิมพาเอ็งไปหัดรำ ก็แค่อยากให้เอ็งเลิกไปเล่นกับไอ้พวกเด็กผู้ชายก็เท่านั้น”
สาหน้าม่อยลงนิดหนึ่ง หม่อมพริ้มพูดต่อ
“เอ็งโตเป็นสาวแล้ว งานบ้านงานเรือนก็เรื่องสำคัญ...ทั้งกับข้าวกับปลา เย็บเสื้อเย็บผ้า เห็นนังเจิมมันว่าเอ็งยังเอาดีไม่ได้สักอย่าง”
สาออกอาการเซ็งไม่อยากฟัง หม่อมพริ้มเห็นอาการของสา เสียงจริงจังขึ้น
“เป็นผู้หญิงน่ะ สวยอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ นังสา... ความดีกับความงามมันต้องมาคู่กัน ไม่งั้นก็เข้าตำรา สวยแต่รูป จูบไม่หอม เอ็งเข้าใจไหม”
สาไม่เชื่อแม้แต่น้อย ในใจร่ำๆ อยากจะเถียงหม่อมพริ้ม แต่ไม่กล้า
ส่วนที่โรงครัว บ่าวหญิงล้อมวงกินข้าวกัน สากินข้าวไป จีบปากจีบคอนินทาไปด้วย
“อุ๊ย ก็ดูขนาดหม่อมสิ ทั้งดีทั้งงาม ท่านชายยังมีหม่อมเล็กหม่อมน้อยออกเต็มวังไปหมด จริงไหมป้าเจิม”
เจิมตบกบาลสาดังโป๊ก สาหน้าทิ่มเกือบสำลักข้าว
“นังสา ถ้าขืนพูดลามปามหม่อมอีกคำ ข้าจะตบให้ปากฉีกกินข้าวไม่ได้เลยเอ้า”
สาหน้าม่อย จวนหัวเราะคิกคัก
“อีสาเอ๊ย น้ำพริกถ้วยเก่าต่อให้อร่อยขนาดไหน กินทุกวัน มันก็ต้องมีเบื่อบ้าง”
“ไม่จริงเว้ย ท่านชายน่ะทั้งรักทั้งเกรงหม่อมพริ้ม แต่ที่มีคนอื่นอีกน่ะ เพราะหม่อมพริ้มท่านมีแต่ลูกสาว แต่ท่านชายท่านอยากได้ลูกชายมาสืบสกุล” เจิมคุยเขื่อง
“แต่จะว่าไป เดี๋ยวนี้ท่านก็ไม่เด็จไปเรือนหม่อมนิ่มหม่อมน้อยแล้วนะจ๊ะ ป้าเจิม” จวนตั้งข้อสังเกต
เจิมเห็นด้วย “เออ จริงของเอ็งว่ะ หวน หลังๆ มานี่เด็จแต่เรือนหม่อมลำดวน ไม่รู้ว่าเรือนนั้นมีดีอะไร”
จวนหัวเราะกิ๊กขึ้นมาอีก หน้าตามีพิรุธ สาดึงแขนจวนมา ถามอย่างสนใจ
“อะไรน้าจวน... ไหน ขยายให้ฟังหน่อยซิ ว่าที่เรือนนั้นมีอะไร”
จวนหัวเราะคิกคัก ทำท่าไม่ยอมบอก สายิ่งอยากรู้
อีกวันหนึ่ง รถยนต์คันใหญ่แล่นมาจอดที่หน้าตำหนักใหญ่ วังรวิวาร รถจอดสนิท เห็นชิดคนขับรถลงมา แต่ยังไม่ทันเปิดประตูรถ ประตูด้านหลังก็เปิดพรวดออกมาก่อน เด็กหญิงในชุดผ้าซิ่นสีเข้มและเสื้อลูกไม้ขาวสองคนก็วิ่งลงมา ทำท่าจะวิ่งแข่งกันเข้าตัวตึก เสียงหวานใสลอยออกมาจากรถ
“หญิงจิ๋ม หญิงจ้อย ไม่วิ่งนะคะ”
เด็กทั้งสองหยุด หน้าม่อย
หม่อมราชวงศ์หญิงโสภาพรรณวดี หรือ คุณหญิงโสภา สาวน้อยวัยย่างสิบห้าปีเจ้าของเสียง ลงจากรถมาเป็นคนสุดท้าย เธออยู่ในชุดนักเรียนโรงเรียนการเรือน ผมถักเปียเรียบร้อย ใบหน้าสวยบริสุทธิ์แจ่มใส ห่างออกไป เห็นนายชิดถือปิ่นโตเถาใหญ่ตามมา
โสภาเตือนเสียงอ่อนหวาน “หม่อมแม่สอนไว้ว่ายังไงคะ”
หญิงจิ๋ม กะ หญิงจ้อยพูดพร้อมกัน "ลุกนั่งเดินเหินพรวดพราด ไม่ใช่สมบัติของผู้ดีค่ะ"
หญิงสาวหน้าตาหมดจดวัยประมาณยี่สิบกลางๆ สองคนเดินออกมาจากด้านในบ้าน ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่องได้แล้ว ก็ต้องทำให้ได้ด้วยสิจ๊ะ หญิงจิ๋ม หญิงจ้อย” โสภียิ้มทัก
เด็กทั้งสามยกมือไหว้
โสภาทักตอบ “พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรอง มายังไงคะนี่”
“พี่กับพี่หญิงโศภีมาเยี่ยมหม่อมแม่ นี่ก็รอพวกเธอสามคนกลับจากโรงเรียน” ศุภลักษณ์เดินมาโอบเอวโสภา “ไปหญิงโสภา ไปรับน้ำชากัน”
โต๊ะน้ำชาจัดสไตล์ฝรั่งอย่างเต็มพิธีการ มีชุดถ้วยชาแบบยุโรป แต่ของว่างเป็นปั้นสิบ ช่อม่วง กลีบลำ ดวน ขนมไทยๆ
หม่อมพริ้มนั่งอยู่แวดล้อมด้วยลูกสาวทั้งห้าคน มีเจิมเฝ้ารับใช้อยู่ห่างๆ โสภาดูแลรินน้ำชาให้น้องๆ ทั้งสอง โศภีกับศุภลักษณ์เอาใจหม่อมพริ้ม ชวนคุยไปด้วย
ศุภลักษณ์ถาม “ลูกเขยของหม่อมแม่พูดเสมอว่ารับน้ำชาที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนที่รวีวาร”
โศภี เห็นด้วย “จริงค่ะ โดยเฉพาะของว่างฝีมือหม่อมแม่ไม่มีใครสู้ได้”
หม่อมพริ้มตำหนิยิ้มๆ “บอกให้หัดก็ไม่ยอมหัด ออกเรือนแล้วจะได้เอาไว้ปรนนิบัติลูกผัว”
“หญิงไม่ถนัดจริงๆ นี่คะ ถ้าเย็บปักถักร้อยล่ะว่าไปอย่าง” ศุภลักษณ์ว่า
“ไม่เหมือนหญิงโสภา แม่คนนี้เขาชอบทุกอย่าง สมแล้วที่เป็นนักเรียนการเรือน”
หม่อมพริ้มหันไปมองโสภาอย่างรักใคร่ ชื่นชม โสภายิ้มตอบอย่างสดใส พอดีสาวใช้ถือจานใส่ขนมฝรั่งเข้ามาส่งให้หญิงโสภา
“แล้วนั่นอะไรอีก”
“วันนี้ที่โรงเรียนคุณครูแหม่มสอนทำสตูไก่กับขนมคัสตาร์ดค่ะ หญิงเลยนำกลับมาให้หม่อมแม่ลองชิม” โสภาว่า
หญิงจ้อย หรือ ศรีลักษณา ธิดาคนสุดท้อง บอกเสียงดังฟังชัด “อร่อยมากเลยค่ะ หม่อมแม่”
หม่อมพริ้มฉงน “หญิงจ้อยรู้ได้ยังไง”
หญิงจิ๋ม หรือ สิริพรรณราย จีบปากฟ้อง ตาปะหลับปะเหลือก “เพราะตอนนั่งรถกลับบ้าน หญิงจ้อยแอบขโมยทานไปแล้วค่ะ หม่อมแม่”
“พี่หญิงจิ๋มขี้ฟ้อง”
“หญิงจ้อยนั่นแหละตะกละ”
หม่อมพริ้มห้าม “ไม่เอา ลูก อย่าเถียงกันบนโต๊ะอาหาร”
ทั้งสองสงบทันที หม่อมพริ้มตักขนมชิม พยักหน้าอย่างพอใจ
“อร่อยดี วันหลังจะให้หญิงทำขึ้นโต๊ะให้ท่านพ่อลองเสวย”
“จริงสิ แล้วนี่ท่านพ่อเด็จไหน...ไม่มาเสวยน้ำชากับพวกเราหรือคะ” โสภีถามขึ้น
หม่อมพริ้มนิ่งขึงไป รู้ว่าท่านชายประทับอยู่ไหน
หม่อมเจ้าโชติช่วงระวี รวีวาร นั่งจิบชาอยู่ในชุดสบายๆ อยู่ในห้องนั่งเล่นบนเรือนหม่อมลำดวน มีหม่อมลำดวนนั่งปรนนิบัติเอาใจ ชดเดินออกมาจากห้องด้านใน คุกเข่าลงรายงาน
“พร้อมแล้วเพคะ”
ท่านชายวางถ้วยชา หม่อมลำดวนรีบตามเอาใจ
“เชิญเด็จเพคะ ท่านชาย”
ท่านชายเขินนิดๆ “ไม่ต้องเดินไปส่งฉันหรอกน่ะ แม่ลำดวน ฉันไปเองได้”
ท่านชายเดินตามชดเข้าไปที่ห้องด้านใน หม่อมลำดวนกระหยิ่มยิ้มย่อง
สาด้อมๆ มองๆ ชะเง้อชะแง้อยู่ข้างพุ่มไม้ ในสวนข้างเรือนหม่อมลำดวน หวนหน้าตาตื่นๆ อยู่ข้างๆ
“กลับเถอะ นังสา ข้ากลัว”
“กลัวอะไรเล่า พี่หวน ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
“ก็เอ็งจะแอบดูเขา”
สาชู่ว์ปาก ดึงหวนให้หลบหลังพุ่มไม้ สามองผ่านหน้าต่างเข้าไป เห็นท่านชายเดินมาตามระเบียงยาว ตามชดขึ้นไปห้องด้านหลัง แสงยามบ่ายสาดต้องเสี้ยวพักตร์ดูผ่องใสกระจ่าง ใบหน้าเหมือนจะมีรอยยิ้มน้อยๆ สาชะเง้อมองท่านชายอย่างปลาบปลื้ม
“ทรงสิริโฉมเหลือเกิน... ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้ทีเด็ดที่ทำให้หม่อมลำดวนมัดพระทัยท่านชายเอาไว้ได้น่ะมันคืออะไร”
ท่านชายเปิดประตูเข้าไปในห้องนวดที่จัดไว้ หมอนวดสาวผิวขาวร่างอวบ ห่มผ้าแถบนุ่งโจงกระเบน หูตาหยาดเยิ้มนั่งพับเพียบรออยู่
ชดตามเข้าไป
“นี่นังแจ่ม หมอนวดที่ว่าเพคะ ท่านชาย”
หมอนวดชื่อแจ่มกราบ
“เชิญท่านชายประทับเพคะ”
ท่านชายลงนั่งที่เบาะ ชดอมยิ้ม ส่งสายตาให้หมอนวดที่ยิ้มพริ้มพรายอยู่ แล้วหลบออกไป
ในศาลากลางสวนเวลานั้น หลังดื่มน้ำชาเสร็จแล้ว หม่อมพริ้มนั่งหน้าขรึมคุยกับเจิม ห่างออกไปเห็นคุณหญิงทั้งห้าคนเล่นตีแบดมินตันกันอยู่อย่างสนุกสนาน หม่อมพริ้มพูดเสียงเรียบนิ่ง พยายามข่มใจ
“จะว่าไป มันก็เป็นความผิดของข้าเอง...มีลูกห้าคน ก็มีแต่ลูกสาว ยิ่งพระชันษามากขึ้น ท่านชายก็ยิ่งกังวลพระทัย กลัวจะไม่มีทายาทสืบสกุล”
เจิมขัดใจ “แต่นังนั่นมันเป็นหมอนวดจับกษัย”
หม่อมพริ้มหันขวับมาสวนอย่างขมขื่น
“แต่มันก็ยังสาว... ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน ถ้ามันมีลูกชายถวายท่านได้ ข้าก็คงต้องยอมทั้งนั้นล่ะ นังเจิม”
ด้านหวนหน้าตาไม่สบายใจมาก ยืนกระสับกระส่ายหันซ้ายหันขวาอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ ไม่ห่างจากตัวเรือนนัก บนต้นไม้ สาปีนขึ้นไปที่คาคบ พยายามจะมองผ่านหน้าต่างเข้าไปให้เห็นห้องนวด
หวนเรียกเสียงเบา “นังสา เห็นแล้วยัง”
สากระซิบตอบ “ยัง”
หวนถามเสียงเบาอัก “ไม่เห็นเอ็งก็ลงมาเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าเราจะซวย”
สาตอบเสียงเบา “พี่หวนก็ดูต้นทางไว้ซี... อุ๊ย”
สาตาโต หัวเราะคิก
หวนสงสัย “อุ๊ย อะไร”
สาไม่ตอบ มองไปในห้องนวด เห็นท่านชายนอนหงายอยู่บนเตียง หมอนวดสาวคร่อมอยู่บนตัว ใช้สองมือกดไปตามขา
หวนถามดังขึ้นกว่าเก่านิดเดียว “นังสา ข้าถามว่าเอ็งร้องทำไม เอ็งเห็นอะไร”
สาไม่ตอบ ชะเง้อดู ด้วยความตื่นเต้น
หมอนวดนวดท่านชาย ส่งสายตาหยาดเยิ้มไปมา ท่านชายลุกขึ้นมานั่ง จับบ่าหมอนวดไว้ แล้วรั้งเข้ามาหาตัว
สาแอบดูไม่ถนัด กิ่งไม้บัง สาขัดใจ เลยขยับตัวออกมาที่คาคบ
ท่านชายปลดผ้าแถบหมอนวดออก โยนไป ผ้าลอยไปพาดขอบหน้าต่าง สาตะลึง อ้าปากค้าง
ส่วนหวนทนไม่ไหว เงยหน้าเรียกสา
“นังสา ไปเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” สาไม่ตอบ หวนขัดใจ “เอ็งไม่ไปข้าไปนะ”
หวนพูดจบก็หันหลังจะเดินออก แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นหม่อมลำดวนกับชดเดินออกมาเจอหวน แต่ยังไม่เห็นสา หวนตกใจ อ้าปากค้าง หม่อมลำดวนกับชดเดินเข้ามา
ลำดวนขมวดคิ้ว “นังหวน เอ็งมายืนทำอะไรลับๆ ล่อๆ”
หวนนั่งลงหมอบกับพื้น ตัวแข็ง ไม่กล้าพูด ไม่กล้ามองขึ้นไปบนต้นไม้
ฟากท่านชายนัวเนียกับหมอนวด เผอิญหันหน้ามาทางหน้าต่าง เห็นสาเข้าอย่างจัง ท่านชายชะงัก
สาตกใจที่โดนท่านชายจับได้ ผงะหงาย
ส่วนที่โคนต้นไม้ หม่อมลำดวนสอบสวนหวน
“ว่าไง นังหวน เอ็งมาทำอะไรแถวเรือนข้า”
สาร้องกรี๊ดสุดเสียง “อ๊าย...”
หม่อมลำดวน ชด และหวนตกใจแตกกระเจิง ร่างของสาหล่นตุ้บมากองที่พื้นโคนต้นไม้ จุกแอ้ก
“อีสา” ชดมองไปบนต้นไม้ แล้วมองอีสา “นี่เอ็ง”
หม่อมลำดวนกรี๊ดเสียงดัง “อ๊าย...อีสา เอ็งมาปีนแอบดูอะไรที่เรือนข้า”
หม่อมลำดวนเดินหน้าหงิก ชดลากสาเดินตามหลัง หวนวิ่งตามหน้าตาตื่น สาร้องโวยวายไม่ยอม
“ปล่อยฉันนะ ปล่อย จะเอาฉันไปไหน ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”
ชดผลักสากลิ้งไปกับพื้น หม่อมลำดวนเข้าไปจิกหัวสา
“อีผู้ร้ายปากแข็ง ข้าเห็นเอ็งปีนต้นไม้แอบดูเข้าไปในเรือนข้า เอ็งคิดจะมาลักขโมยอะไร”
“อิฉันเปล่า หม่อมอย่ามาใส่ความ...”
สาพูดไม่ทันขาดคำ หม่อมลำดวนตบฉาด จนสาหน้าหัน
“ปากกล้านักนะ อีสา อีไพร่”
หม่อมลำดวนตบอีกฉาดๆ หม่อมพริ้มกับเจิมเดินเข้ามาพอดี
“หยุดนะ แม่ลำดวน”
หม่อมลำดวนละมือจากสา “คุณพี่”
สากับหวนเห็นหม่อมพริ้มกับป้าเจิม ก็ดีใจ
“หม่อม” สาอุทาน
“ได้ยินเสียงเอ็ดอึงไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน”
หม่อมลำดวนบุ้ยใบ้ไปทางสา หม่อมพริ้มมองหน้าสาอย่างเอาเรื่อง สากลืนน้ำลาย อึกอัก ไม่กล้าตอบ
หลังจากนั้นไม่นาน หม่อมพริ้มนั่งเป็นประธานอยู่บนตั่งในศาลากลางสวนสวย หม่อมลำดวนอยู่ทางขวา ชดนั่งเยื้องไปทางด้านหลังของนายตัวเอง หม่อมนิ่ม หม่อมน้อย นั่งอยู่ทางซ้าย เจิมนั่งหลังหม่อมพริ้มอีกที สากับหวนนั่งเป็นจำเลยอยู่ตรงกลาง ทั้งสองก้มหน้างุด
“ว่ามา อีสา เอ็งไปแอบดูอะไรที่เรือนหม่อมลำดวน” หม่อมพริ้มซักฟอก
“เอ็งไปเอง” หม่อมลำดวนปรายตามองสองหม่อมพี่น้อง “หรือว่าใครใช้ให้เอ็งไปสอดแนมอะไร”
“เอ๊ะ หม่อมพูดอย่างนี้หมายความว่ากระไรคะ” หม่อมนิ้มหันมาทางหม่อมพริ้ม “อิฉันไม่รู้เรื่องนะคะคุณพี่”
“ว่ายังไง อีสา เอ็งไปแอบดูอะไรที่เรือนเขา เอ็งไปเองหรือว่ามีใครใช้ไป”
สาอึกอัก “สา เอ่อ อิฉันไปเองค่ะหม่อม”
“ไปทำไม ไปแอบดูอะไร”
สาอึ้ง ไม่กล้าพูด
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงจะต้องลงหวายกันสักยกสองยก ให้มันยอมเปิดปาก”
เจิมทนไม่ไหว “พูดออกมาซี นังสา หุบปากเงียบอยู่ทำไม”
“พูดมา! ไม่งั้นข้าจะสั่งเฆี่ยนเอ็งเดี๋ยวนี้” หม่อมพริ้มคาดคั้น
เสียงท่านชายดังมา “อย่าไปเฆี่ยนตีมันเลยแม่พริ้ม”
ท่านชายเดินเข้ามา ทุกคนทำความเคารพ สาเงยหน้ามองท่านชาย แล้วรีบหลบตา ตัวสั่น
“ฉันบอกให้ก็ได้” ท่านชายมองสา แววตายิ้มๆ “อีสามันไปแอบดูฉัน”
ทุกคนต่างตกใจ สายิ่งตกใจกว่าทุกคน
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ต่อมาไม่นานท่านชายนั่งอยู่ข้างหม่อมพริ้มในศาลากลางสวน พูดแกมหัวเราะกับหม่อมพริ้ม
“ฉันกำลังนอนให้หมอจับเส้นอยู่เพลินๆ จะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว หันมาเห็นอีสาอยู่บนต้นไม้” ท่านชายหัวเราะขำออกมา “ตกใจเสียแทบแย่ นึกว่าตัวอะไร”
สาโล่งใจที่ท่านชายช่วยแก้ให้ หม่อมพริ้มยังไม่วางใจ
“อยู่ดีไม่ว่าดี เอ็งไปแอบดูท่านชายทำไม อีสา”
สาอึกอัก ท่านชายมองสา พรายยิ้ม
“ท่าทางคงจะอยากเป็นหมอนวดมากกว่านางรำซะล่ะมั้ง รึไง อีสา”
สาไม่ตอบได้แต่ยิ้มเขิน ท่านชายมองหน้าสา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขำปนเอ็นดูแบบแปลกๆ
“เอ็งโตเป็นสาวแล้วนะ อีสา ปีนต้นไม้แอบดูเป็นเด็กๆ ไปได้... นี่ถ้าตกลงมาแข้งขาเก หมดสวยกันพอดี ระวังเถอะจะไม่มีใครเอา”
สาฟังท่านชายพูดเย้าก็ดีใจ ยิ้มเอียงอายนัยน์ตาเป็นประกายวิบวับโดยไม่ได้ตั้งใจ หม่อมนิ่มกับหม่อมน้อยมองตากัน หม่อมพริ้มและหม่อมลำดวนเห็นอาการของท่านชาย ต่างไม่สบายใจ
สองหม่อมพี่น้อยอยู่บนเรือน หม่อมนิ่มยิ้มร้าย แล้วหันบอกหม่อมน้อย ที่มีสีหน้ากังวลใจอย่างหมายมาด
“อย่ากลุ้มไปเลย แม่น้อย พี่ว่าอีสานี่แหละ จะเป็นหมากตัวสำคัญ ที่เราจะเอาชนะหม่อมพริ้ม และหม่อมลำดวนได้”
รุ่งเช้าที่ห้องโถงตำหนักใหญ่วังรวีวาร หม่อมพริ้มนั่งเป็นประธานอยู่ที่ชุดเก้าอี้ทรงหลุยส์ หม่อมนิ่ม หม่อมน้อย และหม่อมลำดวนนั่งอยู่สองข้าง คนละฝั่ง
“มีอะไรก็ว่ามา” หม่อมพริ้มเอ่ยขึ้น
“อิฉันคิดว่า งานฉลองวันประสูติปีนี้ ท่านชายจะมีพระชันษาครบ 4 รอบ เลยน่าจะฉลองให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี” หม่อมนิ่มบอก
หม่อมพริ้มฉงนฉงาย “แม่นิ่มแม่น้อยคิดจะทำอะไร”
“อิฉันจะจัดรำถวายให้ทอดพระเนตร ว่าจะรำรจนาเสี่ยงพวงมาลัย” หม่อมน้อยว่า
หม่อมลำดวนพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย “แม่นิ่มกับแม่น้อยจะลงทุนเป็นเจ้าเงาะกับรจนาเองเทียวรึ”
หม่อมนิ่มแดกดันกลับ “มิได้ค่ะ หม่อม แม่น้อยน่ะเป็นเจ้าเงาะ แต่รจนา .. อิฉันว่าจะให้อีสามันเป็นคนรำ”
หม่อมพริ้มได้ยิน ถึงกับอึ้งไป
ที่เรือนสองหม่อมพี่น้องในตอนนั้น เจิมหมอบอยู่ตรงหน้าหม่อมนิ่ม หม่อมน้อย ได้รับรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
“ก็สุดแท้แต่หม่อมจะเห็นสมควรเถอะค่ะ”
“งั้นนับจากวันนี้ไป อีสามันเรียนรำเสร็จแล้วไม่ต้องกลับไปเรือนบ่าว ให้มันนอนเสียที่เรือนนี้ จะได้เตรียมตัวให้เต็มที่ จะขึ้นรำถวายหน้าที่ประทับทั้งที” หม่อมน้อยบอก
เจิมก้มหน้ารับรู้
“อิฉันจะบอกให้มันมาพรุ่งนี้เลยค่ะ”
หม่อมนิ่มตัดสินใจ พูดขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น
“ไหนๆ ก็ไหนๆ โอกาสเหมาะๆ ถ้าท่านชายโปรด ข้าก็จะถือโอกาสถวายอีสาเสียเลย เอ็งจะว่ายังไง”
จวนนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก ทั้งดีใจทั้งกังวลปะปนกัน
ท้องฟ้าใสกระจ่างมีพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสวยงาม
แสงจันทร์นวลสาดเข้ามาในห้อง หวนนอนหลับอยู่ในมุ้ง ส่วนที่ระเบียงสาอาบน้ำประแป้งหอมฟุ้งเตรียมเข้านอน แต่กลับมานั่งชันเข่ามองดูดวงจันทร์ หวนคิดไปถึงเรื่องที่หม่อมนิ่มบอกกับสาก่อนหน้านี้
“จากนี้ไปเอ็งต้องซ้อมให้หนัก ข้าจะให้เอ็งขึ้นรำถวายต่อพระพักตร์ท่านชาย”
สาตื่นเต้น มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงจันทร์กระจ่างสาดส่องระเบียง สว่างไสว
สาออกมาซ้อมรำท่ามกลางแสงจันทร์ตรงระเบียงเรือน รำไปถึงท่าที่เป็นการแสดงความรัก แล้วชะงัก ภาพของท่านชายที่แย้มสรวล แววตาปรานีอ่อนหวานแวบเข้ามาในหัว
“ท่านชาย…ท่านชายคนดีของสา”
สาลงนั่งหยิบเหรียญที่เคยได้รับประทานจากท่านชายตอนเด็กออกมาจากชายพก เอาขึ้นมาพิศดู แล้วเอาเหรียญมากอดแนบอก ยิ้มกับตัวเองอย่างสุขใจ
หลายวันต่อมา งานฉลองวันประสูติ หม่อมเจ้าโชติช่วงระวี รวีวาร พระชันษาครบ 4 รอบ จัดฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในตอนค่ำวันนี้ ห้องโถงกลางตำหนักใหญ่วังรวีวาร มีวงมโหรีอยู่ตรงมุมห้องกำลังบรรเลงเพลงไพเราะ ทั้งห้องตกแต่งงดงามด้วยดอกไม้สด และเครื่องแขวนอันงดงามฝีมือหม่อมพริ้ม ด้านหน้าวงมโหรีถูกจัดไว้เป็นที่ว่างสำหรับการแสดงที่กลางห้อง แขกเหรื่อแต่งกายเต็มยศนั่งเรียงราย
ตรงบริเวณทางเข้า ท่านชายประคองเสด็จป้า หญิงชราวัย 75 ปี ท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามา
“ขอบพระทัยเสด็จป้าที่เสด็จมาอวยพรหลาน”
“งานฉลองครบรอบวันประสูติหลานชาย จะไม่มาได้อย่างไร” เสด็จป้าหันไปเห็นหม่อมพริ้มเดินนำลูกสาวทั้ง 5 คนเข้ามา “แน่ะ แม่พริ้มไม่ได้เจอเสียนาน ยังงามเหมือนเดิมนะ”
หม่อมพริ้มทำความเคารพ
“ขอบพระทัยเพคะ” หม่อมหันไปบอกลูกสาว “โศภี พาน้องๆ เข้ามาสิลูก มากราบเสด็จย่า”
เสด็จป้าลงนั่ง ลูกสาวทั้งห้าเข้ามากราบ
“ไหน... ชื่ออะไรกันบ้างนะนี่ ไม่ได้เจอเสียนาน คนแก่จำไม่ค่อยได้”
หม่อมพริ้มแนะนำไปทีละคน “โศภี ศุภลักษณ์ โสภาพรรณวดี สิริพรรณราย แล้วคนสุดท้องนี่ ศรีลักษณาเพคะ”
เสด็จป้าหันไปมองท่านชาย พูดเย้า “เออ ดูเอาเถอะ มีลูกกี่คนก็มีแต่ลูกสาว อย่างกับท้าวสามลเลยทีเดียวนะ พ่อโชติ”
ท่านชายยิ้มรับเจื่อนๆ หม่อมพริ้มรู้สึกเสียหน้า
ดนตรีบรรเลงขับคลอตลอดเวลา ท่านชาย เสด็จป้า และหม่อมพริ้มนั่งฟังดนตรีไทยบรรเลงอยู่ที่เก้าอี้หน้าสุด
หม่อมลำดวนและหม่อมนิ่มนั่งถัดมาด้านหลัง หม่อมนิ่มหน้าตากระหยิ่มยิ้มย่องคอยชะเง้อมองไปด้านใน หม่อมลำดวนนั่งกระสับกระส่าย ชำเลืองมองอย่างหมั่นไส้
“ถึงกับนั่งไม่ติดเชียวนะ แม่นิ่ม” หม่อมลำดวนกระแทกเสียงเบาๆ “ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา”
“หม่อมเองก็นั่งไม่ติดเหมือนกันนี่คะ... ไม่ทราบว่าตื่นเต้นเรื่องอะไร”
หม่อมลำดวนค้อนขวับ
เสียงดนตรีบรรเลง ท่วงทำนองตื่นเต้น ทั้งสองหันไปดู เห็นสาในชุดนางรจนาร่ายรำออกมาพร้อมกับเจ้าเงาะ สาหน้านวลผ่อง เสื้อผ้าเครื่องประดับวูบวาบกระทบแสงไฟยิ่งมองสวยราวกับนางฟ้า
รจนาและเจ้าเงาะมาถึงกลางเวที สามองท่านชายตรงโซฟาด้านหน้า ยิ้มหวานปานจะหยด ท่านชายมองตะลึง
“อีสา นี่อีสาหรือนี่ …ใส่เครื่องรำแล้วสวยถึงเพียงนี้เชียวรึ”
ท่านชายตาวาววามยิ้มในสีหน้าอย่างพอใจ หม่อมพริ้มนิ่งขึง รู้สึกว่าสิ่งที่ตนหวาดกลัวมาตลอด กำลังจะเกิดขึ้น
สาร่ายรำอย่างงดงาม เมื่อมาถึงบทของรจนา สาก็รำโปรยเสน่ห์เต็มที่
“เมื่อเอยเมื่อนั้น รจนานารีมีศักดิ์
เทพไทอุปถัมภ์นำชักนงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง
นางเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นในเอารูปเงาะสวมใส่ให้คนหลง
ใครใครไม่เห็นรูปทรงพระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา
ชะรอยบุญเราไซร้จึงได้เห็นต่อจะเป็นคู่ครองกระมังหนา...”
ระหว่างรำ สากับท่านชายส่งสายตากันให้กันไปมา จนสารู้สึกไปเหมือนว่าตัวเองเป็นรจนา ส่วนท่านชายเป็นเจ้าเงาะ ฟากท่านชายก็พรายยิ้มให้สาอย่างมีความหมาย
หม่อมพริ้ม หม่อมลำดวน และหม่อมนิ่มเห็นอาการของทั้งสองโดยตลอด หม่อมลำดวนกัดฟันกรอด หน้าตาชิงชังสาเต็มที่ หม่อมนิ่มแอบยิ้มมุมปาก สาแก่ใจ ส่วนหม่อมพริ้มหน้าเรียบนิ่ง พยายามข่มใจ
ที่ประตูด้านหลังห้อง เจิม หวน และจวนแอบชะโงกหน้ามาดูอย่างตื่นเต้น จวนกับหวนดูรำไปไม่รู้เรื่องแต่เจิมแอบมองอากัปกิริยาของท่านชายกับสา แล้วกลับไปมองดูหม่อมพริ้ม เจิมกังวลในใจ
“...คิดพลางนางเสี่ยงพวงมาลาแม้นว่าเคยสมภิรมย์รัก
ขอให้พวงมาลัยนี้ไปต้องเจ้าเงาะรูปทองจงประจักษ์
ว่าแล้วโฉมยงนงลักษณ์ผินพักตร์ทิ้งพวงมาลัยไป...”
สาสบตาท่านชาย แล้วนึกสนุก แทนที่จะโยนพวงมาลัยไปทางเจ้าเงาะ กลับโยนพวงมาลัยไปทางท่านชาย พวงมาลัยลอยหวือไปในอากาศ
สีหน้าหม่อมทั้งสาม และเจ้าเงาะ ทุกคนต่างตกใจ ไม่นึกว่าสาจะกล้าทำต่อพระพักตร์
พวงมาลัยจะตกลง หม่อมนิ่มยื่นปลายไม้ตะบองเจ้าเงาะไปรับพวงมาลัยเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
ท่านชายยิ้ม ปรบมือชมเชย แขกคนอื่นๆ ปรบมือตาม เจิมถอนหายใจโล่งอก แล้วหันไปเห็นหม่อมพริ้มมองมาที่ตน ดวงตาโกรธจัดที่ถูกสาหยามต่อหน้า
เวลาต่อมาหม่อมพริ้มเดินหน้าเคร่งนำเข้ามาที่มุมลับตาคน เจิมเดินตามมา หม่อมพริ้มหันไปดุเจิมเสียงขุ่นเขียว
“ทำไมอีสามันกล้าทำอย่างนั้น”
เจิมตัวงอเป็นกุ้งด้วยความกลัว “บ่าวก็นึกไม่ถึงเหมือนกันเจ้าค่ะ หม่อม
หม่อมพริ้มครุ่นคิด “คงจะเป็นฝีมือของแม่นิ่มแม่น้อย” ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ “อุตส่าห์จับอีสามาขัดสีฉวีวรรณแบบนี้ นี่คงจะคิดการใหญ่กันแน่ๆ”
หม่อมพริ้มสังหรณ์ใจ เจิมมองหม่อมพริ้มอยากบอก แต่ก็ไม่กล้า สีหน้าเจิมรู้สึกผิดเห็นถนัด
ด้านสานั่งถอดชฎาวางลงบนพานหน้ากระจกพิศดูรูปโฉมตัวเองอย่างพึงใจ หม่อมนิ่มเดินเข้ามา ส่งเสียงเรียก
“อีสา”
สาสะดุ้ง ออกจากภวังค์ หันมาเห็นหม่อมนิ่มมองอยู่ แววตาหมั่นไส้นิดๆ
“หลงรูปตัวเองเข้าแล้วล่ะสิ ผู้หญิงเราก็เท่านี้ล่ะนะ มีรูปก็ถือว่าเป็นทรัพย์” หม่อมนิ่มเข้ามาเชยคางสา มองตรงๆ “เอ็งน่ะเป็นคนสวย สวยกว่านางอะไรต่อนางอะไรของหม่อมลำดวนมากมายนัก...แล้วไอ้รูปสมบัติของเอ็งนี่แหละ จะพาให้เอ็งสบาย” หม่อมปล่อยมือ พูดจริงจัง “พอสบายแล้วก็อย่าลืมล่ะ ว่า “ข้า” เป็นคนทำให้เอ็งมีวันนี้”
สาฟัง แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก หม่อมน้อยเดินเข้ามาในชุดเจ้าเงาะ ถอดหัวแล้ว
“บอกอีสาหรือยังคะ คุณพี่”
“คงไม่ต้องบอกอะไรมากนักหรอก” หม่อมนิ่มยิ้มเยาะ “เรื่องแบบนี้ ถึงเวลาก็รู้เอง”
หม่อมนิ่มพูดอย่างมีนัยยะ สายังงง สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองต่อไป
หม่อมพริ้มเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เป็นชุดเตรียมเข้านอน ยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นบน มองทอดสายตาลงไปข้างล่าง เห็นท่านชายอยู่ในชุดลำลอง มีบ่าวชายถือตะเกียงนำ เดินลงจากตำหนักไปทางด้านหลังวังหม่อมพริ้มนิ่งเป็นหิน แต่น้ำตาคลอ อัดอั้นตันใจ
ฟากสานอนหลับอยู่ในมุ้ง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง ลมพัดม่านพลิ้ว สาหลับ พลิกไปพลิกมาฝันไป
ในฝัน สาเห็นตัวเองรำเป็นรจนา มีเจ้าเงาะเข้ามาตระกองกอด สาเอนซบเจ้าเงาะด้วยความรัก เจ้าเงาะถอดรูปออกมา เป็นใบหน้าของท่านชาย สาดีใจ ท่านชายเชยคางสาขึ้นมา แล้วก้มลงจูบ
สาสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นนั่ง แล้วต้องตกใจยิ่งกว่า เมื่อเห็นท่านชายนั่งอยู่ในมุ้งต่อหน้า
“ท่านชาย”
ท่านชายเยื้อนยิ้ม จับตัวสาเอนลงนอน แล้วโน้มตัวตามลงไป บทรักดำเนินไปตามครรลองแห่งมัน โดยมีแรงปรารถนาของหม่อมเจ้าโชติช่วงระวี รวีวาร เป็นพาหะ ที่มีสาสนองตอบอย่างดื่มด่ำ
ลมพัดแรงขึ้น ผ้าม่านที่หน้าต่างไหวสะบัดในสายลม
อ่านต่อตอนที่ 2