จ้าวพายุ ตอนที่ 7
ในเวลาเดียวกันนั้น ศิวา และบรรเจิดนั่งคุยกันอยู่ในโถงกลางของคฤหาสน์ ธวัชชัย อยู่ด้วย
“เรื่องเจ้าวีเป็นยังไงบ้าง แล้วแกเคยเจอแฟนมันหรือยังบรรเจิด”
“เห็นแวบๆ น่ะครับ วันก่อนเจอที่โรงแรม เจ้าวีมันพาไป แล้วเจ้าวีกับอรก็ทะเลาะกันอีก”
ศิวาถอนใจเหนื่อยใจกับอรทัย
“เมื่อไหร่ยัยอรจะยอมฟังคนอื่นเค้าบ้าง เรื่องแฟนเจ้าวีน่ะ ถ้าเค้าเป็นคนดีจริง ชั้นก็ไม่ขัดขวางนะ ยังไงให้มันพาเค้าเข้ามาเจอชั้นแล้วกัน”
“งั้นมะรืนนี้ดีมั้ยครับท่าน” ธวัชชัยออกความเห็น
ศิวาพยักหน้า
เสียงอรทัยแหลมเข้ามา “ไม่ต้องนัดอะไรกันแล้วล่ะค่ะ”
ศิวา ธวัชชัย บรรเจิด เหลียวไป เห็นอรทัยเดินนวยนาดเข้ามา
“เรื่องของตาวีกับผู้หญิงคนนั้นมันจบไปแล้ว”
ศิวา ธวัชชัย และบรรเจิดงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“หมายความว่ายังไง? แกไปทำอะไรอีกยัยอร?”
“ก็ทำให้ตาวีตาสว่างไงคะ..จะได้ไม่ถูกผู้หญิงสนตะพาย” ทุกคนอึ้ง “ตอนนี้ก็เหลือแต่คนอื่นที่ยังหน้ามืดตามัวโดนผู้หญิงปั่นหัวอยู่ได้”
อรทัยเหลือบมองบรรเจิดและศิวา สองคนชะงัก
บรรเจิดนึกไปถึงแก้วตาที่มีลับลมคมในกับตนตะหงิดๆ
ตรงหน้าเซ็ทฉากโฆษณาที่สตูดิโอ เห็นศุวิลนั่งอยู่ที่หน้าจอมอนิเตอร์ ข้างๆ มีทัดเทพกับพิมพ์จันทร์นั่งดูอยู่ด้วย
ในฉากโฆษณา เซ็ทเป็นห้องนอนสวยๆ นายแบบนางแบบหน้าตาดี กำลังเล่นโฆษณาอยู่ในฉาก เป็นโฆษณายาทาสิว เนื้อหาประมาณว่า นายแบบนางแบบทะเลาะกัน นางแบบหลบหน้านายแบบ เพราะตัวเองเป็นสิว แต่นายแบบเข้าใจว่านางแบบมีคนอื่น ฉากที่กำลังถ่าย คือ ฉากที่สองคนทะเลาะกัน
“ทำไมคุณต้องหลบหน้าผม คุณมีคนอื่นใช่มั้ย พูดสิ...คุณมีคนอื่นใช่มั้ย” นายแบบตัดพ้อ
นางแบบนิ่ง ไม่ตอบอะไร
ศุวิลสะท้อนใจ มองแล้วคิดถึงเรื่องตัวเองกับปิ่นมณี
“โอเค คัท!”
ทีมงานเข้ามาเก็บฉาก นายแบบนางแบบเดินออกไปทางห้องแต่งตัว
ศุวิลหันบอกกับทีมงาน
“พักกินข้าวกันก่อนก็ได้ ช่วงบ่ายค่อยถ่ายกันต่อ”
ทัดเทพเห็นศุวิลเครียดๆ ท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจ
“ไอ้ลมแกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ หมู่นี้แกดูเครียดๆ แปลกๆ มีเรื่องอะไรปรึกษาพี่ได้นะเว้ย”
ศุวิลนิ่ง ก่อนจะส่ายหน้า ทัดเทพ พิมพ์จันทร์มองอย่างเป็นห่วง
ศุวิลยืนเครียดๆ อยู่ด้านนอกสตูดิโอ คนเดียว คิดถึงเรื่องตัวเองกับปิ่นมณี ที่เหมือนเดินมาถึงทางตัน ในใจเขาก็ยิ่งเศร้า
เสียงร้องเพลงของเด็กๆ ร้องประสานเสียงเพลงพายุในใจ ดังแว่วเข้ามา
ศุวิลชะงักหยุดฟังรู้สึกเนื้อหาของเพลงช่างคล้ายกับเรื่องของตนเองเหลือเกิน
เด็กๆ ร้องประสานเสียง
“มันเป็นเพียงแค่กระแสลมแรง พัดพาใจเตลิดไป...
มันเป็นเพียงแค่พายุในใจ...พัดให้เธอหวั่นไหว....
ฉันรู้ เธอไม่ตั้งใจ..ฉันรู้ เธอไม่ใจร้าย...”
ศุวิลเดินตามเสียงเพลงเข้ามาเรื่อยๆ ที่สตูดิโอสอง ปรากฏภาพตรงหน้าเห็นเด็กๆ 7-8 คน ยืนบนเวทีร้องประสานเสียงเพลงพายุในใจอยู่ ชนเมศร์เล่นเปียโนอยู่ข้างๆ งามเสมอคอยสอนเด็กๆ ทำภาษามือประกอบเพลง
ฟ้าใสยืนดูเด็กๆ อยู่ที่ข้างเวทีด้วยแววตาชื่นชม ฟ้าใสเองก็เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงด้วย
ส่วนที่มุมหนึ่งศุวิลยืนมองเด็กๆ อยู่ ศุวิลรู้สึกอินกับเนื้อเพลง ตกอยู่ในภวังค์ หางตาฟ้าใสหันไปเห็นศุวิลยืนอยู่พอดี ก็แปลกใจ
ศุวิลยืนฟังเพลงจนจบ แล้วรู้สึกเหมือนมีใครมายืนอยู่ข้างๆ พอหันจึงเห็นเป็นฟ้าใสยืนอยู่
ฟ้าใสมองเข้าใจทันทีว่าศุวิลฟังเพลงแล้วรู้สึกยังไง
ต่อจากนั้น ฟ้าใสกับศุวิลเดินอยู่ข้างนอกสตูดิโอ
“พอดีชั้นพาเด็กๆ มาถ่ายรายการไม่นึกเลยว่าจะมาเจอคุณที่นี่”
ศุวิลฟังนิ่งๆ ไม่พูดอะไร ใจยังคิดวุ่นวายแต่เรื่องปิ่นมณี
ฟ้าใสมองศุวิลเห็นท่าทางนิ่งๆ ก็รู้ว่าเขายังคิดเรื่องปิ่นมณีอยู่
“เรื่องคุณกับปิ่นน่ะ คุณอย่าเพิ่งคิดมากนะ ชั้นรู้ว่าปิ่นเค้ารักคุณ”
“ดูเหมือนคุณจะแน่ใจเหลือเกินนะ เรื่องปิ่นกับผมน่ะ...”
“ก็มันจริงนี่...เรื่องของคุณกับปิ่นที่มีปัญหากันตอนนี้ ก็เป็นแค่ลมพายุร้ายที่พัดผ่านคนทั้งคู่ แต่ชั้นเชื่อ ว่าลมพายุนั้นมันจะไม่สามารถทำลายความรักความมั่นคงของคุณกับปิ่นได้ สุดท้ายมันก็จะผ่านไป...เหลือแต่สายลมสงบที่พัดเย็น และมีความสุข...ตลอดไป”
ศุวิลคิดตาม มองฟ้าใสอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณมากนะ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
วูบหนึ่งของความรู้สึก เกิดบางอย่างขึ้นมาในใจศุวิล เขามองฟ้าใสนิ่งนาน ฟ้าใสสะท้านวูบ
“เอ่อ...เดี๋ยวชั้นต้องกลับไปดูเด็กๆแล้ว ขอตัวนะคะ”
ฟ้าใสรีบเดินหันหลังออกจากศุวิลที่ยังคงมองตามเธอ เสียงเพลงจากเด็กดังแว่วเข้ามา
“มันเป็นเพียงแค่กระแสลมแรง พัดพาใจเตลิดไป...”
ฟ้าใสเดินห่างออกมา ใจเต้นโครมคราม เธอเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ศุวิลยังคงมองตามฟ้าใสอยู่ จนหล่อนลับมุมตึกไป
ศุวิลยิ้มออกมาแล้วเดินกลับไป ขณะที่ฟ้าใสยังคงยืนอยู่ที่มุมตึกนั้นรำพึงออกมา ห้ามใจตัวเอง
“อย่านะ...ฟ้าใส...อย่านะ”
เสียงเพลง พายุในใจ ดังขึ้นมาอีกครั้ง ก้องกังวานมากกว่าที่เคย ฟ้าใสน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เย็นนั้น ปิ่นมณีเดินหน้าตาเครียด ก้าวฉับๆ เข้ามาในล็อบบี้เดอะกลอรี่ ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปด้านใน ยามก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
“ขอโทษนะครับ คุณผู้หญิง” ปิ่นมณีชะงัก “เอ่อ...ผมให้คุณขึ้นไปไม่ได้ครับ”
“หมายความว่ายังไง? ขึ้นไปไม่ได้”
ยามอึกอักไม่กล้าพูด
“คุณอรทัยสั่งไว้เหรอ?”
เสียงสุธาวีดังขึ้น “ผมสั่งเอง”
สองคน หันเห็นสุธาวีเดินเข้ามา ปิ่นมณีตัวชา ที่สุธาวีถึงกับสั่งยามเอาไว้
สุธาวีบอกกับยาม “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ปิ่นมณีมองหน้าสุธาวี ยังนึกอายเรื่องเมื่อวานที่เขาตามไปเห็นสภาพที่บ้าน
สุธาวีนิ่งๆ เย็นชากว่าที่ปิ่นมณีเคยเห็น
ปิ่นมณีหน้าเครียดตามเข้ามา ในห้องทำงานสุธาวีที่เดอะกลอรี่
“เราจะจบกันแค่นี้จริงๆเหรอคะคุณวี...”
“ทำไมคุณถึงปิดบังผม” สุธาวีเอ่ยขึ้น
“ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนะคะ...เพียงแต่ชั้นหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะบอกคุณไม่ได้”
“แล้วเมื่อไหรล่ะปิ่น? เมื่อไหร่จะได้โอกาสเหมาะๆ อย่างที่คุณว่า…” ปิ่นมณีนิ่ง “เมื่อเราแต่งงานกัน แล้วคุณพาพ่อแม่พี่น้องเข้ามาเข้ามาในบ้านผมอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงคะ ชั้นถึงไม่กล้าบอกคุณ....ชั้นกลัวว่าคุณจะรังเกียจชั้น...จะโกรธชั้น”
“ถ้าคุณบอกก่อน ผมอาจจะไม่โกรธก็ได้” ปิ่นมณีอึ้งอีก “คุณปิดบังเอาไว้ ทำให้ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นอย่างที่คนอื่นเค้าพูด ว่าคุณต้องการแค่เงินของผม!”
ปิ่นมณีจะอธิบาย “คุณวีคะ”
สุธาวีสวนออกมา “คุณกลับไปเถอะ” ปิ่นมณีอึ้ง “บางทีเราอาจจะต้องยอมรับความจริง ว่าเราต่างกันเกินไป”
สุธาวีเดินออกไปเลย ปิ่นมณีอึ้งที่สุธาวีพร้อมมรดกมหาศาลหลุดลอยไปแล้วตรงหน้า
ขณะเดียวกันทีมงานในสตูดิโอช่วยกันเก็บข้าวของหลังจากที่การถ่ายทำโฆษณาเสร็จลงแล้ว
ศุวิลยืนเช็คฟุตเทสงานอยู่ โทรศัพท์ดังขึ้นในจังหวะนี้
ที่หน้าจอเห็นว่าเป็นปิ่นมณีโทร.เข้ามา ศุวิลแปลกใจมาก
“ปิ่น...”
ศุวิลกดรับ
ปิ่นมณีอยู่ในรถ คุยมือถืออยู่ ใบหน้วยสวยเศร้า และหาที่ยึดเหนี่ยว
“ลมคะ...คืนนี้ว่างไหมคะ มากินข้าวกันปิ่นได้ไหม? ปิ่นอยากเจอคุณ...”
ศุวิลอึ้ง “อยากเจอผม...ปิ่นมีเรื่องอะไรเหรอ”
ปิ่นมณีชะงัก “ทำไมต้องมีเรื่องอะไรด้วยล่ะคะ....ปิ่นคิดถึง พอดีตอนนี้ปิ่นเคลียร์งานได้แล้วค่ะ...ก่อนหน้านี้ปิ่นเครียด งานยุ่ง...แล้วเจอกันร้านเดิม สองทุ่มนะคะลม...”
“ได้ครับ...”
ศุวิลครุ่นคิดหรือว่าปิ่นมณีจะกลับมาจริงๆ อย่างที่ฟ้าใสพูดไว้
ปิ่นมณีกดวางมือถือ มองป้ายยูเทิร์นรถข้างหน้า นึกถึงความสัมพันธ์ของตนกับศุวิล ดีใจที่ตนเองไม่ได้ตัดขาดทางศุวิลไปซะทีเดียว จึงกลับไปคบได้ไม่ยาก
ปิ่นมณีสูดลมหายใจ ฮึดขึ้นมาแล้วสลัดความโศกเศร้าทิ้งไป ปลุกปลอบใจตัวเอง
“ให้มันรู้กันไปว่าคนอย่างชั้นจะสิ้นไร้ไม้ตอก”
ตรงบริเวณหน้าสตูดิโอ 2 ฟ้าใสกำลังส่งเด็กๆ ขึ้นรถกลับบ้าน ศุวิลเดินเข้ามา
“ฟ้า”
ฟ้าใสหันไปเห็นศุวิลเดินเข้ามาหาก็แปลกใจ จึงรีบเดินไปหา
“เมื่อกี้ปิ่นเค้าโทร.หาผม”
“เหรอ แล้วปิ่นเค้าว่ายังไงบ้าง”
“เค้านัดผมไปกินข้าวคืนนี้ เค้าบอกว่าก่อนหน้านี้เค้าเครียดเรื่องงาน”
ฟ้าใสอึ้ง แล้วยิ้มออกมา “นั่นไง ที่ปิ่นเค้าหลบหน้าคุณ เพราะเค้าเครียดเรื่องงาน ชั้นบอกแล้วไงว่าคุณน่ะคิดมาก”
“ชั้นดีใจด้วยนะในที่สุดเรื่องร้ายๆ ของคุณก็ผ่านไป ชั้นรู้ว่าปิ่นรักคุณ แล้วคุณก็รักปิ่นมาก”
ฟ้าใสอดรู้สึกโหวงๆ ไม่ได้ ที่สุดแล้วปิ่นมณีกับศุวิลก็ต้องกลับมาคบกัน เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
“ยังไงก็ขอบคุณคุณอีกครั้งแล้วกันนะ ผมไปละ”
ศุวิลหันหลังเดินจากไป ฟ้าใสมองตามแผ่นหลังศุวิล แล้วยิ้มเศร้าๆ กับตัวเอง
ค่ำนั้นปิ่นมณีแต่งตัวสวยงาม เหลือบมองกล่องสร้อยเพชรที่สุธาวีเคยให้ ลูบกล่องสร้อยเพชร รู้สึกผิดหวัง เสียดายสุธาวี
ปิ่นมณีหยิบกล่องเพชรโยนลงลิ้นชักเลื่อนปิดปัง คว้ากระเป๋าเดินไปเปิดประตูห้อง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าใครมายืนรออยู่
เป็นสุธาวียืนอยู่หน้านิ่งๆ ด้วยความรู้สึกว่า ยังไงก็ขาดปิ่นมณีไม่ได้
“คุณวี...”
ปิ่นมณีนึกแปลกใจระคนดีใจ
อ่านต่อหน้า 2
จ้าวพายุ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภายในร้านอาหารแห่งนั้น แลเห็นผู้คนอยู่เต็มร้านแทบทุกโต๊ะ บางโต๊ะเป็นคู่รักสบตากันหวานซึ้ง พนักงานเดินนำศุวิลมาที่โต๊ะหนึ่ง เขาลงนั่ง ยิ้มๆ ท่าทางมีความสุข ศุวิลบอกกับพนักงาน
“เดี๋ยวรอแฟนผมมาแล้วค่อยมารับออเดอร์นะครับ”
พนักงานก้มหัวเดินออกไป ศุวิลยิ้มแช่มชื่น
ฟากปิ่นมณียังงงๆ อยู่ว่าสุธาวีจะมาไม้ไหน จะเอายังไงกันแน่?
“ก่อนที่ทุกอย่างจะจบ...คุณช่วยพูดให้ผมได้ยินกับหูได้ไหม ว่าคุณหลอกผม”
“ชั้นไม่รู้จะพูดอะไรอีก...พูดไป คุณก็ไม่เชื่อชั้น”
“คุณก็รู้ว่าผมจริงจังกับคุณ เลิกกับสรามาคบกับคุณ! แต่คุณก็หลอกผม! คุณปิดบัง ตัวตนของคุณ ทำไมปิ่น ทำไม!”
“ก็ถ้าชั้นบอกว่าชั้นเป็นลูกแม่ค้าอยู่ห้องแถว มีพ่อเลี้ยงขี้เมา คุณจะคบชั้นจริงจังจนมาถึงวันนี้เหรอ?”
สุธาวีนิ่งงันไป
“นี่ไม่ใช่ละครนะคะคุณวี คุณไม่ได้เป็นพระเอก ชั้นก็ไม่ได้เป็นนางเอก ถึงจะเชื่อว่าคุณจะยอมรับผู้หญิงที่เกิดและโตมาตามห้องแถวแออัดได้”
สุธาวีอึ้ง คิดตามคำพูดปิ่น
ปิ่นมณีพยายามแข็งแกร่ง ซ่อนความขมขื่น อับอายที่จะพูดเรื่องกำพืดตน หันหลังไม่มองหน้าสุธาวี
“ทุกคนก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ใช่เหรอคะ? ผิดเหรอคะที่ชั้นอยากออกมาจากที่นั่น อยากอยู่ให้ห่างพ่อเลี้ยงที่ติดเหล้า มีพี่ชายลูกติดพ่อเลี้ยงที่คอยรีดไถเงิน ผิดเหรอคะที่ชั้นอยากพาแม่หนีจากความยากจน”
ปิ่นมณีหันมองสุธาวี
“ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณ”
สุธาวีพูดไม่ออก
“แต่ชั้นรู้ว่า คุณคงไม่เชื่อชั้นอีกแล้ว”
สุธาวีอึ้ง คิดถึงสิ่งที่ปิ่นมณีพูด ก็ดูมีเหตุผล สุธาวีเข้าใจความจำเป็นของปิ่นมณี ที่ต้องปิดบังเรื่องครอบครัว
ขณะปิ่นมณีจะเดินออกไปจากห้อง สุธาวีดึงปิ่นมณีเข้ามาจูบทันที่ ทั้งสองคนจูบกันดูดดื่มซาบซึ้งครู่นึง แล้วจึงถอนจูบ
สุธาวีมองตาปิ่นมณีอย่างดื่มด่ำลึกซึ้ง “ผมเชื่อคุณ”
ที่ร้านอาหารสถานที่นัด เห็นแชมเปญพวยพุ่งออกมาจากขวด ศุวิลเหลียวมองไป เห็นแขกโต๊ะหนึ่งเปิดแชมเปญฉลองกัน ศุวิลมองนาฬิกากระสับกระส่าย ปิ่นมณีผิดเวลานัดไปมาก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทร.หาปิ่นมณี
ศุวิลถือโทรศัพท์รอสาย แต่ปิ่นมณีไม่รับ
จะรับได้อย่างไรในเมื่อ ตอนนี้ปิ่นมณีกับสุธาวีล้มตัวลงบนเตียง ทั้งคู่กอดรัดฟัดกันด้วยความรักใคร่
โทรศัพท์ปิ่นมณี มีสายเรียกเข้า และดังอยู่อย่างนั้น
ดึกแล้วผู้คนในร้านเริ่มบางตา เหลืออยู่แค่โต๊ะสองโต๊ะ รวมโต๊ะศุวิลด้วย พนักงานได้แต่ยืนเก้ๆกังๆมองมาทางศุวิล
ศุวิลถอนใจ มองมือถือที่โทร.หาปิ่นมณีหลายครั้ง แต่ก็ไม่รับแล้วก็ไม่โทร.กลับด้วย
สักครู่หนึ่งศุวิลมองนาฬิกา เห็นว่าเลยเวลานัดมามากแล้ว เขาวักเงินมาวางค่าน้ำ แล้วเดินออกไป
บรรเจิดเดินนำมายังรถตรงที่จอดประจำตำแหน่ง มีเดชที่หิ้วกระเป๋าเอกสารเดินตามสองคนขึ้นรถ เดชชขับออกไป มีวิทย์ยืนหลบมุมมองตาม
อรทัยนั่งอยู่ในคอฟฟี่ช็อปโรงแรม คนแก้วกาแฟสีหน้านิ่ง ในหัวอรทัยนึกถึงเรื่องที่หล่อนวางแผนติดตามบรรเจิดด้วยตัวเอง
โดยเมื่อตอนกลางวัน อรทัยถือโทรศัพท์มือถือเข้ามาในห้องทำงานสามี เปิดกระเป๋าเอกสารของบรรเจิด ใบประจำที่เดชถือให้ เอาโทรศัพท์มือถือแทรกไว้ในเอกสารที่อยู่ในสุด ปิดกระเป๋าแล้ววางไว้ที่เดิม
บรรเจิดเดินนำเดชเข้ามา พอเห็นอรทัยก็ชะงัก สงคนงงว่าอรทัยเข้ามาทำอะไร
“คุณอร...มีอะไรเหรอ?”
“ชั้นเอาวาระการประชุมของอาทิตย์หน้ามาให้”
บรรเจิดงวยงง ที่จู่ๆ อรทัยเอาเข้ามาให้เอง “เรื่องแค่นี้ ใช้เลขามาก็ได้”
“เป็นเมีย ก็ต้องดูแลผัวสิคะ” อรทัยยิ้มๆ เดินออกไป
บรรเจิด และเดชมองตามงงๆ
คิดแล้วอรทัยยิ้มออกมาตรงมุมปาก ขณะวิทย์เดินเข้ามารายงาน
“คุณอรครับ...คุณบรรเจิดออกไปแล้วครับ คงจะไปหาบ้านนู้น ทำไมคุณอรไม่ให้ผมตามไปล่ะครับ”
“แกตามมากี่ครั้ง ไม่เคยได้เรื่อง” วิทย์หน้าเจื่อน “คราวนี้รับรอง ชั้นจะไม่พลาดอีกแล้ว”
ว่าพลางอรทัยเปิดไอแพดขึ้นมา ที่หน้าจอ เป็นโปรแกรม find my iphone เป็นรูปแผนที่ เห็นสัญญาณสีเขียวระบุตำแหน่งของโทรศัพท์มือถือที่อรทัยหย่อนไว้ในกระเป๋าเอกสารของบรรเจิด สัญญาณสีเขียวเคลื่อนที่ไปตามตำแหน่งที่บรรเจิดเดินทาง
อรทัยยิ้มสาสมใจ
เดชขับรถมาตามทางมุ่งหน้าไปหาแก้วตา บรรเจิดนั่งมาด้วย ที่ข้างบรรเจิด เห็นกระเป๋าเอกสาร ที่อรทัยแอบหย่อนมือถือไว้วางอยู่ข้างๆ
ส่วนที่บ้านศุวิล แก้วตาผู้น่ารักกำลังช่วยอาภาและสำลีล้างจานอยู่
“แหม น่าเสียดาย ตาลมไม่ได้มากินฝีมือหนูแก้วด้วยกัน”
“วันนี้คุณลมกลับดึกจังเลยนะคะ”
“เห็นบอกว่าไปกินข้าวกับแฟนน่ะ” สำลีว่า
แก้วตาชะงักนิดๆ
“ตาลมกับหนูปิ่นดีกันซะที โล่งใจนะสำลี” อาภาเสริม
แก้วตาหน้าตึง ไม่พอใจ แต่ไม่มีใครเห็น
“แก้วขอตัวกลับก่อนนะคะ”
อาภากะสำลียิ้มให้
ขณะที่แก้วตาเดินเซ็งชีวิต ออกมาจากบ้านศุวิล เห็นบรรเจิดลงรถมาพอดี แก้วตาชะงัก
“แก้ว...เข้าไปคุยกันในบ้าน”
แก้วตาหน้าเจื่อนๆ เดินนำเข้าไปในบ้าน บรรเจิดตาม
เดชมองตาม ถอนใจ หันไปหยิบกระเป๋าเอกสารของบรรเจิดในรถ แล้วตามเข้าไป
ในห้องรับแขกตอนนี้ บรรเจิดมองแก้วตานิ่งๆ
“แก้วเข้าไปทำอะไรที่บ้านนั้น?”
“แก้วทำกับข้าว ก็เลยแบ่งไปให้เค้าน่ะค่ะ เป็นเพื่อนบ้านกัน ก็ต้องผูกมิตรกันไว้ไม่ใช่เหรอคะ”
บรรเจิดประชด “รู้สึกว่าแก้วจะผูกมิตรแต่กับบ้านนั้นนะ” แก้วตาอึ้ง “ไปหาไอ้คนที่มาซ่อมไฟวันนั้นเหรอ”
แก้วตาสะอึก พูดตัดพ้อ
“ทำไมคุณบรรเจิดพูดอย่างนั้นล่ะคะ? คุณบรรเจิดไม่ไว้ใจแก้วเหรอ?”
เห็นเดชยืนมองสองคนอยู่ที่มุมหนึ่ง สีหน้ากลุ้มๆ ข้างๆ เดชมีกระเป๋าเอกสารวางอยู่
วิทย์ขับรถแล่นมาตามทาง อรทัยนั่งหน้านิ่งๆ มองไอแพดในมือ
ที่หน้าจอไอแพด เห็นสัญญาณสีเขียวกระพริบอยู่ แต่ไม่ได้เคลื่อนที่แล้ว
ส่วนบรรเจิดมองแก้วตานิ่งๆ อยู่อย่างนั้น เดชมองลุ้นอยู่ที่มุมหนึ่ง
“คุณรู้ไหมคะ ว่าคุณทำให้แก้วเสียใจ..ตลอดเวลาที่ผ่านมา แก้วรักและซื่อสัตย์กับคุณคนเดียว”
บรรเจิดมองหน้าแก้วตา “แก้วยืนยันนะ ว่าแก้วบริสุทธิ์ใจกับผู้ชายข้างบ้านนั่น”
แก้วตาพยักหน้า
“ชั้นจะเชื่อแก้วก็ได้” แก้วตายิ้มหวาน “แต่แก้วต้องมากับชั้น”
บรรเจิดดึงแก้วตา จะออกไปหน้าบ้าน แก้วตางง ตกใจ
“คุณบรรเจิดจะพาแก้วไปไหนคะ?”
“ก็จะพาไปหาผู้ชายข้างบ้านนั่นไง! ชั้นจะไปบอกเค้าว่าแก้วกับชั้นเป็นอะไรกัน”
แก้วตาตกใจ ขืนตัวเต็มที่ “ไม่ได้นะคะ คุณบรรเจิด”
“ทำไม ก็ไหนแก้วว่าแก้วบริสุทธิ์ใจ”
“จะให้แก้วไปประกาศกับทุกคนเหรอคะว่าแก้วเป็นเมียน้อยคุณ” บรรเจิดอึ้ง “ทุกคนเค้าคงจะรังเกียจแก้ว หาว่าแก้วเป็นผู้หญิงไร้ยางอาย! แก้วต้องทนอยู่ในสภาพนี้เพราะแก้วรักคุณ มันยังไม่พออีกเหรอคะ? มันยังไม่พออีกเหรอ”
แก้วตาเล่นบทโกรธสมบทบาทด้วยการสะบัดแขนหลุดจากบรรเจิด จะวิ่งขึ้นชั้นสอง ชนกระเป๋าเอกสารของบรรเจิดที่วางอยู่ข้างเดชร่วงไป โทรศัพท์ที่อรทัยแอบหย่อนไว้ร่วงไหลออกมา แต่ถูกเอกสารในกระเป๋าไหลออกมาทับ
จึงยังไม่มีใครเห็น แก้วตาวิ่งหนีขึ้นชั้นสองไป บรรเจิดรีบตามขึ้นไป
เดชมองตามอย่างเป็นห่วง ขณะเดินผ่านกองเอกสารที่ทับโทรศัพท์อยู่ มองตามขึ้นไปบนบ้านอีกครั้ง ได้แต่ทอดถอนใจ หันไปเห็นเอกสารเกลื่อนกลาด จึงก้มลงเก็บ แล้วชะงักกึก เมื่อเห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง
เดชหวนนึกถึงตอนกลางวันที่อรทัยเข้ามาในห้องทำงานบรรเจิด แล้วอึ้งๆ
ฟากวิทย์ขับรถมาตามถนนยามค่ำยืน อรทัยนั่งหน้านิ่งๆ อยู่ ทอดสายตามองสองข้างทางอย่างประหลาดใจ ที่ไม่มีบ้านผู้คนเลย
อรทัยงง “ทำไมไม่เห็นมีบ้านคนเลยวิทย์..."
วิทย์มองไปข้างหน้า เห็นรถของบรรเจิดจอดอยู่
“นั่นรถคุณบรรเจิดครับคุณอร”
อรทัยสังหรณ์ใจว่าทำไมรถมาจอดที่นี่ วิทย์จอดรถ อรทัยรีบพุ่งลงจากรถไปที่บนรถบรรเจิดทันที
“คุณบรรเจิด!” อรทัยชะงักกึก เห็นเดชนั่งอยู่คนเดียวฝั่งคนขับ
เดชลงมาจากรถ
“คุณบรรเจิดอยู่ที่ไหน?”
เดชนิ่ง
“ชั้นถาม ไม่ได้ยินเหรอเดช! คุณบรรเจิดอยู่ที่ไหน!”
“คุณอรก็รู้ว่าผมบอกไม่ได้” เดชบอกนิ่งๆ
อรทัยโกรธสุดขีด เดชยื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้ เป็นเครื่องที่อรทัยแอบหย่อนไว้ในกระเป๋าเอกสารบรรเจิดนั่นเอง
“ผมคืนครับ”
อรทัยรับโทรศัพท์มือถือมาเขวี้ยงทิ้ง แล้วตบหน้าเดชจนหน้าหัน
“ฝากไปบอกนายแกด้วยว่า ยังไงชั้นก็รู้แล้วว่านังเมียน้อยนั่นมันอยู่แถวนี้ ชั้นจะตามล้างตามผลาญมันทุกบ้าน! มันไม่มีวันหนีชั้นพ้นหรอก!”
เดชแอบกังวลเป็นห่วงแก้วตา
เพลงรักอันเร่าร้อนของหนุ่มสาวผู้อารมณ์ร้อนแรงจบลง ปิ่นมณีนอนซุกอยู่ในอ้อมแขนสุธาวีบนเตียงอย่างอิ่มเอิบเบิกบาน มองสุธาวีซึ้งๆ
“ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้ชั้นมีความสุข....เป็นครั้งสุดท้าย”
ปิ่นมณีจะลุก สุธาวีดึงรั้งไว้
“แต่งตัวแล้วออกไปกินข้าวกับผม”
ปิ่นมณีชะงักนิดๆ
“คุณหมายความว่ายังไงคะ?”
“ผมรับได้ ผมเข้าใจความจำเป็นของคุณ ผมรู้ว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้...แต่เราเลือกที่จะรักกันได้”
ปิ่นมณีคลี่ยิ้มออกมา
“แต่นอกจากเรื่องครอบครัวของคุณแล้ว...คุณมีอะไรปิดบังผมอีกหรือเปล่า...บอกผมมาตอนนี้เลย”
ปิ่นมณีนิ่งงันไป นึกถึงจ๊อบไซด์ไลน์ขายตัว ก่อนจะตัดสินใจพูด
“ไม่มีค่ะ”
สุธาวีมองจ้องเหมือนจะค้นหาความจริงจากปิ่นมณี แล้วพูดออกมา
“ผมเชื่อคุณ”
ปิ่นมณีโล่งที่เขาเชื่อทุกคำของหล่อน โผเข้ากอดสุธาวีแน่น
“เป็นไง ผมดูเป็นพระเอกสำหรับคุณหรือยัง?”
ปิ่นมณีหลุดหัวเราะขำกิ๊ก กิริยาน่ารัก สุธาวีกอดตอบอย่างรักใคร่ ปิ่นมณีเห็นความงดงามในใจของสุธาวีมากขึ้นทวีคูณ
ทางด้านศุวิลขับรถอยู่ ใบหน้าเครียดเคร่ง เขามีอาการร้อนใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปิ่นมณีจึงไม่มา ใจคิดจะคุยกันให้รู้เรื่องสักที ศุวิลเร่งเครื่องรถยนต์เร็วขึ้น แซงคันหน้าไป
ส่วนปิ่นมณีเดินคล้องแขนสุธาวีมาหยุดที่หน้าลิฟต์ เบิกบานสุดขีด ชีวิตหล่อนช่างโชคดีอย่างเหลือเชื่อ สุธาวีเองก็ชื่นมื่นไม่แพ้กัน
ปิ่นมณียิ้ม “ขอบคุณคุณมากนะคะ”
สุธาวีมองตอบ แล้วโน้มหน้ามาจูบปิ่นมณี
ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออก ในจังหวะที่ศุวิลเดินออกมา ศุวิลอึ้งเห็นปิ่นมณีจูบกับใครบางคนอยู่ ยังไม่เห็นหน้าสุธาวี
“ปิ่น!”
ปิ่นมณีตกใจ หันมามองศุวิลหน้าตาตื่น สุธาวีเองก็หันมองตามเสียงเรียกเช่นกัน นั่นเองศุวิลจึงเห็นว่าเป็นสุธาวี ทั้งสองอึ้ง ประจันหน้ากัน
“ลม!”
ปิ่นมณีผละออกจากสุธาวี นึกไม่ถึงว่าจะโดนจับได้คาหนังคาเขา
“ไอ้ลม”
เมื่อหายตกใจสุธาวีมองศุวิลแล้วคลี่ยิ้มหยันออกมา ศุวิลอึ้งรับไม่ได้ เดินหนี ปิ่นมณีไปขวางหน้าไว้
“ลม! ฟังปิ่นอธิบายก่อน”
“อธิบายอะไร? นานแค่ไหนแล้วปิ่น! คุณหลอกผมมานานแค่ไหนแล้ว”
ปิ่นมณีพูดไม่ออก ตั้งใจจะจบกับศุวิล แต่ก็ไม่อยากจบรุนแรงขนาดนี้
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม...คุณถึงบอกให้เราห่างกัน” ปิ่นมณีอึ้ง “ทำไมคุณไม่บอกผมตรงๆ ว่าคุณจะเลิกกับผม แล้วไปคบกับมัน!! สนุกมากเหรอปิ่นที่เห็นผมเป็นคนโง่”
ปิ่นมณีตัดสินใจพูด
“ปิ่นขอโทษค่ะ...ที่ปิ่นคบกับคุณวีอยู่ แต่ปิ่นไม่อยากบอก เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจลม”
ศุวิลจะเดินหนี สุธาวีดึงไว้
“จะรีบไปไหนล่ะคุณน้า”
ศุวิลไม่พูด หันมาต่อยเปรี้ยงทันที ปิ่นมณีตกใจเข้าไปประคองสุธาวี
“คุณวี”
สุธาวีเช็ดเลือดที่มุมปาก
“อย่าโกรธปิ่นเลย ผู้หญิงเค้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด”
ศุวิลมองปิ่นมณีทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ แล้วหันไปจ้องหน้าสุธาวีแค้นๆ ก่อนหุนหันออกไป ปิ่นมณีช่วยซับเลือดให้สุธาวี
“เป็นไงบ้างคะคุณวี”
“ไม่เป็นไรหรอกปิ่น”
สุธาวีจับมือปิ่นมณี แล้วมองจ้องตาหล่อนด้วยความรักล้นอก ดีใจที่ปิ่นมณีจบกับศุวิลสักที
อ่านต่อหน้า 3
จ้าวพายุ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ศุวิลขับรถมาบนท้องถนนอันเวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยว ใบหน้าหล่อของเขาเศร้าหมอง ทั้งเสียใจที่เลิกกับปิ่นมณี และผิดหวังที่รู้ว่าปิ่นมณีแอบคบกับสุธาวีด้วย
ขณะนั้นที่หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ มีสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้า
ศุวิลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นข้อความไลน์ถูกส่งมาจากฟ้าใสว่า
“ไง...ตกลงคืนดีกับยัยปิ่นยังยะ ข้าวมื้อนี้อร่อยมากสิท่า ยังไงก็บอกด้วยนะ คนสวยเป็นห่วง”
ศุวิลอ่านข้อความฟ้าใสแล้วรู้สึกโมโห โยนโทรศัพท์ทิ้งลงเบาะข้างคนขับ
เช้าวันต่อมา ฟ้าใสนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ ครุ่นคิดเรื่องศุวิล ฟ้าใสหยิบมือถือมาเลื่อนดูไลน์ ที่หน้าแชทของศุวิล พบว่าศุวิลอ่านข้อความตนเองที่ส่งไปเมื่อคืนแล้ว แต่ไม่ตอบ ฟ้าใสบ่นเซ็งๆ
“อ่านข้อความแล้วก็ไม่ตอบ คนอะไร เสียมารยาทจริงๆ”
คนขับแท็กซี่เหลือบมองฟ้าใสผ่านกระจกหลัง
“ทะเลาะกับแฟนเหรอหนู?”
ฟ้าใสสะดุ้ง
“ว้าย ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนค่ะเพื่อน เค้าดีกับแฟนแล้วลืมหนูอ่ะค่ะ”
แท็กซี่หัวเราะ “ก็งี้แหละหนู ตอนทะเลาะกันก็มีเราเป็นที่พึ่ง พอดีกัน เราก็หมา” ฟ้าใสสะดุ้งอีก “อย่าไปสนใจเลย”
ฟ้าใสนิ่งคิด มองไลน์ที่แชทกับศุวิล แอบหวั่นไหวขึ้นมาวูบหนึ่ง สาวแก้มป่องสะบัดๆหัวพึมพำ
“แฟนเค้าดีกันก็ดีแล้วนี่นา...หมดหน้าที่เราแล้ว”
ตรงมุมซ้อมมวยในฟิตเนส ศุวิลในชุดออกกำลังกาย สวมนวมชกมวย และกำลังชกกระสอบทรายระบายความโศกเศร้าเสียใจ
ศุวิลปล่อยหมัดหนักๆ ใส่กระสอบทรายไปอีกหนึ่งทีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ แล้วถอดนวมออก
ในหัวศุวิลคิดแต่เรื่องปิ่นมณี ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ สักพักศุวิลก็ลุกออกไป
ขณะที่ฟ้าใสกำลังเดินช็อปปิ้งซื้อของในห้างอยู่นั้น ก็เห็นศุวิลเดินออกมาจากฟิตเนส ฟ้าใสรีบเข้าไปหาทันที พร้อมกับพูดแซวๆ
“ไง...ตายักษ์ ปิ่นไปไหนล่ะจ๊ะ...แหม ดีกันแล้วไม่ยอมบอกเลยนะ หายเงียบไม่ยอมส่งข่าวคราว”
ศุวิลมองฟ้าใสหน้าตาบูดบึ้ง แถมไม่พูดไม่จา จนฟ้าใสงง
“ทำไมต้องทำหน้าบึ้งอ่ะ แซวนิดแซวหน่อยไม่ได้เหรอยะ”
ศุวิลทนไม่ไหว สวนเลยเสียงดัง
“ผมเลิกกับปิ่นแล้ว”
ฟ้าใสตะลึง “อะไรนะ”
“ผมบอกว่าผมเลิกกับปิ่นแล้ว แล้วผมก็รู้เรื่องเค้ากับสุธาวีแล้วด้วย คุณคงจะรู้เรื่องนี้มาตลอดแต่ช่วยกันโกหกปิดบังผมสินะ สะใจมากเลยสินะ ที่เห็นผมเป็นคนโง่!”
ฟ้าใสอึ้งยิ่งกว่าเดิมที่ศุวิลรู้เรื่องสุธาวีด้วย พูดอะไรไม่ออก ศุวิลมองหน้าฟ้าใสโกรธๆ แล้วเดินหนีไปเลย
ฟ้าใสได้แต่ยืนนิ่งมองตามศุวิลไป นึกเสียใจที่เขาเข้าใจหล่อนผิด
ฟากบรรเจิดเดินหน้าตึงเข้าบ้านมาอย่างไม่พอใจ ในใจรู้ดีว่าอรทัยต้องรอเขาอยู่เพื่อหาเรื่องแน่ๆ เดชเดินถือกระเป๋าตามมา
อรทัยเดินมาดักไว้อย่างที่คิด แต่บรรเจิดไม่เลี่ยงหลบ หยุดมองอรทัย อรทัยปรายตามองเดชนิดหนึ่ง เดชนิ่ง
“แกรายงานให้นายแกฟังรึยัง ว่าเมื่อคืนชั้นอยู่ใกล้รังเมียน้อยของนายแกขนาดไหนแล้ว”
“ผมขอเตือนคุณนะอรทัย อย่าคิดสะกดรอยผมด้วยวิธีบ้าๆ แบบนี้อีก”
“ชั้นรับปาก ชั้นจะไม่ใช้วิธีนี้แล้ว เพราะตอนนี้ชั้นใกล้พอที่จะหาตัวมันเจอเร็วๆ นี้แน่”
บรรเจิดชะงัก ยิ่งอยากได้อิสรภาพก็ยิ่งถูกกักขัง อึดอัดเต็มทน
“คุณต้องการอะไรกันแน่อรทัย คุณตามไล่ล่า ผมหนีคุณ คุณเริ่มตามอีก ผมก็หนีคุณอีก ทำไมคุณไม่ยอมรับว่าเราไม่มีความสุขที่จะอยู่ด้วยกัน”
อรทัยอึ้ง เสียใจที่ถูกตอกย้ำซ้ำซากว่า สามีไม่มีความสุขเวลาอยู่กับหล่อน
“คุณอร...ทำไมเราไม่จบเรื่องนี้ เราอาจจะเป็นผัวเมียที่ไม่มีความสุข แต่เราอาจจะเหมาะที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน...”
อรทัยฉุนกึก หยิบรูปแต่งงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ชูให้บรรเจิดดู
“วันนั้น ที่ชั้นแต่งกับคุณ ชั้นเคยบอกคุณว่าชั้นอยากได้คุณมาเป็นเพื่อนเหรอ”
บรรเจิดพูดไม่ออก อรทัยปากรอบรูปลงพื้นเปรี้ยง เศษกระจกแตกกระจาย
บรรเจิดตกใจ
“โอกาสที่เราจะเป็นเพื่อนกัน หมดลงตั้งแต่วันนั้นแล้วคุณบรรเจิด! คุณมีแค่สองทางเลือก หนึ่ง...เป็นสามีที่ดี สอง...ถ้าดีไม่ได้ คุณก็ต้องเป็นสามีที่เลว ไม่ว่าจะทางเลือกไหน คุณก็ต้องอยู่กับชั้นไปจนกว่าจะตายจากกัน!”
บรรเจิดนิ่งงันไป ดูเหมือนจะไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ต่อมาสองคนหลบมุม มาคุยกันในมุมหนึ่งของคฤหาสน์เจนจรัสตระกูล บรรเจิดมีท่าทางระมัดระวังตัวมาก กลัวคนของอรทัยจะมาได้ยิน
“หาบ้านหลังใหม่ให้แก้วได้หรือยังเดช”
“ได้แล้วครับ คราวนี้อยู่ไกลหน่อย จะได้ปลอดภัยจากคุณอรมากขึ้น”
บรรเจิดพยักหน้า
“งั้นรีบย้ายให้เร็วที่สุด”
ท่าทางบรรเจิดกังวลหนัก ในใจเป็นห่วงความปลอดภัยของแก้วตาเป็นอย่างมาก
ฟ้าใสพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของปิ่นมณี เคาะประตูสองสามที ประตูก็เปิดออก ปิ่นมณีชะงักที่เห็นฟ้าใสที่หน้าตึงๆ เดินเข้าไปในห้องเลย ปิ่นมณีงงว่าฟ้าใสมาทำไม สองสาวมานั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
“ไหนเธอตกลงกับชั้นว่าจะเลิกกับคุณวีไงปิ่น แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมลมบอกชั้นว่าเธอเลิกกับเค้า แล้วคบกับคุณวี”
ปิ่นมณีพยักหน้าตอบสั้นๆ “อืมม์...” อย่างไม่ยี่หระ หรือทุกข์ร้อน
“เธอตอบแค่อืมเหรอปิ่น...เธอทำแบบนี้ลมเค้าเสียใจมากนะ มันไม่ถูกต้องเลยนะ”
“ไม่ถูกต้องยังไง...ชั้นแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง...คนเราเมื่อเจอสิ่งที่ดีกว่า ก็ต้องคว้าเอาไว้ คุณวีเค้าให้ชั้นได้ทุกอย่างที่ชั้นต้องการ ชั้นเลือกเค้า ชั้นทำผิดตรงไหน”
ฟ้าใสมองปิ่นมณีแล้วอึ้งๆ ไป เข้าใจแล้วว่าปิ่นมณีเลือกสุธาวีเพราะเงิน ฟ้าใสรู้สึกผิดหวังกับเพื่อนสนิทตรงหน้า
“อ๋อ...เพราะแบบนี้สินะปิ่น...เพราะแบบนี้ใช่มั้ยเธอถึงทิ้งลม ชั้นมองตัวเธอผิดไปจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้”
ปิ่นมณีจ้องตาฟ้าใส
“ทำมาว่าคนอื่นเค้าอย่างนั้นอย่างนี้ เธออย่านึกว่าชั้นไม่รู้นะ ว่าจริงๆ แล้วเธอรอจังหวะจะคั่วลมต่อจากชั้นใช่มั้ยล่ะ ถ้าอยากได้มากนัก ก็เอาไปเลย ชั้นยกให้”
ฟ้าใสอึ้งพูดอะไรไม่ออก
ฟากวิทย์ขับรถพาอรทัยเข้ามาหยุดที่หน้าหมู่บ้านของแก้วตา
“ในละแวกนี้ ก็เหลือหมู่บ้านนี้หมู่บ้านสุดท้ายแล้วครับคุณอร”
อรทัยชะงักจำได้เคยมาอาละวาดที่หมู่บ้านนี้
“หมู่บ้านไอ้ลม”
วิทย์เคลื่อนรถไปหยุดตรงป้อมยาม มียามคนหนึ่งประจำการอยู่ เมื่อเห็นรถของอรทัยเคลื่อนที่มาจอดก็รีบมารับหน้า วิทย์เลื่อนกระจกลงถาม
“ขอรบกวนหน่อยนะ เคยเห็นสองคนนี้มาที่หมู่บ้านนี้หรือเปล่า”
วิทย์หยิบแทปเล็ตเลื่อนเปิดรูปให้ยามดูรูปของบรรเจิดและเดช ยามมองรูปสองคนแล้วบอกข่าวร้ายว่า
“ผมเพิ่งเปลี่ยนมาลงที่หมู่บ้านนี้น่ะครับ นี่ก็เพิ่งมา ยังไม่เคยเห็นหน้าคนที่เข้าออกหมู่บ้านหรอกครับคุณ”
วิทย์อึ้ง อรทัยขัดใจ วิทย์หันมองเป็นเชิงถาม ว่าจะเอาอย่างไรดี
วิทย์ขับรถพาอรทัยเข้ามาบริเวณต้นๆ หมู่บ้าน ผ่านบ้านหลังแรก เห็นมีชายวัยกลางคนยืนชี้ต้นไม้ สั่งคนใช้อยู่ อรทัยและวิทย์มองๆ รู้ว่าไม่ใช่หลังนี้แน่ จึงเคลื่อนรถผ่านไป
รถวิทย์และอรทัย เคลื่อนมาที่หลังต่อมา หลังนี้ปิดประกาศขาย จากนั้นรถเคลื่อนต่อไปอีก หลังต่อไป บ้านปิด วิทย์อรทัยชะงัก มองหน้ากัน
“รอดูทีละหลัง เห็นทีจะไม่ไหว” อรทัยบอกเป็นนัย
ไม่นานต่อมา วิทย์ให้อรทัยรออยู่ในรถ เขากดรีโมทล็อครถจอดไว้แถวๆ ต้นหมู่บ้าน รออยู่ครู่หนึ่ง วิทย์เปิดประตู
สัญญาณกันขโมยดังลั่นไปทั้งหมู่บ้าน เห็นผู้คนที่อยู่ต้นหมู่บ้าน ต่างพากันเดินออกมาจากบ้านตน มองดูรถ
อรทัยและวิทย์ไล่สายตามองผู้คนที่อยู่ในบ้านแต่ละหลัง เห็นว่าส่วนใหญ่อยู่กันเป็นครอบครัว พ่อแม่ลูกบ้าง เป็นคนแก่บ้าง ไม่มีใครที่น่าสงสัย วิทย์กดรีโมทหยุดสัญญาณกันขโมย ชาวบ้านต่างเข้าบ้านไป ไม่ได้สนใจ
อรทัยพยักหน้าให้วิทย์ วิทย์ขับรถเคลื่อนเข้าไปลึกในหมู่บ้าน
ทางด้านแก้วตาหน้าง้ำ ท่าทีมึนตึง ด้วยไม่พอใจที่ต้องย้ายบ้านกะทันหันแบบนี้ เก็บข้าวของลงลังอย่างเซ็งๆ บรรเจิดท่าทีเคร่งเครียด เดชมองอยู่ห่างๆ ช่วยเก็บของลงลัง
“ทำไมต้องรีบร้อนให้แก้วย้ายขนาดนี้ด้วยล่ะคะคุณบรรเจิด” แก้วตาบ่นออกมาในที่สุด
“มัวรอไม่ได้หรอกแก้ว เมื่อคืนเค้าตามมาได้ขนาดนั้น ผมกลัวว่าต่อไป เค้าจะตามจนมาเจอเราจนได้...”
แก้วตายิ่งเซ็ง
“ผมให้เดชหาบ้านหลังใหม่ให้แล้ว เดี๋ยวเราไปกันวันนี้เลย แก้วเก็บไปแต่เสื้อผ้าก่อนแล้วกัน ข้าวของอย่างอื่น เดี๋ยวให้คนมาขนวันหลัง”
บรรเจิดเดินนำแก้วตาขึ้นไปที่ชั้นสอง แก้วตาเดินทอดน่องตามเซ็งๆ
วิทย์ขับรถพาอรทัยเข้ามาจอดละแวกระหว่างบ้านศุวิล กับบ้านแก้วตา อรทัยพยักหน้าให้วิทย์ วิทย์กดรีโมทล็อครถ รออยู่ครู่หนึ่ง วิทย์เปิดประตู
สัญญาณกันขโมยดังลั่น
แก้วตาเก็บของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าลงกระเป๋าอยู่ บรรเจิดอยู่ด้วย ทั้งสองคนชะงักมองหน้ากันงงๆว่าเสียงอะไร ดังมาจากไหน
ฟากเดชที่ทำธุระอยู่ในห้องน้ำ งงว่าเสียงอะไร
เสียงสัญญาณกันขโมยยังดังอยู่ เห็นว่าคนในบ้านแต่ละหลังเริ่มออกมามองๆ ว่าเสียงสัญญาณกันขโมยจากรถใคร เกิดอะไรขึ้น วิทย์และอรทัยที่ยังนั่งอยู่ในรถ กวาดสายตามองชาวบ้านแต่ละคนทีละหลังๆ
บรรเจิดเปิดม่านออก มองลงไปที่ด้านล่าง เห็นรถของอรทัยก็จำได้ บรรเจิดสะดุ้งเฮือกตกใจ ปิดผ้าม่านฉับ โชคร้ายวิทย์หันเห็นบรรเจิดพอดีรีบชี้บอก
“คุณอรครับ! หลังนี้ครับ เมื่อกี้ผมเห็นคุณบรรเจิด”
อรทัยตกใจรีบลงมาจากรถ แล้วมายืนมองๆ อยู่ที่หน้าบ้านแก้วตาอย่างแค้นใจ
วิทย์ปิดสัญญาณกันขโมย แล้วรีบตามลงมา
อรทัยสั่งวิทย์เสียงเข้ม “ปีนเข้าไปเลยวิทย์!”
วิทย์ปีนเข้าไปในบ้านแก้วตาทันที อรทัยมองตามอย่างลุ้นๆ หมายมั่นว่ายังไงวันนี้ต้องจับตัวนังเมียน้อยให้ได้
ขณะเดียวกันอาภากับสำลีได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยเมื่อครู่ ก็เดินออกมาจากบ้าน พอเห็นอรทัยเข้าก็ตกใจ
“คุณอร!”
สำลีหันไปคว้าไม้กวาดใบไม้ที่พิงกำแพงอยู่มากันอรทัย
“คุณอร...นี่คุณจะมาทำอะไรพี่ภาอีก ไปเลยนะ ไป”
อรทัยแว้ดใส่ “หุบปากไปเลยนะ วันนี้ชั้นไม่ได้มีธุระกับพวกแก!”
“ชั้นไม่เชื่อ” สำลีหันมาหาอาภา “โทร.เรียกตำรวจเลยพี่ภา”
อาภาเห็นอรทัยก็รู้สึกขยาดหวาดกลัว เพราะคราวก่อนตัวเองก็โดนหนัก เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรเรียกตำรวจ
ทางด้านอรทัยเมื่อเห็นอาภาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็ตกใจ ถ้าอาภาโทร.เรียกตำรวจมาจริงๆ กลัวจะเกิดเรื่องวุ่นวาย จนตัวเองพลาดโอกาสทองที่จะจับเมียน้อย อรทัยพุ่งเข้าไปหาอาภาทันที จะแย่งโทรศัพท์มา
สำลีเล็งอยู่รีบเข้ามาขวาง อรทัยผลักสำลีล้มลงไป แล้วเข้าไปยื้อโทรศัพท์กับอาภา สำลีลุกขึ้นมาจะช่วย อรทัยได้จังหวะดึงโทรศัพท์มาได้ แล้วผลักเต็มแรง จนอาภาล้มลงไปกับพื้น
อรทัยขว้างโทรศัพท์ทิ้ง แล้วหันไปมองที่บ้านแก้วตาอย่างเป็นกังวล อรทัยเดินออกไปจะไปรอวิทย์
สำลีเข้าไปพยุงอาภา เห็นว่าอาภาเจ็บแขน ก็โมโห เลือดขึ้นหน้า สำลีคว้ามืออรทัยไว้
“นี่! จะไปไหน รังแกกันไม่รู้จักจบจักสิ้นตั้งแต่สาวยันแก่ เลือดขึ้นหน้าแล้วโว้ย”
อรทัยขืนตัวเองไว้
“ปล่อยนะ! ชั้นบอกให้ปล่อยไง”
อรทัยยื้อกับสำลีอยู่อุตลุด
ขณะที่เดชจะเดินออกมาดูหน้าบ้าน พบว่าวิทย์ปีนเข้ามาได้แล้ว ก็ตกใจ
“วิทย์!”
เดชกำลังจะรีบถอยเข้าบ้าน แต่วิทย์คว้าแขนไว้ก่อน เดชต่อยวิทย์คว่ำไป ทั้งสองคนต่อยตีกันที่หน้าบ้าน
ด้านบรรเจิดกับแก้วตาช่วยกันเก็บข้าวของอย่างเร่งรีบ แก้วตาหันไปหยิบอัลบั้มรูปตัวเองตอนเด็ก แต่ด้วยความรีบร้อน จึงเผลอทำอัลบั้มรูปหล่นลงพื้น รูปหล่นกระจายออกมาหลายใบ
แก้วตากับบรรเจิดลุกลี้ลุกลนช่วยกันเก็บรูปที่กระจายออกมาใส่เข้าไปในอัลบั้มรีบๆ แต่มีรูปใบหนึ่งปลิวเข้าไปติดในซอกตู้ แก้วตากับบรรเจิดไม่เห็น
ฟากวิทย์ชกเดชคว่ำ แล้ววิ่งเข้าไปในบ้านจนได้ วิทย์ขึ้นไปที่ชั้นสอง เดชรีบตาม วิทย์พุ่งเข้าไปในห้องแก้วตาทันที แต่ไม่เห็นใครแล้ว พอเข้าไปในห้องน้ำ ก็ว่างเปล่า
วิทย์หันมองตู้เสื้อผ้า แล้วจะเปิด เดชพรวดมาขวางไว้ได้
“ถอยไป”
เดชต่อยวิทย์เซไป วิทย์ลุกมาต่อยเดชกระเด็น ถลันไปเปิดตู้แต่ไม่มีอะไร เดชมึนงงอยู่ วิทย์กระโจนลงไปชั้นล่าง เดชตามติด
อ่านต่อหน้า 4
จ้าวพายุ ตอนที่ 7 (ต่อ)
บรรเจิดพาแก้วตาวิ่งออกประตูหลังบ้าน อ้อมมาที่รถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ดันแก้วตาขึ้นรถทันทีแล้วรีบขึ้นตาม
วิทย์ลงมาจากชั้นสองเห็นบรรเจิดพอดี ก็จะพุ่งออกไป แต่เดชตามมาคว้าตัวไว้ได้ ต่อยวิทย์คว่ำไป แล้วรีบวิ่งออกจากบ้าน ปิดประตูล็อคจากด้านนอก วิทย์โมโห ทุบประตู เดชขึ้นรถไปกับบรรเจิดจนได้
ฝ่ายสำลียื้อกับอรทัยอยู่ สำลีออกแรงผลักอรทัย จนอรทัยหงายล้มคว่ำลงไปกับพื้น
ประตูบ้านแก้วตาเลื่อนเปิดออก รถบรรเจิดทะยานออกไป อรทัยหันขวับ
“คุณบรรเจิด!”
อรทัยลุกขึ้นพรวดวิ่งตามรถบรรเจิด แต่ไม่ทันแล้ว รถบรรเจิดออกไปไกลแล้ว อรทัยเห็นแค่บรรเจิดและเดชในรถ ไม่เห็นแก้วตา เพราะแก้วตาก้มหัวหลบอยู่ อาภาและสำลีเห็นบรรเจิดคาตาก็อึ้งๆ
อรทัยวิ่งตามรถของบรรเจิดไปแต่ไม่ทัน อรทัยเจ็บใจ
“โธ่เอ้ย! รอดไปจนได้!”
วิทย์พรวดออกมาจากในบ้านได้
“แกมัวทำอะไรอยู่! ปล่อยให้มันหลุดไปได้ยังไง!”
วิทย์จ๋อย
“แล้วแกเห็นหน้านังเมียน้อยนั่นไหม?!”
วิทย์บอกหน้าเจื่อน “ไม่เห็นครับ”
อรทัยยิ่งโมโห หันหาอาภาสำลีที่อึ้งๆ ที่รู้ว่าแก้วตาคือเมียน้อยบรรเจิด
“เพราะพวกแกมันเลยหนีไปได้!”
อรทัยโมโหสุดขีด เดินเข้าบ้านแก้วตาไป วิทย์ตาม สำลีกับอาภายังอึ้งๆกันอยู่
“เมียน้อย” สำลีมองหน้ากับอาภางงเป็นไก่ถูกทุบหัว
สองคนอยู่ในห้องนอนแก้วตา สภาพห้องถูกรื้อค้นหาหลักฐาน อรทัยยืนกอดอกหน้าเครียด วิทย์เหงื่อซ่ก
“นอกจากของใช้ทั่วไป ก็ไม่มีของอื่นที่บอกได้เลยว่ามันเป็นใครครับคุณอร”
อรทัยแค้น กำมือแน่น จะเดินออกจากห้องไป แต่อรทัยเหลือบไปเห็นรูปใบหนึ่งติดอยู่ที่ซอกตู้ อรทัยหันไปมองวิทย์ส่งสัญญาณให้เข้าไปหยิบรูปใบนั้น
วิทย์เดินเข้าไปหยิบรูปออกมาจากซอกตู้แล้วส่งให้ อรทัยรับรูปมาดู เห็นว่าเป็นรูปของเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียน ประมาณ ป.4 เป็นรูปสมัยก่อนที่แก้วตาจะเข้าโรงเรียนคอนแวนต์
อรทัยจ้องภาพในมือด้วยความชิงชัง มือไม้สั่นโกรธสุดขีด
คืนนั้นอาภากับสำลีนั่งคุยกันอยู่ในบ้าน ต่างคนต่างยังอึ้งเมื่อรู้ว่าแก้วตาเป็นเมียน้อย
“ชั้นไม่นึกเลยนะพี่ภา ว่าหนูแก้วจะเป็นเมียน้อยเค้า แล้วยังมาเจอเมียหลวงอย่างคุณอรทัยซะด้วย เฮ้อ..คนเรานี่นะ รู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นซื่อๆ ใสๆ คิดยังไง ไปเป็นเมียน้อยเค้า”
อาภาอึ้ง คิดถึงเรื่องตัวเองที่เคยเป็นเมียน้อยเหมือนกัน
“สำลี...บางทีคนเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำผิดหรอกนะ ...แต่บางทีเค้าอาจจะไม่รู้ หรือไม่มีทางเลือก”
สำลีใจหายรู้สึกผิดมาก มองอาภา
“พี่ภา ชั้นไม่ได้ว่าพี่นะ ชั้นขอโทษ”
สำลีรู้สึกผิด อาภาคิดถึงเรื่องตัวเอง
“ชั้นก็เคยตกอยู่ในสภาพเดียวกับหนูแก้ว ชั้นรู้ดีว่ามันต้องทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิดในใจแค่ไหน ชั้นหวังว่าหนูแก้วเค้าคงหาทางออกได้”
วันต่อมาศุวิลเดินเข้าออฟฟิศมา เห็นฟ้าใสนั่งรออยู่แล้ว เขาทำเป็นมองไม่เห็นเดินผ่านเลยไป แต่ฟ้าใสเห็นแล้วจึงรีบไปดักหน้า
“เดี๋ยว...ชั้นขอคุยกับคุณหน่อยได้มั้ย”
“ผมไม่ว่าง...มีงานต้องคุย”
“ขอร้องล่ะ ฟังชั้นหน่อยนะ ไม่นานหรอก ชั้นอยากจะขอโทษคุณ ที่ไม่ได้บอกเรื่องคุณวีกับปิ่นตั้งแต่แรก”
ศุวิลโกรธอยู่ ไม่สนใจฟังเดินหนีไปหยิบเอกสารงานที่โต๊ะ ดูๆ
พิมพ์จันทร์กับทัดเทพเข้ามาพอดี เห็นทั้งสองคนหน้าเครียดๆ ก็ไม่กล้าเข้าไปหา ได้แต่พากันแอบฟัง ฟ้าใสยังไม่ยอมแพ้
“ชั้นไม่เคยคิดอยากให้ปิ่นกับคุณวี คบกันเลยนะ ตอนนั้นชั้นอยากให้คุณกับปิ่นคืนดีกันจริงๆ ...แต่ชั้นก็ไม่คิดเลยว่า เรื่องมันจะลงเอยแบบนี้...”
ศุวิลมองแต่เอกสารในมือ ไม่สนใจฟังฟ้าใส
ฟ้าใสยืนมองศุวิล พอเห็นศุวิลไม่สนใจตัวเองจริงๆ ก็รู้สึกเสียใจ ค่อยๆ ถอยออกไป
ส่วนอีกด้านหนึ่ง โด่งเดินเข้ามา เห็นฟ้าใสในระยะไกลๆ แววตาเป็นประกายเจิดจ้า โด่งทำท่าจะเรียกแต่ไม่ทัน ฟ้าใสออกไปแล้ว
ไม่นานต่อมา ศุวิล ทัดเทพ พิมพ์จันทร์ และโด่ง กำลังนั่งคุยงานกันอยู่ในห้องรับแขกของออฟฟิศ
“ผมขอชมเลยนะ โฆษณาตัวก่อน ที่คุณกำกับให้นะ ทำให้ภาพลักษณ์สินค้าของเราดีขึ้น ยอดขายก็กระเตื้อง” โด่งปรายหางตาไปมองศุวิล แดกดัน “ถึงผู้กำกับจะขี้โมโหไปหน่อยอ่ะนะ แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าเก่งมาก!”
ทัดเทพยิ้มแฉ่ง “ขอบคุณคุณโด่งมากนะครับ บอกแล้วบริษัทเราน่ะ ฝีมือ! การันตีเรื่องความพอใจ”
“ผมอยากให้คุณทำโฆษณาตัวต่อไป อยากให้ทำเป็นซีรีย์ สามสี่ตัวต่อกันไปเลย”
ทัดเทพพิมพ์จันทร์เนื้อเต้นดีใจ ทัดเทพดี๊ด๊าหันไปกระซิบกับศุวิล
“ไอ้ลม โฆษณาเป็นซีรีย์สามสี่ตัว งานใหญ่เลยว่ะ”
โด่งบอกต่อ “ผมอยากได้น้องที่เล่นโฆษณาตัวก่อนมาเล่นอีก”
ศุวิลชะงักกึก “อะไรนะครับ”
พิมพ์จันทร์ร้องอ๋อ “อ๋อ...น้องฟ้า เค้าเป็นเพื่อนผู้กำกับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ”
“ผมว่าใช้นางแบบมืออาชีพไม่ดีกว่าเหรอครับ” ศุวิลท้วง ไม่เห็นด้วย
“ไม่...น้องคนนั้นเค้าน่ารักเป็นธรรมชาติ ตกลงเอาน้องคนนี้นะ ตามนั้น” โด่งบอก
ศุวิลทำหน้าลำบากใจ พิมพ์จันทร์กับทัดเทพมองศุวิลว่ามีอะไร
สามคนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งในออฟฟิศ พิมพ์จันทร์ย้อนถามงงๆ
“หมายความว่ายังไงน่ะลม ถ้าน้องฟ้าเค้าเล่น ลมจะไม่กำกับงั้นเหรอ?”
“ครับพี่” ศุวิลบอก
“ก็คุณโด่งเค้าระบุมาแล้วว่าให้แกทำ แล้วให้น้องเค้าเล่น แกมีปัญหากับน้องฟ้าเหรอ”
ศุวิลไม่ตอบ
“พี่ไม่รู้ว่านะว่ามีปัญหาส่วนตัวอะไรกัน แต่งานก็คืองาน แกต้องแยกให้ขาดจากเรื่องส่วนตัวด้วย อย่าให้งาน อย่าให้ทีมเค้าเดือดร้อน เพราะเรื่องส่วนตัว”
พิมพ์จันทร์พูดหน้าเครียดจริงจัง ทัดเทพเห็นด้วย ศุวิลใคร่ครวญครุ่นคิด
สุธาวีกับปิ่นมณีทานอาหารเสร็จแล้ว นั่งรอเครดิตการ์ดที่พนักงานเอาไปรูดอยู่ สักครู่หนึ่งบริกรเดินเข้ามาสีหน้าท่าทางเจื่อนๆ ถือการ์ดกลับมาหาสุธาวี
สุธาวีมองบริกรงงๆ “มีอะไร...แค่เอาการ์ดไปรูดทำไมถึงนานขนาดนี้”
บริกรมีท่าทางกลัวๆ “คือ...บัตรไม่ผ่านครับ”
ปิ่นมณีมองฉงนฉงาย
“ทำไมไม่ผ่าน นี่มันบัตรคอร์เปอร์เรตที่ใช้สำหรับเลี้ยงลูกค้าของโรงแรมนะ จะไม่ผ่านได้ยังไง!”
“ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ”
สุธาวีโมโหหยิบกระเป๋าเงิน ควักเงินออกมาปึกหนึ่งวางกระแทกลงที่โต๊ะ แล้วลุกเดินออกไปจากร้านอาหารอย่างฉุนเฉียว ปิ่นมณีตาม
“ไม่ผ่านได้ยังไง...นี่มันบัตรของโรงแรม” สุธาวีคิดออกทันที “มีแม่ผมคนเดียวที่ระงับบัตรนี้ได้”
ปิ่นมณีชะงักคิดตามว่าต้องเป็นฝีมืออรทัยแน่ๆ
“แค่บัตรใบเดียว ถ้าคุณอารมณ์เสียหงุดหงิดก็เข้าทางแม่คุณนะคะ”
สุธาวีคิดตามพยักหน้าเห็นด้วย ปิ่นมณียิ้มหวานปลอบ
สุธาวีกับปิ่นมณีเดินมาที่หน้าห้องเพ้นท์เฮาส์ของสุธาวีในโรงแรมเดอะกลอรี่
“ถ้าเราสองคนยืนยันจะคบกันซะอย่าง คุณแม่คุณก็ไม่มีวันทำอะไรได้หรอกค่ะ” ปิ่นมณีว่า
“เค้าจะทำอะไรผมก็ไม่สนแล้วล่ะ ผมเลือกคุณแล้ว”
ปิ่นมณียิ้มหวาน พึงพอใจ
สุธาวีมองปิ่นมณี ยิ่งรัก ยิ่งหลงปิ่นมณี หันหยิบการ์ดจะรูดเข้าห้อง แต่เสียงสัญญาณดังว่าการ์ดผิดใบ สุธาวีชะงัก ลองรูดอีก ก็เหมือนเดิม
ปิ่นมณีเอะใจว่าต้องเป็นฝีมืออรทัยแน่ และจริงดังที่หล่อนคิด เมื่อเสียงทรงอำนาจของอรทัยดังขึ้น
“แกมาผิดห้องแล้วตาวี...”
สองคนหันไปมอง เห็นอรทัยเดินเข้ามา มีวิทย์เดินตาม
“ไม่มีห้องฟรีที่นี่ มีแต่ห้องทำงาน อยู่ที่ชั้น 2” อรทัยบอกเสียงเข้ม
สุธาวีโมโห “คุณแม่!”
อรทัยมองหน้าลูกชาย “อย่าโวยวายตาวี แกลืมไปแล้วเหรอว่าแกเองก็เป็นแค่พนักงานคนนึงของเดอะกลอรี่” สุธาวีอึ้ง “ชั้นอุตส่าห์เลือกมุมที่ดีที่สุดของแผนกให้แก” พลางปรายตามองปิ่นมณี “แล้วก็กว้างพอจะมีเก้าอี้พับเล็กๆ ให้แขกแกนั่งรอด้วย...”
“ขอบคุณมากนะคะ คุณแม่...อุตส่าห์มีน้ำใจนึกถึงดิชั้นด้วย เอาไว้ดิชั้นได้เป็นสะใภ้ของคุณแม่เมื่อไหร่ ดิชั้นคงจะมีโอกาสตอบแทนน้ำใจคุณแม่บ้าง” ปิ่นมณีวางท่าเย่อหยิ่งอยู่ในที
อรทัยกับปิ่นมณีมองหน้าสู้สายตากัน ไม่มีใครยอมหลบตา
“ผมต้องการห้องผมคืน” สุธาวีบอก
“ชั้นไม่อนุญาต ห้องนี้จะถูกปรับปรุงเป็นห้องพักรับรองแขกของโรงแรมถ้าจะพาผู้หญิงมากก แนะนำว่าต้องไปม่านรูดแล้วล่ะ”
ปิ่นมณีฟังแล้วแค้นใจ แต่สะกดอารมณ์ไว้ รอหัวเราะทีหลัง สุธาวีดึงปิ่นมณีจะเดินหนี อรทัยพูดตามหลัง
“ถ้าจะไปเตร็ดเตร่ข้างนอก ก็ระวังเรื่องรายจ่ายด้วยนะตาวี ตอนนี้ชั้นระงับบัตรเครดิตของแกทุกใบแล้ว”
สุธาวีชะงัก “ถ้าคุณแม่คิดจะบีบผมด้วยวิธีนี้ ไม่ได้ผลหรอกครับ”
“แล้วจะได้เห็นกัน” อรทัยจ้องตาปิ่นมณีมีแววเย้ยหยันอยู่เต็ม “นี่คงไม่เหมือนชีวิตหรูหราที่เธอฝันไว้สินะ ปิ่นมณี... อดทนให้มาก เพราะนี่มันเพิ่งเริ่มต้น...”
อรทัยเดินออกไปทันที วิทย์เดินตาม
ปิ่นมณีมองตาม อดหวั่นใจไม่ได้ว่าอรทัยจะตัดแขนตัดขาสุธาวีอะไรอีก
บ้านแก้วตาหลังใหม่ เป็นบ้านขนาดกลาง อยู่ห่างจากบ้านผู้คน ไม่มีเพื่อนบ้าน แก้วตากับบรรเจิดกำลังจะเตรียมกินข้าว
เดชใส่แค่เสื้อเชิ้ต ไม่ได้สวมสูทยกลังลงมาจากชั้นบน เป็นลังที่เอาข้าวของของแก้วตาขึ้นไปจัด พบว่าบรรยากาศอึมครึม ก็ชะงัก มองนิ่งๆ วางลังลง คอยสังเกตการณ์เงียบๆ
“ถ้าในบ้านมีอะไรขาดเหลือก็บอกเดชนะแก้ว”
แก้วตาไม่พอใจมากจนเก็บอาการไม่อยู่ ที่โดนย้ายมาไกลอยู่ห่างจากศุวิล
“ทำไมต้องย้ายมาไกลขนาดนี้ด้วยล่ะค่ะ แถวนี้ไม่มีคนเลย ไกลขนาดนี้ ไปทำงานก็ยาก”
“จะยากได้ยังไง ปกติก็ให้เดชไปรับไปส่ง”
แก้วตาหน้าตึง
“ดูท่าแก้วจะชอบบ้านหลังเดิมมากกว่า...จะอยู่รอเจอคุณอรเหรอไง”
แก้วตาไม่พูดไม่จาอะไร บรรเจิดถอนใจไม่อยากทะเลาะด้วย
“กินข้าวเถอะแก้ว”
“แก้วไม่หิวค่ะ”
บรรเจิดยิ่งเหนื่อยใจ ตัวเองก็เลยพาลกินข้าวไม่ลง วางช้อนส้อมหันมาทางเดช
“งั้นชั้นฝากแก้วด้วยนะเดช ชั้นจะออกไปเคลียร์งาน”
บรรเจิดออกไปเลย แก้วตานั่งหน้าตึง ไม่ตามออกไปส่ง
เดชมองอย่างไม่พอใจกิริยาของแก้วตาที่แสดงกับบรรเจิด จนเมื่อบรรเจิดออกไปแล้ว จึงเข้าไปต่อว่าแก้วตา
“ทำไมแก้วถึงพูดกับคุณบรรเจิดอย่างนั้น แก้วทำแบบนี้ รู้มั้ยคุณบรรเจิดเค้าเสียใจมาก”
“แล้วแก้วจะไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจบ้างเหรอคะ พาแก้วย้ายมาอยู่ตั้งไกล” แก้วตาหน้าคว่ำ
“ที่ไม่อยากย้ายมา เพราะอยากเจอกับไอ้คนข้างบ้านนั่นใช่มั้ย” แก้วตาชะงัก “พี่ขอเตือนเลยนะแก้ว คุณบรรเจิดท่านเป็นผู้มีพระคุณของพี่ ถ้าใครทำให้ท่านเจ็บ พี่ไม่ปล่อยไว้แน่”
“ทำไม...พี่เดชจะทำอะไรแก้วคะ” แก้วตาฉุน
“พี่ไม่ทำอะไรแก้วหรอก แต่ไอ้ผู้ชายที่มันมายุ่งกับแก้ว พี่ไม่รับรองความปลอดภัยของมัน”
เดชมองแก้วตาแน่วนิ่ง แล้วหันไปหยิบซองปืน ที่มีปืนอยู่ในนั้น ขึ้นมาสวม
แก้วตาอึ้ง นิ่งงันไป รับรู้ได้ว่าเดชพูดขู่กลายๆ
อ่านต่อตอนที่ 8