จ้าวพายุ ตอนที่ 1
โรงเรียนสอนดนตรีฟ้าใส อวดตัวต่อสายตาผู้คนให้ต้องหยุดมองด้วยรูปลักษณ์ของอาคารทรงทันสมัยเด่นสะดุดตา แลเห็นป้าย “โรงเรียนดนตรีฟ้าใส” ตระหง่านอยู่ด้านหน้า
งานเปิดตัวถูกจัดขึ้นในวันนี้ มีเสียงไวโอลินดังแว่วออกมา ด้วยท่วงทำนองจังหวะสนุกสนาน จากในสวน หลังอาคาร ซึ่งถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ และผ้าจนสวยสดใส ทุกอย่างในงานดูงดงามชวนฝันราวกับนั่งอยู่ในงานแต่งงานกลางสวนแบบฝรั่ง
ซุ้มเวทีขาวสะอาดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของสวน มีดอกไม้พันธ์เลื้อยสีสวยขึ้นปกคลุมเป็นหลังคา มีผ้าม่านสีขาวบางๆ ขึงอยู่
บนเวทีแลเห็น ฟ้าใส ในชุดสีฟ้ายืนสีไวโอลินอยู่ด้วยท่าทางมีความสุข ด้านหลังของฟ้าใสมีนักดนตรีเล่นเครื่องดนตรีคลาสสิกอยู่ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง
ฟ้าใส ดูสดใส น่ารัก โดดเด่นสวยงามอยู่ตรงกลางเวที
แขกเหรื่อผู้มาร่วมยินดีล้วนเป็นญาติและมวลมิตร ทุกคนในงานต่างนั่งดูอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว สายตาทุกคู่ชื่นชมและดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี
ตรงเก้าอี้ด้านหน้าสุด แลเห็น ศิวา และ บรรเจิด นั่งอยู่ ทั้งสองมีใบหน้าปลาบปลื้มอย่างปิดไม่มิด อรทัยผู้ที่นั่งข้างๆ ไม่ได้สนใจการแสดงบนเวที ด้วยมือของหล่อนยุกยิกอยู่กับมือถือเป็นพัลวัน
บรรเจิดเป็นผู้เปิดการสนทนาขึ้น “ยัยฟ้าฝันมาตลอด ว่าอยากเปิดโรงเรียนสอนดนตรี...ผมต้องขอบคุณคุณพ่ออีกครั้งนะครับ ที่เมตตายัยฟ้า ทั้งๆ ที่แกก็เป็นแค่หลานบุญธรรมของผม”
อรทัยแทรกขึ้นทำลายบรรยากาศทันที “เอาเงินให้หลานนอกไส้ ก็ยังดีกว่าให้คุณพ่อเอาเงินไปเลี้ยงเมียน้อยเหมือนเมื่อก่อน นะคะ” น้ำเสียงอรทัย เหน็บแนม แดกดันผู้เป็นบิดาเต็มที่
ศิวาหยุดกึก ชักสีหน้าหันมองอรทัยอย่างไม่พอใจ บรรเจิดเองก็ชะงัก เพราะถูกจี้ใจดำ
“ยัยอร! เรื่องมันผ่านมาตั้งยี่สิบปีแล้ว แกจะพูดขึ้นมาเพื่ออะไรอีกหื๊อ!” ศิวาเสียงขุ่นเขียว
“นานแค่ไหน อรไม่มีวันลืมหรอกค่ะคุณพ่อ”
ศิวาชะงัก พยายามใจเย็นข่มอารมณ์เต็มที่ ยอมให้กับความเจ็บปวดของลูกสาว
“อีกอย่าง อรอยากให้เรื่องของคุณพ่อเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่น ถ้ายังมีสำนึกดีหลงเหลืออยู่บ้าง จะได้กลับใจ!” อรทัยพูดถึงตรงนี้ หล่อนหันมาปรายตามองบรรเจิด “จริงไหมคะ...คุณบรรเจิด”
บรรเจิดพยายามนิ่ง แต่ในใจสั่นไปหมด
ศิวาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่ว่าแต่ตาวีไปไหน?”
วี หรือ สุธาวี ก้าวลงจากรถยนต์คันหรูหน้าโรงแรมกลอรี่เจน ในมาดหล่อเนี้ยบ เขาส่งกุญแจให้พนักงานรับรถ คุยโทรศัพท์ไปด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ขณะเดินเข้าโรงแรมไปในล็อบบี้
“แม่ครับ ครอบครัวเราทำกิจการโรงแรม ผมก็ต้องอยู่โรงแรมสิครับ...”
สุธาวีเดินผ่านพนักงาน พนักงานต่างหยุดไหว้ทำความเคารพเขาไปตามทาง
คู่สนทนาคืออรทัยผู้เป็นมารดา ซึ่งยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งในโรงเรียน ด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“ชั้นรู้ว่าวันๆ แกก็เอาแต่กิน เที่ยว นอน อยู่ที่นั่น แล้วนี่ทำอะไรอยู่ เช็คเตียงเหรอ?”
สุธาวีชะงักไม่พอใจแต่พยายามเก็บอารมณ์ เดินมาถึงลิฟท์ที่ประตูกำลังจะปิด สุธาวีระบายความฉุนโดยการเอาเท้าแหย่คั่นประตูลิฟท์ไว้ แล้วเข้าลิฟท์ไป
“วันนี้วันเปิดโรงเรียนของยัยฟ้า แกควรจะมาแสดงความยินดีกับเค้า อย่าลืมสิว่าคุณตารักยัยฟ้ามาก แล้วชั้นก็อยากให้แกสองคนแต่งงานกัน”
สุธาวีรับฟังอย่างเบื่อหน่าย ออกจากลิฟท์มา แล้วเดินไปที่ห้องๆ หนึ่ง
อรทัยยังบ่นต่อ “เงินน่ะซื้อเด็กคนนี้ไม่ได้ เหมือนผู้หญิงที่แกกำลังจะนอนด้วยหรอกนะตาวี!”
พอสุธาวีเปิดประตูห้องเข้าไป พบว่า สราลัย รออยู่แล้วอย่างพร้อมรบ สุธาวีชะงักที่ผู้เป็นมารดาช่างรู้ทันเขาไปหมด ชายหนุ่มรูปงามถอนใจพลางบอก
“แม่ครับ..ผู้หญิงที่ผมนอนด้วย ก็ไม่ได้อยากได้เงินเสมอไปหรอกนะครับ บางที่มันเป็นเพราะรสชาติที่ถูกปากกัน...”
จังหวะนี้สราลัยยิ้มคอนเฟิร์มสิ่งที่สุธาวีพูด แล้วเข้าจู่โจมสุธาวีทันที
“แค่นี้ก่อนนะครับแม่...สัญญาณไม่ดี” สุธาวีกดวางสายในบัดดล
อรทัยโกรธวางสายมือถือ ในท่าทีหนักใจ...แต่หล่อนยังคงนิ่ง อย่างน่ากลัว
ขณะที่บุตรชายผู้ซึ่งทำให้เธอเครียด ถูกสราลัยซุกไซร้และเลื้อยขึ้นมาจากซอกคอ
“แม่ยังไม่เลิกบังคับให้คุณแต่งงานกับยัยแกงจืดนั่นอีกเหรอคะวี?”
สุธาวีพยักหน้าแล้วพยายามสลัดเรื่องนี้ทิ้ง พลางสัพยอกด้วยนัยน์ตากรุ้มกริ่ม
“อย่าพูดถึงเลย ตอนนี้ผมอยากกินแกงเผ็ด”
สุธาวีอุ้มสราลัยขึ้นเตียงไป
ทางด้านฟ้าใสเล่นไวโอลินจบเพลง ทุกคนปรบมือชื่นชมเกรียวกราว บรรเจิดและศิวาลุกขึ้นปรบมือให้ฟ้าใส ฟ้าใสยิ้มโค้งรับ อรทัยเดินเข้ามายืนข้างๆ ศิวาและบรรเจิด
“ตาวีติดธุระ ต้องเคลียร์งานที่โรงแรมค่ะ”
ศิวาไม่เชื่อ “หึ! อย่าพูดทั้งที่ตัวเองก็ไม่เชื่อเลยยัยอร”
อรทัยหน้าชาแต่ก็ยังสงบ
“แกก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าวันๆมันสนใจแต่เรื่องผู้หญิง นี่ก็คงกกผู้หญิงอยู่น่ะสิ!” ศิวาเหน็บ
อรทัยทนไม่ไหวแดกดันเอาคืน “นิสัยไม่ดีบางอย่างของตาวี อรก็พอจะจัดการได้ค่ะ แต่เรื่องความเจ้าชู้ มักมากที่มันสืบทอดมาทางสายเลือด อรก็ไม่รู้จะทำยังไงดี”
ไม่น่นต่อมาที่บริเวณข้างเวที ฟ้าใสถือช่อดอกไม้อยู่ ศิวา บรรเจิด อรทัยยืนอยู่ข้างๆ ศิวาลูบหัวฟ้าใสเอ็นดู
“คุณอา..คุณตา..คุณอาอรทัย ฟ้าขอบคุณมากเลยนะคะ ที่มางานวันเปิดโรงเรียนของฟ้า” หญิงสาวโผเข้ากอดศิวาแล้วแหย่ “คุณตาขา...ฟ้าเล่นเพราะไหมคะ คุ้มที่คุณตาออกเงินให้ฟ้ารึเปล่า?”
“เพราะจะตาย...เพราะจนตาอยากกดไลค์ให้เลย” ผู้เป็นตาไม่แน่ใจ “ตาพูดถูกไหม? กดไลค์?”
ฟ้าใสขำ “ถูกค่ะ...”
ฟ้าใสหันเห็นใคร แล้วยิ้มโบกมือเรียก
งามเสมอ ชนเมศร์ และแก้วตาที่ยืนเก้ๆกังๆไม่กล้าเข้ามา ทั้งสามเห็นฟ้าใสเรียกเลยได้โอกาสรีบเดินเข้าไป ฟ้าใสรีบแนะนำ
“ทุกคน นี่คุณตา คุณอาบรรเจิด และคุณอาอรทัย”
ทั้งสามไหว้ ทั้งบรรเจิด อรทัยและศิวา
ชนเมศร์และงามเสมอมองทั้งสามแบบผู้ใหญ่ใจดี แก้วตาเพียงคนเดียวที่มองบรรเจิดด้วยสายตาที่ต่างออกไป
“นี่ชนเมศร์ มาช่วยฟ้าสอนกีตาร์ค่ะ พี่งามเสมอ มาช่วยฟ้าสอนร้องเพลง” ฟ้าใสแนะนำ
“ไม่ทราบว่าคุณตาอยากได้หลานที่ร้องเพลงเก่งๆไปเลี้ยงอีกซักคนไหมคะ? หนูจะแนะนำให้คนนึง...ชื่องามเสมอน่ะค่ะ”
ชนเมศร์ตีแขนงามเสมอ
“ทำไมล่ะ ชั้นอยากมีคนอุปถัมป์แบบยัยฟ้ามั่งนี่”
ทั้งศิวาและบรรเจิดขำเอ็นดูงามเสมอ ชนเมศร์เบ้ปากเซ็งๆ
“ส่วนนี่แก้วตาค่ะ มาดูแลบัญชีให้ฟ้า...”
แก้วตาไหว้ศิวา อรทัยและบรรเจิดอย่างนอบน้อมกิริยาเรียบร้อย แล้วเงยหน้าสบตากับบรรเจิด สองคนสบตากันจังๆ บรรเจิดรับไหว้
“คุณอาจำแก้วได้ไหมคะ เป็นเพื่อนตั้งแต่ฟ้าเรียนอยู่คอนแวนต์น่ะค่ะคุณอา...”
บรรเจิดเหลือบมองแก้วตา “จำได้สิ...ฟ้าเคยชวนแก้วไปนอนที่บ้านหลายครั้ง”
“แล้วหลังๆ ไม่เห็นไป?” อรทัยพูดเป็นเชิงถาม
บรรเจิดและแก้วตาชะงักแต่พยายามนิ่ง
“แก้วคงเกรงใจน่ะค่ะอาอร ใช่ไหมแก้ว?”
แก้วตายิ้มพยักหน้าอ่อนหวาน “ค่ะ...”
ฟ้าใส ชนเมศร์ และงามเสมอ ชวนศิวาคุยต่ออย่างสนุกสนาน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าแก้วตากับบรรเจิดแอบสบตากัน
เห็นรถหรูเริดคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ขณะที่บรรยากาศงานเลี้ยงเลิกแล้ว
ฟ้าใส ชนเมศร์ แก้วตา และงามเสมอที่กำลังเก็บข้าวของหันมองว่ารถใคร
ปิ่นมณีก้าวลงจากรถ ท่วงท่าเฉี่ยวมีเสน่ห์ แต่งตัวสวยไฮโซสมกับราคารถที่ขับ ปิ่นมณียิ้มหวานให้ทุกคน ที่กรูไปหา
“ว้าวๆๆ ปิ่น หรูเริ่ดมากนะเนี่ย...ว่าแต่ขับรถแพงแรงขนาดนี้ ทำไมเพิ่งมา?” ฟ้าใสทัก
“รถติดน่ะสิ...” ปิ่นมณียื่นดอกไม้ให้ “ฟ้า...ปิ่นดีใจด้วยนะ...”
ฟ้าใสกัดๆ แซวๆ “แหม แต่งตัวมาร่วมแสน ให้ดอกไม้ชั้นแค่ช่อเดียว”
“ที่แต่งเนี่ยก็จำเป็นน่ะ ปิ่นต้องขายรถราคาหลายล้าน แต่งตัวโทรมๆ ใครจะซื้อรถปิ่นล่ะ เออฟ้า ตอนนี้ได้เป็นเจ้าของโรงเรียนสมใจแล้วนะ ไม่อยากมีรถหรูๆไว้ใช้ให้สมฐานะบ้างเหรอ?”
“ฐานะอะไรล่ะปิ่น ฟ้าก็แค่เด็กกำพร้า” ฟ้าใสว่า
“นางพูดน่าหมั่นไส้เน๊อะ”
ปิ่นมณีหันไปกอดคอแก้วตาพยักเพยิดให้ล้อฟ้าใส แก้วตายิ้มๆ
“เด็กกำพร้าที่เศรษฐีเอามาชุบเลี้ยงนั่งรถเมล์ แล้วชั้นกับแก้วไม่ต้องนั่งรถสองแถวเลยเหรอ?”
ทุกคนขำๆ กันกับคำพูดของปิ่นมณี ส่วนแก้วตายิ้มเรียบร้อย
ปิ่นมณีนึกได้ “ดีใจด้วยอีกทีนะฟ้า แต่เดี๋ยวปิ่นต้องรีบไปแล้ว จะแวะไปหาผู้ชายซะหน่อย”
ทุกคนมีท่าทางตื่นเต้น
“โอ้โห...ไม่อัพเดตเลยนะคะ ใครกันว่ามาซิ” งามเสมอถาม
“อันนี้ฟ้าเดาให้เอง สเป็คของปิ่นมณี ต้องหล่อ!” ปิ่นมณียิ้มถูกจริตมาก “รวย!”
ปิ่นมณีแทรกเองทันที “แล้วก็ต้องโสดด้วย”
เพื่อนๆ ขำกัน แก้วตาชะงัก
“หรือไม่จริง ใครๆ ก็ชอบคนหล่อ รวยทั้งนั้น ปิ่นไม่อายหรอก คนที่ยอมเป็นเมียน้อยแล้วต้องขอแบ่งของคนอื่นนั่นต่างหาก ที่น่าอาย” ปิ่นมณีว่า
แก้วตาสะอึกนิ่งไป แล้วพยายามยิ้มกลบเกลื่อน ชนเมศร์มองแก้วตาแล้วเขินๆ
“แล้วแก้วล่ะ? ชอบผู้ชายแบบไหน?”
งามเสมอสอดขึ้น “ชั้นรู้ๆๆ สำหรับแก้ว ขอสามคำเหมือนกัน ไม่! ใช่! แก!”
ชนเมศร์เซ็ง สองสาว ฟ้าใส ปิ่นมณี ขำชนเมศร์
แก้วตาอึ้งๆ ในคำพูดของปิ่นมณี
“แล้วฟ้าล่ะ? ขอสามคำ”
“ยัง! ไม่! คิด!” ทุกคนเซ็งๆ “มีความสุขกับงานดีกว่า ไม่อยากมีความรัก กลัวปวดหัว...”
ชนเมศร์งั้นแถมให้อีกสามคำสำหรับฟ้า....ขึ้น คาน ชัวร์!
เพื่อนๆ เฮเกรียว ฟ้าใสตีแขนชนเมศร์เผียะ
เวลานั้นฝนตกฟ้ามืดครึ้ม แลเห็นป้ายชื่อบริษัท “บริษัท ลมลูกเทพ โปรดักชั่นเฮ้าส์ จำกัด” ภายในสตูดิโอถ่ายโฆษณา ในบริเวณโฮมออฟฟิศแห่งนี้ บรรยากาศการทำงานของทีมงานทุกฝ่ายเป็นไปอย่างรีบเร่ง มีการเตรียมความพร้อมในเซ็ต
หนุ่มหล่อ ศุวิล เดินเข้าไปที่กล้องถ่ายหนัง ดูเฟรมผ่านเลนส์กล้อง
สักครู่ศุวิลกำลังอธิบายแอ็คติ้งให้กับนางแบบในฉากตามช็อตในสตอรี่บอร์ด ของหนังโฆษณาที่สื่อถึงความรู้สึกสดชื่น เบิกบานกลางสายฝน อย่างตั้งใจ บุคลิกของเขาดูมุ่งมั่น มั่นใจในตัวเอง นางแบบตั้งใจฟัง พยักหน้าอย่างเข้าใจ
จากนั้นศุวิลลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของ DIRECTOR อยู่ที่หน้าจอมอนิเตอร์
ทัดเทพเพื่อนรุ่นพี่และหุ้นส่วนของศุวิล และพิมพ์จันทร์ภรรยาของทัดเทพ ในฐานะโปรดิวเซอร์ ลงนั่งประกบข้าง คุณโด่ง CD ของเอเจนซี่โฆษณา ทุกคนมองไปที่มอนิเตอร์อย่างตั้งใจ
สิ้นเสียงทีมงานตีเสลด
เสียงศุวิลสั่งดังขึ้น “แอ็คชั่น!!!”
นางแบบโพสท่ายิ้มแย้ม หมุนตัว กางแขน เบิกบานกลางสายฝน พร้อมเอฟเฟ็คลมพัด ฝน
ศุวิลตั้งใจดูการแสดงของนางแบบ โด่งท่าทางยุกยิกขัดใจ และไม่ชอบใจ ทนไม่ไหวโพล่งออกมาทันที “คัตๆๆ!!”
ทุกคนอึ้งที่โด่งสั่งคัตเอง พิมพ์จันทร์ทัดเทพอึ้ง กลัวศุวิลทิ้งระเบิด
ศุวิลมองหน้าทัดเทพพิมพ์จันทร์ที่อยู่หลังโด่ง สองคนพยายามบุ้ยใบ้ให้ศุวิลอดทน
“ครับ เดี๋ยวผมบรีฟให้”
ศุวิลเดินไปหานางแบบ กำลังจะพูด
“เดี๋ยวขอแก้…”
โด่งตามมาแทรก “อย่าฉีกยิ้มเลย เอายิ้มแค่นี้พอ” พลางทำท่าให้ดู ศุวิลจะพูด โด่งแย่งพูดอีก “แล้วมือไม้ก็ไม่ต้องกางมากหรอก เอาแค่นี้ดีกว่า” โด่งเอามือจับหน้าอกท่าทางดีใจ ศุวิลจะพูด แต่ถูกขัดอีก “แล้วก็ไม่ต้องหมุนหรอก กระโดดๆ ดีกว่า” โดดทำกระโดดร่าเริงให้ดู
ศุวิลทนไม่ไหว
“เก่งขนาดนี้ ทำเองเลยดีกว่าไหมครับ”
ทัดเทพ พิมพ์จันทร์อึ้ง โด่งชะงักไม่พอใจ
“อ้าวคุณ พูดกับผมอย่างนี้ได้ยังไง ผมเป็นลูกค้านะคุณ! ผมไม่ชอบผมก็ขอแก้”
“ลูกค้าคนอื่นเค้าก็ขอแก้นู่นแก้นี่เหมือนกันแหละครับ แต่ไม่มีลูกค้าคนไหนก้าวก่ายหน้าที่ผมอย่างคุณ!” ศุวิลหันมาพูดกับทัดเทพ พิมพ์จันทร์ เสียงขุ่น “ผมไม่ทำแล้ว!!”
ศุวิลเดินหนี
โด่งพูดจิกกัดตามหลังไป “คิดว่านามสกุลใหญ่แล้วจะไม่แคร์ลูกค้าก็ได้งั้นเหรอ! อยากรู้นัก ว่าถ้าไม่มีคำว่า เจนจรัสตระกูลมาคุ้มหัว คุณจะกล้าทำกับใครๆ แบบนี้ไหม!”
ศุวิลชะงักเหลียวขวับมาจ้องโด่งอย่างเอาเรื่อง แววตาศุวิลวาววับ ใบหน้าหล่อคม ดูดุดันแลพน่ากลัวขึ้นมาทันที
บรรยากาศในสตูดิโอยามนี้มาคุสุดๆ
อ่านต่อหน้า 2
จ้าวพายุ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ประตูสตูดิโอเปิดผลัวะออกมา พบว่าด้านนอกฝนยังตกอยู่ ศุวิลเดินออกมาท่าทีหัวเสีย เขาหยุดข่มอารมณ์ใต้ร่มหลังคา เห็นถังขยะตั้งอยู่ตรงนั้นเตะเปรี้ยงเพื่อระบายความโกรธ
ทัดเทพและพิมพ์จันทร์ตามมาติดๆ พิมพ์จันทร์ออกอาการไม่พอใจศุวิลมาก
“ลม แกจะถือสาเค้าทำไม จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าแกไม่อยากเกี่ยวข้องกับนามสกุลที่แกใช้”
ศุวิลยังคงอารมณ์กรุ่นๆ พิมพ์จันทร์ถอนใจ
“ใจเย็นๆ หน่อยได้ปะไอ้ลม! นี่มันงานของเฮ้าส์เราเองนะ ไม่ได้เป็นมือปืนรับจ้างให้ใครแล้ว เมื่อก่อนไม่แคร์ไม่ว่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ถนอมลูกค้าให้อยู่กับเรานานๆเถอะ เพิ่งเริ่มเปิดบริษัทอย่าให้มันเจ๊งเร็วนักเลย แก่แล้ว...เริ่มต้นเก็บเงินใหม่อีกมันลำบาก”
ศุวิล และ พิมพ์จันทร์หันไปสงบสติอารมณ์คนละมุม
ทันใดนั้น ปิ่นมณีถือกล่องของขวัญโผล่มาทางด้านหลัง และฉวยโอกาสหอมแก้มศุวิลฟอดหนึ่ง
ศุวิลตกใจหันไปเจอปิ่นมณียืนยิ้มหวานให้ ศุวิลยังหน้าตึง
“เบิร์ดเดย์ค่ะลม...” ปิ่นมณีส่งกล่องของขวัญเล็กๆให้ “พรุ่งนี้ปิ่นไม่ว่างน่ะค่ะ เลยมาเบิร์ดเดย์ล่วงหน้าก่อน”
“ขอบคุณครับ...” ในใจศุวิลยังกรุ่นๆ เรื่องงานอยู่ แต่พยายามยิ้มฝืนๆ ให้
ปิ่นมณีจ้องตาศุวิล “ปิ่นมาผิดจังหวะใช่ไหมคะเนี่ย?”
คอนโดของปิ่นมณี เป็นห้องพักที่ตกแต่งอย่างโมเดิร์น สวย หรู เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูดี ตั้งอยู่กลางใจเมือง
ส่วนภายในห้องรับแขก ศุวิลนั่งอยู่ที่โซฟา ท่าทางยังหงุดหงิดอยู่
“โปรดักชั่นเฮ้าส์นี้ผมสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมเอง ไอ้นามสกุลเจนจรัสตระกูลเนี่ยไม่เคยให้อะไรกับผม!” เขาประชด “จะเขียนไว้ในนามบัตรด้วยเลยดีไหม ว่าผมเป็นแค่ลูกเมียน้อย ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจนจรัสตระกูล!”
ปิ่นมณีที่เวลานี้ใส่แค่เสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวใหญ่ๆ “ถือจานสปาเก็ตตี้มาวางให้”
“ลม อย่าอารมณ์เสียเลยนะคะ นามสกุลของลมเป็นนามสกุลใหญ่ ใครเห็นก็ต้องคิดว่าลมเป็นคนมีเส้นมีสาย”
ปิ่นมณีครุ่นคิดถึงตอนแรกที่ตนเองเข้าหาศุวิลก็เพราะเข้าใจว่าศุวิลนั้นเป็นทายาทเจนจรัสตระกูล
ศุวิลยังหน้าตึงอยู่
“ยิ้มหน่อยนะ” ปิ่นมณีหยิกแก้มศุวิล
ศุวิลจับมือปิ่นมณีมากุมไว้
“ขอบใจมากนะปิ่น...อยู่กับปิ่นแล้วผมค่อยสบายใจหน่อย”
ปิ่นมณียิ้มให้ศุวิล สองคนยิ้มให้กัน
ทันใดนั้น โทรศัพท์ปิ่นมณีดังขึ้น ปิ่นมณีมองหน้าจอโทรศัพท์แล้วชะงักแต่ทำเป็นไม่มีอะไร
หยิบโทรศัพท์มากดรับ หันหลังให้ศุวิล ใบหน้าปิ่นมณีเปลี่ยนเครียดจริงจัง ขณะคุยสาย
“ค่ะพี่นวล....โอเคค่ะ เดี๋ยวเจอกัน”
ปิ่นมณีกดวาง หันหลังกลับมายิ้มแย้มให้ศุวิล
“ลูกค้าน่ะค่ะลม...ดูสิคะ ปิ่นเจอลมแล้วก็โชคดี ขายรถได้เลยเนี่ย”
ศุวิลยิ้ม ปิ่นมณียิ้มตอบ
ค่ำนั้นสองคนอยู่ในล็อบบี้โรงแรมกลอรี่เจน
ปิ่นมณีลงนั่งกับนวลนภาแม่เล้าระดับชาติ พลางยกมือไหว้ นวลนภาเยื้อนยิ้มสำรวจปิ่นมณี
“ไม่ติดต่อมาซะนาน”
“อยากพักบ้างค่ะ กลัวโทรม”
นวลนภาเย้า “นึกว่าแต่งงานกับแฟนนามสกุลเศรษฐีคนนั้นไปแล้วซะอีก เจนจรัสตระกูลไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าเป็นเจนจรัสตระกูลที่เป็นเจ้าของที่นี่ ปิ่นคงรีบแต่งไปแล้วค่ะ นี่เป็นเจนจรัสตระกูลที่มีแต่ตัว...”
“แต่ก็ไม่เลิก? ร้ายเหมือนเดิมนะเรา คิดจะคบไว้เผื่อเลือก”
ปิ่นมณีหัวเราะ นวลนภายื่นซองเอกสารให้ ปิ่นมณีเปิดซองเอกสารหยิบกระดาษขึ้นมา เห็นเขียนว่า “Mr. Thomas” และเห็นว่ามีรายละเอียดกิจกรรม รสนิยม ความชอบต่างๆ ท้ายกระดาษระบุว่า “กลอรี่เจน”
ปิ่นมณีฉงน “ที่กลอรี่เจนเหรอคะ? คราวนี้หรูมากกว่าทุกครั้งนะคะ...”
นวลนภายิ้ม “พรุ่งนี้มีเวลาอีกวัน เธอก็ไปเตรียมตัวให้พร้อม ดูแลแขกดีๆ เผื่อเขามาเมืองไทยคราวหน้า จะได้เรียกเธออีก”
“ค่ะ...”
ปิ่นมณีเอาซองเอกสารใส่กระเป๋า
อรทัยนั่งเตรียมกินข้าวนิ่งๆ อยู่ที่หัวโต๊ะในห้องอาหารหรู บรรเจิดนั่งอยู่ด้วย จำปา สาวใช้จัดแจงตักข้าวเสิร์ฟให้ บรรยากาศน่าอึดอัด เช่นทุกเช้า
สุธาวีเข้ามาลงนั่ง อรทัยกินอาหารนิ่งๆ ไม่ได้สนใจมองสุธาวีเลย
“ยัยฟ้าล่ะจำปา?”
“คุณฟ้าออกไปโรงเรียนแล้วค่ะ..ส่วนคุณท่านก็ไม่อยู่เหมือนกันค่ะ ไม่รู้ว่าออกไปไหนตั้งแต่เช้า” จำปารายงาน
อรทัยนึกสงสัยว่าศิวาไปไหนแต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมาก บอกลูกชาย
“เย็นนี้ไปรับยัยฟ้าที่โรงเรียนด้วยตาวี...”
บรรเจิดไม่สนับสนุนเรื่องที่อรทัยจับคู่ฟ้าใสกับสุธาวี จึงทักท้วง
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เดี๋ยวให้เดชไปรับก็ได้”
“ไปถึงโรงเรียนยัยฟ้าตอนห้าโมงครึ่งนะตาวี ห้ามเกินกว่านั้น...” อรทัยพูดสั่งต่อ
บรรเจิดชะงักรู้ว่าอรทัยไม่ได้ฟังอะไรตนเลย จำใจกินข้าวต่อไม่มีปากเสียง
“ผมไม่ไป เมื่อไหร่แม่จะเข้าใจ ว่าผมไม่ได้ชอบยัยแกงจืดนั่น”
“ชั้นเข้าใจ ว่าแกชอบของเผ็ดๆ” หล่อนปรายตามองสามี “ผู้ชายหลายคนก็ชอบของเผ็ดเร่าร้อนทั้งนั้น...จริงไหมคุณบรรเจิด”
บรรเจิดชะงักแต่พยายามนิ่ง
“ผมไม่รู้...”
“ชั้นกำลังสอนลูกอยู่ คุณไม่คิดจะช่วยหน่อยเหรอ? อย่างน้อยก็น่าจะบอกลูกให้รู้ว่า เวลาผู้ชายมันหน้ามืด มันโง่ได้ขนาดไหน บางทีโง่จนไปคว้าเอาผู้หญิงต่ำๆที่ไหนไม่รู้มากก แล้วก็หลงคิดว่าเป็นนางฟ้า...แต่อีกเดี๋ยวนางฟ้าก็คงจะตกสวรรค์”
บรรเจิดชะงัก โทรศัพท์อรทัยดังขึ้น
ที่หน้าบ้านเมียน้อยบรรเจิดซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวหลังขนาดกลาง ตกแต่งน่ารัก วิทย์คนสนิทอรทัยยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้านหลังนี้
“ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้านแล้วครับ แต่ว่ายังไม่เห็นตัว...ไม่รู้อยู่หรือเปล่า”
อรทัยออกมาตรงทางเดินในคฤหาสน์เจนจรัสตระกูลใกล้ประตู คุยสายไป
“บางทีมันอาจจะหลบอยู่ข้างใน..ทำยังไงก็ได้ให้มันออกมา”
อรทัยกดวาง บรรเจิดมองอรทัยสงสัย หวั่นๆ เดชยืนอยู่ด้านหลัง
“มีอะไรเหรอคุณอร?”
อรทัยยิ้มยะเยือก “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ สั่งให้ลูกน้องทำความสะอาดให้นิดหน่อย...ของบางอย่าง ปล่อยไว้ก็หมักหมม ไม่ดีกับสังคมและสภาพแวดล้อม...ก็เลยจะสงเคราะห์ฆ่าเชื้อโรคให้
บรรเจิดใจไม่ดี ลอบสบตากับเดชอีก
บ้านศุวิล เป็นบ้านขนาดกลาง รูปทรงกลางเก่ากลางใหม่ บรรยากาศสดใสร่มรื่น ได้ยินเสียงร้องเพลงดังออกมาชื่นมื่น เป็นเสียงสำลี
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู...”
ศุวิลเป่าเทียนที่เค้กดับหมด อาภายืนยิ้มอยู่ข้างๆ สำลีระริกระรี้รออยู่
“มีความสุขมากๆนะลูก...”
“ขอบคุณครับแม่...”
“หมดช่วงพิธีการแล้วใช่ไหม จะได้เข้าสู่ช่วงพิธีกินซะที”
อาภามองขำสำลี ศุวิลนึกพิเรน และรู้ว่าสำลีบ้าจี้
ศุวิลแกล้งตะโกน “กินเลย กินๆๆๆ!”
สำลีตกใจบ้าจี้เอาหน้าจุ่มไปงับๆๆเค้ก หน้าเลอะไปหมด แล้วนึกได้หยุดมองค้อนศุวิล ศุวิลขำ
“ลมนี่ รู้อยู่ว่าน้าบ้าจี้” หันมาทางอาภา “เกเรแบบนี้ พี่ภาห้ามให้ของขวัญวันเกิดตาลมเลยนะ”
ศุวิลชะงักนิ่งไป สำลีเดินออกไปล้างหน้า
อาภาเห็นสีหน้าศุวิลเหมือนมีอะไรบางอย่าง อาภาแตะแขนศุวิลอย่างเป็นห่วง
“ลม...”
“ผมขอเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของแม่ ที่ไม่ใช่เจนจรัสตระกูลได้ไหมครับ!”
อาภาปราม “ลม...พูดกันกี่ครั้งแล้ว จะจงเกลียดจงชังอะไรเค้านักหนา ยังไงเค้าก็เป็นพ่อ...แล้วเรื่องทุกอย่างก็ไม่ใช่ความผิดของพ่อ”
ศุวิลนึกถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมาแล้วเจ็บปวด
“ถ้าเป็นผม..ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำกับลูกกับเมียผมอย่างนี้”
อาภาออกอาการเหนื่อยใจ
สักครู่หนึ่ง ศุวิลขับมอเตอร์ไซค์ทะยานออกไป
ส่วนในครัว อาภารู้สึกหนักใจที่ลูกเกลียดชังพ่อไม่หาย สำลีเก็บข้าวของกล่องเค้กอยู่ข้างๆ
“ชั้นไม่เข้าใจเลย ทำไมพี่ภาไม่บอกความจริงตาลมว่าคุณอรทัยเค้าทำอะไรกับพี่”
อาภาชะงัก ถูกสะกิดแผลใจ หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อ 20 ปี ก่อน
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในตอนกลางคืน วิทย์อุ้มเด็กชายศุวิลอายุห้าขวบ ที่ร้องไห้โยเยอยู่ อรทัยมองศุวิลอย่างเย็นชา
อรทัยตวาดนิ่งๆ “เงียบ...”
ศุวิลยังสะอื้นอยู่ อรทัยจ้องหน้าราวกับจะฉีกเป็นชิ้นๆ
“ชั้นบอกให้เงียบ!”
ศุวิลหยุด เด็กน้อยมีท่าทีกลัวๆ
อาภาถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาเห็นเข้าก็ตกใจ
“คุณอร! อย่าทำอะไรลมนะคะ ชั้นยอมไปแล้ว”
“เธอมันก็แค่เมียน้อยของคุณพ่อ เธอกับลูกไม่สมควรจะอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก”
อรทัยรับศุวิลมาจากวิทย์ ทำเหมือนจะส่งให้อาภา แล้วหันไปที่หัวบันได ทำท่าขู่หมือนจะโยนศุวิลลงไป
อาภาตกใจ “คุณอร!”
ที่สุดอรทัยผลักร่างศุวิลจนเซไปหาอาภา อาภากอดศุวิลไว้แนบอก
“รีบไปซะก่อนที่คุณพ่อจะกลับมา...ถ้าชั้นยังเห็นเธอกับลูกอีก..ชั้นจะไม่ใจดีกับไอ้ลมเหมือนวันนี้แล้วนะ
อาภากอดศุวิลไว้ด้วยความเจ็บปวด
ตกตอนกลางคืน ตรงมุมหนึ่งไกลๆ ห่างจากประตูรั้วใหญ่ของคฤหาสน์เจนจรัสตระกูล
อาภาถือกระเป๋าเสื้อผ้ายืนอยู่กับสำลีและศุวิลวัย 5 ขวบ ในใจอาภานึกถึงศิวา
จังหวะเดียวกันนี้ที่หน้าประตูรั้วใหญ่รถยนต์คันหรูแล่นเข้าไป อาภามองเข้าไปในรถ ธวัชชัยเป็นคนขับรถ ด้านหลังเห็นศิวานั่งอยู่ ในมือถือของเล่น ที่ซื้อมาให้ศุวิล สีหน้าศิวาท่าทางมีความสุขมากๆ
อาภาเจ็บปวด แต่ต้องตัดใจ จูงลูกชายออกไปกับสำลี
อาภานึกถึงเรื่องในอดีต แล้วทอดถอนใจ สำลีเก็บเค้กอยู่ข้างๆ
“ช่างเถอะสำลี พูดไปก็มีแต่เรื่องไม่จบไม่สิ้น”
ทันใดนั้นเสียงกริ่งดังขึ้น อาภาเห็นสำลีมือไม้เลอะเค้กที่กำลังเก็บ
“เดี๋ยวพี่ไปเปิดเอง”
อาภาเดินออกมาจากตัวบ้าน ยังเห็นไม่ชัดว่าใครมาหา
“สักครู่ค่ะคุณ...มาหาใครคะ”
อาภาเดินเข้ามาใกล้ๆ จนเห็นชัดว่าคนที่ยืนอยู่คือ ศิวา และ ธวัชชัย อาภาตกใจ ตัวแข็ง
“คุณศิวา!”
“ฉันเอง อาภา...”
“คุณรู้ได้ยังไง ว่าพวกเราอยู่ที่นี่”
“ฉันส่งคนให้ตามหาพวกเธอมาตลอด....แต่เธอก็ย้ายบ้านหนีไปก่อนทุกครั้งที่ฉันจะมาเจอเธอ...”
“ชั้นกับลูกไม่อยากเดือดร้อน คุณกลับไปเถอะค่ะ อย่ามาที่นี่อีกเลย”
“อาภา ชั้นขอโทษแทนลูกสาวชั้นด้วย อาภา...”
อาภาไม่สนใจหันตัวกลับจะเดินเข้าบ้าน ศิวาเรียกไม่หยุด
“อาภา ฟังชั้นก่อน! อาภา...”
ทันใดนั้นศิวาอาการกำเริบ เจ็บจนทนไม่ไหว ทรุดฮวบลงไป
“คุณท่าน” ธวัชชัยร้องลั่น
อาภาชะงักตกใจ หันไป เห็นศิวานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหน้าบ้าน
“คุณศิวา”
ด้านฟ้าใสเดินมาตามทางเดินในโรงเรียน เสียงมือถือฟ้าใสดังขึ้นฟ้าใสเห็นเบอร์ก็แปลกใจ
“คุณธวัชชัย...” หล่อนรีบรับสาย “ฮัลโหลค่ะ....”
เวลาเดียวกันศุวิลลงมอเตอร์ไซค์หน้าบริษัท คุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าตกใจ
“แม่อยู่โรงพยาบาล! แม่เป็นอะไร แล้วทำไมน้าสำลีไม่ไปกับแม่! ทำไมไม่โทร.บอกผมทันที!”
สำลีอยู่ที่บ้าน ออกอาการร้อนใจลำบากใจไปหมด เมื่อถูกศุวิลโทร.มาถาม
“พี่ภาไม่ได้ป่วย คนอื่นมาป่วยล้มอยู่หน้าบ้าน พี่ภาเธอต้องไปด้วย”
ศุวิลฉงน “คนอื่น? ใคร!”
สำลีหน้าเสีย...ไม่กล้าจะพูด
อ่านต่อหน้า 3
จ้าวพายุ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ร่างศิวาอยู่บนเตียงถูกเข็นมาหน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอย่างเร่งรีบ อาภาจับมือศิวาเอาไว้ไม่ปล่อย
ธวัชชัยตามมา ศิวามองมาที่อาภาน้ำตาซึม อาภาบีบมือของศิวาเอาไว้ ยิ้มให้กำลังใจ
ศิวาถูกนำตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน อาภาและธวัชชัยรออยู่ข้างนอกอย่างร้อนใจ
“รู้มั้ยคะ ว่าคุณศิวาเป็นอะไร ทำไมถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้”
“ท่านปวดท้องมาสักระยะหนึ่งแล้วครับ แต่ไม่ยอมมาให้หมอเช็กบอกว่า เสียเวลา ท่านอยากตามหาคุณกับลูกให้เจอก่อน”
อาภาใจอ่อนยวบลงทันที...เสียใจและสงสารศิวามาก
เดชเปิดประตูให้ อรทัย และบรรเจิดลงจากรถ อรทัยเดินนำมีท่าทีกระสับกระส่าย กำลังจะเข้าประตูโรงแรม เดชแอบสบตากับบรรเจิด ในจังหวะที่เสียงมือถือของอรทัยดังขึ้น
อรทัยรับสาย “ฮัลโหล...” จากท่าทีตกใจ แล้วอรทัยก็สงบลง เป็นปกติ “โอเค ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
บรรเจิดฉงน
“คุณพ่อไม่สบาย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล” อรทัยบอกเสียงเรียบๆ
บรรเจิดตกใจเป็นห่วงกว่าอรทัยซะอีก “ท่านเป็นอะไรมากมั้ย”
“ก็คนแก่! ฉันจะสั่งเลื่อนประชุม คุณไปโรงพยาบาลกับฉัน”
“ก็ถ้าท่านไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมขอ…”
อรทัยตัดบท “ฉันไม่ชอบการถูกปฏิเสธ ไป นายเดช!”
อรทัยเดินกลับนำไปขึ้นรถ บรรเจิดรู้สึกกดดัน พูดเบาๆกับเดช
“ส่งฉันที่โรงพยาบาลแล้ว นายไปดูที่บ้านนั้นหน่อย ฉันเป็นห่วง”
“ครับท่าน”
บรรเจิดขึ้นรถตามอรทัยไป เดชเองก็เป็นห่วง “บ้าน” หลังที่บรรเจิดสั่งไม่น้อย
ตรงทางเดินในโรงพยาบาล ศุวิลเร่งฝีเท้าเดินมาหน้าตาเครียด ไม่พอใจ ฟ้าใสเดินมาอย่างเร่งร้อนพอกันกับศุวิล แต่คนละอารมณ์ ด้วยฟ้าใสเป็นห่วงศิวา
ทั้งศุวิลและฟ้าใสเดินมาจากคนละทาง ตรงเข้ามาเจอกันที่ทางแยก ทั้งสองคน เงยหน้าขึ้นมองพอดี สบตากัน ต่างคนต่างอึ้งกันไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นก็มีรถเข็นเตียงคนไข้ทั้งอาการหนักและคนไข้ที่กำลังจะขึ้นวอร์ด ถูกเข็นเข้ามาเบียดศุวิล และฟ้าใส ดันทั้งคู่เบียดอยู่ด้วยกันตรงกลางจนร่างแนบร่าง ฟ้าใสแนบกับอกแกร่งของศุวิลอย่างเลี่ยงไม่ได้
ศุวิลใช้แขนกันตัวฟ้าใสเอาไว้โดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการถูกกระแทกจากเตียงหรืออุปกรณ์หรือคนใด จนดูเป็นการกอด
ฟ้าใสเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหน้าศุวิลอยู่ใกล้แค่ลมหายใจรดกัน ศุวิลก้มลงมาประสานสายตากับฟ้าใส เกิดเป็นโมเม้นต์โรแมนติกซึ้งๆ ในโรงพยาบาล ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายของการเข็นเตียงคนป่วย โดยสองคนไม่รู้ตัว
เตียงถูกเข็นผ่านไปแล้ว แต่ศุวิลยังคงกอดฟ้าใสอยู่ ทั้งสองคนตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่ง เสียงของเจ้าหน้าที่ประกาศชื่อคนไข้รับยาดังขึ้นขัดจังหวะ
“คุณปรานี แสงศรเชิญรับยาที่ช่อง 5 ค่ะ”
ศุวิลและฟ้าใสสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ ผละออกจากกัน หน้าแดงกันทั้งคู่ ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเดินไปทางเดียวกัน แต่แยกกันเดินห่างๆ ทันที โดยอัตโนมัติ
ไม่นานต่อมา อรทัยเดินฉับๆ มาตามทางเดินหน้าห้องบนชั้นวีไอพี บรรเจิดยังคงเดินตามหลังเช่นเคยมาด้วย แต่ใจของบรรเจิดลอยไปไกล อรทัยหยุดเดิน เหมือนเพิ่งคิดอะไรได้ จนบรรเจิดที่เหม่อลอย เกือบเดินชนอรทัยโชคดีที่เบรกเอาไว้ทัน
“โทร.ตามตาวีให้มาด้วย”
“ได้ งั้นคุณไปก่อนเถอะ ผมจะโทร.สั่งงานลูกน้องก่อนด้วย”
อรทัยมองจ้องบรรเจิดอย่างไม่ไว้ใจ แต่ยิ้มกลบเกลื่อน เป็นยิ้มที่เย็นยะเยือกมาก “ค่ะ”
อรทัยเดินนำไป
ที่สระน้ำบนชั้นดาดฟ้าของกลอรี่เจน สราลัยอยู่ในชุดว่ายน้ำอวดทรวดทรงสุดเซ็กซี่ ทาครีมกันแดดอยู่ด้วยท่าทางสบายใจ สุธาวียังมีท่าทางหงุดหงิดที่แม่ยืนยันให้ไปรับฟ้าใสอยู่
ทันใดนั้นโทรศัพท์ดังขึ้น สุธาวีหันไปมอง เห็นว่าคนโทร.มาคือบรรเจิด สุธาวีถอนใจแล้วกดรับโทรศัพท์
“มาโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย แม่แกสั่ง” บรรเจิดอยู่ตรงมุมหนึ่งโรงพยาบาล
“ใครเป็นอะไรอีกอ่ะพ่อ”
“คุณตาไม่สบาย”
“คุณแม่เป็นลูก ก็ดูไปสิ แค่นี้นะ ผมยุ่งอยู่”
บรรเจิดสั่ง “แกรีบมาเถอะ เดี๋ยวแม่แกก็โวยวายอีก”
สุธาวีอึดอัดใจมาก “ครับๆ ผมจะรีบไป”
สุธาวีกดมือถือทิ้ง สุธาวีนึกถึงแม่แล้วก็เซ็ง หมดอารมณ์ สราลัยจะเข้าหาแต่ถูกสุธาวีผลักออก
“โอ๊ย!! วี หงุดหงิดอะไรเนี่ย!”
“วันนี้มันวันซวยอะไรวะ มีเรื่องตั้งแต่เช้า”
“เรื่องของวี อย่ามาลงที่สรา!” สราลัยเสียงขุ่น
“ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือไง แฟนมีเรื่องเครียด ก็แบ่งๆไปมั่งดิ”
“มีแฟนให้สบายใจ มีความสุข ไม่ได้ไว้ให้เครียด ไม่งั้นจะมีทำไม อยู่เฉยๆ สวยๆ ใช้เงินพ่อแม่อย่างเดียวดีกว่า”
สุธาวี ส่ายหน้ากับสราลัย ขี้เกียจโต้ตอบ หันหยิบกุญแจรถ
“อ้าว จะไปไหนอ่ะ ยังไมได้เริ่มเลย จบซะแระ!”
“แม่เรียก!”
สราลัยเบ้หน้าใส่ “ชิ...ลูกแหง่ ถ้าแม่ให้ไปตาย จะไปปะ”
“หยุดพูดเลย!”
สุธาวีรีบ เดินออกไป ทิ้งให้สราลัยหงุดหงิด
“อย่าให้รู้นะ ว่าไปหากิ๊ก สราเอาคุณตายแน่ รับรอง”
“พูดมาก เดี๋ยวจะมีให้ดู”
สราลัยเริ่มจ๋อย “แล้วอย่าลืมโทร.มานะ คืนนี้จะไปเที่ยว! วี!”
“รู้แล้ว!”
สุธาวีเปิดประตูออกไปเหวี่ยงปิดดังโครม สราลัยเจ็บใจ
ภายในห้องพักฟื้นระดับวีไอพีของโรงพยาบาล ศิวาสีหน้าดีขึ้นแล้ว กุมมืออาภาเอาไว้ไม่ปล่อย อาภามองศิวาด้วยความสงสาร
“อาภา ทำไมเธอถึงหนีชั้นมา คืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“คุณนอนพักเถอะนะคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”
“ฝีมือยัยอรใช่ไหม?”
อาภาชะงัก ครุ่นคิดตรึกตรองว่าถ้าศิวารู้ความจริง อรทัยต้องไม่ยอมและตามราวีตนกับลูกอีก และศุวิลก็ต้องจัดการอรทัยเป็นแน่ ไม่มีข้อดีที่จะพูดแม้แต่น้อย
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ชั้นกับลูกก็อยู่ได้”
“แต่ที่พวกเธอต้องลำบากก็เพราะชั้น ชั้นต้องรับผิดชอบ”
อาภาหนักใจ
ขณะเดียวกันตรงบริเวณหน้าห้องพักฟื้น ศุวิลและฟ้าใสเดินตีคู่มาด้วยกัน ไม่มีใครมองใคร ในใจของทั้งสองคนต่างหวั่นไหวซึ่งกันและกัน ต่างมาหยุดที่หน้าห้องศิวาเหมือนกัน
ศุวิลและฟ้าใสมองหน้ากันงงๆประหลาดใจ
ส่วนในห้องพักฟื้น ศิวาจับมือของอาภาเอาไว้
“ชั้นไม่คาดคั้นเธอก็ได้ แต่เธอกับลูกต้องมาอยู่กับชั้น”
อาภา ตกใจ “ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้เด็ดขาด!”
“ทำไมล่ะ อาภา!”
ศุวิลผลักประตูเข้ามา พอดี กับฟ้าใส...
อาภากับศิวาหันไป ท่าทีตกใจ อุทานพร้อมๆ กัน “ลม!”
ศิวามองหน้าศุวิลอย่างดีใจ ขณะฟ้าใสมองอาภาและศุวิลอย่างประหลาดใจ
“ลมลูกพ่อ…” ศิวาครางอย่างดีใจ
“เสียใจ ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นพ่อ”
ศุวิลเข้าไปคว้ามือของอาภา
“ผมมารับแม่กลับบ้าน และผมขอร้อง แม่ไม่ต้องมาที่นี่อีก”
อาภาบอกด้วยท่าทีจริงจังหนักแน่น “อย่าพูดแบบนี้นะลม เค้าเป็นพ่อของลมนะ...”
อรทัยเปิดประตูเข้ามา ไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นถึงสันหลัง
“คุณพ่อมีลูกคนเดียวคือฉัน! คนอื่นไม่ใช่!”
“อรทัย...อย่าพูดอย่างนี้”
ศุวิลหันมองอรทัยอย่างเต็มตา ด้วยความโกรธแค้น
“อรทัย!”
อรทัยมองศุวิล “ไอ้ลม...”
อรทัยหันไปเผชิญหน้ากับศุวิล ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ชิงชังในกันและกัน อยู่ครู่หนึ่ง จนอรทัยละสายตาหันไปจ้องหน้าอาภา
“นี่เธอคงรู้ข่าวว่าคุณพ่อไม่สบาย เลยรีบเสนอหน้า มาดูแลคุณพ่อ คิดจะขอส่วนแบ่งให้ไอ้ลมล่ะสิ!”
ศุวิลโมโหมาก “อย่าพูดกับแม่ผมอย่างนั้น!”
อรทัยเหยียดยิ้ม ขณะก้าวเข้าไปหาอาภา
“ลูกเธอท่าทางก้าวร้าว ชั้นไม่แปลกใจหรอกนะ ผู้หญิงหน้าด้านที่ยอมเป็นเมียน้อยอย่างเธอ ก็คงเลี้ยงลูกมาได้เท่านี้แหละ”
ศุวิลทนไม่ไหว ปราดเข้าไปขวาง
“ผมบอกให้หยุด!”
อาภาร้องห้าม “ลม อย่าลูก!”
ฟ้าใสเข้าไปขวางปกป้องอรทัย “คุณอา ระวัง!”
ศุวิลกระชากแขนฟ้าใสอย่างแรง เหวี่ยงออกไป “ถอยไป!”
ฟ้าใสกระเด็นไปกระแทกผนังอย่างแรง ร่างลู่ลงไปกองกับพื้นห้อง เจ็บแขนที่ถูกกระแทกมาก “โอ๊ย!!”
ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะศุวิล
“ผมขอโทษ”
ศิวากับอรทัย ประสานเสียง “ยัยฟ้า!”
ฟ้าใสเจ็บปวดที่แขน ศุวิลเห็นฟ้าใสได้รับบาดเจ็บ ยิ่งรู้สึกผิด อรทัยประครองฟ้าใสขึ้นมา ตายังคงจ้องศุวิลเขม็ง
“แกทำร้ายผู้หญิง แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย!”
ฟ้าใสมองศุวิลด้วยสายตาประณาม ศุวิลสะอึก...อาภาเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ลม กลับบ้าน”
อาภาบอกเสียงเข้มพร้อมกับดึงศุวิลให้ออกไป ศุวิลปรายตามองฟ้าใสแวบหนึ่ง อยากจะเข้าไปดูเพื่อพาไปรักษา
แต่เมื่อเห็นสายตาฟ้าใสมองมาอย่างเป็นศัตรู ทำให้ศุวิลเปลี่ยนใจ พาอาภาออกไปซะเอง
อ่านต่อหน้า 4
จ้าวพายุ ตอนที่ 1 (ต่อ)
อาภาเดินมากับศุวิลตามทางเดินในโรงพยาบาล อาภายังอยู่ในอาการเสียใจ ในขณะที่ศุวิลอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น อาภาเอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้นะลม แม่ไม่ชอบเลยที่ลมใจร้อน”
ศุวิลพูดอะไรไม่ออก รู้สึกผิดที่ทำให้ฟ้าใสเจ็บตัว
“แม่กลับแท็กซี่ดีกว่า ลมจะได้ไม่ต้องขับรถเหนื่อย”
ศุวิลท้วง “แต่...”
อาภาเสียงเขียว “ทำแม่เสียใจมาพอแล้วนะ อย่าดื้อกับแม่เลยนะลม”
“ผมขอโทษครับแม่”
ศุวิลเข้าไปไหว้ที่ไหล่ของแม่ สายตาเหลือบไปเห็นฟ้าใสที่เจ็บแขน จะไปเข้ารับการรักษา และเดินไปทางหนึ่งอย่างเลื่อนลอย มีเรื่องคิดมากในหัว ศุวิลมองตามฟ้าใสไปอย่างสนใจ
ศุวิลรออยู่ ขณะประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักออกมา ฟ้าใสเดินออกมา มีผ้าพันแขนเล็กน้อย ฟ้าใสเห็นศุวิลก็อึ้ง เบือนหน้าหนีไม่อยากมองศุวิล
“ถึงกับต้องหาหมอเลยรึไง”
“พอดีฉันเป็นคนเจ็บได้ ไม่ใช่เหล็กเหมือนใครบางคน แข็งกระด้าง ทำร้ายผู้หญิง”
ศุวิลพูดเป็นเชิงถาม “ว่าผม?”
ฟ้าใสไม่หลบตา “ใช่!” แล้วสองคนก็เปิดฉากปะทะคารมกัน
“ผมชื่อลม ชื่อจริงชื่อศุวิล ไม่ได้ชื่อใครบางคน”
“แต่ฉันไม่ได้อยากรู้ว่าคุณชื่ออะไร ไม่อยากจดจำ”
“แต่ผมรู้ ว่าคุณจำผมได้ไม่ลืม ไปจนวันตาย”
“อย่าสำคัญตัวผิด”
“ใครทำให้เราเจ็บ เราไม่มีทางลืมเขาได้หรอก ถ้าสมองไม่เสีย พิการไปซะก่อน”
“ไม่ต้องมาพูดคำคม ไม่อิน”
ศุวิลหลุดยิ้มขำกับท่าทีของฟ้าใส แต่ฟ้าใสไม่สนใจ สุธาวีเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“ฟ้า คุยกับใคร?”
ฟ้าใสแดกดันทันที “เค้าชื่อลมค่ะคุณวี เป็นลูกอกตัญญูของคุณตา”
สุธาวีชะงักอึ้ง “ไอ้ลม...”
สุธาวีหันไปมองศุวิล สองคนประจันหน้าสู้สายตากัน
ส่วนในห้องพักพื้น ศิวามีท่าทางมุ่งมั่นมาก ส่วนอรทัยไม่พอใจมาก
“ชั้นจะยกสมบัติให้ตาลมครึ่งนึง เพราะยังไงเค้าก็เป็นลูกของชั้นเหมือนกับแก”
“คุณพ่อแน่ใจได้ยังไงคะว่าไอ้ลมมันเป็นลูกของคุณพ่อ อรก็เคยบอกแล้ว ว่าเมื่อยี่สิบก่อนอาภาหนีตามชู้ไป!”
“ชั้นไม่เชื่อ!ชั้นรู้นะว่าที่อาภากับลมต้องไป ก็เพราะแก”
“อรไม่มีวันยอมให้คุณพ่อยกสมบัติให้มัน อย่าว่าแต่ครึ่งนึงเลยค่ะ สลึงนึง มันก็จะไม่มีวันได้จากเจนจรัสตระกูล”
สุธาวีเปิดประตูเข้ามาจังหวะนี้ อรทัยแหวใส่
“ทำไมเพิ่งจะโผล่หัวมา!”
“ไม่ต้องให้ฉันเห็นหน้ามันนานนักหรอก! ไอ้ที่ป่วยอยู่แล้วจะยิ่งป่วย!” ศิวาบอก
สุธาวีจ๋อย งง อะไรวะ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ศุวิลแวะมาที่คอนโดปิ่นมณี นั่งอยู่ท่าทางหงุดหงิด ปิ่นมณีอยู่ข้างๆ
“ขอบใจมากนะปิ่นที่อุตส่าห์หยุดงานอยู่เป็นเพื่อนลม”
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้วันหยุดของปิ่นอยู่แล้ว...” ปิ่นมณีลองหยั่งเชิง คาดหวังว่าศุวิลอาจจะได้สมบัติ “ลม ความจริงลมได้เจอพ่อก็น่าจะดีใจนะ ฟังดูคุณพ่อเค้าก็ยังผูกพันกับลมอยู่นี่นา”
“แต่ผมไม่อยากผูกพันกับเค้า ผมกับแม่อยู่กันมาได้โดยไม่ต้องมีเค้าตั้งยี่สิบปี ผมไม่จำเป็นต้องมีเค้า!”
ปิ่นมณีทำเป็นยิ้มเข้าใจ
“พรุ่งนี้ปิ่นว่างไหม ไปกินข้าวกัน”
“พรุ่งนี้เหรอ?”
ปิ่นมณีหยิบแทบเล็ทขึ้นมาเปิดดูคิวงาน เห็นมีชื่อ โทมัส อยู่ในตารางงานของวันพรุ่งนี้
“ปิ่นไม่ว่างหรอก มีนัดกับลูกค้า”
“ถ้างั้นเรามาเจอกันดึกๆ ก็ได้ ลมรอปิ่นได้”
“นัดเลี้ยงลูกค้าที่พัทยาน่ะลม ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เอาไว้วันหลังแล้วนะ”
ศุวิลพยักหน้า
บรรเจิดอยู่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล คุยโทรศัพท์กับเดช
“ไฟไหม้หมดทั้งหลังเลยเหรอเดช”
เดชยืนมองไปที่หน้าบ้านหลังขนาดกลางหลังนั้น เห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงวิ่งลากสายฉีดน้ำกันให้วุ่น สั่งการเสียงโหวกเหวก ควันโขมงรอบตัวเดช
“ครับ ท่าน”
บรรเจิดอึ้งๆ ใจนึกเป็นห่วง “แล้ว..มีใครเป็นอะไรไหม?”
“ไม่มีใครอยู่ในบ้านครับ คงออกไปทำงานก่อนเกิดเรื่อง”
บรรเจิดมีท่าทีโล่งใจ
“ท่านจะบอกข่าวเธอเอง หรือให้ผมบอกครับ”
“ช่วยจัดการให้ฉันที ฉันไม่สะดวกคุยที่นี่ หูตาคุณอรทัยเป็นสัปปะรด เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าใครเป็นใคร”
บรรเจิดวางสาย สีหน้าเจ็บปวด
“ทำไมใจคอถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้นะ คุณอรทัย”
แก้วตาแอบหลบมาคุยมือถือในครัวโรงเรียนดนรี ไม่อยากให้ใครได้ยิน
“ฮัลโหล....อะไรนะคะ! ค่ะๆ แก้วจะรีบไป”
แก้วตาอึ้งๆวางมือถือ
ต่อมาไม่นานนักภายในห้องพักพนักงานของโรงเรียน แก้วตาลนลานรีบเก็บของใส่กระเป๋า งามเสมอกะชนเมศร์มองงงๆ
“มีเรื่องอะไรเหรอครับแก้ว”
“แก้วมีธุระด่วนน่ะค่ะ แก้วฝากปิดโรงเรียนด้วยนะคะ ขอโทษนะคะ”
แก้วตารวบของเสร็จก็วิ่งออกไปเลย กล้องรับที่พื้นเห็นว่ากระเป๋าตังค์แก้วตกอยู่ ชนเมศร์มองตามเป็นห่วง
“แก้วไม่อยู่ แกเลี้ยงข้าวชั้นแทนก็ได้นะ ชั้นว่าง”
ชนเมศร์เบ้ปากเซ็งๆ แล้วหันเห็นกระเป๋าตังค์แก้วตาตกที่พื้น
“กระเป๋าตังค์แก้วนี่”
ชนเมศร์หยิบกระเป๋าตังค์แล้วรีบวิ่งไป
ชนเมศร์วิ่งกระหืดกระหอบมา ออกมาถึงหน้าโรงเรียนไม่เห็นแก้วตาแล้ว
“กระเป๋าตังค์อยู่นี่ แล้วแก้วจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าแท็กซี่อ่ะ” ชนเมศร์นึกเป็นห่วง
ขณะเดียวกันเดชจอดรถตรงที่จอดรถผู้บริหาร แล้วลงจากรถไป
ในซอยด้านหลังโรงแรมกลอรี่เจน แลเห็นรถญี่ปุ่นราคาถูกจอดอยู่ในมุมมืด เดชตรงไปที่รถ และขึ้นรถคันนั้นไป ภายในรถพบว่า บรรเจิดนั่งรออยู่ตรงเบาะหลังเรียบร้อยแล้ว เดชมองบรรเจิด เห็นว่าบรรเจิดสีหน้ากังวลและเป็นห่วง เดชรีบออกรถไป
บรรเจิดกระสับกระส่าย มองไปข้างหน้าเห็นโรงแรมเล็กๆ ดูดี สไตล์บูติกโฮเต็ล
“ที่นี่เหรอเดช”
“ครับนาย”
สายตาบรรเจิดยิ่งทวีความเป็นห่วงมากขึ้น ส่วนด้านนอกเห็นรถญี่ปุ่นที่เดชขับเลี้ยวเออกจากโรงแรมไป
บรรเจิดเปิดประตูเข้าไป โดยในห้องแก้วตาหันหลังร้องไห้อยู่ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็หันมา แก้วตาร้องไห้โฮโผเข้าหาบรรเจิด
บรรเจิดกอดแก้วตาเอาไว้
“แก้ว...อย่าร้องไห้เลยนะ ผมขอโทษ ขอโทษ”
“แสดงว่าคุณรู้ใช่มั้ยคะ ว่าที่บ้านแก้วไฟไหม้ เป็นฝีมือของใคร”
บรรเจิดนิ่ง
แก้วตาเอะใจ “คุณอรใช่มั้ยคะ”
บรรเจิดพูดไม่เต็มคำ “อาจจะ...”
แก้วตา น้ำตาร่วง “แก้วกลัวค่ะ...แก้วกลัวว่า สักวันเค้าต้องฆ่าแก้ว ถ้ารู้ว่าแก้วเป็นใคร และอยู่ใกล้ตัวเค้ามากขนาดไหน”
“ฉันจะปกป้องเธอจนถึงที่สุดเอง เค้าจะไม่มีวันทำอะไรเธอได้”
แก้วตาสะอึกสะอื้นซบอกบรรเจิด
“ชั้นจะให้เดชมาอยู่เป็นเพื่อนแก้ว ในวันที่ชั้นมาหาแก้วไม่ได้...แล้วชั้นจะหาบ้านใหม่ให้แก้วนะ” บรรเจิดหยิบเงินปึกหนึ่งมายื่นให้ “ส่วนนี่ แก้วเอาไว้ใช้จ่าย”
แก้วตาส่ายหน้า “แก้วไม่เอาหรอกค่ะ แค่แก้วได้อยู่กับคุณ แก้วก็พอใจแล้ว”
บรรเจิดจับมือแก้วตามารับเงินไว้ “รับไว้เถอะแก้ว”
แก้วตากราบอกบรรเจิดอย่างซาบซึ้ง บรรเจิดกอดแก้วตาไว้ ลูบหัวด้วยความสงสาร โดยไม่เห็นว่าแววตาของแก้วตาเปลี่ยนจากสาวน้อยใสซื่อน่าสงสาร เป็นแข็งกร้าววาววาบขึ้นมา
ตอนเช้า ปิ่นมณีอยู่ที่คอนโดปิ่นมณี ตัดสลับบ้านปานสลัม /เช้าวันใหม่
ปิ่นมณี ปาน พัน ปองพล
ปิ่นมณีอยู่ในชุดเดรสหรู เซ็กซี่มีระดับเดินเข้ามา ปิ่นมณีหมุนไปหมุนมาหน้ากระจกบานใหญ่เพื่อความแน่ใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปิ่นมณีละสายตาจากกระจกแล้วเดินออกไป
ปิ่นมณีเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียง เห็นเบอร์แล้วถอนใจเซ็ง แต่ต้องรับ
“ฮัลโหล....ว่าไงแม่”
ปาน แม่ปิ่นอยู่ที่บ้านในสลัม คุยมือถือราคาถูก ข้างหลังเห็นพัน พ่อเลี้ยงของปิ่นมณีเมาแอ๋อยู่กลางบ้าน ส่วนปองพลชันเข่าตักข้าวกินไม่สนใจอะไร
“นังปิ่น เมื่อไหร่จะเอาเงินเดือนมาให้แม่วะ”
“เงินเดือนอะไร ก็เพิ่งให้ไปไม่กี่วัน หมดแล้วหรือไง”
“ไม่หมดแล้วจะขออีกเหรอวะ”
เสียงพันอ้อแอ้ๆ ขัดขึ้น “อีปาน หมดขวดแล้วโว้ย บอกให้ไปซื้อ แล้วทำไมไม่ไป! อีนี่! เดี๋ยวเตะโชว์หมาเลย!”
ปิ่นมณีได้ยินทุกอย่าง ถอนใจด้วยความเบื่อหน่าย ยืนรอ ยังไม่วางสาย
ปานหันไปพูดกับพัน “มึงนั่นแหละหมา เมาเหมือนหมา เมาได้ทุกวัน!” แล้วหันมาคุยกับปิ่นมณีต่อ “อีปิ่น จะเอาเงินมาให้แม่เมื่อไหร่ มาตอนนี้เลยได้มั้ย หมดตัว ไม่มีเงินไปซื้อเหล้ามาให้พ่อแกอาบแล้ว”
“มันไม่ใช่พ่อฉัน! แม่เอามันมาทำผัว ก็รับผิดชอบหาให้มันสิ เงินที่ฉันให้ ให้แม่เอาไปใช้ ไม่ได้ให้เอาไปเลี้ยงมัน”
“อีปิ่น! มึงยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอห๊า! ที่กูต้องลำบากอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เพราะมึงรึไง หน็อย เงินก้อนสุดท้ายที่พ่อมึงทิ้งไว้ให้ มึงก็เสือกสาระแนเอาไปส่งตัวเองเรียน”
“ก็ถ้าชั้นไม่เรียน ป่านนี้ใครจะหาเงินให้แม่ใช้ได้อย่างทุกวันนี้”
“งั้นก็เอามาสิ อย่าดีแต่ปาก! มาคืนนี้ไม่ได้ก็มาพรุ่งนี้ มาแต่เช้าด้วย”
ปานวางสาย ปิ่นมณีกดวางสายด้วยความโกรธ หงุดหงิดจะเดินไปแต่งตัวต่อ แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ปิ่นมณีหงุดหงิด หยิบโทรศัพท์มาดูแล้วชะงัก เปลี่ยนท่าที
“ค่ะพี่นวล...ไม่ต้องห่วงค่ะ คืนนี้ปิ่นจะทำให้แขกพี่ลืมกลอรี่เจนไม่ลงเลยล่ะค่ะ”
ปิ่นมณีวางสาย เจ็บลึกๆ กับสิ่งที่จะทำ แต่ก็สลัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ปิ่นมณีเดินกลับไปเลือกชุดสำหรับนัดพิเศษต่อ
ศุวิลลงนั่งหน้าตึงไม่พอใจอยู่ในห้องทำงาน ทัดเทพ พิมพ์จันทร์ตามมาหว่านล้อม
“ร้านมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องไปเลี้ยงที่กลอรี่เจนด้วยวะพี่!”
“พี่ก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้คือแกต้องไป งานเลี้ยงรางวัลหนังโฆษณาที่แกกำกับได้รางวัล แกจะไม่ไปได้ไง นะ พี่ขอ...”
ศุวิลฮึดฮัดไม่พอใจ มองหน้าทั้งทัดเทพและพิมพ์จันทร์ที่เว้าวอนแล้วก็ถอนใจ จำใจพยักหน้า
“ขอบใจมาก เพราะถ้าแกไม่ไป...”
“พูดมากเดี๋ยวมันเปลี่ยนใจ” พิมพ์จันทร์ขัด แล้วหันมากำชับศุวิล “เจอกันทุ่มนึงนะจ๊ะน้อง”
พิมพ์จันทร์ลากทัดเทพออกไปเลย
ศุวิลเอนหลังไปกับเก้าอี้ด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
ขณะที่แก้วตาเดินเข้ามาฟ้าใสโผล่มาดักหน้าไว้ งามเสมอชนเมศร์ตามมา แก้วตามองทุกคนงงๆ
“แก้ว พวกเรารู้ความลับเธอหมดแล้วนะ”
แก้วตาสะดุ้งเฮือก พยายามกลบเกลื่อนยิ้มใสซื่อให้ทุกคน ในใจระทึก
“ก็เรื่องนี้ไง”
ฟ้าใสชูรูปสมัยเด็กของแก้ว
“แก้วมีปานที่ก้น!”
ฟ้าใสกับงามเสมอหัวเราะขบขันกัน
ชนเมศร์ตำหนิ “เสียมารยาทน่ะฟ้า! อีเจ๊” แล้วหันมาทางแก้วตา “เมื่อคืนแก้วลืมกระเป๋าตังค์ไว้ แล้วอีเจ๊กับฟ้าเนี่ยก็แอบดูรูปตอนเด็กของแก้วน่ะครับ” เขายื่นกระเป๋าค์คืนแก้วตา
งามเสมอแขวะ “แหม...หล่อมากกก เมื่อวานก็ดูอยู่ด้วยกัน”
ชนเมศร์ตีงามเสมอ ทั้งสามคนเถียงกันวุ่นวาย
แก้วตาโล่งใจที่ไม่มีใครสงสัยเรื่องตนกับบรรเจิด
“เออ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าแก้ว? เห็นชนมันบอกว่า แก้วรีบมาก ขนาดเค้าวิ่งตามไปยังไม่ทันแก้วเลย”
แก้วตาอึกอักนิดหน่อย “ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนมาจากต่างจังหวัด มาขอนอนที่ห้อง แก้วเลยรีบไปหาเค้าน่ะ” แก้วตารีบกลบเกลื่อน “แก้วมาสาย ขอไปเคลียร์เอกสารก่อนนะจ๊ะ”
แก้วตาเลี่ยงเดินไป ลับหลังทุกคนแก้วตาโล่งใจ ที่ความลับยังไม่ถูกเปิดเผย
เย็นนั้นศุวิลอยู่ที่ออฟฟิศ คุยโทรศัพท์อยู่กับสำลี
“ฝากบอกแม่ด้วยนะครับน้าสำลี ว่าคืนนี้ผมต้องไปงานเลี้ยง คงไม่ได้กลับไปกินข้าวเย็น”
สำลีถือโทรศัพท์อยู่ในบ้าน เลิ่กลั่กมีพิรุธเต็มๆ
“จ...จ้ะ”
ศุวิลฉงน “น้าสำลีเป็นอะไร?” แล้วนึกเอะใจ “ตามแม่มารับสายผมหน่อย...”
สำลีอึกอักพูดไม่ออก
“คือ..พี่ภาไม่อยู่บ้านหรอก”
ศุวิลอึ้ง แล้วเปลี่ยนเป็นโกรธ รู้ทันทีว่าอาภาไปไหน
ศุวิลมีสีหน้าเคร่งเครียด เดินไปตามทาง เลี้ยวไปชนกับฟ้าใสที่มาจากอีกทางกระเด็นไป
“คุณ” ศุวิลชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นฟ้าใส
“คุณมาที่นี่ทำไม?” ฟ้าใสคิดๆ แล้วดีใจ “หรือว่ากลับไปคิดได้แล้ว ว่าเมื่อวานคุณพูดไม่ดีกับคุณตา”
ศุวิลไม่ตอบเดินหนีไปเลย ฟ้าใสวิ่งตาม
ศิวาค่อยๆ ลืมตามา พอเห็นอาภานั่งเฝ้าอยู่ ศิวาก็ดีใจมาก
“อาภา....เจ้าลมล่ะ”
อาภาไม่อยากให้ศิวารับรู้ว่าศุวิลเกลียดศิวามาก
“ลมมีประชุมค่ะ ไม่ได้มา...”
“เจ้าลมหายโกรธฉันแล้วใช่มั้ย”
“คุณศิวาคะ...”
ศิวาเห็นสายตาของอาภา รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ถาม..สีหน้าหมองลง
“ให้เวลาลูกอีกสักนิดนะคะ ลูกของเราเป็นคนจิตใจดี อีกไม่นานเค้าจะคิดได้”
ศุวิลเปิดประตูผลัวะเข้ามาทันได้ยิน ฟ้าใสตามเข้ามาติดๆ
“อีกนานแค่ไหน ผมก็ยังเกลียดเค้า!”
ศิวาเห็นสายตาชิงชังของศุวิลแล้วอึ้งๆ อาภาทำอะไรไม่ถูก
ฟ้าใสมองศุวิลอย่างไม่พอใจ สงสารศิวา รีบเข้าไปหา
“ผมมารับแม่กลับบ้าน”
อาภาปราม “ลม”
ศุวิลมองศิวาไม่มีความสงสารใดๆ อาภามองศิวาด้วยความสงสาร
ครู่ต่อมาอาภายืนอยู่หน้าห้อง ศุวิลไม่พอใจฮึดฮัด
“ทำไมแม่ถึงมาที่นี่อีก ถ้าเกิดยัยอรทัยมันมาเจอแม่ แม่จะทำยังไง”
“แม่ไม่รู้หรอกลม แต่แม่ต้องมาดูพ่อ...”
ศุวิลไม่พอใจมากยิ่งขึ้น เปิดประตูโผล่เข้าไปมอง ฟ้าใสกุมมือศิวาอยู่
“นี่ไงครับ เค้ายังไม่ตาย ทีนี้ก็กลับได้แล้วใช่ไหมครับแม่”
ฟ้าใสทนไม่ไหว “ทำไมคุณถึงใจร้ายขนาดนี้! จะโกรธอะไรก็น่าจะเห็นแก่ท่านบ้าง ท่านกำลังป่วยอยู่”
ศุวิลด่า “ไม่ต้องยุ่ง!”
อาภาทนไม่ไหว เสียงดังใส่ “พอได้แล้วลม! กลับไปได้แล้ว แม่จะเฝ้าคุณพ่อ...”
ศุวิลรู้ว่าอาภาโกรธเลยสงบลง หันมองศิวาอย่างไม่พอใจ แล้วเดินหงุดหงิดออกไป
ศิวาน้ำตาไหลหมดแรงจะพูดทุกสิ่ง อาภาลงนั่งหนักใจ ฟ้าใสมองศิวาน้ำตาซึมด้วยความสงสาร
ศุวิลเดินหงุดหงิดมาที่รถมอเตอร์ไซค์ขึ้นนั่งอาน ฟ้าใสโผล่มาตรงหน้า ศุวิลชะงักมองฟ้าใส ไม่สนใจสวมหมวก ฟ้าใสรีบคว้าหมับ ถอดออก ติดหัวศุวิล
“โอ๊ยย!!! ทำอะไร เจ็บ!!”
ฟ้าใสไม่สน ดึงหมวกกันน็อกจนหลุดออกมาจากหัวศุวิล
“คุณต้องคุยกับฉันก่อน ไม่งั้น ฉันไม่ให้ไป!”
“น่ารำคาญได้โล่เลยนะ”
“ฉันยอมเป็นคนน่ารำคาญ เพื่อทำให้คุณสำนึกผิดที่พูดอย่างนั้นกับคุณตา” ฟ้าใสพ่นต่อ “คุณเป็นลูกท่าน คุณไม่สมควรจะก้าวร้าวกับท่านแบบนี้”
ศุวิลเหมือนของจะขึ้น แต่มองท่าทางฟ้าใสที่ท่าทางจะไม่รู้อะไรด้วยจริงๆ แล้วคิดว่าป่วยการจะพูด
“นี่ ถ้าไม่รู้ว่าเรื่อง ก็อย่าพูดมากได้ป่ะ!! เอาคืนมา!”
“ไม่ให้! ยังคุยกันไม่จบ!”
ศุวิลลงจากมอเตอร์ไซค์ คว้าจะเอาหมวกกันน็อกคืน ฟ้าใสเบี่ยงหลบ วืดไปวืดมา
ศุวิลจะเอาให้ได้ ดึง “เอามา”
ฟ้าใสกอดหมวกกันน็อก ศุวิลกอดฟ้าใสพยายามแย่งหมวกกันน็อก
ศุวิลกระซิบข้างหูฟ้าใส “ถ้าไม่ให้...กัดหู!”
“เป็นหมาหรือไง!”
ฟ้าใสเบี่ยงหน้ามาด่าศุวิล หน้าใกล้ชิดกับใบหน้าของศุวิลมาก จนแทบหายใจรดกัน ทั้งคู่อึ้งไปกันชั่วขณะ ใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำทั้งสองคน
ศุวิลทอดเสียงอ่อนเพราะหวั่นไหว “จะให้หรือไม่ให้...”
ฟ้าใสเสียงอ่อนเพราะหวั่นไหวใจเต้นแรง “ถ้าไม่ให้....จะกัดหูจริงๆเหรอ งั้น...”
ฟ้าใสกระทืบเท้าศุวิลเต็มๆ ศุวิลเจ็บเท้า ปล่อยฟ้าใสเป็นอิสระ
“จะคุยต่อได้หรือยัง”
ศุวิลเซ็งเป็ดเดินไปเปิดเบาะ หยิบหมวกกันน็อกมาอีกใบ สวมเลย ไม่ง้อ ขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง ฟ้าใสเจ็บใจ วิ่งไปขึ้นซ้อนท้ายศุวิลทันทีเกาะเอวหมับ
ศุวิลร้อง “เฮ้ย!”
“ไม่ต้องไล่ ไม่ลง!”
ฟ้าใสสวมหมวกกันน็อก แล้วกอดศุวิลเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ศุวิลถอนใจเซ็งๆ แล้วคิดได้
“ดี ผมกำลังจะไปโรงแรมญาติคุณพอดี คืนนี้มีโชว์เด็ดแน่คอยดู”
ฟ้าใสยังพูดอะไรไม่ทัน ศุวิลสวมหมวก แล้วกระชากรถออกไปอย่างเร็วและแรง จนฟ้าใสตกใจเกือบหงายหลัง รีบเกาะเอวศุวิลแน่น แถมซบหลังอีกต่างหาก รถแล่นออกไปจากที่จอดรถ
รถหรูของปิ่นมณีขับเลี้ยวเข้ามา ผ่านป้ายชื่อกลอรี่เจน ลงมาที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน ปิ่นมณีจอดรถเสร็จ เช็คความพร้อมบนใบหน้าก่อนลงรถด้วยความเฉิดฉายมีเสน่ห์
อีกด้านหนึ่งเห็นศุวิลขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา ฟ้าใสยังกอดศุวิลเหนียวแน่น ศุวิลขี่รถมุ่งหน้ามาทางที่จะเห็นปิ่นมณี
ปิ่นมณีทำกุญแจรถร่วงจึงก้มเก็บ ทำให้ศุวิลขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปโดยทั้งสองฝ่ายต่างไม่เห็นกัน
อ่านต่อตอนที่ 2