xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 6

วันใหม่ หน้าค่ายทัพหลวงมังตรา บริเวณชายแดนเมืองแปร กองทัพทหารตองอูกำลังช่วยกันตั้งค่าย ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จ.... ตองหวุ่นญี จีสะเบงควบม้านำพระเจ้ามังตราออกมาจากในค่าย เนงบาและสีอ่องตามอารักขาอยู่ข้างหลัง

มังตรามองไปยังที่ตั้งของเมืองแปรแล้วบอก
"เราเคลื่อนทัพมาถึงเขตแปรแล้ว แค่หายใจแรงหน่อย ลมหายใจก็รดโดนหน้าคนแปรแล้ว เราจะตั้งค่ายพักที่นี่เพื่อให้ทหารได้พักผ่อนสัก 2-3 ราตรี แล้วค่อยยกข้ามแดนไป อีกไม่นานดอก จะเด็ด ข้าจะบุกเข้าไปขยี้เมืองแปร เอาเลือดคนทรยศมาล้างอายให้ชาวตองอู"
เนงบา สีอ่อง ไม่สบายใจ ตองหวุ่นญีนิ่ง จิสะเบงยิ้มพอใจ
"เราจะแต่งคนเป็นทูตนำสาส์นไปยังพระเจ้านรบดี ขอเจริญศุภสาส์นศรีสวัสดิ์ เพราะจู่ๆจะยกทัพตะลุมบอนประชิดเมืองทันที ก็เปรียบเสมือนทัพโจรไม่ใช่ทัพกษัตริย์ ตองหวุ่นญี จงแจ้งไปว่า ข้า...มีจิตศรัทราจะสถาปนาพระบรมเจดีย์ไว้เป็นพระราชกุศลถวายแด่พระเจ้าตองอูผู้บิดา จึงใคร่จะขอเนื้อดินเมืองแปรที่ว่างอยู่สักประมาณหนึ่งเส้น แม้พระเจ้าแปรเอ็นดูพระราชไมตรีระหว่างสองพระนคร จะได้เจริญไปตราบเท่ากัลปาวสาน"
มังตรายิ้มเหี้ยมๆ ฝังความแค้น

ผู้คุมเดินนำกุสุมาและนางข้าหลวงเดินลงบันไดมาหามังฉงายที่โดนจองจำอยู่ มังฉงายรีบขยับเข้ามาหาด้วยความคิดถึง จาเลงกะโบอยู่อีกห้องขยับมาฟัง
"กองทัพตองอูยกทัพมาประชิดชายแดนแปรแล้ว เกิดศึกใหญ่แน่"
มังฉงายตกใจ คิดอะไรไม่ออก
"ใครเป็นแม่ทัพ" จางเลงกะโบถาม
"เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวตะเบงชเวตี้คุมทัพมาเอง เพลานี้คณะทูตกำลังเจรจาต่อรองกันอยู่ที่พระราชวังหลวง"
มังฉงายนึกได้
"นาคะตะเชโบ"
"มีอะไรหรือ"
"ขอตะละแม่จงเป็นธุระให้ข้าพเจ้าได้พบคนผู้หนึ่งด้วย"
กุสุมามองมังฉงายอย่างไม่เข้าใจ

ภายในท้องพระโรงเมืองแปร ตองหวุ่นญี เนงบา สีอ่อง ในฐานะที่เป็นคณะฑูตพร้อมเครื่องบรรณาการ แพรเนื้อดีหลายสิบพับ กำลังเข้าเฝ้าพระเจ้าแปร รานอง ทั้งหมดนิ่งเงียบฟัง แล้วพระเจ้าแปรก็โกรธจัด "กษัตริย์ของเจ้า เจรจาไม่อยู่ในร่องรอยเดียวกับกิริยา พื้นที่ในเมืองตองอูนั้น เรือนโรงเบียดเสียดยัดเยียดกันนักหรือ จึงหาที่ว่างวางฐานสถูปไม่ได้"
ตองหวุ่นญีบอก
"พระเจ้าตะเบงชเวตี้ ใคร่จะแบ่งส่วนกุศลถวายพระเจ้าอยู่หัวเมืองแปร จึงเพียรข้ามน้ำข้ามภูเขานำกุศลมาถวายถึงที่"
"พอ…เราไม่ฟังคำใดแล้ว อุตส่าห์กรีธาทัพลงมาถึงแปรเพื่อมาคารวะเรา ก็เห็นว่ามีน้ำใจเป็นมงคลเสมอบิดา น่าสรรเสริญนัก แต่บรรณาการที่อุตส่าห์ส่งมา เราขอให้เอาคืนกลับไป เพราะเมืองแปรมีไพร่พลมากมายเกรงจะกินใช้ไม่ทั่วถึง จงเก็บไว้จ่ายแจกแม่ทัพนายกองที่รุกรานเมืองอื่นให้เข้มแข็งเถิด และที่อยากจะมาสร้างสถูปเป็นกุศลร่วมกันนั้น อย่าให้เรารับน้ำใจไว้เลย เพราะฝีมือช่างของสองเราไม่เหมือนกัน เจดีย์ตองอูมาตั้งอยู่ในแปร ชาวแปรดูแล้วคงจะรำคาญนัยน์ตา เราขอฝากโอวาทไปให้มังตราในฐานะที่เป็นเด็กกว่าข้อหนึ่งว่า อันคนที่ใจไม่ราบรื่นจะทำการใดก็แพ้ภัยตัวเอง"
เนงบากับสีอ่องมองหน้ากันว่า เกิดศึกแน่ คณะทูตถวายบังคมลา

ผู้คุมเดินนำนาคะตะเชโบเข้ามา ทหารแปรเดินตาม นางเดินมาอย่างตื่นๆ เห็นจาเลงกะโบจ้องมองอยู่ นางหยุดชงัก ดีใจที่เห็นพี่ชาย แต่ไม่กล้าทัก
นาคะตะเชโบผวาทรุดลงคุกเข่าลงตรงหน้า มังฉงายเอื้อมมือออกมากอดไว้ด้วยความคิดถึง จนนางแปลกใจ
"ดีใจเหลือเกินที่ท่านยังอยู่" มังฉงายพูดเสียงปกติ ก่อนจะกระซิบบอก
"รีบไปพบคณะทูตตองอูด่วน"
มังฉงายแอบยัดเศษผ้าใส่มือ นาคะตะเชโบรีบกำซ่อนไว้
มังฉงายแกล้งพูด
"ข้าพเจ้าอยากพบหน้าท่าน แต่เมื่อเจอแล้ว ข้าพเจ้าเศร้านัก ท่านรีบไปเถิด เราขอเห็นหน้าท่านเพียงเท่านี้"

มังฉงายรีบผลักไส
"ไปเถอะ ถ้าไม่อยากเห็นน้ำตาข้า ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้า"
นาคะตะเชโบรีบลุกออกไป จาเลงกาโบงง ไม่เข้าใจ
"อะไรกัน มีอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ"
มังฉงายไม่ตอบ มองตามนาคะตะเชโบไปอย่างลุ้นว่าจะสำเร็จไม๊

เสนาเมืองแปรและทหารควบม้านำส่ง คณะทูตออกจากเมือง นาคะตะเชโบแอบอยู่ในฝูงชนวิ่งฝ่า
ออกมาขวางหน้า เนงบาตกใจชักม้าหลบทำให้นางล้มลง เนงบารีบลงจากหลังม้าไปประคอง
"บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า"
"ข้ามีข่าวจากท่านมังฉงาย"
นาคะตะเชโบยัดเศษผ้าให้เนงบา เนงบาจ้องมองนางเหมือนคุ้นตา เสนาแปรรีบชักม้ากลับมาตวาด
"เฮ้ย…ทำไมเซ่อซ่าออกมาขวางทางขบวนม้า อยากโดนโบยรึมึง"
"ช่างเขาเถอะข้าไม่ถือโทษ ไปเถอะ"
เนงบากระโดดขึ้นม้าหันมามองนาคะตะเชโบ ทั้งสองสบตากันอย่างมีความหมาย แล้วควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว นางมองตามอย่างโล่งใจ

ภายในท้องพระโรงเมืองพระเจ้าแปรนรบดี ยืนประกาศอยู่บนบัลลังก์ด้วยความโกรธ รานองและ
ข้าราชบริพารหมอบเฝ้าเต็มท้องพระโรง
"ด้วยเทพยดาที่คุ้มครองกรุงแปร ข้าพเจ้าขอประกาศสงครามกับตองอูเพื่อปกป้องพระศาสนา และอาณาประชาราษฎร์ ขอให้ทหารทุกเหล่าทุกกอง จัดกำลังขึ้นเชิงเทินป้องกันเมืองให้เข้มแข็ง ข้าพเจ้าจะสู้ และขอยอมตายเพื่อราชอาณาจักรเมืองแปร ทหารทั้งหมด พวกเหล่าข้าพเจ้าก็จะขอสู้ตายเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ ขอถวายชีวิตเป็นราชพลี"

ข้าราชบริพารและทหารถวายบังคม

ในกระโจม ค่ายมังตรา ณ ชายแดนเมืองแปร เวลากลางคืน เนงบายืนอ่านเศษผ้า เขียนด้วยเลือดที่นาคะตะเชโบให้มาต่อหน้ามังตรา

"ฤดูนี้ลมทะเลพัดเข้าหาฝั่ง ขอให้พระเจ้าอยู่หัวท่านสังเกตทางลมสมควรชุมนุมพลอยู่ที่ริมฝั่งอิระวดี อย่าแยกทัพมาล้อมเมือง เพราะบริเวณนั้นเป็นป่าแล้งอยู่ใต้ลม ถ้าแปรจุดไฟเผาจะพินาศหมด"
มังตรสีหน้าเครียด โกรธจัดบอก
"ไอ้คนทรยศออกอุบายลวงเรา กูรู้ทันมึงดอก แนะนำให้เรารวมกัน เพื่อให้ทัพแปรโจมตีขยี้เราในคราวเดียวนะซิ เราต้องแยกกันต่างหาก แปรมันจะได้พะว้าพะวังโจมตียาก"
ตองหวุ่นญีบอก
"เนื่องจากข้าพเจ้า เห็นว่า...."
พระเจ้าตะเบงชเวตี้ประกาศเสียงดัง
"ตองหวุ่นญี ท่านแจ้งแล้วใช่มั้ยว่าพระเจ้านรบดีแห่งแปร มันประกาศศึกแล้วจะมัวอยู่นิ่งทำไม ไปจัดเตรียมกองทหารด่วน พรุ่งนี้เราจะเคลื่อนทัพเข้าล้อมแปร ห้ามมีการตั้งค่ายรวมกองทัพ ใครขัดคำสั่งให้ตัดหัวมันเสียบประจาน"
ทุกคนนิ่งเงียบถวายบังคม รับพระบรมราชโองการ
"รับด้วยเกล้า"

ในเวลากลางคืน ณ ตำหนักเมืองแปร สอพินยาดื่มน้ำจัณฑ์นั่งปรึกษากับไขลู
"กองสอดแนมเสือหมอบแมวเซาแจ้งมาว่ากองทัพพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ได้เคลื่อนพลรุกข้ามเขตแปรเข้ามาแล้ว" ไขลูบอก
"แล้วเราจะเอาอย่างไร หรือจะแจ้งให้เจ้าพี่สักการะวุฒพียกทัพหงสาวดีขึ้นมาช่วย"
"ไม่น่าจะต้องให้สิ้นเปลืองกำลังและทรัพย์หงสาวดีหรอก ข้าพเจ้ามีอุบายเสนอ"
"อะไร"
"แม่ทัพตองอูที่คุมทัพด้านเหนือคือท่านจิสะเบง เราคุ้นเคยกับแม่ทัพผู้นี้ดีมิใช่หรือพระอุปราช"
สอพินยายังงงๆ แล้วนึกได้จึงยิ้มออก

วันรุ่งขึ้น ไขลูปลอมตัวขับเกวียนมาตามทางเปลี่ยว มีไพร่ชาย-หญิงแบกของตามมายังทางเกวียนริมฝั่งน้ำสักครู่ทหารตองอูเข้าโจมตี ไพร่สาวๆวิ่งแตกกระเจิง พวกไขลูพยายามต่อสู้ป้องกันตัว แต่แกล้งพลาดถูกจับได้
"อย่า อย่าทำอะไรเราเลย เรามาดี"
"เจ้ามิรู้หรือว่านี่เป็นเขตทหารตองอู"
"ข้า…ข้ารู้จักท่านจิสะเบงแม่ทัพตองอู อยากจะนำของมาเยี่ยม นำข้าไปพบท่านจิสะเบงทีเถิด"
พวกทหารตองอูยังแน่ใจ คงเอาดาบจี้ไขลูไว้

ลานซ้อมอาวุธ ในกองทัพตองอูฝั่งเหนือกรุงแปร ทหารตองอูคุมเกวียนไขลูมาพบจิสะเบงที่ยืนซ้อมธนูหน้าค่าย จิสะเบง ถือคันธนูค้างหันมามอง ประหลาดใจที่เห็นไขลูถูกควบคุมตัวมาพร้อมไพร่สาว
"ท่านไขลู ข้านึกว่าท่านอยู่หงสาเสียอีก"
ภายในเต้นท์ของจิสะเบง ทั้งคู่สนทนากัน ไขลูรินเหล้าให้จิสะเบง
"ข้าพเจ้าเป็นห่วง เกรงว่าท่านจะเหงาจึงนำสุราและแม่หญิงมาคอยปรนิบัติ แต่น่าเสียดายที่ศึกครั้งนี้เป็นเพียงแค่พระเจ้าตะเบงชเวตี้ต้องการยกมาชิงตัวจะเด็ดเพียงคนเดียว พระเจ้าอยู่หัวท่านรักและเทิดทูนจะเด็ดมันมากทีเดียว" ไขลูพูดพลางหัวเราะ
"พระองค์ท่านหวังยึดแปรด้วย"
"ท่านจิสะเบง ท่านนั้นบริสุทธิ์ใจเกินไปนัก เคยถามตัวเองมั้ยว่า ตัวจะได้อะไร เพราะเมื่อเจ้าจะเด็ดได้เป็นอิสระ ใครล่ะจะได้นั่งตำแหน่งเจ้าเมืองแปร จะเด็ดต่างหากที่จะได้นั่งบัลลังก์แปร เพราะได้อภิเษกกับพระราชธิดาแปร ท่านต่างหากที่จะไม่ได้อะไรเลย ชีวิตท่านอุตส่าห์เหนื่อยยากมาตีแปร อย่างมาก....ก็ได้เป็นแค่แม่ทัพใหญ่แห่งตองอู"
"แล้วเราจะต้องทำอย่างไร"
"เวลานี้จะเด็ดมันถูกคุมขังอยู่ในคุกแปร ถ้าท่านไม่ช่วยหนุนกอง ทัพพระเจ้าตะเบงชเวตี้ตีแปรจนได้ชัยชนะละก็... ไฉนเลยเจ้าจะเด็ดมันจะออกจากคุกแปรได้ อ้อ ข้าพเจ้ายังลืมอีกสิ่งหนึ่ง..."
ไขลูหยิบห่อผ้าที่โผกหัวออกมายื่นให้จิสะเบง พระอุปราชสอพินยาฝากของสิ่งนี้มาให้ท่านด้วยความระลึกถึง
จิสะเบงแก้ห่อผ้าออกเห็นเครื่องประดับอกเป็นเครื่องทองมีเพชรประดับสวยงาม
"พระอนุชาตรัสฝากมาด้วยความเป็นห่วงว่า ศึกนี้ท่านจิสะเบงคงไม่ขาดสติช่วยแก้เจ้าจะเด็ด ให้ออกมา เดินย่ำบนตัวท่านเองหรอกนะ"
จิสะเบงรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างมาก

เช้าวันใหม่ บริเวณทุ่งกว้างชาย เนงบา สีอ่องขี่ม้าควบนำกองทัพตองอูมาอย่างรวดเร็ว เพื่อมุงเข้าสู่กำแพงแปรจนฝุ่นตลบ พระเจ้าตะเบงชเวตี้ ตองหวุ่นญีควบม้าเป็นกองหลัง มีแม่ทัพนายกองม้าและพลเดินเท้าห้อมล้อม
แต่ละคน ควบม้ามาอย่างองอาจรวดเร็ว ทัพนี้ ไม่มีจิสะเบง
เสียงกองทัพ ฝีเท้าม้าและ เสียงทหารฮึกเหิมดังสนั่นทุ่ง
บนกำแพงเมืองแปร พระเจ้านรบดีประทับบนกำแพงทอดพระเนตรทัพตองอูที่กำลังบุกมา พร้อมอุปราชรานอง ปะขันหวุ่นญี สอพินยากับไขลูในชุดแม่ทัพหงสาวดีขี่ม้านำกองทหารม้าหยุดที่ลานเชิงเทิน
สอพินยาฮึกเหิมมากขึ้น ควบม้าวิ่งขึ้นบันใดเชิงเทินมาที่พระเจ้านรบดี กษัตริย์แปร
"ข้าพเจ้าขอรับอาสาถือพลออกไปปกป้องกรุงแปรประเดิมศึกครั้งนี้"
พระเจ้าแปรรู้สึกปลาบปลื้มสอพินยา
"ขอให้เผด็จศึกตองอูผู้รุกรานได้สำเร็จ"
สอพินยาประนมมือรับพร แล้วชักม้าลงไป

ทุ่งกว้างชายป่า หน้าเมืองแปร ตะเบงชเวตี้ขี่ม้ามากับตองหวุ่นญีแล้วหยุด ตองหวุ่นญีเป็นห่วงมังตรามาก
"เพลานี้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ มิควรที่จะหุนหันดึงดันเหมือนเมื่อก่อน"
มังตรายิ้มแค้นๆ
"ไม่ต้องห่วง ต่อแต่นี้ไปทุกแคว้นจะได้ลือชาฝีมือเรา"

ประตูเมืองแปรเปิด สอพินยาควบม้านำทัพออกมา ไขลูประชิดติดตัว มังตราควบม้ามาหยุดยืนม้ามองกองทัพสอพินยาที่ตรงมาข้างหน้า ตองหวุ่นญี สั่งให้กองทัพหยุด เนงบา สีอ่อง และทหารอื่นๆต่างนิ่งเงียบจ้องมองไปข้างหน้าใจจดจ่อ
มังตราดวงตาแข็งกร้าว ประกาศเสียงดังๆ
"ไอ้พวกแมงเม่าบินว่อนกันมาโน่นแล้ว ทหาร จะต้องช้าทำไม…ฆ่ามัน"
เนงบา สีอ่อง ชักทวนออกจากอาน ควบม้านำกองทัพตองอูเคลื่อนบุกออกไปอย่างรวดเร็วทันที

ทั้งสองฝ่ายต่างนำทัพดาหน้าเข้าหากัน .จนประจันหน้ากันกลางทุ่ง สอพินยาบังคับม้าอยู่กลางศึกหันไปหามังตราที่ยืนม้าดูอยู่ห่างๆ มังตราชักม้าขยับจะเข้าไปต่อสู้ด้วย ตองหวุ่นญีขวางไว้
"ฟังข้าพเจ้าก่อน สอพินยาไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดิน ถ่อมพระองค์ไปต่อกรก็เหมือนยกย่อง ไม่สมควร"

สอพินยาขยับม้าไล่ฆ่าทหารตองอูอย่างบ้าคลั่ง สีอ่องชักทวนควบม้าแหวกหมู่ทหารออกมาปะทะกับสอพินยา ไขลูจะเข้าช่วย เนงบาชักทวน ควบม้าเข้าขวางไขลูไว้ ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันตายเป็นเบือ จนทหารแปรเริ่มรวน ถอนร่นไม่เป็นขบวน ไขลูสู้ทวนเนงบาไม่ได้ ค่อยๆล่าถอยไปเรื่อยๆ ส่วนสีอ่องก็บุกตลุยจนสอพินยาแก้เพลงทวนแทบไม่ทัน
 
อ่านต่อหน้า 2

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 6 (ต่อ)

พระเจ้าแปรนรบดียืนมองการต่อสู้อย่างตกใจ รานองรู้ถึงสถานการณ์ดี

"ไขลูกับสอพินยาไม่ชำนาญเพลงทวนเท่าเพลงดาบ ทหารเราเริ่มถอยแล้ว ขอปะขันหวุ่นญีเร่งยกกองหนุนออกไปช่วยเถิด"
พระเจ้าแปรพยักหน้าอย่างหนักใจ

ประตูเปิดอย่างแรง ปะขันหวุ่นญีถือดาบวิ่งม้าออกมา ตามด้วยเหล่านายทหารพลเท้าเร่งยกออกมารวดเร็ว ทัพแปรที่กำลังจะถอยเห็นปะขันหวุ่นญียกทัพออกมาช่วยก็ตะโกนบอกต่อๆกัน
"ท่านปะขันมาช่วยแล้วๆๆ"
ปะขันหวุ่นญีควบม้าผ่านทหารแปรที่ล่าถอย เข้าฟาดฟันพวกตองอูล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ทหารแปรที่ล่าถอยกลับเข้าสู้ในสมรภูมิใหม่
ทหารแปร 1ฟาดฟันไม่ยั้ง
"แม่ทัพกูมาช่วยแล้ว"
ทหารแปร 2 ฟาดฟันไม่ยั้งเหมือนกัน
"พวกกูมาช่วยแล้วโว้ย"
ทหารแปร 3 ฟาดโครม
"ถึงที่ตายมึงล่ะ"
สถานการณ์พลิกผัน ทหารตองอูเริ่มเป็นฝ่ายล่าถอย มังตราไม่ยอมแพ้ ชักดาบออกจากฝักด้วยความฮึกเหิม
"ทหารตองอูคนไหน เห็นเราไม่สมควรเป็นพระเจ้าอยู่หัว ก็อย่าได้ตาม"
มังตราควบม้าพุ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว จนตองหวุ่นญีห้ามไม่ทัน ทหารทั้งหลายต่างตามมังตราออกไปทันที
มังตราควบม้านำลุยแหวกตรงไปที่หมู่ทหารที่กำลังรบกันอยู่อย่างห้าวหาญ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด

อุปราชรานองรู้สึกตกใจ
"มังตราห้าวหาญ สมเป็นแม่ทัพรุ่นหนุ่มฉกรรจ์จริง"
พระเจ้าแปรไม่พูดอะไรได้แต่จ้องมองมังตรานิ่ง

ภายในคุกแปรมังฉงายยืนมองออกไปที่ช่องแสง ฟังเสียงโห่ร้อง เสียงสู้รบที่ดังแว่วมา ใจร้อนราวเพลิงเผา ท่าทีซึ่งนิ่งเฉยนั้นมีน้ำตาคลอเต็มนัยน์ตาด้วยความวุ่นวายใจ
เสียงโห่ร้อง เสียงสู้รบ ยังคงดังแว่วมาไม่ขาดสาย

บนสมรภูมิรบอันดุเดือด ตองหวุ่นญีรุกแทงหมู่ทหารแปรอย่างหนักเพื่อแหวกไปหามังตราที่อยู่กลางวงล้อม
สู้ไปชะเง้อดูมังตราไปด้วย มังตราอยู่บนหลังม้า ทวนยาวทิ่มแทงเป็นจักรผันจนปะขันหวุ่นญีต้องคอยระวัง
เสียงโห่ร้อง เสียงสู้รบดังอลม่าน
ตองหวุ่นญีมองมังตราอย่างเป็นห่วง
"ป้องกันพระจ้าอยู่หัวไว้…ไม่งั้นกูจะตัดหัวมึง"
ทหารตองอูอยู่รอบๆ พยายามฟันอารักขาไว้เต็มที่ แต่ทหารแปรก็ถาโถมมาไม่หยุด
มังตราต่อสู้ด้วยอารมณ์โกรธแค้น ทำให้ไม่รู้จักระวังพระองค์ ดูเสียเปรียบและตกอยู่ในอันตรายมาก

ค่ายกองทัพตองอู ฝั่งเหนือ บริเวณประตูค่ายกระโจมตองอู มีทหารเฝ้าอยู่ไม่เข้มแข็งนัก บางคนยังนั่งเมาอยู่ นายทหารผู้หนึ่งควบม้ามาที่ค่ายของจิสะเบงอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งเข้าไปในกระโจมบัญชาการของจิสะเบง

นายทหารพรวดเข้ามาในเต้นท์กระโจม จิสะเบงนอนกกไพร่สาวทั้งสองอยู่บนที่นอนอย่างมีความสุข รอบๆมีไหเหล้าเกลื่อน
นายทหารตองอูเข้ามากราบ
"ท่านแม่ทัพ…กองทัพพระเจ้าอยู่หัวท่าจะแย่แล้ว"
"แล้วไง….ก็ทรงมีบัญชาว่าห้ามยกทัพไปหนุนไม่ใช่หรือ เอาน่า…แค่ประลองกำลังข้าศึกเท่านั้น ยังไม่ใช่ศึกใหญ่สักหน่อย"
จิสะเบงนอนต่อไม่สนใจ

สีอ่องสู้จนสอพินยาเซไปเซมา ปะขันหวุ่นญีชักม้าเข้าหาสอพินยา มังตรากันไว้ไม่อยู่ ปะขันหวุ่นญีเข้ากันสอพินยาสู้กับสีอ่องแทน
ปะขันหวุ่นญีตะโกนบอก
"พระนัดดาคุมพวกเราถอยเข้าเมืองก่อน"
สอพินยาชักม้าถอยพลางสู้พลาง
"ทหาร…ถอยเข้าเมืองก่อน แปรถอย"
ทหารแปรให้สัญญาณถอย คนอื่นๆตะโกนด้วย กองทหารแปรถอยอย่างมีระเบียบ แถวที่แปรขบวนสู้อยู่ข้างหน้าเป็นกันชน ทหารข้างหลังถอยอย่างรวดเร็ว
สอพินยานำทหารตามเข้าเมือง ไขลู ปะขันหวุ่นญีตามมาติดๆ
มังตราควบม้าตามอย่างฮึกเหิม ตะโกนเสียงดัง
"บุกเข้าเมืองให้ได้"
ทหารตองอูตามตีทหารแปรอย่างเป็นขบวน
บริเวณประตูเมือง ทหารแปรเบียดเสียดยัดเยียดเข้าประตูเมืองหมด พลธนูวิ่งขึ้นบนเชิงเทินจำนวนมากมาย รานองสั่งการ

"ยิงป้องกันไว้ อย่าให้มันประชิดกำแพง"

ทหารธนูระดมยิงอย่างกับห่าฝน ทหารตองอูที่ตามมาหยุดชะงัก ชักม้ากลับแทบไม่ทัน บางคนหนีไม่ทันถูกลูกธนูเสียบตาย ทหารม้าล้มตายไปหลายตัว มังตราโกรธไม่ยอมชักม้ากลับ ตองหวุ่นญีควบม้าเข้ามาอารักขา
 
"ถอยก่อนพระองค์ท่าน ธนูจะต้องพระวรกาย"
มังตรากำลังคึก
"ไอ้พวกตาขาว ทำไมรีบหดหัวเร็วนัก ข้าหวังจะออกศึกครั้งแรกให้เริงใจต้องมาแค้นใจกับไอ้พวกขี้ขลาด วิ่งหนี หัวหดไร้ยางอาย"
มังตรารั้งม้ามองเข้าไปในเมืองแปรอย่างโกรธแค้นที่ไม่เห็นจะเด็ด

ในคุก เมืองแปร มังฉงายกระวนกระวาย อีกห้องหนึ่ง จาเลงกะโบกระวนกระวายเหมือนกัน ทหารแปรกำลังตักอาหารแจกนักโทษ จนมาถึงมังฉงายก็หยุดชะงักมองหน้า
"ท่านผู้คุม ศึกข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง"
ผู้คุมมองสีหน้าขัดเคือง มังฉงายกระวนกระวายอยากฟังคำตอบ ถามเสียงนอบน้อม
"การศึกเป็นอย่างไร วอนท่านเมตตาเล่าให้รู้เถิด"
ผู้คุมบันดาลโทสะเอาข้าวที่จะให้กินสาดทิ้ง
"อย่ากงอย่ากินเลยมึง พวกมึง ไอ้พวกตองอูกระหายเลือด"
ผู้คุมเดินออกไปอย่างไม่พอใจ มังฉงายสบตากับจะเลงกาโบยิ้มดีใจอย่างลืมตัว

ภายในท้องพระโรงหน้า เมืองแปร เวลาเย็น พระเจ้านรบดีดื่มเหล้าอย่างทุกข์หนัก พยายามกั้นน้ำตาอย่างที่สุด รานองมองอย่างสงสาร
"การใดผ่านไปแล้ว พระเจ้าอยู่หัวท่านอย่าหวนคิดให้ขุ่นพระทัย การสงครามถ้าไม่ช่วงชิงความได้เปรียบจะหาทางชนะได้อย่างไร"
"ป่านนี้พวกมันคงเลี้ยงฉลองที่เย้ยเราได้ถึงกำแพงพระนคร"
"แปรเอาชนะตองอูด้วยฝีมือนั้นยากนัก พวกมันคนหนุ่มฝึกปรือฝีมือมาเข้มแข็ง"
"จะให้เรายกทัพไปก้มกราบยอมแพ้มันหรือ"
รานองเสียงราบเรียบ ตาวาว
"พระเจ้าอยู่หัวท่าน ข้าพเจ้ามียุทธวิธีที่จะเอาชนะมันได้ โดยไม่ต้องเสียกำลังพลเลยแม้แต่น้อย"
พระเจ้าแปรนรบดีนิ่งฟังอย่างสนใจ

ในคุก เมืองแปร มังฉงายยืนมองออกไปข้างนอก รู้สึกได้ว่า ลมพัดแรง

อุปราชรานองกล่าว
"ข้าพเจ้าจะให้ปะขันหวุ่นญีคุมพลลอบไปชายป่าทิศใต้ ซึ่งอยู่ด้านเหนือลม นำพลธนูไปให้มากที่สุด แล้วสุมเพลิงเผาป่าขึ้น ทันทีที่ไฟไหม้ลามไปถึงด้านหน้าค่ายหลวงมังตรา พวกทหารตองอูจะวิ่งออกหลังค่าย ให้ทหารยิงธนูไฟไปดักที่ท้ายค่าย สุมเพลิงดักคอกพวกมันไว้ในค่ายให้หมด"

ปะขันหวุ่นญีคุมพลทหารปลดกระดิ่งและพรวนออกจากคอม้า ทหารเอาขลุม(เชือกถักสวมหัวม้า) คาดม้าไม่ให้ส่งเสียง แล้วให้สัญญาณทหารเคลื่อนพล

ทางด้านค่ายทหารตองอู เงียบ มีทหารเดินยาม และทหารรักษาการลาดตระเวนเป็นปกติ มังตรานอนในเต้นท์อย่างมีความสุข

"มองออนคุมพลไปชายป่าด้านขวา ให้กระทำเช่นเดียวกับท่านปะขันหวุ่นญี"

จิสะเบงเมาหลับกับไพร่สาวที่ไขลูนำมากำนัล

"ส่วนตัวข้าพเจ้าและสอพินยา จะอยู่กองกลาง จะเข้าเป็นกองกระหนาบไม่ให้มันหลบออกได้ ฝั่งขวาให้สังเกตทางทิศตะวันออก หากไฟลุกโพลงขึ้นเมื่อใด ให้ทุกกองระดมยิงธนูไฟไปที่ค่ายได้ ที่นี่ ก็ถึงเวลาที่มังตราจะรู้ว่าความอัปยศเป็นเช่นใด"

ลานหน้าค่ายมังตรา ลมพัดฝุ่นฟุ้ง ธงทิวหลุดจากเสา เนงบา สีอ่องเดินตรวจยามมาพบ"ไอ้ลมบ้าจะพัดไปถึงไหนวะ" เนงบาบอก
"ข้า...สังหรณ์กลัวเป็นอย่างมังฉงายแจ้งมา" สีอ่องว่า

ชายป่าแห้งแล้ง แนวทหารของปะขันหวุ่นญีมองไปบนฟ้า เห็นธนูไฟถูกยิงข้ามหัวไปยังค่ายมังตรา
ธนูไฟตกลงยังกองหญ้าแห้งหน้าค่ายทำให้เกิดไฟไหม้ ธนูไฟตกลงในค่าย ทหารยามตองอูตกใจตะโกนโหวกเหวก
เนงบา สีอ่อง มองหน้ากันเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น .รีบวิ่งไปที่เต้นท์ มังตราตกใจวิ่งออกมามองหน้าเต้นท์ที่ประทับ ตกใจ หน้าเสีย ธนูไฟเฉียดหน้าไปเส้นยาแดงผ่าแปด เนงบาวิ่งเข้าคว้าตัวมังตราเบี่ยงไปอีกทาง ตองหวุ่นญีวิ่งมาอีกทาง แนวทหารของปะขันหวุ่นญี พลธนูยิงธนูไฟข้ามค่ายตองอูที่ไฟไหม้อยู่ ค่ายมังตราด้านหลังค่ายไฟไหม้ด้วย ทหารตองอูถูกไฟล้อมทั้งหน้าและหลัง
ตองหวุ่นญีบอก
"พระเจ้าอยู่หัว ทรงถอยออกที่โล่งเถิด พวกเราถอยกลับออกไป"

แนวทหารของมองออนมองไปบนท้องฟ้า เห็นธนูไฟจำนวนมากถูกยิงข้ามหัวไปค่ายจิสะเบง ธนูไฟตกลงยังกองหญ้าแห้งหน้าค่ายทำให้เกิดไฟไหม้ ธนูไฟตกลงในค่าย ทหารยามตองอูตกใจตะโกนโหวกเหวก ทหารวิ่งไปที่เต้นท์ของจิสะเบงและตะโกนเรียกท่านแม่ทัพ
แนวทหารของมองออน พลธนูยิงธนูไฟข้ามค่ายตองอูที่ไฟไหม้อยู่ ด้านหลังค่ายไฟไหม้ เพลิงโหมไหม้จนกลายเป็นทหารตองอูถูกไฟล้อมทั้งหน้าและหลัง เปลวไฟลุกโชน

บนเนินเขา กองทหารฝ่ายโมนยิน ยืนม้าดูการสู้รบของตองอูกับแปรจากที่สูง โสหันพวา แม่ทัพฝ่ายโมนยิน...สีหน้าเรียบเฉย

ภายในคุกแปร จะเด็ดพยายามจะปีนมอง เห็นแสงไฟลุกโพลง แต่ก็มองไม่เห็น จึงรีบวิ่งมาหาจาเลงกาโบ
"จาเลงกะโบพี่ท่าน จาเลงกาโบ"
"จะเด็ด มีอะไร"
"มันเผาค่ายตองอู"
"คงไม่เป็นอย่างนั้น เนงบาคงกราบทูลตามที่ท่านแจ้งแล้ว"
สองคนวิตกกังวลตื่นเต้นพอกัน จะเด็ดวิ่งกลับไปที่ช่องแสงอีกที แสงไฟ ควัน ยังจับอยู่ที่ขอบฟ้า
เสียงกลองตีดังกังวานมา เป็นสัญญาณมีชัย ทหารแปรในคุกพากันวิ่งออกไปส่งเสียงเอะอะ จะเด็ดตั้งใจฟัง
เสียงผู้คุมและทหารอื่นๆ
"กองทัพตองอูแตกพ่ายยับเยิน ถอยกลับไปแล้ว ค่ายตองอูถูกเผาหมดแล้ว เราชนะแล้ว"

จะเด็ดช็อก ค่อยๆสะอื้น แรงขึ้นๆๆ แต่มันเจ็บจนไม่มีน้ำตา
 
อ่านต่อหน้า 3

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ชายป่าเมืองแปร เนงบา สีอ่อง ประกบสองข้างมังตรา ตองหวุ่นญีประกบหลัง ทหารม้าและพลเดินเท้า ล้อมรอบอยู่ห่างๆ ต่างเดินมาด้วยสภาพอิดโรย เนื้อตัวมอมแมมด้วยเศษเถ้าถ่าน เสื้อผ้าโดนไฟไหม้ขาดวิ่น ทั้งหมดทรุดลงอย่างหมดแรง มังตราแค้นจะเด็ดมาก พยายามกลั้นน้ำตาอย่างที่สุด

"จะเด็ดมันหลงผู้หญิง ปล่อยให้พวกแปรใช้วิธีโหดเหี้ยม ไม่เคยมีศึกครั้งไหนเขากระทำกัน แม้ทหารสักคนยังไม่เหลือไว้ให้จับเป็นเชลย"
จิสะเบงวิ่งพรวดออกมาอีกด้านหนึ่ง มีทหารประกบปิดหลัง ท่าทางสะบักสะบอมไม่แพ้กัน ทหารตองหวุ่นญีรีบเข้าล้อมไว้
"จิสะเบง"
จิสะเบง ทรุดลงอย่างหมดแรงร้องไห้
"กองทัพข้าพเจ้า ถูกเผาหมดแล้ว"
ทุกคนเงียบ ตองหวุ่นญีสงสารลูกแต่ไม่แสดงออก
"เดินทัพต่อ เราต้องหาที่ปลอดภัย... เสด็จพระราชดำเนินเถิด เราไม่มีเวลามาเสียใจใดใด"
มังตราแอบปาดน้ำตา ลุกขึ้นอย่างเด็กว่าง่าย ทุกคนเริ่มเดินทางต่อ ท่ามกลางความพ่ายแพ้

หลังผ่านมาหลายวัน เสียงดนตรีรำ...บรรเลงดังขึ้น นาฏศิลป์แสดงให้ความบันเทิงอยู่ ณ ลานหน้าท้องพระโรง งดงาม พระเจ้านรบดีเสวยพระกระยาหารกลางวัน กับเหล่าขุนนางที่ออกรบมาด้วยกันอย่างพระเกษมสำราญพระทัย ในบรรยากาศไม่เป็นทางการมาก
กุสุมานั่งหน้าเศร้าอยู่ใกล้ๆ อัครเทวีและอเทตยา สอพินยานั่งดื่มอยู่กับไขลูอย่างมีความสุข หัวเราะเสียงดัง
ไขลูยกจอกเหล้าขึ้นถวาย
"ข้าพเจ้าขอดื่มถวายให้แด่ชัยชนะของเมืองแปรที่มีต่อตองอูอย่างเด็ดขาด ขอทรงพระเจริญศรีสวัสดิ์แด่กษัตริย์แห่งแปร และพระอุปราชสอพินยา ที่ทรงร่วมรบป้องกันเมืองแปรจนสำเร็จในครั้งนี้ ขอถวายพระพร"
ทุกคนดื่มถวาย สอพินยาในอาการเมานิดๆ
"ชัยชนะครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้กราบบังคมทูลไปยังสมเด็จพี่สักการะวุฒพีแห่งหงสาวดีแล้วว่า ข้าพเจ้ามิได้ต้องการสิ่งใดตอบแทนจากแปร แต่แปรจะตอบแทนข้าพเจ้าเช่นไรนั้น ข้าพเจ้ามิอาจหยั่งรู้ได้"
รานองกับนรบดี หันมามองหน้ากันค่อนข้างตกใจ แต่อัครเทวีปลาบปลื้มสอพินยามาก
สอพินยาหันไปมองกุสุมาด้วยความเสน่หา กุสุมาตกใจ นั่งมองสอพินยาใจสั่น
ไขลูพูดอย่างหยิ่งผยอง หลงระเริงในชัยชนะของตน
"หากแปรสำนึกในพระปรีชาสามารถของพระอุปราชสอพินยาในครั้งนี้แล้วไซร้ คงต้องรีบผูกสมัครไมตรีพระองค์ไว้อย่าได้ช้า ฮะๆๆ ดื่มๆๆๆ"
กุสุมากับอเทตยา ต่างตกใจ...แต่เป็นคนละความรู้สึก พระเจ้านรบดีรู้สึกอึดอัด รีบแก้ไขสถานการณ์
"เรื่องอภิเษกระหว่างหลานสอพินยากับหลานอเทตยานั้น...ลุงจะรีบจัดการอภิเษกให้เร็วที่สุด อย่าได้ห่วง" สอพินยากลับตกใจแทบหายเมา หันมามองไขลูว่าพลาดแล้ว
"ขอพระราชทานอภัย ตะละแม่อเทตยานั้นพระองค์ทรงพระราชทานตั้งแต่ก่อนศึกตองอูแล้ว ไฉนยังทรงคิดว่านำมาใช้ตอบแทนในการผูกสัมพันธ์กับหงสาวดีได้เล่า" ไขลูว่า
อเทตยาโกรธมาก แม้จะไม่เคยรักสอพินยามาก่อน ก็อดแค้นเคืองไม่ได้ที่ถูกปรามาส
"ท่านไขลูคิดว่า...เราควรตอบแทนน้ำพระทัยพระอุปราชสอพินยาอย่างไรดีเล่า"
"จะให้พระอุปราชสอพินยาเอ่ยพระโอษฐ์จะมิบังควร ท่านตรองดูเองเถิด การที่แปรพ้นทุกข์มาได้ทั้งแผ่นดิน ท่านว่าสิ่งใดจึงจะคุ้มค่าเล่า"
พระเจ้านรบดีพอเข้าใจ หันไปมองกุสุมา ตะละแม่นั่งตัวสั่น กลัวพระเจ้าแปรจะรับปาก
"หลานสอพินยากับท่านไขลูน่าจะเจรจาคะนองไปตามรสน้ำจัณฑ์ คงไม่หมายความให้อาแบ่งแผ่นดินแปรให้หรอกนะ สิ่งที่อารักและหวงที่สุดในชีวิตก็มีแต่แผ่นดินแปรเท่านั้น แผ่นดินหงสาวดีกว้างใหญ่ไพศาลกว่าแปรมากนัก หลานท่านคงไม่มาขอแบ่งจากอาดอกใช่ไม๊....ดื่ม...ดื่มให้สนุกเถิด"
สอพินยาหน้าเสีย หันมาให้สัญญาณไขลูหยุดพูด
พระเจ้านรบดียิ้ม ยกจอกชูขึ้นให้ทุกคน ทั้งหมดดื่มถวายพระพร
"ทรงพระเจริญศรีสวัสดิ์"
นางรำยังร่ายรำถวายอย่างงดงามต่อไป

ภายในคุก เมืองแปร จะเด็ดนั่งขดตัวซุกอยู่ที่มุมห้อง เป็นครั้งแรกที่จะเด็ดหมดหวังขนาดนี้ นายทหารผู้คุมเดินมากับทหารแปร จาเลงกาโบแปลกใจรีบลุกมาดู ผู้คุมให้ทหารไขกุญแจประตูกรงของจะเด็ดออก
"พระเจ้าอยู่หัว .โปรดให้นำตัวไปเข้าเฝ้า"
จะเด็ดยังคงนิ่งไม่ไหวติง

บริเวณพลับพลาอุทยาน พระเจ้านรบดีประทับอยู่ในพลับพลา สีพระพักตร์เครียด จะเด็ดก้มหมอบเฝ้าอยู่ท่าทางเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตาแน่วแน่มั่นคง
"พระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ปกครองประเทศ จะหยั่งเพื่อหมิ่นน้ำใจชายชาติทหารหรือไร"
พระเจ้าแปรเหมือนถูกหยามหน้า
"พระองค์ฆ่าคนตองอูเป็นมหกรรม เกินกว่าที่จะแสร้งสรรเสริญพระบารมีได้ แม้แต่ทหารเลวสักคน ก็ไม่คิดจะจับเป็นเชลย พระองค์กระทำถึงเพียงนี้ ยังจะมากล่อมให้ข้าพเจ้ายอมภักดีต่อแปรอีกหรือ ถ้าได้โอกาสวันใดจะขอหนีกลับตองอู ขอยกทัพมาล้างแปร"
พระเจ้าแปรโมโหที่กล่อมไม่สำเร็จ ลุกขึ้นโดยแรง จะเด็ดจ้องไม่เคยกลัว
"เนรคุณ… เลี้ยงดูดีอย่างไรก็ไม่สำนึก"
จะเด็ดเสียใจแต่ไม่เกรงใจอีกแล้ว
"สืบแต่นี้อย่าถือว่าเป็นเจ้าเป็นข้ากันเลยถ้าจะถือการมีใจรักตองอูยิ่งกว่ารักแปร เป็นการเนรคุณ เรียกทหารมาเอาตัวไปตัดหัวได้เลย"
พระเจ้าแปรทำอะไรไม่ถูก คว้าของที่ได้ใกล้ตัวขว้างเฉียดจะเด็ดไปนิดเดียว จะเด็ดนิ่งไม่ขยับ เงียบ…น้ำตาไหลออกมาช้าๆ พระเจ้าแปรตวาด
"ถ้าเจ้าถือว่าตองอูรุกรานแปรเพราะต้องการแผ่อาณาเขตตัวไม่ใช่เรื่องผิด เห็นเป็นธรรมดา ฉะนั้นแปรฆ่าตองอูที่รุกรานจะผิดได้ไง"
จะเด็ดเสียใจ แต่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
"เราบำรุงเจ้าไม่มีประโยชน์อื่นใด รักเจ้าเหมือนลูกในอก อยากยกย่องให้ร่วมวงศ์ให้ครองกุสุมาลูกเรา กลับโอหังกระด้างกระเดื่อง"
จะเด็ดแค่นหัวเราะ
"ข้าพเจ้านั้นรักตะละแม่กุสุมาแท้ ถ้าแต่งงานแล้วข้าพเจ้าจะพาตะละแม่ไปตองอู พระองค์จะยอมหรือ"
พระเจ้าแปรเงียบพูดไม่ออก จะเด็ดประนมมือ พูดเสียงราบเรียบหลังคุมอารมณ์ได้แล้ว
"สืบต่อนี้ไป ขอพระองค์อย่านำความรักระหว่างข้าพเจ้ากับตะละแม่มาเป็นเครื่องผูกข้าพเจ้าอีก… ข้าพเจ้ารักตะละแม่ยิ่งนัก แต่ถ้ารักนั้นจะเป็นเหตุให้แปรพักตร์จากตองอู ข้าพเจ้าก็จะหยุดรักหักอาลัย แต่ถ้าหวังจะให้ทรยศต่อตองอูนั้นพระองค์อย่าพึ่งคิดเลย"
พระเจ้าแปรตัดสินใจอย่างที่สุด
"เจ้ากับเราคงสร้างกุศลต่อกันแค่นี้…ทหาร เอาตัวมันไป"

ทหารกรูกันเข้ามาลากจะเด็ดออกไปทันที พระเจ้านรบดียืนนิ่ง มีอาการสั่นน้อยๆ

ผ่านไปหลายวัน เวลากลางคืน บริเวณกลางทุ่งหน้ากำแพงเมืองแปร โสหันพวาควบม้านำกองทัพโมยินมาเต็มทุ่ง มีม้าธงนำ และถือคบไฟตามสว่างไสวไปทั้งทุ่ง

ภายในคุกแปร จาเลงกะโบเดินกระวนกระวายไปมา จะเด็ดนั่งพิงผนังครุ่นคิดเหม่อลอย กิริยาอ่อนเพลียไม่องอาจ มือถือกลักงาใส่ผมจันทรากำไว้ ด้วยความเสียใจ ใบหน้าเศร้าหมอง

แนวเชิงเทินกว้างใหญ่ ทหารที่อยู่บนเชิงเทินหน้าตาแตกตื่นวิ่งกันวุ่นวาย ต่างมองออกไปนอกกำแพง อุปราชรานอง ปะขันหวุ่นญี เดินนำหน้าทหารอื่นๆขึ้นเชิงเทินอย่างรวดเร็ว ครั้นข้ามกำแพงไปก็เห็นกองทัพโมนยินเต็มทุ่งประจักษ์ต่อสายตา
โสหันพวาสั่งทหารโมนยินหยุดทัพนิ่ง รานองยืนงุนงงอยู่บนเชิงเทิน
"อะไร…พวกมันเป็นใคร ทำไมยกมาได้เร็วปานนี้"
ปะขันหวุ่นญีบอก
"ธงที่นำมาเป็นธงของพวกโมนยินพระอุปราช"
"โมนยิน โสหันพวา" รานองบอก
"ใช่แล้ว หัวหน้ามันคือโสหันพวา เชื้อชาติชาวป่า เมืองตั้งอยู่ข้างเหนือต้นน้ำอิระวดี"
"มันยกมาสู่ที่ราบถึงเมืองเราแล้ว ทหารโมนยินทุกผู้ล้วนนิสัยโหดเหี้ยม เห็นทีจะยกพลมาซุ่มอยู่ขณะที่แปรทำศึกตองอู คราวนี้เราเจอกองทัพที่น่ากลัวกว่าตองอูหลายเท่านัก"
รานองหนักใจมาก

ทุ่งหน้าเมืองแปร ทหารโมยินดูยิ่งใหญ่น่ากลัว โสหันพวาพยักหน้าให้ทหารธนูคนหนึ่ง ทหารผู้นั้นเดินออกมาพร้อมลูกธนูไฟที่ติดสาส์นยิงไปที่กำแพงเมืองแปร
ลูกธนูไฟที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ภายในท้องพระโรงหน้า พระเจ้าแปรนรบดีประทับบนบัลลังก์พระพักตร์เครียดมาก แม่ทัพอื่นๆอยู่เต็มท้องพระโรง อาลักษณ์กำลังอ่านสาส์นอยู่กลางท้องพระโรง
"ราชธิดาตะละแม่กุสุมาในพระเจ้าอยู่หัวนรบดี ผู้เป็นใหญ่ครองเมืองแปร ข่าวระบือไปว่า งามประเสริฐด้วยลักษณะเบญจกัลยาณีโดยแท้ สมควรจะเป็นศรีแห่งผู้กล้าหาญชาญชัยเช่นข้าพเจ้า โสหันพวาจึงจะขอพระราชทานพระราชธิดาไปสถาปนาเป็นแม่เจ้าโมนยิน"
ทุกคนเงียบ ไม่ได้ยินแม้เสียงหายใจ พระเจ้าแปรโกรธจนเสียงสั่น
"ไอ้ชาวป่าไร้สำนึก เคยดูเงาตัวเองรึเปล่า เขียนตอบโสหันพวามันไป ให้ไปหานางชาวเขาศักดิ์เสมอกันเป็นเมียเถอะ ราชธิดาเราเป็นเพชรไม่คิดฝังบนเรือนตะกั่ว อย่าคิดการเกินศักดิ์ตัว ถ้าคิดเป็นโจรจะปล้นเอาเมืองผู้อื่น อย่ามาอ้างเหตุอื่นบังหน้า เราพร้อมจะรับศึก"
อาลักษณ์ช่วยกันเขียนอุตลุด รานองกับปะขันหวุ่นญีนั่งเงียบ ทุกคนพร้อมสู้

ปะขันหวุ่นญี นำพลธนู วิ่งขึ้นประจำบนเชิงเทินวันรุ่งขึ้น สวนกับทหารกองอื่นๆดูชุลมุน มองออนทำความเคารพ พลางชี้ให้ดูกองทัพโมนยินที่เคลื่อนมาจนฝุ่นฟุ้งตลบ ดูน่ากลัว
กองทัพโมนยินเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีพลธนูโมยินเดินมาจำนวนมาก โสหันพวาควบม้ามาอย่างยิ่งผยอง มีเมงฮลาแงกับเมงกวนแงตามประกบมาข้างๆ โสหันพวายกมือให้สัญญาณหยุด

ภายในกำแพงเมืองแปรปะขันหวุ่นญี บัญชาการรบบนกำแพงเมืองสั่งให้พลธนูเตรียมยิงธนู
"พลธนูเตรียมพร้อม"
พลธนูเตรียมพร้อม น้าวสายธนูเตรียมยิง
"ยิง"
กองทัพทั้งสองฝ่ายยิงธนูเข้าหากัน พลธนูของโมนยินรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ ทำให้ยิงธนูได้ไกลกว่า ทหารแปรบนเชิงเทินถูกธนูล้มตาย ธนูของทหารแปรยิงไม่ถึงกองทัพโมนยินที่ยืนทัพอยู่ โสหันพวายืนม้ามองอย่างพอใจ
เมงฮลาแงบอก
"พระเจ้าแปรดูหมิ่นแม่ทัพเรา พระธิดาพระเจ้าแปรนั้น แม่ทัพเราหวังจะยกย่องแต่งงานให้งามสมศักดิ์ศรี แต่เมื่อไม่ยอมตอนนี้ จะไปยอมตอนเสียเมืองแปรแล้ว แม่ทัพเราคงไม่คิดเลี้ยงอย่างนางสูงศักดิ์ อย่างดีก็จะไว้ชีวิต เลี้ยงเป็นนางเชลยก็สมควรแล้ว"
ปะขันหวุ่นญีสะดุ้งเฮือกเมื่อลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้าให้ที่ไหล่อย่างแรง โสหันพวายืนม้าหัวเราะอย่างชอบใจ

ในเรือนปะขันหวุ่นญี โชอั้วกำลังจัดแท่นวางอาวุธอยู่ เสียงทหารสั่งงานกันเอะอะ โชอั้วรีบลุกไปดู พอดีรานองเดินนำทหารแบกแคร่หามปะขันหวุ่นญีเข้ามา
โชอั้วตกใจ วิ่งตามแคร่หามมากลางห้อง
"ท่านพ่อ...ท่านพ่อข้าพเจ้าเป็นอะไร"
"ท่านแม่ทัพโดนศรพิษฝ่ายศัตรู แต่ไม่เป็นอะไรแล้ว คงต้องพักรักษาตัวสักระยะหนึ่ง" รานองบอกโชอั้วรีบจัดที่ให้ ปะขันหวุ่นญีบอก
"ข้าพเจ้ามิเป็นไร ให้ข้าพเจ้าไปช่วยการศึกต่อเถิด ท่านผู้เดียวจะต้านมันอยู่ได้อย่างไร"
"ข้าพเจ้าต้องสงวนท่านไว้ เพลานี้แปรเราขาดขุนศึกที่ชำนาญการอยู่แล้ว ถ้าท่านเป็นอะไรมากกว่านี้ ข้าจะยิ่งหนักใจ โชอั้ว... พยาบาลพ่อเจ้าให้ดี ข้าต้องไปแล้ว เดี๋ยวทหารจะเสียขวัญมากกว่านี้"
โชอั้วกราบทำความเคารพ รานองกับทหารเดินออกไป ปะขันหวุ่นญีขยับจะลุกตาม โชอั้วกับหมอหลวงรีบเข้ามาจับไว้
"พระอุปราช ข้าพเจ้ายินดีตาย ให้ข้าพเจ้าไปสู้กับมันเถิด พระอุปราช"
"ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านเจ็บปานนี้ต้องนอนพักรักษาตัวก่อน อย่า... เดี๋ยวบาดแผลจะยิ่งระบมหนัก ท่านพ่อ...อย่า"
ปะขันหวุ่นญีนึกโกรธตัวเอง...


ในตำหนักสอพินยา เมืองแปร สอพินยาเดินกลุ้มไปมาอย่างอารมณ์เสีย ไขลูหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
"ข้าพเจ้าคิดว่าพระอนุชาควรเสด็จกลับหงสาวดีจะดีกว่า ทัพโมนยินที่ยกมาครั้งนี้ดุร้ายป่าเถื่อน และไม่มีคุณธรรมในการรบ ไม่เหมือนทัพพระเจ้าตองอูที่ยังไม่เคยออกรบ"
"แล้วตะละแม่กุสุมาที่เราหมายปองล่ะ จะกลับมาดูหน้านางได้อย่างไร นางคงปรามาสเราที่พอมีศึกก็หนีกลับเมือง"
"แปรมิใช่แผ่นดินของเรา จะมาเสียเวลาช่วยป้องกันให้เป็นอันตรายต่อพระองค์ไปทำไมกัน พระอุปราชถามใจพระองค์เองให้ดีว่าทรงรักตะละแม่กุสุมา ถึงขั้นสละพระองค์เองได้เชียวหรือ"

สอพินยาเงียบ คิดตรอง เริ่มรู้สึกว่าตัวว่าขาดกุสุมาไม่ได้
 
อ่านต่อหน้า 4

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ท้องพระโรงฝ่ายใน กุสุมาหมอบเฝ้าพระเจ้านรบดีที่เดินกลุ้มใจไปมา มีทหารคุ้มกันเต็มไปหมด

"ขอโปรดส่งลูกไปให้มันฆ่าแกงตามอำเภอใจเถิด การศึกจะได้สิ้น"
"เจรจาให้รู้การ เพลานี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดโดยไม่คิด" อัครเทวีบอก
กุสุมาร้องไห้น่าสงสาร รานองกับพวกแม่ทัพ 2-3 คน ก้มหน้านิ่ง
พระเจ้านรบดีถาม
"ท่านแม่ทัพมาโดนลูกธนูพิษอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร"
"แม่ทัพหนุ่มๆแปรไม่มีอีกแล้วหรือ พระเจ้าหลานสอพินยาไง ศึกตองอูก็ได้เคยช่วยเราไว้ ไปตามมาช่วยอีกแรงซิ เรามั่นใจว่าสอพินยาเป็นคนมีฝีมือพอตัว" อัครเทวีว่า
"สอพินยายังทวงบุญคุณเมื่อครั้งศึกตองอูอยู่ เราพูดไม่ได้ดอก หากเราออกปากอีก จะเอาอะไรไปตอบแทนเขา"
"เช่นนั้น จะพระราชทานอนุญาตให้ข้าพเจ้าพูดเองจะได้หรือไม่ ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับพระอนุชามาแต่เมืองตองอู คงพอพูดได้"
พระเจ้าแปรเจ็บปวดมาก
"เรานี้จนปัญญาจริงๆ บ้านเมืองเราแท้ๆ แต่ไม่มีความสามารถรักษา ต้องไปตามคนอื่นมาช่วยตลอด"
กุสุมาผวาเข้ากอดอัครเทวีอย่างน่าสงสาร
"ลูกเกิดมาหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ไม่มีประโยชน์กับแผ่นดินสักอย่าง"
อัครเทวีกอดลูกด้วยความสงสาร

สอพินยานอนห่มผ้า ท่าทางเหมือนป่วยมาก ไขลูนั่งคอยปรนิบัติอยู่ใกล้ๆ
"พระเจ้าอยู่หัวเห็นว่า พระอนุชาสอพินยาเป็นทั้งหลานตัว และจะเป็นหลายเขย การจะอาสาทำศึกให้เมืองแปรเหมือนดับร้อนให้เมืองญาติ ก็คงจะเอาชนะพวกโมนยินได้ไม่ยาก เหมือนศึกตองอูหนก่อน" รานองบอก
สอพินยาสีหน้าคล้อยตาม
"ข้าพเจ้าเห็นใจพระเจ้าลุงเป็นอย่างยิ่ง ปรารถนาที่จะ..."
ไขลูขยิบตาให้ สอพินยาพูดต่อ
"ปรารถนาที่จะ..ช่วยพระเจ้าลุง ไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก แต่ เพลานี้สำหรับข้าพเจ้าไม่สมประกอบ หายสนิทเมื่อใดจะรับใช้พระเจ้าลุงให้เต็มที่ พระเจ้าลุงเห็นควรประการใดก็ยินดีถวายชีวิตเป็นผีเฝ้ากรุงแปร"
รานองรู้ว่า สอพินยาไม่มีใจจะช่วยแล้ว จึงจนใจจะพูดอะไรต่อ

ภายในเมืองแปร ชาวเมืองกลัวขนข้าวของกันแตกตื่น ทหารแปรบางพวกกำลังหิ้วแคร่คนป่วย และเกวียนบรรทุกทหารที่บาดเจ็บไปโรงหมอเป็นโกลาหล ทำเอาชาวบ้านหวาดผวาไปตามๆกัน
นาคะตะเชโบยืนซุ่มดูอยู่อย่างมีแผนอยู่ในใจ

สอพินยานั่งกลัดกลุ้มดื่มเหล้าอยู่ ไขลูกำลังนั่งคิดอยู่ห่างๆ
"นี่ไขลู เมื่อไรจะบอกเสียทีว่า ทำยังไงจะได้กุสุมา เราร้อนใจจะท่วมหัวอกตายอยู่แล้ว"
"ข้าพเจ้าคิดว่า เราต้องยอมเจรจากับโมนยินแลกตัวตะละแม่กุสุมา"
สอพินยาตกใจสำลักเหล้า
"ก็ไหนท่านว่า เราไม่ควรออกไปปะทะกับพวกโมนยิน เราไม่มีทางสู้มันได้"
"ข้าพเจ้ากับโสหันพวา เคยเป็นมิตรกันเมื่อนานมาแล้ว คิดว่าน่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง โดยไม่ต้องเสียตะละแม่กุสุมา"
สอพินยายิ่งงงหนัก
"ท่านไขลู ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในแผนท่าน"
"สำหรับพระอนุชาที่ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามา ชีวิตนี้ข้าพเจ้าไม่เคยเสียดายเลย ที่จะตอบแทนพระองค์"
สอพินยานั่งมองไขลูนิ่ง ไม่รู้ว่า ไขลูคิดอย่างไร

ประตูเมืองแปรเปิดออกไขลูขี่ม้าออกไปผู้เดียว เมงฮลาแง, เมงกวนแงและทหารโมนยินที่กำลังเต้นระบำรำฟ้อนกันอยู่หยุดชงัก
เมงกวนแงบอก
"เฮ้ยๆ…พวกแปรมันออกมาโน้นแล้วโว้ย"
รานองยืนมองอยู่บนกำแพง ไขลูขี่ม้าเข้าไปหาทหารโมนยิน เมงฮลาแง, เมงกวงแงยืนมองอย่างไม่ไว้ใจ ทหารโมนยินถือหอกเข้าล้อมอย่างไม่ไว้ใจ

สอพินยาครึ่งนั่งครึ่งนอน ห่มผ้าอยู่บนเตียง ท่าทางเหมือนป่วยหนักมาก อัครเทวีประทับนั่งดูอาการอยู่ห่างๆ มีข้าหลวงและมหาดเล็กเฝ้าอยู่ในที่
"เป็นพระกรุณายิ่งที่พระเจ้าป้าเสด็จมาเยี่ยมถึงตำหนัก อันคนของหลานนั้นได้สละชีวิตให้แก่แปรแล้ว คงเหลือแต่หลาน เมื่อหายดีก็ยินดีสละชีพเพื่อแปรเช่นกัน แต่มาน้อยใจก็ยามนี้ จะหาน้ำใจน้องกุสุมาแวะมาดูใจสักนิดก็ไม่มี"
อัครเทวีท่าทางนั่งไม่ติด สอพินยาพูดต่อ
"ข้าพเจ้าออกสู้กับพวกตองอูจนเกือบสิ้นชื่อ ชาวแปรไม่เห็นความดี ทีกับไอ้จะเด็ดพระเจ้าลุงกลับคิดยกพระธิดาให้มัน ทั้งๆที่ไม่มีชาติตระกูล สมยศเลือดขัตติยะสักนิด"
"แต่พระเจ้าอยู่หัวและป้านี้รู้สึกสังเวชใจที่ต้องยกลูกให้มัน"
"อเทตยานั้น ข้าพเจ้าเคยเห็นประพฤติต่อไอ้จะเด็ดแล้ว ไม่เห็นเป็นมงคลแก่เศวตรฉัตรหงสาวดีเลย พระเจ้าป้าโปรดตรองดู อันไม้หมกอยู่ใต้คนเดินข้าม หากนำมาสลักเป็นพระพุทธรูปแล้ว ข้าพเจ้ายินดีกราบไหว้ แต่ถ้าเป็นทองคำเนื้อแท้ หากนำมาหลอมเป็นรูปอัปมงคล จะให้ข้าพเจ้าเคารพนั้นทำไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เพียงกราบทูลให้พระเจ้าป้าทรงทราบว่า ข้าพเจ้านี้รักน้องกุสุมายิ่งชีวิต"

อัครเทวีสงสารสอพินยายิ่งนัก ได้แต่ร้องไห้พูดอะไรไม่ได้

มองออนเดินตรวจตาอยู่บนเชิงเทินอย่างกระวนกระวาย เสียงทหารแปรบอก
 
"พวกเราดูนั่น พวกโมนยินหรือเปล่า"
ทุกคนขยับออกจากที่ซ่อนมาชะเง้อดู ไขลูขี่ม้าถือคบเพลิงเข้ามาที่กำแพงเมือง ท่าทางอิดโรยมาก
"ข้าเอง ไขลู องครักษ์พระอนุชาหงสาวดี...เปิดประตูเมืองรับข้าหน่อย"

ค่ำคืนนั้น ท้องพระโรงฝ่ายใน ทุกคนอยู่ในอาการเหมือนเพิ่งตื่นนอน รู้สึกตื่นเต้น ไขลูทำท่าอ่อนเพลียมาก ห่มผ้าดื่มน้ำร้อนอยู่
"ที่ข้าพเจ้ารอดกลับมาได้ เพราะพวกมันเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ใช่คนแปร และเคยรู้จักกันมาก่อน มันให้มากราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า ในคืนพรุ่งนี้ พวกมันจะยกทัพใหญ่บุกยึดเมือง ขอให้พระองค์โปรดรักษากำแพงเมืองให้มั่นคง"
พระเจ้านรบดีทรงวิตกอย่างหนัก

ในเวลาต่อมา ไขลูกำลังกราบทูลแผนการต่อไปให้สอพินยารู้
"คราวนี้ เมื่อพวกโมนยินบุกมาประชิดกำแพง ขอพระอนุชาจงนำเสด็จพระอัครเทวีกับตะละแม่กุสุมาหลบหนีออกทางประตูทิศใต้ลงเรือกลับหงสาวดี แล้วไม่ต้องปิดประตู"
"พาพระเจ้าป้าไปด้วยทำไม เราไม่อยากได้คนแก่"
"ถ้าไม่มีพระอัครเทวี ตะละแม่กุสุมาไม่ยอมไปกับเราแน่ เมื่อดวงจันทร์ขึ้นกลางฟ้าเมื่อไร พวกโมนยินจะพากันบุกเข้าทางประตูทิศใต้ที่พระองค์เปิดทิ้งไว้"
"ให้มันบุกเข้ามาทางใต้มันก็เจอเรานะซิ เราจะหนีกันทันหรือ"
"เพราะเราจะหนีออกทางใต้จึงต้องให้มันบุกเข้าทางใต้ พระอนุชาต้องรีบเร่งอย่าให้ช้าเสียการ ข้าพเจ้าต้องใช้พวกมันคอยสะกัดพวกแปรไม่ให้ติดตามเราได้ทัน"
สอพินยาเริ่มเข้าใจ

หน้ากระโจมโสหันพวา โสหันพวาเดินออกมามาจากในกระโจม เมงฮลาแงกับเมงกวนแงและเหล่าทหารทั้งหมดยืนรออยู่แล้ว โสหันพวากระโดดขึ้นหลังม้าอย่างหึกเหิมแล้วตะโกนก้อง
"คืนนี้เราจะบุกเข้ายึดกรุงแปรให้แตกหัก ถ้าพวกเราเข้ากรุงแปรได้ ต่อไปเราก็จะได้ไม่ต้องเร่ร่อนหาอาหารอีกต่อไป"
กลองบนเกวียน ถูกตีระรัว เสียงเคาะเกราะ เคาะไม้ดังสนั่นหวั่นไหว
เมงฮลาแงตะโกน
"ไป พวกเรา ตีเอาเมืองแปรให้ได้"
ทหารโมนยินโห่ร้อง โสหันพวาควบม้านำออกไป ทหารทั้งหมดควบตาม
พระเจ้าแปรเดินแกมวิ่งขึ้นบนเชิงเทินตรงไปที่รานองที่ยืนบัญชาการอยู่ที่เชิงเทิน เสียงทหารโมนยินตีกลอง-เคาะไม้ดังกระหึ่ม ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
"พวกโมนยินมันยกทัพใหญ่บุกเราตามที่พูดจริง"
"เราจะยั้งมันอยู่ไม๊"
"ถ้าเพียงแค่รักษากำแพงเมืองไว้ คิดว่าไม่เกินกำลัง"

โสหันพวาให้สัญญาณมือให้กองทัพโมนยินหยุด เสียงตีกลอง เคาะไม้เงียบลงทันที ทุกอย่างเงียบ มีแต่เสียงลมและม้าเท่านั้น
โสหันพวาบอก "พลธนู...เตรียมพร้อม"
กองธนูไฟวิ่งออกมาตั้งแถว พร้อมยิง
"น้าวสาย"
กองธนูไฟทั้งหมดน้าวสายพร้อมกัน
"ยิง"
ลูกธนูถูกปล่อยออกไปเป็นห่าฝน ทหารแปรกับพวกโมนยินต่างยิงธนูไฟเข้าหากัน ทหารแปรถูกลูกธนูจำนวนมาก ธนูไฟบางลูกข้ามกำแพงเมืองไป เหล่าทหารเข้าป้องพระเจ้าแปรที่ประทับสังเกตการณ์อยู่กับรานอง ด้วยความวิตก
"เราต้านมันได้แน่นะ รานอง" พระเจ้านรบดีถาม
ทหารแปรถูกลูกธนูจำนวนมาก.... เหล่าทหารปกป้องพระเจ้าแปรสุดชีวิต บางคนถูกลูกธนูตายตกกำแพงไป รานองสั่งการอย่างเต็มที่ด้วยความวิตก
"พลธนู สกัดมันให้อยู่ อย่าให้มันเข้าประชิดกำแพงเมืองได้ ยิงต้านพวกมันไว้"
พลธนูพยายามยิงต้านอย่างเต็มที่ แต่ลูกธนูไฟ โด่งข้ามกำแพงเลยเข้าไปในเมืองเป็นห่าฝน
มองออนบอก
"เราท่าจะต้านมันลำบากเสียแล้วท่านอุปราช ลูกธนูไฟมันข้ามไปตกถึงในหมู่บ้านราษฎรแล้ว"
นรบดีหันกลับเข้าไปดูในเมือง ตกใจ

ธนูไฟบางลูกข้ามกำแพงเมืองไปถูกบ้านชาวบ้านในตลาดเมืองแปร เกิดไฟไหม้ขึ้น ชาวเมืองพากันวิ่งหนีแตกตื่น ไขลูแอบดูอยู่กับลูกน้อง 2 คนอย่างพอใจ แล้วพยักหน้าให้ลูกน้องวิ่งออกไป พวกไขลูวิ่งเข้ามาร้องตะโกนท่ามกลางชาวเมืองที่หวาดผวาอยู่ก่อนแล้ว
พวกไขลู 1บอก"โมนยินบุกๆ พวกโมนยินบุกเข้าเมืองได้แล้ว"
พวกไขลู 2บอก"หนีเร็วๆ พวกโมนยินเข้าประตูเมืองได้แล้ว"
ชาวตลาดที่กลัวกันอยู่แล้วต่างยิ่งวิ่งกันโกลาหล บ้างจูงลูกเล็กเด็กแดงหอบข้าวของออกมาจากบ้านเรือน หนีกันอลหม่าน นาคะตะเชโบ วิ่งสวนชาวบ้านมามองอย่างแปลกใจ ไขลูมองอย่างพอใจ แล้วรีบหลบไป

ภายในห้องบรรทมพระเจ้าแปร พวกนางข้าหลวงตกใจวิ่งกันวุ่นวาย ชะเง้อดูเพลิงที่เห็นแสงแดงฉานอยู่ไกลๆ สอพินยาวิ่งเข้ามา
"พระเจ้าป้าอยู่ที่ไหน"
อัครเทวีออกมาจากในห้อง พร้อมกับนางกำนัล 4-5 คน
"ป้าอยู่นี่สอพินยา พระเจ้าลุงล่ะ"
"พระเจ้าลุงกำลังบัญชาการทหารที่กำแพงเมือง"
"ที่กำแพงเมืองเป็นอย่างไร"
"หนักมาก เห็นทีจะไม่พ้นคืนนี้"
สอพินยาเข้าประชิดตัวอัครเทวี กระซิบบอก
"พระเจ้าลุงให้ข้าพเจ้ามารับพระเจ้าป้ากับน้องกุสุมาหนีไป"
อัครเทวีแปลกใจ
"อะไรนะ ต้องหนีหรือ"
"อย่ามัวช้าเลย รีบไปรับน้องกุสุมาเถิด"
อัครเทวีทำอะไรไม่ถูก ยืนตัวสั่น
"อะไรกันนี่…กรุงแปรจะมาสิ้นง่ายๆอย่างนี้หรือ"

เวลาถัดมา ภายในห้องบรรทม กุสุมายืนมองหน้าอัครเทวีอย่างตกใจ
"ไม่ไป…เราจะไม่หนี ลูกขอตายอยู่ในกรุงแปรของเรา"
"ถ้าลูกไม่ไปแม่ก็ไม่ไป เราจะตายอยู่ด้วยกันที่นี่"
สอพินยาตกใจ…งง
"อย่าขัดคำสั่งพระเจ้าลุงเลย ท่านนัดให้ข้าพเจ้ามาพาทั้งสองพระองค์ไปที่ท่าน้ำทิศใต้ให้เร็ว ไม่อย่างนั้นจะทำให้เสียแผน พระเจ้าลุงอาจจะได้รับอันตรายไปอีกพระองค์"
"ลูกแปลกใจ ทำไมให้สอพินยามา ทำไมไม่ให้อุปราชรานองมารับ"
"ก้อ…ท่านรานองต้องอยู่เคียงข้างท่านพ่อจะมาได้อย่างไร ไปเถอะ..กุสุมา อย่ามัวลังเลใจ ไปก่อน ถ้าศึกสงบเราค่อยกลับมาใหม่"

อัครเทวีฉวยแขนกุสุมาวิ่งออกไป สอพินยาและนางข้าหลวงตาม
 
อ่านต่อตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น