บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 7
อิศร์พาแพรพลอยมานั่งเล่นรับลมในสวนสวยของโรงพยาบาล เขาวางตะกร้าผลไม้ลงข้างๆ ตัว
“ป้าดวงฝากผลไม้มาให้คุณทาน”
“ขอบคุณนะคะ”
แพรพลอยจะแกะองุ่นกิน แต่อิศร์ดึงหนี
“ผมว่าเรามาทดสอบความทรงจำคุณหน่อยดีกว่า จะได้แน่ใจว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
แพรพลอยฉุนนิดๆ “จะบ้าเหรอ ถ้าฉันนั่งคุยกับคุณแบบนี้ได้ก็แปลว่าฉันปกติดีแล้ว ขอกินหน่อย”
พลางแพรพลอยเอื้อมมือจะหยิบผลไม้ อิศร์หยิบพวงองุ่นขึ้นมาโบกตรงหน้า
“บอกมาก่อนว่าป้าดวงชื่อนามสกุลจริงว่าอะไร เดี๋ยวให้กิน” อิศร์โยกโย้
แพรพลอยทำท่าคิด “ป้าดวงเหรอ...นางสาวดวงดี”
“นามสกุลล่ะ”
“ผู้มีโชค”
อิศร์ตบมือ “ถูกต้องนะคร้าบ อ้ะ เอารางวัลไป”
อิศร์เล็ดองุ่นลูกหนึ่งป้อนใส่ปากแพรพลอย
แพรพลอยโวยวาย “ลูกเดียวเนี่ยนะ”
“คำถามที่สอง ชื่อจริงผม อ๊ะ ไม่เอาง่ายไป วันเดือนปีเกิดของผม”
แพรพลอยบอกวันเกิดของอิศร์โดยไม่ต้องคิด
“แหม้ แบบนี้แสดงว่าใส่ใจ เอาไปอีกหนึ่งลูก” อิศร์ป้อนองุ่นอีก
“ฉันต้องจำข้อมูลคุณได้อยู่แล้วล่ะ” แพรพลอยคึกคัก ชักนึกสนุก “จัดยากๆ กว่านี้มาเล้ย”
“แน่นะ งั้น” อิศร์ทำท่าคิด “ตึกออกฟฟิศเดชโชดมกรุ๊ปมีกี่ชั้น”
“สิบสี่” แพรพลอยตอบทันที
“แฟนพันธุ์แท้นะเนี่ย”
อิศร์ป้อนองุ่นใส่ปากแพรพลอยอีก แพรพลอยยิ้มภูมิใจ
“ทีนี้เชื่อหรือยังว่าฉันปกติดี”
“เชื่อแล้วจ้า”
อิศร์ยื่นผลไม้ให้แพรพลอยทั้งตะกร้า โทรศัพท์อิศร์ดังขึ้นพอดี
“ว่าไงครับคุณเลขาตัวแสบ” เขาเปิดเสียงดังออกลำโพง
มายาวีคุยโทรศัพท์ท่าทีกระวนกระวายอยู่หน้าห้องทำงานอิศร์ ที่อาคารเดชโชดม
“อิศร์! นี่เธออยู่ไหน”
อิศร์พูดใส่โทรศัพท์ที่วางไว้ให้แพรพลอยได้ยินด้วย “ก็อยู่โรงพยาบาลกับคุณแพรไง”
“ยังไม่ออกมาอีกเหรอ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าบ่ายนี้มีประชุมนัดสำคัญ”
“ฮึ้ย ลืม” อิศร์มองแพรพลอยหน้าตาเลิ่กลั่ก
“รีบมาเลยมานะ เมื่อกี้มีผู้ใหญ่ถามหานาย แล้วอีตาไอศูรย์ตัวดีก็ใส่ไฟว่านายติดหญิงอยู่ ถ้าไม่มาประชุมเดี๋ยวจะยิ่งเสียเครดิตไปกันใหญ่”
อิศร์หน้าเสีย มองแพรพลอยแบบติดพัน ยังไม่อยากไป
“คุณไปเถอะ อย่าให้พวกเขาคิดว่าคุณไม่รับผิดชอบงาน อย่าลืมว่าบอร์ดบริหารกำลังพิจารณาคุณอยู่นะ”
“งั้นผมจะให้ป้าดวงมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ ระหว่างนี้อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
อิศร์ห่วงเวอร์ แพรพลอยยิ้มอย่างอ่อนใจ “ฉันไม่ใช่เด็กสองขวบที่ต้องมีพี่เลี้ยงประกบ ไปเถอะน่า”
“ผมจะรีบกลับมาตอนเย็น คุณอย่าหนีไปไหนนะ”
แพรพลอยพยักหน้า อิศร์ยิ้มโล่งใจรีบออกไป
ส่วนแพรพลอยเตรียมจะเดินขึ้นตึกผู้ป่วย
อริสราเดินมาสอบถามพยาบาลบริเวณเค้าน์เตอร์ตรงล็อบบี้
“แผนกสูตินรีเวชใช่ไหมคะ ฉัน” อึกอัก “จะมาตรวจครรภ์ค่ะ”
อริสรายืนคุยกับพยาบาลที่เคาน์เตอร์ ไม่เห็นแพรพลอยที่กำลังเดินมา แพรพลอยเดินเลยอริสราไปทางลิฟต์ ไม่ได้สังเกตอริสราที่หันหลังอยู่เช่นกัน
อริสราแจ้งชื่อกับพยาบาลแล้วจะเดินไปนั่ง แต่ถอยชนกับแม่บ้านที่ถือถาดน้ำ ถาดหล่นเคล้ง
แพรพลอยหันตามเสียง เห็นอริสรากำลังก้มขอโทษแม่บ้าน
แพรพลอยเขม้นมอง “คุณอริส”
อริสราหันมาเห็นแพรพลอยจ้องมาพอดีตกใจ รีบหันหน้าหนี
“คุณอริส” แพรพลอยร้องทัก
อริสรารีบสวมแว่นกันแดด เดินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว แพรพลอยจะตาม แต่ทว่าอริสราหายไปแล้ว หล่อนเลยได้แต่ยืนงง ก่อนจะหันมาเห็นป้ายแผนกสูตินรีเวช
ขณะเดียวกันทิตาสวมกางเกงในชุดพยาบาลออกมาจากลิฟต์ ผ่านหน้าวอร์ดพวกพยาบาลที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ ทิตาทำเนียน เดินผ่านไปโดยไม่มีใครสนใจ แล้วตรงไปที่ห้องแพรพลอย ตั้งสติก่อนจะผลักเข้าไป แต่ไม่เจอใครภายในห้อง
ฟากอริสราเดินหนีออกมาหน้าโรงพยาบาล แล้วมองเข้าไปอย่างกังวลว่าแพรพลอยจะตามออกมา อริสราไม่กล้าเดินกลับเข้าไป แล้วมองออกไปหน้าโรงพยาบาล เห็นมีร้านขายยาอยู่ รีบเดินเข้าไป
ส่วนอนุภัทรเอาข่าวการสืบสวนมาบอกอิศร์ที่ห้องทำงานของเขา
“ตำรวจพบปืนที่ใช้ยิงผู้ชายที่ขี่มอเตอร์ไซค์ตามแกเมื่อวานตกอยู่ใกล้ๆ กับสระบัว แต่ไม่มีลายนิ้วมือของคุณแพร”
“มันคงฆ่าปิดปากพวกเดียวกัน”
“ทำไมช่วงนี้ฉันเจอแต่ผู้หญิงโหดๆ คนเดียวกันหรือเปล่าวะ” อิศร์ตั้งข้อสังเกต
“คงจะสืบยากหน่อยเพราะคราวนี้มันไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย”
“เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยคุณแพรก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
มายาวีเปิดประตูเข้ามา
“อิศร์! ได้เวลาประชุมแล้ว เร็ว”
อิศร์รีบลุกเดินออกไป มายาวีมองอนุภัทรที่ยังนั่งชิลๆ อยู่ที่โซฟา
“ผู้กอง เอ้ย นายมิตร! กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวใครมาเจอคุณนั่งเต๊ะอยู่ตรงนี้จะว่าไง”
“ผมยังไปไหนไม่ได้ กะว่าจะเข้าไปดูอะไรในห้องนายธำรงหน่อย เดี๋ยวคุณคอยดูนายธำรงให้ผมด้วยนะ ถ้าเขาเข้าห้องประชุมเมื่อไรก็ไลน์มา”
อนุภัทรชูให้ดูว่าเปิดโทรศัพท์ไว้
“นี่ฉันเป็นเลขาให้คุณอีกคนหรือไงยะ ค่าจ้างก็ไม่ให้”
มายาวีทำเป็นกระฟัดกระเฟียดแต่ก็ไม่ปฏิเสธ รีบตามอิศร์ออกไป
ครู่ต่อมาผู้คนค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาในห้องประชุม มายาวีกวาดตามองชะเง้อหา ธำรงตามอำนวยเข้ามาเป็นคนสุดท้าย มายาวีรีบก้มหน้าส่งข้อความไปบอกอนุภัทรทันที
อนุภัทรรับข้อความกดดู แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาที่ออฟฟิศธำรง มองซ้ายขวา ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นแล้วรีบผลุบเข้าไป
มายาวียังคงกดโทรศัพท์คุยกับอนุภัทรอย่างเพลิดเพลิน อำพลเหลือบมองเห็นมายาวียังง่วนกับการแช็ทก็กระแอมดัง
“จะประชุมได้หรือยังครับ”
อิศร์รีบสะกิดมายาวี มายาวีสะดุ้ง เก็บโทรศัพท์ ยิ้มแหยๆ กลบเกลื่อน
ฟากป้าดวงเปิดประตูห้องแพรพลอยเข้ามา พร้อมกับหิ้วปิ่นโตอาหารมาด้วย
“คุณแพรคะ หิวหรือยังคะ อ้าว”
ป้าดวงแปลกใจ มองหาแพรพลอย
“คุณแพร” ป้าดวงเดินเปิดประตูห้องน้ำพอไม่เจอ จึงเดินมาที่ระเบียงชะโงกดู “ล้ออะไรป้าเล่นหรือเปล่าคะเนี่ย”
ป้ามองไปที่ตู้เสื้อผ้า คิดว่าแพรพลอยอยู่ในนั้น พอเปิดทิตาก็โผนออกมา
“คุณมาทำอะไรในนี้ ว้าย”
ทิตาเงื้อเข็มฉีดยาขึ้นจะแทงป้าดวง หล่อนรู้แล้วว่ามีคนเข้ามา จึงเตรียมป้องกันตัวไว้ก่อน
ป้าดวงตกใจปัดป้อง ทิตาผลักป้าดวงล้มลงไป
“ว้าย อย่านะ คุณพยาบาล ป...เป็นบ้าไปแล้วเหรอ ช่วยด้วย” ป้าดวงตะโกน
ทิตาตรงเข้าคร่อมบีบปากป้าดวงให้หยุด
“อยากไม่ดูตาม้าตาเรือ ช่วยไม่ได้”
ทิตาจะเอาเข็มปักป้าดวง แต่แพรพลอยเปิดประตูเข้ามา
“หยุดนะ คุณทำอะไร”
ทิตาหันไปเห็นแพรพลอยจังๆ แพรพลอยชะงัก เป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าทิตา
ป้าดวงถือโอกาสถีบทิตาหงายหลัง ทิตายื่นเท้าขัดขาป้าดวงล้มไป แล้วเงื้อเข็มจะแทงแพรพลอย
แต่แพรพลอยเตะมือทิตา เข็มฉีดยากระเด็นหลุดมือ ของเหลวกระเด็นออกมา เกิดฟองฟู่บนพื้น
ทิตาได้จังหวะลุกขึ้นสู้กับทิตา เตะต่อย ป้าดวงลุกขึ้นมาได้ พยายามจะช่วย
“อย่าทำอะไรคุณแพรนะ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ป้าดวงร้องตะโกน ทิตาหันไปตบป้าดวงจนมึนเห็นดาว แล้วหันมาบู๊กับแพรพลอยต่อ ทิตาเตะแพรพลอยไปชนขอบเตียง แล้วตามไปกระชากสายรีโมทเตียงมารัดคอแพรพลอย
แพรพลอยดิ้นมือเปะปะไปโดนลิ้นชักข้างเตียง รีบดึงออกมา ล้วงมือหยิบมีดปอกผลไม้ ทิตารัดคอแพรพลอยแน่นขึ้น แต่แพรพลอยคว้ามีดได้ หยิบออกมาแทงทิตาเข้าที่เอว
“โอ๊ย”
ทิตาชะงักคลายมือออก แพรพลอยเตรียมจะแทงอีก แต่ทิตาหลบหลีก รู้ว่าตัวเองเสียเปรียบ ค่อยๆ ถอยออกจากห้อง แพรพลอยรีบตามไป
ทิตาวิ่งหนีออกมา เอามือกุมเอว เป็นแผลไม่ลึกมาก แพรพลอยพุ่งตามออกมา
“หยุดนะ”
พยาบาลที่อยู่แถวนั้นหันมองทั้งคู่อย่างตกใจ รีบวิ่งออกมา ทิตาวิ่งหนีไปทางบันไดหนีไฟ ผลักคนที่ขวางทางล้มไปเป็นแถบๆ แพรพลอยจะตาม แต่พยาบาลเข้ามาจับตัว
“คุณจับผิดคนแล้ว นั่น...มันคนร้าย มันจะฆ่าฉัน”
พวกพยาบาลตกใจ แพรพลอยรีบสะบัดออก แล้ววิ่งตามไป
ทิตาวิ่งลงบันไดหนีไฟมา โดยมีแพรพลอยตามมาจากด้านบน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ทิตาวิ่งลงมาเรื่อยๆ แล้วตัดสินใจเปิดประตูออกไปที่ชั้นหนึ่ง ทิตาโผล่ออกมา มองซ้ายขวา เห็นรถเข็นขนาดใหญ่สำหรับใส่ถาดอาหารอยู่ใกล้ๆ รีบลากมาขวางประตูทางเดินหนีไฟไว้
แพรพลอยวิ่งมาถึงชั้นที่แพรพลอยเปิดออกไป พยายามจะตามออกไป แต่เปิดประตูไม่ได้ เพราะรถเข็นขวางประตูไว้ แพรพลอยทุบประตู พยายามผลักออกไปอย่างแรง
ทิตาได้ยินเสียงทุบประตูโครมๆ แต่ ก็ถอนใจโล่ง แล้วพยายามทำตัวปกติ เดินออกไป โดยเอามือกุมเอวที่มีเลือดซึมไว้ไม่ให้ใครเห็น
อริสรากลับถึบ้านก็รีบเข้าห้องทันที เห็นกล่องตรวจครรภ์อยู่บนพื้น 2-3 กล่อง ไล่ขึ้นไปให้เห็นอริสรานั่งอยู่ที่เตียง บนเตียงมีกล่องชุดตรวจครรภ์กระจัดกระจาย
อริสราหน้าซีดเผือด ค่อยๆ หยิบแท่งตรวจครรภ์อันสุดท้าย ขึ้นมาดูแบบลุ้นๆ กดดัน
ขีดสัญลักษณ์ ค่อยปรากฏขึ้นมา อริสราหน้าเสีย มือสั่น ด้วยลองมาหลายครั้งแล้ว แต่ผลออกมาว่าหล่อนท้อง และนี่คือความหวังสุดท้ายที่จะไม่ท้อง อริสรากรี๊ดออกมาดังลั่นบ้าน
เรณูกับไอริณอยู่ที่ห้องรับแขก ได้ยินเสียงกรี๊ด
“หนูอริส” เรณูรีบลุกไปอย่างเป็นห่วง
เรณูเข้ามาเคาะประตูห้อง มีไอริณตามมาฟัง
“หนูอริส เป็นอะไรลูก เกิดอะไรขึ้น”
เสียงอริสราร้องไห้โฮๆ ดังมาจากข้างไหน เรณูกับไอริณมองหน้ากันยิ่งงง
“เปิดประตูให้แม่หน่อยสิลูก เป็นอะไรไปจ๊ะ”
เสียงอริสรายังคงร้องไห้หนักขึ้น “ ไป! ไปให้พ้น! ฮือๆ”
“ตายแล้ว นี่แม่นะพี่อริส ทำไมไร้มารยาท”
ขาดคำ เหมือนมีอะไรหนักๆ ขว้างโครมที่ประตูดังลั่น เรณูกับไอริณผวาตกใจ
“เป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เลยค่ะคุณแม่ ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวโดนลูกหลง”
ไอริณรีบดึงเรณูออกไป เรณูยังคงมองไปที่ห้องอริสราอย่างเป็นห่วง
อีกฟากหนึ่งพยาบาลเข้ามาดูแผลฟกช้ำให้ป้าดวง ขณะที่แพรพลอยมองดูพยาบาลเก็บเข็มฉีดยาไป
“หมอขอยืนยันอีกครั้งนะครับว่าไม่มีทางที่บุคลากรของเราจะก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“และไม่มีพยาบาลของเราคนไหนรูปพรรณตรงกับที่คุณบอกด้วยค่ะ” พยาบาลยืนกรานหนักแน่น
“ฉันทราบค่ะว่าคนที่ทำแบบนี้ไม่ใช่คนใน”
“งั้นมันเป็นใครคะคุณแพร ใช่คนที่ทำให้คุณต้องมาอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
แพรพลอยไม่ตอบ หมอกับพยาบาลมองหน้ากันอย่างพรั่นพรึง
ด้านอนุภัทรค้นเอกสารในตู้ลิ้นชักของธำรงอย่างรีบร้อน แล้วมองประตูไปด้วยอย่างกระวนกระวาย
ส่วนภายในห้องประชุม อิศร์กำลังฉายภาพตึกร้าวให้ที่ประชุมดู ธำรงนั่งหาววอดๆ
“นี่เป็นภาพจากการไปตรวจไซต์ก่อสร้างโรงงานที่รังสิตครับ ผมพบรอยร้าวหลายจุด ภายในอาคารก็มีการพังถล่มของคานคอนกรีตด้วย”
อำนวย“วิศวกรเข้าไปดูหรือยัง”
“เข้าไปแล้วครับคุณลุง แต่ผมสงสัยว่าจะเป็นเพราะวัสดุที่ก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานหรือเปล่า”
ไอศูรย์กับอำพลสบตากันอย่างร้อนตัว
“แกไม่มีความรู้เรื่องนี้ อย่าสงสัยส่งเดช” ไอศูรย์สบประมาท
“แต่ตึกถ้ามันจะถล่ม มันก็มีอยู่ไม่กี่เหตุหรอกครับ” อิศร์ว่า
ไอศูรย์ชะงัก ชักสีหน้าขุ่นมัวไม่พอใจ อำพลปรามด้วยสายตาไม่ให้เถียงต่อ
“ตอนนี้ผมสั่งให้หยุดงานทั้งหมดไว้ก่อน รอให้วิศวกรเข้าไปตรวจสอบ”
อำพลท้วง “มันคงไม่ร้ายแรงมั้ง ปกติโครงการของเราก็สั่งซื้อของจากซัพพลายเออร์เจ้าเดิม ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรนี่”
“นั่นแหละครับ ผมถึงอยากให้ตรวจสอบว่าทำไมจู่ๆ มันถึงมีปัญหา เราไม่ควรเดินหน้าทำงานต่อ เพราะมันเสี่ยงกับความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตของคนงาน ซึ่งผมว่าอย่างหลังสำคัญที่สุด”
พวกกรรมการคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย อำพลเลยจนมุม
ธำรงหาวขึ้นมาอีกครั้งอย่างเบื่อๆ ขี้เกียจฟัง เลยลุกออกไปเงียบๆ อำนวยมองตาม
ทางด้านมายาวีกำลังชงกาแฟหลายแก้วใส่ถาด จะเอาไปเสิร์ฟในห้องประชุม ธำรงเดินผ่านหน้าไป มายาวีชะงัก
“อีตาธำรง ออกมาทำไม”
มายาวีรีบวิ่งตามออกไปดู เห็นธำรงเดินจะไปทางห้องตัวเอง
ธำรงเดินจะถึงห้อง เสียงมายาวีแปร๋นดังลั่น
“คุณธำรงขา จะไปไหนคะ”
ธำรงหยุดชะงัก หันมาเห็นมายาวีวิ่งถือกาแฟตามมา
“กลับห้องครับ”
อนุภัทรกำลังสั่งดาวน์โหลดเอกสารจากคอมพิวเตอร์ธำรง ได้ยินเสียงมายาวีกะธำรงดังลอดมา
“แต่ว่าการประชุมยังไม่จบเลยนะคะ”
“ผมไม่ฟังแล้วล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับผมนี่”
อนุภัทรตกใจ “เวรล่ะ”
อนุภัทรมองดูเปอร์เซ็นต์ดาวน์โหลดอย่างลุ้นๆ
มายาวีพยายามถ่วงเวลาสุดชีวิต
“ถ้างั้น ทานกาแฟก่อนไหมคะ” พลางส่งสายตาเชิญชวน
ธำรงรู้สึกว่ามายาวีมีท่าทางแปลกๆ ยิ้มตอบ
“ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบกาแฟ”
ธำรงหันหลังจะไป มายาวีตกใจ ไม่รู้ทำไง ลงทุนพลิกแก้วกาแฟเทใส่ตัวเอง หวังจะช่วยอนุภัทร
“ว้าย ตายแล้ว โอ๊ย ร้อน”
ธำรงหันมา ตกใจ “อ้าวคุณเมย์”
“เมย์นี่ซุ่มซ่ามจังเลยค่ะ” มายาวีทำหน้าเจ็บปวด เพราะร้อนจริง “คุณธำรงขา พาเมย์ทำแผลหน่อยสิคะ” ส่งสายตาเชิญชวนอีก
ธำรงเห็นสายตาเชิญชวนของมายาวีครั้งนี้ ก็เลยนึกว่ามายาวีพยายามทอดสะพานให้ เริ่มยิ้มกริ่ม
“ห้องผมก็มียาเหมือนกันครับ เชิญ”
“อุ๊ย ไม่ค่ะ เมย์เห็นที่ห้องยามียาสามัญประจำบ้านครบชุดเลย”
“ผมก็มีครับคุณเมย์ ทางนี้ครับ”
ธำรงประคองมายาวีไป มายาวีว้าวุ่น เพราะเรื่องกำลังไปกันใหญ่
อนุภัทรดาวน์โหลดไฟล์ครบร้อยเปอร์เซ็นต์พอดี เสียงประตูจะเปิด อนุภัทรรีบกระชากปลั๊กปิดคอมแล้วซุกเข้าใต้โต๊ะทำงาน
ธำรงประคองมายาวีไปที่โซฟา มายาวีเหลือบมองหาอนุภัทรแบบลุ้นๆ อยู่ไหนวะ
“นอน เอ๊ย นั่งตรงนี้ก่อนนะครับคุณเมย์”
มายาวีเอามือลูบแขนตัวเองที่โดนกาแฟลวก ธำรงรีบลุกไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน อนุภัทรหลบเข้าใต้โต๊ะ ใกล้กับที่ธำรงยืนนิดเดียว แต่ธำรงไม่ได้สังเกต
“มาแล้วครับ เดี๋ยวผมทายาให้” ธำรงกระวีกระวาดรีบไปหามายาวี
“เอ่อ ที่จริงไม่ต้องก็ได้นะคะ เมย์ทาเองดีกว่า”
“มือผมถนัดกว่านะครับคุณเมย์”
“แต่ว่า...” มายาวีมองไปทางโต๊ะทำงาน
ธำรงมองตาม “มีอะไรเหรอครับ”
“อุ๊ย ไม่มีค่ะ ไม่มีค่ะ”
มายาวีรีบเอามือดันหน้าธำรงให้หันกลับมา แล้วพลิกแขนให้ธำรงดูแผล
“ทาเลยค่ะคุณธำรง เมย์เจ็บจะแย่อยู่แล้ว” มายาวีทำสำออย
อนุภัทรค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมามอง เห็นมือมายาวีโบกชี้ให้ย่องออกไป
“โอ๊ย เจ็บค่ะ เจ็บ”
มายาวีพยายามโบกมือไล่อนุภัทรให้ออกไป อนุภัทรรีบย่องๆๆ จะถึงประตู
ธำรงทายาให้จนทั่วแขน “หายยังครับคุณเมย์”
“ยังค่ะ อีกนิด”
อนุภัทรย่องไปจะถึงประตู แต่อยู่ๆ ธำรงก็เงยหน้าขึ้นมา อนุภัทรรีบหลบเข้าที่กำบัง
“ผมเอาน้ำแข็งมาประคบดีกว่านะครับ”
“อุ๊ย ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง”
มายาวีกระชากธำรง ธำรงเซล้มลงมาทับมายาวีบนโซฟาพอดี
มายาวีตกใจ “ว้าย”
ธำรงอึ้งๆ มองมายาวีที่นอนอยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มหื่นขึ้นมา
“แหม คุณเมย์ครับ ถ้าต้องการแบบนี้ก็บอกทีแรกก็หมดเรื่อง”
“ต...ต้องการอะไรคะ”
“ผมรู้นะว่าคุณเมย์...หิว”
มายาวีอ้าปากหวอ ธำรงยิ่งทำหน้าหื่น
“งั้นผมจัดให้”
ธำรงก้มลงจะจูบ มายาวีตกใจพยายามดิ้น
“ว้าย ไม่ใช่ละ เข้าใจผิดแล้วคุณธำโร้ง... ปล่อย”
อนุภัทรเห็นมายาวีโดนปล้ำก็ตกจะ ละล้าละลังจะยังไงดี แล้วตัดสินใจลุกขึ้น
ธำรงเสียงหื่นโหย “เฉยๆ สิครับ”
“ไม่ ม่าย...”
มายาวีทั้งผลักทั้งดัน แต่ธำรงหยุดไม่อยู่แล้ว มายาวีเห็นแขนตัวเองที่เปื้อนยาหม่อง เลยยื่นเข้าไปขยี้ๆ ใส่ตาสองข้างของธำรงจังเบอร์ ธำรงร้องลั่นแทบกลิ้งเพราะแสบตา
“โอ๊ย... คุณเมย์ทำอะไรเนี่ย”
“ม...เมย์ขอโทษค่ะ เมย์ตกใจ”
“โอ๊ย แสบตา โอ๊ย”
ธำรงวิ่งเอามือกุมหน้าตัวเองออกไป มายาวียืนใจหายใจคว่ำมองตามธำรง
อนุภัทรรีบลุกขึ้น วิ่งมาหา “คุณเมย์ เป็นอะไรหรือเปล่า”
มายาวีหันมาแล้วตบหน้าอนุภัทรดังเผียะ อย่างแค้นเคือง ระคนหมั่นไส้
มายาวีงอนใส่อนุภัทรยกใหญ่
“เพราะคุณคนเดียว ทำให้ฉันทั้งเจ็บตัวทั้งเกือบจะเสียตัว เนี่ยดูซิ อยู่ๆ ก็ต้องเอาน้ำร้อนมาลวกตัวเอง อูย” มายาวีลูบแขนป้อยๆ
อนุภัทรยิ้มขำ “ผมก็ไม่นึกว่าคุณจะลงทุนขนาดนั้น โคตรทุ่มเทเลย”
“ก็เพราะไม่อยากให้คุณทำงานผิดพลาด จนคุณพ่อฉันผิดหวังน่ะสิ”
“ผมขอโทษ แล้วนายธำรงมันลวนลามคุณหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ได้ยาหม่องช่วยไว้ คุณได้ดูฉากน.18+ แน่” มายาวีเอามือลูบตัวตัวเองอย่างขนลุกขนพอง “ยี้ๆๆๆ คิดแล้วขนลุก อีตาธำรงเล่นจริงจูบจริง”
อนุภัทรนึกหวงลึกๆ ในใจ “มันจูบคุณเหรอ ตรงไหน”
“ตรงนี้” หล่อนมือให้เขาดู
อนุภัทรดึงมือมายาวีมาเช็ดๆๆ อย่างหวงแหน แล้วไล่สายตาไปที่แขน เห็นรอยแดงๆ
“เจ็บไหม”
“เจ็บสิ”
“งั้นเดี๋ยวผมทายาให้”
“มีเหรอ”
“มีสิ”
อนุภัทรยกแขนมายาวีขึ้นมาใกล้ๆ แล้วหลับตาพึมพำอะไรบางอย่างก่อนจะเป่า
“เพี้ยง”
มายาวีหัวเราะขำ อนุภัทรลูบแขนมายาวีเบาๆ
“เอายาขนานแรกไปก่อน เดี๋ยวผมหาว่านหางจระเข้มาทาให้ อ้ะ แถมอีกเพี้ยง”
อนุภัทรเป่าแขนมายาวีอีก มายาวีมองอนุภัทรที่ยังจับมืออยู่เขินๆ สะบัดสะบิ้งนิดๆ
“บ้า มีแต่น้ำลาย” มายาวีดึงแขนมาเช็ด แก้เขิน
ส่วนอิศร์มาเยี่ยมแพรพลอย แล้วต้องตกใจมากพอรู้เรื่อง
“อะไรนะ มันตามมาฆ่าคุณถึงที่นี่เลยเหรอ”
“ค่ะ แต่ป้าดวงโชคไม่ดี มาเจอมันซะก่อน”
“แล้วป้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อิศร์รีบถลาเข้าไปกอด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อย ว่าแต่พวกมันเป็นใครกันคะ ทำไมถึงอุกอาจอย่างนี้ ป้าบอกให้คุณแพรแจ้งตำรวจเธอก็ไม่ยอม กลัวโรงพยาบาลจะเสียชื่อ”
“แพรไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะแพรคนเดียวที่เป็นเป้าหมายของมัน ถ้าแพรไม่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่มีเรื่องอะไรอีก” แพรพลยบอกกับอิศร์ “ฉันจะกลับบ้านวันนี้เลยนะคะ คุยกับหมอแล้ว”
“คุณแน่ใจนะว่ากลับไหว”
“ถึงไม่ไหวก็ต้องกลับ ฉันไม่อยู่รอให้มันขึ้นมาฆ่าฉันอีกรอบแน่”
“คุณเห็นหน้ามันชัดหรือเปล่า”
“อุ๊ย ป้ากับคุณแพรเห็นชัดยิ่งกว่าทีวี HD อีกค่ะ”
“งั้นผมจะให้ไอ้ภัทรประสานกับตำรวจ เผื่อจะสเก็ตช์ภาพมันออกมาได้”
แพรพลอยพยักหน้าเห็นด้วย
ทิตาเดินวนเวียนอยู่ในห้องพัก คุยโทรศัพท์อย่างหัวเสีย มือก็ลูบเอวที่มีผ้าพันแผลอยู่
“ฉันรู้ตัวว่าฉันทำพลาด ไม่ต้องตอกย้ำกันนักก็ได้สุนทร ! ถ้าไม่พอใจจะเลิกจ้างก็ได้นะ” หล่อนนิ่งฟังสุนทร “งั้นก็ใจเย็นๆ ฉันจำเป็นต้องวางแผนให้ดีกว่านี้”
ทิตากดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ให้พ้นไป ก่อนจะก้มดูแผลที่เอวอีกครั้ง ทั้งเจ็บทั้งแค้น
อิศร์ประคองแพรพลอยจะเข้าบ้าน ป้าดวงเดินตามเข้ามา
“ป้าจัดเสื้อผ้าของคุณแพรใส่ตู้ให้เหมือนเดิมแล้วนะคะ ที่ห้องนอนเดิม”
“ขอบคุณค่ะ” แพรพลอยเห็นป้าดวงจะเข้าบ้าน เรียกไว้ “ป้าคะ ช่วงนี้คุณอริสอยู่บ้านหรือเปล่า”
ป้าดวงงง ทำท่าคิด “ก็อยู่นะคะ ไม่เห็นออกไปไหน คุณแพรมีอะไรหรือเปล่า”
แพรพลอยฝืนยิ้ม “ไม่มีค่ะ”
ป้าดวงเข้าบ้านไป แพรพลอยมองมองไปทางบ้านอำพล อย่างครุ่นคิด แล้วบอกกับอิศร์
“อย่าเพิ่งเข้าบ้านเลยค่ะคุณอิศร์ เราไปหาคุณอริสกันไหมคะ”
อิศร์งง “นึกอะไรขึ้นมาครับ”
“ฉันไม่เจอคุณอริสนานแล้ว คุณเองก็เหมือนกัน ไม่คิดถึงเธอเหรอคะ”
แพรพลอยเลิกคิ้วหยั่งเชิง อิศร์ทำหน้าหวาดเสียว
“หึ อย่าหางานให้ผมหน่อยเลยน่า”
“ไปเถอะค่ะ ฉันจะได้ไปไหว้คุณลุงคุณป้าของคุณด้วย เดี๋ยวท่านจะหาว่าไปไม่ลามาไม่ไหว้”
แพรพลอยเดินออกไป อิศร์งงว่าแพรพลอยคิดอะไรอยู่ แต่ก็เดินตาม
สองคนเดินเข้ามาในห้องรับแขก เรณูรับไหว้แพรพลอย
“อิศร์มีคนคอยดูแลป้าก็เบาใจ ยิ่งเป็นหนูแพรป้าก็ยิ่งไม่ห่วง เพราะหนูก็ช่วยอิศร์มาหลายครั้งแล้ว”
แพรพลอยยิ้มรับไม่ตอบอะไร กรองทองเข้ามาพับเพียบรายงาน
“คุณอริสให้เรียนว่าเธอไม่ทานข้าวเย็นค่ะ ไม่ค่อยสบาย”
อิศร์ฉงน “อริสเป็นอะไร”
“ฉันไปดูให้นะคะ”
แพรพลอยลุกขึ้นทันที แต่ไอริณเดินเข้ามาขวาง
“ไม่ต้อง! เธอไม่มีสิทธิ์จะมาเดินเพ่นพ่านในบ้านหลังนี้”
“หนูแพรเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลนะลูก” เรณูปราม
“เป็นแค่ลูกจ้างพี่อิศร์ ไม่เรียกว่าคนอื่นเหรอคะ ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวข้าวของเราหายไปจะทำไง”
แพรพลอยข่มใจ อิศร์หงุดหงิด
“แล้วอย่างพี่ ริณเรียกว่าคนอื่นหรือเปล่า”
“พี่อิศร์เป็นพี่ชายริณนะคะ”
อิศร์ประชด “งั้นพี่ขออนุญาตพาคุณแพรไปเยี่ยมอริสหน่อยนะ”
อิศร์จูงแขนแพรพลอยขึ้นไป ไอริณสะบัดสะบิ้งหงุดหงิด
อิศร์ยืนอยู่หน้าห้องอริสรา เคาะประตู
“อริสครับ ผมอิศร์นะ ได้ยินว่าคุณไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
อิศร์เคาะประตูอีกสองสามครั้ง ซักพักอริสราก็เปิดประตูออกมา น้ำตาเกรอะกรัง
“อิศร์...อิศร์”
อริสราโผเข้ากอดอิศร์ร้องไห้ สะอึกสะอื้น แพรพลอยยืนงง อิศร์ก็เหวอไปเหมือนกัน
“อริสเป็นอะไรไป”
อริสราไม่ตอบ แต่กอดอิศร์แน่น สะอื้นฮักๆ จนอิศร์ต้องดันตัวออก
“คุณแพรเป็นห่วงอริสมากนะ”
อริสราชะงัก เหมือนเพิ่งเห็นแพรพลอย ทำหน้าตกใจ รีบปาดน้ำตา
“ฉันเหมือนเห็นคุณอริสที่โรงพยาบาลวันนี้ คุณอริสไปหาหมอมาหรือเปล่าคะ”
อริสรามีหน้าตกใจกว่าเดิม ตะกุกตะกัก “ป...เปล่าค่ะ ฉ...ฉันอยู่บ้านทั้งวัน คุณเห็นคนผิดแล้ว”
“แล้วตกลงคุณอริสไม่สบายเป็นอะไรคะ”
อริสราตอบปัดๆ หลบตา “เป็นไข้นิดหน่อย”
“แล้วทำไมอริสต้องร้องไห้ด้วยล่ะครับ”
อริสราน้ำตาปริ่มๆ อัดอั้นตันใจ ไม่กล้าบอกว่าท้องเพราะกลัวอิศร์จะยิ่งผลักไสไปอีก
“ทำอะไรกัน”
ทั้งสามชะงัก หันไปเห็นไอศูรย์กับอำพลเดินเข้ามา ไอศูรย์จ้องเขม็งอย่างจับผิด
“ผมกับคุณแพรมาเยี่ยมอริสน่ะครับ เห็นกรองทองบอกว่าไม่สบาย”
“อริสปวดหัวมาหลายวันแล้ว ฉันดูแลอยู่ นายอย่ารบกวนเธอมาก”
ไอศูรย์โอบอริสราไว้ แสดงออกว่าต้องการกันออกให้ห่างจากอิศร์ อิศร์จ๋อย
“ลงไปทานข้าวด้วยกันดีกว่าอิศร์” อำพลหันมาพูดกับแพรพลอย “เธอด้วยนะ”
“เอ่อ จะดีเหรอครับ” อิศร์ลังเล
“ทำไมจะไม่ดีล่ะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้วนะ เชิญเถอะ อย่าให้ลุงเข้าใจว่ารังเกียจเลย”
อำพลเดินนำลงไป อิศร์สบตากับแพรพลอยอย่างอึดอัดใจ ไม่ค่อยอยากอยู่บ้านนี้
ส่วนที่ห้องอนุภัทร เครื่องมืออิเล็คทรอนิควางอยู่ มีแล็บทอป 2 เครื่อง ปรินเทอร์ วางรอบตัว อนุภัทรกำลังง่วนอ่านไฟล์เอกสารที่โหลดมาจากคอมของธำรง จู่ๆ ก็มีสัญญาณจากแล็บทอปอีกเครื่องที่ต่อตรงจากกล้องวงจรปิดที่แอบซ่อนไว้
อนุภัทรหันไปดูที่แลปทอปอีกเครื่อง เห็นหน้าจอแสดงความเคลื่อนไหวหลายจอ แต่มีจอหนึ่งที่ธำรงเดินเข้ามาพอดี อนุภัทรรีบดึงจอซูมขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดมากขึ้น
เวลานั้นธำรงเดินคุยโทรศัพท์ออกมาอย่างรีบร้อน ผ่านพุ่มไม้หน้าบ้าน
“ผมกำลังไปครับเสี่ย เพิ่งโทร.นัดท่านอธิบดีเมื่อครู่นี้เอง แล้วเจอกันที่ร้านเดิมนะครับ”
ธำรงเดินผ่านพุ่มไม้ออกไปที่โรงรถ โดยไม่รู้ว่ามีกล้องติดที่พุ่มไม้นั้น
อนุภัทรหมุนตัวกลับมาที่คอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมแผนที่ เห็นไฟกะพริบที่จุดหนึ่ง พอซูมเข้ามาจึงเห็นว่าเป็นตำแหน่งบ้านของอำนวย นึกถึงเหตุการณ์ที่หน้าบ้านอำนวย ตอนที่เขาแอบวุ่นวายค้นเอกสารในเก๊ะรถทำธง และแอบติดเครื่องส่งสัญญาณ GPS ไว้
อนุภัทรเห็นไฟกะพริบที่หน้าบ้านธำรงเคลื่อนที่ออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้กองรีบลุกขึ้น เก็บอุปกรณ์ทุกอย่าง เตรียมตามธำรงไป
ฟากอิศร์กับแพรพลอยนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวอำพลอย่างอึดอัด
ทั้งหมดกินอาหารกันเงียบๆ ไม่คุยกัน แต่อำพลเหลือบมองแพรพลอยเป็นระยะๆ พยายามชวนคุย
“ได้ยินว่าวันนี้เธอก็เกือบถูกทำร้ายเหรอแพรพลอย คงไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”
“ค่ะ”
เรณูตื่นเต้น “ตายจริง อีกแล้วเหรอหนู”
“น่าจะลองให้ตำรวจสอบปากคำมิสเตอร์ลีดูนะ มันอาจจะรู้อะไรดีๆ ก็ได้”
ไอศูรย์เปิดประเด็น ทำเป็นยิ้มอมภูมิ เมื่อเห็นอิศร์กับแพรพลอยมองหน้าฉงน จึงวางหน้าเฉย
“ทำไม ไม่เชื่อฉันเหรอ แกยังรู้จักไอ้มาเฟียนี่น้อยไป”
อำพลเสริม “อิศร์ไม่สังเกตเหรอว่าเกิดเรื่องร้ายๆ กับตัวเองถี่ขึ้น ตั้งแต่อิศร์เปิดตัวว่าจะเข้ามาบริหารบริษัทของเรา”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมิสเตอร์ลีครับ” อิศร์งงไม่หาย
“ก็แกเป็นลูกชายอาอำนาจ แล้วใครๆ ในวงการธุรกิจก็รู้ว่าอาอำนาจคือคนที่บุกเบิกเดชโชดมกรุ๊ปมากับคุณปู่ พอทายาทอย่างแกจะมารับช่วงต่อ บริษัทเราก็พลอยได้รับความเชื่อถือ จนราคาหุ้นเราดีดตัวแซงหน้าบริษัทมันไปแล้ว” ไอศูรย์ว่า
“มิสเตอร์ลีถึงได้เริ่มให้ข่าวดิสเครดิตโรงแรมของเรา แล้วก็คงจะมีเล่ห์กลอื่นๆ ตามมาอีก” อำพบทำหน้าเครียด “ลุงไม่อยากจะใส่ความ แต่มันก็น่าคิด”
“เราไม่มีหลักฐานนะคะคุณ อย่าเพิ่งกล่าวหากันเลยค่ะ เดี๋ยวใครได้ยินเข้าจะมองเราไม่ดี” เรณูท้วง
“ผมก็อยากจะเตือนหลานไว้ก่อน วงการนี้มันโหดกว่านี้มาก นี่ยังเป็นแค่รับน้อง” อำพลหันมาทางแพรพลอย “เธอเองก็ระวังตัวไว้ เพราะตอนนี้เธอก็คงเป็นเป้าหมายไปด้วยแล้วล่ะแพรพลอย”
อำพลมองแพรพลอยสายตาซีเรียส แต่แฝงความท้าทายลึกๆ ไอริณมองคนนั้นคนนี้พูดเรื่องงาน แล้วโพล่งออกมาอย่างรำคาญ
“โอ๊ย รำคาญ คุยเรื่องงานที่บริษัทกันไม่พอหรือไงคะ ทานข้าวเถอะค่ะ”
ไอริณตัดบท ตักอาหารให้อำพลกับไอศูรย์ อิศร์กินข้าวต่อ แต่สีหน้าเริ่มคิดหนัก
ไอศูรย์เดินตามอำพลเข้ามาคุยในห้องที่บ้าน
“คุณพ่อคิดว่าไอ้อิศร์มันจะเชื่อที่เราพูดไหมครับ”
“ของแบบนี้จะเป่าหูกันภายในวันสองวันคงเป็นไม่ได้ เราค่อยๆ แซะไปเรื่อยๆ ถ้ามันไม่ตายซะก่อน มันก็ต้องเอนเอียงเชื่อว่าศัตรูคือไอ้มิสเตอร์ลี
“เราได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะครับ”
อำพลกับไอศูรย์หัวเราะกัน
ทิตานั่ง search ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ เห็นว่ากำลังไล่ดูรูปแพรพลอยอยู่จากหลายเว็บ ทิตาเห็นข่าวแพรพลอยรับเหรียญตราเกียรติประวัติจากรัฐบาล ไล่ลงมาด้านล่างเห็นอีกข่าว
“สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบเหรียญตราพิเศษให้กับนางสาวแพรพลอย พรรณรี ผู้ติดตามของรมต.บรรเลง ศรัทธาสิทธิ์”
ทิตาเลื่อนขึ้นไปดูแพรพลอยให้ชัดๆ อีกที
“แพรพลอย พรรณรี...”
ทิตาทำหน้าครุ่นคิด รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูเหลือเกิน และทำให้หวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ตอนนั้น ตำรวจ 2 คนคุมตัวป้าของทิตา มีอาการมึนเมาออกมา แต่ป้ายังโวยวายไม่หยุด
“ปล่อยฉัน ทำไมฉันจะทุบตีมันไม่ได้ ก็มันเป็นเด็กดื้อ อีเด็กนรกส่งมาเกิด”
ป้ามองไปทางในบ้าน เห็นตำรวจหญิงประคองทิตาออกมา สภาพทิตาใบหน้าปูดบวมสะบักสะบอม น้ำตาเปรอะตา เสื้อผ้าฉีกขาดวิ่น มีร่องรอยถูกทุบตีทารุณ แต่สีหน้านิ่ง ไม่สะอื้นสักแอะ
“นังกระต่าย! แกจะไปตายที่ไหนก็ไป อยากจะรู้นักว่าไม่มีฉันซักคนใครจะเอาแก พ่อแม่แกมันก็ไม่เอา ถึงได้มาทิ้งไว้กับฉัน นังเด็กเหลือขอ”
ตำรวจหญิงกอดปลอบทิตา แต่ทิตานิ่งสีหน้าเก็บกด ชิงชังโลก
ป้าโวยวายอาละวาดไม่เลิก แล้วถูกตำรวจลากออกไป สวนกับอัมพาซึ่งอยู่ในชุดข้าราชการครูมีป้ายชื่อ ที่รีบร้อนเข้ามา มีแพรพลอยกับกรณ์วัยเด็กเดินตามมามอง
“พี่อัมพา” ตำรวจหญิงเรียก
อัมพารู้เรื่องหมดแล้ว รีบเข้ามา “โถ หนู...ไปอยู่กับครูนะจ๊ะ จะไม่มีใครทุบตีทำร้ายหนูอีกแล้วนะ”
อัมพากอดทิตาแน่น ทิตาปล่อยให้กอด แต่ไม่ยอมกอดตอบ สายตาแข็งนิ่งเหมือนคนเก็บกดมองไปที่ป้ายชื่อ “อัมพา พรรณรี”
ทิตาดึงความคิดกลับมา มองที่ชื่อของแพรพลอยใต้ภาพข่าวนิ่งๆ สงสัยว่าต้องเกี่ยวข้องกับแม่ครูอัมพาแน่นอน
“อัมพา พรรณรี...แพรพลอย พรรณรี” หล่อนครุ่นคิด ตรึกตรอง
อิศร์กับแพรพลอยเดินคุยกันมาที่สนาม ระหว่างทางกลับบ้านตัวเอง
“คุณแพร คุณคิดยังไงเรื่องมิสเตอร์ลี”
“ถ้าตัดสินจากการพบกันแค่ครั้งเดียว เขาก็ดูเป็นคนที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ฉันไม่ได้รู้จักเขามากพอที่จะตัดสินได้ว่าเขาโหดเหี้ยมขนาดนั้นจริงหรือเปล่า”
อิศร์ถอนใจ “คนเราจะคิดฆ่ากันง่ายๆ เพราะเรื่องเป็นคู่แข่งธุรกิจกันเท่านั้นเหรอ ผมยังไม่เคยทำอะไรให้เขาเดือดร้อนเลยนะ แล้วอีกอย่างผมก็เป็นลูกชายของเพื่อนรักเขา ก็เท่ากับเป็นหลาน”
“นี่คุณ จะโลกสวยไปไหน คนเราสายเลือดเดียวกันก็ฆ่ากันได้เพราะเงินตัวเดียว”
“คุณพูดซะผมกลัว” อิศร์มองไปรอบๆ “หวังว่าจะไม่มีใครในบ้านนี้คิดอย่างนั้นนะ”
“มันคือโลกของความจริง โลกที่ขับเคลื่อนด้วยกิเลส อาหารอันโอชะของกิเลสก็คือเงิน ตราบใดที่คุณมีเงิน คุณก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเป็นเหยื่อของใครซักคน ถ้าโชคดีคุณก็จะอยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าโชคไม่ดี...”
แพรพลอยยักไหล่ ไม่พูดต่อ ละไว้ในฐานะที่เข้าใจ อิศร์ทำหน้าเศร้า แล้วยิ้มร่า เมื่อนึกขึ้นมาได้
“งั้นผมก็คงจะโชคดี เพราะผมมีคุณ...คุณจะช่วยให้ผมอยู่รอดปลอดภัยใช่ไหม”
แพรพลอยพูดทีเล่นทีจริง “คุณไม่กลัวฉันฆ่าคุณเหรอ ฉันอาจจะแกล้งทำให้คุณตายใจ แล้วก็ฆ่าคุณหวังสมบัติก็ได้”
“ถ้าคุณอยากได้สมบัติ ไม่ต้องถึงกับฆ่าผมก็ได้ แค่...” อิศร์จับมือแพรพลอยมาแนบอก “แค่รับชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ในอุ้งมือ แล้วก็คอยดูแลให้ข้าวให้น้ำวันล่ะสามครั้ง คุณอยากได้อะไรก็เอาไปให้หมด ผมยกให้”
อิศร์กุมมือแพรพลอยไว้แนบอก แพรพลอยขำๆ พยายามดึงออก
“ไม่เอา ฉันไม่รับ”
“รับหน่อยน่า รับนะๆๆ”
“ปล่อย คุณอิศร์”
แพรพลอยยื้อแย่งมือกับอิศร์แล้วออกแรงกระชาก หมัดเสยคางอิศร์หน้าหงาย
“โอ๊ย”
“คุณอิศร์”
แพรพลอยตกใจวิ่งเข้าไปประคองอิศร์ ที่ทำคอแหงน
อิศร์ทำเป็นคอแหงนเคล็ดก้มไม่ลง พยาพยามให้แพรพลอยช่วยดัดคอให้ แพรพลอยขำ
เวลาต่อมาอิศร์เดินดัดคอตัวเองขึ้นบันไดมากับแพรพลอย
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ” แพรพลอยจะไป
“เดี๋ยวคุณ แน่ใจเหรอว่าห้องคุณอยู่นั่น แน่ะ ไหนบอกว่าความจำปกติดี แค่นี้ก็สับสน”
แพรพลอยชะงัก สับสน มองประตูสองบาน
“ฉันห้องนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่เหรอ ห้องคุณห้องนี้” อิศร์แกล้งชี้ไปอีกห้อง
แพรพลอยมึนๆ เกาหัว คิดว่าความจำจะเสื่อมจริงๆ แต่พอเดินมา ถึงเห็นอิศร์พยายามกลั้นยิ้ม
“คุณอิศร์ หลอกฉันเหรอ”
“แหม ก็นึกว่าจะสมองเสื่อมจริงๆ จะได้หลอกเข้าห้องซะเลย”
“หลอกเข้าห้องเหรอ นี่แน่ะ”
แพรพลอยตรงเข้าบิดหู อิศร์ร้องจ๊าก แพรพลอยเปิดประตูลากหูอิศร์เข้าห้อง
“อยากเข้าห้องกับฉัน โดนหมัดสอยดาวคราวที่แล้วไม่เข็ดใช่ไหมนี่ๆ”
ประตูห้องอิศร์ปิดลง เสียงอิศร์ร้องจ๊ากๆ แบบโดนซ้อมขำๆ
คืนนั้นอนุภัทรลอบตามธำรงออกมาจากบ้านอิศร์ สวมหมวกแก๊ปเดินเข้ามาในร้านอาหารกึงผับ สอดส่ายสายตา แล้วเดินหาธำรง จนเห็นธำรงนั่งคุยอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งกับชาย 2 คน
อนุภัทรจำได้ว่าเป็นคนที่ธำรงนัดเจอที่ล็อบบี้โรงแรม คนหนึ่งเป็นเสี่ย อีกคนเป็นอธิบดี ธำรงเป็นนกสองหัว เอาเอกสารประมูลงานของบริษัทมาให้เสี่ย ขณะเดียวกันก็เป็นตัวประสานยัดใต้โต๊ะอธิบดี รับเงินสองต่อ
อนุภัทรดึงหมวกหรุบลงให้บังหน้าตัวเองมากกว่าเดิม แล้วเดินเข้าไปใกล้โต๊ะนั้น ทำเป็นคุยโทรศัพท์ แล้วกวาดตามองหาโต๊ะไปด้วย
ธำรงยังคุยกับคนทั้ง 2 โดยไม่รู้ตัว อนุภัทรเดินใกล้เข้ามา เหลือบมอง
“ต้องขอบคุณคุณธำรง ที่ทำให้งานนี้จบลงด้วยดี บริษัทผมผ่านฉลุย” เสี่ยบอก
“ถ้าฉลุยจริง เสี่ยน่าจะจ่ายให้ผมสองเท่านะ ฮ่าๆๆๆ” อธิบดีหัวเราะทีเล่นทีจริง
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับท่านอธิบดี เพราะโปรเจคท์นี้ผมฟันกำไรเหนาะๆ ต้องขอบคุณข้อมูลที่คุณธำรงให้”
อนุภัทรแอบฟังอยู่ แล้วกดอัดเสียงสนทนาไว้ในโทรศัพท์มือถือ
“งั้นเสี่ยก็ต้องจัดให้ผมสองเท่า ไม่ให้น้อยหน้ากันนะ ฮ่าๆๆ”
ทั้งสามหัวเราะชนแก้วกันอย่างร่าเริง โดยไม่ได้สังเกตเห็นอนุภัทรเลย
วันต่อมาทุกคนฟังเสียงสนทนาที่อนุภัทรบันทึกไว้จบพอดี
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ธำรงจะทำแบบนี้ ทำให้บริษัทเสียผลประโยชน์ไม่พอ ยังทำผิดกฎหมายอีก” อิศร์เอ่ยขึ้น
“เรื่องแดงเมื่อไร หุ้นบริษัทตกแน่ๆ นายอิศร์เอ๊ย ตายล่ะ ฉันต้องโทร.ไปขายทิ้ง”
มายาวีวิ่งแจ้นออกไป อิศร์มองแล้วส่ายหน้าเอือม
“คุณอิศร์น่าจะเรียกคุณธำรงมาคุยนะคะ” แพรพลอยแนะนำ
“ผมคงต้องแจ้งทุกคนในบอร์ดด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก”
อนุภัทร “อย่าเพิ่งนะเว้ย ! เงียบๆ ไว้ก่อน ฉันได้หลักฐานคาหนังคาเขากว่านี้”
“แกจะเอาอะไรอีก”
“เสียงที่ฉันบันทึกไว้มันไม่ชัดเจนพอ ทนายอาจจะอ้างได้อีกว่าเป็นการตัดต่อ ถ้าเราจะทำให้สามคนนี้ยอมรับก็ต้องจับให้ได้คามือ”
แพรพลอยสงสัย “ผู้กองมีแผนอะไรเหรอคะ”
“บริษัทแกลงมือทำแผนงานโปรเจคท์สร้างศูนย์ประชุมไปแล้วใช่ไหม ฉันอยากให้แกเรียกประชุมปลอมๆ ขึ้นมาอีกครั้ง”
อนุภัทรบอกแผนการ
ขณะเดียวกันกรองทองเข้ามาดูดฝุ่นทำความสะอาดในห้องนอนอริสรา ระหว่างที่ดูดฝุ่นใต้เตียง เครื่องดูดฝุ่นไปเขี่ยกล่องเครื่องตรวจครรภ์อันหนึ่งที่ตกอยู่ออกมา
กรองทองหยุดดูดฝุ่น แล้วก้มลงเก็บขึ้นมาดูใกล้ๆ แล้วทำหน้าตกใจ อริสราเปิดประตูห้องน้ำออกมา เห็นกรองทองถือกล่องอยู่ก็ตกใจ
“กรองทอง”
กรองทองเงยหน้ามองอริสรา “ค...คุณอริส คุณอริสท้องเหรอคะ”
อริสราอึ้ง พอได้สติก็ปราดมากระชากกล่องไป กรองทองตื่นเต้น
“กรองสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าคุณอริสน่าจะท้อง ดีใจด้วยนะคะ”
อริสราหน้าเผือด พอได้สติก็รีบปฏิเสธ
“เปล่านะ ฉันไม่ได้ท้อง” อริสราละล่ำละลัก “คือ...ทีแรกฉันก็สงสัยเหมือนกัน ก็เลยซื้อมาทดสอบ แต่ผลมันออกมาว่าไม่ท้องจ้ะ” แล้วแกล้งทำหน้าเศร้า “ฉันไปให้หมอเช็คอีกที หมอก็ยืนยันว่าไม่ได้ท้อง”
“อ้าวเหรอคะ” กรองทองงง เสียดาย
“กรองอย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ ฉันไม่อยากให้ใครมาซักถามอะไร มันสะเทือนใจน่ะจ้ะ”
อริสราทำหน้าน่าสงสาร กรองทองใจอ่อน
“ค่ะ แต่คุณอริสอย่าคิดมากนะคะ คุณอริสยังอายุน้อย อีกไม่นานก็คงมี”
“ฉันคงไม่เหมาะที่จะเป็นแม่ใครหรอกจ้ะ” อริสราตีหน้าเศร้า แล้วหันมากำชับ “แต่กรองอย่าพูดเรื่องนี้อีกนะ สัญญานะจ๊ะ”
กรองทองงงที่อริสรากำชับหนักแน่น แต่ก็พยักหน้า
ส่วนธำรงเก็บข้าวของบนโต๊ะเตรียมชิ่งออกจากออฟฟิศ แต่อำนวยเปิดประตูเข้ามาเสียก่อน
“แกจะออกไปไหนธำรง อยู่ประชุมด้วยกันก่อนสิ”
“ประชุมอีกแล้ว ไอ้อิศร์มันขาดความอบอุ่นหรือไง วันๆ เอาแต่เรียกประชุม ไม่ต้องทำงานทำการกันพอดี”
“เขาจะประชุมแผนงานก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมกันใหม่โว้ย แกไม่ไปก็ตามใจ”
อำนวยออกไป ธำรงชะงัก เริ่มกังวล
ต่อมาไม่นานธำรงยืนลับๆ ล่อๆ โทรศัพท์อยู่หน้าห้องประชุม ขณะที่คนอื่นเข้าห้องประชุมหมดแล้วธำรงกระซิบกระซาบ “เสี่ยครับ ไอ้เอกสารเสนอราคาสร้างสถานีรถไฟใต้ดินที่ผมส่งให้เสี่ย มันยังไม่ไฟนอลนะครับ ผมกำลังจะเข้าประชุมแก้ไข ถ้าได้ข้อมูลใหม่แล้วจะรีบส่งให้ แค่นี้ก่อนนะครับ”
ธำรงปิดโทรศัพท์ แล้วรีบเข้าห้องประชุม
อิศร์ยืนพูดอยู่ที่หน้าห้องประชุม บนจอฉายแบบแปลนก่อสร้าง และตัวอย่างโครงการศูนย์ประชุม นึกถึงแผนของอนุภัทร และดำเนินการไปตามนั้นอย่างแนบเนียน
“ฉันอยากให้แกเสนอแก้ไขรายละเอียดในแปลนการก่อสร้าง และเพิ่มงบประมาณให้สูงกว่าเดิม”
ทุกคนนั่งฟังอิศร์เคร่งเครียด มายาวีเดินแจกเอกสาร ธำรงดูยุกยิกมีพิรุธ
“มันจะเป็นการแก้ไขปลอมๆ ที่รู้เฉพาะในที่ประชุม แต่ฉันมั่นใจว่านายธำรงจะต้องเอาข้อมูลนี้ออกไปให้เสี่ยทรงยศ”
ธำรงก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารเคร่งเครียด อิศร์เหลือบมองแบบจับผิด
หลังจากนั้นอิศร์เดินตรวจงานในไซต์งาน อีกแห่ง คุยกับแพรพลอย มายาวี อนุภัทรไปด้วย อนุภัทรอยู่ในคราบคนขับรถ
“คุณแน่ใจนะผู้กอง ว่าแผนนี้จะเวิร์ก” มายาวีถาม
“ผมเชื่อว่าสามคนนี้จับมือทำธุรกิจร่วมกันยาวแน่ เพราะคนของผมที่จับตามองอธิบดีเกรียงไกรอยู่ ก็รายงานว่าทางโน้นเริ่มเปลี่ยนรถ ซื้อบ้านตากอากาศหลายที่ ลำพังเงินเดือนข้าราชการไม่มีทางจ่ายทุกอย่างได้”
“ลุงอำนวยก็บอกว่าพี่ธำรงร่ำๆ จะเปลี่ยนรถใหม่ เฮ้อ ฉันไม่สบายใจเลย เหมือนรู้อะไรแล้วไม่ยอมบอกท่าน ลูกชายท่านทำเรื่องแท้ๆ”
“แต่ถ้าบอกก็อาจจะทำให้แผนเสีย แล้วคุณธำรงรอดตัวไปได้นะ”
“อดทนอีกนิดเถอะวะอิศร์” อนุภัทรว่า
“คุณอำนวยเป็นคนมีเหตุผล ฉันเชื่อว่าท่านจะเข้าใจคุณ”
อิศร์พยักหน้าสบายใจขึ้น แพรพลอยยิ้มให้อิศร์แล้วทำหน้าตกใจ
“คุณอิศร์ ระวัง”
แพรพลอยเข้ารวบตัวอิศร์เบี่ยงหลบ ลูกบอลที่เตะพุ่งเข้ามาหา อนุภัทรรีบดึงมายาวีหลบ
“ตายแล้วหนู มาวิ่งเล่นอะไรกันแถวนี้ มันอันตรายนะจ๊ะ”
มีเด็กๆ ลูกคนงานวิ่งไล่ลูกบอลไป ไม่สนใจทั้ง 4 มายาวีมองกลุ้มๆ
ไม่นานต่อมา อิศร์ แพรพลอย มายาวี และอนุภัทรเดินเข้ามาทางบ้านพักคนงาน เห็นเด็กวิ่งเล่นกัน เด็กเล็กๆ ร้องไห้กระจองงอแง แม่ที่เป็นคนงานต้องวิ่งมาเลี้ยงลูก ชงนมให้กิน
“เด็กๆ ตามไซต์งานก่อสร้างก็มีความเป็นอยู่แบบนี้แหละค่ะ ตอนกลางวันเวลาพ่อแม่ทำงาน ก็ไม่มีใครดูแล ต้องเล่นกันเอง พวกที่ซุกซนไปเล่นในบริเวณที่เขาทำงานกันแล้วเกิดอุบัติเหตุก็เยอะแยะ สงสารพ่อแม่”
“ทำไมไม่เขาไม่ทิ้งลูกไว้ที่บ้านล่ะคะ” มายาวีแปลกใจ
“แรงงานก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรอกค่ะ ต้องย้ายที่ไปเรื่อยๆ ตามแต่งาน”
“น่าสงสารจังนะครับ เด็กวัยนี้ควรจะได้อยู่ที่โรงเรียน หรือไม่ก็เนิร์สเซอรี่ แบบนี้คงไม่ได้เรียนหนังสือกัน”
“ผมเคยเห็นมีโครงการสอนหนังสือให้เด็กๆ ตามไซต์งานก่อสร้าง ก็น่าสนใจดีนะครับ หาพวกจิตอาสามาช่วยกันดูแลเด็กๆ ระหว่างพ่อแม่เขาไปทำงาน”
“ว้าย คิดดีๆ ก็เป็นกับเขาเหมือนกันนะคะผู้กอง กู้ดไอเดียนะอิศร์”
มายาวีพยักหน้ากับอิศร์อย่างกระตือรือร้น
อำนวยรับฟัง ก็ยินดีสนับสนุนเต็มที่
“ดีเลยอิศร์ ลุงชอบ เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ดีนะ ทุกท่านว่ายังไงครับ”
อำนวยหันไปถามคนอื่นๆ
“เข้าท่านะครับ ประชาสัมพันธ์ดีๆ บริษัทเรายิ่งได้เสียงชื่นชม” บอร์ด 1 ว่า
บอร์ด 2 ชม “คุณอิศร์เข้าใจคิด”
เห็นบรรดาบอร์ดพากันชื่นชมอิศร์ยกใหญ่ ไอศูรย์กับอำพล ชักสีหน้าใส่กัน หมั่นไส้อิศร์เต็มกลืน
วันหนึ่ง อิศร์ แพรพลอย มายาวี แบ่งกันนั่งสอนเด็กๆ ระบายสีตัวอักษรเอบีซี บวกเลข คัดไทย ตามมุมต่างๆ ในร่ม เด็กๆ ดูตั้งใจเรียนรู้
เรณูถือกล่องคัพเค้กเดินเข้ามากับไอริณ ส่วนกรองทองเข็นถังไอศกรีมตามมา
“อิศร์ หนูแพร หนูเมย์” เรณูทัก
อิศร์ยิ้มทักตอบ “อ้าว คุณป้า สวัสดีครับ”
ทั้งสามรีบลุกไปต้อนรับ เรณูสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ไอริณทำกระฟัดกระเฟียดกับอากาศร้อน
“ป้าเห็นว่ามาสอนหนังสือเด็กๆ กัน เลยนึกสนุกอยากเอาขนมมาแจกด้วย คงไม่ว่าอะไรนะจ๊ะ
“ไม่ว่าเลยค่ะ ยินดีมากค่ะคุณป้า” เรณูหันมาทางพวกเด็กๆ “หนูจ๊ะ ใครอยากทานเค้กมาทางนี้เร้ว แต่ต้องบวกเลขให้ถูกน้า”
มายาวีรับกล่องคัพเค้กจากเรณู พาเด็กๆ กลุ่มหนึ่งแยกไป
กรองทองเข็นไอติมเข้ามา “แล้วน้องๆ คนไหนอยากทานไอติมบ้างจ๊ะ มาทางนี้เร้ว”
เด็กอีกกลุ่มเฮโลเข้ามารุมล้อมถังไอติม อิศร์กับแพรพลอยมองยิ้ม เด็กกรูกันเข้ามาแย่งกันรอไอศกรีมเบียดไอริณที่มองอย่างรังเกียจไปมา
ไอริณหงุดหงิดทนไม่ไหว “คุณแม่! เสร็จแล้วใช่ไหมคะ กลับกันเถอะค่ะ ริณร้อนแล้วก็เหม็นด้วย” ยกมืออุดจมูกมองเด็กท่าทีรังเกียจ “อาบน้ำกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ สกปรก”
เรณูชักรำคาญ “แม่ยังไม่กลับหรอก ริณจะกลับก็ไปก่อนเถอะ”
“ตามใจนะคะ ฝากคุณแม่ด้วยนะคะพี่อิศร์”
ไอริณสะบัดหน้าไม่สนใจ ไม่แคร์ เรณูส่ายหน้าเอือม แล้วหันมาลูบหัวเด็กๆ ที่ถือไอศกรีมกลับมาเรียนคัดไทยกับอิศร์และแพรพลอยต่อไป
ไอริณรีบเดินมาที่รถ ปัดเนื้อปัดตัวมาตามทางอย่างหัวเสีย แล้วรีบขึ้นรถขับออกไป กรณ์ขี่มอเตอร์ไซค์มากับเปี๊ยก เจอรถไอริณพุ่งออกมาก็ตกใจ
“เฮ้ย”
กรณ์หักหลบเกือบจะล้ม แต่ประคองไว้ได้ทัน ไอริณเปิดกระจกออกมา กรณ์เห็นก็ยิ่งหัวเสีย
“ขับรถอย่างนี้อยากไปเกิดใหม่หรือไงคุณ”
“แกน่ะสิ ไปเลือกเกิดใหม่ที่อื่น อย่ามาตายหน้ารถฉัน ไป๊”
ไอริณขับรถออกไปอย่างโมโห
เปี๊ยกตะโกนไล่หลัง “โธ่เอ๊ย ฝากไว้ก่อนนะเจ๊เหวี่ยง”
แพรพลอยเดินออกมาเห็นกรณ์กับเปี๊ยก
“กรณ์ เปี๊ยก มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก เจอคนโรคประสาทน่ะ แต่ไปแล้วล่ะ” กรณ์มองไปทางถนนอย่างเคืองๆ “เป็นไงบ้าง เด็กเยอะไหม นี่ฉันเตรียมมาทำข่าวด้วยนะเนี่ย กิจกรรมดีๆ ต้องสนับสนุน”
“เอาเลย แล้วเปี๊ยกล่ะ ตามมาซนหรือเปล่าเนี่ย”
“ใครบอก เปี๊ยกตามมาช่วยสอนต่างหากเล่า นี่ เอาหนังสือเรียนมาด้วย”
แพรพลอยขยี้หัวเปี๊ยกอย่างเอ็นดู แล้วโอบไหล่พาเดินเข้าไปด้านใน
มีใครบางคนโผล่ออกมามองจ้องแพรพลอย กรณ์ เปี๊ยกที่เดินเข้าไปในไซต์งาน
ที่แท้เป็นทิตา ที่สะกดรอยตามแพรพลอยมาอีกแล้ว
ชณะที่มายาวีนั่งสอนหนังสือเด็กๆ อยู่ที่ใต้ต้นไม้ เห็นคนอื่นแยกย้ายกันเป็นกลุ่มๆ มือถือดังขึ้น
มายาวีกดรับ “ว่าไงคะผู้กอง”
อนุภัทรง่วนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องพักเรือนคนงาน กำลังดูการเคลื่อนไหวของธำรง ขณะคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่”
มายาวีทำหน้างง แล้วลุกห่างออกมาจากเด็กๆ
“ถามแปลกๆ อย่างกับจะโทรมาจีบฉัน อย่าบอกนะว่า...”
อนุภัทรรีบบอก “เปล่าๆ ผมมีเรื่องจะให้คุณช่วยหน่อย”
“หมั่นไส้! จะรีบปฏิเสธไปไหน พูดให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์หน่อยก็ไม่ได้”
“คุณนี่ก็ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย มาหาผมหน่อยเถอะน่า มีเรื่องให้ช่วยจริงๆ”
มายาวีหันไปมองเด็กๆ ที่ยังง่วนกับการขีดๆ เขียนๆ มีกรองทองกับกรณ์มาช่วยดู
“ก็ได้”
สองคนนัดเจอกันที่ร้านอาหารภายในคลับเฮาส์ มายาวีจ้องหน้าอนุภัทรแล้วลุกขึ้นโวยวาย
“ว่าไงนะ จะให้ฉันปลอมตัวเป็นแคดดี้”
“เบาๆ สิ” อนุภัทรมองซ้ายขวา
มายาวีได้สติ มองซ้ายขวาแล้วนั่งลง
“คืองี้ ผมดักฟังโทรศัพท์ของนายธำรง ได้ยินว่าเสี่ยทรงยศจะนัดเจอกับอธิบดีเกรียงไกรที่นี่ น่าจะเกี่ยวกับเรื่องยื่นซองประมูลแข่งสร้างศูนย์ประชุมนี่แหละ ผมอยากได้คนไปสอดแนมแล้วก็บันทึกการสนทนาเอาไว้เป็นหลักฐาน”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน หน่วยคุณไม่มีตำรวจหญิงหรือไง หรือว่าไม่มีใครคบ”
“มี แต่ไม่มีใครถนัดเรื่องกอล์ฟ ผมกลัวว่าถ้าให้คนของผมสวมรอยไปแล้วจะโดนจับได้ (มองอ้อนๆ) แต่ผมรู้ว่าคุณรู้เรื่องกอล์ฟดี เล่นเก่งด้วยไม่ใช่เหรอ”
มายาวีทำหน้าปลื้มๆ แต่พยายามวางฟอร์ม
“ก็แค่แชมป์เยาวชน กับรายการสมัครเล่นนิดหน่อย อ้อ แล้วก็มีแชมป์ที่ต่างประเทศบ้างประปราย”
มายาวีทำเป็นกรีดเล็บตัวเองพูดเหมือนไม่สนใจ แต่จริงๆ อยากอวด
อนุภัทรรู้ว่าลูกยอกล่อมสาวจอมจุ้นสำเร็จก็แอบขำ แล้วรีบกลับมาเก๊กหน้าต่อ
“ตกลงว่าไงล่ะ”
มายาวีทำท่าคิด ก่อนจะตอบ “ฉันต้องทำอะไรบ้าง”
อนุภัทรล้วงซองพลาสติกใส่อุปกรณ์ดักฟังกับกล้องปากกา
“ผมคุยกับผู้จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะส่งคุณไปกับก๊วนของเสี่ยทรงยศกับอธิบดีเกรียงไกร แค่คุณติดอุปกรณ์ดักฟังกับกล้องไว้ พยายามเก็บหลักฐานมาให้มากที่สุด ส่วนผมก็จะตามประกบคุณอยู่ห่างๆ ไม่ต้องกลัว”
มายาวีสบตากับอนุภัทร อีกฝ่ายพยักหน้าหนักแน่นให้กำลังใจ
แพรพลอยนั่งสอนเด็กๆ นับเลขอยู่ที่ใต้ต้นไม้กับเรณู กรณ์ กรองทอง ใกล้ๆ กันมีอิศร์กำลังฟังเปี๊ยก เด็กๆ ช่วยกันเรียงแป้นตัวอักษรภาษาอังกฤษตามลำดับ แล้วท่อง a-z อย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองยิ้มภูมิใจ มีเรณูนั่งดูห่างๆ
“เก่งมากเลยจ้ะ ทีนี้เรามาเรียนรู้วิธีเรียงศัพท์เป็นคำๆ ดีกว่า เอาคำว่าอะไรดีน้า (มองไปทางแพรพลอย) คุณๆ มานี่หน่อยสิ”
แพรพลอยทำหน้างงชี้ตัวเอง แล้วลุกมาหาอิศร์
“คำนี้ดีกว่า” อิศร์ตัวอักษรเป็นคำว่า woman “วูแมน แปลว่าหญิงสาว”
อิศร์ชี้ไปที่เด็กๆ ออกเสียงตาม เปี๊ยกเสียงดังสุด
“ส่วนคำนี้” อิศร์เรียงใหม่เป็นคำว่า beautiful “บิวติฟูล แปลว่า สวย”
อิศร์มองไปทางแพรพลอยทำตาวิบวับ เด็กๆ ออกเสียงตาม แพรพลอยทำหน้าเขิน
“เรียกฉันมาแค่นี้ใช่ไหม”
“เดี๋ยวๆๆ อีกคำหนึ่ง” อิศร์เรียงตัวอักษรเป็นคำว่า love “ใครรู้บ้างแปลว่าอะไร”
เด็กๆ ท่าทางงง เปี๊ยกรีบยกมือ
“เปี๊ยกรู้ๆ เลิฟ แปลว่า รัก”
“เย้ เก่งมาก” อิศร์ตบมือ
เด็กหนึ่งในนั้นถามซื่อๆ “รักแปลว่าอะไรเหรอพี่”
แพรพลอยทำหน้าไม่ถูก อิศร์ยิ้มแป้น
“รักก็แปลว่า...” อิศร์มองแพรพลอยแบบจะบอกว่าไงดี “ชอบมากๆ”
เปี๊ยกสอดขึ้น “เช่น พี่อิศร์ชอบพี่แพรมากๆ ใช่ป่ะ”
เด็กๆ ส่งเสียงฮิ้วขึ้นมาพร้อมกัน แพรพลอยอายมาก รีบกระตุกเปี๊ยก
“เปี๊ยก ไปคิดเลขเร็วกับพี่ดีกว่าไป”
“ไม่เอา เปี๊ยกจะเรียนภาษาอังกฤษกับพี่อิศร์ สนุกดี พี่อิศร์สอนต่อนะ สอนอีกเร้ว”
เปี๊ยกกับเด็กๆ คะยั้นคะยออิศร์
“คำว่าอะไรอีกดีน้า นี่ดีกว่า” อิศร์เรียงเป็นคำว่า kiss “คิส แปลว่า...”
อิศร์มองไปทางแพรพลอย ยื่นปากจะจูบ แพรพลอยรีบจับตัวเปี๊ยกหันแก้มให้อิศร์
“แปลว่าจูบ แบบนี้ไงจ๊ะเด็กๆ”
เด็กๆ เฮกันลั่น เปี๊ยกเอามือจับแก้มตัวเอง
“โอ๊ย พี่อิศร์จูบเปี๊ยก แหวะ”
เปี๊ยกดิ้นเร่าๆ จะเป็นจะตาย เอามือเช็ดแก้มตัวเอง
แพรพลอยค้อนเยาะเย้ยอิศร์แล้วลุกหนีไป อิศร์รีบตาม
ขณะเดียวกัน กรณ์ กรองทอง และเรณู ที่อยู่อีกมุมมองดูเหตุการณ์อยู่อย่างครึ้มใจ สนุกสนานไปด้วย
“คุณอิศร์นี่รุกไม่หยุดเลยนะครับ”
เรณูอมยิ้ม “ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าหลานชายเอาจริงเอาจังขนาดนี้ แล้วเธอล่ะกรอง เคยเห็นอิศร์กับหนูแพรมีท่าทางแปลกๆ บ้างหรือเปล่า”
กรองทองฝืนยิ้มเจียมตัว “กรองไม่ค่อยเห็นหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณอิศร์จะชอบคุณแพรจริง กรองก็ดีใจ เพราะคุณแพรเธอเป็นคนดี”
กรองทองมองตามอิศร์ไปอย่างเศร้าๆ
แพรพลอยเปิดกระเป๋าอุปกรณ์ต่างๆ แล้วหยิบสมุดคัดไทยออกมา อิศร์เดินตามมาชะโงกดู
“ทำอะไรน่ะคุณ ไม่สอนเด็กๆ แล้วเหรอ”
แพรพลอยหันมา แล้วยัดสมุดระบายสีใส่มือ
“คุณเอานี่ไปสอนเด็กๆ คัดไทยดีกว่า ไม่ต้องสอนภาษาอังกฤษแล้ว”
“ทำไม”
“ก็คุณสอนศัพท์เด็กแต่ละอย่าง ชวนให้แก่แดดทั้งนั้น”
“แหม ก็ศัพท์มันจำง่าย”
“นั่นแหละ คุณเปลี่ยนไปสอนคัดไทยแทนแล้วกัน”
“แล้วคุณคิดว่าผมจะสอนให้เด็กเขียนไม่ได้เหรอ”
อิศร์ดึงมือแพรพลอยมาแล้วจับมือหงายขึ้นมา ใช้นิ้วเขียนบนมือ
“คำว่า “รัก” กับคำว่า “ชอบ” เนี่ย”
อิศร์ทำหน้ากวนใส่ แพรพลอยเขิน รีบดึงมือออก ส่ายหน้า
“ฉันคิดผิดจริงๆ เลยที่ชวนคุณมาเป็นครู เฮ้อ...”
แพรพลอยเดินตุปัดตุป่องหนีไปเพราะความเขิน อิศร์อมยิ้ม แล้วเดินตามกลับไป
ส่วนที่คลับเฮ้าส์ ผู้จัดการพามายาวีกับแคดดี้อีกคนมาฝากฝังกับทรงยศและเกรียงไกร มายาวีมีท่าทีประหม่า มองไปรอบๆ เห็นอนุภัทรในชุดตีกอล์ฟ ทำทีเป็นนั่งจิบกาแฟ มองมา เลยใจชื้นขึ้น
“น้องคนนี้ผมจัดมาให้นะครับเสี่ย เห็นเสี่ยบ่นว่าคนเดิมดูแลไม่ดี” ผู้จัดการแนะนำ
ทรงยศมองหน้าแคดดี้อีกคนแล้วเลยผ่านมาทางมายาวี สนใจ
“ขอดูหน้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
ทรงยศเอามือดึงหน้าที่มายาวีปิดหน้าออก มายาวีทำเป็นยิ้มเขิน
“จิ้มลิ้ม น่ารัก แบบนี้สิถึงจะถูกใจผม” ทรงยศหัวเราะลั่น
มายาวีทำเอียงอาย เกรียงไกรพยายามมองพิศ
“หนูนี่หน้าคุ้นๆ นะ เราเคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า”
มายาวีทำหน้าตกใจ ผู้จัดการเจื่อน เลิกลัก แล้วรีบแก้สถานการณ์
“เอ้อ น้องเขาเคยทำที่อื่นมาก่อนครับท่าน อาจจะเคยเห็นกันผ่านๆ ฮะๆๆ”
ผู้จัดการหัวเราะกลบเกลื่อน มายาวีหัวเราะตาม
“แหม ท่านเกรียงไกร อย่าเล่นมุกเก่าๆ สิครับ ไอ้มุกแบบนี้ผมใช้จีบสาวตั้งแต่ยังใส่กางเกงนักเรียน ฮ่าๆๆๆๆ”
ผู้จัดการพาทั้งสามออกไป อนุภัทรมองตาม แล้วรีบตามออกไปห่างๆ
มายาวีนั่งรถกอล์ฟไปกับทรงยศ เกรียงไกร และแคดดี้สาว ทรงยศดูถูกชะตามายาวีอย่างเห็นได้ชัดตบเบาะใกล้ตัว “หนู มานั่งตรงนี้สิ เดี๋ยวจะตก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“มาเถอะน่า” ทรงยศถือโอกาสแต๊ะอั๋ง
“อุ๊ย” มายาวีตกใจ เมื่อถูกดึงเข้าไปนั่งเบียดกับทรงยศ แล้วโดนโอบไหล่ไว้
มายาวีมองตรงไปที่รถกอล์ฟใกล้ๆ มีแคดดี้กำลังโหลดอุปถุงกอล์ฟใส่รถ อนุภัทรนั่งอยู่ในนั้น อนุภัทรมองมายาวีแล้วพยักหน้าให้ยอมๆ ไป มายาวีเซ็ง ทำปากขมุบขมิบ ไม่กล้าขัดขืนทรงยศ
รถกอล์ฟแล่นไปตามถนนรอบกรีน โดยมีรถอีกคันที่อนุภัทรนั่งอยู่ มองตามไปห่างๆ
ฟากอิศร์ขับรถเข้ามาในเขตมูลนิธิบ้านโอบไอรัก มีกรณ์ขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลัง
“ถึงแล้วครับคุณป้า บ้านของคุณแพร”
แพรพลอยช่วยเปิดประตูให้เรณู แล้วพาลงมา เรณูมองอย่างสนใจ เห็นป้ายมูลนิธิ
เรณูอ่านป้าย “บ้านโอบไอรัก...ชื่อเพราะจังนะจ๊ะ ใครเป็นคนตั้งเหรอ”
“แม่เป็นคนตั้งครับ” เปี๊ยกบอก
เรณูแปลกใจเพราะรู้ว่าเปี๊ยกเป็นเด็กกำพร้า “แม่หนูเหรอจ๊ะ”
กรณ์โอบเปี๊ยกตอบแทน “แม่ของพวกเราทุกคนน่ะครับ”
แพรพลอยพูดอย่างภูมิใจ “ทุกคนที่โตมาในบ้านนี้มีแม่คนเดียวค่ะ คือแม่อัมพา” หล่อนหันไปเห็นอัมพาออกมาพอดี “มาพอดีเลยค่ะ แม่คะ”
แพรพลอยเดินไปโอบอัมพาที่เพิ่งออกมจากบ้าน มาแนะนำให้รู้จักกับเรณู
หากมองผ่านช่องประตูรั้วออกไป จะเห็นว่ามีใครบางคนแอบมองอยู่ และเป็นทิตานั่นเอง
ทิตามองดูภาพอัมพาเข้ามากอดแพรพลอย แล้วไหว้ทักทายกับเรณู สีหน้าทิตาแปลกใจระคนแน่ใจ ภาพเก่าๆ ย้อนกลับเข้ามาในความคิดอย่างรวดเร็ว ตอนที่อัมพาเข้ามาโอบกอดทิตาตอนที่เป็นเด็ก
ทิตาจ้องมองแพรพลอยกับกรณ์ที่เข้ามาโอบกอดอัมพาอย่างสนิทสนม
อีกเหตุการณ์อัมพาโอบไหล่พาทิตาหรือ กระต่าย ที่มีอาการประหม่าเข้ามาแนะนำให้แพรพลอยกับกรณ์รู้จัก
“กระต่ายจ๊ะ นี่แพรพลอย กับ กรณ์”
แพรพลอยกับกรณ์ยิ้มเป็นมิตรให้กระต่าย
“ตั้งแต่วันนี้กระต่ายจะมาอยู่กับพวกเราที่นี่ หนูสองคนจะช่วยแม่ดูแลกระต่ายได้ไหม”
“ได้ค่ะแม่ หวัดดีจ้ะกระต่าย” แพรพลอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เราให้”
กรณ์ควักกระเป๋ากางเกง หยิบอมยิ้มอีกอันให้ เหมือนที่อมอยู่ในปาก
อัมพายิ้มดีใจที่ทั้งสองพยายามผูกมิตรกับกระต่าย แต่กระต่ายกลับมองนิ่ง แล้วหันหลังเดินไปนั่งที่เก้าอี้มุมหนึ่งห่างๆ แบบไม่อยากยุ่งกับใคร กรณ์กับแพรพลอยหน้าเจื่อน ส่วนอัมพาก็มองตามทิตาอย่างกลุ้มๆ รู้ว่าต้องเหนื่อยแน่
ทิตาทบทวนความจำ ยังคงแอบดูอยู่ เห็นอัมพาเชื้อเชิญทุกคนเข้ายบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“โลกมันกลมจริงๆ แพรพลอย”
ทิตารำพึงขณะมองตามแพรพลอยกับอิศร์ที่เดินเคียงคู่ไปด้วยกัน
ส่วนอีกฟากที่สนามกอล์ฟ อนุภัทรยืนมองกลุ่มของมายาวีที่อยู่หลุมไกลๆ ด้วยความเป็นห่วงจนไม่มีสมาธิ ผู้กองหนุ่มถอนสายตากลับมา จึงเห็นแค้ดดี้ของตัวเองยืนเท้าเอว ท่าทางเม้งเพราะรอนาน
“อุ้ย เล่นแล้วครับๆ” อนุภัทรรีบก้มหน้าก้มตาพัตกอล์ฟแก้เขิน
อีกมุม มายาวียืนแกร่วเฝ้าถุงกอล์ฟดูเกรียงไกรพัตกอล์ฟ เกรียงไกรตีไปไกล
มายาวีเบ้ปาก พูดกับตัวเอง “ใกล้แค่นี้ใครเขาใช้ไม้เบอร์นั้นตีกันล่ะ สะเร่อ”
พอเกรียงไกรหันมายิ้มเขินๆ มายาวีรีบเปลี่ยนสีหน้ายิ้มหวาน ตบมือแปะๆ
“เยี่ยมเลยค่ะท่านขา”
เกรียงไกรกับทรงยศจะเดินต่อ ทรงยศนึกได้ กลับมาเปิดถุงกอล์ฟตัวเอง
“เกือบลืม นี่ครับท่านใบเสนอราคาของผม”
มายาวีหูผึ่ง ตาโต รีบขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ พยายามจับที่ดักฟังให้หันไปทางทั้งคู่ ตาก็มอง เห็นเกรียงไกรรับเอกสารจากทรงยศ
“ผมแก้ราคาให้ต่ำลงกว่าที่เดชโชดมกรุ๊ปเสนอเรียบร้อยแล้ว ตามข้อมูลที่คุณธำรงส่งมา หวังว่าจะไม่มีปัญหานะครับ”
เกรียงไกรพลิกดู “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็ตกลงกันแล้วนี่ว่าคราวนี้ผมให้คุณ คราวหน้าคุณก็ต้องหมอบให้บริษัทธำรงเขา”
“ได้ยินอย่างนี้ผมก็สบายใจ เพราะถ้าผมไม่ได้งานนี้ หมดตัวแน่ ฮ่ะๆๆๆ” ทรงยศหัวเราะโล่งอก แล้วหันมาบอกมายาวี “หนูจ๊ะ ขอไม้ 3”
มายาวีรีบยื่นไม้ส่งให้ ทรงยศรับแล้วแอบแตะมือส่งสายตาเจ้าชู้
เกรียงไกรเอาเอกสารใส่ไว้ในกระเป๋าถุงกอล์ฟของตน แล้วเดินห่างออกไป มายาวีมองไปที่กระเป๋าอย่างหมายมาด
ทรงยศกับเกรียงไกรย้ายไปตีอีกหลุม มายาวีพยายามรอตอนทีเผลอ ค่อยๆ รูดซิบกระเป๋าของเกรียงไกร จนเห็นเอกสารแง้มขึ้นมา แต่เกรียงไกรหันมาเสียก่อน จึงรีบทำเป็นเช็ดไม้ให้ แล้วยิ้มกลบเกลื่อน
ทรงยศกับเกรียงไกรคุยธุรกิจกัน มายาวีวิ่งเอาน้ำมาให้ แล้ววนเวียนอยู่ใกล้ๆ แอบฟัง ทำเป็นโบกคอเสื้อระบายความร้อน แต่จริงๆ พยายามดักฟังการสนทนาอยู่ ทั้งสองคุยกันไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ
มายาวีเฝ้าถุงกอล์ฟ มองเห็นทรงยศกับเกรียงไกรเดินตามลูกไปลับตาพอดี มีต้นไม้บัง เลยรีบดึงเอกสารออกมา แล้วปลดแขนเสื้อ เอากล้องปากกามาถ่ายก็อปปี้เอกสารต่างๆ เอาไว้อย่างลุกลี้ลุกลนจนครบทุกหน้า
“หนู! ทำไมไม่ตามมาล่ะจ๊ะ”
มายาวีสะดุ้ง รีบยัดเอกสารใส่กระเป๋า ฉีกยิ้มกลบเกลื่อน
“ป...ไปแล้วค่ะ”
ทรงยศยิ้มให้แล้วเดินนำออกไป มายาวีรีบตาม โดยไม่รู้ว่าทรงยศเห็นตั้งแต่ตรงนี้ แต่ทำเหมือนไม่รู้เรื่อง
มายาวีเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน
“ตอนนี้ฉันได้หลักฐานที่คุณอยากได้มาแล้วนะ” หล่อนนิ่งฟังอนุภัทร “สองคนนั้นน่ะเหรอ กลับไปแล้ว ฉันหิ้วถุงกอล์ฟไปส่งที่รถกับมือ สบายใจได้” นิ่งฟังต่อ “โอเค งั้นขอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนะ”
มายาวีกดตัดสายแล้วเดินไปทางห้องแต่งตัวด้านหลัง สายตาคนลึกลับแอบมองตามมายาวีไปจากมุมหนึ่ง
มายาวีเข้ามาในห้อง รีบแกะอุปกรณ์ดักฟังทุกอย่างออกจากตัว เตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า สายตาคู่นั้นมองตามเข้ามา ตรงมาที่มายาวีที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่
มายาวีเหมือนรู้ตัว หันขวับไป ทำหน้าตกใจ แต่ยังไม่ทันโวยวายก็ถูกผ้าโปะยาสลบอุดจมูก สติดับวูบไป
ฟากเรณูพาอัมพาเดินเที่ยวมุมต่างๆ ภายในมูลนิธิ มองดูเห็นเด็กๆ ทำกิจกรรมอยู่ มีกรณ์กับกรองทองคอยดูแล
“คุณอัมพาทำให้มูลนิธิอบอุ่นเหมือนบ้านเลยนะคะ ให้เด็กๆ เรียกว่าแม่ เด็กโตๆ ก็ดูแลรุ่นน้องๆ เหมือนเป็นพี่น้องกันจริงๆ”
“ก็พยายามจะให้พวกแกมีทุกอย่างเหมือนเด็กธรรมดาจะมีได้แหละค่ะ พวกแกจะได้ไม่รู้สึกขาด จนต้องไปแสวงหาที่อื่น”
“เหนื่อยบ้างไหมคะ”
“ก็มีบ้างค่ะ แต่ว่าได้กรณ์กับแพรพลอยมาช่วยแบ่งเบาไปได้เยอะ สองคนนี่เป็นเด็กดี พวกแกมีงานทำวุ่นวาย แต่ไม่คิดจะทิ้งน้องๆ กรณ์เองก็พักอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำไป”
“ฉันอยากช่วยเหลือจัง ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ คุณอัมพาบอกผ่านอิศร์มาได้เลยนะคะ”
อัมพายิ้มชื่นซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะ”
แพรพลอยเอาน้ำมาเสิร์ฟให้อิศร์ ขณะที่อิศร์เดินสำรวจรอบบ้านแล้วไปหยุดอยู่ที่กรอบรูปกับเกียรติบัตรต่างๆ ที่อัมพาติดโชว์
“อะไรเนี่ย มีแต่รางวัลชื่อคุณทั้งนั้น มารยาทดีเด่น การใช้ภาษาไทยดีเด่น ผลการเรียนยอดเยี่ย โอ้โฮ คุณเป็นคนหรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงเก่งทุกอย่างแบบนี้”
“ปากเหรอนั่น”
“แหม ชม” อิศร์ยิ้มเรี่ยราดประจบ
“ฉันเป็นเด็กกำพร้า ก็ต้องเอาดีให้ได้ทุกทาง ชีวิตจะได้มีทางเลือกมากๆ”
อิศร์แกล้งทำหน้างอใส่ “จะแขวะผมว่าเอาดีไม่ได้เพราะมีแต่คนห้อมล้อมตามใจใช่ไหม”
“คุณพูดเองนะ”
อิศร์มองค้อน แล้วสะดุดตากับรูปถ่ายหมู่ของเด็กๆ ในรุ่นแพรพลอย ตอนที่ทุกคนยังเด็กอยู่
“นี่อะไร ทำเนียบรุ่นเหรอ”
“ใช่ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่อยู่บ้านนี้ช่วงเดียวกับฉัน ตอนนี้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือฉันกับกรณ์แค่สองคน แต่บางคนก็ยังส่งข่าวติดต่อกันอยู่บ้าง ส่วนบางคนก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน”
“ผมรับประกันว่าเด็กคนนี้คือคนที่ไม่เคยส่งข่าวมา”
อิศร์ชี้ไปที่รูปของทิตาที่ถ่ายรูปหน้าบึ้งมาก เป็นคนเดียวที่ไม่ยิ้ม
แพรพลอยแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไง”
“สีหน้าเขาไม่ค่อยมีความสุข เป็นคนเดียวที่ไม่ยิ้มเลย ดูสิ” อิศร์หยิบรูปอื่นมาเทียบ “คุณคงพบเขาครั้งสุดท้ายวันที่เขาออกไปจากบ้านนี้”
แพรพลอยมองดูรูปทิตา แล้วยิ้มเศร้าออกมา
“ใช่ เด็กคนนี้คือกระต่าย...”
ทิตาที่สองคนมองรูปสมัยเด็ก นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มองดูรูปประวัติแพรพลอยในคอมพิวเตอร์ เครื่องปรินท์เตอร์ข้างๆ กำลังปรินท์รูปแพรพลอยกับประวัติออกมา
เสียงแพรพลอยเล่าให้อิศร์ฟังแทรกขึ้นมา “กระต่ายผ่านปัญหามาเยอะกว่าฉันมาก พ่อกับแม่กระต่ายทอดทิ้งให้อยู่กับป้าแล้วก็หายสาปสูญไป กระต่ายถูกป้าขี้เมาทุบตีทุกวัน จนตำรวจต้องไปช่วยออกมา”
ทิตาหยิบกระดาษที่ปรินท์ประวัติของแพรพลอยออกมา อ่านประวัติแพรพลอย ตั้งแต่เรื่องงาน จบรร.ตำรวจ ผ่านการฝึกอบรมอารักขาบุคคลสำคัญ อบรมการต่อสู้ขั้นสูง
ทิตามองจับกระดาษในมือแน่น มือสั่นๆ เหมือนจะจิกกระดาษแผ่นนั้นให้ขาดคามือ หวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
ตอนนั้นทิตามาอยู่ที่มูลนิธิ ถูกเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่รุมล้อมล้อเลียน
“พอกระต่ายมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ค่อยมีความสุข เลยทำให้เพื่อนๆ ชอบแกล้ง ความที่ถูกปลูกฝังเรื่องความรุนแรงมาตั้งแต่เด็ก ทำให้กระต่ายใช้วิธีตอบโต้รุนแรง” แพรพลอยเล่าให้อิศร์ฟัง
ทิตาพยายามถอยหนี แต่ยังถูกตามล้อม ตะโกนใส่กัน ทิตาถูกกดดันจน จนไม่ไหว เหลือบไปเห็นไม้กวาดพิงอยู่ใกล้กำแพง เลยคว้ามา แล้วฟาดใส่คนที่รุมล้อมอย่างบ้างคลั่ง หัวแตกกันเป็นแถบๆ
ต่อมาทิตายืนกอดอกกัดฟันแน่น มีอัมพาถือไม้เรียว แพรพลอยกับกรณ์อยู่กับเพื่อนๆ บางคนมีผ้าพันหัวเพราะถูกตีหัวแตก
“แต่ยิ่งกระต่ายถูกลงโทษ ก็ยิ่งมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ”
อัมพาอบรมทิตาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ทิตายังกอดอกนิ่งเชิดหน้า
อัมพาเงื้อไม้เรียวจะตี ทิตาเบี่ยงหนีคว้าไม้เรียวไว้ แล้วกระชากจากอัมพา หักทิ้งทันที แล้ววิ่งหนีออกไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน
แพรพลอย กรณ์ และทิตา ตลอดจนเด็กอื่นๆ นั่งรถสองแถวเข้าซอยกลับบ้าน
“จนกระทั่งวันหนึ่ง ทิตาก็หนีไป แล้วก็ไม่มีใครได้พบเขาอีกเลย”
ขณะรถกำลังติด ทิตาเหม่อมองออกไปด้านนอก เห็นแก๊งเด็กเร่ร่อนขโมยขนมจากร้านชำ มีเจ้าของร้านวิ่งตามโหวกเหวกโวยวาย คนบนรถมองดูเหตุการณ์อย่างสนใจ ทิตามองแล้วเกิดความคิดบางอย่าง จู่ๆ ก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งลงจากรถไล่ตามเด็กพวกนั้นไป
แพรพลอย กรณ์ และเด็กอื่นๆ ตกใจ พยายามร้องเรียกทิตาลั่น แต่ทิตาวิ่งเตลิดไม่ยอมหันหลังกลับ
อิศร์แขวนรูปไว้ที่ผนังเหมือนเดิม
“น่าเสียดายนะครับ ถ้าเขาได้อยู่เรียนรู้ขัดเกลาภายในบ้านนี้ ผมเชื่อว่าเขาจะโตขึ้นมาเป็นคนมีคุณภาพไม่น้อยไปกว่าคุณและคนอื่นๆ”
แพรพลอยยิ้มเศร้า “แม่บอกว่าคนเราแต่ละคน เปิดใจได้ไม่เท่ากัน บางคนพร้อมที่จะซึมซับความรักความเมตตาจากคนอื่นได้อย่างง่ายดาย แต่บางคนมักจะมีข้อแม้ มีเงื่อนไข มีกฎเกณฑ์ที่ต้องตรวจสอบความรู้สึกนั้นเสียก่อน เมื่อไรที่แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ต้องเจ็บปวด ถึงจะยอมเปิดรับความรู้สึกนั้นเข้ามา”
อิศร์มองแพรพลอย อมยิ้มนิดๆ
“คุณเองก็เป็นคนเปิดใจยากพอกันนะ ผมว่า”
“ใครบอก”
“ก็จนป่านนี้ คุณยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจความรักความเมตตาจากผมอยู่เลย เมื่อไรจะตรวจสอบเสร็จซักทีน้า”
“ฉันพูดเรื่องเพื่อนอยู่ดีๆ คุณก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องฉันได้ยังไง ท่าทางจะเหนื่อยจนเบลอ”
“ใช่ เหนื่อย ตัวร้อน เป็นไข้ด้วย จับดูสิครับ”
อิศร์อ้อล้อดึงมือแพรพลอยไปแตะหน้าผาก แพรพลอยแกล้งเอาหลังมือตี
“โอ๊ย”
“หายหรือยังคะ จะได้กลับบ้าน ป่านนี้ป้าคุณคงรอแย่”
แพรพลอยค้อนอย่างหมั่นไส้แล้วเดินออกไป อิศร์ อมยิ้ม แล้วเดินตาม
ด้านอนุภัทรเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ผุดลุกผุดนั่งรอมายาวีอยู่ที่โซนพักผ่อน พยายามโทร.หาไปด้วย แต่โทร.ไม่ติด อนุภัทรฝากข้อความ “คุณเมย์ ! คุณอยู่ไหนเนี่ย ยังแต่งตัวไม่เสร็จอีกเหรอ จะทำสวยไปถึงไหนคุณ”
อนุภัทรมองกระสับกระส่าย ผู้จัดการเดินมาเห็น
“ผู้กอง ยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
“รอเพื่อนอยู่ครับ”
“เพื่อนคุณ? อ๋อ หนูคนนั่นเหรอครับ ไม่น่าจะอยู่แล้วนี่นา เพราะว่าแค้ดดี้ก็มาเซ็นชื่อกลับบ้านกันหมดแล้ว คลับเรากำลังจะปิด” ผู้จัดการบอก
“เป็นไปได้ยังไง ก็ผมนัดกับคุณเมย์ตรงนี้”
อนุภัทรเอะใจ รีบวิ่งไปดูที่ห้องแต่งตัว มองหา
“คุณเมย์ อยู่ในนี้หรือเปล่า คุณเมย์”
อนุภัทรกวาดตามองหา แต่ทุกอย่างเงียบสนิท เพราะคนออกไปกันหมดแล้ว อนุภัทรใจคอไม่ดี รีบโทรศัพท์หาอีกรอบแล้ววิ่งออกไป
ที่เซฟท์เฮ้าส์ มายาวีค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้น และพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง ค่อยๆ กวาดตามองไปรอบๆ เพิ่งรู้ตัวว่าถูกมัดเป็นมัมมี่ อยู่บนเก้าอี้ มายาวีตกใจ พยายามดิ้น แต่ไม่หลุด จะร้องก็ร้องไม่ออกเพราะมีผ้ายัดปากไว้
ประตูห้องถูกเปิดออกมา ทรงยศกับเกรียงไกรเดินเข้ามา มายาวีเห็นแล้วยิ่งตกใจ
“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ สาวน้อยคนเก่ง” ทรงยศย่างสามขุมเข้ามาหา ดึงผ้าที่ยัดปากมายาวีออก
“พวกแกจับฉันมาทำไม”
“ฉันต้องถามมากกว่าว่าใครจ้างแกมาสอดแนมพวกฉัน”
มายาวีตกใจ แต่ไม่ยอมรับ “พวกแกพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“แน่ใจนะว่าไม่รู้”
ทรงยศล้วงกระเป๋า หยิบเครื่องดักฟังกับกล้องปากกาออกมา เทลงบนเตียง
“คงคิดว่าพวกฉันโง่มาก ถึงได้กล้าลูบคมขนาดนี้”
มายาวีมีสีหน้าตระหนก เถียงไม่ออก เกรียงไกรท้าวเอว สีหน้าดุดัน
“บอกมาดีกว่าว่าบริษัทไหนส่งเธอมา ถ้าคำตอบเป็นที่น่าพอใจ ฉันอาจจะปล่อยเธอไป แต่ถ้าไม่...”
ทรงยศควักมีดออกมา มายาวีตกใจ ตัวสั่น
“ย...อย่านะ”
แพรพลอย กะอิศร์กลับมาบ้าน เจออนุภัทรรออยู่ท่าทีร้อนใจ สองคนตกใจมากเมื่อรู้เรื่อง
“อะไรนะคะ คุณเมย์หายตัวไป”
“ผมประมาทเองที่ปล่อยคุณเมย์คลาดสายตา เพราะคิดว่าแผนทุกอย่างรัดกุมดีแล้ว” อนุภัทรหน้าเศร้า
“แน่ใจนะว่ายายเมย์ไม่ได้เล่นตลกกับแก อย่าลืมนะโว้ยยายนี่มันตัวแสบ”
อนุภัทรส่ายหน้า “ฉันทั้งพยายามโทร.หา ส่งข้อความอ้อนวอนให้ติดต่อกลับมาเพราะฉันเป็นห่วงเขา แต่ก็ไม่มีสัญญาณอะไรจากคุณเมย์เลย
“ผู้กองสอบถามไปที่บ้านคุณเมย์หรือยัง”
“ไปมาแล้วครับแต่ไม่พบใครเลย เด็กที่บ้านก็บอกว่าคุณเมย์ยังไม่กลับมา ตอนนี้คุณพ่อคุณเมย์ประชุมอยู่ต่างประเทศ ผมก็เลยรีบโทรแจ้ง” ผู้กองทรุดนั่งอย่างท้อแท้ “ผมผิดเองคนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณเมย์ ไม่รู้จะบอกกับท่านยังไงดี”
“ใจเย็นๆ ไอ้ภัทร บางทียายเมย์อาจจะแกล้งเรา”
“รถคุณเมย์อยู่ไหนคะ” แพรพลอยถาม
อนุภัทรส่ายหน้า “อยู่ที่บ้านครับ ผมเป็นคนพาเธอไปที่สนามกอล์ฟ”
“ถ้างั้นก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเธอจะไปไหนมาไหนทั้งที่ตัวเองไม่มีรถ คุณเมย์ไม่ชอบนั่งแท็กซี่” เห็นอนุภัทรกุมหัวก็ปลอบ “ค่อยๆ คิดนะคะผู้กอง”
มายาวีตื่นตระหนก เมื่อเห็นมีดจ่อมาที่หน้า
“อย่านะ อย่าทำอะไรฉัน”
“งั้นก็บอกมาว่าใครส่งเธอมา” ทางยศเอามีดจ่อใกล้ มายาวีหลับตาปี๋ กลัวสุดชีวิต
“ผู้กองฉันขอโทษ” มายาวีพึมพำแล้วโพล่งออกมา “ก็ได้ ฉันบอกก็ได้ ไม่ใช่บริษัทไหนทั้งนั้น แต่เป็นตำรวจ”
สองคนร้อง “ห๊ะ” พร้อมกัน
“ฉันเป็นสายของตำรวจ”
ทรงยศกับเกรียงไกรมองหน้าไม่เชื่อ มายาวีชี้หน้าตัวเอง
“ดูให้ดีๆ สิท่านอธิบดี ว่าหน้าฉันเหมือนใคร คุณบอกว่าฉันหน้าตาคุ้นๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันจำไม่ได้” เกรียงไกรบอก
มายาวีรำคาญ “โอ๊ย ฉันเป็นลูกท่านบรรเลง รมต.ยุติธรรมไงเล่า”
ทรงยศกับเกรียงไกรเอ๋อไป แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เข้าใจเล่นนะอีหนู”
“เล่นของสูงซะด้วย สงสัยว่าถ้าไม่เจ็บตัว คงจะเล่นลิ้นไปเรื่อย จัดการเลยเสี่ย” เกรียงไกรบอก
“ไม่นะ ไม่เอา อย่า”
มายาวีเบือนหน้าหนี ร้องกรี๊ดๆ
ด้านแพรพลอยวางโทรศัพท์ แล้วหันมาบอกกับอิศร์และอนุภัทรที่นั่งกลุ้ม
“แพรโทรเช็คกับเพื่อนคุณเมย์ทุกคนแล้วค่ะ ไม่มีใครได้รับการติดต่อจากคุณเมย์เลย”
“ฉันก็เช็คแล้วเหมือนกัน ไม่มี”
“ถ้าเขาไม่ได้แกล้งผมด้วยการไปหลบอยู่กับเพี่อนคนไหน มันก็มีอยู่ความเป็นไปได้เดียว คือต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”
“แกคิดว่าไอ้เสี่ยกับอธิบดีอะไรนั่นจะรู้ตัว แล้วก็เล่นงานคุณเมย์เหรอวะ”
“ถ้าสองคนนั้นเห็นหลักฐานจากเครื่องดักฟังกับกล้องที่คุณเมย์ติดตัวไว้ พวกมันก็ต้องรู้”
“แล้วเราจะไปตามสองคนนั้นได้ที่ไหน”
อนุภัทรนิ่งคิด “มีอยู่คนหนึ่งที่อาจจะนำเราไปได้”
อนุภัทรหมายถึงธำรงที่คุยโทรศัพท์ในอาการตกใจอยู่ชั้นบนของบ้าน
“อะไรนะครับเสี่ย! มีคนล้วงความลับเราเหรอ” ธำรงนิ่งฟัง “ตอนนี้เสี่ยอยู่ที่ไหน ได้ครับผมจะรีบไป”
ธำรงรีบร้อนออกไป
พอรถของธำรงแล่นออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว รถอิศร์ค่อยๆ เคลื่อนตามไป โดยในรถเห็นอนุภัทรเปิดให้ดูแผนที่ ที่มีตำแหน่งของธำรงกำลังเคลื่อนไหว
“ผมแอบติดตั้งระบบติดตามไว้ที่รถของนายธำรง เขาอาจจะกำลังไปพบสองคนนั่น”
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ เราจะเสียเวลาเปล่าๆ หรือเปล่า” อิศร์ท้วง
แพรพลอยนิ่งคิด “เอางี้นะคะ ผู้กองลองส่งกำลังตำรวจกระจายไปตามที่อยู่ของเสี่ยทรงยศกับเกรียงไกร คอยสังเกตดูความเคลื่อนไหวของสองคนนี้ จะได้รู้ว่าเรากำลังไปถูกทางหรือเปล่า”
อนุภัทรพยักหน้าเห็นด้วย อิศร์รีบขับรถออกไป
ฟากธำรงรีบร้อนเข้ามาในบ้าน มีทรงยศกับเกรียงไกรเดินตามมา
“ไหนครับเสี่ย เสี่ยว่าจับใครได้นะ”
“น่าจะเป็นนางนกต่อของบริษัทคู่แข่งเราซักที่ ขาว สวย หมวย พิมพ์นิยม นี่ถ้าไม่ติดว่าคิดไม่ซื่อกับเราล่ะก็ ฮึ้ย” ทรงยศหมั่นเขี้ยวไม่หาย
เกรียงไกรบอก “แต่มันไม่ยอมรับหรอกนะคุณธำรง มันอ้างว่าเป็นลูกสาวรัฐมนตรีบรรเลง ฮะๆๆๆ เชื่อก็บ้าแล้ว”
ทรงยศกับเกรียงไกรหัวเราะกัน แต่ธำรงไม่ขำด้วย สงสัยอะไรบางอย่าง
“ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหน”
ธำรงมองดูมายาวีที่มีปลอกหมอนคลุมหัวอยู่
“ดูซะให้เต็มตาเลยคุณธำรง นี่แหละ คนที่อ้างว่าเป็นลูกสาวรมต.บรรเลง ฮ่าๆๆๆ”
ทรงยศกระชากปลอกหมอนออก ธำรงมองแล้วตกใจ
“คุณเมย์”
“คุณธำรง” มายาวีรีบอ้อน “ปล่อยฉันไปเถอะนะคะคุณธำรง ฉันขอร้อง อย่าทำให้เรื่องบานปลายไปกว่านี้เลย”
ทรงยศกับเกรียงไกรมองหน้าธำรงเลิ่กลั่ก
“นี่รู้จักกันเหรอ” เกรียงไกรถาม
ทรงยศชี้หน้าชักไม่ไว้ใจ “หรือว่าคุณกำลังวางแผนจะหักหลังพวกผม”
“ไม่ใช่นะเสี่ย ท่านอธิบดี ผมไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้น แต่เนี่ย” ธำรงชี้มายาวี “คุณเมย์ มายาวี ลูกสาวท่านบรรเลงจริงๆ ผมรู้จัก”
ทรงยศกับเกรียงไกรอึ้งอีกรอบ
“ไม่จริง อย่ามาล้อผมเล่นนะ”
“นั่นสิ ลูกสาวท่านบรรเลงมาเกี่ยวอะไรกับพวกเรา” เกรียงไกรก็ไม่เชื่อ
มายาวีสอดขึ้น “เกี่ยวสิ! ก็ฝ่ายสืบสวนพิเศษกำลังจับตามองพวกคุณอยู่ เพราะพวกคุณร่วมมือกันฮั้วการประมูลโครงการของรัฐ หลักฐานอยู่ในมือตำรวจแล้ว ที่ฉันเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น”
ธำรง ทรงยศ และเกรียงไกรผงะ
“ฉันจะเตือนพวกคุณนะ ยอมมอบตัวซะดีๆ อย่าให้บานปลายไปกว่านี้ แล้วก็อย่าคิดฆ่าปิดปากฉันด้วย เพราะคงมีคนรู้แล้วว่าฉันหายตัวไป”
ธำรงตกใจ คาดไม่ถึง “ส...แสดงว่าคุณร่วมมือกับตำรวจมาตลอดงั้นเหรอ”
“ใช่ พวกคุณไม่รอดหรอก ปล่อยฉันไปซะ ก่อนที่จะเดือดร้อน”
สามคนมองหน้ากัน พยายามคิดหาทางออก ทรงยศโพล่งขึ้นมา
“ไม่ ! ฉันไม่ยอมโว้ย”
ทรงยศตรงเข้ากระชากมายาวีให้ลุก มายาวีกรีดร้อง
“ว้าย จะทำอะไรฉัน”
ทรงยศลากมายาวีเข้าไปในห้อง ธำรงรีบวิ่งตาม
อิศร์ขับรถมาจอดหน้าเซฟเฮาส์ ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวห่างไกลหลังอื่นในละแวกเดียวกัน อนุภัทรมองดูสัญญาณของธำรงที่หายไปแล้ว
“สัญญาณรถของธำรงหายไปตรงนี้ แถวนี้มีบ้านอยู่หลังเดียว”
แพรพลอยรีบลงจากรถ เดินสำรวจ ลัดเลาะตามรั้ว พยายามชะโงกมองเข้าไปในบ้าน
“คุณแพร ระวัง” อิศร์ตกใจ และเป็นห่วง เผลอร้องเสียงดัง
แพรพลอยหันมายกมือให้อิศร์เงียบ แล้วปีนขึ้นรั้วบ้านไปอย่างรวดเร็ว ใช้ไฟฉายเล็กส่องมอง
“รถคุณธำรงจอดอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่ผิดแน่”
อิศร์บอกอนุภัทร “แต่พี่ธำรงอาจจะมาหาแฟนก็ได้นะเว้ย”
แพรพลอยส่องไฟฉายต่อแล้วกระโดดลงจากรั้ว แล้วกระซิบบอกทั้งสอง
“มีรถอีกสองคันจอดอยู่ในโรงรถ”
“คุณแพรเห็นเลขทะเบียนหรือเปล่า”
แพรพลอยพยักหน้า อนุภัทรรีบเข้าไปในรถ เปิดคอมเตรียมคีย์เลขทะเบียนรถ
ทางด้านธำรงกับเกรียงไกรลากตัวทรงยศออกมาจากห้อง
“เสี่ย ใจเย็นก่อนสิครับ เสี่ยคิดจะทำอะไร” ธำรงเตือนสติ
“ถ้าพวกคุณจะอยู่เฉยๆ รอให้ตำรวจมันมาจับก็ตามใจ แต่ผมไม่เอาด้วย”
เกรียงไกรงง “แล้วเสี่ยจะทำอะไร”
“นังนั่นมันเป็นลูกรัฐมนตรีจริงๆ ใช่ไหม ผมก็จะเรียกค่าไถ่มัน”
ธำรงตาเหลือก เรื่องบานปลานไปใหญ่ “เสี่ย เรื่องใหญ่นะ”
“บอกแล้วไง ถ้าคุณไม่เอาด้วยก็อยู่รอตำรวจมันมาจับที่นี่”
ธำรงกับเกรียงไกรอึ้ง
“คิดดูให้ดีนะคุณธำรง ท่านอธิบดี ตอนนี้เรามีทางเลือกอะไรอีก นอกจากรีดเอาเงินของพ่อนังนั่นแล้วก็หนีออกนอกประเทศ”
อนุภัทรเช็คหมายเลขทะเบียน เห็นรูปของทรงยศกับเกรียงไกรขึ้นมายืนยัน
“ใช่รถของสองคนนั้นจริงๆ ครับ”
“งั้นคุณเมย์ก็คงอยู่ที่นี่แน่ ฉันจะเข้าไป”
“คุณแพร ผมไปด้วย” อิศร์บอก
“ผมจะรีบขอกำลังเสริม”
แพรพลอยกับอิศร์รีบลงจากรถ หาทางปีนรั้วเข้าไปในเขตบ้าน
ส่วนในเซฟท์เฮ้าส์ธำรงโทรศัพท์หน้ายุ่ง มีทรงยศกับเกรียงไกรมองลุ้นๆ
“ที่บ้านท่านบรรเลง ไม่มีคนรับสายเลย”
“หรือมันจงใจไม่รับโทรศัพท์ อย่างนี้มันต้องตัดอะไรไปขู่”
ทรงยศกระเหี้ยนกระหือรือ คว้ามีดจะเข้าไปจัดการมายาวี ธำรงกับเกรียงไกรรีบดึงไว้
แพรพลอยกับอิศร์ย่องมาทางหลังบ้าน เงยหน้าขึ้นไปมอง ได้ยินเสียงแอร์หึ่งๆ
“ฉันได้ยินเสียงแอร์ทำงานอยู่ชั้นบน แต่เราไม่รู้ว่ามีพวกมันกี่คน ฉันจะขึ้นไปคนเดียวทางหน้าต่างโน่น”
แพรพลอยชี้ไปที่หน้าต่างติดกับต้นไม้
“ส่วนคุณดึงความสนใจไว้”
อิศร์งง “ยังไง ให้ผมไปยืนร้องเรียกพี่ธำรงเหรอ”
“จะบ้าเหรอ ตอนนี้มันเห็นใครก็เป่าดิ้นทั้งนั้นแหละ”
แพรพลอยมองหาอุปกรณ์ เห็นชะแลงเหล็กตกอยู่ รีบเดินไปหยิบ
“ทำอะไรก็ได้ที่จะเกิดเสียงดึงความสนใจคนในบ้าน”
แพรพลอยยื่นชะแลงให้ แล้วรีบปีนขึ้นต้นไม้ไป อิศร์ถือชะแลงในมือ มองไปรอบๆ
ครู่เดียวแพรพลอยปีนขึ้นมาที่ระเบียง มองเห็นแสงไฟอยู่ภายในบ้าน พยายามลัดเลาะหาช่องมองเข้าไป
ฟากสามคนกระวนกระวายคิดแผน
“ตกลงว่ายังไง ผมจะรอไม่ไหวอยู่แล้วนะ ถ้าโทรไม่ติดก็ส่งนิ้วลูกสาวมันไปเป็นของขวัญถึงบ้านก่อนแล้วกัน”
ทรงยศฮึดฮัดจะเข้าไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเพล้งดังขึ้น ตามด้วยเสียงไซเรนรถขึ้น
“เฮ้ย อะไรวะ”
เกรียงไกรวิ่งไปชะโงกหน้าดูที่หน้าต่าง เห็นไฟหน้ารถสว่างวาบๆ เป็นสัญญาณ เห็นเงาอิศร์ไวๆ
เกรียงไกรตะโกนลงไป “เฮ้ย หยุดนะ” หันมาบอกธำรงกะทรงยศ “มีคนอยู่ข้างล่าง”
อิศร์ไล่ทุบรถอีกสองคัน จนเสียงไซเรนดังประสานเสียงกันขึ้นมา ธำรงกับทรงยศลุกพรวด
“มันมาได้ยังไงวะ”
ทั้งหมดพากันวิ่งออกไปหน้าบ้าน
แพรพลอยแอบมองเห็นทั้งสามออกจากห้องไป ก็รีบโหนตัวลัดเลาะมาตามกันสาด จนมาถึงหน้าต่างกระจก แพรพลอยยกศอกขึ้นถองกระจกแตกเพล้ง แล้วเหวี่ยงตัวเข้าไปในบ้าน กวาดตามองตามห้องต่างๆ แล้วเปิดประตูสำรวจแต่ละห้อง เสียงไซเรนยังดังต่อเนื่อง
“คุณเมย์คะ คุณเมย์อยู่ไหน” แพรพลอยเรียกเบาๆ สลับเคาะประตู
มายาวีได้ยินเสียงแพรพลอยแว่วๆ ก็ดีใจ
“คุณแพร เมย์อยู่นี่ค่ะ เมย์อยู่นี่” มายาวีพยายามถดเข้าไปใกล้ประตู แล้วใช้ขาถีบประตูแรงๆ
แพรพลอยที่กำลังเดินสำรวจ ได้ยินเสียงถีบประตูแรงๆ ก็รีบเปิดเข้าไป
“คุณเมย์” แพรพลอยรีบเข้าไปแก้มัดให้
ฟากธำรงกับเกรียงไกร ทรงยศวิ่งออกมา เห็นไฟหน้ารถติดวาบพร้อมากับส่งเสียงไซเรนระงมก็ตกใจ
“เฮ้ย รถฉัน ฝีมือใครวะ”
ทรงยศเดือดดาล ชักปืนยิงขึ้นฟ้าดังเปรี้ยง
“เปิดไฟให้ทั่วแล้วหาตัวมันให้เจอ”
ทั้งหมดเริ่มแยกย้ายกันออกไป อิศร์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ท้องรถ มองเห็นฝีเท้าวิ่งผ่านไป พยายามคลานไปอีกด้าน
ส่วนแพรพลอยช่วยแก้มัดให้มายาวีเสร็จ ก็มองเห็นไฟหน้าบ้านเปิดสว่างขึ้น
“แย่แล้ว คุณอิศร์อยู่ข้างนอก ไปเร็วค่ะ”
แพรพลอยดึงแขนมายาวีวิ่งลงบันไดไป
อิศร์คลานออกมาจากรถ แล้วรีบวิ่งหลบไปตามด้านข้างรถ ธำรงกะทรงยศเดินผ่านไป อิศร์จะย่องไปอีกทาง แต่โดนไม้ฟาดจากด้านหลังล้มคว่ำไป
เกรียงไกรถือไม้ยืนอยู่
“เจอแล้ว ไอ้หัวขโมย”
ธำรงกับทรงยศวิ่งตรงมา อิศร์ค่อยๆ พลิกตัวขึ้นมามอง
ธำรงตกใจ “ไอ้อิศร์ ! แก...แกมาทำอะไรที่นี่”
“พวกคุณจับเมย์มาใช่ไหม ตอนนี้เมย์อยู่ไหน”
“ที่แท้มันก็พวกเดียวกัน”
ทรงยศตรงเข้าไปกระชากอิศร์ขึ้นมา เอาปืนจ่อจะยิง
เสียงแพรพลอยดังขึ้น “ปล่อยคุณอิศร์เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นสมองแกระเบิดแน่”
ทั้งสามชะงักหันไปมอง เห็นแพรพลอยเดินเล็งปืนเข้ามา กันมายาวีไว้ด้านหลัง
“เธอ...” ธำรงคาดไม่ถึง
แพรพลอยย้ำ “ฉันพูดจริงทำจริง พวกคุณทำผิดมากพอแล้ว อย่าให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่านี้เลย”
ทรงยศกัดฟันกรอดขึ้นนกปืนขู่
“ก่อนจะทำอะไรลงไป คิดให้ดีนะเสี่ยทรงยศ! ตำรวจอยู่ข้างนอก” แพรพลอยบอก
สามคนชะงัก เสียงอนุภัทรพูดผ่านโทรโข่งเข้ามา
“นายทรงยศ นายธำรง นายเกรียงไกร วางอาวุธแล้วยอมมอบตัวซะ”
ทั้งสามยิ่งเลิ่กลั่กเหมือนหมาจนตรอก ทรงยศทนไม่ไหว
“ไม่โว้ย”
ทรงยศกระชากตัวอิศร์เข้ามาเป็นตัวประกัน แล้วกราดยิงไปทางแพรพลอยทันที แพรพลอยรีบผลักมายาวีล้มไปอีกทางแล้วกลิ้งตัวหลบหลังรถ ธำรงกับเกรียงไกรวิ่งกระจายไปคนละทางสองทาง
อนุภัทรได้ยินเสียงปืนดังมาจากด้านใน ก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ตัดประตูเหล็กเพื่อบุกเข้าไปทันที
ทรงยศอาการสติแตกผสมบ้าเลือด ล็อคคออิศร์ แล้วกราดยิงใส่แพรพลอยที่หลบกระสุนไปตามมุมต่างๆ
อนุภัทรกับตำรวจบุกเข้ามา
“เสี่ยทรงยศ วางอาวุธ”
ทรงยศหันไปยิงกราดใส่พวกตำรวจอีก ตำรวจไม่กล้ายิงตอบโต้เพราะกลัวอิศร์ถูกลูกหลง
ทรงยศกระชากอิศร์ออกไปจากบ้าน พวกตำรวจและแพรพลอยวิ่งตาม กลุ่มหนึ่งตรงเข้าจับกุมธำรงกับเกรียงไกร
อนุภัทรมองเห็นมายาวีล้มอยู่ รีบวิ่งไปดู
“คุณเมย์”
“ผู้กอง”
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเกือบเป็นอันตราย ผมเสียใจจริงๆ”
อนุภัทรดึงมายาวีเข้ามากอดอย่างโล่งอก มายาวีเหวอๆ แต่ก็กอดตอบอนุภัทร
ทรงยศลากอิศร์ออกมาหน้าเซฟเฮาส์ แล้ววิ่งไปขึ้นรถกระบะตำรวจ ผลักอิศร์ไปยังที่นั่งคนขับออกคำสั่ง
“ขับไป ไม่งั้นแกตาย”
อิศร์มองปืนกลัวๆ แล้วจำต้องสตาร์ทรถ
แพรพลอยวิ่งตามออกมาพร้อมกับตำรวจ เห็นอิศร์กำลังจะออกรถ
“คุณอิศร์”
แพรพลอยกระโจนขึ้นไปบนกระบะ ทันก่อนที่อิศร์จะออกรถ ทรงยศเห็นแพรพลอยอยู่กระบะท้าย ก็ยื่นตัวออกจากหน้าต่างรถยิงใส่ แพรพลอยกลิ้งตัวหนีกระสุนแล้วยิงโต้กลับ ทรงยศหลบ แล้วยื่นหน้าออกมายิงสู้อีก แต่ไม่มีกระสุน รีบหดกลับเข้าไป
แพรพลอยเริ่มตั้งหลักได้ พยายามลุกขึ้นยืน ทรงยศมองเห็น ก็ตรงเข้าไปกระชากพวงมาลัยจากอิศร์ แล้วเหยียบเบรกสุดพลัง รถกระชากอย่างแรง แพรพลอยทรงตัวไม่อยู่ โดนเหวี่ยงข้ามรถ กลิ้งตกไปที่ถนนด้านหน้า
“คุณแพร”
อิศร์รีบลงจากรถไปหา แพรพลอยนอนนิ่งหัวกระแทกอยู่กับพื้น
“เป็นยังไงบ้าง คุณลุกไหวไหม”
อิศร์พยายามพยุงแพรพลอยคืน แล้วหันไปเห็นทรงยศเปิดไฟหน้า ติดเครื่องรถเตรียมจะพุ่งใส่
ทรงยศเร่งเครื่องแรงๆ 2-3 ครั้งแล้วพุ่งทยานมา อิศร์รีบประคองให้แพรพลอยลุก แพรพลอยกัดฟันลุก แล้วยกปืนในมือขึ้นเล็งหน้ารถแบบไม่กลัว แล้วยิงเปรี้ยงๆ
ทรงยศถูกยิงเข้าแสกหน้าฟุบลงกับพวงมาลัย อิศร์รีบกระชากตัวแพรพลอยให้พ้นทางรถ กลิ้งไปตามถนนจนล้มลงไปในพงหญ้า ขณะรถตำรวจที่ทรงยศขับพุ่งเข้าชนต้นไม้โครมใหญ่ เสียงแตรดังสนั่นเพราะร่างของทรงยศถูกอัดเข้ากับพวงมาลัย ตายคาที่
อิศร์กอดแพรพลอยไว้แนบอก ขณะที่กลิ้งหลบรถมาด้วยกันอย่างปลอดภัย
ต่ อ จ า ก ต อ น ที่ แ ล้ ว
วันต่อมา อำนวยทุบตีธำรงต่อหน้าอิศร์ และป้าดวง ในห้องโถงบ้านอิศร์นั่นเอง
“ไอ้ธำรง แกทำอย่างนี้ได้ยังไงฮะ ฉันไม่เคยสั่งสอนให้แกหากินแบบชั่วๆ อย่างนี้”
“โอ๊ย พ่อ ผมเจ็บ”
“คอยดูนะ ฉันจะไม่ช่วยแกเรื่องคดี จะปล่อยให้ติดคุกให้เข็ด ไอ้ลูกเวร”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่องลักพาตัวคุณเมย์ พวกมันวางแผนกันเอง”
อำพลพาครอบครัวเดินตามเข้ามา ด่าทันที
“แต่เรื่องที่โกงเงินบริษัทแกก็ต้องรับผิดชอบ รู้ไหมว่าเราเสียหายเท่าไรที่ต้องถอนตัวออกจากการประมูล”
“ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง แกไม่ต้องโอดครวญที่โดนแค่นี้ มันยังน้อยไป”
ไอศูรย์เข้าไปตบหัวธำรง ธำรงโมโหจะชกคืน ทุกคนรีบเข้าห้าม
“พอเถอะครับทุกคน” อิศร์จ้องหน้าธำรง “พี่ธำรงทำอย่างนี้มากี่ครั้งแล้วผมอยากรู้”
“ก็คงตั้งแต่แรกนั่นแหละค่ะ พี่ธำรงเขามีประวัติเรื่องกะล่อนปลิ้นปล้อนอยู่แล้ว สมัยเรียนก็โดนจับเรื่องลอกข้อสอบมาไม่รู้กี่หน” ไอริณแหลมเข้ามา
ธำรงตวาด “หุบปาก นังไอริณ แกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันหรอก”
ไอริณฮึดฮัดจะด่ากลับ แต่เรณูดึงไว้ ธำรงกวาดตามองไปรอบๆ พูดลอยๆ
“คนที่นี่ไม่ได้ดีไปกว่าฉันซักคน เลิกสร้างภาพกันได้แล้ว”
อำนวยฉุนอีก “แกพูดอะไรของแก”
กรองทองชะโงกหน้ามองเข้าไปในบ้านอย่างเป็นห่วง หันมาเห็นแพรพลอยที่เดินเข้ามาพอดี
“มีอะไรกันเหรอกรอง”
“ในบ้านกำลังทะเลาะกันใหญ่แล้วค่ะ เรื่องคุณธำรง”
แพรพลอยมองเป็นห่วงแล้วเดินเข้าไป
พอแพรพลอยเดินเข้ามา เห็นธำรงกำลังเผชิญหน้ากับทุกคน
“ผมไม่ใช่คนเดียวที่โกงบริษัท ถ้าจะด่าผมว่าเลว ก็ควรจะด่าตัวเองกันด้วย”
ไอศูรย์จ้องหน้า “แกหมายถึงใคร”
“อย่านึกว่าผมไม่รู้เรื่องที่พี่กับลุงอำพลทำ แอบไปถือหุ้นบริษัทเครื่องจักร เอาของไร้คุณภาพมาขายให้บริษัท ชาร์จค่าซ่อมค่าอะไหล่แพงๆ เข้ากระเป๋าตัวเอง แล้วยังเอาพวกพ้องมาเป็นซัพพลายเออร์ กินเปอร์เซ็นต์เป็นล้านๆ”
ทุกคนตกตะลึง อำพลกับไอศูรย์อึ้ง
“จริงเหรอคะคุณ” เรณูตกใจ
“ก็ต้องจริงสิครับ ไม่งั้นคุณป้ากับยายริณจะสุขสบายอย่างนี้เหรอ งานการไม่ต้องทำ ใช้เงินไปวันๆ ทั้งที่ในบ้านมีคนทำมาหากินแค่สองคน” ธำรงแค่นยิ้ม “ผมไม่โทษลุงกับพี่ศูรย์หรอก ทุกอย่างมันเป็นความผิดของแก ไอ้อิศร์”
ธำรงหันมาพาลชี้หน้าอิศร์ที่กำลังงง
“ผมเกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็เพราะคุณปู่รักแกมากกว่าใคร มีสมบัติเท่าไรก็ประเคนให้แกหมด ทั้งที่แกไม่ต้องออกแรงทำอะไรซักอย่าง พวกฉันทำงานงกๆ ได้ส่วนแบ่งแค่หยิบมือ ถึงต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างนี้ไง”
อำนวยโกรธจัด “ไอ้ธำรง! แกทำชั่วแล้วจะพาลโทษคนอื่นอย่างนี้ไม่ได้”
“มันเป็นเรื่องจริง พวกเราทุกคนรู้สึกเหมือนกันหมดว่าคุณปู่ไม่ยุติธรรม ไม่เชื่อถามยายริณก็ได้” ธำรงหันมาทางไอริณ “บอกมาสิว่าแกไม่ได้คิดอย่างฉัน”
ทุกคนหันไปมองไอริณเป็นตาเดียว อิศร์มองจ้องไอริณ ลุ้นคำตอบ
ไอริณนิ่งอึ้ง รีบหลบตา ไม่กล้ายอมรับกับอิศร์ตรงๆ อิศร์ยิ่งผิดหวัง
อำพลถือโอกาสโพล่งขึ้นมา ตรงเข้ากระชากคอเสื้อธำรง เขย่า ด้วยความโมโห คุมอารมณ์ไม่อยู่
“ไม่จริง พวกฉันไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้น มีแต่แกคนเดียวไอ้ธำรงที่คิดชั่วๆ กับบริษัท แกใส่ความพวกฉัน”
“ใส่ความเหรอ” ธำรงหัวเราะเยาะ “จะให้งัดหลักฐานมาโชว์ก็ได้ ผมหาได้อยู่แล้ว ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาไว้แบล็คเมล์ไอ้พวกสร้างภาพ แต่ตอนนี้ ผมว่าเอาให้มันบรรลัยไปพร้อมกันหมดเลยดีกว่า” ธำรงบอกอิศร์ “แกรอดูหลักฐานจากฉันได้เลยไอ้อิศร์”
ธำรงกระชากมืออำพลออก ทำเป็นปัดเสื้อตัวเองเย้ยๆ จะออกไป ไอศูรย์ทนไม่ไหว พุ่งเช้าชกธำรง
พวกผู้หญิงร้องวี๊ดว้าย ธำรงลุกขึ้นได้ก็ต่อยไอศูรย์คืน อำพลกับอำนวยพยายามห้าม แต่ไม่สำเร็จ
ธำรงกับไอศูรย์ต่อยกันแบบยัวะทั้งคู่ อิศร์ทนไม่ไหว ตวาดขึ้นมาดังลั่น
“พอได้แล้ว นี่บ้านคุณปู่นะ เกรงใจกันบ้างสิ”
ทุกคนชะงัก มองไปที่รูปใหญ่ของเดชที่ติดไว้
“ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งที่คุณปู่ทิ้งไว้ให้จะทำให้ครอบครัวเราต้องทะเลาะกันเอง ถ้าคุณปู่รู้ท่านจะเสียใจขนาดไหน”
“อิศร์ อย่าไปเชื่อมัน มันเลวคนเดียว พวกลุงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทั้งนั้น” อำพลแก้ตัว
“จนป่านนี้ยังไม่ยอมรับอีกเหรอวะ”
ธำรงโมโหชี้หน้าอำพล อำนวยทนไม่ไหว เงื้อมือตบหน้าธำรงจนหน้าหัน
“แกอย่าทำให้ฉันอับอายมากไปกว่านี้ได้ไหม ไอ้ลูกชั่ว ไป
อำนวยกระชากธำรงออกไปทันที อิศร์ได้แต่ก้มหน้า เครียด ผิดหวัง แพรพลอยมองสงสาร
อิศร์เครียดทนไม่ไหว ผลุนผลันออกไปจากห้องอีกคน ป้าดวงเป็นห่วงเรียกไว้ แต่อิศร์เดินลิ่ว
แพรพลอยเดินเข้ามาที่เก้าอี้สนาม เห็นอิศร์นั่งคอตกซึมอยู่ ลังเล ไม่รู้จะปลอบยังไง
“ฉันไปเยี่ยมคุณเมย์ที่บ้านมา เธอสบายดีค่ะ แต่ฝากมาบอกว่าจะขอลาพักร้อนซักสองสามวัน”
“ลาไปเถอะครับ กี่วันก็ได้ เพราะผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าอยากจะกลับไปทำงานหรือเปล่า”
“คุณอิศร์ ฉันรู้ว่าคุณกำลังผิดหวัง แต่ตอนนี้บริษัทกำลังมีปัญหา คุณต้องเข้าไปจัดการให้เรียบร้อย”
“ปัญหามันก็เกิดมาจากตัวผมเองที่มีผลประโยชน์มากกว่าคนอื่น ทำให้ทุกคนไม่พอใจ บางทีถ้าผมถอยออกมา อะไรอาจจะดีขึ้น
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย คุณไม่ได้เลือกที่จะมาอยู่ตรงนี้ แต่คุณปู่เลือกคุณ บางทีท่านอาจจะมองเห็นทุกอย่างตั้งแต่แรก ถึงไม่ไว้ใจคนอื่น แล้วคุณจะปล่อยให้เดชโชดมกรุ๊ปมีปัญหาโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอคะ”
อิศร์คิดตาม เหมือนได้สติขึ้น แพรพลอยนั่งลงข้างๆ อิศร์
“ถึงเวลาที่คุณต้องแสดงความเป็นผู้นำแล้วล่ะ ฉันเชื่อว่าคุณทำได้”
แพรพลอยยิ้มให้กำลังใจอิศร์
สองคนยืนอยู่หน้ารูปใหญ่ของเดชในห้องโถง
“คุณปู่ครับ เรื่องที่เกิดขึ้น ผมควรจะทำยังไงดี”
“คุณอย่าคิดแต่จะถามความเห็นคุณปู่เลย ควรจะหาคำตอบเองได้แล้วนะคะ”
“แต่นี่มันเรื่องใหญ่ ถ้าตัดสินใจทำอะไรลงไป ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วย ผมกลัวว่าตัวเองจะตัดสินใจพลาด”
อิศร์ทำหน้ายุ่ง แล้วหันมามองแพรพลอย
“ถ้าไม่ถามความเห็นคุณปู่ ผมถามคุณได้ไหม หรือถามป้าดวง หรือถาม...”
แพรพลอยยื่นมือไปแตะปากอิศร์ให้หยุดพูด
“หยุด! คุณถามพวกฉันไม่ได้ เพราะนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของคุณ ไม่มีใครบอกคุณได้ว่าควรจะตัดสินใจยังไง”
“ใช่ ไม่มีใครตอบได้ นอกจากคุณปู่” อิศร์มองรูปเดช
“ตอนนี้คุณปู่ท่านวางใจให้คุณแล้ว คุณใช้ใจของคุณหาคำตอบให้ได้สิคะว่าทางออกไหนที่จะทำให้ครอบครัวนี้บอบช้ำน้อยที่สุด”
อิศร์มองหน้าแพรพลอยอย่างสับสน ไม่แน่ใจ
ฟากไอศูรย์เดินเข้ามาในห้องทำงานอำพล ท่าทางกระวนกระวาย
“พ่อครับ ผมว่าเราต้องรีบทำลายหลักฐานทั้งหมด อย่าให้เรื่องมันโยงมาถึงเราได้”
“แกไม่ได้ยินหรือไงว่าไอ้ธำรงมันมีหลักฐาน เราทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“มันอาจจะบลั๊ฟเราก็ได้ ผมว่าเราควรจะทำอะไรซักอย่างดีกว่าอยู่เฉยๆ แบบนี้ ถ้าไอ้อิศร์มันไอ้ธำรง เราก็จบ ทุกอย่างพังหมด ผมจะไปที่บริษัท”
ไอศูรย์ผลุนผลันจะออกไป แต่เรณูกับไอริณสวนเข้ามาพอดี
เรณูถามอำพล “แสดงว่ามันเป็นเรื่องจริง คุณกับไอศูรย์ร่วมมือกันโกงบริษัท คุณกล้าทำได้ยังไงคะคุณอำพล”
อำพลหันหน้าหนีไม่ยอมตอบ ไอริณสำทับ
“คุณปู่ระแคะระคายเรื่องนี้ใช่ไหมคะ ถึงได้ยกสมบัติส่วนใหญ่ให้พี่อิศร์หมด” ไอริณหันมาแดกดันไอศูรย์ “เพราะพี่อิศร์คงไม่มีปัญญากอบโกยผลประโยชน์เหมือนพ่อกับพี่ศูรย์ทำ”
“ไอริณ มันจะมากไปแล้ว แกคิดว่าพวกฉันทำเพื่อตัวเองหรือไง ไอ้ธำรงมันพูดถูก ที่แกนั่งนอนกินสุขสบายก็เพราะสิ่งที่พวกฉันทำนี่แหละ” อำพลโมโห
อริสราเดินลงบันไดมา ได้ยินเสียงเอะอะ ก็เดินมาดู อริสราเดินเข้ามาเห็นทั้งหมดทะเลาะกันอยู่ แต่ไม่ยอมเข้ามา แอบฟังอยู่ข้างนอก
“อย่าเอาความโลภของตัวเองมาอ้างนะ คุณก็รู้ว่าฉันกับลูกไม่ใช่ไม่เคยผ่านความลำบากมาก่อน”
“ใช่สิ เพราะเราเคยลำบากจนต้องซมซานมาของานคุณพ่อกับไอ้อำนาจ ฉันถึงจะไม่ยอมกลับไปเป็นอย่างนั้นอีก ฉันทุ่มเททำงานให้คุณพ่อมากกว่าใคร ฉันก็ต้องได้รับผลตอบแทนมากที่สุด”
“แต่มันเป็นวิธีสกปรก เป็นเงินสกปรก” เรณูย้อน
“ก็เงินสกปรกนี่แหละที่ซื้อข้าวซื้อน้ำให้เธอกิน ถ้าไม่พอใจเธอก็ออกไปจากบ้านนี้ได้เลย”
“คุณพ่อ ใจเย็นๆ สิคะ”
“ถ้าแกอยากจะกินอุดมคติเหมือนแม่ของแกก็ตามใจ ฉันจะสั่งตัดเงินเดือนแกตั้งแต่พรุ่งนี้” อำพลเดินหนีออกไปอย่างฉุนเฉียว
“ว้ายคุณพ่อ เดี๋ยวก่อนสิคะ”
ไอริณตกใจ วิ่งตามอำพลออกไป ไอศูรย์หันมามองเรณูที่ทำหน้าผิดหวัง
“คุณแม่ก็เห็นว่าผมกับคุณพ่อทำงานหนักมาตลอด ขณะที่ไอ้อิศร์มันเอาแต่สำราญอยู่เมืองนอกจนคุณปู่เสีย แล้วจะให้มันมาชุบมือเปิบโดยที่เราไม่ได้อะไรเลยเหรอครับ”
เรณูเสียงอ่อนลง “แต่มันไม่ถูกต้อง”
“มันไม่ถูกต้องตั้งแต่คุณปู่รักมันมากกว่าลูกหลานทุกคนแล้ว คุณปู่ไม่ยุติธรรมเอง ช่วยไม่ได้”
ไอศูรย์เดินออกไปอีกคน เรณูถอนใจกลุ้ม
อริสราที่แอบฟังอยู่ ได้ยินทุกอย่าง
อริสรากำลังจะเดินออกจากบ้านไป แต่เจอไอริณเข้ามาขวาง
“จะไปไหน”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“แอบฟังเรื่องทั้งหมดแล้วจะคาบไปฟ้องพี่อิศร์ใช่ไหม”
“รู้ก็ดีแล้ว ถอยไป”
“ฉันไม่ให้ไป”
อริสราโมโห จะเดินเลี่ยงไป ไอริณคว้าแขน
“เลิกทำตัวเป็นนกสองหัวได้แล้วพี่อริส ละอายใจซะบ้าง”
“แล้วพี่ชายกับพ่อคุณล่ะ ไม่ละอายใจบ้างหรือไง ทำแบบนี้เขาเรียกว่าลักกินขโมยกิน”
“ปากดีนัก” ไอริณเงื้อมือ
“เอาสิ ตบฉันเลย แต่คุณคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่ฉันบอกไอศูรย์คำเดียวว่าคุณทำร้ายฉัน บ้านนี้มันจะยิ่งลุกเป็นไฟกว่าเดิม”
ไอริณชะงัก กลัวฤทธิ์ไอศูรย์เลยไม่กล้า อริสรายิ้มสะใจแล้วเดินออกไป
ขณะที่ป้าดวงล้างจานอยู่ในครัว อริสราตามไปเซ้าซี้ถาม
“คุณอิศร์ไม่อยู่หรอกค่ะคุณอริส”
“ดึกดื่นแล้วยังจะออกไปไหนกันอีกคะ หรือว่าออกไปทานข้าว”
“ป้าไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
ป้าดวงตอบปัดๆ แล้วจะเดินหนีไป แต่อริสราตามไปขวางหน้า อ้อนวอน
“อริสเป็นห่วงอิศร์เหมือนกันนะคะป้าดวง เขาเป็นยังไงบ้าง เครียดหรือเปล่า”
ป้าดวงน้ำเสียงอ่อนลง “ก็คงทุกข์ใจมากล่ะค่ะ แต่คุณแพรพลอยดูแลอยู่ คุณอริส กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ คุณอิศร์เธอสั่งไว้แล้วว่าคืนนี้อาจจะไม่กลับมานอนที่บ้าน”
ป้าดวงเดินออกไป อริสราฟังประโยคสุดท้ายแล้วตกใจ
“หมายความว่ายังไงคะ อิศร์จะไม่กลับมานอนบ้าน แล้วเขาจะไปค้างที่ไหน”
เสียงไอศูรย์ดังขึ้น “ก็คงไปนอนกกกับบอดี้การ์ดให้หายกลุ้มใจละมั้ง”
อริสราหันไปมอง เห็นไอศูรย์ยืนกอดอกพิงประตูอยู่ สีหน้าเยาะเย้ยสะใจ
อริสราเดินกลับมาที่บ้านอย่างหงุดหงิด ไอศูรย์ตามมากระชากแขนไว้
“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ พวกคุณมันสกปรก ฉ้อโกงได้แม้กระทั่งญาติพี่น้องตัวเอง”
ไอศูรย์โมโห กระชากอริสรามาใกล้ “เพราะเรื่องนี้เอง คุณถึงแล่นไปโอ๋มัน ไม่ดูสังขารตัวเอง หายป่วยแล้วหรือไง”
“ฉันห่วงอิศร์มากกว่าตัวฉันเอง ตอนนี้เขาคงเสียใจมากที่ได้เห็นธาตุของลุงกับพี่ชายที่เขาเคารพว่าที่แท้แล้วก็เป็นพวกโลภมาก ไว้ใจไม่ได้”
“คุณไม่มีสิทธิ์มารังเกียจสิ่งที่ผมทำ ในเมื่อคุณก็ได้ผลประโยชน์นั้นด้วย เงินที่พ่อแม่คุณเอาไปรักษาหน้าตัวเองไม่ให้ต้องกลายเป็นคนล้มละลาย มันก็เงินสกปรกก้อนนี้แหละ”
“ถ้าฉันรู้ซักนิดนึง ฉันจะไม่ยอมให้พ่อแม่รับความช่วยเหลือจากคุณ”
ไอศูรย์แค่นหัวเราะ “ทำอย่างกับคุณจะห้ามได้ พ่อกับแม่คุณอยากขายคุณให้ผมจนตัวสั่น” เขาบีบปาก อริสราแรงๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พูดเสียงหวานเยาะ “ยังไงเราสองคนก็หนีกันไม่พ้น รู้ไว้ซะด้วย”
อริสราปัดมืออก “คุณมันน่าขยะแขยงขึ้นทุกวัน”
จากนั้นอริสราผลุนผลันขึ้นบ้านไป ไอศูรย์มองตาม สีหน้าเจ็บปวดขึ้นมา เพราะยังไงก็อยากให้อริสรารัก
อริสราเข้ามาในห้องด้วยความว้าวุ่นใจ เสียงพูดป้าดวงดังขึ้น
“คุณอริส กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ คุณอิศร์เธอสั่งไว้แล้วว่าคืนนี้อาจจะไม่กลับมานอนที่บ้าน”
อริสราได้ยินยิ่งกลุ้ม หึงหวงอิศร์หนัก
“อิศร์ คุณตัดสินใจเลือกผู้หญิงคนนั้นแล้วจริงๆ เหรอ”
ที่มูลนิธิคืนเดียวกันที่มูลนิธิ กรณ์ช่วยแพรพลอยหอบผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มชุดใหม่เข้ามา
“ตามสบายนะครับคุณอิศร์ เดี๋ยวผมจะไปนอนกับเด็กๆ ที่บ้านโน้น”
“เกรงใจจังเลยครับ ที่จริง...”
กรณ์เหล่แซว “หรือว่าจะนอนห้องแพร ก็ได้นะครับ”
แพรพลอยหันไปตีกรณ์ดังเผียะ กรณ์หัวเราะขำ
“จะไล่กขค.ออกจากห้องใช่ม้า อ้ะ งั้นก็ทำเองแล้วกันเจ๊ ฉันไปล่ะ”
กรณ์โยนผ้าปูลงบนเตียง แล้วรีบออกไป แพรพลอยมองหมั่นไส้ หยิบผ้ามาปูเตียง อิศร์เข้ามาช่วย
“ขอบคุณนะที่พาผมหลบมาที่นี่”
“ฉันรู้ว่าพวกสุดท้ายที่คุณอยากเจอตอนนี้ก็คือญาติพี่น้องของคุณ”
อิศร์พยักหน้า ให้คำมั่น “ผมอยากเคลียร์สมองซักแป๊บ จะได้มีคิดออกว่าควรจะแก้ปัญหานี้ยังไง ผมจะไม่หนีปัญหา ผมสัญญา”
“ดีแล้วล่ะค่ะ”
แพรพลอยยิ้มให้อิศร์ แล้วก้มลงจัดเตียงต่อ อิศร์ก้มลงสอดชายผ้าที่ขอบเตียงพอดี ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมาใกล้กันพอดี แพรพลอยเขิน รีบผละออก
“เดี๋ยวฉันไปดูของกินให้ คุณไปอาบน้ำซะ”
“คุณจะกลับคอนโดก็ได้นะ ผมอยู่ได้”
“ฉันจะทิ้งคุณได้ยังไงล่ะ”
แพรพลอยหลุดปากพูด แล้วเห็นอิศร์ยิ้มให้อย่างซึ้งใจ
แพรพลอยรีบกลบเกลื่อน “ฉันไม่อยากให้คุณรบกวนแม่ วันนี้แม่ไม่ค่อยสบาย”
อิศร์ยิ้ม รู้ว่าแพรพลอยแก้ตัว “ยังไงขอบคุณนะครับ”
แพรพลอยทำหน้าเขินๆ รีบออกจากห้องไป
อิศร์อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เดินเข้ามาในครัว มองหาแพรพลอย
“คุณแพร”
อิศร์เห็นแต่ถ้วยมาม่าคัพหลายรสวางบนโต๊ะ ทับกระดาษ เขียนโน้ตสั้นๆ
อิศร์อ่าน “เลือกข้าวเย็นเอาเองนะ”
อิศร์ยิ้มกับตัวเองที่ต้องมาลงเอยกินมาม่า ทั้งควรจะกินอิ่มสุขสบายอยู่ที่บ้าน
ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงดังแว่วมาจากเรือนนอนของเด็กๆ อิศร์เงยหน้าจากการหยิบถ้วยมาม่าเลือกดู แล้วหันไปมองที่หน้าต่าง
อิศร์ถือถ้วยมาม่าสองถ้วยเดินเข้ามาที่เรือนนอนของเด็กๆ ตามเสียงหัวเราะ จนมาหยุดที่ห้องนอน ไฟปิดเงียบ แต่เสียงหัวเราะครื้นเครงยังดังมาจากข้างใน เลยแง้มประตูดู
ภายในห้องอิศร์เห็นเด็กๆ รวมกลุ่มกันมุมห้องกับแพรพลอย กลางห้องเห็นกรณ์แต่งตัวแก่ ผมขาว เคราขาวเดินงกเงิ่น เสียงแพรพลอยอ่านบรรยาย ซึ่งที่แท้เป็นการซ้อมละครโรงเรียน
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งที่ให้กำเนิดลูกชาย 5 คน”
เปี๊ยกกับเด็กๆ ตัวไล่เลี่ยกัน 5 คนแต่งสวมหมวกกระดาษปีใหม่ ถือดาบพลาสติกวิ่งออกมา ตีกันโช้งเช้ง ส่งเสียงเอะอะ แพรพลอยบรรยายต่อ
“พี่น้องทั้ง 5 มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ วันหนึ่งชาวนาจึงเรียกลูกทั้ง 5 มาพบ”
กรณ์เดินงกๆ เงิ่นๆ ออกมาห้ามปรามลูก ถูกลูกหลงมีดดาษเปี๊ยกจิ้มจมูกหน้าหงาย เด็กๆ ในกลุ่มคนดูหัวเราะกัน ส่วนอิศร์ก็มองอย่างสนใจว่าทำอะไรกัน
กรณ์ดัดเสียงเป็นคนแก่ “พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ทำไมไม่รักกัน มานี่ พ่อจะสอนให้”
กรณ์กวักมือเรียกลูกๆ ให้มาล้อมวงแล้วเอาขนมขาไก่แท่งใหญ่ที่มัดรวมกันเป็นท่อนยื่นให้เปี๊ยก
“เจ้าลองหักท่อนไม้พวกนี้ให้พ่อดูหน่อยซิ”
เปี๊ยกลองทำหน้าหัก แล้วส่ายหน้า “หักไม่ได้ครับพ่อ”
“แล้วเจ้าล่ะ”
กรณ์ยื่นกิ่งไม้ให้ลูกคนอื่น ทุกคนลองทำแล้วส่ายหน้า ส่งคืนกรณ์
“เพราะกิ่งไม้พวกนี้ มันแข็งแรงเมื่ออยู่รวมกัน แต่เมื่อไรที่มันแยกจากกัน พวกเจ้าก็จะหักมันได้อย่างง่ายได้”
กรณ์แจกขนมให้ลูกๆ คนละชิ้น เปี๊ยกหักแล้วรีบกินเข้าปาก เด็กคนอื่นๆ ทำตามไล่เรียงกันไป
“เจ้าเข้าใจหรือยังว่าพ่อจะบอกอะไร”
เปี๊ยกตอบขึ้นว่า “บอกว่าขนมขาไก่อร่อยครับ”
ทุกคนหัวเราะกันครืน อิศร์แอบยิ้มขำตาม กรณ์เขกหัวเปี๊ยก
“ไม่ใช่เว้ย มานี่ๆๆ” กรณ์ในมาดชายแก่โอบลูกๆ เข้าหากัน “พ่อกำลังจะบอกว่า ถ้าพวกเจ้าสามัคคีเหมือนกิ่งไม้ที่มัดรวมกัน ก็จะไม่มีใครมาทำอันตรายได้ แต่ถ้าแตกความสามัคคี ทะเลาะเบาะแว้ง พวกเจ้าก็จะเป็นแค่กิ่งไม้เล็กๆ ที่ถูกหักทิ้งอย่างง่ายดายนั่นเอง” เขาลากเสียงตอนจบแล้วหัวเราะแบบซานต้า “โฮะๆๆๆ”
แพรพลอยร้อง “เย้ จบแล้ว ปรบมือให้เพื่อนหน่อยจ้า”
กรณ์ปรบมือนำให้เด็กๆ ทำตาม
อิศร์ปรบมือตามไปด้วย แต่เมื่อนึกเทียบสิ่งที่นิทานสอนกับปัญหาในครอบครัวของตัวเองยามนี้ สีหน้าที่ยิ้มอยู่ค่อยๆ คลายลง
อ่านต่อตอนที่ 8