xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 15

ที่วัดอันเป็นสถานที่จัดงานศพของเผ่าลาภ ลุงมัคทายกคนกวาดลานวัดคนเก่า ยังคงทำหน้าที่ของตนอยู่ จังหวะนี้มีเท้าของชายคนหนึ่งเดินผ่านไป พอจะเห็นความรันทดที่เจือปนอยู่ในทุกย่างก้าวของเขา มีเสียงเพลงจีนดังมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์ราคาย่อมเยาของลุงคนนั้น

เป็นบารมีนั่นเองที่ขยับตัวลงนั่ง หน้าตาเศร้าหมอง เขานั่งอยู่ ณ เบื้องหน้าโลงศพที่มีรูปเผ่าลาภวางอยู่ ลุงคนเดิมเดินกวาดพื้นเข้ามาใกล้ๆ ผ้ากันฝุ่นผืนใหญ่ปิดอยู่ที่ปากเขา
“คุณนี่ชอบมาวัดตอนเช้าๆ จริงนะ”
บารมีนิ่ง ไม่เอ่ยปากตอบแต่อย่างใด ลุงกวาดพื้นไปเรื่อยๆ
“ทำไมเขายังไม่เอาไปฝัง ลุงรู้มั้ย”
“เห็นว่ารอญาติพี่น้องพร้อมหน้า แล้วก็รอให้เมียหายป่วยก่อน...หรือไงนี่แหละ”
บารมีก้มหน้าสลดลงไป
“เป็นอะไรกับคนในนั้นเหรอ”
ลุงชี้ไปที่โลงศพเผ่าลาภ
“เป็นน้อง...เป็นน้องเลวๆ คนหนึ่ง ที่ทำให้พี่ชายต้องเข้าไปอยู่ในนั้น”
ลุงรำพึง “อยู่ในนั้นสงบจะตาย...ไม่รู้อะไร...”
“แต่ฉันอยากให้เขาลุกขึ้นมาอีกซักครั้งหนึ่ง แค่สองสามนาทีก็ได้...มารับฟังคำขอโทษจากฉัน หรือจะลุกขึ้นมาด่าฉันก็เอา เขาจะได้รู้ว่าน้องเลวๆคนนี้มันรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว มันสำนึกตัวหมดแล้ว เผื่อเขาจะยอมอโหสิให้ฉันบ้าง...”
มือของลุงที่จับไม้กวาดกำแน่น ใบหน้านั้นถูกปกปิดด้วยผ้ากันฝุ่น และหมวกปีกกว้าง จึงเห็นเพียงแววตาของลุงเท่านั้น และหากบารมีสังเกตดวงตาคู่นี้สักนิดเขาจะพบว่ามันช่างคุ้นตาซะเหลือเกิน
“อธิษฐานสิ” ลุงบอก
บารมีนั่งอยู่ด้านหลัง
“ได้ด้วยเหรอ”
“ถ้าจิตเรามุ่งมั่น แน่วแน่ และตั้งอยู่บนความเป็นกุศลจิตแล้ว...ปาฏิหาริย์ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้”
บารมียืดตัวตรง หลับตา สงบนิ่ง เสียงเพลงจีนยังดังต่อเนื่องอยู่
ลุงคนนั้นหันไปมองพร้อมกับดึงผ้ากันฝุ่นที่ปิดปากออก จึงเผยให้เห็นว่าเขาคือเผ่าลาภนั่นเอง เผ่าลาภจ้องมองน้องชายตัวเองนิ่ง
“ไม่เห็นมีปาฏิหาริย์เลย” บารมีพูดทั้งที่หลับตา
“มี...แต่เธอไม่รู้” เสียงเผ่าลาภดังขึ้น
เผ่าลาภบอกแล้วหมุนหน้ากลับไป ในจังหวะเดียวกับที่บารมีเงยหน้าขึ้นมองตามลุง
“เดี๋ยวก่อนลุง...อย่าเพิ่งไป...”
เผ่าลาภดึงผ้ากันฝุ่นมาปิดปากเหมือนอย่างเดิม
“ฉันฝากลุงทำบุญหน่อยสิ...สตางค์วางไว้ตรงนี้นะ...คุยกับลุงแล้วสบายใจดี”
“งั้นช่วยเรียกว่าพี่ได้มั้ยล่ะ ฟังดูดีกว่าลุงเยอะเลย”
บารมีเดินยิ้มมาตบไหล่ลุง
“ได้...ขอบใจนะ เฮีย...”
บารมีเดินออกไป เผ่าลาภมองตามซาบซึ้งใจอยู่ลึกๆ
“ขอบใจเช่นกัน...อาหั่งน้องรัก”
เผ่าลาภเอื้อมมือไปยังวิทยุทรานซิสเตอร์ใกล้ตัว เขาเปลี่ยนคลื่นวิทยุ แล้วเดินลับกายไป
เสียงเพลงจีนหายไป...กลายเป็นรายการข่าวชาวบ้าน โดยดีเจ.เสียงเหน่อเจื้อยแจ้วดังออกมา
“ไม่น่าเชื่อนะครับ บริษัทเก่าแก่อย่างจินดาเซอร์วิส ที่ให้บริการอบและรมยาให้กับเรือบรรทุกข้าวสารมานานนับสี่สิบปีจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังกับกลุ่มอิทธิพล ถึงขนาดที่ว่าเป็นเอเย่นต์ส่งยาบ้าข้ามทวีป โดยซุกไปกับเรือสินค้า...โอ มันอะไรกันล่ะครับนี่....”

ขณะเดียวกัน เครื่องเสียงชั้นเยี่ยมในเซฟเฮ้าส์ตะวันฉาย มีเสียงดีเจนุ่มหู กำลังรายงานข่าวผ่านทางวิทยุ
“ทางด้านโฆษกพรรคฝ่ายค้านได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่าจะเดินหน้าขุดคุ้ยกรณีที่มีเสียงร้องเรียนพาดพิงไปถึงนายสุริยะ ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยไท แกนนำของรัฐบาล ว่าให้การสนับสนุนกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายมากมาย โดยมีลูกชายเป็นตัวแทนเข้าไปรับผลประโยชน์จากธุรกิจเหล่านั้น ซึ่งรวมทั้งบริษัทจินดาเซอร์วิส ที่กำลังตกเป็นข่าวอยู่ด้วย...”
ตะวันฉายถือโปสเตอร์ใบหนึ่งในมือ
มีรูปถ่ายคนสามคนอยู่ในโปสเตอร์นั้นนั้น ได้แก่ เผด็จศึก เผ่าลาภ และ แสงเทพ พร้อมด้วยภาพกราฟฟิกแสดงความรุนแรงของรถตกเขา และ ลิฟท์ระเบิด ตัวหนังสือสีแดงฉานปรากฏบนโปสเตอร์นั้นอย่างเด่นชัด ข้อความว่า
“ขอเชิญร่วมสังสรรค์ วันครบรอบรถตกเขา
ฉลองความสำเร็จในการลอบวางระเบิดลิฟท์ของเรา
อย่าลืม! เอาเงินติดตัวมา แล้วคุณจะรู้ว่า คราวหน้าเป็นคิวของใครกันแน่”
แสงเทพเป็นผู้ส่งรูปนั้นให้ตะวันฉายดู
“มันยังไม่ตาย”
“เป็นไปได้ยังไง” ตะวันฉายงง
“ไม่รู้ แต่อารู้ว่าไอ้เผ่าลาภมันต้องยังไม่ตาย...มันตั้งใจเล่นสงครามประสาทกับอา”
“อามั่นใจจริงๆ เหรอครับ ว่าข้อความเหล่านี้ส่งมาจาก เผ่าลาภ”
“ไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร...จะมีใครที่รู้เบื้องหลังเบื้องลึกของอากับคนในตระกูลของมันได้”
“ไม่น่าเชื่อ...แต่ถึงอย่างนั้นอาก็ไม่ควรตามเกมเขานะครับ”
“อาจะแสดงให้เห็นว่า คนอย่างอา ไม่กลัวมันหรอก ไม่ว่ามันจะเป็นคน หรือเป็นผี อาจะไปตามนัด พร้อมด้วยเงินสดเท่าที่มันต้องการ...”
“แน่ใจนะครับคุณอา”
“และวันนั้น...คนแซ่ตั้ง จะไม่เหลือผู้สืบสกุลอีกต่อไป”
“ระวังตัวด้วยนะครับคุณอา”
“อามีอีกเรื่อง เป็นเรื่องสำคัญที่หลานตะวันจะต้องช่วยอา”
“เรื่องอะไรครับ”
“ช่วงนี้อาถูกพวกนักข่าวขุดคุ้ยโจมตีหนัก...หลานชายต้องกระทุ้งคุณพ่อหน่อยนะ จะทำเป็นเฉยๆ ไม่ได้ อย่าลืมว่า เราสองคน ได้หรือเสีย เท่าๆ กันนะหลานชาย...ถ้าอาวอดวายหลานก็จะไม่มีอะไรเหลือเหมือนกัน”
“ครับคุณอา”
“ดูแลแองจี้ของอาให้ดีด้วย...ถ้าหลานทิ้งเขา ก็เท่ากับหลานเหยียบย่ำหัวใจอา นั่นแปลว่าเราคงต้องตัดขาดจากกัน จำไว้”
ตะวันฉายมองจ้องแสงเทพนิ่ง

“แล้วเวลาที่อาตัดขาดกับใคร...อาไม่เคยทิ้งอะไรไว้ให้ แม้แต่น้อยนิด”

แสงเทพขู่อยู่ในที

คืนนั้นล็อคเก็ตรูปไวโอลินถูกดึงออกมา โดยหรั่งซึ่งนั่งจ้องล็อคเก็ตนั้นอยู่ที่โคนต้นไม้ ห่างออกมาจากตัวบ้าน

ด้านหลังของหรั่ง เป็นเผ่าลาภ แพรวา และรำไพ ที่มองมาจากกรอบของหน้าต่างบ้าน เผ่าลาภโอบกอดแพรวา ในลักษณะให้กำลังใจ โดยไม่ได้ยินคำพูดใดๆทั้งสิ้น
หรั่งหันไปมองภาพนั้น เขาค่อยๆ เก็บล็อคเก็ตเข้าไปไว้ในเสื้อดังเดิม แสงไฟจากช่องหน้าต่างนั้นดับลง

ตกกลางดึกที่มุมหนึ่งในบ้านกลางทุ่ง
แพรวาค่อยๆ เดินตรงไปยังหรั่ง ที่ยังนั่งอยู่โคนต้นไม้ หรั่งเงยหน้ามองแพรวา
“ยังไม่นอนเหรอครับ”
“ไม่ง่วง”
“กังวลใจอะไรรึเปล่า”
“เยอะแยะ”
“ผมรอฟังอยู่...”
“ฉันกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง...ฉันกำลังถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ”
“สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ...ซึ่งคงหมายถึงวีรสตรีด้วย”
“มีใครเคยถามบ้างมั้ย ว่าฉันอยากเป็นวีรสตรีรึเปล่า”
“ยอดไม้ ไม่ได้อยู่สูงเพราะความอยาก...แต่เป็นเพราะรากและลำต้นพร้อมใจกันผลักดัน”
“ฉันอยากเป็นรากไม้ จะได้ซุกอยู่แค่ใต้ผืนดินเท่านั้น”
“แต่ถ้ารากนั้นงดงามเช่นรากไทร ยอดไม้ก็ยอมให้รากอยู่สูงเสมอได้เช่นกัน”
“ฉันไม่อยากเถียงเธอแล้วละ เถียงทีไรแพ้ทุกที”
“เพราะคุณยอมแพ้เองต่างหาก...ถ้าคุณสู้ คุณสามารถจะชนะได้ทุกคน”
แพรวาถอนหายใจ แล้วเอ่ยปากช้าๆ
“ฉันอาจจะตายเพราะนายแสงเทพก็ได้...”
หรั่งส่ายหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าปฏิเสธ ทั้งคู่เงียบกันไปพักหนึ่ง
“ถ้าฉันตาย เธอจะเสียใจมั้ย...จะร้องไห้มั้ยนายหรั่ง”
“คุณพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
“ผู้ชายไม่ร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ใช่มั้ย”
“คุณไม่มีวันตายก่อนผมต่างหาก”
“ถ้าฉันเลือกตายอย่างคุณป๋าบ้างล่ะ จะว่าไง...เธอขึ้นมาเป็นผู้บริหารบริษัท M.S.แทนฉัน...เอามั้ย”
“เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน”
“มีอะไรบ้างที่เป็นไปได้...ลองบอกมาซิ”
“คุณจะต้องเดินหน้าต่อไป...ทิ้งทุกๆ ปัญหาให้เป็นภาระของผมเอง”
“แล้วเธอไม่เดินไปกับฉันด้วยเหรอ”
“ผมจะอยู่ข้างหลังคุณ เช่นเดียวกับที่รากและลำต้นกระทำกับยอดไม้ของมัน”
“แค่นั้นเหรอที่ทหารเอกอย่างเธอต้องการ”
“มีมากกว่านั้นครับ แต่มันอยู่ในฝันของผม”
แพรวามองหน้าเหมือนอยากรู้
“เล่าให้ฟังได้มั้ย”
“ความฝันเป็นสมบัติส่วนตน ทุกคนต้องฝันเอาเอง”
“ฉันทำไม่เป็น”
“คุณต้องเริ่มต้นที่หลับตา”
หรั่งยืนขึ้น...เขาค่อยๆ ปลดผ้าคลุมไหล่แพรวา เอาไปพันรอบๆ ดวงตาของเธอ
“ทำตัวตามสบาย แล้วปล่อยให้ความปรารถนาพาเราไปในโลกที่เราต้องการ”
ทั้งคู่ต่างหลับตาลง ฝันไปด้วยกัน เสียงเพลงเพราะที่สุดในโลกค่อยๆ ดังกังวานขึ้นกลางใจสองดวง

พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าตรู่ หน้าบ้านกลางทุ่ง แพรวาเดินออกจากบ้านกลางทุ่งด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เธอเปิดประตูรถเก๋งของเธอ ในตำแหน่งผู้ขับ เห็นรถแพรวาเคลื่อนตัวออกจากบ้านกลางทุ่ง...เสียงเผ่าลาภดังก้องในหู

“นายแสงเทพนั้นดูภายนอกเป็นคนมีเสน่ห์ สุภาพ ใจดีกับทุกคน แต่แท้จริงแล้วมันบ้าระห่ำ อาฆาตแค้น...พร้อมที่จะทำลายทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตนเอง”

ด้านแสงเทพเดินเคียงคู่มากับสมุนคู่ใจไอ้ปื๊ด สองคนเดินอยู่บนทางเดินของอาคารจอดรถแห่งนั้นที่ทั้งลึกและยาว แสงแดดสาดเข้ามาทางด้านหลังอย่างแรง จนกลายเป็นภาพเงาของสองคน
เสียงเผ่าลาภดังขึ้นอีกครา
 
“จุดอ่อนของมันคือ เก็บอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่...ในแวดวงนักเลงถือว่า คนอย่างมันนั้นอ่านง่าย ไม่ยาก”

แสงเทพอยู่ในรถแล้ว กำลังตรวจความพร้อมของปืน และกระชับมันไว้ในมือแน่น พลันเหลือบมองดูกระเป๋าข้างกายอีกหนึ่งใบ

ในกระเป๋านั้นมีธนบัตรใบละพันบาท อัดแน่นอยู่จนเต็มกระเป๋า
 
อ่านต่อหน้า 2

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 15 (ต่อ)

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ประมาณ 24 ชั่วโมง เผ่าลาภนั่งพูดอยู่กลางวงล้อมของผู้ร่วมก่อการทุกคนเผ่าลาภพูดด้วยน้ำเสียงและอารมณ์เหมือนเสียงที่ดังก้องในหูแพรวาในอีก 24 ต่อมา เป๊ะ

“น้องแพรต้องนัดมันมาที่เหมืองของเรา...จุดนัดพบคือบริเวณท้ายเหมือง...ผู้การยุทธจะส่งกำลังตำรวจตามน้องแพรไปห่างๆ”

รถแพรวาแล่นเข้ามาในเหมืองแล้ว เห็นรถตำรวจสี่ห้าคัน แล่นตามหลังรถแพรวามาไม่ห่างนัก กลุ่มรถตำรวจกระจายกันออกไปหลบตามไหล่เขา
“ข้อมูลทั้งหมดที่นายหรั่งได้มา อยู่ในมือผู้การยุทธหมดแล้ว...สิ่งที่น้องแพรต้องทำก็คือแสดงตัวให้นายแสงเทพรู้ว่า เรารู้เท่าทันมัน และเรามีหลักฐานครบ พูดจายั่วยุปูมหลังของมัน ให้มันโกรธ ป๋าเชื่อว่าทุกอย่างจะออกมาจากปากของมันเอง”

แพรวานึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 24 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้
เวลานั้นแพรวา นั่งอยู่กลางวงล้อมการสนทนา
“แล้วถ้าเขายิงน้องแพรทันที โดยไม่ฟังอะไรเลยล่ะ”
“กำลังของผู้การยุทธที่ซุ่มอยู่รอบๆ จะจู่โจมมันก่อน รวมทั้งป๋ากับนายหรั่งก็จะออกมาเผชิญหน้ากับมัน ก่อนที่มันจะถึงตัวน้องแพร” เผ่าลาภบอกลูกสาว

ที่หน้าผาหินกลางเหมือง ตอนกลางวัน รถจี๊ปของนายแสงเทพวิ่งขึ้นไปตามไหล่เขา สภาพแสงเทพนั่งหน้าเครียดข้างๆ ปื๊ดซึ่งทำหน้าที่ขับรถคันนี้
เสียงเผ่าลาภยังคงดังก้องอยู่ในหูแพรวา
“จำไว้แต่เพียงว่า ลูกต้องไม่เข้าใกล้ตัวมัน เว้นระยะห่างจากมันตามที่ป๋าบอก และอย่าละสายตาไปจากมันเป็นอันขาด”

แพรวายืนอยู่บนเนินดินสูง เธอค่อยๆ ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาประกบชิดที่เบ้าตาของเธอ เสียงเผ่าลาภดังขึ้นอีก
“ที่เหลือจากนั้น เป็นหน้าที่ของป๋าเอง”
รถจี๊ปของแสงเทพแล่นเข้ามาจอดแล้วที่หน้าผาหินกลางเหมือง
“ป๋ารู้ว่ามันไม่ยากเกินความสามารถของหนูหรอก”
แพรวา เธอลดกล้องลงจากตา แล้วจึงก้าวเดินออกไปอย่างองอาจ
ปืนขนาด 11 มม. ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า แสงเทพเอื้อมมือไปรับปืนกระบอกนั้น กระชากสไลด์ส่งกระสุนปืนเข้าไปประจำที่ในลำกล้อง แล้วจึงลุกออกจากรถไป

ชายตัวใหญ่ลุกขึ้น เดินตรงเข้ามา แพรวาเดินเข้าไปประจันหน้าชายผู้นั้น แต่แล้วสายตาแพรวากลับบ่งบอกถึงความแปลกใจ
“คุณแสงเทพล่ะ”
ชายคนนั้น มิใช่แสงเทพดังที่แพรวาหรือตำรวจที่ซุ่มอยู่เข้าใจ
“กรุณารอสักครู่...ผมเป็นผู้ที่ล่วงหน้ามาก่อนครับ”
ชายร่างยักษ์ตอบได้ฉะฉานดีสมบทบาท เห็นทีนายจ้างคงต้องเพิ่มค่าตัว

ฟากแสงเทพที่ยืนเคว้งคว้างอยู่เพียงลำพัง เขามองไปรอบๆ บริเวณหน้าผาหินนั้น จึงเห็นชัดๆ ว่ามันเป็นคนละสถานที่กับจุดที่แพรวายืนรออยู่
แสงเทพตะโกนก้อง “ฉันมาตามนัดแล้ว...ไหนล่ะ ที่ว่าอยากจะสังสรรค์กันเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ”
ปื๊ดก้าวลงมาจากรถจี๊ป สายตาของมันแสดงความหวาดระแวงไปรอบๆ
“ผมว่า บรรยากาศมันดูแปลกๆ นะครับนาย...ทำไมมันนัดเรามาที่นี่ ไม่นัดไปที่เหมืองของมัน...นี่มันภูเขาที่เขาระเบิดหินนะครับ”
แสงเทพกัดฟันกรอด “กูรู้แล้ว”
เขามองไกลออกไป เห็นบรรดารถแทร็คเตอร์มากมาย วิ่งตรงมายังหน้าผานี้ แสงเทพแผดเสียงตะโกนกร้าวด้วยอารมณ์เครียด
“เฮ้ย...นัดแล้วก็ออกมาสิวะ....เงินสดฉันก็เอามาแล้ว...จะเอารึไม่เอาวะ ไอ้ขี้ขลาด”
ระเบิดหนึ่งลูกดังขึ้น ไม่ไกลจากคนทั้งคู่นัก แสงเทพถึงกับผงะ แต่ยังตะโกนต่อ
“ไอ้เผ่าลาภ...มึงใช่มั้ย...มึงยังไม่ตายใช่มั้ย กูรู้...มึงคิดว่ามึงจะหนังเหนียวได้นานแค่ไหนกันเชียว”
ระเบิดลูกที่สองดังขึ้นใกล้กว่าลูกแรก แสงเทพผงะ แล้วชักปืนของตนยิงกราดสวนไปรอบๆ
“ออกมาสิโว้ย ออกมาสู้กันซึ่งๆ หน้า มุดหัวอยู่ทำไม...อยากได้เงินก็ออกมา”
ปื๊ดใช้ปืนยิงไปตามหน้าผาเช่นเดียวกับนายของมัน
เสียงปืนดังสนั่นไปทั้งขุนเขา สักพักกระสุนของทั้งคู่ก็หมด
ความเงียบครอบคลุมชั่วขณะ เสียงรถแทร็คเตอร์เบียดแทรกเข้ามาแทน
ฝูงรถแทร็คเตอร์เข้าเฟรมมาจากทุกทิศทุกทาง
“ท่าจะไม่ค่อยดีแล้วนาย...ขึ้นรถเถอะครับ”
ปื๊ดกระโจนไปที่รถ แต่ยังไม่ทันที่มันจะถึง ห่ากระสุนก็สาดลงไปเบื้องหน้า และล้อมทั้งสองไว้เป็นวงตรงนั้น
รถแทร็คเตอร์กระจายกัน โอบล้อมรอบปื๊ดและแสงเทพ
ที่กระเป๋าเงินในรถมีมือลึกลับเข้ามายกกระเป๋าใบนั้นออกไป
“นาย มันเอากระเป๋าเงินของเราไปแล้ว”
“เอากลับมาสิวะ”
กระสุนระลอกใหม่สาดลงไปอีกครั้ง แสงเทพและปื๊ดนิ่งสนิทอยู่กับที่
ชายร่างใหญ่ในชุดดำมากมายโผล่ขึ้นมาเหนือรถแทร็คเตอร์เหล่านั้น พวกมันประทับปืนเอ็ม 16 แนบลำตัวชนิดพร้อมยิง แสงเทพกลืนน้ำลายเหมือนรู้ชะตากรรม...เขาพยายามทำใจเย็นสู้
“พวกแกเป็นใครกันแน่ น้องชายไอ้ย้งที่ฉันรู้จัก มันใจเสาะจะตาย ไม่กล้าได้กล้าเสียอย่างนี้หรอก...ถึงจะหิวเงินยังไงก็เถอะ”
ชายชุดดำอีกคนสวมหมวกปีกกว้างและแว่นตาดำก้าวเข้ามา ในมือของมันมีกระเป๋าเงินที่หยิบมาจากรถแสงเทพ มันก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้าแสงตะวัน และค่อยๆ ถอดหมวก กับแว่นตาดำออก แสงเทพหรี่ตาเพื่อมองหน้าชายคนนั้นให้ชัดขึ้น
ชายคนนั้น ขยับเดินเข้าไปในร่มเงา จึงเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ...เขาคือ ตะวันฉาย นั่นเอง แสงเทพแทบช็อก
“หลานตะวันฉาย...หลานชายเองเหรอ...ทำไมทำกับอาอย่างนี้ล่ะ”
ตะวันฉายเอ่ยปากพูดเสียงเยือกเย็น แบบที่ไม่เคยได้ยิน
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าทำไม...ฮึ่ ฮึ่ ฮึ่...บอกให้โง่เหรอ”
ตะวันฉายดีดนิ้วให้สัญญาณ
แสงเทพตาเบิกโพลง ด้านหลังแสงเทพ เห็นชายสูงใหญ่เหนี่ยวไกกราดกระสุนเอ็ม 16 อย่างไม่ยั้งมือ
สีหน้าตะวันฉายเยือกเย็น เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความเลือดเย็นที่แท้จริงของตะวันฉาย
“เราสองคน ได้เสีย ไม่เท่ากันหรอกครับคุณอา...”
เสียงระเบิดลูกใหญ่ดังขึ้น เป็นเสียงสุดท้ายที่แสงเทพจะได้ยินในชีวิตนี้

ทางด้านแพรวาสะดุ้งมองออกไปด้านนอก มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังคล้ายเสียงระเบิด แพรวาเห็นชายคนนั้นยกหูโทรศัพท์แนบแก้ม
“ครับผม...ครับ”
ชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้แพรวา ส่งโทรศัพท์มือถือให้เธอ
“โทรศัพท์ถึงคุณครับ”
แพรวารับโทรศัพท์มาแนบแก้ม งงๆ
“ฮัลโหล...”
“น้องแพรเหรอจ๊ะ...ขอโทษทีนะที่พี่ผิดนัด...”
ตะวันฉายยืนพูดโทรศัพท์อยู่บนยอดสูงสุดของหน้าผาหินนั้น
“พอดีนายทุนของพี่เขามีปัญหานิดหน่อย...เพิ่งจะเคลียร์กันได้...เงินสดทั้งหมด ตอนนี้อยู่ที่พี่แล้ว...มันจะส่งถึงมือน้องแพรทันทีที่ กรรมสิทธิ์เหมือง M.S. เป็นของพี่แต่เพียงผู้เดียว”

ตะวันฉายยิ้มร้ายออกมา ส่วนแพรวางวยงง

ขณะเดียวกันที่เซฟเฮ้าส์ของตะวันฉาย บารมีเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปในโถง พบว่าภายในนั้นว่างเปล่า บารมีจึงเดินตรงไปที่ประตูห้องนอน เคาะเบาๆ แล้วเปิดมันออก

ท่ามกลางแสงไฟที่มืดสลัว เห็นร่างของแองจี้นอนแนบกายอยู่ใต้ผ้าห่มใหญ่กลางเตียง แองจี้เงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ ขอบตาเธอดำลึก ริมฝีปากแห้ง ใบหน้าหมองคล้ำ ต่างไปจากแองจี้คนเดิมที่เคยเห็น
“โทษที...นึกว่าคุณตะวันฉายอยู่”
แองจี้ยิ้มเยิ้ม ส่ายหน้าช้าๆ
“ฝากบอกเขาด้วยว่า ผมจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว ขอลาไปก่อน...”
บารมีหมุนตัวจะเดินออก
“ไม่มีใครไปจากเขาได้ง่ายๆหรอก...เชื่อฉันสิ”
บารมีหันมามองแองจี้
“มีมั้ย”
“มีอะไร?”
แองจี้ ยา...มียามั้ย...
"ยาอะไร...ไม่มีหรอก"
แองจี้ลุกจากเตียงโผมาเกาะที่ขาบารมีในอาการซวนเซ
"ขอหน่อยเถอะน่า..."
"ปล่อยนะ"
"ฉันจะไม่ไหวแล้ว...ขอหน่อย นิดเดียวก็ได้"
"ก็บอกว่าไม่มี"
"แลกกับอะไรก็ได้ ฉันยอม"
"เสียใจ ฉันไม่อยากได้อะไรของเธอ" บารมีไม่แยแส
แองจี้โพล่งขึ้น "เอาความลับมั้ย...อยากรู้อะไรจะบอกให้หมดเลย ฉันรู้ความลับของตะวันฉายเยอะแยะเลยนะ"
บารมีนิ่ง เขาเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง
"ให้ยาฉันสิ แล้วฉันจะเล่าเรื่องที่เขาหักหลังอาฉันให้ฟัง..."
บารมีอึ้ง ฉงน "แสงเทพน่ะเหรอ?"
“ใช่ ฉันเป็นคนเล่าเรื่องเก่าๆ ของอาแสงให้เขาฟัง ทั้งเรื่องค้ายา ค้าของเถื่อน ดักยิงรถเพื่อนเก่าจนตกเขาตาย แล้วเขาก็ให้ฉันหารูปเก่าๆ ของอามาให้...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ตะวันฉายนี่ฉลาดเป็นบ้าเลย...เขาเขียนคำขู่ลงไปในรูป แล้วก็ส่งให้อาแสง...อาแสงนะกลัวแทบแย่เลย นึกว่าวิญญาณเพื่อนเก่าจะมาล้างแค้น...ทีนี้ตะวันฉายก็เลยหลอกให้อาแสงวางแผนฆ่านายเผ่าลาภ โดยที่ตัวเองไม่มีความผิดแม้แต่น้อย...ฮ่าฮ่าฮ่า...โคตรเลวเลยยังมีอีกเยอะ อยากฟังมั้ย”
บารมีกัดฟันกรอดโกรธจัด “ว่ามา”
“ไหนล่ะยา...”
"เล่าความลับมาให้หมดก่อน"
"ไม่ เอายามาก่อน"
บารมีโมโหกระชากคอแองจี้ขึ้นมา
"จะเล่าต่อมั้ย"
"ฉันจะฟ้องตะวันฉาย"
"ไปฟ้องเลย...ถ้ามีปัญญาออกไปจากห้องนี้ได้"
แองจี้ตบหน้าบารมีเท่าที่เธอจะมีแรง
บารมีตบกลับทันที แองจี้กระเด็นไปฟุบอยู่กลางเตียง
บารมีขึ้นคร่อมแองจี้ไว้
"จะเล่าหรือไม่เล่า"
แองจี้เลยต้องเล่า "พอเขาจัดการกับอาฉันเสร็จ เขาก็จะซื้อบริษัท M.S.มาเป็นของตัวเอง ด้วยเงินของอาฉัน...เขาก็จะมีกิจการเหมืองบังหน้า ส่วนเบื้องหลัง ก็จะลักลอบทุกอย่าง หนักกว่าที่อาแสงเคยทำ เขารวบรวม โจรที่หนีคดีอยู่ตามชายแดน ตั้งเป็นกองกำลังใหญ่โต ทำทั้งของเถื่อน ขนยาบ้า ขนคนต่างด้าวข้ามแดน และก็ลักลอบขุดเจาะน้ำมัน กับเหมืองทองคำมันเอาทุกอย่าง ใครขวางหน้าจะฆ่าให้หมด แล้วตัวเขาเองก็จะไปเล่นการเมืองตามแบบพ่อของเขา...ฮ่ะฮ่า...โคตรเท่ห์เลย"
บารมีคำราม "เลวที่สุด"
"ใช่ ทั้งเท่ห์ ทั้งเลว...ใครก็หยุดเขาไม่ได้หรอกจะบอกให้"
"งั้นเหรอ"
"ยาล่ะ"
"มีแต่ยาพารา จะเอามั้ย?"
บารมีเหวี่ยงแองจี้ออกไปไกล แล้วจึงเดินออกจากห้องนี้

รายการข่าวร้อนตอนเช้า กำลังออกอากาศ
“สวัสดีครับท่านผู้ชม ข่าวร้อนตอนเช้าวันนี้ ขอเริ่มข่าวแรกที่กรณีสังหารโหดนายแสงเทพ เทวฤทธิ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า การลอบสังหารครั้งนี้ มีการวางแผนอย่างแยบยล และคงไม่พ้นปมความขัดแย้งทางธุรกิจค้ายาเสพติด...หรืออาจเป็นการสังหารเพื่อตัดตอนก็ได้ เพราะระยะหลัง เจ้าหน้าที่เริ่มระแคะระคาย และมีหลักฐานการทำทุจริตของนายแสงเทพหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบบุกรุกป่าสงวน ค้าของเถื่อน ตัดไม้ทำลายป่า ค้ายาบ้า..ก็เป็นอันว่าจบชีวิตไปอีกรายแล้วนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะยังสาวไปไม่ถึงต้นตอ แต่ก็นับว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจผู้กระทำผิดกฎหมายทุกคน ว่า บั้นปลายชีวิตของพวกคุณไม่ตายดีแน่”

ส่วนที่บ้านกลางทุ่ง รำไพเดินถือถาดอาหารและยาตรงไปให้เผ่าลาภ ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าโทรทัศน์ และกำลังกดรีโมทปิดทีวี เมื่อรำไพเดินมาถึง
“จบกันที ในที่สุดความอาฆาตแค้นนับชั่วอายุคน ก็หนีไม่พ้นภัยตัวเอง จากนี้ไป M.S. GROUP จะได้หมดปัญหาซะที”
“ฉันว่าคงยังไม่หมดง่ายๆหรอกค่ะ”
“ทำไม ยังมีอะไรอีกเหรอ”
“ก็ตัวคุณไงคะ...ปัญหาคือ คุณจะกลับเข้าไปใน M.S. ด้วยวิธีไหน แล้วจะบอกผู้คนเขาว่ายังไง”
“ใครบอกคุณว่าผมจะกลับไป M.S. ผมรอเวลาที่จะเป็นคนที่ตายแล้วมานานแสนนานนับจากนี้ไป เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันให้ไกลผู้ไกลคน โดยที่ผมไม่ต้องคอยกังวลเรื่องงานเหมือนที่ผ่านมาไง ไม่ดีเหรอ”
เผ่าลาภค่อยๆหอมคู่ชีวิตอย่างนุ่มนวล
“ปล่อยให้ธุรกิจ M.S.เป็นหน้าที่ของยายแพรไปเถอะน่า”
“คุณคิดว่าแกจะยอมเหรอคะ”

เวลาต่อมาเผ่าลาภคุยอยู่แพรวาอยู่ที่ระเบียงห้องนอนชั้นบนบ้าน
“ไม่ค่ะ...ไม่เด็ดขาด”
"ไม่มีใครเหมาะสมกว่าหนูอีกแล้วแพรวา"
“คุณป๋าเอาอะไรมาวัดความเหมาะสมคะ” แพรวาท้วง
“ขึ้นชื่อว่าสายเลือดเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรวัด”
“พี่น้องร่วมสายเลือด คนอื่นๆ ที่เก่งๆ ก็มีเยอะแยะ”
“งั้นเหรอ งั้นลองเอ่ยมาซักสองสามชื่อซิ คนที่หนูคิดว่าจะขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ให้ M.S.ได้น่ะ”
“อาเจ๊กฮุย”
“อ่อนไหวง่าย ไม่เข้มแข็ง ไม่เด็ดเดี่ยวพอ”
“อาเหลียง”
“เจ้าอารมณ์ มุทะลุ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้”
“โกฮุ้ง”
เผ่าลาภถอนใจ “ฮึ่...”
“อาบารมี...นายต้น...” แพรวาไม่ลดละ
“อย่าพยายามเลยลูก...มันถึงเวลาของหนูแล้วหละ หนูได้ฝึกฝนมานานพอที่จะลงมือบริหารงานจริงๆ ซะที...รู้มั้ยว่าหนูจะได้บุญอย่างใหญ่หลวงทีเดียว ที่ทำให้คุณป๋าได้มีเวลาพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต”
คราวนี้แพรวานิ่งไป เผ่าลาภค่อยๆ โอบกอดลูกสาวตัวเองอย่างอ่อนโยน
“แล้วน้องแพรจะได้เจอคุณป๋าบ้างมั้ยคะ”
“เจอสิ ป๋าจะเป็นฝ่ายมาหาน้องแพรเอง...เพราะคงอีกนานกว่าวิญญาณของป๋าจะไปผุดไปเกิด”
“นายหรั่งล่ะ”
“เขาจะคอยประคองหนูอยู่ข้างหลัง”
“น้องแพรอยากให้เขามาอยู่ข้างหน้า”
“วันหนึ่งเขาจะขึ้นมาอยู่เสมอหนูเอง อย่าห่วงเลย”
“เป็นวันนี้เลยไม่ได้เหรอคะ”
“รีบร้อนไป ไม่ดีหรอกลูก...เชื่อป๋านะ”
แพรวารับคำด้วยการนิ่ง ไม่เอ่ยปากต่อรองแต่อย่างใด
“ไหนลองบอกป๋ามาตามตรงซิว่า หนูคิดยังไงกับนายหรั่ง” ผู้เป็นบิดาจ้องหน้าลูกสาวคนเดียว

แพรวายังคงนิ่งอยู่

 
อ่านต่อหน้า 3

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 15 (ต่อ)

รายการข่าวร้อนตอนเช้า โดยนักข่าวหน้าเก่าคนเดิม นำเสนอข่าวช่วงสุดท้ายผ่านจอทีวี

“สำหรับข่าวร้อนชิ้นสุดท้ายวันนี้ เราจะมาดูลีลาของหนุ่มหล่ออนาคตไกล บุตรชายคนเดียวของนายสุริยะ ตอนนี้ประกาศออกมาแล้วครับว่า จะลงสู่สนามการเมือง ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน...พ่อแม่พี่น้องคงต้องเตรียมรับมือกับเสน่ห์อันแพรวพราวของเขาให้ดี ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังโสดสนิทอยู่ซะด้วย ที่เคยมีคนคบหา ควงกันไปควงกันมา ตอนนี้ลดละเลิกหมดแล้วจ้า...สาวๆ ทราบ แล้ว เปลี่ยน”
หน้าร้านขายโทรทัศน์ จอโทรทัศน์ 16 เครื่อง ตั้งเรียงซ้อนกัน ทุกเครื่องเสนอภาพข่าวเดียวกัน เป็นภาพตะวันฉายกำลังให้สัมภาษณ์กับบรรดานักข่าวที่รุมล้อมเขาอยู่
“ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมเกิดมาในตระกูลที่อุทิศหยาดเหงื่อเพื่อพี่น้องประชาชน ผมคงปฏิเสธสถานะนี้ไม่ได้ จะให้หนีไปทำธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองก็ดูจะไม่เหมาะสม ที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือว่า หัวใจของผมมันเรียกร้องให้ผมออกมายืนเคียงคู่ประชาชน เช่นเดียวกับที่คุณพ่อผมทำครับ”
ตะวันฉายหยุดพูด เพื่อฟังคำถามจากนักข่าวเกี่ยวกับ M.S. และ แพรวา
“อ๋อ เรื่องการทำเหมืองน่ะเหรอครับ คือผมเห็นว่าบริษัท M.S. กำลังจะล้มละลาย ผมก็อดเป็นห่วงพี่น้องคนงานไม่ได้ กลัวว่าพวกเขาจะถูกลอยแพน่ะครับ ก็เลยจะขอซื้อกิจการต่อจากเขาเท่านั้นเองครับ ...ห๊ะ...อ๋อ ถ่านไฟเก่าเหรอครับ” ตะวันฉาย หัวเราะอย่างหล่อ “ผมขอให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน อยู่สบาย มีกินมีใช้ก่อน ค่อยคิดเรื่องนี้ดีกว่าครับ...แต่ก็อาจจะมีลมพัดหวนก็ได้นะครับ ถ้าเป็นความต้องการของพ่อแม่ พี่น้อง...”
โทรทัศน์ทุกเครื่อง ดับวูบลงพร้อมๆ กันในทันที

ฟากกัมปนาทเข้ามาพร้อมด้วยลินจง ทั้งสองเดินคุยกันตรงเข้ามาในตัวบ้าน
“มันพูดจาได้น่าเตะจริงๆ ทำเก๊กหน้าใส่กล้องอีกต่างหาก คงนึกว่าหล่อซะเต็มทน ไม่รู้เจ๊ฮุ้งไปถือหางอยู่ข้างเดียวกับมันได้ยังไง” กัมปนาทจิก
“เขาคงแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เจ๊เราเยอะน่ะสิ เจ๊ฮุ้งน่ะผลประโยชน์มาก่อนทุกอย่างเสมอขนาดลูกผัวไปอยู่เมืองนอกยังไม่ยอมตามไปเลย...” ลินจงบอก
“นี่ก็โทร.ตื๊อเช้าตื๊อเย็นเลยนะคะ จะให้ขาย M.S. ให้ได้เลย” กันทิมาว่า
กัมปนาทถาม “แล้วยายแพรว่าไงล่ะ”

แพรวานั่งเหม่อลอยนิ่งๆ อยู่ที่บ้านกลางทุ่ง มีหรั่งนั่งอยู่ข้างๆ ใกล้ๆ กัน
“ฉันไม่มีทางเลือก...เราจะจัดพิธีฝังศพคุณป๋าโดยเร็วที่สุด...ก็คงจะใส่โลงเปล่าๆ ลงไปในหลุม ญาติพี่น้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็มายืนเคารพหลุมเปล่าๆ กัน...”
แพรวายิ้มบางๆ ให้กับชะตาชีวิตของตน แล้วจึงพูดต่อ
“หลังจากนั้นคุณป๋าและแม่ก็จะหายกันไปตามลำพังสองคน ไปอยู่ในที่ที่ไกลออกไป ที่ที่ไม่มีใครล่วงรู้...ทิ้งฉันไว้กับโลกธุรกิจที่สับสนวุ่นวายตามลำพัง”
“น้ำเสียงคุณเหมือนงอนคุณพ่อ” หรั่งว่า
“งอนไปก็เท่านั้น...ที่จริงฉันอิจฉาต่างหาก...ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตตามลำพังกับคนรักอย่างนี้บ้าง”
“เมื่อคุณพา M.S. กลับมาอยู่ที่เดิมที่คุณพ่อคุณเคยทำเอาไว้”
“กว่าจะถึงตอนนั้น...ฉันจะมีใคร?”
“คุณกลัวจะไม่มีใครด้วยเหรอครับ”
“ถ้าฉันไม่มีใคร เธอช่วยอะไรฉันได้มั้ยล่ะ”
หรั่งและแพรวา ต่างมองหน้ากันนิ่ง ในยามนี้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันแค่ไม่กี่ปลายนิ้ว
“นับตั้งแต่เธอเข้ามาในชีวิตฉัน...ก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้ามาใกล้ฉันอีกเลย...ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายที่ฉันใกล้ชิดด้วย มารับมาส่งฉันทุกวัน นั่งรถไปด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน หัวเราะร่าเริงด้วยกัน ประชดประชันกันในบางครั้ง โทรหากันเวลาไม่อยู่ ได้กอดกันกลมเต้นรำกลางน้ำด้วยกัน...แต่เขาคนนี้ กลับเป็นคนที่ไม่เคยบอกรักฉัน”
“คุณผิดหวังเหรอครับ”
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอก ที่พอใจจะให้ทั้งหมดนั้นเป็นแค่หน้าที่ของผู้ช่วย M.D.”
“คุณอยากจะเปลี่ยนตัวผม หรือเปลี่ยนงานผมล่ะครับ”
“ฉันอยากให้เธอพูดกับฉัน...ไม่ใช่ให้ฉันคิดไปเองอย่างนี้”
หรั่งนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนพูดออกมา
“คุณอยู่สูงกว่าผมมาก”
“เธอเริ่มต้นด้วยคำพูดของคนที่กำลังจะบอกเลิกกันนะ”
หรั่งสูดหายใจลึกๆ...เขายื่นมือออกไปแตะที่มือแพรวาอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล
มือแพรวาหงายขึ้นมารับอุ้งมือของเขาไว้ นิ้วทุกนิ้วเรียงตัวกันอย่างสวยงาม
หรั่งยกมืออีกข้างขึ้นมา สัมผัสปลายผมของแพรวาอย่างอ่อนโยน แล้วจึงเอ่ยปากพูด
“รอผมได้มั้ยล่ะครับ...ต้องมีซักวันที่ผมก้าวขึ้นไปอยู่สูงได้เท่าๆ คุณ วันนั้นหัวใจของผมจะพูดทุกอย่างกับคุณ”
“นานแค่ไหนล่ะ...บอกได้มั้ย...จะได้รู้ว่ารอได้หรือไม่”
“อย่างน้อยให้ผมพ้นจากข้อหาฆ่าพ่อคุณก่อนก็ยังดี”
“ฉันจะรอ...”
ทั้งคู่จ้องมองกันซึ้งๆ อยู่อย่างนั้น นิ่งและนาน

ที่โต๊ะในห้องวีไอพีของร้านอาหารหรูหราแห่งนั้น สุริยะกำลังหัวเราะร่าเริงอยู่ท่ามกลางนักการเมืองร่วมพรรคมากมาย ส่วนที่ด้านหลัง ผู้จัดการร้านเดินนำตะวันฉายตรงมายังโต๊ะของผู้เป็นพ่อ
นักการเมือง ชาย 1 ที่นั่งร่วมโต๊ะเห็นก่อนใคร เอ่ยปากเอาอกเอาใจทันที
“นั่นแน่...นักการเมืองหนุ่มอนาคตไกลมานั่นแล้ว”
ตะวันฉายยกมือไหว้ทุกคนรอบๆ โต๊ะอย่างนอบน้อม
ชาย 2 ถาม “ลงพื้นที่แทนคุณพ่อหนักเลยเหรอ ช่วงนี้อาถึงไม่ค่อยได้เจอหลานชายเลย”
ชาย 1 เย้า “หรือแอบซุ่มทำธุรกิจอะไรอยู่ ไม่บอกพวกอาบ้าง”
“อย่าว่าแต่พวกคุณเลย ผมก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ามันเท่าไหร่...นั่งสิตาโอ๊ต”
ตะวันฉายขยับตัวลงนั่งข้างๆพ่อ สุริยะคุยเสียงดังออกรสชาติมากขึ้น
“เมื่อวานมีคนเอาหนังเกาหลีมาให้ผมดูเรื่องหนึ่ง...ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว...โอ้ มันทำสุดยอด
เลยว่ะ”
ชาย 1 เออออ “ครับ ช่วงนี้หนังโป๊เกาหลีมาแรง แข่งกับของญี่ปุ่น”
“อันนี้ไม่โป๊เว้ย...ชีวิต มีบู๊ปนนิดหน่อย กินใจดีจัง...เป็นเรื่องของลูกชายคหบดีผู้มั่งคั่ง มีอันจะกิน พ่อก็แสนดีทำงานช่วยเหลือสังคม ไอ้ลูกเวรดันแอบไปคบเจ้าพ่อ คบนักเลงค้าผู้หญิงค้ายาบ้า ไม่ให้พ่อรู้”
ตะวันฉายสะดุ้งเล็กน้อย
สุริยะเล่าต่อ “ตัวแม่ก็กลุ้มใจไม่รู้จะทำไง เตือนลูก ไอ้ลูกมันก็ไม่เชื่อ”
ชาย 2 ถาม “พ่อล่ะ”
“โอ๊ยพ่อเล่นดีมาก นิ่ง ใจแข็ง แต่มีพลัง...ทีเด็ดมันอยู่ตอนท้าย” สุริยะบอก
ชาย 1 ถาม “ยังไงครับ”
“พ่อมันนัดลูกชายไปพบที่ร้านอาหาร เลือกร้านคนเยอะๆ อย่างร้านนี้แหละ แล้วก็พูดง่ายๆ ตรงๆ กับลูกชายว่า เลิกซะให้หมดเดี๋ยวนี้...เพราะไอ้ความเลวร้ายทั้งหลายมันกำลังจะกระทบถึงตัวพ่อแล้ว ทำอะไรไว้ที่ไหน อย่านึกว่าไม่มีใครรู้ รีบไปจัดการให้มันจบๆ ซะ ถ้าจบไม่ได้ก็ไปตายซะดีกว่า...พ่อมันพูดยิ้มๆว่ะ... เท่านั้นหละ วันรุ่งขึ้น มันคว้าปืนออกจากบ้าน เดินไปยืนกลางถนน ถามว่ามีใครรู้บ้างว่ามันเป็นใคร...พอใครตอบว่ารู้นะมันยิงปืนกราดใส่ไม่มียั้งเลย...บ้ามั้ย”
ชาย 2 ออกความเห็น ปิดด้วยซักด้วยความอยากรู้ “เป็นการทำลายหลักฐานไงครับ...แล้วตอนจบเป็นไง”
“ไม่รู้ว่ะ แผ่นมันสะดุด ภาพล้ม ดูต่อไม่รู้เรื่องเลย ทีหลังดู blue-ray ดีกว่า...ตาโอ๊ต ไปหาหนังเรื่องนี้มาดูซะ อย่าให้พ่อต้องเล่าให้ฟังซ้ำล่ะ”

ตะวันฉายรับคำด้วยท่าทีำเรียบร้อย “ครับ”

บ่ายคล้อย รำไพก้าวลงจากรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน สยามเป็นผู้เปิดประตูรถให้ เห็นแพรวาค่อยๆ ก้าวตามลงมา มีลินจง กันทิมา และส้ม รอรับอยู่ใกล้ๆ

“เป็นไงบ้างซ้อ สุขภาพกาย สุขภาพใจ ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย หน้าตาสดใสขึ้นตั้งเยอะ”
“จ้ะ...ขอบใจนะที่ช่วยอยู่ดูแลบ้านให้ ลินจง กันทิมา”
รำไพก้าวเดินเข้าบ้าน ลินจงขยับเข้าใกล้แพรวา
“น้องแพรจ๊ะ...มีคนรอพบหนูอยู่แน่ะ”
“ใครคะ” แพรวาฉงน
ลินจงและกันทิมามองหน้ากัน ไม่มีใครเอ่ยปากตอบคำถามนี้

มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นตะวันฉายที่ยืนเก๊กหล่อรออยู่ตรงมุมหนึ่งในบริเวณบ้าน
“พอพี่รู้จากคุณอาอรทัยว่า น้องแพรจะกลับมาวันนี้ พี่ก็รีบมารอรับเลย...เซอร์ไพร้ส์มั้ย” เขายิ้มเท่ห์วางท่ากรุ้มกริ่มที่คิดว่าหล่อโครต
แพรวาเหยียดยิ้ม “ไม่เท่าไหร่”
“รู้มั้ยจ๊ะ พรุ่งนี้วันอะไร”
“ฉันเลิกดูปฏิทินไปนานแล้ว” น้ำเสียงแพรวาเฉยชา
“พรุ่งนี้วันเกิดพ่อพี่”
“ฝากแฮปปี้เบิร์ธเดย์ด้วยแล้วกัน”
“มันคือวันครบรอบ 6 ปีที่เรารู้จักกันนะน้องแพร”
“โถ...อุตส่าห์นับมา” แพรวาประชดอยู่ในที
“น้องแพร...พี่จะขอซื้อกิจการ M.S. ของน้องแพรไว้ทั้งหมด เพื่อเป็นของขวัญให้น้องแพรดีมั้ย?...น้องแพรจะดันทุรังทำในสิ่งที่ไม่ถนัดต่อไปทำไม...ขายให้พี่ซะเถอะนะ...แล้วพี่จะแบ่งหุ้นให้”
“ไม่ดีกว่า...วิญญาณคุณป๋าคงไม่พอใจ”
“ท่านไม่รู้หรอก”
“รู้สิ...ไม่มีอะไรที่คุณป๋าไม่รู้”
“ป๋าน้องแพรตายไปแล้วนี่นา”
“แต่ฉันยังอยู่ และฉันรู้อะไรๆ เท่าๆ กับป๋า”
แพรวาจ้องหน้าตะวันฉาย ไม่สะทกสะท้าน
“บอกมาซิ น้องแพรรู้อะไรบ้าง”
“ท่าทางเหมือนมีอะไรปิดบังซ่อนเร้นอยู่นะ คุณน่ะ” แพรวาดักคอ
ตะวันฉายคว้ามือแพรวามาบีบแน่นและแรง
“จะยอกย้อนกับพี่มากไปแล้วนะน้องแพร พี่จะให้โอกาสน้องแพรเป็นครั้งสุดท้าย เรามาเป็นหุ้นส่วนกัน หรือไม่งั้น ก็บอกทุกอย่างที่น้องแพรรู้มาให้หมด ว่าไง”
แพรวาไม่เกรงกลัวใดๆ “ฉันรู้สึกมีแต้มเป็นต่อคุณไม่น้อยเลย ถ้าฉันเลือกที่จะไม่พูด”
ตะวันฉายบีบมือแรงมากขึ้น
“หรืออยากให้พี่ใช้วิธีที่รุนแรงกว่านี้”
“คุณกำลังแสดงอาการหยาบคายในบ้านของฉันนะ”
ตะวันฉายค่อยๆ ปล่อยมือออก แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น
“พี่ไม่อยากให้เรื่องมันจบอย่างรุนแรง พี่พยายามจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง...แต่ถ้าน้องแพรไม่ให้ความร่วมมือ โศกนาฏกรรมมันก็พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอ...จำเอาไว้”
ตะวันฉายขู่แล้วเดินจากไปอย่างฉุนเฉียว

ยามเย็น รำไพเดินเข้ามาในห้องนอน พร้อมโทรศัพท์มือถือแนบอยู่ที่หู
“หมออังกูรเหรอคะ...ดิฉันได้ครบทุกอย่างที่คุณหมอต้องการแล้วนะคะ...จะรีบส่งไปให้ทันที...ค่ะ ฉันรู้ค่ะ...เราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อทุกๆ คนค่ะ”

ที่ห้องควบคุมตัวหซึ่งเป็นห้องลับพิเศษ หรั่งนั่งทอดสายตาเหม่อมองไปไกล ผู้การยุทธเดินถือกาแฟเข้ามานั่งดื่มข้างๆ สังเกตท่าทีของหรั่ง แล้วจึงเอ่ยปาก
“นอนไม่หลับเหรอเรา...หรือ ตื่นเต้นที่จะได้รับอิสรภาพ”
“รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยครับ”
“แปลกตรงไหน”
“ผมไม่คิดว่า เรื่องมันจะจบง่ายๆ ได้อย่างนี้”
“โอ๊ย อย่าให้ยากกว่านี้เลย...แค่นี้ก็เหนื่อยกันจะแย่อยู่แล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ควรจะได้พักผ่อน ควรจะมีชีวิตที่สงบสุขซะที...โดยเฉพาะนาย...ถึงเวลาที่นายควรจะได้รับรางวัลชีวิตกับเขาบ้างแล้ว”
“ผมไม่เคยต้องการรางวัลอะไรเลยครับ”
“แค่เห็นคนที่เรารักมีความสุขก็พอใจแล้วใช่มั้ย...นายมันก็เป็นอย่างนี้หละ...เสียสละได้ทุกอย่างโดยไม่หวังผลตอบแทน...พระเอกเกินไปว่ะ...หาความสุขใส่ตัวซะบ้างเหอะ”
“ผมมีพอแล้วครับ”
“แน่ใจเหรอ...ฉันว่า มันต้องมากกว่านี้...คนดีๆ อย่างนายควรได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่านี้...เรื่องราวของนายควรจะลงเอยในแบบที่ผู้คนต้องอิจฉา...อย่างน้อยก็เรื่องของความรัก”
หรั่งยิ้มบางๆ
“ผู้การจะเป็นคนหนึ่งที่อิจฉาผมด้วยมั้ยล่ะครับ”

แพรวานั่งเล่นเชลโล่อยู่ในมุมที่สวยงามของโถงกลางคฤหาสน์หลังโอฬารนี้ เสียงเพลงแห่งความรัก ดังเข้ามาประสานกับเสียงเชลโล่อย่างกลมกลืน สีหน้าของแพรวา เต็มไปด้วยความฝัน ความหวัง และความสุข
เสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้นในจังหวะนี้ ส้มสาวใช้เดินไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...อ๋อ ผู้การยุทธเหรอคะ”

รำไพนั่งไหว้พระอยู่อย่างสงบนิ่งภายในห้องพระ แพรวาค่อยๆ เดินมานั่งลงข้างๆ ผู้เป็นมารดา
“แม่คะ พรุ่งนี้หรั่งเขาจะพ้นข้อกล่าวหาแล้วนะ”
“ใช่”
“หนูมีนัดกับเขาด้วย”
“เหรอจ๊ะ” ผู้เป็นมารดถามสีหน้าขรึม
“เราจะดินเนอร์กันตามลำพังสองคน...ดีมั้ยคะ”
“ก็ดีนี่ลูก...หรั่งเขาเหนื่อยกับพวกเราเยอะเลย”
“แม่ว่าเขาต่ำต้อยกว่าน้องแพรมากมั้ยคะ”
“นายหรั่งเขาเป็นคนดี...” รำไพทอดถอนใจ “...คุณป๋าของหนูจับตาดูอยู่ตลอด...ถ้าคุณป๋าไม่พูดอะไร หนูก็ยังไม่ต้องกังวลจ้ะ”

แพรวายิ้มแล้วเดินเริงร่าจากไป ทิ้งความหนักใจไว้ที่รำไพเพียงลำพัง
 
อ่านต่อหน้า 4

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 15 (ต่อ)

ส่วนที่บริเวณห้องสอบปากคำ กองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บรรดานักข่าวรุมล้อมผู้การยุทธอยู่

“นี่คือพยานปากสำคัญซึ่งเราได้เก็บตัวเขาไว้ในที่ปลอดภัยมาโดยตลอด เพราะว่าคำให้การของเขาจะเป็นการชี้เงื่อนงำว่า กรณีระเบิดลิฟท์ที่อาคาร M.S. นั้นมีเบื้องหลังเบื้องลึกเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลคนใดบ้าง”

หรั่งเดินตรงมาที่รถเก๋งติดฟิล์มดำคันใหญ่ที่จอดอยู่ด้านหน้าอาคารกองปราบปราม สยามเปิดประตูรถออกมารับหรั่ง
“ขอบใจมากน้าหยาม”
หรั่งยิ้มให้สยาม แล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถ มีชายหนึ่งคนนั่งรออยู่ที่เบาะหลัง กางหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่บังหน้าอยู่ เมื่อเขาผู้นั้นเปล่งเสียงออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่า เป็นเผ่าลาภนั่นเอง
“ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย”
“ครับผม...ยามกำลังให้ปากคำอยู่”
“ไปได้สยาม”
รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกไป

ส่วนในห้องสอบปากคำ ผู้การยุทธเอ่ยขึ้นต่อ
“เขาเป็นยามที่เฝ้าหน้าประตูอาคาร M.S. ในคืนเกิดเหตุ ซึ่งวันนี้เราจะเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามได้ตามสมควร”
เมื่อยามคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้น จึงพบว่าเขาคือผู้ใหญ่เงาะนั่นเอง
“เอาละครับ เชิญถามได้ แต่อย่าให้ลงรายละเอียดลึกมากจนเสียรูปคดีนะครับ”
ยามผู้ใหญ่เงาะ ยิ้ม ดูเหมือนเขาดีใจเหลือล้นที่จะถูกสัมภาษณ์

รถเก๋งคันเดิมของเผ่าลาภเคลื่อนเข้าจอดบริเวณข้างทางริมถนนสายเปลี่ยว หรั่งอยู่ในรถคันนั้น
“ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องมารับผมให้ลำบากเลย”
เผ่าลาภที่นั่งข้างๆ กัน บอก
“ฉันต้องมา เพราะฉันมีเรื่องต้องพูดกับนาย...เกี่ยวกับยายแพรวา”
สองคนก้าวลงจากรถ เผ่าลาภก้าวลงมายืนข้างๆ กระโปรงรถ หรั่งค่อยๆ ก้าวตามลงมาทีหลัง
“ไม่กี่วันมานี้ ฉันถามยายแพรว่า คิดยังไงกับนาย...อยากรู้มั้ยว่า คำตอบของยายแพรคืออะไร”
“ถ้าคุณเผ่าลาภไม่อยากบอก ก็คงไม่ให้น้าหยามขับรถมาจอดถึงนี่หรอกครับ”

เหตุการณ์สี่ห้าวัน ก่อนหน้านี้ถูกเผยออกมาจากปากเผ่าลาภ
เวลาดังกล่าวแพรวากับเผ่าลาภอยู่ที่บ้านกลางทุ่ง หล่อนย้อนถามผู้เป็นพ่อด้วยคำนี้
“คุณป๋าอยากรู้จริงๆ เหรอคะ ว่าน้องแพรคิดยังไงกับเขา”
“ใช่...มันมีผลต่อการตัดสินใจของป๋า หลายเรื่อง”
“น้องแพรไม่เก่งพอที่จะหาคำพูดมาอธิบายทุกๆ ความรู้สึกของตัวเองได้...มันยากพอๆ กับที่น้องแพรพยายามบังคับไม่ให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้กับเขา...ความรักมันคงมีที่มาได้มากมายหลายทาง...และที่น้องแพรกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ก็คือหนทางหนึ่งของความรักค่ะ”

ที่ริมถนนสายเปลี่ยว เผ่าลาภมีท่าทีดูจริงจัง ขณะพูดคำนั้นออกมา
“ฉันถามยายแพรว่า หนทางความรักของหนูจะยาวไปจนถึงไหน และจะจบลงอย่างไร”
เหตุการณ์ที่ผ่านมาผุดขึ้นมาในห้วงคิดคนผู้หลอกโลกว่าตายไปแล้วอย่างเผ่าลาภ เวลานั้นแพรวากับเขาอยู่ที่บ้านกลางทุ่ง
“มันขึ้นอยู่กับเขามากกว่า...น้องแพรได้แต่ฝันว่า คงมีซักวันที่เราไปดินเนอร์ด้วยกัน ที่โต๊ะอาหารเล็กๆ แต่โรแมนติก และเขาคงจะบอกรักน้องแพรในคืนนั้น ทุกอย่างก็จะจบลงด้วยความสุข...แต่ มันคงยาก เพราะ เราสองคนช่างต่างกันลิบลับ ยิ่งเขาแสดงความเจียมตัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้น้องแพรลำบากใจมากขึ้นเท่านั้น”
“ป๋าจะเป็นคนพูดกับเขาเอง”
“น้องแพรไม่ต้องการให้คุณป๋าไปบังคับอะไรเขานะคะ”
“ป๋าเพียงแต่จะบอกในสิ่งที่เขาควรรู้ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป”

ริมถนนสายเปลี่ยว หรั่งก้าวเข้ามาหาเผ่าลาภ
“ผมพร้อมจะไปจาก M.S. ทันที ถ้ามันเป็นความต้องการของคุณเผ่าลาภ”
“ฉันไม่ได้ต้องการอย่างนั้น...ฉันยินดียกลูกสาวฉันให้นายด้วยซ้ำ ถ้าหากว่านาย จะไม่ใช่
นาย...”
หรั่งงง “ยังไงครับ”
“นายมันช่างเหมือนเฮียย้งไปซะทุกอย่างเลย ให้ตายเถอะ” เผ่าลาภพึมพำ
“คุณเคยพูดอย่างนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิด”
เผ่าลาภสูดลมหายใจลึกๆ เขาขยับร่างกายเปลี่ยนอิริยาบถ ก่อนจะเริ่มพูดเรื่องสำคัญ
“สาเหตุหนึ่งที่เฮียย้งถูกไล่ออกจากตระกูลก็คือ เขาแอบไปมีเมียที่ไม่ใช่คนจีน แต่เป็นแหม่มชาวโปรตุกีซ ผมสีน้ำตาลแดงแบบนายนี่หละ ทั้งคู่อยู่กินกันโดยที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเตี่ยหรืออากงแต่อย่างใด...เฮียย้งต้องรีบเก็บข้าวของออกจากบ้าน ในวันที่เมียแหม่มกำลังอุ้มท้องแก่ ใกล้คลอด...ฉันเอง ที่เป็นคนพาพวกเขาหลบไปอยู่ที่บ้านกลางทุ่งหลังนั้น... และในที่สุด ยายแหม่มก็คลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย...หัวแดงเหมือนแม่ไม่มีผิด”
หรั่งสนใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ เผ่าลาภเล่าต่อ
“ในวันที่เฮียย้งมีปัญหากับแสงเทพ...เขารู้ตัวดีว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย...เฮียย้งได้ฝากบุตรชายไว้กับช่างไม้แก่ๆ คนหนึ่งที่มาตั้งแคมป์ก่อสร้างอยู่ใกล้ๆ...ช่างไม้ใจดีคนนั้นมีชื่อว่า นายนุ้ย นาคำ”
หรั่งหน้าถอดสี
“หลังจากอุบัติเหตุรถตกเขา ฉันได้พยายามตามหาลูกชายของเฮียย้งมาโดยตลอด ตามดูทุกๆ แคมป์ก่อสร้าง แต่ก็หาไม่เจอ...มีเพียงครั้งเดียวที่เฉียดกันมากที่สุด ก็คือที่บ้านพักริมทะเล...ฉันได้เห็นยายแพรกำลังเล่นสนุกอยู่กับเด็กลูกครึ่งคนหนึ่ง...แต่เมื่อมั่นใจว่าต้องใช่เด็กคนนั้นแน่ๆ แคมป์ก่อสร้างก็ย้ายหายไปซะแล้ว”
หรั่งช็อค แน่นิ่งไปเฉยๆ
คำพูดที่หลุดออกจากปากเขา ดูล่องลอยและเย็นชา
“แคมป์ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดชุมพร ซักสองเดือนหลังจากนั้น ลุงนุ้ยก็ตาย”
น้ำตาหนึ่งหยดใหญ่ไหลออกมาจากเบ้าตาหรั่ง
“ทำไมคุณเพิ่งมาบอกผม”
“ถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะรู้ว่าทำไม...ฉันไม่ได้อยากให้นายเป็นนายเลย ถึงแม้ว่าฉันจะดีใจที่ได้
หลานชายกลับมาอยู่ใกล้ ดีใจที่รู้ว่าหลานชายฉันเก่งแค่ไหน....แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็กำลังจะทำให้ทั้งลูกสาวและหลานชาย อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต...เฮียย้งชอบเล่นไวโอลินมาก...ในวันเกิดของเขาปีนึง เมียแหม่มได้สั่งทำล็อคเก็ตทองคำขาว เป็นรูปไวโอลิน ให้เป็นของขวัญกับเฮียย้ง...ล็อคเก็ตอันนั้น เฮียย้งได้ผูกไว้ที่คอลูกชาย ในวันที่ต้องแยกจากกัน”
ล็อคเก็ตอันนั้นแขวนอยู่บนคอหรั่งนั่นเอง
น้ำตาของหรั่งร่วงพรู ทยอยไหลออกมา อันเนื่องมาจากหลายความรู้สึก
“แม่ผมชื่ออะไรครับ”
“ลูน่า...ฉันจำเป็นต้องบอกนายตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป...หวังว่านายจะไม่ทิ้งน้องสาวของนายไปเฉยๆ นะ”

เผ่าลาภบอก พร้อมกับขอร้องอยู่ในที

ที่ริมถนนเปลี่ยวสายนั้น หรั่งยังคงนั่งนิ่งอยู่ในที่เดิม โดยเขาไม่ขยับเขยื้อนร่างกายแต่อย่างใด เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ จึงพบว่าคราบน้ำตายังคงเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าของเขา

เสียงเผ่าลาภดังก้องขึ้นอีก
“เฮียย้งแอบไปมีเมียที่ไม่ใช่คนจีน แต่เป็นแหม่มชาวโปรตุกีซ...เฮียย้งต้องรีบเก็บข้าวของออกจากบ้าน ในวันที่เมียแหม่มกำลังอุ้มท้องแก่”

เหตุการณ์ที่บ้านกลางทุ่ง เมื่อราว 26 ปีที่ผ่านมา ผุดขึ้นตามจินตนาการของหรั่งด้วยคำบอกเล่าของเผ่าลาภ
เฮียย้งหรือเผด็จศึก จูงมือเมียแหม่มที่กำลังท้องแก่อย่างแสนรัก ทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในบ้านกลางทุ่ง ผู้ที่คอยช่วยเหลืออย่างกุลีกุจอ คือ เฮียตง หรือ เผ่าลาภ นั่นเอง
“ฉันเป็นคนพาพวกเขาหลบไปอยู่ที่บ้านกลางทุ่งหลังนั้น”

หรั่งยังคงนั่งก้มหน้านิ่ง เสียงของเผ่าลาภดังก้องขึ้นในหูเป็นระลอก
“และในที่สุด ยายแหม่มก็คลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย...หัวแดงเหมือนแม่ไม่มีผิด”

เฮียย้ง อุ้มเด็กทารกหัวแดงเด็กน้อยดิ้นพล่าน แหกปากหัวเราะ เอิ๊กอ๊ากเข้ามาในบ้าน จนต่อมา ในแค้มป์ก่อสร้างอันจอแกแห่งหนึ่ง เฮียย้ง ส่งเด็กทารกคนนี้ให้กับลุงนุ้ยคนงานในแค้มป์
ลุงนุ้ยรับมาด้วยความเอ็นดู เมียแหม่มยืนร้องไห้ตาบวมเป่งอยู่ใกล้ๆ
“เฮียย้งรู้ดีว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย...เขาได้ฝากบุตรชายไว้กับช่างไม้แก่ๆ คนหนึ่งที่มาตั้งแค้มป์ก่อสร้างอยู่ใกล้ๆ...ช่างไม้ใจดีคนนี้มีชื่อว่า นายนุ้ย นาคำ”
พอนึกขึ้นมาถึงตอนนี้ น้ำตาของหรั่งไหลทะลักออกมาอีกระลอกใหญ่
เผ่าลาภยังเล่าเหตุการณ์เมื่อ 17 ก่อนเสริม ตอนนั้นเผ่าลาภก้าวเข้ามาตรงริมทะเล เห็นภาพเบื้องหน้าเป็นเด็กหญิงและเด็กชายวิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง เผ่าลาภตะโกนเรียกลูกสาว
เด็กชายหรั่งเงยหน้ามองเผ่าลาภ ทั้งสองประสานสายตากันอย่างจัง

เสียงเผ่าลาภบรรยาเรื่องราวต่อ
“ที่บ้านพักริมทะเลวันนั้นฉันได้เห็นยายแพรกำลังเล่นสนุกอยู่กับเด็กลูกครึ่งคนหนึ่ง...เมื่อมั่นใจว่าต้องใช่เด็กคนนั้นแน่ๆ แคมป์ก่อสร้างก็ย้ายหายไปแล้ว”
เสียงเผ่าลาภดังก้องในหูหรั่งอีกคำรบ “ฉันจำเป็นต้องบอกนายตอนนี้...ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป...”

ที่สุดหรั่งหงายหลังลงไปกับพื้น เขาตะโกนลั่น ราวกับจะให้เทพยาดาฟ้าดินได้รับรู้
“ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย...ทำไม...ทำไม...ทำไม...”
หรั่งนอนทุรนทุรายอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางความเวิ้งว้างวังเวง ของถนนสายเปลี่ยวนี้

ส่วนที่ห้องสอบสวนกองปราบปรามในตำรวจ ผู้ใหญ่เงาะยังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของนักข่าวมากมาย เจื้อยแจ้วต่อหน้าไมค์รวมอย่างภาคภูมิใจ
“ผมถูกเรียกตัวให้มาเป็นยามตอนกลางคืนครับ...เป็นการเรียกด่วนเลย เพราะทางผู้บริหารของอาคาร M.S.สืบทราบมาว่า ยามหน้าตึกคนนี้มีประวัติอาชญากรรมมากมายมีคดีติดตัวมาไม่น้อย แล้วยังมีเบาะแสว่าเคยร่วมกับผู้ก่อการร้าย วางระเบิดสถานที่ราชการทางภาคใต้ของเราก็หลายครั้ง...รวมทั้งตั้งทีมรับจ้างอุ้ม ฆ่ามาแล้วก็หลายรายล่าสุด พบว่ามันเพิ่งมาเป็นยามได้ไม่ถึงเดือน ดูเหมือนจะมีคนขอให้บริษัทยามส่งมันมาอยู่ที่นี่ครับ อยู่ได้ซักอาทิตย์กว่าๆ นี้เองครับ”
“ใครขอมาครับ”
“เป็นคนวงในของบริษัทยามครับ เห็นว่าชื่อ ตะวันฉาย ลูกชายของนายสุริยะ ที่เป็นนักการเมืองน่ะครับ”
นายตำรวจที่อยู่ด้วยตัดบท “เอาละครับ...เอาแค่นี้ก่อนนะครับ มากกว่านี้เดี๋ยวจะเสียรูปคดี
หมู่นักข่าว กรูกันเข้าไปสอบถามผู้ใหญ่เงาะต่อไปอย่างไม่ลดละ”

ตอนค่ำวันนั้นจอโทรทัศน์ในห้องโถงบ้านเผ่าลาภปรากฏเป็นภาพข่าวจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แพรวานั่งดูข่าวนี้อยู่ ก่อนจะกดรีโมทปิด เห็นแววสะใจ แฝงอยู่ในสายตาและรอยยิ้มของเธอ แพรวาเดินออกไป

แพรวาเดินเข้ามายังระเบียงบ้าน ตรงไปโอบกอดรำไพ ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน
รำไพฉงน “อยู่ๆ ก็มากอดแม่...มีอะไรรึเปล่าลูก”
“แค่อยากกอดเฉยๆ ไม่ได้เหรอ...”
“ได้สิจ๊ะ...”
“น้องแพรรักแม่นะคะ”
“แม่รู้...แม่ก็รักหนูมาก คุณป๋าก็เหมือนกัน...รู้ใช่มั้ย”
“ค่ะ...”
แพรวาผละออกจากวงแขนผู้เป็นแม่
“คืนนี้คุณรำไพอยู่บ้านคนเดียวได้มั้ยคะ”
“ทำไมจะไม่ได้...แม่ไม่ใช่เด็กๆ นะลูก”
“ลืมไป...ยิ่งตอนที่เล่นบทเศร้า แม่ก็ต้องอยู่คนเดียวตั้งเกือบเดือน...หรือว่าตอนดึกๆ แอบไปหาคุณป๋า ไม่ให้ใครรู้”
รำไพยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยปากถาม
“แล้วคืนนี้หนูจะไปไหนเหรอ”
“หนูก็จะแอบไปหาคนที่หนูอยากจะอยู่ด้วยน่ะสิคะ...”
รำไพมองหน้าลูกสาว เข้าใจว่าเธอหมายถึงใคร
“ไปที่ไหนจ๊ะ”
“ที่บ้านกลางทุ่ง...เลียนแบบคุณรำไพไงคะ”
“นัดกันแล้วเหรอลูก”
“เขาจะโทร.หาหนูทันทีที่ออกจากห้องขัง...แต่ที่สำคัญก็คือ หรั่งเขาไม่เคยไม่รู้ว่าหนูอยู่ที่ไหนค่ะ แม่”
แพรวาเดินยิ้มจากไป รำไพมองตาม ครุ่นคิดและเป็นกังวลอยู่พอสมควร

คืนนั้น เห็นรถเผ่าลาภจอดอยู่ริมถนนสายเปลี่ยว เผ่าลาภอยู่ในรถคั้นนั้น นั่งอ่านกระดาษเอกสารจากหมออังกูร สยามเดินเข้ามา ส่งโทรศัพท์ให้
“คุณรำไพอยู่ในสายครับ”
เผ่าลาภรับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาคุย
“ผมอ่านความเห็นจากหมออังกูรแล้วนะ...ผลการตรวจจริงๆ จะใช้เวลาอาทิตย์นึงใช่มั้ย”
รำไพยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในมุมสงบของบ้าน
“ใช่ค่ะ...”
เหตุการณ์ที่บ้านกลางทุ่งเมื่อไม่นานผุดขึ้นมา เวลานั้นรำไพ เก็บเส้นผมจากแปรงผมของหรั่ง มีเสียงหมออังกูรดังเข้ามา
“เราต้องใช้รากผม 8-10 เส้น”
รำไพเก็บแปรงสีฟันของหรั่งจากในห้องน้ำ
“แปรงสีฟันที่ไม่มีการใช้ร่วมกับผู้อื่นอย่างน้อยสามเดือน”
ส่วนที่สถานีตำรวจ หรั่งนั่งตัดเล็บมือ และเล็บเท้า
“เล็บมือเล็บเท้าก็สามารถใช้ได้...”

ที่สถานีตำรวจบุรุษพยาบาล ทำการเจาะเลือดหรั่ง
“ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือเลือด...”
หรั่งเงยหน้าถามบุรุษพยาบาลงงๆ
“ต้องตรวจสุขภาพผมขนาดนี้เลยครับ”
“เข้าไปในนั้น....” บุรุษพยาบาลพยักหน้าไปทางห้องขัง “ไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง กันไว้ดีกว่าแก้ครับ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย”

“แต่มีความจริงที่คุณต้องทำใจยอมรับให้ได้ก่อนนั่นก็คือ การทดสอบครั้งนี้ไม่สามารถให้ผลลัพท์ได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์” หมออังกูรบอกกับรำไพอยู่ในคลินิก
“เป็นได้เพียงความน่าจะเป็นเท่านั้น เพราะปกติแล้ว ลุง ป้า น้า อา จะมียีนส์ที่เหมือนหลานเพียง 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เจือจางต่างจากบิดามารดาแท้ๆ ถึงสองเท่า”
เวลานั้นรำไพนั่งฟังหมออังกูรอย่างตั้งใจ
“เราไม่อาจเก็บตัวอย่างใดๆ จากพ่อ แม่ได้เลยค่ะ”
“เข้าใจครับ...เพราะฉะนั้น คุณต้องตัดสินใจเองว่า จะยอมรับผลการตรวจมากน้อยแค่ไหน”
“ค่ะ”
“แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์คือ สีผมจริงๆ ของเขาเป็นสีทอง...ทองแดง”
หมออังกูรหยิบตัวอย่างเส้นผมของหรั่งที่กัดสีออกไปแล้ว เห็นเป็นสีทองชัดเจน
รำไพยังคงพูดโทรศัพท์กับเผ่าลาภอยู่
“แล้วเราจะตัดสินใจยังไงคะ”
“เดินหน้าต่อไป...เราทำดีที่สุด ในสิ่งที่ควรจะทำแล้ว...ผมเชื่อว่า นายหรั่งจะหาทางออกได้ด้วยตัวเขาเอง”
“เราเอาเปรียบเขามากไปหรือเปล่าคะ...ถ้าผล DNA คลาดเคลื่อนล่ะคะ”

“ผมอยากให้เป็นอย่างนั้น ใจจะขาด...คุณไม่รู้เหรอ”

สีหน้าของเผ่าลาภเคร่งขรึม เป็นทุกข์ไม่ต่างจากผู้เป็นภรรยา

โปรดติดตาม “สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย” ตอนที่ 16 จบบริบูรณ์
กำลังโหลดความคิดเห็น