ภาพอาถรรพณ์ตอนที่ 6
เช้าวันรุ่งขึ้น เกษลดายืนจ้องหน้าคุณประยงค์สบตานิ่ง สีหน้าใคร่ครวญ หล่อนมองจ้องเหมือนจะถามว่าทำไม? ขณะนึกถึงความฝันประหลาดเมื่อคืนนี้
ตอนนั้นคุณประยงค์คร่อมอยู่บนตัวเกษลดา ชะโงกหน้าวูบลงมาจนติดหน้าเกษลดา
“นังเกด...เอ็งจำข้าได้มั้ย”
เกษลดาส่ายหน้า
“อย่ายุ่งกับท่านเจ้าคุณ จำไว้” คำสุดท้ายคุณประยงค์เสียงดังขึ้นอีก “จำไว้”
เกษลดาดึงตัวเองกลับมา ถามรูปคุณประยงค์
“คุณชวดคะ ใครคือท่านเจ้าคุณ คุณชวดไม่ให้ฉันยุ่งกับท่านเจ้าคุณ ก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าคุณเป็นใคร อยู่ที่ไหน ฉันจะจำได้ยังไงล่ะคะ...คุณชวดไม่ตอบ ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงฝันไปเอง...ฉันฝันเห็นคุณค่ะ...คุณชวด”
ตอนท้ายเกษลดาเรียกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะหันหลังกลับเดินห่างออกมา
คุณประยงค์ขยับตัวเหลียวหน้ามองตาม สายตาเข้มจัด คำรามในคอ
“นังเกด...วอนกูเรอะ...มึงระวังตัวไว้ให้ดี”
เวลาเดียวกันอนงค์วดีจอดรถที่หน้าตึก สองคนแม่ลูกลงรถมา หยิบของหลายอย่าง หิ้วหอบมาพะรุงพะรัง
เจอเกษลดายืนคอยอยู่ สองคนชะงัก
“คุณอนงค์วดี คุณชวดของคุณไปเกิดหรือยัง” เกษลดายิงตรงสีหน้านิ่ง รอคำตอบ
อนงค์วดี ตกตะลึง มองหน้าเกษลดา ตอบไม่ถูก
ปิ่นสุดาชักสีหน้า “คุณไม่มีมารยาทเลย ถามอย่างนี้ถึงบรรพบุรุษของเราได้ยังไง”
“ขอโทษค่ะ คุณปิ่นสุดา เกษคิดว่าถามตรงๆ อย่างนี้ดีที่สุดค่ะ ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมเพราะเกรงใจ ความจริงเกรงใจนะคะ แต่จำเป็นต้องถามค่ะ เพราะว่าคุณชวดของคุณ” เกษลดาหันมาทางอนงค์วดี “มารบกวนฉัน”
“รบกวนยังไงคะ” อนงค์วดีตกใจเล็กๆ แต่พยายามซ่อนไว้
เกษลดาบอก “ฉันฝัน”
อนงค์วดีมีสีหน้าคลายกังวลลง
“โธ่เอ๋ย คิดว่าเห็นตัวจริง” ปิ่นสุดาว่า
“แค่ฝัน เหรอคะ” อนงค์วดีถามย้ำ
“นี่...จะให้ฉันโดนผีหลอกจังๆ เลยเหรอ แค่นี้คุณก็น่าจะเดือดร้อนแล้วนะเพราะว่าที่นี่มีผี ผีที่ซ่อนอยู่ในรูปภาพ”
“จะให้ฉันทำอะไรคะ”
“เอารูปคุณชวดคุณไปทิ้งเพราะวิญญาณคุณชวดคุณอยู่ในนั้น คุณชวดคุณเป็นผี”
เสียงเกษลดาเน้นหนักทุกถ้อยคำ
กลางดึก ในห้องนอนเกษลดาที่คอนโดวันเดียวกันนั้น
ยินเสียงเกษลดาหวีดร้องอย่างน่ากลัวดังขึ้น เป็นคุณประยงค์ที่บีบคอเกษลดาอย่างรุนแรง ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวน่าสยดสยองมาก เกษลดาร้องกรี๊ดๆๆ เมื่อมือคุณประยงค์จับที่รอบคอบีบแน่นขึ้น ต่อจากนั้น หล่อนทำได้แค่อึกอัก...ร้องไม่ออก นัยน์ตาเหลือกลานจ้องหน้าคุณประยงค์เขม็ง
คืนต่อมาที่ห้องล็อบบี้ของสโมสร มีลูกค้าเดินเข้ามาใหม่ พนักงานต้อนรับโค้ง เป็นลูกค้าหนุ่มสาว คู่รักกัน ชาย 2-3 คนนั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะหนึ่ง แขกชายอีก 2-3 คน เดินเข้ามาหลังจากนั้น
บาร์เทนเดอร์ผสมเหล้าเขย่าเสียงดัง
แขกอีกคนเดินตรงไปทางห้องการพนัน พนักงานที่ยืนเป็นยามเปิดให้ มองเข้าไปเห็นคนเยอะแยะ ควันบุหรี่ลอยคลุ้ง แขกคนนั้นเข้าไป ประตูปิดลง
พนักงานเดินเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะให้แขก ชายอีก 2 คน ที่กำลังคุย คนหนึ่งเขย่าชิปเล่น 4-5 อัน พออาหารวาง ก็วางชิปบนโต๊ะให้เห็นชัดๆ แล้วลงมือทาน
ตลอดเวลามีเสียงเกษลดาร้องเพลงขับคลออยู่บนเวที
หากสังเกตจะพบว่า เกษลดาร้องเพลงด้วยสีหน้าไม่สบายใจเอาเลย
ด้านอนงค์วดีกำลังดูแลเรื่องอาหาร และ เครื่องดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์ สักครู่ปิ่นสุดาเดินออกมาจากห้องเล่นไพ่ ประตูปิดลงทันที
เกษลดาร้องเพลงอยู่ นัยน์ตามองไปที่รูปคุณประยงค์ เห็นถนัดว่าคุณประยงค์เหลียวหน้ามามองหล่อนเช่นกัน เสียงร้องชะงักกึก แต่ยังไม่มีใครสังเกต เกษลดาหันไปทำมือกับดนตรีให้เล่นต่อไป ตัวเองพยายามระงับอารมณ์แล้วร้องต่อจนจบ เสียงตบมือเกรียวกราว เกษลดาบอกขอบคุณ แล้วลงจากเวที มีนักร้องอีกคนขึ้นไปร้องแทน
เชษฐายืนพูดคุยอยู่กับมนัสวีร์ และแขกอีกคนหนึ่ง มีอนงค์วดีอยู่ด้วย เกษลดาเดินพรวดมา คว้าแขนเชษฐา บอกกับทุกคน “ขอโทษค่ะ” แล้วพาออกไปทันที ทุกคนมองตามประหลาดใจ
สองคนหยุดอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งในห้องโถง ห่างจากรูปคุณประยงค์พอสมควร
เชษฐาแปลกใจ “อะไรกันเกษ”
“หนึ่ง เกษจะบอกอะไรให้สำคัญมาก หนึ่งเอารูป” เกษลดาอึกอัก “...คุณชวดไปทิ้งซะนะ”
เชษฐางงหนัก “ทิ้ง...ทำไม”
“เชื่อเกษ ถ้าหนึ่งไม่ทิ้งอีกหน่อยสโมสรของหนึ่งจะเจ๊ง...เจ๊งจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเกษ”
คำพูดนั้นได้ยินถึงหูคุณประยงค์ ซึ่งเหลียวมองมา สีหน้าแทบปริ ด้วยความโกรธ ทำท่าขยับตัวทันที
ย่าน้อยห้าม “คุณอา อย่านะคะ”
“มันกำเริบได้ยินมั้ย”
“แต่ถ้าคุณอาไปทำอะไรมัน ไม่ถึง 7 วันตึกนี้จะร้างเหมือนเดิมจะมืดมิด....กว่า...เดิม”
เกษลดาเดินออกจากตรงนั้นทันทีที่พูดจบ
เชษฐาคว้าแขนไว้ “เดี๋ยว เกษ ผมยังไม่เข้าใจ...อย่าเพิ่งไป จะไปไหน”
“เกษต้องร้องอีกเพลง จะกลับบ้านแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวซิ ผมยังไม่รู้เรื่อง ร้องเพลงเสร็จแล้วพูดกันก่อนนะ”
เกษลดาหันมาทางเชษฐา นัยน์ตามองว่ารัก ห่วงใย แต่หวาดหวั่น เกษลดาเดินเข้ามาใกล้ สอดแขนไปรอบเอว เงยหน้าขึ้นจนเกือบชิดหน้าเชษฐา
“เชื่อเกษนะหนึ่ง” หล่อนเดินไปทันที
เชษฐายืนงงงวย
ตรงหน้ารูปคุณประยงค์ ยินเสียงคำรามลั่น
“ฉันเกลียดมันเหลือเกิน นังเกด นังไพร่”
“มันเป็นคนแข็ง ใจแข็ง วาจาแข็ง คุณอาคงทำอะไรมันยากนะคะ”
คุณประยงค์จ้องไปที่เกษลดาซึ่งกำลังร้องเพลง ถามย้อนอย่างท้าทาย
“หล่อนว่ายากงั้นรึแม่น้อย”
เกษลดากำลังร้องเพลง โดยมีคุณประยงค์ที่กำลังจ้องมองมาอย่างเข่นเขี้ยว แล้วจู่ๆ เกษลดาก็ชะงัก เสียงร้องหาย หล่อนอึกอักอยู่สักครู่ ทุกคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว
เกษลดาสีหน้าเข้มจัด รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร หล่อนเหลือบมองมาทางรูปคุณประยงค์
คุณประยงค์มองเกษลดาอยู่ พึมพำในคอ “นังเกด”
ฉากปะทะระหว่างคุณประยงค์กับเกด เมื่ออดีตผุดขึ้นมาอีก
ตอนนั้นเกดเดินก้มๆ ตัว ขึ้นมาบนตึก มองหาบางคน ท่าทางระวังตัว
คุณประยงค์เข้ามาขวาง “อีเกด เอ็งขึ้นมาทำไมบนนี้”
“มาตามท่านเจ้าคุณ…เจ้าค่ะ”
คุณประยงค์ด่าจิก “ยืนหัวโด่อย่างนี้รึเอ็ง”
เกดยังคงยืนนิ่ง
คุณประยงค์เสียงดัง “อีทิ้ง”
“เจ้าค่ะคุณท่านคนใหญ่”
“บอกมัน”
“เจ้าค่ะ...บอกว่าไงเจ้าคะ”
“ถ้าเอ็งไม่รู้ก็ลองโดนหวายลงหลังซักทีสองทีมั้ย”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ อีเกด....นั่งลงเดี๋ยวนี้” อีทิ้งตั้งท่าสู้เต็มที่ถ้าเกดไม่นั่ง
แต่ผิดคาด เกดลงนั่ง แต่ไม่นั่งราบลงไป นั่งแบบคุกเข่า อีทิ้งหน้าเหวอ เหล่เกด แล้วหันไปทางคุณประยงค์
“บอกมันให้นั่งราบลงไป”
“นั่งราบลงไป อีเกด”
“คุณไม่สงสัยหรือเจ้าคะว่าอิฉันมาตามท่านเจ้าคุณทำไม” เกดเอ่ยขึ้น
“อย่ายอกย้อนนั่งลงไปเดี๋ยวนี้”
“อิฉันก็นั่งแล้ว”
คุณประยงค์ก้าวพรวดเข้าประชิดตัวเกด กดหัวให้นั่งราบลงไป แต่เกดสะบัดหลุดแล้วลุกขึ้น
คุณประยงค์ผวาตัวถอยก้าว แต่ยังเสียงแข็ง
“ถ้ามึงไม่นั่ง มึงเตรียมตัวไว้ อีทิ้งไปเรียกไอ้รอดมาเอาตัวอีเกดไปให้พ้นจากตรงนี้”
เกดลงนั่งราบ “คุณอรไม่สบาย อิฉันจะมาเรียนท่านเจ้าคุณ”
คุณประยงค์ยังไม่ทันพูดอะไร เจ้าคุณเดินออกมาอีกฟากของห้อง เกด รีบเดินเร็วๆ ไปถึง ยืนพูดด้วย แต่สองคนไม่ได้ยิน กิริยาเกดดูไม่นอบน้อมเท่าที่ควร คุณประยงค์เพ่งมอง
เจ้าคุณฟังแล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที เกดหันมามองคุณประยงค์ สายตามีแววเยาะหยันเล็กๆ แล้วเดินออกไป
“อีทิ้ง มึงจำไว้ว่าอีเกดมันกำเริบกะกูขนาดไหนวันนี้”
“กำเริบมากเจ้าค่ะคุณท่านคนใหญ่”
“ท่านเจ้าคุณฟังมัน...เชื่อมัน...กูสงสัยจริงว่ามันเป็นเมียท่านหรือไม่”
“นังเกดมันหน้าตาดีนะเจ้าคะ เวลาพูดกับท่านเจ้าคุณ ดูมันตีเสมอชอบกล” อีทิ้งว่า
คุณประยงค์มีสีหน้าเป็นกังวล
เกษลดาเลยต้องขอโทษแขก
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบเป็นอะไร ร้องเพลงไม่ออกกระทันหัน พรุ่งนี้ค่อยฟังต่อนะคะ”
เกษลดาก้าวลงมาอย่างเร็ว เดินตรงไปหาเชษฐา
คุณประยงค์เห็นเชษฐาฟังเกษลดา ที่ไปยืนจนใกล้ชิดตัว เชษฐาโอบไหล่เกษลดาหลวมๆ แล้วพาเดินออกไป
สีหน้าคุณประยงค์ มองด้วยความเจ็บปวดร้าวราน น้ำตารื้นจนเต็มนัยน์ตา แล้วหยดเผาะ...เผาะ เสียงสะอื้น ดังแผ่วๆ
เชษฐานอนหลับสนิทอยู่ในห้องพักด้านบนของคฤหาสน์ ร่างของเขาขยับคล้ายได้เสียงสะอื้นดังแผ่วๆ และค่อยๆ ดังขึ้น....ดังขึ้น เชษฐา ลืมตา แปลกใจว่าเสียงจากไหน
เชษฐาเดินลงบันไดมายังโถงด้านล่าง นาฬิกาที่ผนังตีเสียงดัง ตี 5 ที ห้องมืดมิด มีไฟข้างฝา 2-3 ดวง เชษฐา เดินเร็วๆ ไปตามเสียงร้องไห้ เขาไปจนถึงหน้ารูปของคุณประยงค์ หยุดแหงนหน้าดู
คุณประยงค์น้ำตานองเต็มหน้า จ้องนิ่งมาที่เชษฐาสายตาทั้งรักทั้งอ้อนวอน
“คุณชวดครับ ร้องไห้ทำไมครับ”
คุณประยงค์ขยับตัว
เชษฐามองแล้วเกิดรู้สึกตาพร่า วูบจนร่างเซไปนิดหน่อย แล้วทรงตัวขึ้นยืนนิ่ง มองที่รูปเห็นคุณประยงค์เข้าออกมาจากรูปได้
เชษฐายืนตัวแข็ง ขยับตัวไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีอะไรตรึงร่างไว้
คุณประยงค์เคลื่อนตัวอย่างแช่มช้า สีหน้าอิ่มเอิบเหมือนสมใจอะไรบางอย่าง
เชษฐาพูดเสียงกระซิบ “คุณประยงค์”
คุณประยงค์ยิ้มอ่อนหวาน เข้ามาจนแนบชิดกับกายเชษฐา เชษฐาได้กลิ่นหอมจากร่างกายคุณประยงค์ หลับตาและสูดกลิ่น เขาจับต้นแขนของคุณประยงค์ รั้งตัวเข้ามาชิดใกล้ คุณประยงค์ระทวยเข้าหา เอนตัวพิงอกแกร่งของเขา เชษฐากอดแนบแน่น แล้วก้มหน้าลงไป
เชษฐากอดและเชยชิดคุณประยงค์ ร่างกายสนิทแนบเหมือนเป็นร่างเดียว
เชษฐาอุ้มคุณประยงค์ เดินข้ามห้องขึ้นบันไดไป
ภายในห้องคุณประยงค์ดวงไฟกิ่งข้างฝาส่องแสงสลัวที่เตียง เชษฐานอนหลับสนิท ทอดแขน ลักษณะเหมือนกอดใครคนหนึ่งอยู่
เสียงย่าน้อยร้องเตือน “คุณอาคะ...คุณอาใช้พลังไปเยอะแล้วนะคะ ระวังหน่อย”
“ให้ฉันมีความสุขบ้างเถอะ ฉันทุกข์มานานเหลือเกิน”
ที่วงแขนเชษฐามีร่างของคุณประยงค์ค่อยๆ เห็นลางๆ จนชัดเจน
ใบหน้าหมองเศร้า พึมพำ “นานเหลือเกิน ท่านเจ้าคุณ”
คุณประยงค์ หันหน้ามาทางเจ้าคุณ ประคองหน้าไว้ทั้งสองมือ
“เจ้าคุณคือพ่อปราชญ์ของฉันตั้งแต่วันแรกที่พ่อปราชญ์มาที่นี่”
ภาพเลือนรางครั้งอดีต แจ่มชัดขึ้นมาในบัดดล
ครั้งนั้น คุณประยงค์โตเป็นสาวรุ่น ส่วนปราชญ์ก็เป็นเด็กหนุ่ม ที่นายเปรื่องผู้เป็นพ่อพาเขามาฝากฝังที่บ้านสิงหมนตรี ท่านเจ้าพระยา ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่พระยา เดินออกมาหาที่ห้องโถง คุณประยงค์อยู่ในชุดอยู่กับบ้านง่ายๆ นุ่งโจงห่มผ้าแถบ เดินตามด้วยท่าทางสง่ามีความมั่นใจสูง
“ไอ้เปรื่อง เอาลูกมาให้ข้าเลี้ยงรึ”
“ขอรับท่าน ขอให้เรียนหนังสือกับรับใช้แล้วแต่ท่านจะบัญชา”
“เออ....ดูหน้าตาหน่วยก้านดี ไม่อยากให้ทำนาเหมือนเอ็งว่างั้นเถอะ อายุเท่าไหร่ล่ะไอ้หนุ่ม”
ปราชญ์ก้มหน้าประหม่าไม่กล้าตอบ
“สิบหกย่างสิบเจ็ดขอรับ”
เจ้าคุณกับนายเปรื่องโต้ตอบกันต่อไปเบาๆ ประมาณว่า เมียเอ็งเป็นยังไงบ้าง...ก็สามวันดีสี่วันไข้ขอรับ...เอ็งมีลูกกี่คนนะ ลูกชายคนเดียวนี่แหละขอรับ แม่มันออดๆแอดๆ มีลูกยาก
ระหว่างนั้นปราชญ์สบตาคุณประยงค์ คุณประยงค์แกล้งถลึงตาใส่ แล้วเมินไปอีกทาง ปราชญ์ตกใจก้มหน้านิ่ง...ประหม่า
เจ้าคุณบิดาเรียก “อ้อ....ยายหนู ลูกสาวฉันไอ้เปรื่อง”
“โตขึ้นแล้วงามขอรับคุณหนู เห็นมาตั้งแต่ยังวิ่งเล่น”
“เขาชื่อประยงค์ จำไว้นะ”
อีกเหตุการณ์รถม้าแล่นเข้ามาหน้าตึก ปราชญ์วิ่งมาแอบดู ท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง และคุณประยงค์ลงจากรถ อีทิ้งที่คอยอยู่ไปรับกระเป๋าจากคุณประยงค์ ทั้งหมด กลับจากงานกลางคืนงานหนึ่ง แต่งตัวกันเต็มที่
คุณประยงค์สวยงามแจ่มใส ระเหิดระหงมาก ปราชญ์ตะลึงแล
คุณประยงค์เหลือบไป สบสายตาของปราชญ์พอดี
ปราชญ์หลบตาวูบ ขยับตัว
ท่านเจ้าพระยาเหลือบไปเห็น “เฮ้ย...นั่นเจ้าปราชญ์ใช่มั้ยวะ”
ปราชญ์ก้าวออกมายืนประสานมือ “ขอรับ”
“เจอก็ดีแล้ว มานี่มา”
ปราชญ์ออกมา เหลือบไปทางคุณประยงค์ สบตากันอีก คุณประยงค์ทำหน้าเชียร์ว่าไม่มีอะไร ปราชญ์มองขอบคุณ ท่านผู้หญิงกระแอมเบาๆ ปราชญ์ก้มหน้า
“นี่เจ้าปราชญ์ เป็นอันว่าเจ้าได้เข้าโรงเรียนสวนกุหลาบข้าฝากให้แล้ว”
ปราชญ์ดีใจ สายตาเป็นประกาย ไหว้อย่างนอบน้อม
“ส่วนคุณประยงค์จะเรียนที่โรงเรียนสตรีวิทยา”
“ขอรับ”
ท่านเจ้าพระยาเอ่ยต่อ “สองคนถ้าอยู่ที่บ้านนี้ ก็ไปโรงเรียนไม่ได้เพราะไกลมากถึงโรงเรียนก็ได้เวลากลับพอดี” ท่านหัวเราะเบาๆ
ปราชญ์ก้มหัวรับคำ “ขอรับ” เบาๆ
“พ่อจะให้ลูกไปอยู่กับคุณป้าหญิงที่บ้านถนนตะนาว อีทิ้งไปด้วย เช้าให้อีทิ้งเดินไปส่งโรงเรียนอยู่ตึกดินใกล้ๆ เดินถึง ส่วนเจ้าปราชญ์ก็นั่งรถรางไปลงวังบูรพาแล้วเดินไปโรงเรียนอีกนิดเดียว”
“คุณป้าหญิงดุออกค่ะ ลูกกลัว” คุณประยงค์ว่า
“เพราะท่านดุ พ่อถึงให้ไปอยู่ที่นั่น เจ้าปราชญ์ก็จะไปด้วย คุณป้าหญิงท่านชอบวรรณคดี เจ้าจะได้ไปอ่านให้ท่านฟัง”
อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ บ้านคุณป้าหญิง ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณหลังไม่ใหญ่โตนัก ปราชญ์อยู่เครื่องแบบนักเรียนสวนกุหลาบ ส่วนคุณประยงค์อยู่ในชุดนักเรียนสตรีวิทยาราว เวลานั้นอยู่ในสมัยช่วงต้นรัชกาลที่ 6
และปราชญ์อ่านหนังสือวรรณคดี ขุนช้างขุนแผน ให้คุณป้าหญิงฟังอยู่ในสวน
“ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว
เกดแก้วพิกุลยี่สุ่นศรี
จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี
จำปีเอ๋ยอีกกี่ปีจะมาพบ”
คุณประยงค์แอบดูอยู่ไกลๆ นัยน์ตาเป็นประกาย ด้วยความชื่นชม
อีทิ้งดึงแขนออกมา “คุณท่านคนใหญ่....ไม่งามเลยนะเจ้าคะ”
“เขาต่ำศักดิ์กว่าฉันนะอีทิ้ง ถ้ารอเขาเมื่อไหร่ล่ะเขาถึงจะกล้าเผยอ”
“คุณท่านยังเด็ก”
“ฉันแค่ชอบพอเขา ไม่ได้ทำอะไรให้เสื่อมเกียรติเลย”
“ผู้หญิงบอกชอบพอผู้ชายไม่ดีนะเจ้าคะ”
“ฉันบอกเขาด้วยวาจาซักคำมั้ยทิ้ง ฮึ แกเคยได้ยินซักคำมั้ย”
อ่านต่อหน้า 2
ภาพอาถรรพณ์ตอนที่ 6 (ต่อ)
อีกวันหนึ่ง ตรงม้านั่งในสวนหลังบ้านสิงหมนตรี ปราชญ์นั่งอ่านหนังสือท่าทางเคร่งเครียดจริงจังอยู่ตรงนั้น เขาจดไปด้วย คุณประยงค์ยืนดูจากบนบ้าน
สักครู่อีทิ้งถือถาดใส่ขนม และขันน้ำ เดินไปวางให้ปราชญ์ถามว่าใครให้ อีทิ้งตอบ ปราชญ์หันมาเห็นคุณประยงค์ที่ยืนมองจ้องก้มหัวให้อย่างสุภาพ คุณประยงค์ ส่งสายตาลึกซึ้งจ้องปราชญ์ สักครู่หันหลังกลับเดินเข้าในบ้าน
เหตุการณ์ต่อมา ขณะที่ปราชญ์พรวนดินปลูกต้นไม้ คุณประยงค์ส่งผ้าเช็ดหน้าให้อีทิ้ง อีทิ้งวิ่งมาให้ปราชญ์ ท่าทางกลัวๆ เหลียวซ้ายแลขวา ปราชญ์หันไปดูคุณประยงค์ ก้มหัวขอบคุณ และซับหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้านั้น
ห้องนอนคุณประยงค์คืนเดียวกันนั้น
“หวั่นใจเหลือเกิ๊น” อีทิ้งเปรยๆ
“จะมากไปนะอีทิ้ง ทำสุ้มเสียงเข้า”
“ถ้าท่านรู้ คุณท่านคนใหญ่จะโดนอะไรมั่งเจ้าคะ อีทิ้งกลัวเหลือเกิน”
“ข้าทำอะไรผิดหรืออีทิ้ง แค่เมตตาเขาให้ขนมเขาเวลาเขาท่องหนังสือ ผิดกรงไหน”
อีทิ้งจ๋อย
“คุณพ่อพูดเสมอว่าพ่อปราชญ์เป็นคนดี คนเก่งต่อไปจะก้าวหน้าเป็นใหญ่เป็นโต ดูสิ ปิดเทอมเขายังท่องหนังสือไม่ไปเที่ยวเล่น ข้าจะรักจะชอบเขามันผิดกรงไหน”
“ตายแล้ว คุณท่านคนใหญ่เจ้าขาทำไมพูดอย่างนี้เจ้าคะ โอย...ใครได้ยินเข้า”
“ใคร”
“ท่านกับคุณหญิงสิเจ้าคะ”
ตัวละครท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง บ่าว คุณประยงค์ อีทิ้ง
“อิฉันไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านคุณป้าหญิง”
ท่านเจ้าพระยาฉงน “พูดเรื่องอะไรแม่แย้ม”
“แม่ประยงค์ ดูแกมีท่าทีกับพ่อปราชญ์...จนเห็นได้ชัด อยู่ที่โน่นอะไรเกิดขึ้นเขาก็ไม่รู้นะคะท่าน”
“ฉันรู้...”
ท่านผู้หญิงอึ้ง “คะ”
ท่านเจ้าพระยาบอกต่อ “ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉันดูเจ้าคนนี้ไม่ผิด มันเป็นคนเก่ง เป็นคนดีอนาคตมันก้าวหน้ามองเห็นไม่ยาก”
“ท่านจองเป็นลูกเขยเลยสิคะ” น้ำเสียงท่านผู้หญิงประชดเล็กๆ
“ถ้าเราได้พ่อปราชญ์เป็นลูกเขย เราจะหมดห่วงว่าแม่ประยงค์จะได้กับใครที่ไหนจะดูแลรักใคร่ลูกเราจริงหรือไม่....ฉันวิตกอยู่นะแม่แย้ม”
ท่านผู้หญิง นิ่งอึ้ง
คุณประยงค์กับอีทิ้ง ได้ยินชัดเจน คุณประยงค์มองอีทิ้ง เลิกคิ้วนิดๆ ทำนองว่า เห็นไหม?
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป คุณประยงค์ยังคงลูบไล้ใบหน้าของเชษฐา กระซิบกระซาบ
“เรารักกันนะคะพ่อปราชญ์ ทำไมคุณถึงทำร้ายจิตใจฉันได้ลงคอ”
ภาพคิดตอนเจ้าคุณบอกท่านเจ้าพระยา ว่าแม่อรเป็นเมียผุดขึ้นมาหลอกหลอน
คุณประยงค์น้ำตาคลอเต็มตา มองท่านทั้งรัก ทั้งแค้น “รู้ไหมว่าฉันเสียใจแค่ไหน ถ้าฉันตายได้ง่ายๆ ฉันคงตายไปแล้ว”
คุณประยงค์เกิดความคับแค้นแน่นอก ลุกพรวดอย่างรวดเร็ว ยืนจังก้าอยู่หน้าเตียงใบหน้าสวยสดงดงาม กลายเป็นซีดขาว
“แต่ตอนนั้น” น้ำเสียงเข้มขึ้น “ฉันยังอยู่ไม่ตายได้ง่ายๆ ฉันอยู่เพื่อจะดูและสมน้ำหน้าตัวเองว่าฉันทนได้ยังไง ทนเห็นคุณที่ฉันรักที่สุดอยู่กับเมียของคุณ” เสียงคุณประยงค์ดังขึ้น “อยู่กับมัน กินกับมัน นอนกับมัน ทุกเวลาที่คุณอยู่กับมันฉันเจ็บปวดที่สุด มันเหมือนมีหนามแหลมๆ เป็นร้อยเป็นพันเล่มทิ่มแทงหัวใจฉัน”
คุณประยงค์ยืนนิ่ง แล้วสีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง น้ำตาไหลพรากๆ บนใบหน้าขาวซีด สายตาเจ็บปวด เศร้าหมอง ก้มหน้าลงจนแทบชิดอก เสียงสะอื้น ดังสะท้านสะเทือนไปทั้งตึก
ตัวตึกทั้งหลังมืดสนิท มีแสงไฟเฉพาะที่ห้องคุณประยงค์
เสียงร้องไห้โหยหวนของคุณประยงค์ ดังแผ่วๆ แว่วๆ แล้วดังขึ้นๆ แสงไฟโคมดวงหนึ่ง เคลื่อนจากฟากหนึ่งไปอีกฟากของตึก
ปู่กลับ ถือไฟดวงนั้น เงยหน้ามองหน้าต่างห้องคุณประยงค์
ปู่กลับรู้สึกสงสาร “คุณท่านคนใหญ่....เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรม”
ที่ห้องคุณประยงค์ มองจากมุมสูงลงมาบนเตียง เห็นเชษฐานอนคุณประยงค์ทอดร่างกึ่งนั่งกึ่งนอนแนบชิด มองหน้าเชษฐา ยังมีน้ำตาอยู่สองข้างแก้ม
“แต่ฉันก็รักคุณเหลือเกิน รักจนยอมสิ้นทุกอย่าง ยอมแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมียน้อย”
ในความมืดสลัว เห็นคุณประยงค์ร่วมอภิรมย์กับเชษฐา เป็นภาพเงาดำๆ วูบวาบไปมา
ห้องเชษฐาเช้าวันรุ่งขึ้น นวลพนักงานทำความสะอาด ถือไม้กวาดและผ้าถูบ้าน ยืนจ้องเตียงเชษฐา ที่เรียบร้อย สีหน้านวล งงๆ แล้วเหลียวไปดูรอบๆ ห้อง เดินไปชะโงกหน้าต่าง เห็นรถจอดอยู่
โดยมีรถอนงค์วดี แล่นเข้ามาจอด นวลรีบออกจากห้องไปทันที นวลออกไปเร็วๆ บอกอนงค์วดี
แหงนหน้ามาดูหน้าต่างห้องเชษฐา
หลังจากนั้นไม่นาน อนงค์วดีพูดพลางเปิดประตูเข้ามา หลังจากเคาะ “แน่ใจหรือว่าคุณเชษฐาไม่อยู่”
นวลยืนด้านหลัง
“น่าจะเขียนบอกไว้ ว่าจะไปไหน” หล่อนเดินเข้ามาเร็วรี่ ตรงมาดูบนโต๊ะทำงาน และที่ๆ อาจมีจดหมายวางได้
“ลงไปข้างล่างแล้วมั้ง” อนงค์วดีว่าในที่สุด
“ไม่ได้นอนทั้งคืนนะคะ คุณอนงค์”
อนงค์วดีลงบันไดมายังห้องโถงอย่างรวดเร็ว ในท่าทีร้อนใจ
“เราหากันก่อน อย่าเพิ่งบอกใคร”
“ค่ะ”
อนงค์วดีเดินเร็วรี่ไปทางหนึ่ง เสียงถามนวลว่า “มีแขกค้าง 2 คนใช่มั้ย เช็คเอาท์ไปหรือยัง”
สองคนเดินลับตัวไป
อนงค์วดีเดินหาไปทุกห้องในบ้าน ชั้นล่าง หลังจากนั้น อนงค์วดีขึ้นบันไดเร็วๆ ได้แค่ 2-3 ขั้น นวลลงมา
“ดูทุกห้องแล้วค่ะ....ไม่มี”
อนงค์วดีหมดแรง หน้าซีดเผือด “นวล....เป็นไปได้มั้ยที่”
นวลจ้อง “คะ”
“ไม่...ไม่มีอะไร นวลไปดูแขกสองคนดีกว่า เขาเช็คเอาท์ไปแล้วนวลจะได้ทำห้อง”
“ค่ะ” นวลเดินไป
อนงค์วดีแทบไม่มีแรงเดินแล้ว ก้าวเดินมาถึงรูปคุณชวดประยงค์ มองด้วยนัยน์ตาวิงวอน
“คุณชวดคะ คุณชวดพาเขากลับมาเถอะนะคะ อย่าทำกับเขาอย่างนี้เลย”
อนงค์วดี เริ่มสะอื้นนิดๆ
เสียงคุณหญิงสร้อยดังขึ้นมาในห้วงคิดอนงค์วดีตอนนี้
“เธอใจร้าย เธอฆ่าลูกฉัน ถ้าเธออยากได้ใครเธอจะเอาไปเฉยๆ เธอใจร้ายมาก”
อนงค์วดียังคงจ้องคุณประยงค์
“เขาอยู่ไหนคะ คุณชวดฆ่าเขาแล้วหรือคะ ต้องถึงกับฆ่าหรือคะ”
อนงค์วดีเดินมาหาที่ท่าน้ำแต่ไม่เจอ หล่อนเดินไปเดินมา คิดหนัก สักครู่จึงหันกลับมาแหงนมองตัวคฤหาสน์ ด้วยสายตาใคร่ครวญ
คำพูดคุณหญิงสร้อยดังขึ้นอีก
“ตอนเธอมีชีวิตอยู่ เขาว่าเธอฆ่าคนด้วย ตายเป็นผีอยากให้ใครไปอยู่ด้วย ก็ฆ่าซะ”
อนงค์วดีเลื่อนสายตาไปเรื่อยๆ จนไปถึงหน้าต่างห้องคุณประยงค์อีกปีกหนึ่งของตึก
เชษฐาเปิดประตูห้องนั้นออกมาทันควัน จังหวะอนงค์วดีที่กำลังจะเปิดประตู สองคนชะงัก ต่างคนต่างตกใจเล็กๆ
“คุณอนงค์....เอ๊ะ”
“คุณอยู่ที่นี่เอง”
“ที่นี่.....นั่นสิ ไม่ใช่ห้องผม”
“ห้องคุณชวดค่ะ”
“ห้องคุณประยงค์”
“นวลบอกว่า...เขาจะทำความสะอาดห้องคุณ เขาว่า.....คุณไม่ได้นอนที่ห้องทั้งคืน”
เชษฐาแปลกใจ “ทั้งคืน....ทั้งคืนเหรอ”
“เราตามหาคุณจนทั่ว เพราะรถอยู่คุณไม่ได้ออกไปไหน”
“คุณอนงค์วดี....ผมไม่ทราบว่าผมมานอนอยู่ห้องนี้ได้ยังไง”
“คะ?”
“แต่...ผมฝันถึงคุณชวดของคุณ”
“ฝัน....ฝันว่าอะไรคะ”
“ฝันว่า....” เชษฐาหยุดกึก สีหน้าเขาอึกอัก “ผมจำไม่ได้แล้ว แต่รู้ว่าฝันถึงคุณประยงค์...จำรายละเอียดไม่ได้”
“คุณชวดมาแบบ...เฮ้อ...น่ากลัวมั้ยคะ”
“น่ากลัวมั้ย...” เชษฐาส่ายหน้า “ไม่....เธอก็มาเหมือนในรูปนั่นแหละ”
“เธอพูดอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า....ไม่ได้พูดอะไรเลย”
อนงค์วดีมองนิ่งๆ สายตาตรึกตรองว่าจะเชื่อดีหรือไม่ดี
“ผมขออาบน้ำก่อน....คุณมาแต่เช้านะวันนี้”
“เวลานี้เกือบเที่ยงแล้วค่ะ”
ในห้องโถงไม่นานต่อมา เชษฐาเปลี่ยนชุดใหม่แล้วลงนั่งที่โต๊ะพนักงานเสิร์ฟอาหารเช้า
เชษฐาบอก “ขอบใจ” แล้วก้มหน้าก้มตาทาน
คุณประยงค์เดินมา สายตาจดจ้อง ที่เชษฐา มีแววรักล้นอก พอมาถึงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เชษฐา แต่เชษฐาไม่เห็น
คนอื่นมองมาจะเห็นเชษฐานั่งคนเดียว พนักงานมารินกาแฟให้
“ให้ปรุงให้มั้ยครับ”
เชษฐายกมือว่าไม่ต้อง พนักงานไป
คุณประยงค์ มองจ้องที่โถน้ำตาลและนมสด นึกถึงเรื่องราวหนหลัง
วันนั้นที่ระเบียงหลังตึก คุณประยงค์ปรุงกาแฟใส่น้ำตาล ใส่นม แล้วยื่นให้คุณหลวง ยศขณะนั้น ด้วยถ้วยกาแฟสวยงามจากประเทศอังกฤษ
“ขอบคุณครับ”
“คุณหลวง เขาลือกันว่ากระทรวงธรรมการมีเสมียนสาวๆใช่มั้ยคะ”
“ผมไม่เห็นซักคนครับ”
คุณประยงค์ เยื้อนยิ้มพอใจที่หลอกถามได้
“เสด็จในกรมเสนาบดีกระทรวงเรียกผมไป”
“เหรอคะ....ฉันรู้คุณหลวงทำงานดี” คุณประยงค์ยิ้มปลื้ม
“ท่านทรงขอให้ผมย้าย”
คราวนี้คุณประยงค์ตกใจ “ย้าย...”
“ไปเมืองพิษณุโลก มีตำแหน่งจากกระทรวงไปลงที่นั่น” คุณหลวงบอก
“ไม่....ฉันไม่ให้คุณหลวงไป ไม่ให้ไป”
“คุณหลวง...” คุณประยงค์พึมพำเบาๆ ในคอ “ฉันไม่ให้ไป”
เชษฐาชะงักคล้ายได้ยินเสียงแว่วๆ มองไปยังที่นั่งคุณประยงค์แต่ไม่เห็นใคร
คุณประยงค์มองจ้องคุณหลวงอย่างดื่มด่ำ
อนงค์วดีเดินเข้ามา เชษฐา ขยับตัวต้อนรับ
“ขอโทษค่ะ ยังทานไม่เสร็จ ฉันจะคอยที่...”
“อิ่มแล้ว” เชษฐารวบช้อนส้อมทันที ผลักจากออก ผลักถ้วยกาแฟออกไปด้วย “เชิญครับ” เขาผายมือไปที่คุณประยงค์ที่นั่งเก้าอี้ข้างตัว
คุณประยงค์จ้องอนงค์วดีเขม็ง สีหนาดุดัน ใช้พลังไม่ให้อนงค์วดีมานั่ง อนงค์วดีนิ่งอยู่สักครู่ รู้สึกแปลกๆ
“เชิญครับ” เชษฐาทำท่าเหมือนจะลุกไปขยับเก้าอี้ให้
อนงค์วดีนั่งลงตรงกันข้ามกับเชษฐา “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งตรงนี้”
“ทำไม...กลัวว่าจะนั่งใกล้ผมเกินไปหรือครับ” เชษฐาเย้า
อนงค์วดีมองจ้อง สีหน้าอ่อนใจนิดๆ ปนขำๆ คุณประยงค์จ้องอนงค์วดีเขม็ง
ปากคุณประยงค์ พึมพำเสียงเบามากว่า “นังตัวมาร”
สองคนเหมือนได้ยิน สีหน้าฉงนกันทั้งคู่ ต่างคนต่างจ้องมองกัน
“อะไรครับ” เชษฐาถามขึ้น
“เออ....ไม่ ไม่มีอะไรคะ ฉันจะปรึกษาเรื่องงานวันลอยกระทง คุณเชษฐามีเวลามั้ยคะ สักสิบห้านาที”
“มีครับ....มีเสมอสำหรับคุณ” เชษฐาจ้องหน้าคู่สนทนานัยน์ตาพราว
คุณประยงค์หน้าเครียดจัด จ้องมองอนงค์วดีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ผมพูดจริงๆ นะ คุณไม่เชื่อเหรอ”
“ฉันถามแค่มีมั้ยสิบห้านาที” น้ำเสียงอนงค์วดีอ่อนใจปนขำๆ
“อ้าว ผมก็ตอบแล้วไงครับ”
“ไม่ได้ตอบคำถามนี่คะ”
“เอ๊ะ ยังไง สิบห้านาที มันก็รวมอยู่ในคำว่า “มีเสมอ” ไม่ใช่หรือครับ”
อนงค์วดีเปิดแฟ้ม “วันลอยกระทงตรงกับวันที่....”
เชษฐาขัด “เดี๋ยว” เขาวางมือลงบนกระดาษตรงหน้าอนงค์วดี “อย่าเคร่งเครียดนักเลย...ปล่อยใจบ้าง...สบายๆ” เสียงเขาเบาลงนิดขณะพูดคำต่อมา “ยิ้มบ้างได้มั้ย”
อนงค์วดีมองหน้าเชษฐา คิดว่าต้องพูดดีๆ ยิ้มนิดๆ “ค่ะ ขอบคุณ” หล่อนดูแฟ้มอีก “ฉันเขียนโปรแกรม...”
เชษฐาขัดอีก “ไปเดินดูบริเวณรอบๆ กันดีกว่าว่าเราควรปรับปรุงอะไรอีกบ้าง”
อนงค์วดีมองจ้องเชษฐา ของขึ้นเป็นริ้วๆ แล้ว
เชษฐาลุกขึ้นก้มลงจับแขน อนงค์วดีเบี่ยงตัวหนี เชษฐาเลยจับมือ คราวนี้อนงค์สะบัดเต็มแรง
เชษฐาหัวเราะเสียงดัง “คุณอนงค์วดี คิดว่าผมเป็นอะไรเนี่ย”
“คุณกำลังดูถูกฉัน จับมือฉันทำไม”
“โธ่เอ๋ย....คุณโกรธไม่เข้าเรื่อง สมมติคุณกำลังจะล้มผมก็ต้องช่วยคุณ คุณจะข้ามถนนรถเยอะผมก็ต้องจูงคุณ ผมเป็นสุภาพบุรุษนะครับ ผมไม่ได้จับมือคุณเพราะเจตนาไม่ดีอยากถูกเนื้อต้องตัวคุณซักหน่อย
สองคนยืนประจันหน้า จ้องตากัน เถียงกันด้วยสายตา
คุณประยงค์มองจ้อง นึกถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ ในอดีต
ในสวนสวยหลังบ้านสิงหมนตรีวันนั้น สองคนเดินดูดอกไม้อยู่ เป็นจังหวะเวลาที่คุณประยงค์สะดุดจะล้ม เจ้าคุณเข้ามาประคอง สองคนหน้ามองกันใกล้ชิด
คุณหลวงปล่อยแต่คุณประยงค์ยึดไว้ คุณหลวงอึกอัก หันไปมองต้นทาง เห็นอีทิ้งยืนเฝ้าต้นทางไกลๆ มีต้นไม้ใบบัง ไม่ประเจิดประเจ้อ
คุณประยงค์ถามเสียงแผ่วหวาน “คุณหลวงกลัวอะไรฉันหรือ
“ไม่ได้กลัว แต่ผมไม่อยากให้คนเอาไปพูดให้คุณเสียหาย” คุณหลวงมองหน้า “ถึงแม้ว่าผมอยากจะกอดคุณประยงค์อย่างนี้ไปจนผมตาย”
คุณประยงค์วูบวาบหวั่นไหวกับคำหวานไปทั้งกายและใจ “คุณหลวง ขออะไรฉันอย่างหนึ่งได้ไหม”
“ผมให้คุณประยงค์ทุกอย่าง ให้หมดหัวใจ”
“พูดแล้วต้องจำ ฉันรักคุณหลวงมากไม่เคยคิดเรื่องชาติเรื่องตระกูล ฉันยอมแม้ใครจะเอาไปนินทาว่าฉันรักกับ....” คุณประยงค์ชะงัก
คุณหลวงต่อให้ “เด็กในบ้าน”
“ใช่ แต่ฉันไม่พะวงไม่เคยยั้งใจ ไม่เคยมองใครไม่ว่าจะมียศฐาบรรดาศักดิ์แค่ไหนฉันรักคุณหลวงคนเดียว รักตั้งแต่คุณหลวงยังเป็นพ่อปราชญ์”
คุณหลวงฟังอย่างซาบซึ้ง
“ชาตินี้ฉันจะรักคุณหลวงคนเดียว คุณหลวงจะให้สัญญากับฉันเหมือนกันได้มั้ยคะว่าถึงจะไกลตัว ไกลตา แต่คุณหลวงจะไม่แปรผันจากฉัน”
“ได้แน่นอน ผมจะรักคุณคนเดียว รักจนตายเหมือนกัน”
คุณประยงค์ มองคุณหลวง สายตาลึกซึ้งมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
คุณหลวงจับมือสองข้าง จูบที่มือ คุณประยงค์สะท้านไปทั้งตัว
“ขอโทษนะครับ” คุณหลวงประคองใบหน้าสวยด้วยมือทั้งสอง “ขอผม...” น้ำเสียงคุณหลวงแผ่วโน้มหน้าเข้าไปจูบเบาๆ ที่แก้มนวล นิ่งนานอยู่ตรงนั้น
คุณประยงค์หลับตานิ่ง แต่น้ำตาไหลหยาดริน คุณหลวงถอนจูบ แล้วใช้หลังมือปาดน้ำตาให้ทั้งแก้มซ้ายขวา แต่คุณประยงค์ก็ยังมีน้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ คุณหลวงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าซับน้ำตา
“คุณประยงค์ร้องไห้ทำไมครับ ผมทำให้เสียใจหรือ”
“ไม่...ฉันร้องเพราะฉันรัก”
สองคนจ้องกันอย่างซาบซึ้ง
คุณหลวงคุกเข่าจูบมือสองข้าง ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ร่มรื่นที่ล้อมรอบ
“ไม่มีหนทางหรือคุณหลวง ไม่มีหนทางที่คุณหลวงจะไม่ต้องย้ายไปเมืองพิษณุโลกเลยหรือ”
คุณประยงค์นั่งอยู่ที่เดิมจ้องมองเชษฐาและอนงค์วดีที่เดินไปด้วยกัน สีหน้าคุณประยงค์เจ็บแค้นแน่นอก จนหน้ากลายเป็นหน้าคนตาย ซีดขาว น้ำตาไหลออกมาเป็นเลือดสดๆ
แต่หากมีใครมองมา จะพบเพียงว่าโต๊ะตัวนั้นว่างเปล่า ไม่มีใคร
อ่านต่อหน้า 3
ภาพอาถรรพณ์ตอนที่ 6 (ต่อ)
อนงค์วดีอยู่ที่ท่าน้ำ กำลังอธิบายแผนงานให้เชษฐาฟังต่อ
“เราจะทำกระทงสายให้แขกลอย รอบๆ สระนี้จะปักตะเกียงน้ำมันตรงนั้นจะยกเวทีมีดนตรีไทย จะมีโคมลอยบ้างไม่เกินซัก 5 โคม ส่วนอาหาร”
อนงค์วดีหันมาเจอสายตาเชษฐาจ้องหน้าอนงค์วดีอยู่ตลอดเวลา อนงค์วดีไม่เห็นเพราะมัวแต่ชี้ทางโน้นทางนี้
อนงค์วดี หันมา สบตานิ่ง ใจหวั่นไหวเล็กๆ พยายามทำให้เสียงธรรมดาที่สุด
“คุณจะว่ายังไงคะ”
“ตามนั้นเลย”
อนงค์วดีเสหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความเขิน “ไม่ได้หรอกค่ะ คุณต้องออกความเห็นด้วย ฉันไม่ได้เก่งพอ...ที่จะจัดการคนเดียว เออ...” ในที่สุดคิดคิดออก
“คุณอนงค์วดี ผมตกใจนะ” เชษฐาหัวเราะขำ
อนงค์วดียิ้มกว้างเต็มที่ “ขอโทษค่ะ เพิ่งคิดออกว่าไปปรึกษาพี่ชัยชนะดีกว่า คนนั้นเขาเป็นศิลปิน”
เชษฐาฉงน “พี่ชัยชนะ?”
“พี่ชัยชนะเป็นพี่ชายลูกคุณลุงค่ะ เป็นสิงหมนตรีคนหนึ่งค่ะ”
อีกวันหนึ่ง อนงค์วดีแวะมาที่บ้านคุณหญิงสร้อย ชัยชนะรับรู้เจตจำนองของอนงค์วดีแล้ว
“ความจริงก็แนวคิดอย่างที่น้องอนงค์ว่ามา แล้วแต่ใครจะตกแต่งประดับสถานที่สวยงามกว่ากัน”
“นั่นแหละค่ะที่น้องจะปรึกษาพี่ชนะ คนเก่ง”
“ได้เลย พี่ช่วยได้”
คุณหญิงสร้อยเงยหน้ามองละมุนที่กำลังวางจานอาหารเป็นซุปร้อนๆ ไม่ไกลกันนัก
“ซุปไก่ค่ะ”
“ใครมา”
“คุณอนงค์วดี มาปรึกษาเรื่องงานลอยกระทงค่ะ เห็นว่าจะจัดที่คฤหาสน์”
ได้ยินคำว่า “ลอยกระทง” คุณหญิงสร้อยมีนัยน์ตาเลื่อนลอยอยู่แวบหนึ่ง
ภาพคุณหญิงสร้อยลอยกระทงกับลูกสาว คุณสวาสดิ์ ที่ท่าน้ำคฤหาสน์ผุดขึ้นมาทันที
เวลานั้นคุณสวาสดิ์เงยหน้ามายิ้มหวานกับแม่
สามคนพ่อแม่ลูก ลอยกระทงด้วยกัน
คุณหญิงสร้อยเกิดอาการหน้ามืดนิดหน่อย “ลูกสวาสดิ์” พึมพำแล้วตัวซวนเซ เอนไปซบลงกับเก้าอี้
ละมุนไม่ตกใจเท่าไหร่ จัดหมอนรองหลัง จับร่างท่านให้พิงดีๆ “ท่าน....พักก่อนเดี๋ยวค่อยรับนะคะ”
“ใครจัดงานลอยกระทง” คุณหญิงถาม
“นั่นไงคะ คุยกันอยู่ข้างนอก คุณอนงค์กับคุณชนะ” ละมุนบอก บุ้ยใบ้ไปทางสองคน
ชัยชนะสนทนาอยู่กับอนงค์วดี “น้องซ่อมบ้านพี่ยังไม่ได้ไปเห็น”
“ไม่ใช่น้องซ่อม มันไม่ใช่ของน้องนะคะ พี่ชนะ” อนงค์วดีว่า
“เปลี่ยนเยอะมั้ย”
อนงค์วดีลุกขึ้น เอาหนังสือที่ถืออยู่ในมือไปเก็บ บนโต๊ะที่กับคุณหญิงสร้อยนั่งอยู่ข้างกัน “พี่ชัยชนะไปที่ตึกซักวันมั้ยคะ จะได้เห็นสถานที่ เหมาะสำหรับงานลอยกระทงมากเลยค่ะ”
คุณหญิงสร้อยได้ยินถนัดหู หัวใจวาบหวิวในทันที ร่างเอนซบไปกับเก้าอี้อีก
อนงค์วดีเห็นอาการเหมือนกัน รู้สึก “คุณย่า....คุณย่าขา”
ชัยชนะก้าวเข้ามา “คุณย่าครับ น้องอนงค์ ยาดมโน่น” รับมาให้คุณย่าดม
อนงค์วดีเข้าไปบีบนวด
ละมุนเข้ามา “คุณอนงค์ละมุนทำเองค่ะ”
อนงค์วดีถอยออกมา
“ท่าน...ท่านคะ”
“วัน...ลอย...กระทง คุณประยงค์มาเอาลูกสวาสดิ์ไปคืนวันลอยกระทง” คุณหญิงเสียงสั่นสะท้าน พร้อมน้ำตาเต็มนัยน์ตา มองอนงค์วดี มองชัยชนะ ร่างแบบบางสั่นระริกไปทั้งตัว
ชัยชนะ เข้ากอดคุณย่า ปลอบโยน คุณหญิงสร้อยสะอื้นเสียงน่าสงสารมาก
“เธอทำบาปทำกรรมไว้มาก จะได้ไปผุดไปเกิดเมื่อไหร่กัน”
คุณประยงค์ ยืนอยู่ในรูปในท่าเดิม น้ำตาเต็มหน้า เสียงสะอื้นแผ่วๆ สะท้านในอก แล้วร่างคุณประยงค์ก็ค่อยๆ ทรุดลงนิ่ง ก้มหน้าร้องไห้เรียบๆ ยินแต่เสียงสะอื้นดังสะท้าน ย่าน้อยมองดู ใจนึกสงสาร
สักครู่คุณประยงค์ก็เงยหน้าขวับ สายตาวิงวอน
“ท่านเจ้าคุณเจ้าขา...กลับมาหาฉัน”
เช้าวันรุ่งขึ้น นวลเคาะประตูห้องเชษฐา แต่เงียบ จึงเปิดประตูห้องเดินเข้ามา ถือเครื่องมือทำความสะอาด
“เอ๊ะ...อีกแล้วเหรอเนี่ย”
นวลมองไปที่เตียงไม่มีร่องรอยคนนอน
อนงค์วดีจอดรถ ก้าวลงมา เจอนวลวิ่งมาหน้าตั้ง
“คุณอนงค์ขา”
“นวลมีอะไร”
“คุณเชษฐาหายไปอีกแล้วค่ะ”
อนงค์วดีแปลกใจ “หาย...”
“เหมือนคราวที่แล้ว ไม่อยู่ในห้อง” นวลบอก
“ไม่ได้นอน” เสียงอนงค์วดีเป็นคำถาม
“ไม่นอนค่ะ”
อนงค์วดี ยืนนึกตรึกตรอง
ปิ่นสุดาลงจากรถมางงๆ “มีอะไรนวล”
อนงค์วดีเดินเข้าบ้านไปเร็วๆ
อนงค์วดีเปิดประตูห้องเชษฐาเข้ามา มองซ้ายขวา ปิ่นสุดาตาม นวลก็ตาม อนงค์วดีหันหลังกลับ
“หาทุกห้องแล้วหรือนวล”
“หาแล้วค่ะ ไม่มี”
“ทำไมจะต้องเกิดเรื่องอย่างนี้อีกนะ” น้ำเสียงอนงค์วดีหงุดหงิดนิดๆ
อนงค์วดีนิ่งคิดอยู่อึดใจ แล้วรีบออกไปอาการเร็วรี่
“หนู....ไปไหนลูก”
อนงค์วดีออกเดินพรวดๆ ออกมา ปิ่นสุดาตามมาติดๆ ไม่ถามอะไร
อนงค์วดีเดินไปพูดไปคล้ายบ่น “มันจะซ้ำร้อยอีกกี่ครั้งกี่หนถึงจะพอ...พอหรือยัง”
จนเมื่อมาถึงห้องคุณประยงค์ หล่อนเปิดพรวดเข้าไป ไม่มีเชษฐาอยู่ในนั้น อนงค์วดีหันมาหน้าตางุนงง
“ทำไมมาหาห้องนี้ล่ะลูก” ปิ่นสุดาแปลกใจ
“หนูคิดว่า...อาจจะ”
“อาจจะมาอยู่ห้องนี้ เหลวไหล ทำไมล่ะลูก ทำไมจะมาอยู่ห้องนี้”
จังหวะนี้อนงค์วดีห่อตัว เหมือนจะรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา สีหน้าหล่อนหวาดหวั่นนิดๆ
“นี่มันห้องคุณชวดนี่ลูก หนู...” ปิ่นสุดามองหน้าลูกสาวก็ยิ่งแปลกใจ “หนูเป็นอะไร”
อนงค์วดีซวนเซนิดๆ ต้องเกาะข้างฝาไว้เหมือนจะล้ม
“อนงค์วดี หนูเป็นอะไรลูก”
อนงค์วดีทรงตัวขึ้น เรียกความเข้มแข็งกลับคืนมา “นวล ไปบอกทุกคนให้ออกตามหาคุณเชษฐา หาทุกห้อง ทุกแห่งในตึกนี้”
“ห้องที่ปิดอยู่ล่ะคะคุณอนงค์วดี”
“นั่นสิ ทางปีกโน้นที่ไม่ได้ซ่อมละลูก” ปิ่นสุดาว่า
อนงค์วดีคิดอีกอึดใจ “หนูจะไปหาเองค่ะ คุณแม่ไปถ่ายรูปบริเวณบ้านให้หนูเถอะค่ะ”
“ทำไมหนูไม่ชวนพี่ชัยชนะเขามาดูสถานที่เอง ดูจากรูปมันจะเห็นอะไร”
ปิ่นสุดางุนงงสงสัย และแปลกใจท่าทีลูกสาวสุดๆ
เชษฐานอนหลับสบายไม่รู้เรื่องราวอยู่ที่ท่าน้ำ ขณะที่ปิ่นสุดาถ่ายภาพ มุมโน้น มุมนี้ บริเวณข้างตึกด้านนอก เสร็จแล้วถ่ายรูปตัวตึกทั้งหลัง ขณะปิ่นสุดาส่องดูแล้วต้องร้อง “เอ๊ะ” พร้อมๆ กับกดชัตเตอร์ เมื่อเห็นเป็นภาพตัวตึกก่อนซ่อม สภาพเก่า รกร้าง
ปิ่นสุดามีสีหน้าตกใจสุดขีด เงยหน้าขึ้นดู แต่ก็เห็นเป็นตึกสวยงามตามปกติ ปิ่นสุดาก้มลงดูในกล้องอีกครั้ง ภาพในกล้องก็เป็นปกติ
ปิ่นสุดามีสีหน้าฉงน แล้วเกิดความคิดอะไรบางอย่าง สีหน้ากลายเป็นหวาดหวั่น
อุทานออกมาเบาๆ “อนงค์วดี..ยายหนู”
ปิ่นสุดาออกวิ่งเร็วๆ เข้าตึกไป
ปิ่นสุดาวิ่งเข้ามาเร็วรี่ ผ่านรูปคุณประยงค์และย่าน้อย สีหน้าคุณประยงค์ ยิ้มสาแก่ใจ
อนงค์วดีวิ่งมาตามทางอย่างรวดเร็ว เจอกับปิ่นสุดา ส่ายหน้าบอกว่าไม่เห็น อนงค์วดียืนคอตก
จังหวะนี้อนงค์วดีหันหน้ามองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นเชษฐานอนอยู่ที่ท่าน้ำ
อนงค์วดีวิ่งพรวดออกทันที ปิ่นสุดาตามติด
อนงค์วดีวิ่งพรวดเข้ามา เชษฐานอนเอนๆ อยู่
“คุณเชษฐา” หล่อนถลาเข้าไปหา เชษฐายังนอนนิ่งๆ “คุณเชษฐาคะ”
เชษฐานิ่ง ยังไม่ได้สติ
อนงค์วดีสำรวจดูร่างกาย แตะดูว่าบาดเจ็บไหม แล้วชะงักดูสีหน้า เห็นสีหน้าเชษฐายิ้มนิดๆ เหมือนสมใจอะไรบางอย่าง อนงค์วดี เพ่งมอง
เชษฐายังคงยิ้มน้อยๆ ใบหน้าพริ้ม กำลังมีความสุขมาก อนงค์วดี มองสีหน้าใคร่ครวญหนัก
สีหน้าเชษฐายิ้มกว้างขึ้น มือก็ทำท่าเหมือนกำลังปลอบโยนใครคนหนึ่ง
เวลาต่อมาเชษฐานอนอยู่บนเตียง อนงค์วดียืนแกะยาอยู่ข้างเตียง
ปิ่นสุดาพยักหน้ากับนวล “ไปเถอะ เสร็จแล้วใช่มั้ย” นวลรับว่า “ค่ะ”
ปิ่นสุดาเดินออกไปอย่างเงียบๆ สีหน้าปิ่นสุดาพอใจมาก เปิดโอกาสให้อยู่กันสองคนเสียเลย
เชษฐายังคงสะลึมสะลือ ครึ่งหลับครึ่งตื่น อนงค์วดีป้อนยาใส่ปาก ให้ดื่มน้ำ เสร็จแล้วอนงค์วดี จัดตรงนั้นให้เรียบร้อย แล้วเดินออก เชษฐา คว้าข้อมือไว้ทันที
อนงค์วดีร้อง “อุ๊ย”
เชษฐาดึงมืออนงค์วดีไปวางบนอก หลับตานิ่งๆ
อนงค์วดี ตัวชาไปทั้งตัว เชษฐา พึมพำอะไรบางอย่าง อนงค์วดี ก้มลงไปฟังใกล้ๆ
“คุณ...ประยงค์”
อนงค์วดีตัวแข็ง ตกใจมาก เชษฐานิ่งไป ไม่รู้สึกตัวใดๆ
ที่ห้องโถงคืนนั้น แลเห็นพนักงานทำงานตามที่ต่างๆ ในหน้าที่ตัวเอง มีแขกนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ 2 คน และลูกค้าเป็นกลุ่มนั่งที่โต๊ะ ถัดไป ส่วนทั้ง 4 คน เชษฐา อนงค์วดี เกษลดา และปิ่นสุดา นั่งอยู่ที่โต๊ะอีกมุมหนึ่ง
เชษฐานั่งหน้านิ่งๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้น อนงค์วดีมีสีหน้าไม่สบายใจเอาเลย
“มันไม่ใช่เรื่องธรรดมานะหนึ่ง” เกษลดาเปิดการสนทนา
เชษฐาขยับตัวนิดๆ แต่ไม่ตอบอะไร
“คุณจะว่ายังไง อนงค์วดี” เกษลดาหัีนมาทางนี้
“ไม่ทราบค่ะ” อนงค์วดีบอกเสียงเรียบร้อย
“ไม่ทราบ...ไม่ทราบได้ยังไง” เกษลดาคาดคั้น
“ไม่ทราบจริงๆ ค่ะคุณเกษลดา คิดอะไรไม่ออก”
“แต่เรื่องนี้ไม่ธรรมดาใช่มั้ย” เกษลดาพูดเป็นเชิงถาม
“ค่ะ...ไม่ธรรมดา”
“คุณปิ่นสุดาคะ ที่บ้านนี้.....มีผีหรือคะ”
ปิ่นสุดาไม่รับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ “ฉันไม่รู้แน่ แต่บ้านเก่าแก่อย่างนี้...ก็ไม่แน่”
“เกษฟันธงค่ะคุณปิ่นสุดาว่าที่นี่มีผี เกษรู้ด้วยว่าเป็นผีใคร”
“คุณเกษลดา คุณอย่าเอ่ยชื่อใครออกมานะ ในเมื่อคุณไม่รู้แน่ ขอร้องว่าอย่า” ปิ่นสุดาปราม
“ทำไมเกษต้องเก็บไว้ ในเมื่อเกษรู้ว่าเป็นใคร”
“เชื่อคุณแม่เถอะ คุณควรจะหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน” อนงค์วดีบอก
“ทำไมฉันต้องหยุดในเมื่อฉันเองก็โดน เขามาเข้าฝันฉันด่าว่าฉันจนถึงทำร้ายฉันตั้งหลายครั้งแล้ว...ฉันไม่พูดเพราะไม่อยากให้หนึ่งกังวล แต่ตอนนี้ คนๆนั้น....อ้อ...ต้องพูดว่า ผีตัวนั้น มาทำกับคุณเชษฐา เขาเป็นเจ้าของ เขาควรโดนมั้ยล่ะ”
นำคำเกษลดาฟังออกว่าหล่อนซีเรียสมาก ทุกคนมองเชษฐาแต่เชษฐายังนิ่ง สีหน้านิ่งสงบมาก
“ทางแก้มีอยู่ทางเดียว”
ทุกคนมองเกษลดา เป็นตาเดียวกัน
“เผารูปคุณชวดให้ไม่เหลือซาก” หล่อนบอกน้ำเสียงเข้ม
ทุกคนตะลึง
วันต่อมา นอกคฤหาสน์สิงหมนตรี เกิดฟ้าร้องครืนครัน ตามด้วยฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่ เวลาจากกลางวันเปลี่ยนไปเป็นเวลากลางคืนอย่างรวดเร็ว
ส่วนด้านในห้องโถงมืดสนิท ย่าน้อย มองรูปคุณประยงค์ด้วยความสงสาร คุณสวาสดิ์มองมาเช่นเดียวกัน
“หนูสงสาร” คุณสวาสดิ์มองย่าน้อยตาละห้อย
ย่าน้อยพยักหน้า “ใช่ เธอน่าสงสาร”
ทั้งสองมองไปที่กรอบรูปภาพคุณประยงค์อีกครั้ง ทว่าไม่มีรูปอยู่แล้ว
วิญญาณคุณประยงค์นอนพาดขวางอยู่บนเตียงในห้อง แขนทอดยาวลักษณะเหมือนกำลังอ้อนวอนใครอยู่ ใบหน้าซบอยู่กับที่นอน น้ำตาไหลรินเป็นทาง
อ่านต่อหน้า 4
ภาพอาถรรพณ์ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภาพอดีตผุดขึ้นในห้วงความคิดของคุณประยงค์ขึ้นอีกครั้ง
เหตุการณ์ตอนนั้นคุณประยงค์เดินเข้ามา คุณหลวงนั่งคอยอยู่แล้วในสวน รีบลุกขึ้น คุณประยงค์โถมเข้าหาทั้งตัว
คุณหลวงกอดจูบแก้มซ้ายขวา จับมือขึ้นมาจูบ แสดงด้วยกิริยาว่าทั้งรัก และเทิดทูนเหลือล้น
“คุณประยงค์...คุณประยงค์ ผมไม่อยากไปเลย”
“อย่าไปสิคะ คุณหลวง”
“คุณก็รู้ว่าไม่ได้ ผมเป็นข้าราชการ”
“ฉันต้องตายแน่ๆ ถ้าไม่เห็นหน้าคุณหลวง”
“ไปกับผมสิ....นะครับ ไปกับผม”
“ไปได้ยังไง ไม่...ไม่ ไม่พูดเรื่องนี้ คุณหลวงไปแล้วกลับมาเร็วๆ ฉันจะคอยคุณหลวงคนเดียว” คุณประยงค์คล้ายไม่อยากพูดเพราะตัวเอง ไม่อยากไปลำบาก
“ไปกับผม...นะครับ”
“คุณหลวง” คุณประยงค์กอดคอ แนบหน้ากับหน้า “ฉันจะคอย รีบกลับมาหาฉันเร็วๆ นะคะ”
สองคนนัวเนียพันพัว กันอยู่อย่างนั้น ด้วยความอาลัยอาวรณ์
หลังจากนั้นอีทิ้งเดินนำหน้าคุณประยงค์มายังบันไดจะรีบกลับห้อง คุณประยงค์เดินตามช้าๆ มือแตะแก้ม ความซาบซ่านยังไม่จางหาย
“คุณท่านคนใหญ่ เร็วสิเจ้าคะ”
คุณประยงค์ยิ้มแย้มแจ่มใส “เร็วแล้วนี่ไง”
“โธ่เอ๋ย วิ่งเจ้าค่ะ วิ่ง”
“คุณแม่สอนไม่ให้วิ่ง ท่านว่าเหมือนม้ากระทืบโรง”
“โอ้ย ยังมีกะใจล้อเล่น เร็วเจ้าค่ะ” อีทิ้งจะบ้าตาย
“ทำไมต้องเร็ว อีทิ้ง คนนอนหลับกันหมดแล้ว ใครจะเห็นเรา”
อีทิ้งเงยหน้าแล้วต้องตะลึง เมื่อเห็นท่านผู้หญิงแย้ม ยืนหน้าบึ้งอยู่ที่หัวบันได
คุณประยงค์ไม่เห็นเพราะก้มหน้าก้มตาเดิน
“คุณท่านคนใหญ่” อีทิ้งครางเบาๆ
คุณประยงค์ผิดสังเกต เงยหน้าขึ้นแล้วตกตะลึง “คุณแม่”
คุณประยงค์ยังนอนซบหน้า ขวางกลางเตียงอยู่
“คุณแม่เจ้าขา...ลูกขอโทษ”
เหตุการณ์ต่อมา ท่านผู้หญิงแย้มด่าทอต่อว่าคุณประยงค์อยู่ที่ระเบียงชั้นบนตึก อีทิ้งนั่งตัวสั่นห่างออกไป
“งามหน้าเหลือเกินลูกสาวฉัน แอบลงไปพบผู้ชายกลางดึกกลางดื่น ไม่ไว้หน้าพ่อหน้าแม่เลย”
คุณประยงค์พนมมือ “คุณแม่เจ้าขา”
“ฉันไม่เคยพูดอะไร ไม่เคยว่าอะไรเพราะคุณพ่อให้ท้ายเธอตลอดมา จนเธอไม่เคยเห็นหัวฉัน ไม่คิดว่าฉันเป็นแม่ นี่ถ้าคุณพ่อเธอรู้ เธอก็ไม่ผิดตามเคย”
“แต่คุณแม่อย่าเรียนคุณพ่อนะเจ้าคะ”
“บอกแล้วไงว่าคุณพ่อเคยไม่เห็นเธอผิด คนที่รักเป็นห่วงไม่อยากให้เธอทำความเสื่อมเสียแบบนี้ อย่างคนนี้” ท่านผู้หญิงชี้ตัวเองอย่างอัดอั้น “เนี่ย...ผิด ผิดที่ไปห้ามคุณท่านคนใหญ่ของสิงหมนตรี ไม่ให้แอบไปหาผู้ชาย”
ท่านผู้หญิงหันหลังกลับ คุณประยงค์ ถลาเข้ากอดเท้าท่านผู้หญิง ดึงไว้
“อย่า แม่ประยงค์ อย่าทำเสแสร้งแบบที่เธอใช้อ้อนคุณพ่อ มันไม่ได้ผลกับแม่”
ท่านผู้หญิงเดินออก ผ่านอีทิ้ง จึงพูดคาดโทษหมายหัว “อีทิ้ง มึงระวังตัวให้ดีแล้วกัน”
คุณประยงค์ยังนอนอยู่ในท่าเดิม แต่สีหน้าเข้มจัด เครียดมากขึ้น น้ำตาแห้งเหือดแล้ว
“คุณแม่ไม่ชอบคุณหลวง ฉันยังกล้าขัดใจคุณแม่ไปรักกับคุณหลวง”
เหตุการณ์ในอดีตตอนที่คุณประยงค์ยืนกรานกับท่านเจ้าพระยากับท่านผู้หญิงว่าไม่ไปพิษณุโลกผุดขึ้นมา
คุณประยงค์นอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม พริบตานั้นภาพห้องค่อยๆ เปลี่ยนเป็นห้องนี้ในอดีต
เวลานั้นอีทิ้งเปิดประตูส่งคุณหลวงเข้ามา คุณประยงค์คอยอยู่โผเข้าหา
“ทำไมนัดให้ผมมาบนนี้ล่ะครับ ผมเกรงว่า...”
คุณประยงค์แตะปาก “เจ้าคุณพ่อ คุณแม่ไปงานราตรีสโมสรที่วังพญาไท...บนนี้ไม่มีใคร”
อีทิ้งเฝ้าต้นทางอยู่หน้าห้อง
คุณหลวง ลูบไล้ปากคอคิ้วคาง สายตาเปี่ยมรัก
อีทิ้งมองไปยังทางเดิน ท่าทีกระวนกระวาย
คุณหลวง สวมกอดคุณประยงค์
“คอยผมนะครับ ผมจะตั้งใจทำงานเพื่อให้ได้ย้ายกลับมาหาคุณประยงค์เร็วๆ”
“ฉันต้องคิดถึงคุณหลวงเป็นที่สุด”
“ทำไมไม่ไปกับผม ไปกับผมนะครับ”
“ฉันอยากไป แต่ฉันกลัวลำบากเพราะฉันไม่เคย เป็นแม่บ้านมันช่างแสนยากเย็นต้องคุมคนบ่าวไพร่ งานการอะไรฉันก็ทำไม่เป็น จะเป็นห่วงกับคุณหลวงเปล่าๆ”
คุณหลวงสีหน้าสลดลง “ถ้าผมจะยืนยันให้คุณไป ผมก็เกรงว่าจะเอาคุณไปลำบากอย่างที่ว่า”
คุณประยงค์โผเข้ากอด ด้วยความรัก
“คอยผม...ผมจะกลับมาหาเร็วที่สุด”
เสียงสะอื้นของคุณประยงค์ ดังซ้อนกับเสียงสั่งเสียสุดท้ายของคุณประยงค์
“อย่าไปมีใครที่โน่นนะคุณหลวง”
“ผมสัญญา”
สองคนได้แต่กอดกันด้วยความรักใคร่ และอาลัยอาวรรณ์สุดหัวใจ
เสียงร้องไห้ของคุณประยงค์ดังก้องกังวาน ร่างกายสั่นสะท้าน เป็นระลอกๆ เพราะแรงสะอื้น
ฉับพลัน คุณประยงค์ลุกพรวดยืนจังก้า นัยน์ตาแดงก่ำ
“สัญญาพล่อยๆ...คนเลว คุณหลวงทรยศฉัน ในที่สุดฉันก็โดนทรยศ”
คุณประยงค์กรี๊ดเสียงดัง
เหตุการณ์ในวันที่คุณหลวงกลับมาจากพิษณุโลก และบอกท่านเจ้าพระยาว่าแม่อรเป็นเมียผุดแทรกเข้ามา
หลังจากนั้น ท่านเจ้าพระยา ท่านคุณหญิง คุณประยงค์ อีทิ้งและอีอุ่นลูกน้อง ยืนมอง ขณะ ท่านเจ้าคุณ พาแม่อร เกด และ ยง บ่าวที่ตามมารับใช้ ทั้งหมดเดินออกไปยังบริเวณหน้าตึก เพื่อไปบ้านที่จัดให้อยู่
ทุกคนมองไปเห็นบ้านหลังนั้น อยู่รำไรๆ ไกลออกไปหน่อย
ท่านเจ้าพระยา “ไปอยู่เรือนหลังนั้นก็ดีแล้ว มันว่างอยู่ จนกว่าพ่อปราชญ์จะปลูกเรือนใหม่เสร็จ ตำแหน่งว่าที่เจ้าคุณเสนาบดีกระทรวงธรรมการ บ้านช่องห้องหอต้องสมเกียรติหน่อย” พลางหันกลับมา “แม่แย้ม ฉันรู้สึกเป็นสุขเสียจริง เห็นมาตั้งแต่ลอยคอจนกระทั่งส่งขึ้นฝั่งเรียบร้อย มีหน้าที่การงานดี ตอนไปจากเราเป็นแค่คุณหลวง ไม่ทันไรกลับมารอกินตำแหน่งพระยา มีเหย้ามีเรือนเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่ห่างกันไกลก็ไปได้เป็นคู่ครองกัน แปลว่าเขาทำบุญกันมา” ผู้เป็นบิดาเจตนาจะพูดให้คุณประยงค์ได้ยินเพื่อให้ตัดใจเสีย
คุณประยงค์เหมือนสำลักเสียงสะอื้นอยู่ในคอ ท่านผู้หญิง เหลียวไปดู เห็นคุณประยงค์กุมหน้าอก ร่างกายโยกโยนเหมือนจะล้มฟาดลง
“แม่ประยงค์”
คุณประยงค์วิ่งพรวดกลับเข้าตึกไป ร้องไห้เสียงดัง อีทิ้ง และอีอุ่นลูกน้องวิ่งตาม
“แม่ประยงค์” ท่านผู้หญิงวิ่งตามไป “แม่ประยงค์ ลูกต้องตัดใจ แผ่นดินนี้ไม่ได้มีผู้ชายคนเดียว”
คุณประยงค์หัวใจสลายน้ำตาอาบหน้า วิ่งพรวดเข้ามาในห้องโถง แล้ววิ่งขึ้นบันไดไป
ท่านเจ้าพระยาและท่านผู้หญิง ตามมาเร็วรี่
คุณประยงค์จะล้มลง แต่ยังฝืนปีนขึ้นบันได สภาพน่าสงสารเหมือนคนคลานขึ้นไปยังไงยังงั้น
“แม่ประยงค์” ท่านผู้หญิงเรียกเสียงดัง
คุณประยงค์สะดุด ล้มฟุบลงทันที
อีทิ้งรีบวิ่งขึ้นไปประคอง
ท่านผู้หญิงเสียงแข็ง “อีทิ้ง มึงไม่ต้องประคับประคองอะไรกันอีก ลงมา”
“ไม่เจ้าค่ะ คุณท่านเสียใจนะเจ้าคะ เสียใจมาก ท่านไม่เวทนาบ้างหรือเจ้าคะ” อีทิ้งพูดทั้งน้ำตาคลอ
“อีทิ้ง มึงกล้าต่อคำกะกูรึ กำเริบใหญ่นะมึง” ท่านผู้หญิงแย้มตวาด
อีทิ้งสะอึกสะอื้นกอดขาคุณประยงค์ปลอบโยน
ท่านผู้หญิงเสียงดัง “กูบอกให้ลงมา”
“คุณท่านเจ้าขา” อีทิ้งกระซิบบอกคุณประยงค์ “อย่าร้องไห้นะเจ้าคะ...เดี๋ยวท่านยิ่งโกรธ”
“อีทิ้ง” ท่านผู้หญิงเสียงเบาลง “ลงมาเถอะ เอ็งพาคุณท่านคนใหญ่ลงมาด้วย”
อีทิ้งประคับประคองคุณประยงค์ลงมา ท่านผู้หญิงรับมือคุณประยงค์แล้วพามานั่ง
ท่านเจ้าพระยา มองลูกสาว เจ็บในใจนั้นยิ่งกว่า แต่ต้องเก็บซ่อนไว้ สีหน้าของท่านอัดอั้นมาก
คุณประยงค์ลงนั่ง ท่านผู้หญิงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บเอวส่งให้ คุณประยงค์ไหว้ แล้วรับมาเช็ดน้ำตา
ท่านผู้หญิง โบกมือให้บ่าวออกไป
“ให้บ่าวอยู่นะเจ้าคะ”
ท่านผู้หญิงส่ายหน้าให้ไป อีทิ้งยอมไป “ท่าน...”
ท่านเจ้าพระยายกมือห้าม เดินเข้าไปหาลูกสาว วางมือบนหัวนิ่งๆ
คุณประยงค์ ก้มหน้า เช็ดน้ำตา พยายามจะหยุดร้อง แต่หยุดไม่ได้ สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ท่านเจ้าพระยาจับมือบีบเบาๆ
“คุณพ่อเจ้าขา”
คุณประยงค์ลุกขึ้น แล้วผวาเข้าสู่อ้อมอกบิดาอย่างรวดเร็ว
ท่านเจ้าพระยากอดลูกหลวมๆ แค่นิดเดียวแล้วผละออก ด้วยยุคสมัยนั้นผู้ชายจะไม่ค่อยกอดลูกสาว จะแค่ตบหัวหรือโอบเบาๆ คุณประยงค์ มองหน้าบิดา
ท่านเจ้าพระยาพูดเสียงเบา แต่มีความกังวานปลุกปลอบ และหนักแน่น “เขาไม่ใช่คู่ครองของเรา เคยรักกันใช่แต่เขามีคู่ของเขาแล้ว ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสกันตัดใจเสียเถิดแม่ประยงค์”
คุณประยงค์ยิ่งสะอื้นหนักมากขึ้นอีก
“ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในแผ่นดินนี้ ผู้ชายดีๆ มีอีกมากนะลูก”
คุณประยงค์มองหน้าบิดานิ่งๆ สายตามั่นคง “ลูกไม่ต้องการคนอื่น ลูกรักเขาคนเดียว”
“พูดอะไรอย่างนั้นนะแม่ประยงค์ รู้จักการควรไม่ควรบ้าง เขามีเมียแล้วจะแย่งเขารึ” ท่านผู้หญิงหงุดหงิดลุกเดินออกไปทันที
คุณประยงค์สีหน้าอึดอัดมาก ในใจนึกว่าจะแย่งให้ได้
ท่านเจ้าพระยาแตะตัวลูกเบาๆ “แม่ประยงค์ ฟังพ่อนะลูก”
คุณประยงค์หันมาทางบิดา “ลูกไม่ฟัง ไม่มีใครห้ามลูกได้”
วิญญาณคุณประยงค์ลุกนั่งชันเข่าสองข้าง ซุกหน้ากับฝ่ามือที่ซบอยู่กับเข่า ภาพระหว่างคุณหลวงกับตัวเอง ยามรัก ยามพิศวาส ผุดขึ้นมาราวสายน้ำไหล
“ฉันต้องการท่านคนเดียว ท่านเจ้าคุณ ไม่ว่าท่านจะเป็นอะไรอยู่ที่ไหน ท่านต้องเป็นของฉันคนเดียว”
คุณประยงค์มองจ้องไปเบื้องหน้า ใช้จิตแรงกล้าส่งไปถึงเชษฐา
ด้านเกษลดาย้ำกับทุกคนอีกครั้ง
“ทุกคนเห็นด้วยใช่มั้ยคะ ว่าเผารูปคุณชวดให้หมดสิ้นไป สโมสรจะได้ไม่เสี่ยงต่อการต้องปิดเพราะไม่มีคนมาเที่ยว...กลัวผี”
ผีคุณประยงค์ จดสายตาจ้องไปที่เชษฐาอยู่อย่างเดิม
เชษฐานั่งนิ่ง หน้านิ่ง
ปิ่นสุดาแย้งอีก “ฉันบอกแล้วไงว่าให้เลิกพูดถึงคุณชวด”
“เพราะคุณชวดเป็นคนสำคัญไม่ให้พูดได้ไงคะ” เกษลดาย้อน
“เพราะท่านสำคัญน่ะสิคุณถึงพูดไม่ได้”
คุณประยงค์ นัยน์ตาแววกล้าขึ้น เชษฐา สายตารับรู้กระแสจิตคุณประยงค์
“แต่ฉันจะพูด”
อนงค์วดีปราม “เจอท่านขนาดนั้นคุณไม่กลัวเหรอคะ”
“ไม่กลัว เขาเป็นผีทำอะไรคนไม่ได้หรอก ก็แค่มาในความฝัน”
คุณประยงค์ ยิ้มเหี้ยม
“อีเกด อีไพร่ มึงวอนนะ”
“ตอนมีชีวิตดุได้ดุไป โชดดีที่เกษไม่เกิดเป็นบ่าวไพร่ในบ้านเขา ไม่งั้นเกษโดนหนักแน่เพราะคงเถียงเขาน่าดู ไอ้เราเป็นคนเห็นอะไรผิดไม่ได้เสียด้วย”
“ท่านทำผิดเหรอคะคุณเกษลดา” น้ำเสียงอนงค์วดีเริ่มเข้มแล้ว
“เดานะ คุณอนงค์วดี” เกษลดาฉุนเรียกชื่อเต็มยศเหมือนกัน “เดาว่าคงต้องใช่ล่ะค่ะ ไม่งั้นจะอยู่เป็นผีเฝ้าตึกไม่ไปผุดไปเกิดเหรอคะ?”
คุณประยงค์ นัยน์ตาลุกวาว เหมือนตางูร้ายที่กำลังโกรธสุดขีด
เกษลดายังคงปากดีต่อ
“เกดอยากเจอจังๆ หน้าซักที อย่ามาเข้าฝันแค่นั้นเลยค่ะคุณชวด”
อนงค์วดีลุกขึ้นยืน “ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูถูกพรรรพบุรุษของฉัน ขอความกรุณาอย่าพูดอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร ถ้าอยากพูดกรุณาคุณไปพูดที่อื่น”
เกษลดาไม่ยี่หระเลย ลุกขึ้นอย่างกวนประสาท “ฉันจะพูดที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เพราะที่นี่เป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด พูดให้คุณชวดคุณได้ยินนี้แหละ คำพูดแค่นี้ไม่สมควรให้เขาได้ยินรึไง สถานที่นี้เจ้าของใหม่เขาซื้อมาแล้ว ไม่รู้จักมักจี่กับเขายังมาหลอกมาหลอนเขามันถูกเหรอ”
ปิ่นสุดาลุกยืน “พอเถอะ คุณเกษลดา”
“ไม่พอค่ะ จะพูดจนกว่าเขาจะไป หนึ่ง” เกษลดาเข้ามาฉุดแขนเชษฐาให้ลุกขึ้น “หนึ่งจะไปออฟฟิศไม่ใช่เหรอคะวันนี้เกษไปด้วย”
เชษฐาลุกขึ้น แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“หนึ่ง...ไปไหน”
คุณประยงค์ยิ้มสมใจ พึมพำ
“ฉันอยู่นี่ค่ะเจ้าคุณ”
เชษฐาเริ่งจังหวะเดินเร็วขึ้นครึ่งจังหวะก้าว
“หนึ่ง” เกษลดาตามไป
ร่างเชษฐาหายไปแล้ว อย่างรวดเร็ว กระพริบตาดูไม่ทัน
“หนึ่ง...” เกษลดาประหลาดใจ หันขวับมาทางอนงค์วดี “หนึ่งเป็นอะไรคุณอนงค์วดี”
“ฉันก็อยู่กับคุณตรงนี้จะให้ฉันรู้เหรอ ถ้าฉันรู้คุณก็ต้องรู้สิ”
“คุณต้องรู้ คุณเป็น....คุณเคยเป็น...คุณเคยเป็นเจ้าของ”
“แต่ฉันไม่รู้ ก็เห็นเขานั่งอยู่ดีๆ ลุกไปเร็วอย่างนี้ก็แปลว่าเขาไม่อยากฟังเรื่องที่เราพูดกัน หรืออาจจะไม่อยากฟังเรื่องที่คุณพูดก็ได้”
“ไม่อยากฟังคุณนั่นแหละ”
เกษลดาออกวิ่งตาม ขึ้นบันไดไปทันที
บนระเบียงหน้าห้องชั้นบน เกษลดาวิ่งขึ้นบันไดมา เห็นเชษฐาเดินไปตามทาง เกษลดาตามติด
เชษฐาเลี้ยวลับตัวไป เกษลดาเร่งฝีเท้า ตามอย่างเร็วรี่
เชษฐามาถึงหน้าห้องคุณประยงค์ กำลังเปิดประตู เกษลดาเห็นเชษฐา กำลังเข้าห้องไปพอดี
“หนึ่ง” เกษลดาเร่งสาวเท้ามาไวๆ
มาถึงประตู แต่ถูกประตูปิดใส่หน้าดังปัง เกษลดายืนงงแล้วจับลูกบิด เปิดเข้าไปทันที ตัวเองพรวดเข้าไปโดยแรง ยืนอยู่กลางห้อง
พบว่าทั้งห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลย
“หนึ่ง”
เงียบกริบ ขนาดเข็มตกเล่มหนึ่งก็ได้ยิน
“หนึ่ง”
เกษลดาเหลียวมองไปรอบห้อง ไม่มีใครเลย
เกษลดาเดินเข้าไปเปิดประตูตู้ ไม่มี เดินออกมา ประตูปิดเองดังปัง
“เฮี้ยนนักใช่มั้ย.....ได้...”
เกษลดาดูทางโน้น ทางนี้ ก็เหวี่ยงฉากเหวี่ยงของล้มกระจาย ก้มลงดูใต้เตียง ปัดของบางอย่างกระเด็นไป
ให้มีเสียงดังๆ
“คุณชวด...คุณประยงค์ คุณทำอะไรกับหนึ่ง...ปล่อยหนึ่งออกมานะถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะเผารูปคุณให้หมดไม่ให้เหลือเลย”
ลมพัดเข้ามาขบวนใหญ่ ร่างเกษลดาเซไปจนชนตู้ของบนหลังตู้หล่นลงมาเฉียดหัวไปเส้นยาแดง
เกษลดายืนจ้องของชิ้นนั้นนิ่งอยู่แล้วจะเข้าไปหยิบ ของนั้นวูบห่างออกไป เกษลดาตามไป ของลอยเลียดพื้นห่างออกไปอีก
เกษลดาของขึ้น คว้าอะไรตรงนั้น ปาไปเต็มแรงรวดเร็วจนคุณประยงค์ตั้งหลักไม่ทัน ของนั้นกระทบกันดั้งเปรี้ยง
“ฉันไม่กลัว นังปีศาจ ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
อนงค์วดีเปิดประตูพรวดเข้ามา
เกษลดาถามทันที “คุณอนงค์วดี คุณเห็นมั้ยว่าหนึ่งเข้ามาในห้องนี้”
อนงค์วดีถอนใจยาว “ค่ะ”
“เขาไม่อยู่...คุณชวดของคุณเอาเขาไป”
“เดี๋ยวค่ะ คุณเกษลดา”
“ไม่ต้องพูด คุณไปเอาเขากลับคืนมาเดี๋ยวนี้ คุณชวดคุณอาละวาดกันฉันไม่เป็นไร แต่ให้เขาเอาหนึ่งกลับมา”
“เพราะว่า...เดี๋ยวก่อน”
“ไม่มีเดี๋ยว คุณรู้ใช่มั้ยว่าคุณชวดคุณน่ะเป็นผี ผีที่นิสัยเลวเที่ยวหลอกหลอนคน”
“กรุณาใจเย็นก่อนนะคะ หาทั่วแล้วหรือคะ”
“ฉันหาไม่ทั่วฉันจะพูดกับคุณอย่างนี้เหรอ”
“เชื่อว่าคุณพูดได้ถึงจะหาไม่ทั่วก็เถอะ” อนงค์วดีชักโมโหขึ้นมามั่งแล้ว
“คุณหมายความว่ายังไง”
“หมายความว่าเป็นไปได้ที่คุณจะหายังไม่ทั่ว”
“ห้องมีอยู่แค่นี้ฉันจะหาไม่ทั่วได้ยังไง”
อนงค์วดีหันหลังให้เกษลดาอย่างแรง หงุดหงิดกับผู้หญิงคนนี้ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเกษลดาพูดถูก คุณประยงค์คงแสดงอภินิหารจริงๆ
พออนงค์วดีหันมาอีกทางหนึ่ง ก็เห็นเชษฐาทันที โดยเชษฐานั่งคุดคู้อยู่ซอกมุมหนึ่ง คอตกจนแทบจรดอก
“คุณเชษฐา” อนงค์วดีตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“หนึ่ง”
เกษลดาเหลียวมองตาม หล่อนตกใจมาก ด้วยมั่นใจว่าดูทุกซอกแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 7