สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 12
ภายในห้องไอซียูในยามนี้ เตียงที่เผ่าลาภเคยนอนอยู่นั้นว่างเปล่า แพรวาวิ่งเข้ามาเกาะกระจกดู
หน้าหล่อนซีดทันที แพรวาวิ่งไปยังพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
“คุณป๋าฉันไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับคุณป๋าคะ”
“เราย้ายคนไข้ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ”
“ย้าย ย้ายไปไหนคะ…” ใบหน้าแพรวายังซีดอยู่
“ไปอยู่ ห้องพิเศษชั้น 9 ค่ะ…คุณหมอเห็นว่าคนไข้เริ่มขยับตัวขึ้นได้บ้าง ผลจากการเอ็กซเรย์ก็ดีขึ้น ไม่มีอาการทรุดลงไปอีก ก็เลยไม่จำเป็นต้องอยู่ไอซียูญาติๆจะได้ เยี่ยมเยียนดูแล ได้สะดวกขึ้นด้วยไงคะ”
คราวนี้มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแพรวาอย่างเห็นได้ชัด
“ชั้น 9 ห้องอะไรคะ”
พยาบาลรีบบอก “1919 ค่ะ”
ประตูห้อง 1919 ถูกผลักเปิดออกโดยแพรวา ซึ่งผ่านประตูเข้าไปในห้อง มองไปยังเตียงคนไข้อย่างดี อยู่กลางห้องอันหรูหรา หมอคนเดิม หันหลังก้มลงตรวจวัดอะไรบางอย่าง ที่เตียงคนไข้ ร่างของหมอและพยาบาล บังรายละเอียดของคนไข้จนหมด
รำไพและกันทิมา ยืนเกาะขอบเตียงอีกฝั่งหนึ่ง ทั้งคู่เงยหน้ามองมา
“น้องแพร”
“น้องแพรมาแล้วค่ะ”
แพรวารีบเดินเข้าไปใกล้เตียงคนไข้
คุณหมอเสร็จจากภารกิจ หันมายิ้มให้แพรวา
“คนสวยมาแล้ว”
เผ่าลาภที่นอนอยู่บนเตียง…นอนลืมตาอยู่
“คุณป๋า เป็นไงบ้างคะ” แพรวาดีใจมาก
“พูดใกล้ๆคุณป๋าสิลูก”
แพรวาก้มลงไปใกล้หูเผ่าลาภ
“คุณป๋าได้ยินน้องแพรใช่มั้ยคะ”
รำไพบอก “กะพริบตาให้ลูกดูหน่อยสิคะ ลูกจะได้รู้ว่าคุณได้ยิน”
เผ่าลาภกะพริบตาสองครั้งติดกัน
แพรวาดีใจ ตื้นตัน เธอก้มลงโอบกอดเผ่าลาภ
“คุณป๋า กำลังจะหายแล้ว…คุณป๋าต้องหายแน่ๆ ใช่มั้ยคะหมอ”
“แหม จะให้พูดว่าหายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ เห็นจะลำบาก แต่เรายืนยันได้ จากผลเอ็กซเรย์ ว่า
อาการดีขึ้นมาก การบวมของสมองลดลง ก้อนเลือดก็เล็กลงแล้ว อาการแทรกซ้อนใดๆไม่ปรากฏ”
แพรวาก้มลงไปพูดกับเผ่าลาภอีกครั้ง
“เห็นมั้ยคะ คุณป๋ากำลังจะหายดีแล้วค่ะ”
“แต่หมอบอกว่า ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะลูก”
“ต้องใช้เวลาครับ ค่อยๆ ดูกันไป อดทนหน่อยก็แล้วกันนะครับ เท่าที่เป็นอยู่นี่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากแล้ว”
รำไพ กันทิมา และแพรวา ต่างยอมรับในสภาพดังกล่าว
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” หมอเดินออกไปพร้อมกับพยาบาล
รำไพถามขึ้น “แม่ตามหาตัวหนูทั้งคืน ไปไหนมาเหรอลูก”
“ไประลึกความหลังมา แล้วก็โยนบางสิ่งบางอย่างออกไปจากชีวิตค่ะแม่”
แพรวาก้มลงไปหาเผ่าลาภอีกครั้ง เธอพูดจาชัดถ้อยชัดคำ
“คุณป๋าขา…น้องแพรพร้อมแล้ว ที่จะดูแลธุรกิจทุกอย่างของ M.S. น้องแพรจะรับภาระแทนคุณป๋าเอง…จนกว่าจะมีคนที่เหมาะสมจริงๆ เข้ามาแทน”
“ก็ลูกนั่นแหละ จะมีใคร” รำไพบอก
“ไม่ค่ะ…น้องแพรจะไม่มีวันทำงานหนักเพื่อรอวันล้มอย่างคุณป๋า...ต้องมีคนที่เหมาะกว่า
เก่งกว่า และดีกว่าน้องแพร มารับหน้าที่นี้ซักวันนึง…น้องแพรจะรอคนๆ นั้น”
ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าร้าน ลานจอดรถโรงพยาบาล หรั่งยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในตู้คู่สนทนาคือโบ้ซึ่งอยู่ที่ศาลารวมใจ ชุมชนจานเดี่ยว
“ไอ้โบ้เหรอ...ก้อยเป็นไงบ้าง อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย...เฮ้ย มึงบอกกูมาก่อนซี่ว่าก้อยเป็นไงบ้าง”
โบ้ยืนพิงศาลาพูดโทรศัพท์มือถือของหรั่ง ท่าทางของเขาบอกถึงความไม่พอใจ
“มึงอยากให้เป็นยังไงล่ะ....ก้อยเขาเป็นได้ทุกอย่างเพื่อให้มึงสบายใจ”
“เดี๋ยวนี้มึงชักจะยอกย้อนกับกูมากไปหน่อยแล้วนะ”
“ก็เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนไปนี่หว่า”
“ก้อยอาบน้ำอยู่เหรอ”
“ฮึ่...งั้นมั้ง !...แค่นี้ใช่มั้ยที่มึงอยากรู้”
“มีอะไรอีกมึงก็บอกกูมาเลยสิวะ มึงจะกั๊กไว้ทำเตี่ยอะไรไม่ทราบ”
โบ้ยังพูดโทรศัพท์อยู่ที่จุดเดิม เห็นเป็นก้อยเดินถือกีตาร์และไวโอลินตรงมาทางโบ้ โดยมีเด็กชายเม่นจูงอยู่
“มึงมันไม่เหมือนเดิม ไอ้หรั่ง ก้อยเขารอมึงจนดึกจนดื่น มึงจะไม่มารับเขา มึงก็ไม่โทรศัพท์มาบอก”
หรั่งมองไปยังแพรวาที่เดินตรงมายังตำแหน่งที่รถจอดอยู่
“โทรศัพท์กูแบ็ตหมด”
“แล้วตอนนี้มึงโทร.ได้ไง”
หรั่งเริ่มหงุดหงิด เขาชำเลืองมองแพรวานิดนึง
“กูโทรตู้”
“แล้วทำไมเมื่อวานมึงไม่โทรตู้ มึงบอกมาซิมึงอยู่ที่ไหนทั้งคืน...” โบ้ชักพาล
“มึงไม่ต้องรู้เรื่องของกูทุกเรื่องได้มั้ย”
“ได้...มึงทิ้งก้อย”
หรั่งชักโมโห
“แล้วดีมั้ยล่ะ มึงจะได้ดูแลก้อยต่อไง...ชอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ชอบก็เอาไปเลย กูยกให้”
มองผ่านโบ้ไป เห็นก้อยลงนั่งในรถปิ๊คอัพที่จอดอยู่ไม่ไกลจากโบ้
“ไอ้หรั่ง มึงรู้มั้ยว่าพูดอย่างนี้ ก้อยเขาจะเสียใจ”
“แล้วมึงรู้มั้ยว่าที่มึงพูดกับกูอย่างนี้ กูก็เสียใจเหมือนกัน...บอกก้อยด้วยแล้วกันว่าขอโทษ...งานกูยุ่ง...เท่านี้หละ”
หรั่งวางหูโทรศัพท์
โบ้กดเลิกสายโทรศัพท์แล้วเดินตรงไปที่รถปิ๊คอัพคันนั้น... เขาทักทายก้อยด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“วันนี้ก้อยแต่งตัวเสร็จเร็วจัง”
“หรั่ง โทร.มารึเปล่า”
“ฮื่อ...”
“เขาปลอดภัยดีใช่มั้ย พี่โบ้”
“ฮื่อ...คงงั้น”
“ไปซ้อมดนตรีกันเถอะ พี่โบ้”
ด้านหรั่งเดินมายังรถแพรวายืนรออยู่ข้างๆ
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
หรั่งส่ายหน้า “คุณจะเข้าบ้านก่อนใช่มั้ยครับ”
แพรวาพยักหน้า...ทั้งคู่ลงนั่งในรถคันนั้น
ที่บริษัท MS. ตอนกลางวัน เลขาปากมอมหย่อนตัวลงนั่งก็อ้าปากนินทาเจ้านาย
“หายไปด้วยกันตามลำพัง ทั้งคืนเลยละ”
มีพนักงานมากมายรุมล้อมรอฟังเรื่องบัดสีบัดเถลิง
“เหรอ”
“เออ...คุณรำไพนะ โทร.หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เนี่ย คงปิดมือถือไม่อยากให้ใครรบกวนแน่ๆ เลย”
พนักงาน 1 ซัก “แล้วเขาไปทำอะไรกันน่ะ”
“แหม หญิงสาวกับชายหนุ่ม จะทำอะไรกันได้ซักกี่อย่างเชียว...ลองเดาดูสิ” เลขาพูดกำกวม
พนักงาน 1 “บ้า เจ้านายกับเลขานะ”
พนักงาน 2 สงสัย “แล้วคุณตะวันฉายอีกล่ะ”
“นั่นมันของตาย...อันนี้มันของเล่นชิ้นใหม่...ลองฉันมีเลขาเป็นผู้ชายหน้าตาอย่างนายหรั่ง
ฉันก็คงต้องขอลองบ้าง ครั้งสองครั้งก็ยังดี ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
พนักงาน 3 บอก “ไม่แน่นะ ฝ่ายชายอาจจะหวังสูง หวังกระโดดลงถังข้าวสารเลยก็เป็นได้ มาตัวเปล่าแท้ๆ นะเนี่ย”
“คุณเผ่าลาภน่ะสิ รู้เรื่องเข้า ตกใจ อาการทรุดหนัก หมอปั๊มหัวใจแทบไม่ทัน” เลขาใส่สี
พนักงานร้อง “เหรอ”
เลขาโว “ยังอยู่ในห้องไอซียูอยู่เลย...วันนี้อาจจะต้องผ่าตัดด่วน จะรอดรึเปล่าก็ยังไม่รู้”
พนักงาน 1 ถาม “เธอรู้ได้ไงน่ะ”
เ“โธ่...” เลขาทำท่ามั่นใจ
เสียงกันทิมาดังมาก่อนตัว
“สุมหัวอะไรกันน่ะ”
วงแตกกระจาย เห็นเป็นกันทิมายืนหน้าดุอยู่ใกล้ๆ
“ถ้าไม่รู้อะไรจริงก็ไม่ควรจะพูดไป คนดีๆ เขาจะเสียหายกันไปหมด...แล้วคนดีๆ พวกนั้นก็
ไม่ใช่ใคร เจ้านายของพวกเธอนี่แหละ อย่าลืมนะว่าคำสั่งไล่ออก มันสั่งง่ายมาก...แล้วก็สั่งไล่ได้วันละหลายๆ คนด้วย”
พนักงานขาเม้าท์พากันก้มหน้างุด กันทิมาเดินออกไป
พนักงาน 1 คาใจไม่หาย “ตกลงเธอรู้ได้ไง”
“น้องข้างบ้านฉันมีญาติห่างๆ เป็นเพื่อนของแฟนเด็กฝึกงานที่เอาของไปส่งที่โรงพยาบาลนั้น”
พนักงานโห่ กันทั้งหมู่
ด้านกัมปนาท เดินตรงมาที่โต๊ะฝ่ายบุคคล บริเวณนั้นโล่ง ไร้วี่แววพนักงานใดๆ กัมปนาท ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ ยืนรออย่างอดทน สักพักพนักงานสองสามคนถือถุงของดองเดินจิ้มกินหัวเราะร่าเริงเข้ามา
“อ้อ ทำงานกันอย่างนี้นี่เอง...ถึงไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน”
พนักงานรีบแยกย้ายลงนั่ง เก๊กขรึมทันที
“คุณกัมปนาทต้องการอะไรมั้ยคะ”
“ต้องการสิ ไม่งั้นฉันจะมายืนรออยู่นี่เหรอ”
“เอ้อ...จะเอาอะไร คะ”
“เอกสารรับพนักงานใหม่ แล้วตามฉันมาที่ห้อง”
ฟากธนูเดินพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้บริเวณที่จอดรถตู้
“เจ้านายเขาใจดี ให้ผมลาพักร้อน ได้อาทิตย์นึงครับ...จริงครับ...ก็เลยรีบมาเลย มารถตู้ครับ....แล้วเจอกันนะครับ....อ๋อ นี่เบอร์ใหม่ของผมครับ....สวัสดีครับ คุณซูซาน”
ธนูเม็มชื่อ "ซูซาน" ครูสอนเต้นรำลงในโทรศัพท์เครื่องใหม่ มืออีกข้างของธนูถือโทรศัพท์เครื่องเก่า
เขากำลังปิดมัน
แก้มวิ่งผ่านด้านหลังธนู ก้าวขึ้นไปนั่งในรถตู้คันที่จอดอยู่ตรงนั้น
หรั่งนั่งขับรถโดยสมาธิทั้งหมดของเขา อยู่ที่แพรวาซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง แพรวาเอนตัวไปกับเบาะ สายตาเหม่อมองออกไปไกลนอกหน้าต่าง เสื้อนอกของหรั่งยังคงห่มคลุมตัวเธอไว้ดังเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา
ไม่มีใครเอ่ยถ้อยคำใดออกมา
รถแพรวาแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน แพรวาก้าวลงจากรถ หรั่งเปิดประตูด้านตัวเองลงจากรถมาเช่นกัน
“นายกลับบ้านเถอะ จะได้อาบน้ำอาบท่า พักผ่อนซะบ้าง อยู่กับฉันมาทั้งคืนแล้ว”
“เดี๋ยวผมจะรีบมารับคุณเข้าออฟฟิศนะครับ”
“ไม่ต้องรีบก็ได้...ให้ฉันได้อยู่นิ่งๆซักพักเถอะ”
“ครับ”
หรั่งเดินออก มุ่งตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตน
“หรั่ง”
หรั่งหยุด หันไปหาแพรวา เธอถอดเสื้อสูทของหรั่งที่คลุมไหล่อยู่ ส่งให้
“ขอบใจนะ”
หรั่งเอื้อมมือไปรับเสื้อนั้นไว้
“ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ผมเต็มใจครับ”
“อย่าเพิ่งทิ้งฉันไปอีกคนล่ะ”
“ผมสัญญา”
ทั้งคู่เดินแยกกันออกไปคนละทาง เสียงเพลงดังก้องกังวานในใจไอ้หรั่ง มันเป็นเพลง “ดาวประดับฟ้า” ที่ค่อยๆ ดังเข้ามา
ด้านหลังเป็นแพรวากำลังเดินเข้าบ้าน เธอหันมาพูดก่อนตัวลับไป
“แล้วเจอกันนะ”
“ที่...”
“ที่บ้านฉันน่ะสิ”
แพรวาเดินเข้าบ้าน หรั่งเดินไปหามอเตอร์ไซค์ของตน
เสียงเพลง ดาวประดับฟ้า ดังก้องกังวาน ขณะหรั่งขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากบ้านเผ่าลาภ
หน้าตาเปื้อนยิ้มเล็กน้อย
“เธออยู่สูง แสนไกลจากตรงนี้...ฉันเข้าใจดี เราต่างกัน”
ส่วนแพรวาหย่อนตัวลงนั่งพิงเปียโน เห็นกรอบรูปคู่ แพรวา - ตะวันฉาย เธอเอื้อมมือหยิบรูปนั้นคว่ำหน้าลง
“แต่บังเอิญ เธอมีหัวใจให้ฉัน เรารักกัน ฉันโชคดี”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนน อย่างมีความสุข
“โชคดีที่ฉันมีเธอ ที่พร้อมจะเคียงข้างกัน เดินดินด้วยกัน...แต่อย่าเลย”
แพรวา วางมือบนคีย์เปียโน เธอค่อยๆ กดนิ้วลงไปเป็นเพลง “ดาวประดับฟ้า” เธอพยายามปลดปล่อยความท้อแท้ไปกับเสียงดนตรี
“แค่รออยู่ตรงนั้น จะปีนขึ้นไปหา ไม่ต้องลอยลงมา อยู่บนฟ้านั่นแหละดี”
บนท้องถนน หรั่งค่อยๆ ยกปกเสื้อนอกของตนดึงเข้ามาใกล้ใบหน้า เขาสูดดมกลิ่นกายแพรวาที่ฝังอยู่ในเนื้อผ้านั้น
“เป็นดาวประดับฟ้า รอคนรักจริงคนนี้ ต้องมีซักวัน จะไปให้ถึงที่ตรงนั้น...ไปอยู่เคียงข้างเธอ”
ส่วนห้องซ้อมดนตรี ก้อยสีไวโอลิน ตัวโน้ตเดียวกันกับเสียงร้องของเพลง “ดาวประดับฟ้า”
“ฮือม....ฮือม....”
ที่ปั๊มน้ำมันแห่งนั้น แก้ม นั่งอยู่ในรถตู้ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะธนู นั่งอยู่ในรถตู้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งสองนั่งอยู่ในรถตู้คันเดียวกัน
“สุดขอบฟ้า ไม่รู้อยู่ตรงไหน ไกลซักเพียงใด จะไปหาเธอ”
ก้อยเล่นไวโอลินอย่างมีสมาธิ ร่วมกับวงร็อค ในห้องซ้อม
“แค่เธอนั้น ยังคงรักฉันเสมอ ฉันรักเธอ ฉันโชคดี”
โบ้ ยืนเป่าทรัมเป็ตอยู่มุมหนึ่งข้างๆห้องซ้อม
“โชคดีที่ฉันมีเธอ ที่พร้อมจะเคียงข้างกัน เดินดินด้วยกัน...แต่อย่าเลย”
ที่บ้านเผ่าลาภ แพรวายังคงนั่งเล่นเปียโนอยู่ที่เดิม
“แค่รออยู่ตรงนั้น จะปีนขึ้นไปหา ไม่ต้องลอยลงมา อยู่บนฟ้านั่นแหละดี”
ก้อยสีไวโอลิน
“เป็นดาวประดับฟ้า รอคนรักจริงคนนี้ ต้องมีซักวัน จะไปให้ถึงที่ตรงนั้นไปอยู่เคียงข้างเธอ”
หรั่งกลับมาถึงบ้านกลางทุ่ง เขาเดินเข้าบ้าน และค่อยๆ แปะรูปแพรวาที่มีอยู่ลงบน ผนังเบาติดรอก
แบบเดียวกับที่เคยมีที่บ้านเดิมในชุมชน
“สองมือของฉันจะสร้างฝัน หัวใจของฉันจะทุ่มเท...เฮ....เพื่อเธอคนเดียว”
เวลาเดียวกันที่ไนต์คลับ ริมทะเล ตะวันฉายเป่าแซกโซโฟนเพลงเดียวกันนี้ แองจี้ยิ้มวางท่าเซ็กซี่ คลอเคลียอยู่ข้างๆ มีเสียงกีตาร์ดังแทรกเข้ามาประสานกับเขาด้วย
ในห้องซ้อมดนตรี มือกีตาร์วงร็อค จับมือก้อยโซโล่กีตาร์
หรั่งนั่งลงเขียนบันทึกของเขาด้วยข้อความว่า
"ในที่สุด เธอก็จำเราได้ องค์หญิงตัวน้อยของฉัน"
แพรวาเล่นเปียโนอยู่ในบ้าน
“โชคดีที่ฉันมีเธอ ที่พร้อมจะเคียงข้างกัน เดินดินด้วยกัน...แต่อย่าเลย
ตะวันฉายเป่าแซกโซโฟน ขณะก้อยเล่นกีตาร์ โบ้เป่าทรัมเป็ต และแพรวาเล่นเปียโน เป็นเพลงเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์
“แค่รออยู่ตรงนั้น จะปีนขึ้นไปหา ไม่ต้องลอยลงมา อยู่บนฟ้านั่นแหละดีเป็นดาวประดับฟ้า รอคนรักจริงคนนี้ ต้องมีซักวัน จะไปให้ถึงที่ตรงนั้นไปอยู่เคียงข้างเธอ”
ที่ห้องซ้อมดนตรี โบ้ อ้าปากส่งเสียงร้องรับท่อนต่อมา
“โฮ....ฮือม....ฮือ”
ขณะเดียวกันที่บ้านกลางทุ่ง หรั่งล้มตัวลงนอนกลางห้อง สายตาของเขาเพ่งไปบนเพดาน เห็นเป็นผนังที่ถูกดึงขึ้นไปแขวนด้านบน ซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพและบันทึกเรื่องราวของแพรวาที่เขาบรรจงทำขึ้นมาใหม่
หรั่งนอนแผ่กลางห้อง เสื้อนอกตัวนั้นถูกวางอย่างสวยงามข้างกายเขา
“ให้โลกได้รู้ คนอย่างฉัน คู่ควรจะรักเธอ”
ส่วนที่ห้องทำงานกัมปนาท เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก้าวเข้ามาเบื้องหน้ากัมปนาท ในมือของเธอเต็มไปด้วยเอกสารสำหรับกรอกรายละเอียดมากมาย
“คุณกัมปนาทจะรับพนักงานใหม่ในตำแหน่งอะไรคะ”
“เลขาส่วนตัว”
เจ้าหน้าที่ชักสีหน้า ฉงน
“คุณกัมปนาทมีเลขาส่วนตัวแล้วนี่คะ”
“แล้วมีอีกไม่ได้เหรอไง...คิดว่าเรื่องส่วนตัวของฉันมันน้อยนักเหรอ”
“อ๋อค่ะ...มีกี่คนก็ได้ค่ะ”
“หรือเธอจะลองย้ายมาเป็นเลขาส่วนตัวฉันคนเดียวเลย ดูสิว่าจะรับมือฉันไหวมั้ย”
“รับไม่ไหวแน่ๆค่ะ”
เจ้าหน้าที่จ๋อยลงไปทันที
“ช่วยทำประวัติย้อนหลังด้วยว่า เขาเป็นเลขาของฉันมาสามปีแล้ว”
เจ้าหน้าที่อึกอัก “เอ้อ...”
“ไม่ต้องพูด ทำตามที่ฉันบอก”
“ค่ะ”
“แล้วก็ทำหนังสือรับรองเงินเดือนให้ด้วย...ใส่อัตราเงินเดือน ไว้ที่ห้าหมื่น”
เจ้าหน้าที่ “เอ้อ...” อีก
“แล้วก็เอาเอกสารทั้งหมดยื่นขอวีซ่า อเมริกาให้ด้วยนะ”
เจ้าหน้าที่จะพูดท้วง “คือ...”
“ฉันบอกให้ทำตามนั้น ไม่ต้องพูดอะไร ไม่เข้าใจหรือไง”
“ไม่ได้ค่ะ...คราวนี้ต้องพูดค่ะ...ไม่พูดไม่ได้”
“จะพูดอะไร”
“จะพูดว่า พนักงานที่คุณกัมปนาทจะรับน่ะ เป็นใคร ชื่ออะไรคะ ดิฉันจะได้กรอกรายละเอียดได้ถูก”
กัมปนาทร้อง “อ๋อ...ชื่อ ธนู นามสกุล จิตถนอม”
ที่โรงงานเจียระไน เหมือง M.S. วิทยุเก่าๆ เครื่องหนึ่ง ส่งเสียงการแสดงละครวิทยุออกมา ทั้งโรงนั้น มีเพียงชาติชายและหัวหน้าคนงาน นั่งเจียรไนพลอยกันอยู่ตามลำพัง
“เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เขาและเธอจะได้สมรัก สมรสกันหรือไม่ ยังมีอุปสรรคใดขวางกั้นเขาอยู่มั้ย โปรดติดตามในตอนต่อไปของ ดอกฟ้ากับหมาหน้าย่นที่นี่เวลาเดียวกันนี้ ขอได้รับความขอบคุณจาก คณะช่อระย้า...”
เสียงดนตรีรับหนักหน่วง
คนงานเดินมาปิดวิทยุเครื่องนั้น บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ชาติชายบอก “น่าฟังขึ้นตั้งเยอะ”
“แหม เฮียก้อ” คนงานว่า
“อั๊วไม่ชอบละครวิทยุ”
“มันแทงใจคนอกหัก ใช่มั้ยครับเฮีย”
ชาติชายส่ายหน้า ไม่ต่อความยาวสาวความยืด
“ผมว่าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป เราจะแย่นะครับเฮีย”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรามีกันสองคนเอง มันจะไหวเหรอครับ”
“พลอยแค่นี้ สองวันก็เจียเสร็จ”
“ไอ้เสร็จน่ะเสร็จอยู่หรอก...แต่พอเสร็จแล้วเราจะทำยังไงกันต่อ เหมืองทั้งเหมือง รีสอร์ทสนามกอล์ฟอีกต่างหาก คนสองคนทำได้ยังไง”
“ใจเย็นๆ”
“ใจเย็นก็ทำไม่ได้ครับเฮีย เงินอย่างเดียวเท่านั้น เราต้องสู้กันด้วยเงินครับ มีเงินเราก็จ้างคนงานใหม่ได้ คนงานเยอะสนามกอล์ฟก็เสร็จไว มีเงินจ่ายค่าที่ดินเขา เราก็เข้าไปขุดพลอยได้ ไม่งั้นมีหวัง เฮียได้นั่งฟังละครวิทยุกับผมทั้งวันทั้งคืนแน่...”
เสียงคุ้นหูดังขึ้น
“เปลี่ยนเป็นฟังเพลงได้มั้ยคับ”
ชาติชายหันไปมองที่ต้นเสียง เห็นแก้มยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าโรงเจียรไน
“แก้ม...มาที่นี่ทำไมเนี่ยะ”
“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนไว้ลายนะคับอา”
ชาติชายดึงแก้มออกมานอกโรงเจียระไน เขาพูดเสียงดัง ค่อนข้างหงุดหงิด พร้อมกับกดโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“เห็นเป็นเรื่องเล่นๆ รึไง อยู่ๆ นั่งรถมาเหมืองคนเดียวอย่างนี้”
“ไม่ได้เล่น เอาจริง”
“ถ้ามาแล้ว ไม่เจอ อา ไม่เจอใครเลย จะทำยังไง”
“ก็นั่งรถกลับ”
“เป็นเด็กผู้หญิง นั่งรถข้ามจังหวัดไปๆ มาๆ คนเดียว มันปลอดภัยน่าดูเลยนะ”
“ผมเป็นทอมไงคับ อาบอกเอง เห็นมาแต่ไกลดูยังไงก็ดูออก”
ชาติชายส่ายหน้า เหนื่อยหน่าย กดโทร.ต่อ
“อาโทรหาใครน่ะ”
“หลานฉันน่ะสิ”
“อยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องโทร.หรอก”
แก้มยื่นโทรศัพท์ในมือตัวเองส่งให้ ชาติชาย
ชาติชายรับมาพูด
“ฮัลโหล...”
ตองนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในรถอรทัย ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากย่านสถาบันกวดวิชา และศึกษาต่อต่างประเทศ
“กู๋...อย่าทำเป็นขี้โมโหน่า...ตองฝากแก้มด้วยน่ะ...ตองต้องไปแอลเอ.ม้าส่งไปเรียนซัมเมอร์
“ยายแก้มของเรานี่เป็นอะไรกันแน่ เป็นสิ่งของเหรอ หรือสัตว์เลี้ยง พอเจ้าของไม่อยู่ทีก็ต้องเที่ยวไปฝากคนโน้นคนนี้ที อย่างนั้นเหรอ”
“ก็เขาไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่นี่ กู๋จะให้ทำยังไง”
“คนไม่มีพ่อ ไม่มีแม่คนอื่นเขาทำยังไงล่ะ”
แก้มยืนอยู่ด้านหลังพูดสวนตอบชาติชายทันที
“เขาก็ไปอยู่กับคนที่เขารู้สึกปลอดภัยที่จะอยู่ด้วยน่ะสิ”
“รู้ได้ไงว่าที่นี่ปลอดภัย”
“ถ้าไม่ปลอดภัย แล้ว อาอยู่ทำไม” แก้มเถียง
“นี่มันเหมืองของอา อาทำงานที่นี่”
“ทำเข้าไปไหวเหรอ ใหญ่มหึมาอย่างนี้ มีกันสองคน”
“ก็ดีกว่ามีภาระเพิ่มมาอีกคน”
“แก้มไม่ได้เป็นภาระ...แก้มเป็นซุปเปอร์ฮีโร่มาช่วยอา ยังไม่รู้อีกเหรอ”
ชาติชายยกโทรศัพท์พูดกับตอง
“ยายตอง...บอกให้แฟนเรากลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น กู๋จะเล่าเรื่องของเราทั้งหมดให้ป๊าให้ม้าเราฟังเดี๋ยวนี้หละ”
“งั้นแก้มก็จะไม่บอกอาว่า นายแสงเทพเขามีแผนการยังไงบ้าง”
ชาติชายชะงัก เริ่มหันมาตั้งใจแก้ม
ส่วนในรถอรทัย ตองส่งเสียงวิงวอนขอความเห็นใจ
“อากู๋สงสารแก้มเถอะนะ แก้มเขาไม่มีใคร...แล้วเขาก็เป็นห่วงกู๋จริงๆนะ”
ชาติชายยังคงถือโทรศัพท์นิ่ง ครุ่นคิด
“แม่แก้มสนิทเป็นพิเศษกับนายแสงเทพ...อาก็รู้ไม่ใช่เหรอ”
ตองชะเง้อมองออกไปนอกรถ
“ตองต้องไปแล้ว ม้ามาตามแล้ว...ขอให้ความลับยังเป็นความลับเหมือนเดิมนะกู๋ โอเคมั้ย”
ส่วนชาติชายยังคงยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก
“ตอนนี้แม่ไปเมืองนอก กลับมาเมื่อไหร่ แก้มจะแอบถามแม่ให้...แลกกับการให้แก้มอยู่ที่นี่...แถมช่วยอาทำงานได้อีก คุ้มจะตาย”
แก้มดึงโทรศัพท์มาจากมือชาติชายมาพูดสาย
“เขาโอเค. ว่ะ”
เวลานั้น ที่บ่อนการพนันของตะวันฉายและเพื่อนๆ
เห็นบารมีโกยเงินบนโต๊ะมากองที่หน้าตักตัวเอง เขาหัวเราะร่าเริงมาก
เจ้ามือแซวเอา “หายไปนาน กลับมาเที่ยวนี้รู้สึกจะเฮงนะเฮีย”
“คนมันกำลังรุ่งเว้ย ทำอะไรๆก็มือขึ้นไปหมด”
ปื๊ดแอบดูอยู่ที่หลืบด้านหลัง มันยิ้มร้ายตรงมุมปาก เวทนาในตัวบารมี แล้วจึงพลิกตัวกลับเข้าไปหลังหลืบนั้น
มันมีห้องลับหลังหลืบ ปื๊ดเดินเข้าไปในห้องนั้น จนพบว่าตะวันฉายนั่งดื่มเหล้าอยู่กับแสงเทพ มีสาวๆ ทรงสะบึมคลอเคลีย ไม่ห่าง...ปื๊ดเดินอ้อมไปรินเหล้าที่มุมห้อง
“อาว่าหลานชายมาที่แบบนี้บ่อยๆ ท่าจะไม่ดีนะ” แสงเทพเตือน
“โอ๊ย ผมไม่ได้มาตั้งนานแล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็ นานๆ มาที”
“ต่อไปนี้ไม่มาเลยดีกว่า...อย่าลืมว่า เรากำลังทำงานใหญ่ บ่อนเล็กๆ อย่างนี้ อาจทำให้เราเสียภาพพจน์ได้”
ตะวันฉายรับคำโดยดี “เข้าใจครับ”
“น้องแองจี้รู้เข้า ก็อาจจะไม่พอใจ”
“งั้น ผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน”
ตะวันฉายลุกขึ้นหัวเราะ เดินไปรินเหล้าเพิ่ม
“แต่ถ้าหลานชายรักจะเล่นทางนี้ เราไปกันที่รีสอร์ทกลางป่าของอาดีกว่า สะดวกและปลอดภัย”
“งั้นเอาไว้ไปฉลองสัมปทานของอาก็แล้วกันครับ...คุณพ่อฝากบอกมาว่า ถ้าไม่มีชาวบ้านลุกขึ้นมาคัดค้าน อีกไม่นาน ครม.อนุมัติให้แน่ๆ”
“แจ๋ว...บอกคุณพ่อว่า อาจะสร้างรีสอร์ทกลางป่าอีกสองหลัง อยู่ข้างๆ ของอา แล้วยกให้เป็นของคุณพ่อหลานฟรีๆ เลย ดีมั้ย”
ตะวันฉายยิ้ม “เยี่ยมเลยครับ...แต่ว่า ป่าที่ไหนเหรอครับ ที่คุณอาทำรีสอร์ท”
แสงเทพคุยเขื่อง “ระดับอา ป่าธรรมดาๆ ทำทำไม...มันต้องป่าสงวน แหม วิวดีกว่ากันเยอะเลย”
ตะวันฉายร้อง “ว้าว...เพอร์เฟ็คท์”
แล้วสองวายร้ายในคราบสุภาพบุรุษก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 12 (ต่อ)
ตอนบ่ายวันนั้นที่ ห้องประชุมบริษัท M.S. มีแพรวา หรั่ง กัมปนาท ลินจง กันทิมา และปีเตอร์ ทุกคนนั่งประจันหน้า หารือกันอยู่ในห้องประชุม ปีเตอร์มีสีหน้าไม่ค่อยดีนักขณะเอ่ยขึ้น
“พรรคพวกวงในเขาส่งข่าวมาว่า มีแนวโน้มที่ ครม.จะอนุมัติสัมปทานให้กับบริษัทเทพทอแสงภายในเดือนหน้านี้”
“ประทานบัตร” กัมปนาทท้วง
ปีเตอร์แย้ง “สัมปทานครับ...ไม่ใช่ประทานบัตร...เพราะเขาไม่ได้ขอที่ทำเหมืองพลอย”
กัมปนาทงง “อ้าว แล้วเขาขอสัมปทานอะไร”
“บ่อทองคำ”
กัมปนาทตะลึง “ฮ้า...มีทองคำอยู่ตรงนั้นด้วยเหรอ”
“มีแนวโน้มสูงครับ ทั้งทองคำ ทั้งแร่คว๊อซ...แต่ก็ต้องขุดต้องเจาะต้องสำรวจกันอีกเยอะ”
“เฮียตงรู้มานานแล้ว เขาถึงอยากได้ที่ผืนนี้ไว้...ไม่ใช่เพื่อขุดทองนะ...แต่เพื่อกันไม่ให้เทพทอแสงเข้าไปทำความเสียหายให้กับชาวบ้านมากไปกว่านี้” ลินจงบอก
แพรวาตามไม่ทันรีบถาม “เดี๋ยวนะคะ...ใครคือเทพทอแสง”
กัมปนาทบอก “ของนายแสงเทพ เทวฤทธิ์ คู่แข่งทางการค้าของเรา เก่าแก่ตั้งแต่รุ่นเตี่ยโน่น”
“เป็นไปได้มั้ยครับที่นายแสงเทพจะอยู่เบื้องหลังการยุแหย่ชาวบ้านให้มีปัญหากับพวกเรา” หรั่งออกความเห็น
กัมปนาทตอบทันควัน “เป็นไปได้ ชัวร์”
แพรวากังวล “จะมีผลเสียอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าเราซื้อที่ผืนนี้ไม่ได้”
ปีเตอร์บอก “เราก็จะไม่มีพลอยดิบมาผลิตส่งออกเป็นจิเวลรี่”
“เราซื้อพลอยดิบจากที่อื่นได้มั้ยครับ” หรั่งถาม
“ราคาก็จะแพงกว่าเราขุดจากเหมืองของเราเอง...ต้นทุนของจิเวลรี่ต่อชิ้นก็จะสูงขึ้น ลูกค้าแถบยุโรปอาจจะไม่สู้ราคา นี่ยังไม่นับเรื่องคุณภาพของพลอยนะ” กัมปนาทว่า
“แต่ปัญหาใหญ่ในตอนนี้ก็คือ เราไม่มีพลอยดิบเพียงพอ สำหรับออร์เดอร์จำนวนมากจากกลุ่มลูกค้าที่สหรัฐอเมริกา” ปีเตอร์บอก
กันทิมาเสริม “และเราก็ไม่มีเงินเก็บพอที่จะกว้านซื้อ หรือนำเข้าพลอยจากที่อื่น”
“ขอโทษนะครับ แล้วเงินจากโรงสีล่ะครับ...” หรั่งถาม
“เราเอาไประดมสั่งข้าวสารส่งออกหมดแล้ว ต้องรออีกสี่เดือนเป็นอย่างน้อย กว่าเรือบรรทุกข้าวของเราจะถึงมือลูกค้าครบตามออร์เดอร์”
แพรวาสงสัย “เราขอเลื่อนกำหนดส่งจิเวลรี่ออกไปก่อนได้มั้ยคะ”
“ได้ แต่จะเสียชื่อมากเลยนะครับ และจะไม่มีใครสั่งจิเวลรี่จากเราอีก ได้ไม่คุ้มเสียครับ” ปีเตอร์บอก
“แล้วเราต้องทำยังไงล่ะคะ”
“เอาจิเวลรี่ในสต็อคทั้งหมดของเรา ขอแลกพลอยดิบกับพ่อค้าพลอย...หรือไม่ก็ขายร้านค้าย่อยทั่วไป เช่นแถวถนนข้าวสาร ถ้าเราขายถูกก็จะได้เงินเร็ว”
“เสียอิมเมจ เอ็มเอ็ส จิเวลรี่หมด” กัมปนาทไม่เห็นด้วย
“ต้องเลือกเอา...ระหว่างเสียหน้ากับล้มละลาย”
สิ้นเสียงปีเตอร์ความเงียบปกคลุมห้องชั่วขณะหนึ่ง
แพรวาถามย้ำปีเตอร์ “แน่ใจนะ ว่าวิธีนี้จะได้ผล...ใครซักคนในที่นี้ช่วยรับผิดชอบเรื่องนี้ได้มั้ยคะ”
ทุกคนนิ่ง ไม่มีใครเอ่ยปากพูด
แพรวาหันมามองหน้าหรั่ง หรั่งพยักหน้ามั่นใจ
“ผมว่าถ้าเป็นคุณป๋าของคุณ ท่านก็คงใช้วิธีนี้”
“งั้นดิฉันจะถือว่า ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันนะคะ”
กันทิมาเดินออกมาจากห้องประชุม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น กันทิมากดปุ่มรับสายโทรศัพท์ เสียงบารมีดังมาจากปลายสาย
“ฮัลโหล”
กันทิมาจำเสียงได้ “คะ”
เสียงบารมีลอดออกมา “แปลกใจมั้ยที่ได้ยินเสียงผม”
กันทิมาคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเสียงบารมี
“นิดหน่อยค่ะ”
บารมีอยู่ที่คอนโด
“ผมโทร.มาที่คอนโดหลายครั้ง ไม่มีคนรับ”
“ฉันไม่รู้นี่คะว่าคุณจะโทร.มาตอนไหน...และก็ไม่นึกว่าคุณจะลืมเบอร์มือถือของฉัน”
“ถ้าผมบอกว่าตอนนี้ผมอยู่ที่คอนโด คุณจะรีบกลับมาหาผมมั้ย”
กันทิมาคิดนิดนึงก่อนตอบ
“ฉันกำลังจะกลับพอดี อีกซักสี่สิบนาทีคงถึง”
“น่าเสียดายที่ผมอยู่รอไม่ได้...ผมวางเงินไว้ให้คุณสองแสนนะ อยากได้อะไรก็ซื้อเลย”
กันทิมาสูดหายใจลึกๆ คำพูดของบารมีทำให้เธอรู้สึกไร้ค่ายิ่งนัก
“แล้วผมจะมาหาคุณอีกทันทีที่ผมมีเวลา...อย่าเพิ่งหนีไปนอกใจผมก่อนนะจ๊ะที่รัก...แล้วจะไม่มีถ้อยคำหวานๆ อะไรให้ผมบ้างเลยเหรอ”
“ฉันไม่รู้นี่คะ ว่าคุณอยากจะฟัง”
บารมี หัวเราะ พอใจ
“ช่างเป็นเมียที่รู้ใจผัวจริงๆ...อ้อ ผมเห็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กอ่อนวางเต็มห้องไปหมดเลย...อย่าบอกนะ ว่าคิดจะเปิด nursery...เพราะผมไม่ชอบเด็ก”
กันทิมากดยกเลิกการสนทนา เธอน้อยใจจนพูดไม่ออก น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาทีละน้อย กัมปนาทเดินพูดโทรศัพท์ผ่านมา
“ขอโทษนะที่โทร.มากวนเวลาของเธอกับแม่....แต่เธอต้องรีบกลับมาหาฉันด่วน...ฉันจำเป็น
ต้องพึ่งเธอเกี่ยวกับเรื่องการขายพลอย...เพราะฉันไม่ไว้ใจคนที่นี่...ถ้าว่างโทร.กลับฉันด้วยนะจ๊ะ ธนู”
กัมปนาทกดวางสายโทรศัพท์ พลางถอนใจเบาๆ
ฟากชาติชาย ผ่อง และแก้ม ยืนอยู่กลางบริเวณพื้นที่ฉีดน้ำล้างพลอย
“นี่คือสวิตช์เปิดปิดน้ำ พออาบอกให้เปิด ก็กดปุ่มนี้ พอบอกให้ปิดก็กดปุ่มนี้ เข้าใจมั้ย”
แก้มพยักหน้า ชาติชายส่งวิทยุสื่อสารให้แก้ม
“อาจะสั่งมาทาง ว.”
ชาติชายและไอ้ผ่องเดินไปขึ้นรถ
“แล้วอาจะไปไหน”
“อาจะลงไปดูสายพานข้างล่าง”
“แก้มไปด้วย”
“แล้วใครจะเปิดน้ำ...มันต้องมีคนคุมสวิตช์บนนี้หนึ่งคน”
“ก็ให้น้าคนนี้” แก้มชี้ไปที่ผ่อง
“สบายผมละเฮีย...งั้น เฮียลงไปลากสายพานกับหลานสองคนแล้วกันนะ”
ชาติชายส่ายหน้า ดึงแก้มกลับไปที่สวิตช์เปิดน้ำและพูดด้วยเสียงจริงจัง เด็ดขาด
“ถ้าคิดจะอยู่ช่วยงานอา ก็ต้องทำตามที่อาบอก ไม่งั้นก็กลับกรุงเทพฯไป”
“เปิดปิดน้ำนี่ก็งานสำคัญใช่ไหมคับ”
“เออ”
ชาติชาย เดินไปขึ้นรถ ผ่องหันมาตะโกนพูดกับแก้ม ก่อนรถเคลื่อนออกไป
“ถ้าไม่มีคนเปิดน้ำ...เราก็ฉีดล้างพลอยที่ขุดขึ้นมาไม่ได้...หน้าที่สำคัญที่สุดเลยหละหลาน
เอ๊ย”
แก้มพยายามจะรู้สึกภาคภูมิใจให้มากยิ่งขึ้น หันไปเห็นทางเดินบันไดเหล็กเล็กๆ ทอดยาวอยู่ข้างๆ ปั๊ม มันสามารถเดินลงไปถึงบริเวณสายพานด้านล่างได้ แก้มค่อยๆ วางเท้าเหยียบไปบนบันไดนั้น...ดูเหมือนว่ามันจะผุพัง ไม่น้อย
ส่วนที่ศาลารวมใจ ชุมชนจานเดี่ยว ช่วงเวลาเย็น แสงสาดส่องช่วยให้บรรยากาศสวยงาม ผู้ใหญ่เงาะชูสิ่งประดิษฐ์สองสามชิ้นในมือเข้าเฟรม มันคือการ์ด กรอบรูป และเครื่องใช้ทั่วๆ ไป ของทุกชิ้นทำมาจากวัตถุดิบเหลือใช้ นำมารีไซเคิลเช่นกระป๋อง ขวด ฝาขวดน้ำอัดลม ฯลฯ
ชาวบ้านจานเดี่ยวทั้งเด็กเล็กและคนเฒ่าคนแก่ห้อมล้อมอยู่เนืองแน่น คนจากศูนย์พัฒนาชุมชนสองสามคนยืนอยู่ใกล้ๆด้วย
“นี่คือวิธีเดียวที่จะสร้างรายได้ให้กับพวกเรา...เราจะมานั่งๆนอนๆงอมืองอเท้ารอรับงานรับจ้างรายวันอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว เราจำเป็นต้องมีอาชีพเสริม เพื่อไม่เป็นขยะสังคมในสายตาผู้อื่น เห็นด้วยมั้ย”
ชาวบ้าน บอก “เห็นด้วย”
“เอาละ ทีนี้ เจ้าหน้าที่จากศูนย์พัฒนาชุมชนจะเป็นผู้สอนและให้คำแนะนำกับพวกเรา เชิญ”
เจ้าหน้าที่ศูนย์ 1 อธิบายที่มาและวิธีการสร้าง สิ่งประดิษฐ์เหล่านั้น
น้าเบิ้มถาม “ขายได้อันละเท่าไหร่กันเชียว”
เจ้าหน้าที่ศูนย์ 2 บอก “เฉลี่ยชิ้นละไม่เกินร้อยห้าสิบบาท”
เจ๊โอ๋บ่น “กำไรนิดเดียว!”
เจ้าหน้าศูนย์ 1 อธิบาย “แต่ถ้าสินค้าเราถูกตลาด จะมีร้านค้าย่อยสั่งของจากเราเป็นจำนวนมาก กำไรก็จะมากขึ้น”
ผู้ใหญ่เงาะเสริม “เผลอๆ ถึงขั้นรวยได้เลยนะ ทำเป็นเล่นไป”
เจ้าหน้าที่ศูนย์ 2 ย้ำ “ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ พวกเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เป็นผู้บุกรุกอีกต่อไป”
ผู้ใหญ่ประกาศลั่น “เราจะลบภาพผู้บุกรุกออกจากชนชั้นเราให้หมด”
ชาวบ้านร้อง “เฮ...” ดังลั่น
มองผ่านกลุ่มชาวบ้านไป เห็นเท่ห์และเช็ง นั่งฟังอยู่มุมหนึ่ง
“เราควรจะติดป้ายชื่อชุมชนของเรา เพื่อป้องกันของปลอมลอกเลียนแบบ” เท่ห์ฟุ้ง
เช็งคาใจ “แล้วถ้าเราลอกแบบเขามาเองล่ะ”
“ติดหมด เอาเป็นของเราไปเลย”
“ถุ๊ย”
“ไอ้โบ้มันหายไปไหนวะ”
เช็งบอก “จีบก้อยอยู่ ชัวร์”
ยามเย็นก้อยนั่งกุมมือตัวเองเปล่งเสียงอธิษฐาน เบื้องหน้าก้อยเป็นอาหารจานใหญ่
และโบ้ที่นั่งจ้องก้อยนิ่ง
“หากวันนี้เราได้กระทำสิ่งใดที่เป็นผิดบาป ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดให้อภัยและมอบพลังกาย พลังใจในการดำรงชีวิตต่อไป หลังอาหารมื้อนี้ด้วยเถิด”
ก้อยลดมือลง แล้วจึงเริ่มกินอาหารจานนั้น
“ทำไมก้อยต้องพูดอย่างนี้ก่อนกินข้าว ทุกทีเลย”
“ก้อยกลัวลืม”
“ลืมอะไร”
“ลืมตัว…ก้อยกลัวว่าตัวเองจะเผลอ นึกว่าเป็นคนปกติเหมือนคนอื่น”
“ก้อยไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นซักหน่อย”
“ไม่จริง ใครๆก็รู้ว่าไม่จริง…ไม่มีใครเป็นอย่างก้อยหรอก ตาบอดตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่ตายหมด พ่อเลี้ยงก็คิดจะทำมิดีมิร้าย ต้องหนีตายกระเซอะกระเซิง อย่างนี้ปกติซะที่ไหน”
“แต่ก้อยก็รอดมาได้”
“รอดมาได้?...สุดท้ายก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครซักคน”
ก้อยฉายแววน้อยใจออกมาในเสียงให้เห็นชัดเจน
“งั้นพี่โบ้ก็ต้องอธิษฐานบ้างแล้วหละ เพราะพี่ก็ไม่มีใครเหมือนก้อยนั่นแหละ”
“พี่มีตั้งเยอะแยะ พ่อ แม่ น้องๆ”
“ก้อยไม่รู้อะไร จริงๆแล้วพี่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง…เก็บมาจากไหนก็ไม่รู้ หน้าพ่อ
หน้าแม่ พี่ก็ไม่เคยเห็น”
“อ้าวแล้ว น้าเบิ้ม”
“นั่นหละ เขาเป็นคนเก็บพี่มาเลี้ยง…เขาไม่ยอมบอกให้พี่รู้ คงกลัวพี่จะเสียใจ พี่ก็เลยทำให้เขาสบายใจ ด้วยการทำเป็นไม่รู้…เห็นมั้ย พี่ก็ไม่มีใครเหมือนก้อยเปี๊ยบเลย”
“พี่โบ้นี่โม้เก่งจัง”
“จริง” โบ้บอก
“อย่างนี้เล่านิทานแข่งกับหรั่งได้สบาย”
“สู้มันไม่ได้หรอก…พี่แต่งเรื่องเจ้าชาย-เจ้าหญิงอย่างมัน ไม่เป็น”
“ฝันสิพี่โบ้…นิทานเป็นโลกของความฝัน...ในฝัน เราเป็นอะไรได้ทุกอย่าง เป็นพระเอกก็ได้เป็นผู้ร้ายก็ได้ เราอยากจะสร้างเรื่องเหลือเชื่อแค่ไหนก็ทำได้ ไม่มีใครว่าอะไรทั้งนั้นเพราะมันจะไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้... เท่านั้นเอง”
ขณะเดียวกัน หมอเปิดประตู เดินออกมาจากห้องพักเผ่าลาภ ลินจงและวิโรจน์เดินตามหมอมาใกล้ๆ
“เหลือเชื่อจริงๆ ต้องใช้คำว่าเหลือเชื่อเลยหละ ที่คุณเผ่าลาภมีท่าทีที่ฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้”
“แสดงว่ามีโอกาสหายใช่มั้ยคะ”
“โอกาสหายน่ะมีแน่ แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่า ผลในทางตรงกันข้ามมันก็มีโอกาสของมันอยู่เหมือนกัน อันนี้หมอพูดแบบตรงไปตรงมานะ ฟังแล้วอย่าเพิ่งท้อล่ะ”
“ค่ะ...พวกเราไม่ท้ออะไรง่ายๆหรอกค่ะ โชคมักจะอยู่ข้างคนเข้มแข็ง เราเชื่อกันอย่างนั้น”
“ผมก็หวังอย่างนั้นเช่นกัน”
หมอและลินจง เดินตรงไปยังประตูห้องเผ่าลาภที่เปิดค้างอยู่
แพรวานั่งข้างๆเตียงพ่อ ในมือถือจานอาหาร เธอใช้ช้อนตักยื่นไปที่ปากเผ่าลาภ รำไพนั่งไม่ห่าง หรั่งยืนถัดออกไป
“หมอบอกว่าถ้าคุณป๋าทานข้าวได้เมื่อไหร่ ก็กลับบ้านได้เมื่อนั้น”
เผ่าลาภนอนนิ่ง ไม่ไหวติงใดๆ
“คุณป๋าไม่อยากกลับบ้านเหรอคะ...ไม่อยากให้แม่ทำกับข้าวอร่อยๆให้ทานเหรอ แม่เขาซ้อมทำอาหารเมนูใหม่ๆอีกตั้งหลายอย่าง อร่อยทั้งนั้นเลยนะ”
รำไพนั่งน้ำตาซึมเหมือนเช่นเคย
“ไม่อยากชิมฝีมือแม่รำไพเหรอคะ คุณป๋า” แพรวาหยอกเย้าบิดา
ริมฝีปากเผ่าลาภขยับเล็กน้อย เพื่อให้อาหารเคลื่อนเข้าไปในปาก
“อย่างนั้นค่ะ...คุณป๋าของน้องแพรเก่งมาก เก่งที่สุดเลย ทีนี้พักก่อนก็ได้ค่ะ”
หรั่งเข้าไปรับจานอาหารจากมือแพรวามา โดยแพรวายังคงพูดคุยกับเผ่าลาภต่อไป
“คุณป๋ารู้มั้ยคะ วันนี้น้องแพรได้ตัดสินใจเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องนึง ซึ่งถ้าหากน้องแพรตัดสินใจผิด มันจะส่งผลเสียหายต่อบริษัทของเราทันที แต่หรั่งบอกว่า ถ้าเป็นคุณป๋าคุณป๋าก็ต้องตัดสินใจอย่างนี้ น้องแพรได้แต่หวังว่านายหรั่งคงจะคิดไม่ผิดนะคะ”
หรั่งมองดูแพรวาซักพักก็เอ่ยปากพูด
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะมารับคุณแพรที่นี่”
แพรวาพยักหน้าให้ หรั่งขยับเดินออก รำไพเดินไปประชิดตัวหรั่งตรงหน้าประตู เธอจับมือเขาไว้แน่นสายตาเว้าวอน
“นายหรั่ง…อย่าทิ้งน้องนะ น้องแพรไม่มีใคร…อย่าเพิ่งทิ้งน้องไปไหนนะ”
“ผมจะไม่ทิ้งคุณแพรวาไปไหนเป็นอันขาดครับ”
หรั่งให้คำมั่นหนักแน่น แล้วเดินออกจากห้องไป
คืนนั้นที่บ้านน้าเบิ้ม โบ้เดินเข้ามาหน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความฝัน และจินตนาการ
“ทุกครั้งที่เขาโกหก จมูกของเขาจะยาวมากขึ้น มันยาวขึ้น…ยาวขึ้น…ยาวมากกว่าจมูก
ของใครๆในโลกนี้ และก็จะไม่มีวันหยุดยาว ตราบใดที่เขายังพูดจาเหลวไหล มันก็จะยาวต่อไป ยาวต่อไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
น้าเบิ้มด่า “นิทานของมึง นั่นแหละ ยาวจัง ! จบซะทีเถอะ”
“แต่แล้วในที่สุด เมื่อเขารู้จักยอมรับความจริง...นางฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา. เธอเสกให้จมูกของเขาหายเป็นปกติได้ดังเดิม…จบ”
เด็กๆ บ่น “ไม่สนุกเลย…นอนดีกว่า”
น้องๆโบ้ทุกคน แยกย้ายกันไปนอน
น้าเบิ้มและเจ๊โอ๋ ลุกขึ้นเก็บข้าวของที่ระเกะระกะ
“ก้อยเอ๊ย นอนนี่มั้ยวะ อาบน้ำอาบท่า เอาเสื้อผ้าของฉันเปลี่ยนใส่ก่อนก็ได้”
“ก็อยู่มันซะที่นี่เลยแล้วกันวะ ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา ดีมั้ย” น้าเบิ้มว่า
ก้อยนั่งนิ่ง ไม่เอ่ยปากใดๆ
“เอาไงก็ว่ามานะ...ไอ้โบ้ เอ็งนั่งเป็นเพื่อนยายก้อยมันก่อนเน้อ กว่าไอ้หรั่งมันจะมารับ คงดึกละ...”
“รู้แล้ว”
น้าเบิ้มกะเจ๊โอ๋ เดินไปนอน
“พี่โบ้ไปนอนเถอะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนก้อยหรอก ก้อยนั่งกับใคร ก็เหมือนนั่งคนเดียวอยู่แล้ว”
โบ้กระเถิบเข้าใกล้ก้อย ค่อยๆ เอ่ยปากพูด
“ทำไมเราไม่ทำชีวิตเราให้เหมือนนิทานล่ะก้อย”
“ยังไง”
“ทำฝันให้เป็นจริงไง…ตามหาฝันของเราให้เจอ”
“ทำยังไงๆ ก้อยก็เป็นเจ้าหญิงไปไม่ได้หรอก”
“ก้อยเป็นได้มากกว่านั้น...เจ้าหญิงไม่ใช่ฝันของก้อยซักหน่อย พี่รู้”
“ใครบอก?”
“เจ้าหญิงไม่สีไวโอลิน...เจ้าหญิงต้องเล่นเปียโน เต้นบัลเล่ต์”
“แล้วใครสีไวโอลิน”
“เอ้อ...” โบ้นึก
ก้อยหน้านิ่งรอฟัง
“สุนทราภรณ์...ใช่แล้ว สุนทราภรณ์...ฮ่ะฮ่ะฮ่า...” โบ้ดีใจที่นึกออก
“ใคร”
“เขาเป็นนักดนตรี ใครๆเรียกครูเอื้อ...ร้องเพลงเพราะด้วย…” โบ้ร้อง “ก่อนจากกัน คืนนั้นสอง
เรา แนบซบเนาเคล้าคลอพ้อพลอดภิรมย์...เคยได้ยินมั้ยก้อย
ก้อยเลิกคิ้วเล็กน้อย...โบ้ร้องต่อ
“หวานล้ำบำเรอ เธอได้ชิดชม ฉันกอดเล้าโลม ชื่นใจ...”
โบ้หยิบทรัมเป็ตขึ้นมาเป่าเมโลดี้เพลงนี้ในท่อนต่อไป
“จูบแก้มนวล ช่างยวนเย้าตรึง จิตคะนึงถึงวันรักซ่านฤทัย”
ก้อยหยิบไวโอลินมาสี เมโลดี้เดียวกัน ประสานกันไป
หอมหวนนวลปรางค์ มิห่างร้างไป...ถึงอยู่แสนไกล”
โบ้ดึงทรัมเป็ตออกจากปาก แล้วร้องเนื้อเพลงตรงนี้ออกมาดังๆ
“รักเอย ขอให้เหมือนเดิม...”
เสียงไวโอลินตัวโน้ตสุดท้าย ทอดยาว ไกล
หรั่งก้าวเข้ามาก่อนสิ้นเสียงไวโอลิน
“ทั้งเป่าทั้งสี ดึกๆ อย่างนี้ ไม่กลัวบ้านอื่นเขาเอ็ดเอาเหรอ”
“แถวนี้เขาชอบเสียงเพลงกันทั้งนั้น” โบ้คุย
“แต่เขาไม่ได้ชอบเสียงมึง”
“นานาจิตตังโว้ย”
“ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อนก้อย”
โบ้พยักหน้าให้ แล้วเดินหายเข้าไปในบ้าน
“ไปก้อย กลับบ้านกัน”
“หรั่ง ก้อยไม่กลับ...ก้อยจะอยู่ที่นี่”
หรั่งร้อง “ห๊ะ”
โบ้อยู่ในบ้านแล้วถึงหูผึ่ง เขาชะงักกับคำพูดของก้อย รีบเอียงหูฟังทันที
“ก้อย ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของหรั่ง”
หรั่งลงนั่งข้างๆ ก้อย
“ใครบอกว่าก้อยเป็นตัวถ่วง น้าเบิ้ม เจ๊โอ๋เหรอ...หรือว่าไอ้โบ้”
“ไม่มีใครบอกหรอก...ก้อยรู้ด้วยตัวเอง”
“ก้อยรู้ไม่จริง” หรั่งบอก
“เรามีฝันที่ไม่เหมือนกัน หรั่ง...ฝันของหรั่งไปไกลกว่าที่ก้อยจะไปได้...ส่วนฝันของก้อยหรั่งก็ไม่เคยเข้าใจเหมือนกัน...”
“ทำไมหรั่งจะไม่เข้าใจ…” หรั่งเถียง
“หรั่งเข้าใจว่าอะไรล่ะ? หรั่งคิดว่าก้อยฝันอยากเป็นอะไร?”
“เจ้าหญิง”
โบ้ ขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียง เป็นคำว่า "ผิด"
ก้อยบอกว่า “ผิด”
“แล้วก้อยอยากเป็นอะไร” หรั่งถาม
โบ้ขยับปากพูดคำว่า "คนปกติ"
“แค่ คนปกติ...” ก้อยว่า
โบ้ขยับปากพูดคำว่า "เหมือนคนอื่น"
“เหมือนคนอื่น...และไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน” ก้อยบอก
หรั่งนิ่งอึ้งไป
“ก้อยเคยคิดอยู่เสมอว่า ผู้ชายที่ช่วยชีวิตก้อยในวันนั้น วันที่ก้อยเกือบโดนรถชน เขาคือคนที่สร้างฝันให้ก้อย…และเราต่างมีฝันร่วมกัน”
โบ้ตั้งใจฟังมากขึ้น
“ก้อยเคยกังวลว่า ถ้าไม่มีหรั่งซักคน ก้อยจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง เพราะหรั่งเป็นทุกอย่างของ
ก้อย หรั่งดีกับก้อยมาตลอด…แต่ที่จริงแล้วหรั่งไม่ใช่ฝันของก้อย...และก้อยก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในฝันของหรั่ง.....เราแยกกันไปตามหาฝันของตัวเองดีกว่านะ หรั่ง…อย่ามาถ่วงกันอยู่อย่างนี้เลย”
หรั่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ส่วนโบ้...ดูเหมือนว่าความหวังอะไรบางอย่างได้เกิดขึ้นใจมัน
เวลาต่อมาที่ลานศาลารวมใจ ชุมชนจานเดี่ยว ผู้ใหญ่เงาะนั่งอยู่กลางศาลาพร่ำพรรณนาความในใจ น้ำตาของผู้ใหญ่ไหลนองหน้า มันปะปนไปกับหยาดเหงื่อไคล จนไม่สามารถแยกได้ออก
“ไม่น่าเชื่อว่า มันจะมีวันนี้ ด้วยมือสองมือ ตาสองตา ด้วยสองแขน ด้วยสองขา กับหัวใจเหี่ยวๆ เพียงดวงเดียว...ข้าได้ทำให้คนไร้โอกาสกว่า 400 ชีวิต ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้บุกรุก กลับมารวมตัวกันเป็นชุมชนตัวอย่าง”
หรั่งนั่งขรึมอยู่อีกมุมหนึ่งในลานศาลานี้ ดุจดั่งร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจ ผู้ใหญ่เงาะยังคงพร่ำเพ้อต่อ
“ชุมชนของเราจะมีสาธารณูปโภคครบครัน และมันกำลังจะเป็นแหล่งสร้างงานฝีมือในอนาคตอันใกล้นี้...ไอ้หรั่งเอ๊ย เหมือนฝันจริงๆ ว่ะ มึงว่ามั้ย”
“ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความฝันนักหรอก...ผู้ใหญ่”
ผู้ใหญ่เดินไปที่ชั้นวางหนังสือ เลือกหาอะไรบางอย่าง
“ข้าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าได้มากเท่านี้มาก่อนเลย”
“ฉันรู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วง”
ผู้ใหญ่เงาะเดินถือกระดาษแผ่นหนึ่งกลับมานั่งใกล้หรั่ง
“มึงดูนี่…สัญลักษณ์บ้านจานเดี่ยวของเรา…ข้าออกแบบเองนะ มีต้นจานหนึ่งต้นออกดอกหนึ่งดอก แล้วก็ชามสังกะสีหนึ่งใบ…เห็นมั้ย อย่างนี้ฝรั่งเขาเรียกว่า โลโก้…อีกหน่อยมันจะปรากฏอยู่ในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่ทำจากชุมชนของเรา เราจะดังกันละทีนี้…นี่แหละฝันของข้าที่ใกล้จะเป็นจริงแล้ว เหมือนฝันของเอ็งมั้ยวะ ไอ้หรั่ง?”
ผู้ใหญ่เงาะโยนกระดาษแผ่นนั้นลงตรงหน้าหรั่ง
หรั่งก้มมอง เห็นเป็นกระดาษเอกสารขนาด A4 มีเส้นขีดพันกันไปมาทับไปบนข้อความเดิมของกระดาษ เส้นเหล่านั้นมีรูปร่างคล้ายดังคำผู้ใหญ่ว่า
หรั่งมองเลยไปที่หนังสือนิตยสารผู้หญิง ที่วางรองอยู่ใต้กระดาษแผ่นนั้น มันเป็นรูปแพรวา อยู่ในหน้าสังคมสาวไฮโซ หรั่ง มองจ้องรูปนั้นไม่วางตา
“บางที ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันฝันถึงอะไรกันแน่…ฉันรู้แต่ว่า กว่าจะไปให้ถึงฝันนั้นได้น่ะมันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน”
“ยากแค่ไหนก็ต้องสู้เว้ย คนอย่างพวกเรายอมแพ้อะไรง่ายๆ ได้ไงวะ”
หรั่งหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ
“ทำไมต้องมีจานสังกะสี”
“ก็คนไม่ค่อยรู้จักต้นจาน เขานึกว่าจานเดี่ยวของเราหมายถึงจานกินข้าวใบเดียว ข้าก็เลยเขียนรูปจานรวมไปด้วยเลย หมดเรื่อง”
ระหว่างที่ผู้ใหญ่พูด หรั่งมองเร็วไปที่ตัวหนังสือบนกระดาษแผ่นนั้น มันปรากฏถ้อยคำว่า
“… เป็นบ้านของนายแสงเทพ เทวฤทธิ์ บริษัทเทพทอแสง พวกเราต้องขับไล่มันออกไปโดยเร็ว…”
“ผู้ใหญ่เอากระดาษอะไรมาเขียนเนี่ย”
“ไหน…” ผู้ใหญ่ชะเง้อดู “…อ๋อ จดหมายของศูนย์พัฒนาชุมชน…เขาชวนไปขับไล่เศรษฐีขี้โกงคน
นึง มันปลูกบ้านบุกรุกป่าสงวน…คนเลวๆ แบบนี้เอาไว้ไม่ได้ ข้าว่าจะเกณฑ์คนบ้านเราไปช่วยเขาอยู่นี่ละ”
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมองของหรั่ง
“มีหลักฐานรึยังผู้ใหญ่”
“ไล่มันไปก่อน หลักฐานค่อยหาทีหลังเว้ย”
กลางโถงของบ้านอรทัยเช้านี้ มีผู้คนมากมายเรียงรายอัดแน่นอยู่ในโถงนั้น แต่ละคนมีบุคลิกที่แตกต่างกัน มีทั้งที่ดูเป็นชาวบ้าน เถ้าแก่ร้านเพชรร้านทอง จนถึงเจ้าของร้านย่านถนนข้าวสาร ก็มี ทุกคนล้วนมีกิจการค้าพลอย ในระดับร้านค้ารายย่อยทั้งนั้น
อรทัยเดินออกมาจากด้านในบ้าน เธอประดิษฐ์ใบหน้ายิ้มเข้าหาคนเหล่านั้น
“สวัสดีทุกคนนะคะ…มากันพร้อมเพรียงดีจัง ต้องขอบคุณที่ให้เกียรติดิฉัน”
พ่อค้า 1 ทัก “แหม เจ๊อรทัยแห่ง M.S. JEWELRY นัดทั้งที ไม่มาได้ไง คนกันเองแท้ๆ…”
พ่อค้า 2 บอก “แต่หมดอำนาจซะแล้ว…แต่ก็ไม่เป็นไรเนอะ พวกเรา!”
อรทัยพยายามเก็บอารมณ์
“เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ”
พ่อค้า 2 ท้วง “กาแฟซักแก้วนึงก่อนไม่ได้เหรอเจ๊”
“อ้าว ยังไม่ได้กินกันมาหรอกเหรอ”
พ่อค้า 1 บ่น “ก็นัดซะเช้า ใครจะไปกินทัน”
“ใครเอากาแฟบ้าง ยกมือขึ้น”
สิ้นเสียงเจ้าบ้าน บรรดาพ่อค้าทุกคนยกมือสลอน บังหน้าอรทัยเกือบมิด
ไม่นานนัก เด็กรับใช้ยื่นถาดกาแฟเข้ามา ในถาดนั้นมีถ้วยกาแฟอยู่เต็มถาด มีมือมากมายเข้ามาหยิบเอาถ้วยกาแฟออกไป อรทัยก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง
“M.S. JEWELRY กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก…ทุกคนคงพอจะได้ยินกันมาบ้าง มีการชิงดีชิงเด่นกันภายใน เลื่อยขาเก้าอี้กันเป็นว่าเล่น”
พ่อค้า 2 บอก “เจ๊ก็เลยกระเด็นออกมานอกวง”
“ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามในฐานะที่ฉันอยู่ดูแล M.S.JEWELRY…มาตลอดนานนับหลายสิบปี…ฉันขอยืนยันว่า สินค้าของเราทุกชิ้นนั้น คุณภาพเกินร้อย ทั้งในเรื่องการออกแบบ ที่งดงาม และพิถีพิถัน คุณภาพของพลอยนั้นก็เรียกว่า ได้มาตรฐานแท้จริง”
พ่อค้า 3 ถาม “คุณพูดเหมือนจะขายจิเวลรี่เรางั้นแหละ”
“ใช่…” อรทัยบอก
พ่อค้า 4 ร้อง “โอ๊ย คนละตลาดกัน…จิเวลรี่ของ M.S.แพงจะตาย ร้านค้าย่อยอย่างเราซื้อไม่ไหวหรอก”
“ไหวสิคะ…เพราะมันกำลังจะถูกลงชนิดที่ใครก็นึกไม่ถึง ถูกลงจนเอาไปวางแผงขายใน
ตลาดของคุณ ได้กำไรสบายๆ ฉันรับรอง”
พ่อค้า 2 ท้วง “คุณไม่ได้อยู่M.S.แล้ว คุณจะมารับรองอะไรได้ยังไง”
“อย่าลืมสิว่า ฉันเป็นใครในมหาโชคตั้งศิริ ทำไมเรื่องแค่นี้ฉันจะไม่รู้…ทางเดียวที่ M.S.จะรอดก็คือ ขายทุกอย่าง ขายเลหลังในราคาถูก…ส่วนหนทางที่พวกคุณจะมีกำไรมหาศาลคือ ต้องใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรับปากซื้อกับใคร ยื้อเอาไว้ รอซื้อจากฉันเท่านั้น…เข้าใจรึยัง”
พ่อค้า 1ว่า “ก็…เข้าใจได้ ไม่ยาก”
พ่อค้า 2 บอก “แต่เราคงต้องดูว่า ราคาของทางไหนดีกว่า”
“แสดงว่ามีคนติดต่อคุณมาแล้ว…บอกได้มั้ยว่าคนนั้นชื่ออะไร”
พ่อค้า 2 คนมองหน้ากัน
พ่อค้า 1 บอกว่า “คุณธนู”
ส่วนพ่อค้า 2 บอกว่า “คุณปีเตอร์”
อรทัยยิ้มแล้วหัวเราะอย่างสบายใจ
รถเผ่าลาภ มุ่งหน้าไปบ่อพลอย ในรถหรั่งทำหน้าที่ขับรถ โดยมีแพรวาและกันทิมานั่งมาในรถด้วย แต่ละคนหน้าตาเคร่งเครียดพอสมควร
โดยเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่บริษัท M.S. เช้าวันเดียวกัน หรั่งเดินคุยมากับแพรวาและกันทิมา
“เราต้องเป็นฝ่ายเข้าหาชาวบ้านผ่านทางตัวแทนของพวกเขา และให้ข้อมูลกับพวกเขาให้มากที่สุด โน้มน้าวให้เขาเอียงมาทางข้างเราให้มากที่สุด”
“เรื่องแบบนี้นายน่าจะทำได้ดีกว่า...ทำไมต้องเป็นฉันด้วย”
“เพราะคุณคือลูกสาวคนเดียวของคุณเผ่าลาภ น่าจะได้ความเห็นใจมากกว่าผม ซึ่งเป็นคนนอก”
“แต่ฉันไม่ถนัดเรื่องแบบนี้”
“คุณกันทิมาถึงต้องไปกับคุณด้วยไงครับ” หรั่งบอก
กันทิมาแย้ง “ฉันก็เป็นคนนอกไม่ต่างจากนาย”
“แต่คุณเป็นสะใภ้นะครับ...และความเป็นผู้หญิงของคุณทั้งคู่ จะทำให้เขาตั้งใจฟังมากขึ้น”
“แล้วนายล่ะ” แพรวาถาม
“ผมจะไปส่งคุณที่บ้านอบต.แล้วจะแวะเข้าไปดูสถานการณ์ในเหมือง แล้วค่อยกลับมารับคุณครับ”
รถเผ่าลาภ แล่นไปบนถนนหลวง
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 12 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา แพรวา และกันทิมา นั่งร่วมโต๊ะ ประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่อบต. 2-3 ของบ่อพลอย เมืองกาญจน์ อบต.คนที่ 1 เอ่ยขึ้น เปิดการสนทนา
“เสียใจด้วยนะครับ เรื่องคุณเผ่าลาภ”
“ค่ะ”
อบต.1 บอกต่อ “รู้ข่าวเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ว่าจะไปเยี่ยมกัน ก็ยังหาเวลาไม่ได้เลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ มีเวลาเมื่อไหร่เชิญที่บ้านก็ได้ค่ะ”
อบต.2 เอ่ยขึ้น “ช่วงนี้ที่เหมือง MS.ดูเหมือนว่าจะวุ่นวายอยู่ใช่มั้ย”
“ค่ะ คนงานสไตรค์ ลาออกหมด…ชาวบ้านไม่ยอมให้เข้าไปเปิดหน้าดิน”
อบต.2 ตกใจนิดๆ “โอ แย่หน่อยนะ ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างพวกคุณซักเท่าไหร่”
“เราถึงต้องมาหาพวกคุณไงคะ”
อบต.1 บอกอย่างจริงจัง “เจ้าหน้าที่ อบต. ไม่ได้มีไว้ให้ใครแสวงโชคนะ คุณแพรวา”
กันทิมาแทรกขึ้น “เราไม่ได้แสวงโชคค่ะ เรามีเรื่องจริงมาร้องเรียนค่ะ”
อบต.2 หันมาทางกันทิมา “เรื่องอะไรครับ”
“เราได้ยินมาว่า บริษัทเทพทอแสงของนายแสงเทพ มีธุรกิจผิดกฎหมายลับๆ อยู่ จำพวก
ของเถื่อน ลักลอบตัดไม้ จนถึงเรื่องยาเสพติด…ตัวนายแสงเทพเองก็แอบปลูกบ้านอยู่ในเขตุป่าสงวนด้วย…” กันทิมาบอก
แพรวาบอก “เราเกรงว่า เขาพยายามจะขอสัมปทานเหมืองเพื่อเอามาบังหน้าธุรกิจลับๆ เหล่านี้ของเขา”
อบต.2 แย้ง “เรื่องแบบนี้ คุณแค่ได้ยินมาไม่ได้หรอกนะ มันต้องมีหลักฐาน”
“เรากำลังพยายามหาหลักฐานอยู่ค่ะ” กันทิมาว่า
“แต่เราอยากจะมั่นใจว่า ถ้าได้หลักฐานแน่ชัดแล้ว ชาวบ้านจะอยู่ข้างเดียวกับเรา”
“แน่นอน ผมรับรองว่า ชาวบ้านทุกคนจะรวมตัวกันประท้วงและขับไล่นายแสงเทพออกไปจากพื้นที่แน่นอน ผมเป็นหัวโจกให้เองเลยเอ้า…แต่ต้องมีหลักฐานก่อนนะ…หลักฐานต้องชัดเจนด้วย ประเภทใบปลิว บัตรสนเท่ห์พวกนี้ อย่ามาพูดกันให้เสียเวลา” อบต.1
อบต.2 เสริม “แต่ช่วงนี้ ก็ต้องขอร้องทางคุณ ช่วยเตือนๆ คุณชาติชายหน่อยนะ...ให้เขาระวังการกระทบกระทั่งกับฝ่ายโน้นซักนิด มันจะพาลทำให้เสียคะแนนกับชาวบ้านไปเปล่าๆ”
แพรวา และกันทิมาเหลียวมามองหน้ากัน
รถหรั่งแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านอบต. กันทิมาและแพรวาเดินมาขึ้นรถ อบต. ยืนส่งอยู่ไม่ห่างนัก
“เป็นไงบ้างครับ...เขารับฟังเราดีมั้ยครับ”
กันทิมาพยักหน้า “ถ้ามีหลักฐานที่ชัดเจน ชาวบ้านไม่เอากับพวกนั้นด้วยแน่ๆ”
“ที่เหมืองเป็นไงบ้าง”
หรั่งส่ายหน้า “ไม่มีคนงานแม้แต่คนเดียว...”
“อากู๋เหลียงล่ะ”
“ผมหาตัวไม่เจอครับ”
รถกระบะของผ่องจอดในตลาดใกล้คลินิกหมอ ชาติชายลงจากรถ แบกแก้มขึ้นขี่หลัง
แก้มร้องโอดโอย ผ่องบอก
“ร้านหมออยู่หัวมุม ผมไปจอดรถก่อนครับเฮีย”
รถกระบะแล่นออกไป
ชาติชายแบกแก้มเดินก้าวยาวๆไปตามทางเดิน
“โทษฐานของการไม่เชื่อฟังอา เป็นไงล่ะ”
“แก้มแค่อยากดูว่าอาทำอะไรอยู่ข้างล่าง...โอ๊ย...”
“ไม่ต้องพูดมาก อยู่นิ่งๆ”
“ก็อาถาม แก้มก็ตอบน่ะสิ...โอย...”
รถยนต์เผ่าลาภแล่นบนถนนผ่านหน้าชุมชนนี้ กันทิมาเหม่อมองออกไปนอกรถ
พลันสายตาเธอเห็นอะไรบางอย่าง เธอเพ่งมองมากยิ่งขึ้น จนเห็นเป็นชาติชายแบกแก้มบนหลังวิ่งเหยาะๆ อยู่บนฟุตบาท กันทิมาเหลียวมองตาม ทั้งแปลกใจ ทั้งอึ้งๆไป แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูด
ชาติชายแบกแก้มบนหลังก้าวเข้ามาในคลินิกหมอเขาพูดกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงนั้น
“หกล้มกลิ้งตกลงมาจากเขา สงสัยขาจะหัก...ถ้ารักษายาก ก็ช่วยตัดทิ้งให้ที”
แก้มร้อง “โอ๊ย...อะไร”
เจ้าหน้าที่ งงๆ
ด้านลินจงเดินไปตามทางเดินในโรงพยาบาลอย่างรีบร้อน สีหน้าเธอเคร่งเครียด เดินตรงไปหน้าห้องพักเผ่าลาภ
หมอเปิดประตูห้องพักคนไข้ออกมากับรำไพ
“ดีใจด้วยนะครับคุณรำไพ…พอคนไข้กลับบ้านได้ คุณรำไพก็คงเหนื่อยน้อยลงเยอะเลย”
“เป็นพระคุณของคุณหมอมากเลยนะคะ”
“เป็นหน้าที่ครับ…เห็นคนไข้อาการดีขึ้น หมอก็สบายใจ…ขอตัวก่อนนะครับ”
หมอแยกเดินเลี้ยวไปทางหนึ่ง ลินจงเดินหน้าเครียดมาจากอีกทาง
“น้องลินจง…ข่าวดีจ้ะ หมออนุญาตให้เฮียกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้วละ”
ลินจงพยักหน้า สีหน้าไม่ดีขึ้นเลย
รำไพฉงน “ไม่ดีใจเหรอ”
“ซ้อพร้อมจะรับฟังข่าวร้ายรึยัง”
ที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล แพรวา ลินจง และรำไพคุยกันอยู่ตรงนั้น
“ข้าวสารทั้งลำเลยเหรอคะ”
“ทุกลำเลยจ้ะ ทางโน้นเขาขอยกเลิกออร์เดอร์เราทั้งล็อต…เขาบอกว่า ข้าวของเราไม่ได้มาตรฐานตามที่ตกลงกัน เปิดออกมาตัวมอดเต็มไปหมด…”
รำไพคราง “เวรกรรม”
“ตอนนี้เรือของเราจอดลอยค้างเติ่งที่ท่าของเขา 10 ลำ..ที่กำลังเดินทางอยู่กลางทะเลอีก 10 ลำ ...ยกเลิกปุปปับแบบนี้ มันแทบจะล้มละลายเอาเลยนะซ้อ”
ลินจงสุดทนไหว ร้องไห้คร่ำครวญ
“มีใครแกล้งเรารึเปล่าอาโก”
“อาก็ไม่รู้เหมือนกัน…เราค้าข้าวมานาน ไม่เคยมีปัญหากับใครๆ อยู่ๆ มาเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ อาตั้งตัวไม่ทันจริงๆ…จะทำยังไงดีล่ะ ซ้อ น้องแพร…ฮือ…”
แพรวาใช้สองมือประคองที่หัวไหล่ลินจงอย่างให้กำลังใจ
มันเป็นท่าทีที่แสดงถึงความเข้มแข็ง ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในตัวแพรวา
“เราต้องผ่านเหตการณ์นี้ไปให้ได้ อาโก จะด้วยวิธีไหน น้องแพรยังไม่รู้ แต่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ค่ะ”
“สงสารก็แต่เฮียตง อุตส่าห์กลับบ้านได้ทั้งที มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกจนได้ ถ้าเฮียรู้เข้าไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง…” ลินจงครวญ
เย็นนั้น เผ่าลาภนอนลืมตานิ่งอยู่บนเตียงนุ่ม หรั่งยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างจากเตียงเลย เขาจ้องมองดูเผ่าลาภอย่างห่วงใย ดวงตาเผ่าลาภ มันกลิ้งมายังทิศทางที่หรั่งยืนอยู่ หรั่งยังยืนก้มหน้านิ่งอยู่ที่เดิม แสงสีส้มสาดลงบนพื้นห้องนี้
ชายสองคน สองวัย ถูกเชื่อมโยงด้วยสายใยแห่งความอาทร ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า ในใจของคนทั้งคู่ต่างกำลังคิดอะไรอยู่
รุ่งเช้าภาพข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ และ ข่าวโทรทัศน์ ทุกสื่อต่างลงข่าวโจมตีแสงเทพ และ บริษัท เทพทอแสง อาทิ
…ชาวบ้านร้องเรียน รีสอร์ทหรูกลางอุทยาน ของใคร
...พุ่งเป้าไปที่นายแสงเทพ
…ใบปลิวลับแฉชื่อแสงเทพ เบื้องหลังโค่นป่า สร้างรีสอร์ทส่วนตัว
…นักเลงใหญ่ชื่อ ส. เล่นการเมืองบังหน้า ค้าของเถื่อน
…จดหมายลึกลับแฉ แสงเทพหมดเปลือก เริ่มจากรีสอร์ทในป่าสงวน
เสียงผู้สื่อข่าวรายงานข่าวทางโทรทัศน์ดังขึ้น
“เช้าวันนี้เอง จดหมายเปิดผนึกลึกลับ ปลิวว่อนไปยังทุกสำนักพิมพ์ ท้าให้สื่อมวลชนขุดคุ้ย ปูมหลังของนายแสงเทพ กรณีตัดไม้ทำลายป่า ลักลอบระเบิดภูเขาที่เมืองจันทน์โดยไม่ได้รับสัมปทาน ซ้ำยังแอบปลูกรีสอร์ทหรูกลางอุทยานแห่งชาติ…จดหมายดังกล่าวเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ก่อนที่นายแสงเทพจะเข้าไปมีอำนาจ และบทบาทในการออกสัมปทานเหมืองและป่าไม้ให้กับเอกชน ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและราษฎรเป็นอย่างมาก”
หนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกเหวี่ยงลงบนพื้นอย่างแรง โดยฝีมือแสงเทพที่ยืนกัดฟัน กราดเกรี้ยว อยู่ที่โถงในบ้าน บารมียืนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ไม่ห่างนัก
“บัดซบ ! เรื่องพวกนี้หลุดไปถึงหูนักข่าวได้ยังไงวะ”
“พรรคพวกที่เมืองกาญจน์ส่งข่าวมาว่า ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันปักป้ายประท้วง ขับไล่พวกเราใหญ่เลยครับ”
“พัง…พังกันหมดพอดี!”
ปื๊ดพาเด็กรับใช้เดินถือโทรศัพท์เข้ามาให้แสงเทพ
“โทรศัพท์ครับท่าน”
“ยังไม่อยากรับเว้ย”
“จากคุณสุริยะนะครับ…บอกว่าเรื่องด่วน” ปื๊ดบอก
แสงเทพหน้าเครียด
สุริยะอยู่ที่บ้าน พูดโทรศัพท์ ท่าทางหัวเสียไม่แพ้กัน
“ผมคงต้องพูดตรงๆ นะครับคุณแสงเทพ…ทางพรรคเราไม่มีนโยบายสนับสนุนบุคคลใดก็ตาม ที่มีเรื่องพัวพันกับการทุจริต หรือกระทบกระทั่งกับความเป็นอยู่ของประชาชนเพราะมันจะทำให้ศรัทธาของพี่น้องประชาชนที่มีต่อพรรค ต่อรัฐบาล เสื่อมถอยลง แล้วไอ้ของแบบนี้กว่าจะกู้ชื่อกลับมาได้ มันต้องใช้เวลานานเหลือเกิน ดังนั้นผมจึงขอให้คุณแสงเทพ เคลียร์ตัวเองกับสังคม กับประชาชนให้ชัดเจนซะก่อน เราค่อยมาทำงานการเมืองกัน…ส่วนเรื่องการให้สัมปทานอะไรพวกนั้นน่ะ เราคงต้องดึงเรื่องกลับมาก่อน…หวังว่าคุณแสงเทพคงเข้าใจนะครับ”
สุริยะวางหูโทรศัพท์ลงทันที ตะวันฉายนั่งฟังอยู่ด้วยไม่ไกลเท่าไหร่นัก สุริยะเดินเข้าหาลูกชาย
“ทำธุรกิจอะไรกับใครละก้อ อย่าถลำลึกนัก อย่าให้เสียหายมาถึงพ่อได้…รอบคอบมากๆ หน่อย เข้าใจมั้ย”
“ครับ”
ที่บ้านแสงเทพเวลานั้น แสงเทพเดือดเป็นไฟ เดินเข้ามาด้วยหน้าตาดุดัน
“นายไปที่เมืองกาญจน์ ไปสืบดูซิว่า ใครอยู่เบื้องหลังงานนี้…เอามือปืนติดไปด้วย…เจอต้นตอเมื่อไหร่ ให้มันเป่าทิ้งเลยทันที…ทำได้มั้ย”
“ได้ครับ เมืองกาญจน์กับผม คุ้นกันดีอยู่แล้ว”
บารมีแสดงสีหน้าจงรักภักดีเป็นที่สุด
ในเวลาต่อมายามค่ำคืนที่บ้านดวงใจ แลเห็นรถแสงเทพจอดอยู่หน้าบ้านหลังนี้ ส่วนในห้องรับแขกแสงเทพเทบรั่นดีลงในแก้วใบสวย
“คุณไม่อยู่ครั้งนี้ ผมย่ำแย่เลย...ไม่รู้ใครมันเอาข้อมูลจากไหน ตั้งป้อมโจมตีผมไม่ยั้ง”
แสงเทพยกบรั่นดีดื่มรวดเดียวหมดแก้ว หน้าตาเขาแดงก่ำ เพราะดื่มมาแล้วหลายแก้ว กำลังอยู่ในอาการตึงๆ ได้ที่ ดวงใจถือน้ำแข็งเดินมานั่งข้างๆ แสงเทพ
“เรื่องของผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร คุณก็รู้นี่คะ ว่าอันตรายมันอยู่รอบตัวไปหมด
“แต่ถ้ามีคุณอยู่ ผมอุ่นใจเสมอนะคุณดวงใจ”
“บางครั้งปัญหาของคุณ มันก็เกินกว่าดวงใจจะช่วยได้นะคะ”
แสงเทพมองจ้องหน้าดวงใจ
“แต่คุณจะไม่ทิ้งผมไปใช่มั้ย”
“ที่ผ่านมา คุณยังไม่รู้อีกเหรอคะว่าดวงใจคิดยังไงกับคุณ”
“ผมรู้...และก็รู้ด้วยว่า ลูกสาวคุณรังเกียจผมแค่ไหน”
ดวงใจเดินเลี่ยงออกไป
“หาทางให้ผมกลับเข้าพรรคไทยไทได้มั้ย...ปัญหาอื่น ผมจัดการเอง”
“ระยะนี้ดวงใจก็โดนเพ่งเล็งไม่น้อย จะทำอะไร ก็ต้องดูตาม้าตาเรือดีๆหน่อย...มีคนรอแทงข้างหลังเยอะอยู่เหมือนกัน”
แสงเทพเดินไปโอบกอดดวงใจ
“คืนนี้ผมนอนที่นี่ได้มั้ย”
“ยายแก้มเพิ่งจะกลับมาคุยดีกับดวงใจ...แกอาจจะโผล่มานอนที่นี่ก็ได้”
แสงเทพ มีอาการเซ็ง และหงุดหงิด
เช้าตรู่วันใหม่ ประตูห้องประชุมใหญ่ M.S. Jewelry มีตัวหนังสือติดไว้ว่า “ประชุมผู้ถือหุ้น M.S. HOLDING” ประตูบานนี้เปิดออก เลขาเดินออกมาจากในห้องประชุม ส่วนในห้องประชุม เห็นบรรดาเครือญาติของ มหาโชคตั้งศิริ นั่งรายล้อมอยู่ในห้องประชุม หรั่งนั่งอยู่ข้างๆ แพรวาหน้าตาเฉย
อรทัยส่งเสียงกลั้วหัวเราะ อย่างเหยียดหยัน ออกมาก่อนใคร
“งามหน้าจริงๆ เก่งกันทั้งนั้น…อยากจะรู้ว่า มีใครทำได้แบบนี้บ้างนะ ขึ้นนั่งบริหารงานแป๊ปเดียว เจ๊งไม่เป็นท่า ทั้งเหมือง ทั้งจิเวลรี่ แถมโรงสีข้าวยังเจ๊งตามมาด้วยอีกต่างหาก…ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่หมดตัวคราวนี้ จะไปหมดตัวกันเมื่อไหร่วะ…”
“ทำไมอาโกยังหัวเราะได้ล่ะคะ”
“ฉันเป็นคนเข้าใจชีวิต มองโลกในแง่ดี ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
กัมปนาทแขวะ “แอบโกงเอาไว้เยอะนั่นเอง”
“อาฮุย!…เก็บปากคอเราเอาไว้ต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชายเถอะย่ะ”
ทนงศักดิ์แทรกขึ้น “ตกลงเรียกประชุมวันนี้ มีอะไรจะแถลงไม่ทราบครับ ท่านรักษาการ M.D.”
“น้องแพรยอมรับค่ะ ว่าเป็นมือใหม่ในงานด้านบริหารก็ย่อมจะมีความผิดพลาดบ้าง แต่ถึงอย่างไร ธุรกิจนี้มันก็เป็นของตระกูลเราทั้งหมด ไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งก็แปลว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทจะดีจะร้ายอย่างไร มันย่อมส่งผลถึงทุกคนอย่างทั่วถึงกัน ดังนั้น ในยามนี้ที่คุณป๋าท่านยังป่วยอยู่ น้องแพรจึงอยากจะขอความเห็นจากอาๆ ผู้มีประสบการณ์ทุกคน และขอความร่วมมือร่วมใจในการกอบกู้กิจการของตระกูลเรา จากทุกๆ คนด้วยค่ะ”
อรทัยยิ้มระรื่นมากขึ้นอีกสองเท่าตัว สบตาทนงศักดิ์อย่างมีความสุข
“ความเห็นคงไม่มี เพราะไม่เก่ง ถ้าเก่งคงไม่โดนสั่งปลด…ส่วนความร่วมมือร่วมใจคงให้ได้
บ้าง เป็นครั้งคราว อยู่ที่ว่า จะเอาคราวละเท่าไหร่”
แพรวามองหน้าหรั่ง
“เราต้องการระดมทุน เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนสองกรณีด้วยกัน กรณีข้าวเป็นเรื่องแรก เราได้ลงทุนไปกับการกว้านซื้อข้าวสารถึงสองแสนตัน ค่าเช่าเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ 20 ลำ”
“โง่บัดซบ” อรทัยโพล่งออกมาเฉยๆ
ลินจงพยายามสะกดอารมณ์ของตน...วิโรจน์กุมมือลินจงไว้
“เมื่อมีปัญหาเรื่องคุณภาพข้าวอย่างนี้ เราจึงจำเป็นต้องส่งเรือไปอบยาใหม่อีกครั้งกับบริษัทอบยาที่คู่ค้าของเราพอใจเพื่อให้เขายอมรับข้าวสารของเรา ในราคาที่ถูกลงกว่า 50%”
ทนงศักดิ์ร้อง “โอ้โฮ”
“เป็นทางเดียวที่เราจะได้เงินกลับคืนมาบ้าง” ลินจงเสริม
หรั่งบอกต่อ “สอง เรื่องที่ดินที่ติดกับเหมือง…ตอนนี้เป็นโอกาสกำลังดีที่ชาวบ้านหันมาคัดค้านบริษัทเทพทอแสงของนายแสงเทพ…เราควรจะรีบเจรจา วางเงินมัดจำให้กับพวกเขาโดยเร็วเพื่อธุรกิจเหมืองจะได้ดำเนินต่อไปได้”
“อ๋อ นายนี่เองละสิ ที่ส่งใบปลิวไปตามหนังสือพิมพ์ต่างๆ ใช่มั้ย…เล่นไม่ซื่อกับเขานี่หว่านี่มันวิธีสกปรกของโจรชัดๆ” ทนงศักดิ์ถาม
“โจรเท่านั้นที่จะรู้เท่าทันวิธีของโจร…ผมใช้วิธีอย่างที่คุณว่าไม่เป็นครับ”
“เดี๋ยวก่อน…ฉันมีข้อสงสัย ฉันสงสัยว่าทำไมพวกเราต้องเชื่อนายด้วย ที่จริงนี่มันประชุมผู้ถือหุ้น นายไม่ได้มีอะไรเกี่ยวอะไรกับตระกูลนี้เลย ไม่น่าให้สะเออะเข้ามาร่วมประชุมเลยด้วยซ้ำ”
“หรั่งเป็นผู้ช่วยน้องแพรค่ะ เป็นเลขาส่วนตัวของคุณป๋า ซึ่งคุณป๋าไว้ใจมากกว่าญาติพี่น้องบางคนที่ ไม่แม้แต่จะโผล่หน้าไปเยี่ยมคุณป๋าซักนิด” ลินจงเอ่ยขึ้น
“เออ…แล้วคอยดู ซักวันจะรู้…ไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ที่ไหนมันจะซื่อสัตย์จริง”
“ลองบอกมาซิว่า มีวิธีไหนบ้าง ที่เราจะระดมทุนได้พอสำหรับแก้ปัญหาสองส่วนอย่างที่นายว่า”
หรั่งบอก “ขายพลอยและจิเวลรี่ทั้งหมดในสต็อค ขายแบบตัดราคา โดยด่วน…ซึ่งผมคิดว่า เรื่องนี้คุณอรทัยน่าจะทำได้ดีที่สุด”
อรทัยหัวเราะลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีใครถนัดงานนี้เท่าฉันอีกแล้ว…ฮ่าฮ่าฮ่า”
ทนงศักดิ์หัวเราะลั่นไปพร้อมๆกับภรรยา
หรั่งเดินเข้ามาพร้อมๆ กับกันทิมา ตรงมุมหนึ่งในบริษัท
“ผมอยากขอให้คุณกัน ช่วยไปดูท่าทีที่เหมืองเราหน่อยได้มั้ยครับ”
“ท่าทีอะไร แล้วทำไมต้องเป็นฉัน”
“ตอนนี้ มีเสียงลือกันหนาหูว่า เราเป็นผู้ปล่อยข่าวทำลายคุณแสงเทพ และกำลังถูกเพ่งเล็งว่า อยู่เบื้องหลังการลุกขึ้นประท้วงของชาวบ้าน”
“เราทำจริงรึเปล่าล่ะ”
“พวกเรารู้เรื่องนี้ทีหลังชาวบ้านอีกนะครับ”
“งั้นเราก็ไม่ต้องกังวล อยู่เฉยๆ เดี๋ยวความจริงก็ปรากฏออกมาเอง”
“มีบางคนไม่ยอมอยู่เฉยน่ะสิครับ เขาเป็นคนจริงจัง มุทะลุดุดัน เชื่อมั่นในตัวเองสูง ใครก็ทักท้วงเขาไม่อยู่ ตอนนี้เขากำลังลุยเรื่องนี้อย่างหนักด้วย…โดยไม่ทันคิดว่ามันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี”
กันทิมามองหน้าหรั่ง เหมือนจะรู้ว่าเขาคนนั้นที่หรั่งหมายถึงคือใคร
“ผมเชื่อว่า คุณรู้ ว่าผมหมายถึงใคร…คุณคนเดียวเท่านั้น ที่จะคอยปรามผู้จัดการเหมืองของเราได้”
“นายแน่ใจได้ไง”
“ผมไม่แน่ใจครับ…แต่รู้ว่า ไม่มีใครจะพูดกับเขาได้ดีไปกว่าคุณ”
“ขอฉันคิดดูก่อนนะ” กันทิมาเดินลับตัวไป
หรั่งเดินเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง สายตาสะดุดกับบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้า เขาเห็นเป็นอรทัยเดินตรง เข้าไปหาธนูที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว
“เธอชื่อ ธนูใช่มั้ย”
ธนูหันมาหาอรทัย เขาก้มหน้าลงอย่างสงบเสงี่ยม
“ครับผม”
“เธอรู้มั้ย ว่าฉันคือใคร”
“คุณอรทัย ผู้กว้างขวางในธุรกิจเพชรพลอยและจิเวลรี่”
อรทัยยิ้ม “ตามฉันมา…เรามีเรื่องต้องหารือกัน เกี่ยวกับแผนการขายจิเวลรี่ของเรา”
จากนั้นอรทัยเดินนำธนูออกไป หรั่งมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด มากกว่าคนอื่นๆ
ภาพรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาในจอทีวี เป็นวิชาภาษาไทย อาจารย์ผู้สอนกำลังพูดถึงคำว่าโกง
“การโกง หมายถึงวิธีการที่ผิดศีลธรรมเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายเป็นการกระทำที่แหกกฎเพื่อให้เกิดความได้เปรียบในแต่ละสถานการณ์ เป็นการกระทำที่ไร้จรรยาบรรณ ไร้ศีลธรรม ไร้จริยธรรม และขนบธรรมเนียม”
ธนู อรทัย และปีเตอร์ ต่างคนต่างเดินไปตามทางเดินในบริษัท M.S.
รายการในอีกจอเป็นรายการสนทนาปัญหาบ้านเมือง พิธีกรกำลังพูดถึงเรื่องการคอรัปชั่น เสียงพิธีกรดังกังวาน
“ปัญหาเรื้อรังที่รุนแรงที่สุดของประเทศกำลังพัฒนา ก็คือปัญหาคอรัปชั่นนักวิชาการแบ่งคอรัปชั่นออกเป็นสามลักษณะคือการคอรัปชั่นของบุคคล คอรัปชั่นระดับสถาบัน และคอรัปชั่นในรูปของระบบซึ่งมักจะเป็นการร่วมมือกันของฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คอรัปชั่นเชิงนโยบาย”
สุริยะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ยิ้ม สบายใจ แสงเทพเดินออกจากบ้านดวงใจไปขึ้นรถ ดวงใจนั่งครุ่นคิดอยู่ในบ้านของเธอ
ทีวีอีกจอเป็นรายการธรรมะ หลวงพ่อกำลังเทศนาเรื่องความแค้น เสียงหลวงพ่อดังขึ้น
“ความแค้น เริ่มมาจากการไม่ยอมรับความผิดหวัง และโทษเอาว่า ต้นตอของความผิดหวังนั้น มาจากการกระทำของบุคคลอื่นจึงหมายจะเอาคืนกับคนอื่นบ้าง”
บารมีตรวจปืนตัวเอง ก่อนเดินไปขึ้นรถพร้อมกับมือปืนสามคน
เสียงหลวงพ่อเทศนาต่อ
“โดยลืมไปว่า ทุกครั้งของการแก้แค้น ก็จะยิ่งเพิ่มความคั่งแค้นให้กับผู้อื่นเป็นเท่าทวีตรงข้ามกับการให้อภัยเพราะทุกครั้งของการอภัย จะนำไปสู่การเกิดสำนึกใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมเสมอๆ”
เผ่าลาภนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ลืมตามองเพดาน นิ่งๆ
ที่ห้องรับรองห้องหนึ่งในบริษัท M.S. อรทัยนั่งเปิดดูแฟ้มประวัติของธนู
“นายธนู จิตถนอม อายุ24 ปี เป็นเลขาส่วนตัวของกัมปนาทมาได้ 3 ปีแล้ว…ใช่เหรอ?”
ธนูและปีเตอร์ นั่งอยู่กลางห้อง ไม่ห่างกันนัก
“ข้อมูลนี้ ไม่น่าจะจริง เห็นเดินตามก้นคุณกัมปนาท อยู่ไม่กี่เดือนนี่เอง”
“ทุจริตตั้งแต่ประวัติการทำงาน...”
ธนูอึกอัก “เอ้อ...”
อรทัยกลับบอก “ดี...ฉันชอบ...รู้จักคุณปีเตอร์รึยัง”
“รู้ว่าอยู่ฝ่ายต่างประเทศ...แต่ยังไม่เคยคุยกันครับ”
“พวกเธอยังมีเวลาคุยกันได้อีกนาน...ถ้าหากเธอมีรสนิยมที่ตรงกัน และ เห็นดีเห็นงามด้วย กับแนวทางการค้าของฉัน”
“ผมเป็นคนรักความก้าวหน้า ถ้าแนวทางของคุณอรทัย หมายถึงความรุ่งเรื่องและเจริญก้าวหน้า ผมเห็นดีด้วยอยู่แล้ว”
“ผลประโยชน์ต้องสูงสุดเหนือใครๆ ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีใด นั่นคือนโยบายของฉัน...และคนอย่างฉันกัดไม่ปล่อย ถ้าใครใจอ่อน ขี้สงสาร หรือลังเล เรื่องบุญเรื่องกรรมละก้อ เชิญออกจากห้องนี้ไปซะตั้งแต่ตอนนี้เลย”
ทุกคนนั่งนิ่ง ไม่ขยับไปไหน...อรทัยยิ้ม
“ถ้างั้นก็...ยินดีตอนรับเข้าสู่ขุมทรัพย์ของ MS. ที่เราจะร่วมกันขุด ณ บัดนี้”
ทุกคนยิ้มแย้มเข้าหากันอย่างน่าหมั่นใส้
ขณะที่กัมปนาทเดินไปขึ้นรถที่หน้าบริษัท หรั่งเดินตรงไปหาเขา
“ผมขอปรึกษาอะไรบางอย่างได้มั้ยครับ”
“เลขา MD. จะขอคำปรึกษาอะไรจากฉันเหรอ”
“เกี่ยวกับเรื่องการเทขายจิเวลรี่ในสต็อก”
“นายเป็นคนที่สนับสนุนการขายเลหลังอย่างเต็มที่...แล้วตอนนี้จะมาปรึกษาอะไรฉัน”
“ผมเห็นด้วยกับการขาย แต่ผมไม่ค่อยไว้ใจผู้ควบคุมดูแลการขาย”
กัมปนาทชะงักนิดนึง เขาจ้องมองหน้าหรั่งแล้วจึงพูด
“นายกำลังพูดถึงพี่สาวฉันอยู่นะ”
“ครับ...และผมกำลังพูดถึงผลประโยชน์ของตระกูลของคุณ”
“พี่สาวฉันเป็นคนเค็ม เค็มมาก และมีลูกล่อลูกชนที่แพรวพราว...ฉันรู้เท่านี้...แต่ฉันยืนยันได้เลยว่า ฉันจะจับตาดูพี่สาวของฉันไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่น้อย”
หรั่งพูดอย่างอึดอัด “แล้วกับคุณธนูล่ะครับ คุณคอยจับตาดูเขาบ้างรึเปล่า”
กัมปนาทเดินเข้ามาในห้องพัก พร้อมด้วยถุงอาหารมากมายเขาเดินตรงไปยังบริเวณส่วนครัว เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น กัมปนาทกดปุ่มรับ
“ฮัลโหล...ฉันกำลังจะโทรหาเธอพอดี...เดี๋ยวนะ ของเต็มมือฉันเลย”
กัมปนาทกดปุ่มเปิด speaker phone เสียงปลายสายจึงดังออกมาให้เราได้ยิน
“รู้มั้ย ฉันหอบอะไรมาบ้าง”
เสียงธนูดังลอดออกมา “แบบจิเวลรี่ ที่ขนมาจากออฟฟิศ
“ผิดจ้ะ...ของกินทั้งนั้นเลย...วันนี้ฉันจะแสดงฝีมือทำอาหารอิตาเลี่ยน ที่อร่อยที่สุดในโลกและเรามีไวน์ที่อร่อยที่สุดในโลกด้วย...ฉลองครบรอบ 7 เดือนที่เราคบกันมา”
“ผมต้องขอโทษพี่จริงๆ ครับ คือน้าผมเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมแม่ แล้วพอดี แกไข้ขึ้นหนักเลยวันนี้ผมอาจจะต้องกลับดึก หรือไม่ก็เช้าเลย ถ้าอาการน้าแกยังไม่ดีขึ้น”
“เหรอ...ให้ฉันไปหามั้ย”
ธนูพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องน้ำในไน้ต์คลับ
เขาพยายามป้องปาก เพื่อไม่ให้เสียงอื่นดังเข้าไปในโทรศัพท์นัก
“ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวพี่จะพลอยติดไข้น้าผมไปด้วย อย่าดีกว่า...เราค่อยกินกันวันพรุ่งนี้ได้มั้ยครับ...นะครับ ผมต้องขอโทษพี่จริงๆ ครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ..ฉันเข้าใจ ดูแลคุณน้าให้ดีนะ...”
“ครับ ขอบคุณครับ”
กัมปนาทกดปุ่มเลิกการสนทนา...ถอนหายใจในที่สุด
ธนูอยู่ในห้องน้ำชาย เขาปิดสัญญาณมือถือ แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกไป จึงพบว่ามันอยู่ภายในบริเวณไนต์คลับหรูหราชั้นดีแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ธนูกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นด้านหลังของสาวสวยที่บริเวณเค้าท์เตอร์บาร์ ธนูก้าวเข้าไปหา เอื้อมมือปิดตาทั้งสองข้างของเธอ หน้าตาของธนูดูกรุ้มกริ่ม ราวกับเสือผู้หญิง
“รอผมนานมั้ยครับ”
สาวสวยคนนั้น เธอคือซูซาน ครูสอนเต้นรำคนนั้น
“ฉันเคยรอคนอื่นนานกว่านี้เยอะ...แค่นี้ไม่มีปัญหาจ้ะ”
ธนูปล่อยมือออกแล้วขยับตัวลงนั่งข้างๆ ซูซาน
“จากนี้ไป ผมจะไม่ทำให้คุณต้องรอผมอีกเลย”
“ฉันจะมั่นใจในเซลส์แมนได้แค่ไหนจ๊ะ”
“คนอื่นผมไม่รู้ แต่เซลส์แมนอย่างผมเน้นความพอใจของลูกค้าเป็นหลักครับ”
“ฉันยังไม่ได้สั่งซื้ออะไรจากเธอเลยนะ”
“ไม่จำเป็นครับ...แค่สอนผมเต้นรำ ผมจะหาจิเวลรี่ดีๆ ราคาถูกมาให้เป็นการตอบแทน”
“แหม...พูดเหมือนตัวเองเต้นรำไม่เป็นงั้นแหละ...”
ซูซานจับธนูเหวี่ยงไปกลางฟลอร์ แล้วเต้นรำกันอย่างเมามัน ที่แท้ธนูนั้นเต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วมาก
ส่วนที่ห้องนอนกันทิมา ในห้องคอนโด ภาพในจอทีวีเป็นเอ็มวีเพลงสนุกสนาน และถูกเปลี่ยนช่องเป็นรายการข่าว รายการละคร และทีวีไดเร็คประเภทสินค้าสำหรับแม่มือใหม่
กันทิมานั่งดูทีวีช่องนั้น รีโมทอยู่ในมือของเธอ แม่บ้านเปิดประตูเดินเข้ามา
“คุณจะเอาอะไรอีกมั้ยคะ”
กันทิมาส่ายหน้า “เงินเดือนอยู่ในซองนะ ฉันวางไว้บนโต๊ะ แล้วพี่ตุ๊กก็กลับได้แล้วละ”
แม่บ้าน เอ้อ...คุณคะ
กันทิมาเงยหน้ามองแม่บ้าน
แม่บ้าน คุณไม่จำเป็นต้องจ้างฉันก็ได้นะ...เปลืองตังเปล่าๆ...แล้วหลังๆมานี้ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ฉัน
ทำซักเท่าไหร่
กันทิมา พี่ตุ๊กจะลาออกเหรอ
แม่บ้าน ไม่ใช่ว่า ทำที่อื่นแล้วฉันจะได้มากกว่าที่นี่หรอกนะ...แต่ฉันสงสารคุณน่ะค่ะ...คุณเก็บ
สตางค์ไว้ใช้กับเรื่องที่จำเป็นดีกว่านะคะ...แล้วว่างๆ ฉันจะแวะมาเยี่ยม...นี่กุญแจห้องเก็บของค่ะ...
แม่บ้านวางกุญแจไว้ แล้วเดินจากไป
กันทิมามองไปที่กุญแจ
สายตากันทิมามองเลยไปที่กุญแจอีกดอกหนึ่งที่วางอยู่ไม่ห่างกันนัก
มันคือกุญแจล็อคกล่องใส่หินรูปหัวใจของชาติชายนั่นเอง มันทำให้เธอนึกไปถึงความหลังในอดีต
ที่ห้องพักชาติชาย คืนฝนตกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
กันทิมานั่งร้องไห้อยู่ใต้ชายคาบ้านพัก สายฝนสาดพ้นแนวชายคากระทบร่างของกันทิมาเต็มๆ ตัว
เธอหยิบกุญแจดอกนั้นขึ้นมาดู แล้วขว้างมันออกไปไกลแสนไกลเท่าที่เรี่ยวแรงเธอจะมี
กันทิมาตัดสินในวิ่งฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำออกไป โดยไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด
รถชาติชายแล่นเข้ามาจอดข้างๆ กันทิมา ชาติชายกระโดดลงจากรถ ตรงมาหากันทิมาทันที
“กัน...คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกผมก่อน”
“กันมารอชาติตั้งแต่เมื่อคืน กะว่าจะมาเซอไพร้ส์ชาติ”
“ผมไปเมืองจันท์มา ไม่รู้นี่ว่าคุณจะมา...ไม่งั้นผมก็อยู่รอแล้ว”
กันทิมาโผเข้ากอดชาติชาย เธอร้องไห้หนักหน่วงจนชาติชายตกใจ
“กัน...คุณร้องไห้ทำไม”
“กุญแจ...กุญแจ...”
“กุญแจ ทำไมเหรอ”
“ฉันทำตกหายไป...ตอนเดินขึ้นมาบนนี้...ขอโทษนะชาติ...ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก...ผมจะหามันเอง...หามันจนกว่าจะเจอ คอยดูสิ...แต่ต้องบอกมาก่อนว่าถ้าผมหาเจอแล้วผมจะได้อะไร”
กันทิมาร้องไห้หนักมากขึ้น ชาติชายเอ่ยขึ้น
“ขอเด็กผู้ชายคนนึงได้มั้ย...เด็กที่เกิดจากเรา...นะ กันทิมา...ผมอยากมีลูก”
กันทิมาดึงตัวเองกลับมา เธอยังคงนั่งจ้องกุญแจนิ่ง กุญแจดอกนั้นมีรอยบิ่นฝังอยู่บนตัวมัน
เช้าวันต่อมา มีรถพยาบาลเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าประตูบ้านเผ่าลาภ อย่างนิ่มนวล ประตูท้ายรถเปิดออก พร้อมๆ กับที่พยาบาลก้าวลงมาปฏิบัติหน้าที่
รถเข็นถูกเข็นออกมาจากท้ายรถพยาบาล มันรองรับร่างของชายผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ รำไพและแพรวาเดินตามดูแลผู้เป็นบิดาอย่างใกล้ชิด
รถเก๋งคันใหญ่ของบ้านเคลื่อนตามมาติดๆ โดยมีหรั่งเป็นผู้ขับ
กันทิมาและลินจง ก้าวลงจากรถคันนี้ เดินตามรถเข็นเผ่าลาภเข้าไป
แววตาของเผ่าลาภเปิดกว้าง ไม่บ่งบอกอารมณ์มากมายนัก รถเข็นถูกเข็นเคลื่อนเข้าบ้านไปในที่สุด
พระบูชามากมายตั้งเรียงรายอยู่บนหิ้งใหญ่ในห้องพระ ยินเสียงสวดภาวนาของรำไพดังเข้ามาก่อนเห็นตัว มันดังก้องออกมาจากจิตใต้สำนึก กันทิมานั่งอยู่ข้างๆ รำไพ ทั้งคู่พนมมือ จ้องไปที่พระ ตั้งสมาธิมุ่งมั่น
“ขอพระผู้เป็นที่พึ่ง เป็นมิ่งมงคล ผู้ได้ปกป้องคุ้มครองลูกและครอบครัวตลอดมาจงช่วยปกปักรักษา คุณเผ่าลาภ ให้หายจากโรคร้าย ให้รอดพ้นจากภยันตราย และผู้คิดร้ายทั้งหลายทั้งปวง กลับมาเป็นหลักของลูกและครอบครัวสืบไป...”
ส่วนแพรวา นั่งอยู่ใกล้ๆกับลินจง ผู้ทำหน้าที่นำการไหว้เจ้าในโถงของบ้าน สาวใช้ในบ้านทั้งหมดนั่งร่วมกลุ่มอยู่ด้วย พิธีการผ่านไปอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน หัวใจทุกดวงมุ่งมั่น หมายส่งผลดีไปยังเผ่าลาภเสียงรำไพยังดังต่อเนื่องมา
“คุณเผ่าลาภเป็นคนดี ไม่เคยคิดร้าย ไม่เคยให้ร้าย กับใคร...หากมีกรรมใดที่ติดตัวมาเป็นกรรมเก่า ก็ขอจงแบ่งเบากรรมนั้นให้พวกเราได้ช่วยกันชดใช้...และขอดวงวิญญาณของบรรพบุรุษทุกผู้ทุกตน จงช่วยดลบันดาล และ ชี้นำทางออกของทุกปัญหาที่รุมเร้าพวกเราอยู่ในเวลานี้ด้วยเถิด”
ทางด้านหรั่งเข็นรถเผ่าลาภเข้ามาหยุด ตรงบริเวณสวยงามของระเบียงบ้าน ดวงตาของเผ่าลาภ มองนิ่งออกไปไกลยังจุดหนึ่งจุดใดปลายขอบฟ้า หรั่งยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ
ใบหน้าคนทั้งสองวัย ดูเหมือนจะจับจ้องไปยังจุดเดียวกัน เบื้องหน้านั้น
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 12 (ต่อ)
ที่มุมหนึ่งในสำนักงานเหมือง เมืองกาญจน์ มีกองหนังสือพิมพ์มากมายวางอยู่บนโต๊ะตรงนั้น ผ่องนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้ากองหนังสือนั้น มันหัวเราะร่วน ร่าเริง สะใจ
“โอ้โฮ...มันสะเด่าไปเลย เจ้าประคูณเอ๊ย...สรรหามาเขียนกันยิ่งกว่านิยายอีกนะเนี่ย”
ชาติชายงง “อะไรของมึง ไอ้ผ่อง”
“ก็ข่าวไอ้แสงเทพน่ะสิเฮีย...เก็บเงียบมานาน โดนประจานเละก็คราวนี้...สมน้ำหน้า”
“มันเขียนกันว่าไงบ้าง”
“นอกจากเรื่องโกงกิน บุกที่ดินป่าสงนแล้ว ยังมีเรื่องชู้สาวอีกต่างหาก...นี่ไง แอบมีกิ๊กเป็นอดีตข้าราชการระดับสูง...ร่วมกันจัดคิวเริงรักสัญจร มีทั้งแบบทัวร์มาราธอน และแบบช่วงสั้นๆ หลังอาหารค่ำ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันด้วย เซ็กส์ถูกปาก ฮั้วกระชากใจ...มันบอก เร็วๆ นี้จะเอาคลิปลับมาแฉ ให้น้ำลายหก ไม่ต้องเช็ดกันเลย” ผ่องอ่านอย่างเมามันส์
“พอแล้ว ไม่ต้องอ่านแล้ว...”
ชาติชายกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วค่อยเอ่ยปากถาม
“ลงชื่อผู้หญิงรึเปล่า”
แก้มเดินพูดเข้ามา
“ชื่อดวงใจ ไม่ต้องลงก็รู้...แม่แก้มเอง”
ผ่องร้อง “อ้าว?”
“แม่กำลังจะฟ้องหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่เขียนเรื่องนี้”
“แปลว่าข่าวไม่จริง” ผ่องว่าเชิงถาม
“จริง แต่ไม่ทั้งหมด” แก้มบอก
“ตรงไหนที่ไม่จริง”
“ตรงที่น้าอ่านนั่นแหละ...แม่ไม่ได้ลามกขนาดนั้น...แม่กำลังจะแก้ตัว ทำสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง”
“ทำยังไง”
“แม่จะให้ข้อมูลทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ในการเอาผิดกับมัน”
“ดี...งั้นเราต้องเตรียมความพร้อมของภาคประชาชนไว้”
“ทำยังไง” ผ่องงง
“วิ่งรถแห่” ชาติชายบอก
ผ่องร้อง “ห๊า”
“แห่ประจานมัน ให้ข้อมูลกับชาวบ้านทั่วทุกตรอกซอกซอย”
“แก้มทำเพลงให้เอง...เอามั้ยอา”
บรรยากาศกลายเป็นสนุกสนาน กระตือรือร้น คึกคักขึ้นมาในบัดดล
ส่วนที่โถงบ้านเผ่าลาภ กันทิมาทรุดตัวลงนั่ง เธอหยิบยาดมออกมาสูดดม สีหน้าดูมีอาการวิงเวียน ซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด รำไพเข้ามายืนดูอยู่ด้านหลัง ในมือมีแก้วน้ำถือติดมือมาให้
“ไม่สบายเหรอจ๊ะ คุณกัน”
“เวียนศีรษะนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ...คงนั่งไหว้พระนานไปน่ะค่ะ พอลุกขึ้นก็เลยหน้ามืด”
รำไพดูจะไม่ค่อยเชื่อนัก
“แน่ใจนะ ว่าไม่เป็นอะไร”
“ค่ะ”
เสียงตอบไม่ทันขาดคำดี กันทิมาก็อาเจียนออกมาทันใด โชคดีที่มันพุ่งลงไปในกระโถนใกล้ตัว ได้พอดิบพอดี รำไพส่งแก้วน้ำให้
“อยู่ซะที่นี่ด้วยกันเลยดีมั้ยจ๊ะ...กลับไปที่คอนโด คุณกันก็ต้องอยู่ลำพังตัวคนเดียว...อยู่ที่นี่มีอะไรจะได้ช่วยกันได้”
กันทิมาส่ายหน้าบอก “เป็นภาระคุณพี่เปล่าๆ ค่ะ”
“ไม่หรอก...อาการอย่างนี้ ก็ไม่ได้เป็นทุกวันนี่นา...เข้าเดือนที่สี่ ก็น่าจะหายแพ้แล้ว...เต็มที่
อย่างมากก็ไม่เกิน 9 เดือนน่า”
กันทิมาเงยหน้ามองรำไพ ตกใจที่เธอดูอาการออก
“มาอยู่ด้วยกันเถอะนะ ที่นี่ก็ไม่ค่อยจะมีใคร...พี่อยากหาคนที่ไว้ใจได้มาอยู่เป็นเพื่อนบ้าง”
หรั่งกำลังช่วยเผ่าลาภทำกายภาพ ตามแพทย์สั่ง แพรวาเดินเข้าเฟรมมาก้มหน้าพูดกับผู้เป็นพ่อ
“คุณป๋า คุณป๋าเป็นไงบ้างคะ ไม่ได้กลับบ้านหลายวัน อยากเดินเล่นมั้ยคะ น้องแพรพาไปเอง”
แพรวาขยับรถเข็นเคลื่อนไปตามระเบียงทางเดิน สาวใช้ถือโทรศัพท์ไร้สายในบ้านเข้ามา
“โทรศัพท์จากคนงานที่เหมืองค่ะ”
“เขาจะพูดกับใครล่ะ”
สาวใช้อึกอัก “เอ้อ...” ยกโทรศัพท์แนบหูเตรียมจะถาม
หรั่งบอก “เอามานี่แล้วกัน” พลางยื่นมือไปขอโทรศัพท์มาพูด
แพรวาเข็นรถเข็นต่อไป
“คุณป๋าไม่ต้องกังวลนะคะ...ผู้ช่วยของน้องแพรจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง คุณป๋าต้องทำใจให้สบาย ออกกำลังกายตามหมอสั่ง จะได้หายเร็วๆ นะคะ”
แพรวาเข็นรถเลี้ยวไปตามมุมระเบียงบ้าน ลินจงเข้าเฟรมมาเจอพอดี
“ลูกค้าเขาส่ง mail มาว่า เขายอมรับข้อเสนอเรื่องข้าวของเราแล้ว...เขายอมจ่ายเราที่ 40% ของราคาเดิม…มันขาดทุนไปเยอะเลยนะ น้องแพรเอ๊ย”
“ก็ยังดีที่เขายอมจ่ายค่ะ”
“แต่ต้องส่งไปอบยาใหม่ ตามสเป็คเขาก่อน เขาถึงจะโอนเงินมาให้”
“เราก็รีบอบเลยสิคะ”
“บริษัทอบยาของไอ้กัน จะไม่ยอมทำอะไรจนกว่าเราจะส่งเงินไปให้”
แพรวากุมขมับ เครียดขึ้นมาทันที
“เราต้องรอเงินจากการขายพลอย”
เผ่าลาภหน้านิ่ง แววตาคล้ายจะรับรู้ปัญหาเหล่านี้ด้วย
“อาอยากเลิกแล้วละน้องแพร...เกิดเรื่องคราวนี้ อารู้เลยว่าแก่ตัวไปเยอะ มันไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อสู้กับปัญหากับความวุ่นวายอะไรอีกแล้ว”
“อาโกไม่ทำแล้วใครจะทำ”
“น้องแพรไงล่ะ”
แพรวาส่ายหน้า
“น้องแพรทำได้นะลูก อย่างน้อยหนูก็มีผู้ช่วยที่ดี”
ลินจงมองกลับเข้าไปในตัวบ้าน แพรวามองตาม
สายตาของทั้งสอง มองไปยังหรั่งที่ยกโทรศัพท์ออกจากหู เขาหันไปพูดกับกันทิมาที่อยู่ใกล้ๆ ค่อนข้างเครียดพอกัน
“บางที น้องแพรอยากจะยกธุรกิจทั้งหมดให้เขาไปเลยด้วยซ้ำ” แพรวาบอก
สีหน้าเผ่าลาภฟังนิ่งๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดยังไง
กันทิมาและหรั่ง ทั้งสองอยู่ในท่าทีที่กำลังหารือและตัดสินใจ
“เขาอาจจะไม่ยอมพูดกับฉันก็ได้”
“ผมขอแค่ให้เขาฟังคุณก็พอ”
“ฉันไม่ค่อยแน่ใจ”
“แล้วแต่คุณแล้วกันครับ...ทางโน้นรายงานมาว่า สถานการณ์กำลังจะเดือดขึ้นเรื่อยๆ...ผมทำเต็มที่เท่าที่คนนอกอย่างผมจะทำได้แล้ว...การตัดสินใจที่เหลือเป็นของคุณเอง”
กันทิมาสูดหายใจลึกๆแล้วจึงตัดสินใจ
“ฉันขอไปเงียบๆแบบไม่เป็นทางการแล้วกัน”
“ผมจะขอรถตู้ สแตนด์ บายไว้ให้ครับ...อาจจะส่งคุณแค่ในเมืองก็ได้ ถ้าคุณต้องการ”
ขณะเดียวกันที่ บริษัท M.S. Jewelry
ในบริเวณแผนกออกแบบโต๊ะพนักงานทุกตัว ว่างโล่ง ไร้ผู้คน กัมปนาทเดินเข้ามาในนี้ เขาหยุดมองไปรอบๆ หน้าตาเครียด เขายกโทรศัพท์ภายใน กดหมายเลขเรียก
“คุณนุช...มาหาฉันที่ห้องเดี๋ยวนี้เลย ฉันอยากรู้ว่าพนักงานในแผนกของฉันหายไปไหนกันหมด”
นุชเลขาสาวก้าวเข้ามาทันควัน
“ลาออกหมดค่ะ”
กัมปนาทอึ้ง “ลาออก? ทุกคน?”
“ค่ะ ทุกคนค่ะ...พวกเขาได้ข่าวว่า M.S.จะเลิกกิจการ”
“จะบ้ากันใหญ่แล้ว ใครเป็นคนปล่อยข่าว...แล้วออร์เดอร์ที่ค้างอยู่ใครจะทำ”
“คุณปีเตอร์โทร.ไปขอยกเลิกออร์เดอร์กับลูกค้าเราหมดแล้วครับ”
“อะไรนะ? ทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลย...แล้วเรื่องขายพลอยไปถึงไหนแล้ว”
“เอ้อ...ไม่ทราบค่ะ”
“โทร.หาคุณอรทัยให้ฉันหน่อย”
เลขาสาวเดินออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง กัมปนาทกดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด สักพักเราจึงได้ยินเสียงในโทรศัพท์บอกให้ฝากข้อความไว้
“ธนู เธออยู่ไหนน่ะ...รีบโทร.กลับฉันด่วนเลย...เธอไม่อยู่ซักคน อะไรๆ มันวุ่นไปหมดเลย รู้มั้ย”
เลขาสาวกลับเข้ามาทันได้ยินประโยคท้ายๆ ของกัมปนาท
“คุณอรทัยบอกว่า ยังขายไม่ค่อยได้ เพราะร้านค้าย่อยไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไหร่...เขาว่ามันแพงไป ไม่ใช่ตลาดของพวกเขา”
“นี่เราลดราคาลงมาครึ่งต่อครึ่งแล้วยังว่าแพงอีกเหรอ...คุณอรทัยเขาช่วยวิ่งเต้นบ้างรึเปล่าเนี่ย รึว่าปล่อยให้ธนูขายอยู่คนเดียว”
“เดี๋ยวดิฉันโทร.ไปถามให้ใหม่นะคะ”
กัมปนาทดุ ด้วยความหงุดหงิด “ไม่ต้อง”
กัมปนาทกดโทรศัพท์เบอร์เดิมอีกที มันยังคงเป็นเสียงบอกให้ฝากข้อความเหมือนเดิม
ที่อพาร์ทเม้นท์ซูซาน
ภาพหน้าจอ I Phone เห็นเป็นคลิป ธนูเต้นรำอย่างเมามันในบาร์เคลียคลอกับซูซาน โดยซูซานนอนดูภาพนี้อยู่บนเตียงนุ่ม เธอยิ้มสนุกสนานกับภาพที่เห็น เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“รูมเซอร์วิสคร้าบ...”
“เชิญ...ประตูไม่ได้ล็อค”
ประตูห้องเปิดออก ธนูเดินเข้าเฟรมมาพร้อมกับรถเข็นอาหาร เขาร้องและเต้นแร็พประกอบอาหารที่นำเข้ามา
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง ตื่นสายจริงๆ ผู้หญิงของผม...ตื่นแล้วรีบไปล้างหน้า ผมนำอาหารมาให้ชิมให้ดม...ถ้าไม่อร่อยยินดีรับคืน แต่ต้องรีบตื่น อย่าให้ขื่นให้ขม...ลุกขึ้นมาเต้นรำกันดีกว่า...อย่ามัวชักช้า..เดี๋ยวจะน่าดูชม”
ธนูดึงซูซานขึ้นมาเต้นแร็พรอบเตียงนอน
ที่ตลาดชุมชนในอำเภอบ่อพลอย กาญจนบุรี รถปิ๊คอัพติดฟีล์มดำ สภาพไม่ใหม่นัก วิ่งไปตามถนนในตลาดย่านชุมชน ที่กระบะท้ายรถ บรรทุกไว้ด้วยลำโพงและเครื่องขยายเสียง เสียงดนตรีเร้าใจดังกระหึ่มตามมาด้วยเสียงดุดัน เอาจริงเอาจังของชายคนหนึ่ง ดังออกมาทางลำโพงนั้น โดยไม่เห็นตัว เป็นเสียงของชาติชาย
“พ่อแม่พี่น้อง โปรดฟังทางนี้… เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า นายแสงเทพ เทวฤทธิ์ แห่งบริษัทเทพทอแสง คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจผิดกฎหมายมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นค้าของเถื่อน หลบเลี่ยงภาษี ตัดไม้ทำลายป่า และอาจเป็นเอเย่นต์ส่งยาเสพติดด้วยซ้ำไปดังนั้น การพยายามเข้ามาซื้อที่ดิน เพื่อทำธุรกิจเหมืองของบริษัทเทพทอแสง จึงเป็นเพียงการฟอกเงิน และสร้างฉาก บังหน้า ธุรกิจลับๆ ของมัน”
ในรถคันนั้น มือแก้มบังคับเสียงดนตรีจาก i-pod ส่งออกลำพอง แก้ม scratch music ยิ้ม ยักคิ้วให้ชาติชาย ส่วนผ่องซึ่งเป็นคนขับรถ โยกไหล่ตามจังหวะดนตรี ชาติชายส่ายหน้าขำๆ แก้มให้คิวชาติชาย พูดต่อ
อีกมุมหนึ่งของย่านชุมชน รถกระบะคันนั้นเลี้ยวเข้ามา เสียงดนตรีจากเครื่องขยายเสียงยังคงดังต่อเนื่อง มันค่อยๆ เฝดลง เพื่อให้เสียงชาติชายก็ดังแทรกเข้ามา
“ดังนั้น จึงขอให้พ่อแม่พี่น้องโปรดพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนตัดสินใจขายที่ดินของท่าน...ส่วนผู้ใดที่ได้ขายที่ดินทำกินให้เขาไปแล้ว เราก็ยังมีสิทธิ เรียกร้องให้นายแสงเทพ เปิดเผยธุรกิจที่แท้จริงของตนออกมา การรวมกลุ่มของพวกเราเท่านั้นที่จะเป็นพลังต่อรอง และกดดันให้ภาครัฐชะลอการให้สัมปทานแก่เทพทองแสง เพื่อพิสูจน์ความโปร่งใสของเขาซะก่อน ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้อง มาร่วมชุมนุมกันที่บริเวณลานกีฬาข้างสำนักงานเขต สองทุ่มคืนนี้”
ที่ย่านตลาดอันจอแจ รถกระบะคันนี้แล่นผ่านตลาดไป เสียงดนตรีเร้าใจยังดังกระหึ่ม ในร้านค้าบริเวณนั้น พบว่า มีชายสองคนกำลังนั่งวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอยู่
ชาย 1 บอก “ถ้ามันเลวขนาดนี้ ก็เอาไว้ไม่ได้แล้ว ต้องไล่ไปให้พ้นจากบ้านเรา”
ชาย 2 ว่า “เฮ้ย ใจเย็นๆ อย่าด่วนสรุป มีหลักฐานชัดหรือยัง ไปว่านายแสงเทพเขาอย่างนั้น”
ชาย 1 บอกอีก “มันก็ต้องมีแหละ ไม่งั้นหมอนั่นมันจะกล้ามาประจานขนาดนี้เรอะ”
ด้านหลังไกลออกไป บารมีและมือปืนสามคนเดินเข้ามา พวกมันกระจายกันสอบถามข้อมูลจากชาวบ้านใกล้ตัว บารมีเดินมาทางชาย 2 คนที่คุยกันอยู่
ชาย 2 คุยต่อ “หมอนั่นมันมีผลประโยชน์อยู่…น้าไม่รู้อะไร มันทำธุรกิจแข่งกัน มันก็ต้องลุกขึ้นมาโวยวายใส่ความกันอย่างนี้แหละ”
“เหรอ” ชาย 1 ว่า
“เออสิ ระดับผู้จัดการเหมืองลงมาลุยปลุกระดมเองอย่างนี้ มันเรื่องผลประโยชน์แหงๆ”
“จริงเหรอ”
“โธ่...ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้ เด็กที่ไหนก็ดูออก…”
บารมีได้ยินชัด เขารู้ตัวต้นตอที่ต้องการแล้ว มือปืนสามคนเดินเข้ามาหาบารมี กระซิบที่หูเขา
“ตัวการเรื่องนี้มันชื่อชาติชาย รู้สึกจะเป็นคนที่เหมืองแถวนี้” มือปืน 1 กระซิบบอก
มือปืน 2 ว่า “คงหาตัวได้ไม่ยาก”
บารมียิ้มเยือกเย็น
“ไอ้แส่นี่ อั๊วรู้จักมันดี…ฮึ่ น้ำหน้าอย่างมัน อั๊วจัดการคนเดียวได้”
ในรถกระบะติดฟิล์มคันนั้น ชาติชายยังถือไมโครโฟน ตะโกนป่าวประกาศอยู่
“อย่าลืม สองทุ่มคืนนี้ ร่วมกันขับไล่คนเลวออกไปจากแผ่นดินของเรา เท่ากับเป็นการสร้างอนาคตให้กับพ่อแม่พี่น้อง และลูกหลานเราทุกคน”
แก้มทำดนตรีระทึกรับ เช่นเดิม ใส่หูฟัง โยก เต้นไปด้วย ผ่อง ยื่นปากเข้าไปพูดใกล้ๆชาติชาย
“เฮีย…ผมรู้สึกว่า เราจะเล่นแรงไปหน่อยนะ หลักฐานเรายังไม่ชัดเลย อัดมันซะขนาดนี้”
“แล้วไง?”
“เขาฟ้องเอาได้น่ะสิ…อบต.ก็บอกมาแล้ว ว่าให้รับผิดชอบตัวเอง ช่วยอะไรไม่ได้ด้วย”
“ไม่สน…ของอย่างนี้ ใครอัดก่อนได้เปรียบก่อนเว้ย”
“ผมกลัวมันจะอัดเรากลับมา แรงกว่าน่ะสิ”
“กลัวทำไม…อย่างมากก็แค่ตาย”
“อ้าว ผมมีครอบครัวนะเฮีย ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแบบเฮียนี่หว่า” ลูกน้องโวย
เย็นนั้นที่บ้านพักชาติชาย เท้าคู่หนึ่งที่ก้าวเข้ามา เดินตรงเข้าไปยังตัวบ้าน ที่เอวของใครคนนั้นเห็นปืนหนึ่งกระบอกขนาด 9 ม.ม. เหน็บอยู่ที่เอว มือของชายผู้เป็นเจ้าของเท้าหยิบปืนกระบอกนี้ออกมา...
ภายในบ้านหลังเดิม ชายคนนี้วางปืนลงบนโต๊ะ เขาหันหลัง เปิดตู้เย็นรินน้ำดื่ม เมื่อเขาปิดตู้เย็น หันหน้ากลับมา เราจึงเห็นว่า เขาคือ ชาติชายนั่นเอง ฉับพลัน…เสียงบารมีดังเย้ยหยันมาจากด้านนอก
“เดี๋ยวนี้อยู่บ้านต้องพกปืนด้วยเหรอ”
ชาติชายหันหน้าไปทางต้นเสียง เห็นบารมียืนพิงผนังบ้านรออยู่ก่อนแล้ว
ชาติชายสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนเอ่ยปากตอบ
“คนสมัยนี้มันไว้ใจกันไม่ได้”
“ลื้อไปก่อคดีมีโจทย์ไว้เยอะน่ะสิ”
“นั่นมันเฮีย”
ชาติชายเอื้อมมือเพื่อวางขวดน้ำลงบนโต๊ะ บารมีใช้เท้าถีบโต๊ะเคลื่อนออกไป ขวดน้ำหล่นลงพื้น แตกกระจาย ชาติชายเงยหน้าจ้องบารมี....พยายามเก็บอารมณ์ บารมีตรงเข้ากระชากคอชาติชาย
“ทำไมต้องเล่นสกปรกกับคุณแสงเทพเขาด้วย”
“เฮียอยู่ข้างเดียวกับมันเหรอ”
“อยากอายุสั้นนักใช่มั้ย”
“อายุยืนไปก็งั้นๆ แหละ”
บารมีเหวี่ยงชาติชายกระเด็นไปติดฝาบ้าน
“ลื้อจะดันทุรังไปทำไม ทำเหมืองสู้เขาไม่ได้ ก็ปล่อยให้คนอื่นที่เขาเก่งกว่ามาทำสิวะ”
“ไอ้แสงเทพน่ะเหรอทำเหมืองเก่ง เฮียรู้มั้ยว่ามันทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย มันขี้โกงชัดๆเฮียยังไปอยู่กับมันอีกเหรอ”
“รู้ได้ไงว่าเขาโกง”
“เขารู้กันทั้งประเทศ”
“พูดหมาๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า” บารมีด่า
“แล้วเฮียล่ะ เป็นลูกผู้ชายนักเหรอ”
บารมีโกรธจัด กระชากคอชาติชายมาบีบขย้ำอีกครั้ง
“อาเหลียง ถ้าลื้อยังดื้อดัน มุทะลุ ไม่มีเหตุผลละก้อ ระวังเถอะ…จะไม่ตายดี”
“ตายดีตายเลวก็ตายเหมือนกัน”
บารมีคว้าปืนบนโต๊ะขึ้นมาจี้หน้าผากชาติชาย
“งั้นตายซะตอนนี้เลยดีมั้ย”
ชาติชายนิ่ง…บารมีถือปืนนิ่งไว้อย่างนั้นเช่นกัน ทั้งคู่ จ้องตากันไม่มีใครยอมใคร
ชาติชายท้า “เอาเลยสิเฮีย รออะไร...คนเป็นพี่ ทำอะไรกับน้องได้ทั้งนั้นแหละ”
บารมีลดปืนลง
“อั๊วไม่โง่ ยิงลื้อที่นี่ ให้คนเห็นหรอก”
“ใครจะเห็น…เงียบออกอย่างนี้ ทำอะไรไม่มีใครรู้หรอก ขนาดเฮียข่มขืนกันทิมาที่นี่ ยังไม่มีใครรู้เลย”
บารมีตบหน้าชาติชายจนร่างกระเด็นออกไป
“ยังแค้นอั๊วอยู่ใช่มั้ย”
เขาตรงเข้าไปตบหน้าน้องชายซ้ำอีกที โดยไม่รอคำตอบ
“ลึกๆ ลื้ออยากแก้แค้นอั๊วใช่มั้ยอาเหลียง…บอกมาสิไอ้ตี๋”
“อั๊วอโหสิให้ไปนานแล้ว”
“ถุ๊ย ! ไม่จริง…อั๊วเห็นนะ เวลาที่ลื้อแอบมองกันทิมาน่ะ…ยังอยากได้เขาอยู่ใช่มั้ย เอางี้ถ้าลื้อรับปากว่าจะเลิกก่อกวนคุณแสงเทพละก้อ อั๊วจะให้ยืมกันทิมาซักวันสองวันเอามั้ย…อั๊วจะลองพูดกับเขาให้ แต่ลื้อต้องฟิตตัวเองหน่อยนะ…เพราะกันทิมาเขาร้อนแรงเหลือเกิน พวกจืดชืด เซื่องๆอย่างลื้อ เอาไม่อยู่หรอก…หรือจะให้อั๊วสอน…ได้ พี่น้องกันอั๊วยินดีเป็นเทรนเนอร์ให้ แต่อั๊วต้องนั่งดูด้วยคนนะ เผื่อเห็นท่าทีไม่ดีจะเลยเถิดไปกันใหญ่ อั๊วจะได้รีบเอาของอั๊วคืนได้ทัน…ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
ชาติชายเก็บอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป กระโจนเข้าหาบารมีราวกับหมาบ้า
“ไอ้สารเลว”
ทั้งคู่ฟัดกันนัวเนีย ล้มกลิ้งจนตกระเบียงบ้านไป
ร่างชาติชายและบารมีกลิ้งตกลงมาที่พื้น ชาติชายกระชากบารมีขึ้นมาต่อยไม่ยั้ง บารมีพยายามปัดป้อง และโต้ตอบกลับไปบ้าง
ที่ด้านหลัง มีรถรับจ้างหนึ่งคันแล่นเข้ามาจอด หญิงสาวก้าวลงมาจากรถ เธอคือกันทิมา
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
กันทิมากระโจนเข้าแยกพี่น้องทั้งสองออกจากกัน โดยไม่ทันจ่ายค่าโดยสารรถ เธอดึงรั้งร่างของชาติชายไว้ ในขณะที่บารมีนอนกองอยู่ที่พื้น ทั้งคู่หน้าตาแตกยับพอกัน
บารมีค่อยๆ ลุกขึ้นมองภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเขา
“อ้อ…อย่างนี้นี่เอง ฉันอุตส่าห์แวะไปหาที่คอนโด ก็ไม่เจอ เพราะเธอแอบมาซุกหัวอยู่ที่นี่…นี่คงลักลอบได้เสียกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วใช่มั้ย”
“ถ้ายังไม่หยุดปากหมาอีกละก้อ…”
กันทิมารั้งร่างชาติชายไว้แน่น บารมีพูดสวนออกมาทันที
“ทำไมวะ ไอ้เหลียง มึงจะทำไมกู”
“พอซะทีเถอะ พวกคุณเป็นพี่น้องกันแท้ๆ นะ จะฆ่ากันให้ตายไปถึงไหน”
“นั่นสิ…พี่น้องกันแท้ๆ ถ้าเธอคิดจะมีชู้ ทำไมไม่ไปมีกับคนอื่น ห๊า! ทำไมต้องเป็นไอ้เหลียงด้วย”
“แล้วทีเฮียล่ะ จะหาผู้หญิงทำเมีย ทำไมต้องมาแย่งแฟนน้องด้วย ทำไมไม่ไปแย่งคนอื่นมาแย่งของน้องทำไม…บอกมาซี่ว่า ทำไม”
“อยากรู้นักเหรอ...ถ้าอั๊วบอกลื้อ แน่ใจเหรอว่าลื้อจะทนฟังได้...ขอโทษนะกันทิมา ที่ผมจะต้องเอาเรื่องจริงระหว่างเรามาเล่าให้อาเหลียงฟัง”
ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นที่กันทิมา
“ฉันว่าเราจบเรื่องนี้ซะเถอะค่ะ”
บารมีไม่ยอมจบ เขาเดินตรงเข้าหากันทิมาและชาติชาย
บารมีร่าย “คืนนั้นฝนมันตกว่ะ อากาศเย็นมาก พายุก็เข้ามาอีก....แถวนี้ไฟดับหมด มีแสงสว่าง
เพียงจากปลายเทียนเท่านั้นเอง...”
ร่องรอยความปวดร้าว ฉายขึ้นในดวงตาของกันทิมา แต่ความอยากรู้อยากเห็น ปรากฏขึ้นในแววตาของชาติชาย
“คนอย่างลื้อไม่รู้หรอกว่า ความเยือกเย็นของละอองฝน แสงเรื่อๆ ของเปลวเทียน และกลิ่นเหล้าบางๆ จากริมฝีปากของผู้ชายน่ะ มันทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์ได้มากแค่ไหน”
“คุณบารมี” กันทิมาเสียงดัง
“แล้วผู้หญิงบางคนน่ะนะ เวลาที่มีอารมณ์ เธอจะมีพละกำลังในการรุกเร้าอย่างมากมายมหาศาล ชนิดที่ช้างก็ฉุดเอาไว้ไม่อยู่”
ชาติชายแน่นิ่งไปกับคำบอกเล่าของบารมี กันทิมาพยายามหาวิธีที่จะหยุดบารมีให้ได้
“ฉันขอให้พอแค่นี้เถอะค่ะ”
“แล้วนับประสาอะไรกับผู้ชายตัวเล็กๆอย่างอั๊ว...อั๊วก็เพียงแต่คล้อยตามกันทิมาเขาไปสุดท้าย เราทั้งคู่ก็สนองตอบ อารมณ์ และแรงปรารถนาของกันและกัน มันเป็นการเข้ากันได้ดีที่สุดเท่าที่หญิงและชายจะกระทำด้วยกันได้ จนกระทั่งถึงจุดสุดยอด...”
กันทิมาเงื้อมือตบหน้าบารมีสุดแรง
“ฉันบอกให้หยุดพูดไง”
บารมีมองหน้ากันทิมานิ่ง เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แล้วลื้อก็คงไม่รู้หรอกอาเหลียง ว่า ผู้หญิงบางคนตบหน้าผู้ชายด้วยความหมายอะไร”
บารมีก้มลงประทับปาก บนรอยเผยอของริมฝีปากกันทิมาอย่างแนบแน่น ชาติชาย ร้าวรานใจเป็นที่สุด กันทิมาค่อยๆดันตัวออกมาจนได้
“ลื้อไม่รู้จักอารมณ์ของกันทิมาได้ดีเท่าอั๊วหรอก อาเหลียง”
กันทิมาตบหน้าบารมีอีกครั้ง
“อย่าคิดนะ ว่าคุณจะรู้จักฉันได้ดีกว่าใครๆ คุณบารมี”
บารมีมองหน้ากันทิมานิ่ง ไม่แสดงอาการรุนแรงตอบ
“ถ้าคุณยังเป็นเมียผมอยู่ เดินไปขึ้นรถผมเดี๋ยวนี้...ผมจะนับหนึ่งถึงสามเท่านั้น...หนึ่ง”
กันทิมายืนจ้องหน้าบารมี ไม่ขยับเขยื้อนตัว
“ทั้งหมดที่คุณรู้เกี่ยวกับฉัน มันอาจจะไม่ใช่ตัวจริงของฉันก็ได้”
บารมีร้อง “สอง”
“ยังมีอีกหลายเรื่องของฉัน ที่คุณไม่เคยรู้” กันทิมาไม่สะทกสะท้าน
“สาม”
“และฉันก็พอใจที่คุณจะไม่มีวันได้รู้มันเลย”
กันทิมายืนนิ่ง แน่วแน่ ไม่ขยับขาแม้แต่น้อย บารมีเข้าใจความหมายนั้นได้ เขาหันไปจ้องหน้าชาติชาย
“ถ้าลื้อไม่ใช่น้องละก้อ...ไม่มีทางยืนอยู่อย่างนี้ได้หรอก จะบอกให้”
เขาหันไปส่งยิ้มใสๆให้กันทิมา...โดยไม่รู้ว่า มันคือยิ้มสุดท้ายที่เขาจะมีให้เธอ
“ลาก่อน...กันทิมา”
บารมีเดินตรงไปที่รถของตน โดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งกันทิมาและชาติชายไว้เพียงสองคน
ที่หน้าสำนักงานเหมือง มีรถตู้ติดสติ๊กเกอร์ M.S. JEWELRY คันหนึ่งจอดอยู่บริเวณนั้น รถของชาติชายแล่นเข้ามาจอด ไม่ไกลกัน เมื่อมันจอดสนิท เราจะเห็นว่าชาติชายนั่งนิ่ง กันทิมากำลังขยับตัวจะก้าวลงจากรถ
“คุณจะไม่พูดอะไรซักคำเหรอ กันทิมา”
“ขอบใจนะ”
“เท่านั้น”
“ที่ขับรถมาส่งถึงตรงนี้...รถตู้มารอฉันพอดี”
“คุณมาหาผมที่บ้านพัก เพื่อให้ผมขับรถมาส่งที่หน้าออฟฟิศ เพื่อคุณจะได้พูดคำว่าขอบใจ...เท่านี้เองเหรอ?”
“บริษัทส่งฉันมา เพื่อเตือนให้คุณเลิกบุ่มบ่าม เลิกมุทะลุ เพราะมันไม่เป็นผลดีกับบริษัทและกับตัวคุณเอง...แต่คงสายไปแล้วละ ใครก็ห้ามคุณไม่ได้หรอก...ฉันรู้”
กันทิมาขยับจะลงจากรถ ชาติชายจับมือกันทิมา ดึงรั้งมาใกล้ตัว
“บอกผมซิว่า จริงรึเปล่า....ทั้งหมดที่เฮียหั่งพูดมาน่ะ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
กันทิมาจ้องหน้าชาติชายซักพักหนึ่ง
“ชาติ...จนถึงวันนี้ คุณก็ยังไม่เคยเข้าใจผู้หญิงเหมือนเดิมไม่มีผิด”
“มันไม่เป็นความจริงใช่มั้ย”
“ตราบใดที่คุณยังต้องการเพียงแค่คำยืนยันจากปากของผู้หญิง ก็แปลว่าคุณไม่เคยศรัทธา ไม่เคยเชื่อมั่น ในหัวใจของผู้หญิงคนนั้นเลย ซักนิด”
กันทิมาผละออกจากชาติชาย เดินตรงไปที่รถตู้ เมื่อรถตู้แล่นออกไป ชาติชายทรุดตัวลงนั่งพิงรถของเขา นึกถึงความหลังในอดีต
ที่ห้องพักชาติชาย คืนฝนตกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ชาติชายเดินถือกุญแจดอกนั้นเข้ามาหากันทิมา ร่างของเขาเปียกและเลอะไปด้วยฝนและโคลน
“นี่ไง...ผมเจอกุญแจแล้ว...เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าผมจะหามันจนกว่าจะเจอ”
กันทิมามองกุญแจนั้นนิ่ง น้ำตายังคงเอ่อคลออยู่ในเบ้า
“คุณไม่ดีใจเหรอ”
“คุณจะโกรธมั้ยที่ฉันทำผิดไปแล้ว”
“โธ่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพราะถึงยังไงหัวใจของเราก็มัดรวมกันอยู่ในกล่อง...ที่จริงกุญแจหายไปเลยสิ ยิ่งดี จะได้ไม่มีใครมาไขเอาหัวใจของเราออกไปได้”
กันทิมาร้องไห้ออกมาอีกครั้งจนได้
“วันนี้คุณร้องไห้เยอะมากเลยนะ กัน...ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นอย่างนี้มาก่อน”
“บางทีฉันอาจจะประมาท พลั้งเผลอไป ทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาจนได้....ฉันอยากให้คุณอภัยให้ฉัน...ได้มั้ย”
“ไม่มีอะไรที่ผมต้องอภัยให้คุณ...ก็แค่ทำกุญแจหล่น...”
ชาติชายฉุกคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง น้ำเสียงของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป
“คุณไม่ได้ทำอะไรมากกว่า ทำกุญแจหล่นใช่มั้ย”
กันทิมานิ่ง...ร้องไห้หนักมากยิ่งขึ้น
“ตอบผมสิ...ไม่มีอะไรมากกว่านี้ใช่มั้ย”
“การยอมรับผิดและยอมถูกลงโทษ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะมันจะทำให้ความผิดจบเพียงแค่นั้น ไม่เปิดโอกาสให้ใครก่อความผิดครั้งใหม่ได้อีก”
“คุณพูดอะไรน่ะ กัน...คุณกำลังจะบอกอะไรผม”
กันทิมาส่ายหน้า “ลาก่อนค่ะ ชาติชาย”
กันทิมาเดินจากไปท่ามกลางสายฝน
ชาติชายก้มหน้าซุกฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง เห็นหยาดน้ำตาไหลผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วของเขา มีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งถูกยื่นเข้ามาให้
“นั่งท่านี้ไม่เท่ห์เลยนะอา” เป็นแก้มที่เป็นผู้ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
แก้มขยับลงนั่งข้างๆชาติชาย
“เช็ดซะหน่อย อา...เดี๋ยวน้าผ่องมาเห็น...เสียฟอร์มแย่เลย”
ชาติชายเงยหน้ามองแก้ม
“เช็ดเฉพาะน้ำตานะคับ...เหลือเลือดเลอะๆไว้นิดนึง...เท่ห์ดี”
ชาติชายด่า “ทะลึ่ง”
แก้มยิ้ม ชาติชายลุกขึ้นยืน โดยไม่รับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
“คุณกันทิมาเขาเป็นห่วงอามากนะคับ”
“รู้ได้ไง”
“รู้ก็แล้วกัน...เรื่องแบบนี้แก้มถนัด”
“รู้จักชื่อเขาด้วย”
“ไม่เห็นยาก”
แก้มยักไหล่ พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์เมื่อห้าชั่วโมงก่อนหน้านี้
เวลานั้นกันทิมาอยู่บนรถโดยสารรับจ้าง ที่กำลังแล่นผ่านหน้าสำนักงาน แก้มนั่งล้างรองเท้าของเธออยู่ รถรับจ้างคันนั้นจอดกันทิมาโผล่หน้าออกมามอง แก้มหันไปมองตอบด้วย สีหน้าแปลกใจ
“น้องคือเด็กที่ขี่หลัง ชาติชายวันนั้นใช่มั้ย”
“วันไหน”
“วัน...เอ้อ”
“อ๋อ แก้มขาแพลง อาชาติชายเลยจับขี่หลัง พาไปหาหมอในตลาด”
“ชื่อแก้มเหรอ”
“คับ”
“แล้วขาเราเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก...อาชาติชายเว่อร์เอง...ขู่จะให้หมอตัดขา โธ่นึกว่าแก้มจะกลัว”
กันทิมาจ้องมองท่าทางของแก้มแล้วจึงเอ่ยปากพูด
“ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว”
“เป็นยังไงคับ”
“ช่างเถอะ...”
“คุณอาคือแฟนเก่าอาชาติชาย ที่ทำให้อาเขาอกหักใช่มั้ย”
“พูดตรงดีนะ...ชาติชายเขาชอบคนแบบนี้ละ...แต่จำไว้อย่างนึงนะ เมื่อไหร่ที่เขาผิดหวังเขาจะโกรธแค้น ชิงชังทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นเอามากๆ จนน่าตกใจ...ปกติเขาก็เป็นคนที่ชอบเก็บอะไรไว้ในใจอยู่แล้วด้วย...แต่ฉันรู้สึกว่า เขาดูจะเพลิดเพลินที่มีเธออยู่ใกล้ๆ...ถ้าไม่ลำบากนัก ฉันฝากดูเขาด้วยก็แล้วกัน...อ้อ ถ้าเขาพูดว่า ทะลึ่ง...แปลว่าเขากำลังอารมณ์ดี และมีความสุข”
แก้มขยับตัวลงนั่งข้างๆ ชาติชาย บนรถของเขา
“คุณกันทิมาสวยนะคับ แก้มยังชอบเลย...เอ...แบบแก้มกับแบบคุณกันทิมา...อาชอบแบบไหนมากกว่ากัน”
ชาติชายพูดออกมาทันที “ทะลึ่ง”
แก้มยิ้มกริ่ม มีความสุข
เย็นวันเดียวกัน แพรวาก้าวเข้ามาตรงกลางห้องประชุม บริษัท M.S. ด้วยสีหน้าตกใจ
“อะไรนะ พูดใหม่อีกครั้งซิ”
ทุกคนนั่งกระจายเป็นวงกว้าง อยู่ในห้องประชุมนั้น
“จิเวลรี่ของเราขายไม่ได้เลยครับ ร้านค้าย่อยทุกร้านปฏิเสธ ไม่สนใจ เขาบอกว่า มันไม่คุ้มกับการลงทุน” ธนูรายงาน
“เป็นไปได้ยังไง เราลดราคาลงมาขนาดนี้ ยังบอกไม่คุ้มอีก..มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ อาฮุยคะ”
“อาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน...มันคงต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ”
หรั่งลอบจ้องหน้าธนูแวบหนึ่ง ธนูเงยหน้ามองหรั่งแล้วรีบหลบตาวูบ
“เราไม่น่าจะจนแต้มได้ถึงขนาดนี้”
“มันจะผิดปกติอะไร้...มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่กำลังดวงตก อะไรๆ มันก็ตกลงมาหมดนั่นแหละ”
“แล้วน้องแพรควรจะทำยังไงคะ โกฮุ้ง”
“ขายเหมืองเลย...ขายทั้งเหมืองทั้ง M.S.จิวรี่...ขายให้หมด ยกเลิกกิจการ เอาเงินไปใช้หนี้
ที่เหลือแบ่งกันตามสัดส่วนหุ้น”
“แค่พลอยเม็ดเล็กๆเรายังขายไม่ได้ แล้วขายทั้งกิจการ จะมีใครซื้อ”
“มีสิน่า...ให้อาขายให้มั้ยล่ะหลานสาว”
อรทัยดูจะยิ้มสะใจ จนใครๆเห็นได้ชัด หรั่งลอบมองหน้าอรทัย อย่างใช้ความคิด
แพรวาเดินไปตามทางเดินในบริษัท หรั่งเดินตามมาทีหลัง...เขาเร่งฝีเท้าตามเข้าไปใกล้ และเอ่ยปากคุยด้วย
“ผมขอพูดตรงๆกับคุณได้มั้ยครับ”
“ปกตินายก็พูดตรงๆ กับฉันทุกทีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...หรือว่ามีอะไรตรงมากกว่านั้นอีก”
“ถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์คนในตระกูลของคุณ...คุณฟังได้ไหมล่ะครับ”
“ไม่รู้...ถ้าฟังดูไม่ดี ฉันก็จะเดินหนีเอง”
แพรวาหยุดเดิน หันไปตั้งใจฟังหรั่งพูด
“ผมไม่ไว้ใจคุณอรทัย...ผมว่าคุณอรทัยกำลังคิดไม่ซื่อกับบริษัท”
“นายเป็นคนเสนอให้โกฮุ้งดูแลเรื่องการขายจิเวลรี่เองนะ”
“ผมอาจจะตัดสินใจพลาดไป”
“ไม่ซื่อของเธอ...คือแค่ไหน?”
“คุณอรทัยกำลังจ้องจะทำลายคุณ และตระกูลมหาโชคตั้งศิริ”
แพรวาคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงเดินหนี
“คุณแพรวาครับ”
แพรวาหันมาตอบโดยไม่หยุดเดิน
“ไม่ว่ามันจะจริงอย่างที่นายคิดหรือไม่ก็ตาม ฉันจะไม่เก็บเอาไปคิดต่อ เพราะเขาเป็นอาของฉัน...และขอให้นายเอาเวลาตอนนี้ไปเร่งมือ หาทางขายจิเวลรี่ให้ได้มากขึ้น ดีกว่าจะมาวิ่งหาคนผิด...เพราะมันอาจจะผิดกันทุกคนเลยก็ได้”
ที่ Gallery อันสวยงามโอ่อ่า ยามค่ำ ดวงใจและอรทัยเดินอยู่ในงานเลี้ยงเปิดนิทรรศการศิลปะ
ทั้งสองพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานศิลปะแม้แต่น้อย
“M.S.เป็นธุรกิจที่ทำกันมานาน...มูลค่าของบริษัทจึงสูง ทั้งทรัพย์สิน ทั้งผลประกอบการ และแบรนด์ รอยัลตี้ ซึ่งถือว่าสูงกว่าใครๆ เพราะฉะนั้น นักลงทุนที่สนใจจะขยับตัวเข้ามาในวงการอัญมณี M.S. Jewelry จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด”
“แหม...ดิฉันเองก็ไม่ได้คลุกคลีกับคนในแวดวงนี้ซักเท่าไหร่ด้วยสิ” ดวงใจออกตัว
“แต่ใครๆ ก็รู้ว่า คนในแวดวงที่คุณดวงใจคลุกคลีด้วยน่ะ ระดับบิ๊กๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ”
“คุณอรทัยพูดอย่างนี้ตีความได้หลายทางนะคะ”
“แต่สำหรับดิฉัน ตีความทางเดียวเท่านั้นค่ะ...”
“ทางนั้นคือ...”
“นักการเมืองท่านใด ที่สนใจอยากจะใช้ M.S. ของเราเป็นที่ฟอกเงิน เชิญเทคโอเวอร์เราได้นับตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ”
คราวนี้ดวงใจพยักหน้ารับคำ
“ส่วนเปอร์เซ็นต์ของคุณดวงใจก็เป็นไปตามเรทค่ะ คืบหน้าอย่างไรส่งข่าวบอกด้วยนะคะ”
อรทัยเดินแยกไปดูงานศิลปะ มุมอื่น ดวงใจยกโทรศัพท์กดหมายเลขลงไป
“คุณแสงเทพเหรอคะ...ดวงใจค่ะ”
ยามค่ำที่ บ้านแสงเทพ เสียงตะวันฉายดังขึ้น
“ซื้อเลยครับคุณอา คนในเขาแบะท่ามาขนาดนี้แล้ว ผมว่าจะไม่แพงเท่าไหร่ด้วย...คุณอาก็จะได้ทุกอย่าง โดยที่คุณพ่อผมก็ไม่ต้องลำบากใจ”
แสงเทพและตะวันฉายนั่งคุยกันสบายๆ ในมุมสวนสวย
“อาว่า เอาเข้าจริงๆ มันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกหลานชาย จะขายทิ้งทั้งกิจการนี่มันเรื่องใหญ่ มันต้องมีแรงต้านจากอีกฝ่ายด้วยแน่ๆ โดยเฉพาะไอ้เผ่าลาภ ไอ้นี่เลือดเดียวกับพี่ชายมัน…คนอย่างมันไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรอก”
“เขานอนป่วยอยู่นะครับคุณอา”
“แต่ดูเหมือนมีทีท่าว่าจะหาย”
“งั้นก็ต้องรอจนกว่าจะตาย”
“นานไป”
“ระดับอา ผมว่าทำให้เร็วขึ้นได้”
“พูดได้ตรงใจอาเปี๊ยบเลย หลานเอ๊ย”
สองคนชั่วยิ้มร้ายใส่กัน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
อ่านต่อตอนที่ 13