ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 1
หากมองลงมาจากบนท้องฟ้า ไล่สายตาเรื่อยไป จะแลเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามร่มรื่น สายน้ำไหลเอื่อยๆ สลับกับสุมทุมพุ่มไม้เขียวขจี ภูมิประเทศของชนบทละแวกนี้ เขียวชอุ่ม ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายน้ำ
มีบ้านเรือนชาวบ้านตั้งอยู่มากพอสมควร แต่ละหลังอยู่ห่างกันออกไปบนที่ดินของใครมัน
แหละหากล่องไปตามลำน้ำสายหนึ่ง จะเห็นเกาะแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางลำน้ำนั้น ตอนปลายของเกาะเป็นดินแดนต่อเนื่องกับผืนแผ่นดิน โดยมีถนนลูกรังสีแดงทอดจากแผ่นดินไปยังใจกลางเกาะแห่งนี้
ที่นี่เป็นที่ตั้งของคฤหาสน์หลังใหญ่ของ บ้านสิงหมนตรี ซึ่งตระหง่านอยู่ ท่ามกลางความรกทึบที่ล้อมรอบไปทั่วอาณาบริเวณ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตกกลางดึกพระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าเต็มดวง แสงจันทร์อาบส่องเห็นเป็นเงาดำทะมึนของคฤหาสน์ นกแสกบินผ่าน ร้องเสียงดังก้อง แซก...แซก ฟังสะท้านใจชวนขนหัวลุกเป็นระยะๆ
เจ้าเรือนหลังนี้ คือ เจ้าคุณ ข้าราชการรูปงามที่มักใหญ่ใฝ่สูง และมีนิสัยเจ้าชู้ พบรักกับ อร สาวชาวบ้านขณะไปราชการที่ต่างจังหวัด และพามาอยู่กินด้วยกัน แต่แล้วเพื่อความเหมาะสมกับฐานะและหน้าตา เจ้าคุณต้องแต่งงานกับ “คุณประยงค์” สาวสวยตระกูลผู้ดี
แม่อรผู้มาก่อน กลายเป็นเมียบ่าวในเรือน และเป็นหนามแหลมทิ่มแทงใจคุณประยงค์เมียผู้ดี
นับจากนั้น นอกจากผู้คนในบ้านสิงหมนตรีแล้ว แทบไม่มีใครล่วงรู้ว่า มีเหตุการณ์ร้ายแรงอันเนื่องมาแต่พิษรักแรงหึง มากมายเกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังใหญ่โตนี้
อย่างในวันนี้ ยินเสียงกราดเกรี้ยวของคนทะเลาะกัน ดังแว่วๆ จนชัดเจนขึ้นทุกทีๆ เป็นเสียงสะท้อนดังก้อง มาจากด้านในตัวคฤหาสน์ หากตั้งใจฟังจะพบว่าเป็นเสียงของ คุณประยงค์ กับ อร ที่โต้เถียงกัน
“แก อีทาสต่ำศักดิ์ แกบังอาจย้อนฉันรึ”
“เป็นความจริงอิฉันมาก่อน”
“แต่แกต่ำ...ไม่คู่ควร...ไพร่”
“แต่อิชั้นมาก่อน....เป็นเมียก่อน คุณมาแย่งอิชั้น คุณไม่อาย”
มีแต่เสียงดังลอดออกมาจากคฤหาสน์
อีกเหตุการณ์ เห็นท่านเจ้าคุณยืนอยู่ ส่วนอรหมอบอยู่กับพื้น เงยหน้าพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“รักเธอ หลงเธอ กลัวเธอก็ไปอยู่กับเธอไปให้พ้นจากอิชั้น อิชั้นมันต่ำต้อย”
ท่านเจ้าคุณตวาด “หยุดนะ อย่าพูดจาหยาบหยามเกรงใจกันบ้าง”
“มีใครเกรงใจอิชั้นบ้างล่ะ ไม่มี...ไปเลย อยากได้นักเอาไปเลยผัวคนเดียวยกให้ ไปเลยไปสมพาสนางฟ้าให้พอใจ”
“หยุด...”
“ไม่หยุดเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าคุณขึ้นเสียง “ฉันบอกให้หยุด”
“อิชั้นไม่หยุด”
“หยุดเดี๋ยวนี้”
อรกรี๊ดสุดเสียง “จะพูด...ไม่หยุด...ไม่หยุด” เสียงของหล่อนดังก้องกังวานจนแผ่วไป เมื่อมือประยงค์จิกหัวอร ดึงเต็มแรงจนหน้าแหงนหงาย
“นังอร ดูหมิ่นท่านเจ้าคุณนัก อย่าอยู่มีชีวิตต่อไปเลยมึง”
ประยงค์กระชากผมอร ลากตัวหายไปในเงามืด ยินเสียงร้องกรี๊ด...กรี๊ด ของอร ดังก้องกังวาน จนเงียบหายไปในที่สุด
เหตุการณ์ต่อมา คุณประยงค์หันมาเห็นเสี้ยวหน้าข้างๆ มองจ้องไปที่อรราวดับจะกินเลือดกินเนื้อ
“นังอร”
อรฟุบอยู่กับพื้น หมอบตัวสั่น เวลานี้ท้องหล่อนโตพอเห็นได้
“เอ็งท้องกี่เดือนแล้ว”
อรเงยหน้า นัยน์ตาหวาดหวั่น เกด ทาสอีกคนหมอบเยื้องไปด้านหลัง
“นังเกด ถ้าเอ็งทำให้ท้องมันยุบไม่ได้ไสหัวออกไปจากบ้านข้า”
เกดย้อนเอา “อิฉันไม่ทำ...ถ้าคุณท้องสิอิฉันจะทำ”
“อีนังเกด” ประยงค์หยิบของตรงนั้น เงื้อสุดแรงเกิดแล้วขว้างไปเต็มแรง เกดโดนเข้าจังๆ ร้องหวีดด้วยความเจ็บปวด
สุดท้ายทุกอย่างพลิกผัน ร่างประยงค์กลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น ยึดมือเจ้าคุณไว้แน่น หล่อนถูกเจ้าคุณลากตัวไป
“ให้อิฉันไปด้วยอย่าทิ้งอิฉันไว้...ได้โปรดนะคะ...”
“คุณทำใช่มั้ย...บอกมา”
“ไม่...เปล่า อิฉันเปล่า”
“ไม่จริง...คนใจร้าย ใจบาปหยาบช้า”
ท่านเจ้าคุณเดินไป ประยงค์กระโจนทั้งตัว เข้าโหนตัวเจ้าคุณ ดึงรั้งไว้โดยแรง ปากก็ร้อง “เปล่า อิฉันเปล่า” ส่วนเจ้าคุณเดินไปพูดไปว่า “ไม่จริง”
ร่างประยงค์ไหลไปตามตัวท่านเจ้าคุณที่เดินลงบันไดไปเรื่อยๆ เสียงร้องว่า “ไม่จริง อย่าทิ้ง ขอไปด้วย” ดังโหยหวน กรีดแหลม คลุ้มคลั่งปวดร้าว น้ำตาไหลนองเต็มหน้า
“ฆ่าคน...ใจคอโหดเหี้ยม” ท่านเจ้าคุณว่า
“ไม่ได้ฆ่า” ประยงค์ตะโกนสุดเสียง “ฉันไม่ได้ฆ่า.....” เสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งคฤหาสน์
ท่านเจ้าคุณเดินลงบันได ลากประยงค์ไหลตามลงมาด้วย ที่สุดร่างของคนทั้งสอง เลือนหายไปจนเงียบหาย
เห็นเพียงบันไดว่างร้างไร้ผู้คนอยู่
ตรงบริเวณบันไดที่ว่างเปล่านั้น มีเสียงดังขึ้นตามมาอีก มันเป็นเสียงอรกรีดร้อง ตามด้วยเสียงเกรี้ยวกราดของประยงค์
“ตายเสียเถอะ”
และหลังจากสิ้นคำนั้นเป็นเสียงโครมครามของคนที่ตกบันไดลงมาอย่างแรง
สุดท้ายมีเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ตกใจมากๆ ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว 2-3 เสียงประสานกัน
หยดเลือดค่อยๆ ไหลจากราวบันไดขั้นสุดท้าย หยาดรินลงมาช้าๆ นองทั่วตีนบันได
ห้องโถงใหญ่ที่แสนสวยงาม ม่าน พรมชั้นดี และ เครื่องเรือนอันหรูหราสวยงามของบ้านสิงหมนตรี ที่ใครเห็นต่างชื่นชม กลายกลับเป็นห้องร้างฝุ่นจับเขรอะ ตามวันเวลาที่ล่วงเลยไป
ตอนเย็นของวันหนึ่ง หลายสิบปีต่อมา
ประตูคฤหาสน์สิงหมนตรีเปิดกว้างออก มีคนสามคนเดินเข้ามาในห้องโถงกลางนี้ ชายหนุ่มนาม เชษฐา เกรียงไกรฤทธิ์ เดินนำ ตามด้วย อนงค์วดี สิงหมนตรี ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลสิงหมนตรี และ มนัสวีร์ ตามหลัง
ทันใด เชษฐาก็หยุดยืน...นิ่ง ขมวดคิ้ว เพราะเกิดความรู้สึกแปลกๆ เหมือนคุ้นเคยกับห้องนี้ เขาเหลียวมองไปรอบๆ นัยน์ตามองผ่านรูปคุณประยงค์ไปแล้วชะงักหันกลับมาดูรูปนั้นอีกที สบตากันอีกอึดใจหนึ่ง เชษฐาเหลียวกลับ แล้วชะงักหลับตา พึมพำออกมา
“กลิ่นอะไรเนี่ย”
อนงค์วดีหันขวับมาทันที สีหน้าขมวดมุ่นนิดๆ
“ดอกไม้? มีดอกไม้อะไรอยู่ในห้องนี้” เชษฐาถาม
“ไม่มี” อนงค์วดีตอบเสียงเบา
เชษฐายืนเท้าสะเอวสองข้าง มองไปรอบๆ อย่างพิเคราะห์ เขามองข้างบน มองข้างล่าง
มีหนูวิ่งออกมา เชษฐาขยับตัวนิดหน่อย หนูวิ่งไปทางอนงค์วดี หล่อนเพียงแต่หลีกไปไม่ตกใจเหมือนกัน
ในขณะที่มนัสวีร์กระโจนหนีไปเสียห่าง
เชษฐายิ้มหยันนิดๆ ขณะมองมา มนัสวีร์ทำตัวห่อเขินนิดๆ
เชษฐา มองไปที่รูป ท่านเจ้าพระยา จ้องตากันสักครู่แล้วหันไปมองอนงค์วดี
“ต้นตระกูลของดิฉัน” อนงค์วดีบอก
เชษฐาพยักหน้า มองกวาดสายตาไปที่รูปภาพทั้งหลาย ทั้งอยู่ข้างฝา
“รูปภาพเยอะดี คนในตระกูลของคุณ” เชษฐาว่า
“ค่ะ”
เชษฐามองไป เห็นแต่ความเสื่อมโทรมของสถานที่ เก้าอี้เก่าขาด โต๊ะมีฝุ่นละอองเต็ม ผ้าม่านห้อยย้อยกระจกแตก
เชษฐาเหลียวไปอีกทาง แต่หยุดชะงักหันขวับกลับไปมองที่เก่า ตรงบริเวณเหนือหน้าต่าง เป็นปูนปั้นรูปนางฟ้าเทวดา มีใบไม้ ดอกไม้เป็นเถาพันกัน ดูอ่อนไหวเหมือนมีชีวิต
อนงค์วดีอธิบาย “ปูนปั้นนายช่างจากอิตาลีของบ้านหลังนี้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดของพระนครในยุคสมัยนั้น ปลายสมัยรัชกาลที่ 5”
เชษฐาหันมาจ้องอนงค์วดีนิ่งๆ หญิงสาวจ้องตอบ นิ่งๆ เช่นกัน
ห้วงเวลานั้นเป็นนาทีประหลาด ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนกัน คล้ายกับว่าทุกอย่างจะหยุดนิ่ง ความจริงน่าจะเจอกันตั้งแต่ก่อนเดินเข้ามาแล้ว ถ้าจะตกตะลึงก็ควรตอนนั้นแต่เราไม่มีฉากนั้น มาทำฉากนี้แล้วกัน แต่ไม่ต้องทำนาน พอให้มีเท่านั้น
“นัส...”
มนัสวีร์เดินมาใกล้
“บ้านเก่าจะพังอยู่แล้ว ฉันจะซื้อไปทำไม แจ้งเจ้าของว่าไม่ซื้อ” เชษฐาถาม
“ก็...เจ้าของ...อยู่นี่”
“แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร” เชษฐาเดินออกไปทันที “บ้านเก่าขนาดนี้ ทำไมเจ้าของถึงคิดว่าจะมีคนโง่ที่ไหนมาซื้อ” ยินเสียงชายหนุ่มลอยตามลมมา
อนงค์วดียืนนิ่ง สีหน้าผิดหวัง แต่ยังไม่เท่าความโกรธที่โดนดูหมิ่น
“คุณอนงค์วดี” มนัสวีร์คราง
อนงค์วดีหันข้างให้ทันที พยายามทำใจนิ่ง แต่ไม่สำเร็จเดินพรวดออกไปทันที มนัสวีร์ตามไปเร็วๆ
สามคนลับตัวไปแล้ว โดยมีมีใครเห็นว่า คล้ายมีบางอย่างเคลื่อนไหว ใบหน้าของคุณประยงค์ในรูปนิ่งสนิท แต่สายตาที่มองเฉียงๆ อยู่ เลื่อนมองเฉียงไปอีกข้าง..ช้าๆ ตามทิศที่เชษฐาเดินออกไป
มีเสียงแว่วๆ ว่า “เจ้าคุณขา...” เสียงนั้นแผ่วเบาลากยาว แหบพร่าดังสะท้านใจเหลือแสน “กลับมาเถิดค่ะ...กลับมา”
สามคนอยู่ที่บริเวณสวนข้างนอกตึก อนงค์วดียืนอยู่ด้านหลังของเชษฐา ที่ยืนมองไปรอบๆ มนัสวีร์ ยืนห่างจากอนงค์ไปด้านหลัง
เชษฐาหันกลับมาเผชิญหน้า “เชิญ....มีอะไรจะพูด”
“บ้านหลังนี้สร้างปี พ.ศ.2450 นับถึงเดี๋ยวนี้ 105 ปี ถ้าจะพังก็คงพังไปแล้ว ไม่รอให้คุณมาบอกว่าจวนจะพังหรอก” อนงค์วดีว่า
เชษฐาย้อน “งั้นเหรอ?”
อนงค์วดีจ้องมองนิ่ง สู้สายตา “ก็งั้นน่ะสิ”
“แปลว่า...ไม่พังตอนนี้มันก็จะไม่พังไปอีกร้อยปี และผมก็ควรจะซื้อไว้เพื่อลบล้างหนี้สินที่แม่คุณมีกับผม”
อนงค์วดียังคงจ้องหน้าเชษฐานิ่ง
“คุณอนงค์วดี สิงหมนตรี ผมรอคำตอบจากคุณ”
“คำตอบของฉันคือใช่ บ้านนี้จะไม่พังไปอีกร้อยปี แต่คุณไม่จำเป็นต้องซื้อ”
เชษฐาย้อนอีก “หนี้สินของแม่คุณล่ะ?”
“หนี้ที่เกิดในวงพนันฉันไม่แคร์ เมื่อไหร่หาเงินได้ฉันก็จะเอามาใช้หนี้ ถ้ายังหาไม่ได้คุณก็เป็นเจ้าหนี้ต่อไป ที่ฉันต้องขายบ้านเก่าแก่ที่เป็นมรดกของฉัน เพราะฉันดิ้นรนจะหาเงินใช้หนี้คุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากได้เงินคืนก็เป็นเรื่องของคุณ”
“เงินคืน....มันก็เงินของผม” เชษฐาย้อนอีกคำ
“แต่คุณจะได้คฤหาสน์สิงหมนตรีที่จะไม่พังไปอีกร้อยปี คุณไม่เอาคุณก็โง่จริงๆ ด้วย”
พูดจบอนงค์วดีเดินไปทันที
เชษฐายืนรอสักครู่ หงุดหงิดเอาการ “เฮ้ย...นัส เคยเห็นลูกหนี้พูดกับเจ้าหนี้แบบนี้มั้ย”
“เคย” มนัสวีร์บอกหน้าเฉย
“เมื่อไหร่วะ”
“เมื่อกี้ไง”
ตรงถนนลูกรังผสมกรวดหน้าตึกใหญ่ เป็นบริเวณที่ต้นไม้รกเรื้อ มีต้นไม้เลื้อยเข้ามาเต็ม เชษฐา กับมนัสวีร์ เดินออกมาเร็วๆ จากข้างๆ ตึก มาบริเวณนี้ พวกเขาเห็นอนงค์วดีขึ้นรถด้านคนขับ ปิดประตูดังปัง ตามด้วยเสียงหล่อนสตาร์ทรถ
เชษฐาตกใจ “เอ้า...เฮ้ย”
รถออกตัวไป สองคนวิ่งตาม รถถูกเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนกระโจนไป
“ไอ้นัส...ยายนั่นเอารถไปแล้ว”
“เห็นอยู่ ทำไงล่ะ”
“ตามไปสิวะ ไอ้โง่”
สองคนวิ่งพรวดๆ ตามรถไป
จังหวะนี้ ชายชราผมสีดอกเลาชื่อ ปู่กลับ แหวกพงไม้รกๆ มองตามเชษฐาไป แต่เห็นเฉพาะด้านหลัง
อ่านต่อหน้า 2
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
รถยนต์สปอร์ตแล่นไปบนถนนต่อระหว่างเกาะและแผ่นดิน ด้วยความเร็วสูง จนฝุ่นจากดินลูกรังลอยคละคลุ้งกระจายไปทั่ว
รถจอดกึกทันที ด้วยการกระแทกเท้าไปบนเบรกอย่างแรง จนรถสะเทือนไปทั้งคัน และจอดนิ่งอยู่สักครู่ จึงเห็นอนงค์วดีควักกระดาษปากกาจากกระเป๋า เขียนในกระดาษโพสต์อิทอย่างรวดเร็วแล้วแปะอย่างแรงบนพวงมาลัย จากนั้น อนงค์วดีเปิดประตูรถลงมาเหวี่ยงประตูปิดดังปัง หล่อนเดินไปตามทางที่ทอดยาว ซึ่งสองข้างเป็นต้นไม้ใหญ่
บ้านหลังใหญ่ ตกแต่งดูดีมีสกุล ข้าวของเครื่องประดับล้วนเป็นของโบราณ ตู้ตั่งเตียงเป็นไม้ส่วนใหญ่ เครื่องใช้เป็นของเก่าดูมีราคา
อนงค์วดีเดินพรวดๆ เข้าบ้านหลังนี้มา ผมหล่อนยุ่ง หน้ามัน ท่าทางเหน็ดเหนื่อย เจอ ปิ่นสุดา ผู้เป็นมารดาที่รออยู่ รีบถามทันที
“ลูก...ยายหนู เป็นไงบ้างลูกเขาจะซื้อมั้ย”
ด้านสองหนุ่ม เดินมาถึงรถ เชษฐากระชากประตูเปิด เหนื่อยหอบทั้งคู่
“ยายบ้า กุญแจคาอยู่เลย ใครมาขับไปว่าไง” เชษฐาโมโหมาก
“ยังดีกว่าแกคากุญแจไว้ให้เค้าขับมาเนี่ย ไปเร็วๆ เหอะ ชั้นทั้งหิวทั้งเหนื่อย”
เชษฐากระชาก กระดาษที่แปะที่พวงมาลัยอ่านดังๆ “ค่าน้ำมัน 1 ลิตร” เขาหยิบเงิน 50 บาทมาดูแล้วคำราม “อย่าให้ฉันเจอยายคนนี้อีกนะแก เอ๊ะ...แต่....เฮ้ยยายคนนี้ทำกะฉันขนาดนี้เขาลืมไปแล้วเหรอว่าแม่เขาเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของฉัน”
ภายในห้องโถง ปิ่นสุดาซักอนงค์วดี ต่อ
“เขาซื้อมั้ย”
“ไม่ซื้อค่ะ”
“จริงเหรอ.....” ปิ่นสุดามีท่าทีผิดหวัง
อนงค์วดีถอดรองเท้า “โธ่ คุณแม่ ใครจะมาหลอก”
“เขาบอกนะว่าเขาจะหาตึกเก่าๆ แบบโบราณๆ จะทำธุรกิจบางอย่างทำไมเขาไม่สน”
“คุณแม่ต้องถามเขาค่ะ ถามหนูได้เหรอคะ” ผู้เกิดทีหลังย้อน
“อุ้ย ยายหนูลูกนี่ยังงี้กะแม่ตลอด พูดผิดหูล่ะเป็นไม่ได้ต้องตอกกลับแม่ทุกทีจะยกให้แม่ซักครั้งได้มั้ย”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะคุณแม่ชอบถามหนูอย่างที่หนูตอบไม่ได้ ทำก็ไม่ได้”
“ชั้นถามอะไรเธอ ที่ว่าชั้นน่ะ”
“อย่างเช่น “ยายหนู ช่วยหาเงินให้แม่ซักห้าหมื่นได้มั้ย”...อย่างเนี้ย หนูตอบก็ไม่ได้ จะหาเงินให้ก็ไม่มีปัญญา คุณแม่ทราบแล้วไม่น่าถามอย่างนั้น หนูฟังแล้ว หนูของขึ้นค่ะ”
ปิ่นสุดาฉุน “จะมากไปแล้วนะอนงค์วดี”
“หนูขอโทษค่ะคุณแม่ หนูเรียนคุณแม่ตั้งหลายครั้งแล้วว่าเราต้องพูดแต่เรื่องจริงในบ้านนี้ เพราะเวลานี้เรายืนจนมุมแล้วนะคะ เงินเดือนหนู ครึ่งหนึ่งผ่อนค่าจำนองบ้านนี้ อีกครึ่งเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเคเบิ้ลทีวี ค่าเสื้อผ้า ค่าเครื่องสำอางของคุณแม่” หญิงสาวถอนใจแรงๆ “นี่หนูจะบรรยายไปทำไมพูดสั้นๆ ว่าหนูใช้เงินเดือนจ่ายทุกอย่างที่เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านนี้...แล้วก็หมดพอดี”
ปิ่นสุดาจ้องหน้าบุตรี “เธอโกรธเธอเกลียดชั้นมากใช่มั้ยอนงค์วดี”
“หนูไม่โกรธคุณแม่ไม่เกลียดคุณแม่ แต่เวลาที่หนูแก้ปัญหาไม่ได้กำลังจะมาถึงแล้วค่ะ”
“หมายความว่าไง”
“หนูไปขอเพิ่มเงินจำนองอย่างที่คุณแม่ให้ทำ แต่แบงค์ไม่ยอมค่ะ”
“ขายบ้านหลังนี้ คงขายได้ง่ายกว่าตึกโน้น” ปิ่นสุดาว่า
“คุณแม่ หนูจะไม่มีวันยอมขายบ้านหลังนี้เพราะมันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย หมดไปแล้วเราจะไม่มีที่อยู่ และถึงขายเงินที่ได้ใช้หนี้คุณแม่ไม่หมด”
ปิ่นสุดาคอแข็ง
“มีทางเดียวต้องให้เจ้าหนี้ของคุณแม่ซื้อตึกสิงหมนตรีแล้วใช้หนี้เขาไป เหลือเงินมาไถ่บ้านหลังนี้ พอเราเป็นไท เงินเดือนหนูเราอยู่กันสองคนแม่ลูก”
ปิ่นสุดานัยน์ตามีความหมาย จ้องอนงค์วดี ยิ้มลึกในแววตา
อนงค์วดีจ้องตอบปิ่นสุดา หัวเราะเสียงขมขื่น
“หนูฝันไปแท้ๆ เพราะคุณแม่ไม่มีวันเลิกเล่น หมดหนี้เก่าคุณแม่สามารถก่อหนี้ใหม่ได้ ไม่สิ้นสุด” อนงค์วดีหัวเราะ แต่น้ำตาคลอตา
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
อนงค์วดีจ้องหน้าแม่ น้ำตาหยดรินรดแก้มนวล สีหน้าขมขื่น
“ชั้นต้องได้ซักวัน...ไม่เสียทุกวันหรอกน่า เล่นมันต้องมีได้มีเสีย...”
อนงค์วดี เดินไปทันที ไม่ฟังจนจบ
ปิ่นสุดาเดินตาม “ขอเหรียญ...”
อนงค์วดีหันขวับมาหาผู้เป็นมารดา “เหรียญนามสกุลของคุณพ่อ ให้หนูตายไปก่อนคุณแม่ถึงจะได้ไป”
หล่อนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในบ่อนแห่งนั้น แยกเป็นห้องด้านนอก และห้องด้านใน ซึ่งเป็นที่เล่นของนักพนัน ห้องด้านนอกมีบาร์เหล้า โดยบาร์เทนเดอร์ดูแล และเก้าอี้ชุดรับแขกหรูหราสำหรับหย่อนใจ ระหว่างสองห้องกั้นด้วยผ้าม่านหนาและหนักดูมีราคา ดังนั้นหากคนแปลกหน้าเข้ามา จะไม่เห็นห้องเล่นด้สนในถนัดนัก เห็นเพียงวับๆ แวมๆ ผู้คนก็แค่เดินผ่านไปมา โต๊ะที่เห็นอยู่กลางห้อง เป็นโต๊ะรูเล็ต
เชษฐายืนมองนิ่งไปยังห้องด้านใน ที่ผู้คนกำลังเล่นกัน มีควันบุหรี่ลอยอบอวลทั่วห้อง บริกรถือถาดใส่เครื่องดื่มเดินผ่านเข้าไปในห้อง บางคนเดินถาดเปล่าออกมา
นักเล่นพนัน เดินคุยกันออกมา คนหนึ่งจ๋อย อีกคนตบไหล่ปลอบใจ
เชษฐามองสายตาครุ่นคิดนิดหน่อย หันกลับมา พบปิ่นสุดายืนอยู่
“คุณปิ่นสุดา...สวัสดีครับ” เชษฐาไหว้ทักทาย
ปิ่นสุดารับไหว้ “สวัสดีคุณเชษฐา ไหนคุณว่าจะซื้อตึกนั่นไงคะ”
“ผมบอกคุณปิ่นสุดาว่าผมจะไปดูก่อนแล้วจะตัดสินใจทีหลัง”
“คุณไม่ชอบหรือคะ”
“ตึกเก่ามากครับ ผมเกรงว่าจะปรับปรุงไม่ไหว”
ปิ่นสุดาโน้มน้าว “ตึกสวยนะคะโครงสร้างแข็งแรงมาก เก่าเพราะสภาพแวดล้อม ถ้าทำใหม่จะเป็นตึกที่สวยมาก”
เชษฐานิ่งคิดตรึกตรอง
“คุณอยากได้ตึกสวยๆ ทำเมมเบอร์คลับชั้นสูงไม่ใช่หรือคะ”
“ครับ ผมคิดว่าจะทำ”
“ก็ทำไม...”
“คุณปิ่นสุดา....ไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้สินของผม ผมไม่เร่งเมื่อไหร่คุณขายตึกนั้นได้ค่อยเอาเงินมาใช้ผม ผมจัดคุณปิ่นสุดาไว้ในกลุ่มลูกหนี้ที่มีเครดิตดีครับ”
“แต่เอ้อ...”
“วันนี้ต้องการอีกเท่าไหร่ครับ” เชษฐาถาม
ประตูคฤหาสน์สิงหมนตรี เปิดออกเสียงดังเอี๊ยด...ในบ้านมืดสนิท แสงไฟรางๆ สาดเข้ามา นกแสกร้องแซกๆ แว่วผสานเสียงลมหวีดหวิว เสียงน่ากลัวต่างๆ นานา กลับ ถือตะเกียง เดินงกๆ เงิ่นๆ เข้ามา
“ไอ้กลับ...” ประยงค์เรียกด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ขอรับ” กลับสะดุ้งสุดตัว
“เห็นท่านแล้วใช่มั้ย”
“เห็นขอรับ...เห็น” น้ำเสียงของกลับตื้นตันเต็มที่
“เอ็งปล่อยบ้านข้าสกปรก”
“ขอรับ...คุณท่านคนใหญ่”
“ท่านถึงไม่กลับมา”
“ผิดไปแล้วขอรับ ไอ้กลับผิดจริงๆ” ชายชราบอก
“ไปทำให้สะอาดเดี๋ยวนี้...ไป๊ ข้าจะไปตามท่าน” เสียงประยงค์ดังขึ้น
กลับหยิบไม้กวาด...กวาดจนแล้วเสร็จ จากนั้นจึงหันมาเช็ดตามโต๊ะตามเก้าอี้ เช็ดไปจนถึงหน้ารูปบรรพบุรุษ ชายชราเช็ดตามขอบของกรอบรูป ไล่ไปเรื่อยๆ มาถึงรูปคุณประยงค์ กลับเงยหน้าดู พบว่ากรอบรูปของคุณประยงค์ เหลือแต่กรอป ไม่มีรูปอยู่แล้ว
“ไปแล้ว คุณท่านคนใหญ่ จะไปตามที่ไหน”
บ้านของเชษฐาเป็นตึกหลังใหญ่โตสมฐานะ รูปทรงอาคารสมัยใหม่ บ้านทั้งหลังในยามกลางคืน เงียบสงัด แสงจันทร์ส่องเป็นนวลใย ภายในบ้าน มีห้องชั้นบนเปิดไฟอยู่ห้องเดียว และเห็นเงาเชษฐาอยู่ในห้องนั้น
วิญญาณคุณประยงค์เดินเลื่อนลอยมองเข้าไปในบ้าน เห็นศาลพระภูมิตั้งอยู่ริมรั้ว ประยงค์จ้อง รู้ดีว่าเข้าไม่ได้ ใบหน้าโศกศัลย์มองห้องที่เปิดไฟ
“เจ้าคุณ....เจ้าคุณขา”
ที่เงาของเชษฐาเห็นถนัดว่าเขาหันมาเหมือนได้ยิน แล้วเดินต่อมาที่หน้าต่างมองลงมา
ประยงค์เงยหน้ามองเงาเชษฐา “เจ้าคุณขา อิฉันคอยเจ้าคุณอยู่ กลับบ้านเรานะคะ”
เชษฐาเปิดประตูเดินออกมาที่ระเบียง มองลงมา
ประยงค์กลับเห็นเชษฐาสวมใส่เสื้อผ้าชุดเจ้าคุณ หล่อนจ้องมองด้วยความรู้สึกตื้นตันในใจ น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาเต็มตา มองด้วยสายตาทั้งรักทั้งเสียใจ
“เจ้าคุณขา... อิฉันขอโทษอย่าโกรธอิฉันเลย กลับไปนะคะ”
จังหวะนี้ รถสายตรวจแล่นมาถึง ตรงนี้มีตู้แดง ตำรวจลงมาเปิดตู้แดง จดบันทึกแล้วปิดตู้ จะขึ้นรถขับออกไป แต่เห็นหลังคุณประยงค์ เดินช้าๆ อยู่ข้างหน้า
“เฮ้ย...ดูนั่น” ตำรวจ 1 บอกเพื่อน
“ชอบกล ทำไมมาเดินคนเดียว ดึกๆ แต่งตัวอะไรวะนั่น” ตำรวจ 2 ว่า
ตำรวจ 1 พูดขำๆ “ชุดไทยแต่งแฟนซีมั้ง ถามนะ....หลงทางหรือเปล่าไม่รู้”
“ถามสิ” ตำรวจ 2 บอกเพื่อน
สองคนเดิน ด้วยฝีเท้าปกติเข้าไปหา
“คุณครับ...คุณ” ตำรวจ 1 เรียก
ประยงค์ยังเดินฝีเท้าคงเดิม
ตำรวจ 2 บอก “ขอโทษ...นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจครับ ผมขอ...”
ร่างนั้นหันขวับมาอย่างรวดเร็ว เป็นใบหน้าผีกระเด้งมาเต็มหน้าตำรวจ ใบหน้าผี อ้าปากกว้าง เห็นลิ้นสีแดง หน้าดำ นัยน์ตาดำลึกโบ๋ ส่งเสียงขู่เต็มแรง ด้วยอารมณ์เสีย ตำรวจร้องสุดเสียง เป็นลมล้มพับไปทั้งสองคน
ปู่กลับทำทุกอย่าง สะอาดเรียบร้อย โต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียบร้อยเป็นระเบียบมองไปที่รูปคุณประยงค์ ซึ่งกลับมาแล้ว
“มาแล้วหรือขอรับ” ชายชราเข้าไปดู
เห็นชายผ้านุ่งที่เป็นสไบกรอง มีเศษดินเศษใบไม้เป็นของจริง ปู่กลับปัดเศษดิน เก็บใบไม้ทิ้ง แล้วจากนั้นปู่กลับก็หิ้วตะเกียง เดินงกๆ เงิ่นๆ ไป
ใบหน้าคุณประยงค์ เศร้าหมอง น้ำตาหยดหนึ่งรินรดมองเห็นถนัด
ยินเสียงเรียก “ท่านเจ้าคุณขา กลับมาเกิดค่ะ” ดังแผ่วหวิว
เช้าวันรุ่งขึ้น อนงค์วดีแต่งตัวเสร็จ ถือกระเป๋าเดินลงบันได เห็นปิ่นสุดานอนหลับที่โซฟา ในชุดที่ใส่ไปบ่อน
“คุณแม่....” อนงค์วดีสะกดใจ เดินออก หยิบรองเท้า เปิดประตูหน้าที่ล็อคไว้
“หนู....เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป” ปิ่นสุดาหาวยาว “แม่ทำอาหารเช้าไว้ให้” พลางวิ่งเข้าไปในครัวเร็วรี่ อนงค์วดีหันมาคอย
จานไข่ดาว เบคอน ผักสลัด จัดวางอย่างสวยงามถูกวางลงบนโต๊ะ โดยปิ่นสุดา
“ทานก่อน” หล่อนบอก
“หนูรีบค่ะ...สายแล้ว” อนงค์วดีว่า
“หนูต้องทานอาหารเช้า แม่บังคับ ต้องทานทุกวัน”
“หนูไม่อยากสาย”
“นั่งแท็กซี่ไป”
“ไม่ค่ะ...หนูไปรถมอเตอร์ไซค์แล้วต่อรถไฟฟ้าสะดวกกว่า”
“แต่ต้องทานอาหารเช้า สำคัญมาก ถ้าไม่ทาน มันส่งผลเสียมากมายกับร่างกาย หนูเรียนคหกรรมศาสตร์มาหนูไม่รู้กฎข้อนี้เหรอ”
“คุณแม่ หนูรีบค่ะ” อนงค์วดีตัดบท
“รีบเหรอ ก็ทานเร็วๆ สิจะได้รีบไป”
อนงค์วดีเหล่ๆ แม่ แล้วถอนใจเฮือก ลงมือทานอย่างเร็ว
“เผื่อสำลัก” ปิ่นสุดาวางแก้วน้ำให้ยิ้มประจบ
อนงค์วดีดื่มน้ำ แล้วถามขึ้น “มีอะไรจะบอกหนูเหรอคะคุณแม่”
“มี”
“ค่ะ” อนงค์วดีคอยฟัง
ปิ่นสุดาวางเงินลงบนโต๊ะปึกหนึ่ง “แม่ช่วยค่าผ่อนบ้าน”
“คุณแม่เอาเงินเขามาอีก แล้วทำไมเขาถึงให้”
“คุณเชษฐาเขาบอกว่าไม่ต้องรีบใช้หนี้เขา เขาไม่รีบ ให้เวลาเราไม่มีกำหนด”
“ก็ดีอยู่ แต่คุณแม่ต้องหยุดเอาเงินเพิ่มจากเขานะคะ ไม่อย่างนั้นบ้านโน้นกับบ้านนี้ ขายได้รวมกัน ไม่พอใช้หนี้ให้คุณแม่แน่ค่ะ”
“ก็บอกว่าเขาไม่เร่ง”
“ไม่เร่ง ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องใช้เค้า นักธุรกิจอย่างเขาไม่ได้กำไรเขาไม่มีวันทำ ยืดเวลาไปดอกเบี้ยก็ทบต้นไปเรื่อยๆ เขาจะมาเร่งทำไมคะ”
“อ้าว ไม่เร่งจนกว่าวันหนึ่งอาจจะ...” สีหน้าผู้เป็นแม่มีเลศนัยขึ้นมานิดหนึ่ง แต่อนงค์วดีก็เห็น มองแม่อย่างรู้ทัน
“จะขายลูกใช้หนี้เหรอคะ ลูกคนไหนคะ”
ปิ่นสุดาฉุน “เอ๊ะ ชั้นมีลูกที่ไหนอีกล่ะ”
“คิดว่าคุณแม่ลืมคิดว่ามีลูกคนอื่นที่.....” อนงค์วดีทอดเสียง นัยน์ตายิ้มขำๆ ปิ่นสุดามองบุตรี นัยน์ตาเป็นคำถาม
“ที่ยอมให้คุณแม่ขาย” แล้วจึงหันหลังเดินออก
ปิ่นสุดาเซ็งกับลูกคนนี้เหลือเกิน
ที่ทำงานอนงค์วดี ในโรงแรมแห่งนั้น เป็นแผนกจัดขนมงานเลี้ยง เวลานี้ อนงค์วดี ประชุมกับพนักงานอยู่ มีหัวหน้าคนทำขนมชื่อแต๋วคอยจดรายงาน
“นี่คือราคาวัตถุดิบทั้งหมดในตลาดเปรียบเทียบทุกยี่ห้อ หน้าที่ของพวกคุณ คือทดลองคุณภาพ เราจะได้เสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด และราคาสมเหตุผลที่สุดให้กับผู้บริหาร”
ทุกคนรับคำ
“พี่แต๋วคะ อนงค์ขอภายในสองอาทิตย์ได้มั้ยคะ”
“ได้มั้ยพวกเรา” แต๋วถาม
พนักงานบอก “ได้ค่ะ” พร้อมกัน
“ขอบคุณค่ะ หน้าที่แผนกเรา ประหยัดแต่คุณภาพและความอร่อยของขนมทุกอย่างต้องมาก่อน...เป็นจุดขายของโรงแรมนี้ค่ะ”
อีกวันหนึ่ง ในบริเวณสวนสวยๆ ต้นไม้ร่มครึ้ม อนงค์วดีเดินมาทางหนึ่ง เชษฐาเดินมากับมนัสวีร์จากอีกทาง เชษฐาเห็น เขาหยุด มองอนงค์วดี ทว่าอนงค์วดีไม่เห็นสองคน
เชษฐาหยุดเดิน “ทำไมเขานัดที่นี่”
“เอาเถอะ ทำไมต้องสงสัย เขาว่ามีเรื่องสำคัญ”
“คงสำคัญจริงหรอก เดินเหมือนจะไปออกศึกนั่นแน่ะ”
อนงค์วดีเดินมาแต่ไกล มนัสวีร์รุนหลังเชษฐาให้เดินไปเร็วๆ
ต่อมาไม่นานนัก ตรงสนามกว้าง เชษฐาเข้าทางหนึ่ง อนงค์วดีเข้าอีกทางหนึ่ง สองคนเผชิญหน้ากันมนัสวีร์อยู่ห่างๆ
“สวัสดีค่ะ” อนงค์วดีไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับ” เชษฐารับไหว้
“ฉันมีเรื่องสำคัญค่ะ”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแต่ขอถามว่าทำไมคุณนัดที่นี่ล่ะ นี่มันกลางสวนสาธารณะนะ”
“เพราะว่าเป็นที่ที่ฉันมาสะดวกที่สุด ฉันทำงานโรงแรมนี้” อนงค์วดีชี้ไป
“อ้าว ผมล่ะ ผมขับรถข้ามเมืองมาเลยนะนี่”
“ขอโทษค่ะ เปลืองน้ำมันหน่อยนะคะ”
“มันไม่ใช่เรื่องน้ำมัน” เชษฐาบอก
อนงค์วดี จ้องสีหน้าเป็นคำถามว่า แล้วเรื่องอะไรล่ะ
“โอเค เรื่องสำคัญอะไร”
“ขอร้องนะคะ อย่าให้เงินคุณแม่ฉันอีก”
“ไม่ได้ให้นะ....ขอยืม” เชษฐาร้องเสียงหลง
อนงค์วดีย้อน “ไม่ใช่ขอยืม...กู้ คุณคิดดอกเบี้ยไม่ใช่หรือคะ”
“ก็อยากคิดเหมือนกันแต่คุณแม่คุณไม่เคยให้เลย”
“พอแล้วนะคะ ฉันอ้อนวอนคุณ ได้โปรดอย่าให้อีก”
“ผมเป็นสุภาพบุรุษ ท่านเป็นผู้ใหญ่ปฏิเสธได้ไง”
อนงค์วดีมองด้วยสายตาแปลกใจ “นั่นเป็นคำตอบหรือคะ”
“ครับ” เสียงเชษฐาหนักแน่นอย่างน่าขำ
อนงค์วดีถอนใจเฮือก พูดด้วยดีๆ “คุณเชษฐา คุณแม่ฉันเป็นนักพนัน ต่อให้มีเงินเป็นร้อยๆ ล้านก็หมดคุณให้เท่าไหร่ท่านก็เสียพนันหมด เพราะฉะนั้นคุณอย่าส่งเสริมเลยนะคะ”
“ท่านเป็นผู้ใหญ่ ผมปฏิเสธไม่ได้ครับ”
อนงค์วดีเริ่มโกรธ
“คุณห้ามคุณแม่คุณดีกว่ามั้ง”
ความโกรธของอนงค์วดี แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“ผมมันคนใจอ่อน เป็นสุภาพบุรุษ” หน้าตาเชษฐากวนประสาทมาก
อนงค์วดี รู้สึกร้อนไปทั้งตัวด้วยความโกรธ
“ขี้เกรงใจด้วย คุณแม่คุณสวยและก็...”
อนงค์วดีขัดทันควัน “สวยเกี่ยวอะไร...”
“อ้าว ผมใจอ่อนสิครับ ผมใจอ่อนกับผู้หญิงสวยๆ เสมอ”
อนงค์วดีเจ็บใจมาก คำพูดของเชษฐามีความหมายเป็นเชิงดูถูก
“ขออะไรผมก็ยอมหมด แต่ถ้าไม่สวยพูดจาก็ไม่อ่อนไม่หวาน ขอไปเหอะผมไม่ให้หรอก”
อนงค์วดีกัดฟันแน่น แล้วหันหลังเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว เชษฐายังคงยิ้มกริ่ม
“แกนี่...ไม่สงสารเขาเหรอ” มนัสวีร์ถาม
“สงสารเรื่องอะไรวะ”
มนัสวีร์มองเหล่ๆ
“เห็นเขาโกรธ...ฉันชอบ...สนุกดี” เชษฐาบอก
อนงค์วดีเดินหนีมาเป็นพายุ ทั้งที่ตอนนั้นน้ำตาของความเจ็บใจคลอเต็มตา จนมาหยุดพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เซไปพิงต้นไม้
หล่อนพยายามกล้ำกลืนน้ำตาไว้ ด้วยไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็นเลย
อ่านต่อหน้า 3
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ด้านสองหนุ่มเดินมาที่รถ เชษฐาเอ่ยขึ้น
“แกรู้มั้ยว่าเค้าเอาบ้านจำนองแบงค์ไหน”
“บ้าน....ตึกสิงหมนตรีน่ะเหรอ”
“ตึกนั้นถ้าแบงค์ไหนยอมรับจำนองฉันอยากดูหน้าผู้จัดการแบงค์หน่อย บ้านที่เขาอยู่ตอนนี้สิเว้ย”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ”
“อ้อ...เดี๋ยว...เดี๋ยว ฉันได้ยินแม่เขาพูดอยู่เหมือนกัน เออ รู้แล้วว่าแบงค์ไหน”
“แกจะทำอะไร” มนัสวีร์ฉงน
“ฉันน่ะเหรอ....ยังไม่รู้เลย”
มนัสวีร์มองอย่างสงสัย เชษฐาหัวเราะไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันว่า...แกผิดปกตินะเว้ย”
“งั้นเรอะ ฉันก็ว่างั้นเหมือนกันว่ะ” น้ำเสียงเชษฐาอำๆ
จากนั้นเชษฐาเดินไป มนัสวีร์ตามติด เสียงสองคนโต้ตอบกันดังแว่วๆ มนัสวีร์ถาม “เฮ้ย แก คิดยังไงกับเขา” เชษฐาบอก “นั่นคือปัญหา”
มนัสวีร์คาดคั้น “ปัญหาอะไร”
เชษฐาเล่นลิ้น “ปัญหาว่าฉันไม่รู้น่ะสิ”
มนัสวีร์ด่าว่า “ไอ้บ้า”
คืนวันนั้น เชษฐาคุยโทรศัพท์อยู่ในบ้าน
“ครับ ชื่ออนงค์วดี สิงหมนตรีครับ อาจจะมาขอเพิ่มเงินจำนอง แกจำนองบ้านกับแบงค์คุณอาครับ คุณอากรุณาด้วยนะครับ.....ครับ ผมรู้จักคุณแม่ของเจ้าของบ้าน....ไม่มีปัญหาการเงินครับแต่เฉพาะช่วงนี้แกติดขัดนิดหน่อย ขอบคุณครับคุณอา.....(ฟัง) เอ ผมก็ไม่ได้ถามมาว่าแกจะขอเพิ่มเท่าไหร่ แต่คุณอากรุณาเถอะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรผมดูแลเองครับ...ครับ ขอบคุณครับ” เชษฐากดปิด วางหู เขานิ่งสักครู่ แล้วบ่นออกมาดังๆ “ทำไมวะเนี่ย”
จากนั้นจึงลุกขึ้นทันที เดินจะไปหาอะไรดื่ม มองจากหางตาแวบเห็นใครคนหนึ่งผ่านหน้าต่างเข้ามา ใส่เสื้อสีมืดดำทั้งชุด เชษฐาหยุดกึก ปราดไปแอบในเงามืด ค่อยๆ โผล่หน้าไปดู เห็นคนในชุดดำแวบหายไปในพุ่มไม้
เชษฐาคิดว่าขโมยแน่ เดินเร็วไปเปิดลิ้นชักหยิบปืนออกมา แล้วจรดปลายเท้าไปทางประตูหลัง เปิดออกไปรวดเร็ว
เชษฐาถือปืนเดินออกมา ในกิริยาระวังตัว มองไปรอบด้าน เขาเห็นแล้ว ชายชุดดำ ด้อมๆ มองๆ อยู่ หลังพุ่มไม้ เชษฐา พุ่งตรงเข้าไป ถือปืนส่อง
“หยุด...”
ชายชุดดำคนนั้น หันขวับมา
เชษฐาร้อง “เฮ้ย” แล้วลดปืนลง “แกเองเหรอเนี่ย”
ที่แท้เป็น เหลือม พ่อบ้าน คนอีสาน ดูแลทุกอย่าง อายุประมาณ 30-35 ปี
“ครับ”
เชษฐาฉุน “แกบ้ารึเปล่า ฉันตกใจคิดว่าใครเข้ามาในบ้าน มาด้อมๆ มองๆ ทำไม
“บ้านเรามีผีครับคุณหนึ่ง” หนึ่งเป็นชื่อเล่นของเชษฐา แต่ไม่ค่อยมีใครเรียก
“อะไร้.....เอามาจากไหน” เชษฐาออกเดินเข้าบ้านไป
เหลือมตาม “ตำรวจตู้แดง บอกว่าเจอสองสามหนแล้วครับ ผีผู้หญิงอยู่นอกบ้านเดินไปเดินมาพอเขาไปถามก็แหกตาหลอกเขาด้วย เขาแทบหัวโกร๋นเลยครับ”
“หา...แหกตาหลอกด้วย...ยังไง”
“ไม่ยังไงครับก็แค่นั้น...จบ”
เชษฐาเดินเข้าบ้านมา วางปืน เดินไปรินน้ำกิน 2 แก้ว ส่งให้เหลือมกินแก้วหนึ่ง รินไปบ่นไป
“ทีหลังไม่ต้องมาเล่า อุตส่าห์ตั้งใจฟัง”
“ไม่ครับคุณหนึ่ง” เหลือมไม่กล้ารับ
“เฮ้ย...กิน....เอ้า”
“ผมขี้ข้าครับ”
“อ้อ ขี้ข้าไม่กินน้ำเหรอ เอ้า...เอาไป”
เหลือมรับไปเกรงๆ เชษฐาชี้ให้ดื่ม
“ฉันไม่ได้วิเศษไปกว่าแกหรอกเจ้าเหลือม พ่อฉันมาจากบ้านนอก นามสกุลฉัน มีบุญ ฟังเฉยๆไม่เก๋....ไม่ใหญ่ไม่โต แต่พ่อขยันทำมาหากิน เก็บแล้วลงทุน แล้วเก็บแล้วลงทุน ฉันเป็นลูกไม่เหนื่อยเท่า แต่ก็ต้องรักษาเพราะฉนั้นไม่ต้องเกรงใจ...กินเข้าไปน้ำน่ะกินเยอะๆ มีประโยชน์”
เหลือม ค่อยๆ กินแบบไม่อยากๆ
เชษฐาเรียก “นี่...เหลิม”
“เหลือมครับผมชื่อมเหลือม”
“ทำไมแกชื่อเหลือมวะ มันชื่องูนะ ฉันคิดว่าแกชื่อ เหลิมทุกที”
“พ่อตั้งครับ ชื่อพ่อแม่ตั้งจะยังไงต้องไม่เปลี่ยนครับ เหมือนคุณหนึ่งชื่อหนึ่งก็พ่อแม่ตั้ง ไงครับ...แต่ไอ้ที่เหมือนชื่องู ผมก็คิดว่าอาจจะมีสาวๆ บางคนขอบงู แหะ...แหะ”
“OK เข้าใจแล้ว กลับมาเรื่องผีใหม่ ฉันว่า....”
จู่ๆ มีเสียงผู้หญิงกรีดร้องเสียงดังมาก เป็นเสียงน่ากลัว หางเสียงดุดัน ลากยาวกว่าจะแผ่วไปในที่สุด เหลือม สะดุ้งจนสุดตัว เผ่นพรวดเข้าหาเชษฐาที่ตกใจเล็กๆ เงี่ยหูฟัง
เสียงลมอื้ออึ้ง ใบไม้โยกโยน ทางเดินรกๆ เป็นแนวราบไปเหมือนมีใครเดินเหยียบ ฟาดฟันกระจุยกระจาย
แล้วร่างนั้นพุ่งพรวดเข้าไปในตัวคฤหาสน์อย่างแรง
เป็นคุณประยงค์กลับจากบ้านเชษฐา จะไปหาเพื่อให้ซื้อตึก
ประยงค์อยู่ในชุดสวยงามเหมือนรูป ด้วยแรงโกรธ ทุกอย่างระเนระนาด โต๊ะเก้าอี้ล้มโครมๆ ที่กรอบรูป ไม่มีรูปของประยงค์
กลับที่กำลังเช็ดโต๊ะ หันมาตกใจ ตาเหลือก
วิญญาณประยงค์ เหมือนเกร็งไปทั้งตัว ยืนผงาด กลับยืนตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า
“คุณท่านคนใหญ่” กลับพูดเป็นเชิงถาม
“ไม่มา.....เขาไม่ยอมมา” ประยงค์กางแขนปัดไปปัดมา “ไอ้กลับ” ประยงค์เห็นกลับหันหลัง “มึงจะไปไหน มานี่” เสียงนั้นแหลมดัง
กลับงกๆ เงิ่นๆ กลับมา
“บังอาจหนีกูรึไอ้กลับ กูบอกให้มากรงนี้”
กลับขยับตัวจะมา
“ยังรึมึง...ลองดีกูใช่มั้ย”
“ตายเสียเถอะมึง บังอาจนัก”
กลับเซซวนไปมา ยกมือไหว้ปลกๆ “ยกโทษไอ้กลับขอรับ...อภัยเถิดขอรับ”
“อภัยให้มึง” ประยงค์ฟาดเข้าไปอีกที “แล้วท่านจะกลับมาหรือไม่ ไหนมึง บอกมาซิ ฮะบอกมา” ท้ายเสียงเปลี่ยนเป็นตะคอก
ลมพัดอื้ออึงไปมา ม่านปลิวกระจุยกระจาย กลับก้มตัวเงียบๆ แต่ในใจสั่นสะท้าน แล้วทุกอย่างสงบ กลับเงยหน้าขึ้น ประยงค์อยู่ในรูปเรียบร้อยแล้ว หน้าบึ้งตึงมาก กลับเข้าไปดูใกล้ๆ
ใบหน้าประยงค์ แววตาจากขุ่นขวางกลายเป็นเศร้าสร้อยอย่างช้าๆ
“คุณท่านคนใหญ่ โธ่เอ๋ย ไอ้กลับสงสารเหลือเกิน”
ส่วนที่บ้านเชษฐา เหลือมขดตัวอยู่กับพื้นเหมือนงู เชษฐาที่ยืนเงี่ยหูฟัง หันกลับมาเกือบเหยียบสะดุดจนผวาไป
“เฮ้ย...ไอ้เหลิม”
“เหลือมครับ” เหลือมเสียงสั่น
“เออ...เกือบเหยียบแล้วเห็นมั้ย”
“คุ...คุณ.....หนึ.....หนึ่งเมื่อกี้ เสียงอะ....อะไร”
“นั่นสิ...”
“ขน....ขนผม ลุก...ตั้งเลย ดูสิคุณหนึ่ง”
“ละครทีวีรึเปล่าวะ”
“ไม่ได้เปิดซักกะเครื่องนี่คุณหนึ่ง”
“เสียงผีเหรอ” เชษฐาถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา
เหลือมผวาพรวดเข้ามาอีก แต่เชษฐาว่องไวมาก หลบฉากรวดเร็ว เหลือมลงไปจูบพื้น หันมามองเชษฐาเหลือแต่ตาขาว
“เสียงอะไรก็ช่างมันฉันจะไปนอนล่ะ”
“ผมไปด้วย”
“ไปไหน”
“นอนกะคุณหนึ่ง”
“จะบ้า” เชษฐาด่า
“ไม่บ้า....กลัวนี่”
“ฝันไปเถอะแก” เชษฐาเดินไปเร็วๆ
“คุณหนึ่ง”
“ฉันจะบอกให้นะ เสียงผีเมื่อกี้เป็นผีผู้หญิง ถ้าเขาจะมาหาใครซักคนเขาจะหาฉันเข้าใจมั้ย เขาไม่มาหาแกหรอก”
ที่คฤหาสน์สิงหมนตรี คืนนั้น หากดูดีๆ จะแลเห็นน้ำตานองเต็มตาคุณประยงค์ในรูป แล้วไหลหยดเผาะออกมาหนึ่งหยด ปู่กลับค่อยๆ หันหลังกลับ เดินงกๆ เงิ่นๆ จากไป
ห้องที่สวยงาม เครื่องเรือนสวยงาม กลับกลายเป็นห้องเก่า หยากไย่เต็ม
วันรุ่งขึ้น อนงค์วดี เดินออกจากบ้านมา
เสียงปิ่นสุดาดังขึ้น “สายแล้วนะยายหนูรีบไปซะสิลูก”
อนงค์วดีมีสีหน้าฉงนนิดๆ ทำไมเร่งให้ไป แต่ก็ไม่คิดอะไร หล่อนใส่รองเท้าเร็วๆ เดินจ้ำๆ เร็วๆ ออกไปหน้าบ้าน เปิดประตูแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นชาย 2 คน แต่งชุดดำทั้งชุด ยืนขวางอยู่
พวกเขาเป็น 2 เจ้าหนี้ รายใหม่ของปิ่นสุดา
“ขอโทษค่ะ...”
เจ้าหนี้คนที่ 1 ถาม “คุณปิ่นสุดา สิงหมนตรี”
อนงค์วดีแปลกใจนิดๆ “มีธุระอะไร”
เจ้าหนี้ 2 บอก “มีของให้คุณ คุณต้องเซ็นชื่อด้วย”
“ของอะไร” อนงค์วดีซัก
“เข้าไปในบ้าน คุณจะได้อ่าน” เจ้าหนี้ 1 สั่ง
“ไม่ต้องค่ะ ฉันอ่านตรงนี้ก็ได้ เรื่องอะไรคะ”
เจ้าหนี้ 2 คนเริ่มมองหน้ากัน หันหลังให้ ซุบซิบกัน
เจ้าหนี้ 2 เสียงเริ่มโหด “ไม่ใช่คุณปิ่นสุดา” พร้อมกับชี้หน้า
“คุณบอกฉันก่อนว่าเรื่องอะไร”
“คุณปิ่นสุดาอยู่ไหน” เจ้าหนี้ 1 เปลี่ยนเสียงเป็นตะคอก “อยู่ในบ้านใช่มั้ย เฮ้ย เข้าไปเว้ย”
เจ้าหนี้ 2 ปัดมือให้อนงค์วดีหลีก
“หยุดนะ เข้าไปไม่ได้ คุณเป็นใคร”
เจ้าหนี้ 1 บอก “เป็นเจ้าหนี้คุณนั่นแหละ ถ้าคุณเป็นคุณปิ่นสุดา เราเอาเงินมาให้”
“คุณว่าเราเป็นลูกหนี้ เอาเงินมาให้ทำไม” อนงค์วดีแปลกใจ
ไม่นานต่อมาปิ่นสุดา และอนงค์วดี อยู่ต่อหน้าเจ้าหนี้ 2 คน ในบ้าน ปิ่นสุดาถามทันที
“ไหนล่ะเงิน”
เจ้าหนี้ 1วางซองเงิน พอปิ่นสุดาเอื้อมมือจะหยิบ ก็รีบกันไว้ วางเอกสารอีกแผ่น
อนงค์วดียืนอยู่ริมหน้าต่าง ด้วยสีหน้าขัดเคืองใจ มองออกไปนอกห้องปิ่นสุดาหยิบเอกสารอ่าน หน้าเปลี่ยน
“อะไรกัน ฉันกู้เจ้านายแก” อนงค์วดีหันขวับกลับมาดู “แค่สองล้าน”
อนงค์วดียกมือทาบอก สีหน้าเจ็บในหัวใจ
“ทำไมสัญญาเป็นสามล้าน เอามาให้อีกเท่าไหร่เนี่ย” ปิ่นสุดาโวยวาย
“สามแสน” เจ้าหนี้คนที่ 1 บอก
“แล้วจะเป็นสามล้านได้ไง ก็ต้องสองล้านสามสิ” ปิ่นสุดาท้วงอีก
“ไม่รู้จักคำว่า ดอกเบี้ย หรือคุณปิ่นสุดา”
“ดอกเบี้ยบ้าอะไรตั้งหกเจ็ดแสน”
เจ้าหนี้คนที่ 1 ย้อน “เคยนับมั้ยว่าคุณไม่ได้ชำระทั้งต้นทั้งดอกกี่เดือน”
เจ้าหนี้ 2 เสริม “เราคิดตามอัตราเงินกู้นอกระบบ ไม่ขาดไม่เกิน ทำตามธรรมเนียมทุกอย่าง”
เจ้าหนี้คนที่ 1 ส่งกระดาษให้อีกแผ่น “เราคำนวณไว้หมดแล้ว นี่ไง”
เจ้าหนี้คนที่ 2 บอก “คุณเอาสามแสนนี้ไป เซ็นสัญญาว่ากู้ 3 ล้าน แล้วเริ่มคิดกันใหม่”
ปิ่นสุดานิ่งใจอยากเซ็นมากเพื่อจะได้เงิน เจ้าหนี้รู้ เลื่อนถุงเงินสามแสนไปให้ใกล้มือ ปิ่นสุดาเอื้อมไป
“ถ้าคุณแม่เอาเงินเขา แล้วเซ็นเอกสารนั่น หนูจะไปจากคุณแม่เดี๋ยวนี้แล้วชาตินี้เราไม่ต้องพบกันอีกเลย”
พูดจบ อนงค์วดีพุ่งออกจากห้องทันที
ที่บ่อนของเชษฐา อีกวันหนึ่ง เจ้าหนี้ 2 คน คุยหารือกับเจ้านายเสี่ยใหญ่ ตรงห้องข้างนอก เห็นบ่อนเป็นเงาๆ อยู่อีกห้อง ควันบุหรี่ฟุ้งกระจายในห้องนั่น มีลูกค้าเดินไปมา
“ไม่ยอมเซ็นเจ้านาย” เจ้าหนี้คนที่ 1 บอก
“พรุ่งนี้ไปอีก ยายปิ่นสุดาคนนี้ผีการพนันสิงเต็มตัว ผีหลายตัวด้วย รูเล็ต แบล็คแจ็ค ไพ่ป๊อก ไพ่ตอง บางครั้งบอลยังเล่นพนันเลย เอาเงินไปล่อเดี๋ยวมือแกก็ขยับเอง” เสี่ยใหญ่บอก
“โธ่เสี่ย ไปเสียเวลาแกไม่เซ็นหรอก” เจ้าหนี้คนที่ 1 บอกอีก
เสี่ยใหญ่งง “ทำไมวะ”
“ลูกสาวไม่ให้เซ็น” เจ้าหนี้คนที่ 1 บอก
เจ้าหนี้คนที่ 2 เสริม “ขู่แม่ว่า ถ้าเซ็นจะหนีไปไม่กลับมาอีกเลย”
เชษฐากับมนัสวีร์ นั่งฟังอยู่ ด้านหลัง
เสียงเสี่ยใหญ่ดังขึ้น “ถ้างั้นจัดการเอาเงินสองล้านคืนมา ทำให้มันเจ็บตัวถ้าไม่คืน”
เชษฐามองหน้ามนัสวีร์ บอกด้วยสายตาว่าจัดการได้
อีกวันต่อมา มนัสวีร์จอดรถ ก้มหน้าก้มตาเดินพรวดๆ เปิดประตูเล็ก เปิดได้เข้าไปในบ้าน อนงค์วดียืนคอยอยู่
“สวัสดีครับคุณอนงค์วดี”
“สวัสดีค่ะ” อนงค์วดีไหว้ “คุณมนัสวีร์”
“อย่างที่ผมบอกทางโทรศัพท์ คุณเชษฐาตกลงซื้อตึกสิงหมนตรี วันนี้ผมเอาสัญญามาให้อ่านครับ”
“ไม่จำเป็นแล้วค่ะ”
“อ่านหน่อยเถอะครับ ตึกราคาเป็นสิบล้าน คุณอนงค์วดีต้องรอบคอบนะครับ นี้ผมหมายความถึงต่อๆ ไปถ้าคุณทำสัญญากับใครนะครับ”
อนงค์วดีมีสีหน้านิ่ง ความเจ็บลึกๆ ในหน้า “ดิฉันไม่ขายแล้วค่ะ”
“ไม่ขาย” มนัสวีร์แปลกใจ
“ไม่ขายตึกสิงหมนตรี หรือถ้าขายดิฉันจะขายให้คนอื่น แต่คุณเชษฐา ดิฉันไม่ขาย”
สองหนุ่มอยู่ที่ร้านอาหารตกแต่งสวยงาม มีต้นไม้ร่มครึ้ม
เชษฐาย้อนถามทันควัน “ไม่ขาย?” เสียงเขาดังและมีท่าทีประหลาดใจมาก “ไม่ขายเหรอ?”
“ไม่”
“ไม่เชื่อหรอก หรือว่าเขาขายคนอื่นไปแล้ว”
“ยัง"
เชษฐาฉงน “แล้วทำไมไม่ขาย แม่ตัวเองหลังชนฝาแล้วยังทำหยิ่งไม่เข้าเรื่อง”
มนัสวีร์ยังหน้าเฉย
“แกไปอีก ไม่ขายวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องขาย เข้าตาจนขนาดนี้แล้ว”
“เขาก็ไม่ถึงกับตาจนหรอก ตารวยเขาก็ยังพอมี”
เชษฐางงใหญ่ “หมายความว่าไง”
มนัสวีร์ยื่นคลิปในมือถือคลิป เชษฐาดูคลิป
ในคลิปเห็นป้ายตรงหน้าบ้านอนงค์วดีหรา “ขายบ้านนี้ ที่ดิน 1 ไร่ ติดต่อบริษัท Property Management”
เชษฐาฉงน “พร็อพเพอตี้แมเนจเมนท์....เป็นใครวะ”
“โบรคเกอร์ขายบ้าน” มนัสวีร์บอก
“ขายบ้านที่เขาอยู่ไม่ใช่ตึกนั่นนี่”
“ด้วย ตึกนั่นด้วย สองหลัง”
“งั้นเชียว commission กินตาย”
มนัสวีร์บอก “เขายินดีจ่าย”
“โธ่เอ๊ย ยายบ๊องเอ๊ย โง่แล้วยังอวดดี โบรกเกอร์มันโขกจนจะเหลือเท่าไหร่เชียว แกไปบอกเค้าว่าขายให้ฉัน ฉันออกค่าโอนกับค่านายหน้าคนเดียว เขารับไปเน็ต เน็ต”
“ใครได้นายหน้าเนี่ยถ้าแกซื้อ”
“จะมีใคร๊...”
“คุณปิ่นสุดา?”
“งั้นสิ แกบอกขายฉันโดยตรงแกได้คนเดียว”
“แกจะเอา”
“เอ๊า แกบอกฉันไว้แล้ว”
“แกจะเอาจากใคร”
เชษฐาย้อน “ใครขายล่ะ”
“ฮ้า...เอาจากลูกสาวเนี่ยนะ”
“สถานภาพผู้ขาย ต้องจ่ายนายหน้า ไม่มีแม่-ลูก”
“โห ฉันจะต้องมองหน้าแกดีๆ แกต้องมีเขี้ยวสองข้างแน่”
“โอ เค...เอาสัญญามาดู ฉันจะเซ็นมอบอำนาจให้แกไปโอนในฐานะทนายประจำบริษัท” เชษฐาเดินออกไป “ข้อเสนอใหม่เขาขายแน่”
มนัสวีร์ยิ้มมองอย่างเป็นต่อ
“เอ๊ะ...ฉันไปโอนเองก็ได้วะ ไม่อยากรบกวนแก”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ ในที่สุดแกก็ไปเอง”
“อย่า ไอ้นัส...ไม่ใช่อย่างที่แกคิด ไม่ใช่คนอย่างเชษฐาเว้ย”
“เออ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แต่ไม่ต้องวางแผนอะไรหรอก เงินก็ไม่ต้องเสีย”
“ทำไม”
“ดูคลิปนี่ มีอีกคลิปหนึ่ง จะบอกให้นะ การได้คลิปนี้มา ฉันต้องใช้ความสามารถ เฉพาะตัวขั้นสูงเลยนะ”
คลิปอนงค์วดี ที่มนัสวีร์ถ่ายเป็นภาพมุมต่ำ เห็นแต่ใบหน้าหล่อน
“ดิฉันไม่ขายแล้วค่ะ”
เสียงมนัสวีร์ย้อนถาม “ไม่ขาย”
“ไม่ขายตึกสิงหมนตรี หรือถ้าขายดิฉันจะขายให้คนอื่น แต่คุณเชษฐาดิฉันไม่ขาย”
คลิปที่ถ่ายเหมือนว่ามนัสวีร์ทำเป็นถือโทรศัพท์เล่นๆ แต่ที่จริงแอบถ่าย เขาถ่ายย้อนขึ้นไป พอดูเสร็จ ใบหน้าเชษฐา เฉยนิ่ง อึดอัดมาก
มนัสวีร์ถาม “ว่าไง”
กิริยาเชษฐายามนี้เปลี่ยนเป็นธรรมดาแล้ว
“ไม่ว่าไงหรอก แกเตรียมสัญญาไว้ ยังไงๆ ฉันต้องไปกรมที่ดินแน่ ไปโอนตึกเนี่ยเพราะกรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนมือจาก อนงค์วดี สิงหมนตรี ทายาทคนสุดท้ายของสิงหมนตรี มาอยู่ในมือฉัน เชษฐา เกรียงไกรนามสกุลไม่ใหญ่โตนามสกุลชาวบ้านแต่มีเงินซื้อคฤหาสน์สิงหมนตรีผู้ดีเก่า ถึงเขาลั่นวาจาว่าไม่ขาย ฉันก็จะซื้อให้ได้...แต่ฉันคอยดูกันไปแล้วกัน”
นัยน์ตาเชษฐาเป็นประกายวาววาม ในท่าทีมุ่งมั่นหมายมาด
อ่านต่อหน้า 4
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
สองคนเดินกลับ เชษฐาก้มหน้าก้มตาเดินมาตามทางในร้านอาหาร หมกมุ่นอยู่กับการครุ่นคิด มนัสวีร์จะพูด บางอย่าง แต่เชษฐายกมือห้ามสีหน้ายังคิดหนัก
“ไหนแกว่า...”
เชษฐาขัดขึ้น “ทำไมเค้าถึงไม่ขายฉัน ขายฉันง่ายจะตายฉันไม่ต่อซักคำ”
“ไม่เห็นน่าสงสัย”
“อ๋อ เพราะเขาไม่ชอบฉัน แกจะพูดอย่างนั้น”
“ฉันก็ไม่ต้องพูดแล้วสิ” มนัสวีร์เล่นลิ้น ขำๆ
“ฉันไปทำอะไรให้เค้าไม่ชอบ”
“คนจะไม่ชอบใครนะ คนนั้นพูดออกมาคำเดียวไม่ชอบก็มี”
“เออ ถ้าเป็นงั้นฉันพูดตั้งหลายคำ เค้าคงเกลียดเลยล่ะ”
“สงสัย”
“งั้นเหรอ งั้นก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว เอางี้...”
มหัสวีร์จ้องหน้าเชษฐา แต่เขาไม่พูดซักที
“เอาไง”
“เอาไงน่ะเหรอ เอาคลิปเค้า... มาดูอีกทีซิ”
อีกวันหนึ่ง โทรศัพท์บ้านอนงค์วดีดัง ปิ่นสุดาวิ่งมารับ มือถือทัพพีเพราะกำลังทำกับข้าวอยู่ พอรับสายก็โต้ตอบอย่างอารมณ์ดี ใบหน้ายิ้มแย้ม คู่สายเป็นคนที่เห็นโฆษณาและต้องการซื้อบ้าน
สักครู่ โทรศัพท์ดังอีก ปิ่นสุดารับสาย แต่ในมือไม่ถือทัพพีแล้ว และยังอารมณ์ดีอยู่
เวลาผ่านไปอีก ปิ่นสุดาวิ่งออกมารับโทรศัพท์คนซื้อบ้าน ลงนั่งชี้แจงอย่างดี จนตอนหลังเริ่มจะเหนื่อย และขี้เกียจพูด สุดท้ายรับฟัง...นิดเดียว แล้ววาง
ตกตอนเย็น เวลาเย็น
ตัวละครปิ่นสุดา อนงค์วดี คนมาซื้อบ้าน (ท่าทางภูมิฐานมาก พูดจาดีมาก)
ปิ่นสุดาหมดแรง นั่งคอพับคออ่อนอยู่ อนงค์วดี เปิดประตูเข้ามาถืออาหารถุงมา 2-3 ถุง เห็นก็แปลกใจ
“คุณแม่เป็นอะไรไปคะ”
ปิ่นสุดาเสียงแหบ “เจ็บคอ”
อนงค์วดี “เจ็บคอ...คอเป็นอะไรคะ”
ปิ่นสุดาบอก “โทรศัพท์”
“โธ่คุยโทรศัพท์ คิดว่าไม่สบาย”
“ไม่สบาย...เจ็บคอ....โทรศัพท์เรื่องบ้าน คนจะซื้อโทรมาทั้งวัน”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกในจังหวะนี้
ปิ่นสุดาบอก “เห็นมั้ย”
อนงค์วดีวิ่งเข้าไปรับโทรศัพท์
“ดี...โดนซะมั่ง” ปิ่นสุดาหมั่นไส้ หยิบน้ำมาดื่ม
อนงค์วดีออกมา “มีคนโทร.มาจะซื้อบ้านหรือคะ....เยอะมั้ยคะ”
“ถ้าจะให้นับ ต้องเอานิ้วมือเธอมานับด้วย...เหนื่อยมาก พรุ่งนี้แม่ไม่เอาแล้วนะ...ไม่อยู่บ้าน”
อนงค์วดีหัวเราะชอบใจ พลางพูดเป็นนัย “รายนี้สุดท้ายแล้วค่ะ”
ปิ่นสุดางง “รายไหน”
“เขามาถึงหน้าบ้านแล้วค่ะ” อนงค์วดีเดินไปเปิดประตู
ปิ่นสุดาหน้าเหวอ อนงค์วดีเดินกลับมา พร้อมชายกลางคนท่าทาง บุคลิกดูดี ชายคนดังกล่าวถือกระเป๋าเอกสารใบใหญ่
“เชิญนั่ง นี่คุณแม่ดิฉันค่ะ”
ชายคนนั้นที่แท้เป็นนายเหลือมคนใช้เชษฐานั่นเอง เหลือมไหว้ต่ำ ปิ่นสุดารับไหว้แทบไม่ทัน
“ทำไมคุณถึงสนใจซื้อบ้านเก่าของดิฉัน คุณเคยเห็นหรือคะ”
“ครับ ผมเกิดและโตที่ตึกลักษณะนี้ครับ ฝังใจ”
“อ้าว คุณก็มีแล้วจะมาซื้อทำไมอีกคะ”
“อ๋อ มันไม่ใช่ของผมแล้วครับ เราจำนอง...และหลุด” อนงค์วดีท้วง
“โธ่...ดิฉันเห็นใจค่ะ แต่ทำไมคุณไม่ไปซื้อตึกเก่าของคุณล่ะคะในเมื่อ เอ้อ...คุณก็มีเงินแล้ว”
“เขาไม่ขายให้ผมครับ ไปขอเขาแล้ว” หน้าตาของชายคนนี้ ดูซื่อตรงมากๆ “ผมอยากได้จริงๆ ราคาเท่าไหร่ก็สู้ครับ และต่อไปนี้ต้องยื่นคำขาดกับคุณแม่ไม่ให้เอาตึกไปจำนอง” เหลือมบอก
“คุณแม่?” อนงค์วดีฉงน
“อ๋อ คุณแม่ผมท่านเป็นนักพนันครับ” เหลือมบอก
ปิ่นสุดาสะดุ้ง แทบสำลักน้ำ อนงค์วดีมองแม่แล้วขำๆ
“ท่านเลี้ยงผีครับ ผีพนัน ผีเลยสิงท่านแล้วสูบเลือดสูบเนื้อท่านจนหมดตัวครับ”
ปิ่นสุดาไม่พูดอะไร ลุกขึ้น เดินหายเข้าห้องไปเลย
“แล้วหลังนี้ล่ะคะ คุณจะซื้อมั้ยคะ”
“หลังนี้ผมไม่สนเลยครับ ไม่ซื้อ คุณพักอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะครับ”
อนงค์วดีเดินเข้าหามารดา “คุณแม่” หน้าตาหล่อนยังตื้นตันใจอยู่
ปิ่นสุดานอนหมดแรงอยู่บนโซฟา
“หนูขายตึกแล้วนะคะ”
ปิ่นสุดาลุกพรวด อย่างรวดเร็ว “ทำไมรวดเร็วจริงยายหนู ขายตึกนะไม่ใช่ปาท่องโก๋”
“อุ๊ย หนูว่าขายปาท่องโก๋ยังไม่เร็วเท่านี้เลยค่ะ”
“ได้เงินพอใช้หนี้มั้ยลูก”
“พอค่ะ รวม 3 ล้านของเจ้าเมื่อวันก่อน”
“ไม่ต้องไปใช้มันไอ้เสี่ยบ้านั่น ขี้โกง”
“ถ้าไม่ใช้เขาอาจเปลี่ยนจากไอ้ขี้โกงเป็นไอ้ฆาตกร”
“ไม่เห็นกลัวเลย ไม่ใช่ผักปลาจะมาฆ่ามาแกงกันง่ายๆ”
“ใช้เถอะค่ะ เขาโกงเป็นบาปของเขาจะได้หมดเรื่องไป ยังมีเงินเหลือให้คุณแม่...”
“ไปต่อทุน” ปิ่นสุดานัยน์ตาวาววาม
อนงค์วดีเหล่แม่
ปิ่นสุดาหลบตาจนน่าขำ “ไม่รู้เหรอ ก็นึกว่า...สงสารแม่เห็นเปรี้ยวปาก”
“ให้ไปต่อทุนน่ะแปลว่าไม่สงสารเลย”
“งั้นเหลือให้แม่ทำอะไร”
“เหลือซื้อรถคันเล็กๆ ให้คุณแม่คันหนึ่ง”
“จริ๊ง?...โอ้ย ดีใจจัง ใช่สินะ เราคงต้องย้ายไปอยู่โน่นมั้ง...ทุ่งกุลาร้องไห้ ต้องใช้รถแน่นอน”
อนงค์วดีเดินไปทำอะไรบางอย่าง พูดไปด้วย “แหม คุณแม่ทุ่งกุลาร้องไห้เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อนแล้วนะคะ ปลูกพืชได้ตั้งหลายอย่าง ข้าวที่ปลูกที่นี่เป็นข้าวที่ดีที่สุดในเมืองไทยเลยนะคะ”
“ต้องย้ายเมื่อไหร่ แม่เก็บของตายเลยนะเนี่ย”
“ไม่ต้องเก็บอะไรเลยค่ะ อยู่บ้านนี้ต่อไป”
ปิ่นสุดามอง ท่าทางผิดหวัง “เค้าไม่ซื้อ...เค้าไม่ซื้อเหรอ ทำไมล่ะ ทำไมซื้อหลังเดียว เอ๊ะ หลังเดียวยังมีเงินเหลืออีกเหรอ”
“ค่ะ” อนงค์วดีน้ำเสียงหนักแน่นมาก “เขาให้ราคาเท่าที่เราตั้งไว้ของบ้านสองหลังแต่ไม่เอาบ้านหลังนี้เขาไม่สนใจบ้านหลังนี้เลยค่ะ เราได้อยู่บ้านนี้ต่อไป มีเงินเหลือไถ่บ้านนี้ด้วย”
ปิ่นสุดามองอนงค์วดี แล้วเดินเข้ามากอดลูกไว้ ท่าทีตื้นตันใจ
“ขอบใจนะลูกอนงค์วดี”
“สัญญาได้มั้ยคะคุณแม่...” หล่อนมองนัยน์ตามารดา อย่างมีความหมาย
“ได้จ้ะลูกรัก” ปิ่นสุดดารับด้วยสายตาว่าเข้าใจเหมือนกัน
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
“ไม่ไปอีกแล้ว รับรองด้วยเกียรติยศ”
อนงค์วดีเหล่แม่เล็กๆ
“ถึงจะมีนิดหน่อยก็เหอะ” ปิ่นสุดาว่า
ที่บ้านสลวยเกษ ของสาวสวยเกษลดา ในเวลาเดียวกัน
เชษฐาเดินเข้าหน้าบ้านอย่างคุ้นเคย “มีใครอยู่บ้างครับ บ้านนี้”
เกษลดาเดินออกมา หยุดยืนกลางประตู ยืนยิ้มหวาน
“โอ้โฮ....นางฟ้าหรือนั่น” เชษฐาสัพยอก
เกษลดาหัวเราะชอบใจ เดินเร็วรี่เข้าหา กอดรอบคอแล้วจูบเร็วๆ หนึ่งฟอด
“หายไปหลายวัน...คิดถึงบ้างมั้ย”
“ผมก็จะถามเหมือนกัน”
“ตอบก่อน”
“คิดถึงหมดหัวใจ”
“คิดถึงล้นหัวใจ” เกษลดาทำมือชี้ตัวเองแล้วชี้เชษฐา
เชษฐาหัวเราะเสียงดัง บ่นพึมพำ “ไม่เคยเอาชนะได้ซักที”
“กาแฟนะคะ” หล่อนเดินไปรินกาแฟ “มาจากที่เด็กๆ เขาถามกันว่าปลาอะไรใหญ่กว่าปลาวาฬ ตอบกันไม่ได้จนเฉลย....อยากรู้มั้ยเอ่ย”
“อะไรหรือครับ”
“ปลาวาฬชุบแป้งทอดค่ะ”
เชษฐาอ้าปาก หัวเราะ ขำจริงๆ
“ความจริงต้องตอบอีกอย่าง ตอบว่า คิดถึงก็ให้แม่มาขอดิ”
เชษฐาหัวเราะชอบใจอีกครั้ง “พรุ่งนี้ว่างมั้ยครับเกษ”
“ไปไหนหรือคะ”
วันต่อมาหนุ่มหล่อสาวสวยยืนอยู่บนเรือหรูที่แล่นมาตามลำน้ำ ตามเส้นทางมุ่งหน้าไปคฤหาสน์สิงหมนตรี เรือแล่นมาสักพัก เชษฐาเลื่อนตัวไปขับเรือแทนคนขับที่ถอยออกไป
เรือแล่นทะยานไป เกษลดาหลับตา นั่งแหงนเงยหน้ารับลม เชษฐามองอย่างยิ้มๆ เอ็นดูหน่อยๆ รัก...บ้างนิดๆ
“แอบดู...เห็นนะ”
เชษฐาหัวเราะก้อง เรือแล่นฉิว แหวกน้ำไปอย่างเร็ว
“จะไปถึงไหนคะเนี่ย”
เชษฐาทำท่าไม่ได้ยิน
เกษลดาไปถามคำถามเดิมใกล้ๆ หู เชษฐาเอียงหน้าให้ชิดเข้าไปอีก
“จะไปไหน”
เชษฐาดับเครื่องทันควัน
เกษลดาร้อง “อ้าว”
“ถึงแล้ว” เขาบอก
เชษฐาจอดเรือที่ท่าน้ำคฤหาสน์สิงหมนตรี มีเรือหางยาวจอดอยู่แล้วลำหนึ่งที่อนงค์วดีนั่งมา เชษฐาพาเกษลดาลงมา หล่อนมองไปรอบๆ เหมือนจะคุ้นเคยกับที่นี่ สายตาจดจำรำลึก
“เป็นไง”
“ความรู้สึกประหลาดหายไปมันเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว”
“เกษครับ”
“บ้านใคร บ้านหนึ่งเหรอ” เกษลดาเหลียวไปมา “มีเรืออีกลำเราจะมาพบใคร”
“เข้าไปข้างในดีกว่า”
“บ้านหนึ่งเหรอ ยังไม่บอกเลย” เกษลดาจะรู้ให้ได้
สองคนเดินเข้าในอาณาบริเวณคฤหาสน์สิงหมนตรี เกษลดามองไปรอบๆ สายตาไม่ค่อยสบายใจ
เดินมาสักครู่ มองไปรอบๆ เห็นแต่ความรกเรื้อและเก่าของสถานที่
เกษลดาเหลียวกลับมา “อุ๊ย...หนึ่งอย่าไปไกลสิ”
เชษฐาหันมาหัวเราะเบาๆ “กลัวเหรอครับ”
“กลัวสิ...มันน่ากลัวใช่มั้ยละ”
แล้วเกษลดาก็ก้าวยาวๆ เข้าหาเชษฐา ยื่นมือออกไป เชษฐายื่นมือรับ จับกระชับ มือต่อมือ จับกัน โดยมีรูปเขียนคุณประยงค์เป็นแบคกราวน์ ใบหน้าคุณประยงค์ในรูปตอนนี้ ยังเป็นเพียงรูปเขียนธรรมดา
เกษลดาเลื่อนตัวเข้าหาเชษฐา แขนของหล่อนสอดรัดไปรอบเอวเขา พิงตัวเองกับตัวชายหนุ่ม ในท่ากอดกัน
ทันใดนั้นภาพคุณประยงค์กลายเป็นภาพมีชีวิต นัยน์ตาที่เฉยนิ่งอยู่วาววับขึ้น ดุขึ้น และใบหน้าสวยขยับนิดหน่อยพอให้เห็นว่าไม่พอใจ
เชษฐากอดไหล่เกษลดา ตบเบาๆ ปลอบใจ “กลัวอะไรไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก”
“กลัวบรรยากาศ คือบ้านใครเนี่ย ต้องเป็นบ้านหนึ่งสิ ไม่งั้นหนึ่งจะพาเกษมาทำไม ใช่มั้ย”
“ยังไม่ใช่บ้านผมหรอก”
“หมายความว่ายังไง...งง”
“อย่างที่พูด ไป...ไปดูให้ทั่วๆ”
เชษฐาจูงมือ แต่เกษลดาดึงกลับ
“อ้าว...ทำไม ไม่ดูเหรอ”
“เดี๋ยว....ขอดูรูปพวกนี้ก่อน...รูปใคร”
เชษฐาเหลียวกลับไปดู พุ่งสายตามองไปที่รูปเขียนคุณประยงค์
“ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นรูปใครบ้าง”
เกษลดาเดินไป แหงนดูรูปท่านเจ้าพระยาต้นตระกูล
“คนนี้ต้องเป็นต้นตระกูล เจ้าของตึกนี้”
“พูดอีกก็ถูกอีก”
เกษลดาหัวเราะเสียงหวาน ออกเดินต่อไป ดูตามรูปคนอื่นๆ หันมาพูดขำๆ “พยายามดูว่าใครหน้าเหมือนใคร จะได้ลำดับญาติกันถูก”
“เอาเลย....อนุญาต”
เกษลดาสะดุดหู หันขวับ เหล่นิดๆ “ทั้งๆ ที่ยังไม่เป็นเจ้าของเนี่ยนะ”
“ใช่”
เกษลดาหัวเราะ แล้วค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ผ่านรูปย่าน้อย เกษลดาดูรูปนี้นานหน่อย
ย่าน้อยในภาพกลายเป็นคนมีชีวิตสบตาเกษลดา แต่ไม่ทำอภินิหารใดๆ ใส่
“รูปคุณคนนี้วาดเหมือน...เหมือนคนจัง”
แล้วเกษลดาก็เดินเลยผ่านไป ใบหน้าย่าน้อยในภาพเป็นใบหน้าคน ริมฝีปากแย้มยิ้มออกมานิดเดียว
เกษลดาเดินไปถึงรูปคุณประยงค์ซึ่งเป็นรูปคนยืนจ้องกันสักครู่
จู่ๆ เกษลดาก็ล้มฟาดอย่างแรงแบบล้มทั้งยืน ชนิดตัวไม่อ่อนเอน ประหนึ่งว่าประยงค์เจตนาทำให้เจ็บตัว
เชษฐาตกใจระคนแปลกใจ “เกษ....” พลางเข้าไปประคองให้ลุกขึ้น “เป็นอะไร...เจ็บตรงไหน”
เกษลดางงๆ “ทำไมเกษถึงล้ม..ไม่ได้เป็นอะไรเลยนะคะหนึ่ง”
“ต้องเป็นสิ...ไม่งั้นจะล้มขนาดนี้เหรอ มานี่...มานั่งนี่ดีกว่า”
“นั่งตรงไหน ไม่มีที่นั่งเลย เก้าอี้นี่ก็นั่งไม่ลง”
เกษลดาแตะเก้าอี้เบาๆ เก้าอี้กระเด้งอีกแล้วล้มฟาดอย่างแรงเหมือนที่เกษลดาล้ม
คราวนี้เกษลดาสะดุ้ง ถอยกรูดไป “ทำไม เกษแตะเบาๆ นะไม่ได้ผลักไม่ได้ดัน”
เชษฐาไม่ติดใจ “ขามันเก...แค่ลมเป่าก็ล้มแล้ว ไหน ขอผมดู เมื่อกี้เกษล้มฟาดเลยนะไม่เจ็บตรงไหนเลยเหรอ”
“เจ็บสิ ทำไมจะไม่เจ็บ แต่แปลกใจมากกว่า”
เกษลดาก้มหัวให้เชษฐาดู ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก อนงค์วดี เดินออกมากับเหลือม ในคราบณรงค์ศักดิ์ มองเห็นเต็มตา
แต่สองคนยังไม่เห็น มัวแต่พันพัวกันอยู่ อนงค์วดี ยืนดูเฉยๆ นัยน์ตานิ่งๆ
เกษลดาหันมาเห็น “อุ๊ย...” รีบทรงตัวยืน
“อ้อ คุณอนงค์วดี”
“สวัสดีค่ะ คุณเชษฐา”
“ครับ สวัสดีครับ”
“คุณมาทำไมอีกคะ”
“ผมพาเพื่อนมาดูตึก เกษ คุณอนงค์วดีเจ้าของตึกนี้ คุณเกษลดาเป็นเพื่อนผม”
อนงค์วดีไหว้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเด็กกว่า เกษลดามองจ้อง แล้วรู้สึกวูบอีกนิดหน่อย จนร่างเซไปเล็กๆ
“วันนี้เป็นอะไรไม่ทราบ หนึ่ง...ทำไม” เกษลดาสะบัดหน้ามา “สวัสดี” โดยหล่อนรับไหว้แบบผู้ใหญ่รับไหว้เด็ก
“นี่คุณ....เอ้อ” อนงค์วดีจะแนะนำ
“ณรงค์ศักดิ์ครับ” เสียงณรงค์ศักดิ์เข้มแข็งมาก แต่ฟังดูน่าขำ
อนงค์วดีทวนซ้ำ “คุณณรงค์ศักดิ์”
“อ๋อ สวัสดีครับคุณณรงค์ศักดิ์” เชษฐาไหว้อย่างนอบน้อม
ณรงค์ศักดิ์สะดุ้ง รีบรับไหว้แทบไม่ทัน ท่าทีนอบน้อมกว่า
“ไม่ต้องไหว้หรอกครับ”
“อ้าวทำไมล่ะครับ ผมต้องไหว้เพราะคุณเป็นผู้ใหญ่” เชษฐาไหว้อีกหน
ณรงค์ศักดิ์บอกเสียงอ่อย “ก็...ไม่รู้จักกัน....ไม่ต้องไหว้ก็ได้”
“คุณณรงค์ศักดิ์สนใจซื้อตึกหลังนี้เหรอครับ”
“ครับ”
อนงค์วดีขัดขึ้น “ไม่ได้สนใจค่ะ”
“เห็นมาดู คิดว่าสนใจซื้อ แล้วมาทำไมครับ” เชษฐายั่ว
อนงค์วดีบอก “คุณณรงค์ศักดิ์ซื้อเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อ้าว...งั้นเราก็กลับกันเถอะเกษ เจ้าของขายไปเสียแล้ว”
“อ๋อ หนึ่งจะซื้อเหรอคะ ดีแล้ว...ตึกเก่าขนาดนี้จะซื้อทำไม” เกษลดามองกวาดสายตาไป “ใหญ่โตด้วย ใครเป็นคนใช้บ้านนี้กวาดถูตาย ทำทั้งวันก็ไม่เสร็จ”
เกษลดายิ้มเยาะๆ นิดๆ จู่ๆ ภาพของนางทาสเกดในชาติก่อนผุดขึ้นมาในห้วงคิดเกษลดา หล่อนเห็นเกดกำลังก้มหน้าก้มตาถูบ้านตรงนั้น ตรงนี้ เรื่อยมาจนถึงเท้าประยงค์ แล้วประยงค์ก็แกล้งเดินไปบนพื้นที่เกดถูเสร็จ
“เกษ...เป็นอะไรอีกเนี่ย”
เกษลดาตั้งสติ หัวเราะขำตัวเอง “นั่นสิ แปลกดี ทำไมมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับเกษนะ กลับหรือยังคะหนึ่ง”
“ลานะครับ คุณอนงค์วดี คุณณรงค์ศักดิ์”
ณรงค์ศักดิ์รีบชิงไหว้ก่อนอย่างรวดเร็ว อนงค์วดีไหว้ เชษฐารับไหว้
“ลาค่ะ” เกษลดาก้มหัวนิดๆ แล้วเดินตามเชษฐาไป
ยินเสียงเกษลดากระซิบเบาๆ กับเชษฐา
“ท่าทางอีตาคนนั้นไม่น่ามีเงินเป็นร้อยล้านมาซื้อตึกนี้เลย”
“ไม่ถึงร้อยล้านหรอก แค่...เดินออกลับตัวไป เพราะไม่รู้ว่าตั้งราคาเท่าไหร่ดี”
“ดิฉันจะนัดวันโอนนะคะ คุณแน่ใจนะคะว่าจะซื้อแน่ ดิฉันจะไม่เรียกเงินมัดจำ”
“ห้าล้านเปอร์เซ็นต์ครับ” ณรงค์ศักดิ์เย้า
“ดีจังที่เจอคนซื้อแบบนี้ ไม่ยุ่งยาก ขอบคุณมากนะคะคุณณรงค์ศักดิ์” อนงค์วดีไหว้นอบน้อม
ณรงค์ศักดิ์รีบรับไหว้ตามเคย
สองคนเดินมาด้วยกัน เกษลดาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ไม่แพงนี่คะ เอ้ะ ทำไมหนึ่งรู้ ไม่ได้ยินเขาพูดเรื่องราคาเลย”
“เอ๊า ก็ผมติดต่อจะซื้อ ผมก็รู้ราคาน่ะสิ”
“โล่งใจ ที่หนึ่งไม่ซื้อ”
เกษลดาหันมามองไปรอบๆ บริเวณ แหงนหน้ามองตึก แล้วมองไป ที่บริเวณหนึ่งไกลออกไปอีกนิด ตรงใต้ต้นไม้ร่มครึ้ม เกษลดาเพ่งดู ภาพเรือนที่เจ้าคุณอยู่กับแม่อร และเกดในสมัยนั้น ผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง
“หนึ่ง...อย่าพาเกษมาบ้านนี้อีกนะ ขอร้อง” เกษลดาบอก
เชษฐาแปลกใจ “ทำไม”
“เหมือนหนังผี เห็นโน่นเห็นนี่ ดีกว่าเกษไม่ใช่คนขี้กลัวนะ ตึกเนี้ยคงมีวิญญาณอยู่เยอะแยะเลย เก่าซะขนาดนี้ ว๊าย...” ตอนท้ายเกษลดาเห็นกลับเข้า
กลับยืนซุ่มอยู่ เหมือนผีจริงๆ มองมาแล้วหันหลังกลับเดินไป
เชษฐาหัวเราะ พูดเย้า “ไม่ขี้กลัว”
“ใครน่ะ” เกษลดาสงสัย
“คนดูแลบ้านชื่อปู่กลับ อายุร่วมร้อยแล้ว”
“เกษไม่กลัวผี แต่คนแก่ขนาดนี้...กลัวค่ะ อย่ามาอีกนะคะ”
เชษฐากำลังจะขึ้นเรือ เขาหยุดเหลียวมองไป เห็นอนงค์วดียืนพูดกับกลับ ณรงค์ศักดิ์ยืนคอย สบตากับเชษฐาปังใหญ่
นัยน์ตาเชษฐาฉายแววขำนิดๆ ไหว้ณรงค์ศักดิ์อีกที “ลาล่ะครับ”
ณรงค์ศักดิ์อยากตาย อนงค์วดี หันมามองเชษฐา แล้วเดินนำณรงค์ศักดิ์ไปที่ท่าน้ำ
เกษลดากับเชษฐาขึ้นเรือ ขับออกไป
ใบหน้าของกลับ ค่อยๆ โผล่ออกมาตรงซุ้มไม้รกๆ นัยน์ตาตื่นเต้น
กลับแหงนหน้ามองรูปประยงค์ “คุณท่านคนใหญ่”
ประยงค์ในรูปขยับตัวนิดๆ มีท่าทีผ่อนคลาย สีหน้ายิ้มละมุน
“ทำไมรึ ไอ้กลับ...”
“ไอ้กลับไม่นึกเลยว่าจะมีชีวิตอยู่จนเห็น...เห็นทั้ง...สามคน พร้อมกันแบบนี้”
“ต่อไปเอ็งจะเห็นมากกว่านี้...ทุกคนจะมาที่นี่..ทุกคนที่ทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งริษยาอาฆาตพวกมันจะมา.....ฮะ...ฮะ” ประยงค์หัวร่อชอบใจ
“อย่าเลยขอรับ....อย่าเลย”
ประยงค์อารมณ์พลุ่งขึ้นมาตวาด กลับ พร้อมๆ กับหน้าตาเปลี่ยนเป็นดุร้าย กราดเกรี้ยว น้ำเสียงแหบพร่า
“บังอาจหรือเอ็งไอ้กลับ บังอาจยับยั้งข้ารึ...ไอ้ทาสชั้นต่ำ”
กลับก้มลงกราบแล้วลุกขึ้นเดินเซซังไปอย่างเร็วรี่
มีเสียงหัวเราะแผ่วๆ ของประยงค์ดังสะท้านไปทั่วตึกทั้งหลัง
“ในที่สุด....เจ้าคุณก็มา”
อ่านต่อตอนที่ 2