สุดสายป่าน ตอนที่ 6
ขณะเดียวกันนั้น ฐิติและกานดาวสีอยู่ด้วยกันในห้องนอน กานดาวสียืนกรานว่าไม่เคยรู้จักกับวิทย์
“ฉันไม่เคยรู้จักคุณวิทย์มาก่อนเลยนะคะ”
ฐิติมองกานดาวสีอย่างผิดหวัง
“ผมไม่แปลกใจหรอกนะกานดาวสี ผมเข้าใจด้วยซ้ำ คุณจำเค้าไม่ได้เหมือนกับที่จำผมไม่ได้ไงล่ะ แต่ผมแค่อยากรู้ว่า ยังมีผู้ชายอีกกี่คนที่คุณแกล้งทำเป็นจำไม่ได้อีก”
กานดาวสีตบหน้าฐิติ!
“เลิกดูถูกฉันซะที…ฉันจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนที่เค้ารู้จัก...แล้วก็ไม่ใช่ผู้หญิงคนที่หลอกให้คุณรักอย่างหัวปักหัวปำที่ประจวบ!”
กานดาวสีวิ่งออกไปทันที ฐิติมองตามยังคงโมโหกรุ่นๆ อยู่
เวลานั้นนมสายแนบหูฟังเหตุการณ์อยู่ที่ประตูห้อง พยายามฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ กานดาวสีเปิดประตูพรวด วิ่งออกมาจากห้อง นมสายผงะ รีบทำเป็นเนียนปัดกวาดเช็ดถูข้าวของที่วางอยู่แถวนั้น ปากทำเป็นบ่นบ้าไปเรื่อย
“โอ๊ย...ขี้ฝุ่นมันมาจากไหนกันนักนะ เช็ดยังไงก็ไม่หมด...”
กานดาวสีไม่ได้สนใจจะมองใครเลย มัวแต่ร้องไห้ เช็ดน้ำตาวิ่งหนีไป นมสายมองตามอย่างสงสาร
“พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย...คุณตินี่ก็ขี้หึงใช่เล่นเลยนะเนี่ย”
ฐิติเดินหน้าหงิกถือกุญแจรถ กำลังจะเดินออกจากตึก พุดตานเดินตามออกมา
“ติ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าลูก”
ฐิติไม่ตอบ
“เรื่องแม่กานดาวสีกับคุณวิทย์หรือเปล่า” พุดตานถามต่อ
ฐิติไม่สามารถเก็บความเสียใจและผิดหวังไว้ในใจได้
“กานดาวสีเค้าบอกว่าไม่เคยรู้จักคุณวิทย์มาก่อน...เหมือนกับที่บอกว่าไม่เคยรู้จักผมมาก่อน ผมไม่เข้าใจว่ากานดาวสีต้องการอะไร ทำไมเค้าต้องหลอก...”
พุดตานน้ำท่วมปาก ไม่กล้าบอกฐิติเรื่องที่รู้จากวิทย์เพราะกลัวลูกชายเสียใจมากกว่านี้ แต่ก็อด
ประชดไม่ได้
“จะเพราะอะไร ลูกก็ต้องยอมรับให้ได้ เพราะลูกก็รู้อยู่แล้วว่าแม่กานดาวสีเป็นคนยังไงตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานกัน”
ฐิติอึ้งไป พุดตานอดสงสารลูกไม่ได้ เปลี่ยนเสียงเป็นปลอบ
“ในเมื่อลูกตัดสินใจเลือกเค้าไปแล้ว ก็ควรให้โอกาสเค้าเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูก ลืมทุกอย่างซะ อดีตก็คืออดีต เราคงไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้” ประโยคหลังเหมือนกับจะปลอบตัวเองด้วย “นอกจากทำใจยอมรับมัน”
ฐิติเครียด ความรู้สึกหลายอย่างต่อกานดาวสีปนเปกันไปหมด ทั้งรัก ทั้งระแวง
ท่านหญิงกับนมสาย กำลังนั่งร้อยมาลัยไหว้พระอยู่ตรงระเบียงหลังวัง เห็นพุดตานเดินเข้ามา ท่าทางหมกมุ่น กลุ้มใจ
“แม่พุดตาน เห็นนมสายบอกว่าตาติกับแม่กานดาวสีทะเลาะกันเรื่องตาวิทย์รึ”
“เอ่อ...ไม่ทราบเพคะ”
ท่านหญิงพูดอย่างขำๆ “ตาติคงจะหึงล่ะสิที่ตาวิทย์เคยรู้จักกับเมียตัวมาก่อน...จริงๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ผู้หญิงสวย เพียบพร้อมอย่างแม่กานดาวสี ใครๆก็ย่อมหมายปอง”
พุดตานกระอักกระอ่วน พูดไม่ออก
“ฉันก็เลยมาคิดว่าเราน่าจะไปเที่ยวหัวหินกันสักสองสามวัน ผัวเมียเค้าจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังให้เต็มที่ ไม่ต้องมีใครมายุ่งมาเยี่ยมอีก”
“ดีเหมือนกันนะเพคะ ท่านหญิงเองก็ไม่ได้ไปหัวหินนานแล้ว ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัว” นมสายเห็นงามตาม
“แหม…รีบรับลูกเชียวนะยะหล่อน”
นมสายหน้าบาน เบิกบานใจเต็มที่ ขณะถาม
“แล้วเราจะไปกันเมื่อไหร่ดีเพคะ”
เช้าวันต่อมา อิ่มใจกำลังประคองวสันต์เดินเข้าบ้าน เสียงวิทย์ทักมาจากมุมหนึ่ง
“หายแล้วเหรอวะเพื่อน!”
วสันต์หันไปเห็นวิทย์ก็ ตกใจ!
“ไอ้วิทย์” หันไปบอกอิ่มใจ “เข้าบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวผมตามไป”
“ค่ะ”
อิ่มใจรับงงๆ ด้วยท่าทีแปลกใจ แล้วเดินเข้าบ้านไป แต่ก็หยุดหันมามามองวสันต์กับวิทย์ด้วยความสงสัย
“แกมาที่นี่ทำไม” วสันต์ถามอย่างแปลกใจ
“เจ้าหนี้ก็ต้องมาทวงหนี้ลูกหนี้น่ะสิ!” วิทย์ว่า
“อะไรวะ ก็ฉันบอกแกแล้วนี่ว่ากานดาวสีน่ะแต่งงานกับหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์ไปแล้ว...ถ้าแกอยากจะได้ผู้หญิงคนนั้นคืน ทำไมไม่ไปตามที่วังสูรยกานต์ล่ะ”
“ถ้าฉันจะต้องวิ่งไล่ตามจับผู้หญิงคนนั้นเอง แล้วทำไมฉันจะต้องยอมเสียเงินล้านนึงให้แกด้วยวะ” วิทย์บอกเสียงเหี้ยม “ฉันอยากได้เงินหนึ่งล้านนึงของฉันคืน...”
“ได้ไงวะ ดีลนั้นมันจบไปตั้งแต่วันที่ฉันโอนกานดาวสีให้แกแล้ว แกปล่อยให้หลุดไปเอง ช่วยไม่ได้ว่ะ”
วิทย์ข่มขู่ ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์จริงจังแลดูน่ากลัว “แต่ถ้าแกไม่คืนเงินฉัน แล้วแกเป็นอะไรไป...ฉันก็ช่วยไม่ได้เหมือนกันนะ”
สองหนุ่มไม่รู้ว่า เวลานั้นอิ่มใจแอบฟังอยู่!
ส่วนที่บ้านกิริเนศวร อุไรกับนารีรัตน์แต่งตัวสวยทำผมทรงใหม่ ถือถุงพะรุงพะรังเข้ามาในบ้าน อุไรท่าทางสดชื่นมีความสุขตรงข้ามกับนารีรัตน์ที่เดินเซ็งๆเข้ามาในบ้าน
“ตั้งแต่นี้เราก็จะสบาย มีลูกเขยเป็นทายาทคนเดียวของสูรยกานต์ทั้งทีเงินทองคงไม่ขาดมือแล้วล่ะ...แกรู้มั้ย สมบัติของสูรยกานต์น่ะใช้ไปอีกสิบชาติก็ไม่หมด ยังไงพี่แกก็ต้องถ่ายเทเอามาให้ที่บ้านบ้างละ”
อุไรหันไปเห็นนารีรัตน์ท่าทางเซ็งๆลอยๆเหมือนไม่ได้ฟังที่ตนพูด จ้องหน้าจ้องตาถาม
“ยัยรัตน์ แกเป็นอะไรฮะ เป็นผีดิบหรือไง...ดูหน้าสิ ทั้งโทรม ทั้งดำเหมือนคนอกหักไม่มีผิด”
นารีรัตน์หลบตาวูบ “เปล่านี่คะ หนูแค่ปวดหัว”
อุไรมองอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ก็จับผิดอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่สะบัดหน้าเดินขึ้นไปข้างบน พูดๆบ่นๆ
ไปตามเรื่อง
“เอ้า...งั้นก็เอาของไปเก็บแล้วก็นอนพักซะบ้าง หนังสือหนังหา อ่านแต่พอสมควร รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวซะบ้าง ที่แม่ซื้อมาให้น่ะ แพงๆ ทั้งนั้น”
ด้านวิเศษมองรูปกานดามณี ที่ถ่ายกับกาญจนาและวิสูตร ที่อยู่ในมือ
“ฉันหวังว่าเธอคงจะหายเป็นปกติเร็วๆนี้นะ ถึงเราจะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ฉันก็ยังปรารถนาดีกับเธอเสมอ...กาญจนา”
วิเศษเดินตรงไปที่ตู้เซฟ หยุดมองรูปอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเซฟ ตั้งใจจะเอารูปเก็บไว้ในเซฟ แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นกล่องกำมะหยี่ขนาดต่างๆ วางซ้อนกันไว้อยู่ชั้นหนึ่ง แต่อีกชั้นหนึ่งว่างเปล่า พอได้สติก็รีบเปิดกล่องกำมะหยี่ดู แต่ทุกกล่องว่างเปล่า วิเศษใจหายวับ
อุไรหอบของพะรุงพะรังเปิดประตูเข้ามา นารีรัตน์ยืนอยู่หน้าประตู ส่งถุงในมือทั้งหมดให้อุไร
“นี่ค่ะ”
“ของแก แกก็แยกไว้ซิ แล้วก็ช่วยเอาของแม่มาไว้ในห้องด้วย ตั้งเยอะตั้งแยะ จะให้ฉันคาบเข้าไปหรือไง”
อุไรกับนารีรัตน์เข้ามาในห้อง เห็นวิเศษนั่งหน้าซีดอยู่ที่หน้าตู้เซฟ ดวงตาเป็นประกายด้วยความโกรธ
อุไรตกใจมาก “คุณวิเศษ”
“บอกผมมาซิ ทั้งของแต่งตัว ทั้งโฉนดในตู้เซฟมันหายไปไหนหมด”
อุไรอึ้ง หน้าซีด ตัวสั่น หาทางออก
“ฉัน...ฉันไม่รู้”
วิเศษหยิบใบสัญญาเงินกู้ สัญญาจำนองบ้าน ที่ดินหลายฉบับโยนลงพื้นตรงหน้าอุไร เค้นเสียง ด้วยความโกรธจัด
“ไม่รู้เหรอ...แล้วนี่อะไร”
อุไรยังตีหน้าซื่อ ไม่ยอมก้มลงเก็บ นารีรัตน์อยากรู้ หยิบขึ้นมาอ่านคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว เห็นเป็นสัญญาเงินกู้ สัญญาจำนองบ้าน ที่ดินหลายฉบับ มีชื่ออุไรเซ็นเป็นผู้กู้ ชื่อราศรีเป็นผู้ให้กู้
นารีรีตน์ตกใจ “สัญญาเงินกู้ สัญญาจำนองบ้าน...คุณแม่ นี่หมายความว่ายังไงคะ”
“คุณอุไร คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง ทั้งทรัพย์สมบัติที่ผมหาเอาไว้ให้ลูก ทั้งของเก่าแก่ของวงศ์ตระกูล คุณก็ผลาญมันจนหมด แล้วยังบ้านหลังนี้…บ้านที่ปู่ย่าผมสร้างมากับมือ คุณยังกล้าเอาไปจำนองอีก”
อุไรเถียงข้างๆคูๆ “คุณจะให้ฉันทำยังไง ของในบ้านต้องซื้อต้องหา วันๆ มีแต่รายจ่าย เงินที่คุณให้ฉันมันพอซะที่ไหน”
วิเศษบันดาลโทสะเข้าไปคว้าถุงช้อปปิ้งที่วางกองข้างๆ ตัวอุไร ขว้างทิ้งอย่างแรง พูดอย่างรู้ทัน
“ผมไม่เชื่อหรอกนะ ว่าคุณถึงกับเอาบ้านไปจำนองเพราะไอ้ของบ้าๆพวกนี้ บอกมาดีกว่าว่าคุณเอาเงินตั้งมากมายไปทำอะไร”
อุไรทั้งอึ้งทั้งตกใจ ไม่เคยเห็นวิเศษโกรธขนาดนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากสู้แบบหลังชนฝา
“ก็ได้ ฉันยอมรับก็ได้ว่าฉันเอาเงินไปเข้าบ่อน! พอใจหรือยังล่ะ”
วิเศษโกรธจนตัวสั่น กระชากตัวอุไรเขย่าอย่างโกรธมาก
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณกล้าทำเรื่องบัดซบแบบนี้ได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่เคยให้ความสุขฉันเลย ในหัวของคุณ มีแต่งาน มีแต่ลูก ฉันก็ต้องหาความสุขของฉันบ้าง ไม่มีชู้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
วิเศษเครียดจัด เงื้อมือจะตบแต่ก็ทำไม่ได้ พยายามข่มอารมณ์สุดขีด ได้แต่ผลักอุไรกระเด็นออกไปอย่างไม่อยากเห็นหน้าอีก ก่อนจะไปกระแทกตัวนั่งกุมขมับอยู่บนเตียงอย่างปวดหัวจัด นารีรัตน์ผวาเข้าไปประคองอุไรไว้
“คุณแม่”
มีเสียงตึงตัง เหมือนคนลากของยกของจากชั้นล่าง แว่วดังขึ้นมา
“ขนไปขึ้นรถให้หมด เร็วๆ”
นารีรัตน์แปลกใจ “เสียงใครอยู่ข้างล่างน่ะ”
ทุกคนชะงัก เงี่ยหูฟัง วิเศษผลุนผลันออกไปจากห้องลงบันไดไปทันที
ขณะเดียวกัน มีนักเลง 3-4 คน กำลังช่วยกันยกของในห้องรับแขก หัวหน้านักเลงเอ่ยขึ้น
“ของเยอะนี่หว่า สิบล้อคันเดียวคงไม่พอแล้วล่ะ”
นักเลง 3-4 คนกำลังช่วยกันลำเลียงข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ออกไปจากบ้าน วิเศษวิ่งลงบันไดลงมา ยืนตะลึง อุไรกับนารีรัตน์วิ่งตามมา
“อะไรเนี่ย นี่พวกคุณกำลังทำอะไร”
นักเลงลูกพี่ที่กำลังสั่งการ ควบคุมให้ลูกน้องขนของ หันมากำลังจะตอบวิเศษ แต่สายตาเหลือบไป
เห็นอุไรที่วิ่งตามมาพอดี อุไรตกใจเหมือนเห็นผี กำลังจะหมุนตัวกลับวิ่งหนีขึ้นไปข้างบน
“คุณไปถามคุณอุไรดีกว่า ว่าขาดดอกไปกี่เดือนแล้ว คุณราศีสั่งให้ผมมาขนของพวกนี้ออกไปให้หมด”
อุไรแว้ดใส่ “หมายความว่ายังไง พวกแกจะเอาของฉันไปไหน”
“อ้าว เจ้านายคงจะลืมบอกคุณอุไรว่าบ้านหลังนี้หลุดจำนองแล้ว และกำลังจะถูกขายทอดตลาด ท่านก็เลยให้มาเอาของพวกนี้ไปใช้ที่บ้าน” หัวหน้านักเลงบอก
วิเศษตกใจสุดขีด “หลุดจำนอง”
“และพวกคุณก็ต้องออกจากบ้านหลังนี้ภายใน 24 ชั่วโมงด้วย ไม่งั้นก็เตรียมตัวรับหมายศาลได้เลย”
จากนั้นพวกนักเลงจัดแจงขนของกันต่อ วิเศษเข้าไปขวางคนโน้นทีคนนี้ทีไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องของในบ้าน
“หยุดนะ! แกจะขนของออกไปไม่ได้ ฉันไม่ยอม...ใครก็ขนไปไม่ได้ วางลงเดี๋ยวนี้”
พวกนักเลงไม่สนใจขนของกันต่อโดยไม่ฟังเสียงวิเศษ
วิเศษชะงัก เอามือกุมขมับเหมือนปวดหัวจัด หน้ามืด เริ่มเซ ก่อนจะล้มฟาดลงไป อุไรกับนารีรัตน์ตกใจ ร้องลั่น!
“ว้าย!!! คุณวิเศษ..คุณวิเศษ” / “คุณพ่อ คุณพ่อคะ”
ไม่นานต่อมาวิเศษถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เห็นบุรุษพยาบาลกำลังเข็นรถที่วิเศษนอนอยู่อย่างรีบร้อนไปตามทางเดินในโรงพยาบาล อุไร นารีรัตน์ วิ่งเกาะรถเข็นตามมาด้วยอย่างเป็นห่วง
นารีรัตน์ร้องไห้ “คุณพ่อ คุณพ่ออย่าเป็นอะไรนะคะ คุณพ่อต้องอยู่กับลูกนะคะ”
อุไรพูดไม่ออก หน้าเครียด ท่าทางเป็นกังวลมาก
บุรุษพยาบาลกำลังจะเข็นรถเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลเข้ามาจับนารีรัตน์ที่ทำท่าวิ่งจะตามเข้าไปในห้องด้วย
“ญาติกรุณารอข้างนอกนะคะ”
ประตูห้องฉุกเฉินปิด นารีรัตน์ยืนเอามือปิดหน้า ร้องไห้ดังๆ อย่างคนเสียขวัญ อุไรยืนหมุนไปหมุนมาอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อก่อนจะหันมาดุนารีรัตน์
“หยุดร้องซะทีได้มั้ย ไม่รู้จะร้องให้มันได้อะไรขึ้นมา”
อุไรมองไปที่ห้องฉุกเฉินอย่างกังวลใจ
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง อุไรสีหน้าเครียดขณะคุยกับหมอ
“อะไรนะคะ ต้องผ่าตัดเลยเหรอคะ”
“ครับ สามีคุณต้องได้รับการผ่าตัดด่วน ไม่งั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต”
“ผ่าแล้วคุณพ่อจะหายใช่มั้ยคะ” นารีรัตน์ถาม
“หมอยังรับปากไม่ได้นะครับ อยากให้ญาติทำใจไว้ก่อน”
นารีรัตน์หน้าเศร้า เป็นห่วงพ่อ
“แล้วค่าใช้จ่ายสูงหรือเปล่าคะหมอ” อุไรถาม
“ประมาณหนึ่งแสนครับ”
อุไรตกใจมาก อุทานลั่น “หนึ่งแสน”
อุไรยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงเค้าน์เตอร์ ปลายสายคือเด็กรับใช้ของวังสูรยกานต์
“ฮัลโหล…ขอสายคุณกานดาวสีหน่อย บอกว่าฉันอุไรโทร.มา”
“คุณกานดาวสีไม่อยู่ค่ะ” เด็กรับใช้บอก
“ไปไหน”
“ไปตากอากาศที่หัวหินค่ะ”
“ฉันไม่เชื่อ! เค้าสั่งให้เธอมาโกหกฉันใช่มั้ย ฝากไปบอกเค้าด้วยนะ ว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
“คุณกานดาวสีไม่อยู่จริงๆค่ะ” เด็กรับใช้ยืนกราน
“ก็ได้ ถ้าไม่ยอมคุยกันดีๆ ฉันก็จะไปหาเค้าเดี๋ยวนี้เลย!!”
อุไรโมโหวางโทรศัพท์โครม แล้วรีบเดินออกไป
ด้านกานดามณีและ วิไลวรรณเดินลงมาจากรถที่หน้าประตูวังสูรยกานต์ กานดามณีตั้งใจแต่งตัวเรียบร้อยสุดขีด ดูคล้ายกานดาวสีมาก แต่ยังมีบางอย่างเช่นเครื่องประดับรองเท้า ที่มีสีสันฉูดฉาดให้รู้ว่าเป็นกานดามณี
“วันนี้แหละ ฉันจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากแกนังกานดาวสี!”
กานดามณี และวิไลวรรณเดินมาที่ประตูกำลังจะกดกริ่ง ทันใดนั้น เสียงอุไรก็แจ๋นขึ้นมา เข้าใจว่ากานดามณี เป็นกานดาวสี
“นังตัวดี! ไหนบอกว่าไปหัวหินไงล่ะ”
กานดามณีกับวิไลวรรณมองอุไรด้วยความงงๆ
“คุณเป็นใคร” กานดามณีถาม
“นี่ นังกานดาวสี แกแกล้งความจำเสื่อมหรือไง” อุไรแหวใส่
กานดามณีได้ยินอุไรเรียกชื่อกานดาวสีก็ชะงัก
“จะบอกให้นะ ตอนนี้พ่อแกอยู่ที่โรงพยาบาล กำลังรอผ่าตัดอยู่”
กานดามณีตกใจจริงๆ “พ่อ! พ่อเข้าโรงพยาบาลเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ! และฉันต้องการเงินสองแสนไปรักษาพ่อแก”
กานดามณีโวย “สองแสน...จะบ้าเหรอ ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาเยอะขนาดนั้น”
“แกนี่ตอแหลจริงๆ เมื่อกี้ก็ให้คนใช้มาบอกว่าไปหัวหิน แต่มายืนหัวโด่อยู่นี่ แล้วนี่ยังจะบอกว่าไม่มีเงินอีก แกไม่คิดจะรับผิดชอบพ่อแกเลยหรือไง นังอกตัญญู”
วิไลวรรณจากงง เปลี่ยนเป็นโกรธ “เอ๊ะนังนี่…เป็นอะไรมากหรือเปล่า อยู่ดีๆก็มาแหกปากด่าอยู่ได้ เดี๋ยวตบคว่ำเลย”
อุไรตกใจ
“ว้าย! นังกานดาวสีเดี๋ยวนี้แกคบเพื่อนๆ ต่ำๆ แบบนี้ด้วยเหรอ”
“ฉันทนไม่ไหวแล้วโว้ย!”
วิไลวรรณถลาเข้าไปตบอุไร จนอุไรล้มไปกองที่พื้น
“โอ๊ย”
วิไลวรรณยังไม่สะใจ เข้าไปนั่งคร่อมอุไร ตบ ตบ ตบ ไม่เลี้ยง
“นี่แน่ะ เอาเลือดล้างปากซะหน่อยเถอะ”
กานดามณีรีบไปดึงตัววิไลวรรณออกมา แล้วลากไปที่รถ
“พอได้แล้วนังวรรณ เรารีบไปกันเถอะ”
กานดามณีผลักวิไลวรรณเข้าไปในรถก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถ ขับออกไป อุไรพยายามพยุงตัวเองขึ้น สภาพสะบักสะบอม
“อีพวกบ้า เก่งจริงกลับมาสิโว้ย...นี่นังกานดาวสีมันเปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย! เดี๋ยวได้เจอกันแน่ อีคางคกขึ้นวอ!”
อุไรโกรธจัด
ด้านวิไลวรรณยังฟึดฟัดอยู่ในรถ
“แกไม่น่าห้ามฉันเลย! นังนั่นมันด่าเราอยู่นะ!”
กานดามณีหงุดหงิด “ช่างมันก่อนเถอะน่า เราไม่มีเวลาแล้ว”
“เอ้า! แกจะรีบไปไหน ไม่เข้าไปหาพี่สาวแกแล้วหรือไง”
“แล้วมันอยู่ซะที่ไหนล่ะ แกไม่ได้ยินหรือไงว่านังกานดาวสีมันไปหัวหิน!”
วิไลวรรณคิดๆ แล้วโวยลั่นรถ “ห๊ะ นี่แกจะตามไปเหรอ รถฉันเก่าจะตายอยู่แล้ว จะเอาไปต่างจังหวัดได้ยังไง เดี๋ยวก็ไปตายอยู่กลางทางหรอก”
กานดามณีไม่ตอบ แต่เร่งความเร็วขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน ที่ชายทะเลหัวหิน เห็นรถขับเข้ามาจอดหน้าบ้านพักสองคัน ฐิติรีบลงจากรถไปประคองท่านย่าลงมา ท่านหญิงลักษมีมองรอบๆ อย่างพอใจ
“เฮ้อ ไม่ได้มาซะนานทีเดียว”
กานดาวสีเดินมาช่วยประคองอีกด้าน ท่านหญิงมองอย่างเอ็นดู
“เป็นไงชอบที่นี่มั้ยล่ะแม่กานดาวสี”
“ชอบเพคะ”
พุดตานมองกานดาวสีอย่างหมั่นไส้ ขัดสายตา
“ดี...มาฮันนีมูนทั้งที ย่าก็อยากให้มีความสุขมากๆ”
“ไม่ใช่ฮันนีมูนหรอกครับ ผมอยากพาท่านย่ามาเที่ยวมากกว่า”
ท่านหญิงดุ แต่ไม่จริงจังนัก “ตาตินี่ พูดแบบนี้ได้ยังไง เดี๋ยวเมียก็เสียใจหรอก”
“ดิฉันดีใจมากกว่าเพคะที่ท่านย่า คุณแม่แล้วก็คุณนมมาด้วยมาด้วย ถ้ามากันสองคน คงจะกร่อยมากทีเดียว”
ฐิติคอแข็ง โกรธแต่พูดไม่ออก สีดากับบุญมา สามีภรรยาที่ดูแลบ้านวิ่งออกมาต้อนรับอย่างดีใจ
“ท่านหญิงเสด็จมาถึงแล้วเหรอเพคะ อิฉันกับตาบุญแทบจะไม่เชื่อตอนที่เห็นโทรเลขว่าท่านหญิงจะเสด็จหัวหิน อิฉันดีใจเหลือเกินเพคะ” สีดาบอกอย่างนอบน้อม
“ท่านหญิงไม่ได้มาหัวหินหลายปีแล้วกระหม่อม” บุญมถาม
“ตั้งแต่นี้ก็ว่าจะมาบ่อยๆเหมือนกัน ยิ่งถ้าตาติกับแม่กานดาวสีเค้ามีลูกฉันก็คงต้องพาหลานๆมาจนตาบุญกับแม่สีดาเบื่อไปเลยล่ะ จริงมั้ยตาติ”
ท่านหญิงมองไปที่ฐิติกับกานดาวสีอย่างมีความหวัง กานดาวสีทำหน้าไม่ถูก เขินที่ท่านหญิงพูดตรงๆ
ฐิติชำเลืองมองกานดาวสีตาขวาง ทั้งรักทั้งชัง
อ่านต่อหน้า 2
สุดสายป่าน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทุกคนเดินเข้ามาในตำหนักพักร้อนของวังสูรยกานต์ ท่านหญิงแจกแจง
“แม่พุดตานกับนมสายนอนในตำหนักใหญ่กับฉัน ส่วนสองคนผัวเมียนี่ให้เขาไปนอนที่ตำหนักรับลมโน่น...”
พุดตานแย้งขึ้น “ตำหนักนี่ก็ใหญ่โตนะเพคะ หม่อมฉันว่าอยู่ด้วยกันหมดเลยก็ได้...สะดวกดีซะอีก”
ท่านหญิงหมั่นไส้ “เอ๊ะ...หล่อนนี่ยังไงนะแม่พุดตาน ผัวเมียก็ให้เค้าอยู่ด้วยกันตามลำพังสิเราแก่ๆก็อยู่ส่วนแก่ ไม่เข้าใจหรือไงว่าฉันอยากอุ้มเหลนไวๆ”
สีดากับบุญมาอมยิ้ม นมสายกระดี๊กระด๊าถูกใจ
“นั่นน่ะสิเพคะ อิฉันน่ะ คันไม้คันมืออยากจะเลี้ยงคุณหนูเต็มทีแล้ว” นมสายหันมาทางสีดากับบุญมา “สองคนนี่ก็มายืนยิ้มอยู่นั่นละ ช่วยกันยกกระเป๋าคุณฐิติกับคุณกานดาวสีไปตำหนักโน้นเลยเชียว...เร็วๆ เข้า”
กานดาวสีกับฐิติมองหน้ากัน กานดาวสีทำตัวไม่ถูก
บุญมากับสีดาช่วยกันของฐิติกับกานดาวสียกกระเป๋าเข้ามาวางในห้องนอน ในตำหนักเล็ก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” สีดาบอก
“ขอบคุณครับ” ฐิติบอก
บุญมากับสีดายิ้มๆ เดินเลี่ยงออกไป ฐิติหันหน้าไปดู เห็นกานดาวสีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เลยนึกหมั่นไส้บอกเสียงห้วน
“คุณนอนบนเตียงละกัน ผมนอนที่พื้นเอง”
“ค่ะ”
ฐิติยิ่งโกรธที่กานดาวสีรับคำง่ายๆ เหมือนไม่สนใจตนก็ยิ่งพาล
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว ทำไมผมจะต้องเสียสละให้ผู้หญิงอย่างคุณด้วย”
กานดาวสีหยุดกึก หันไปมองหน้าฐิติอย่างพยายามอดทนอย่างที่สุด
“คุณน่ะแหละไปนอนโน่น...ผมจะนอนบนเตียง”
ฐิติทิ้งตัวนอนบนเตียงด้วยท่าทางไม่แคร์ใคร
“ได้ค่ะ ฉันนอนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว ที่ไม่มีคุณ”
กานดาวสีพูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันที ฐิติลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างจะเอาเรื่อง แต่ไม่ทัน กานดาวสีเดินออกจากห้องไปซะก่อน ทิ้งให้ฐิติฮึดฮัดอยู่ในห้องคนเดียว
ฝ่ายนารีรัตน์ยังอยู่ในห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ไม่พอใจมากพอฟังที่แม่เล่า
“ทำไมพี่กานถึงใจดำขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าได้ดีแล้วจะลืมพวกเรา”
อุไรยิ่งแค้นหนัก “นั่นสิ นังกานดาวสีมันเปลี่ยนไปมาก อย่างกับคนละคน นังอกตัญญู!”
วิเศษส่งเสียงประท้วงขึ้นมาอย่างไม่พอใจที่อุไรว่ากานดาวสี วิเศษพูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แต่
รู้เรื่องทุกอย่าง
อุไรยังเจ็บใจไม่หายที่ถูกวิไลวรรณตบจนหน้าบวม หันไประบายอารมณ์เกรี้ยวกราดกับวิเศษที่
นอนนิ่งอยู่
“เห็นธาตุแท้ของแม่ลูกสาวคนโปรดหรือยังล่ะว่ามันเลวขนาดไหน พ่อป่วยทั้งคนมันก็ยังไม่ดูดำดูดี”
“แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดีคะแม่”
อุไรเครียด หาทางออกไม่ได้
ตอนบ่ายๆ วสันต์กำลังกดกริ่งอยู่หน้าวังสูรยกานต์ด้วยท่าทางหมายมั่นปั้นมือ ครู่หนึ่งสาวใช้วิ่งออกมาเปิดประตู
“คุณกานดาวสีอยู่มั้ย”
“ไม่อยู่ค่ะ เธอไปตากอากาศที่หัวหิน คุณจะฝากข้อความอะไรไว้มั้ยคะ”
วสันต์ผิดหวัง “ไม่ล่ะ”
วสันต์จะเดินกลับไปที่รถด้วยความหงุดหงิด
“บ้าเอ๊ย จะไปเที่ยวอะไรกันตอนนี้วะ”
อิ่มใจซึ่งตามมา ก้าวออกมาขวางไว้ สีหน้าระแวง
“คุณมาหาคุณกานดาวสีทำไมอีกคะ” อิ่มใจพูดอย่างสะเทือนใจ “คุณยังตัดใจจากเค้าไม่ได้ คุณยังรักเค้าอยู่ใช่มั้ย”
“จะบ้าไปกันใหญ่แล้วอิ่มใจ”
วสันต์จะเดินหลีกไปขึ้นรถอย่างรำคาญ ยังเครียดเรื่องวิทย์อยู่อิ่มใจเข้าไปกอดแขนวิทย์ไว้
“คุณวสันต์ เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นเถอะค่ะ คุณก็มีอิ่มแล้วนี่คะ”
วสันต์ชักรำคาญพยายามจะสะบัดแขนออก “แล้วมันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ อย่ามาหึงอะไรไร้สาระได้มั้ย”
วสันต์ผลักอิ่มใจออกไปอย่างรำคาญ อิ่มใจไม่ยอมหยุด โวยวายลั่น พร้อมกับทุบตีวสันต์
“แต่อิ่มเป็นเมียคุณ แล้วมันไม่เหมือนกันยังไง อิ่มไม่ยอมนะ อิ่มไม่ยอมจริงๆ ด้วย คุณต้องพูดมาให้รู้เรื่อง...”
วสันต์บันดาลโทสะ ตบหน้าอิ่มใจกระเด็นไปฟุบอยู่ที่พื้นถนน ตวาดลั่น
“ฮึ้ย...หยุดทำตัวน่ารำคาญซะที คนยิ่งกลุ้มๆ อยู่”
วสันต์เดินไปขึ้นรถ ขับออกไปอย่างไม่สนใจอิ่มใจอีก อิ่มใจมองตามทั้งเสียใจ เจ็บใจและไปลงที่กานดาวสีอีกคน
“นังกานดาวสี...”
คืนนั้นกานดาวสีค่อยๆ เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างแผ่วเบา ฐิติถามขึ้น
“ไปไหนมา!”
กานดาวสีสะดุ้ง
“ดิฉันคุยกับคุณนมเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ”
ฐิติรู้ทัน “แต่ผมว่าไม่ใช่ คุณจงใจจะเข้ามาในห้องช้าๆ ผมจะได้หลับไปก่อนใช่มั้ยล่ะ”
ฐิติเดินเข้าไปหากานดาวสี มองอย่างเสือที่กำลังจะตะปบเหยื่อ กานดาวสีถอยหลังหลบแต่ติดฝาผนัง
ฐิติเดินเข้ามาประชิดตัว
“อย่านะคะ คุณฐิติ”
“จะมาสร้างภาพอะไรอีกล่ะ เราเป็นผัวเมียกันแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นของธรรมดา ทีตอนที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่เห็นคุณจะหวงตัวขนาดนี้เลย”
ฐิติโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ กานดาวสีกลัวจนตัวสั่น
“อย่านะคะคุณฐิติ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนที่คุณรักจริงๆ อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ”
ฐิติโมโห “คุณไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น หรือผมไม่ใช่คนคนนั้นของคุณกันแน่...”
กานดาวสียังไม่ทันตอบ ฐิติก็ปึงปังใส่อย่างโกรธปนน้อยใจ
“พูดมาเลยดีกว่า ว่ายังทำใจยอมรับผมเป็นสามีไม่ได้ แล้วก็เลิกอ้างเหตุผลโง่ๆ นั่นซะที ผมไม่ชอบ!”
ฐิติผละออกมาจากกานดาวสี คว้าหมอนผ้าห่มเดินปึงๆ ไปมุมห้องปูผ้าห่มลวกๆ ล้มตัวนอนตะแคงหันหลังให้อย่างไม่ใยดี
กานดาวสีร้องไห้เงียบๆอย่างอัดอั้น
เช้าวันนั้นกานดาวสีอยู่กับฐิติที่ริมหาด
“คุณฐิติฉันอยากจะบอกคุณอีกครั้งว่าฉันไม่ใช่กานดาวสีที่คุณเคยรู้จัก ฉันกับผู้หญิงคนนั้นเป็นคนละคนกัน จริงๆนะคะ”
“กานดาวสี นี่คุณจะพูดอะไรอีก”
เสียงกานดามณีดังขึ้น “เธอก็พูดความจริงไงคะ ติ”
สองคนตกใจหันไปมอง เห็นกานดามณีเดินเข้ามา ฐิติตกใจหันมองสองสาวไปมา
“นี่มันอะไรกัน”
“ติคะผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างคุณเขาสวมรอยเป็นฉัน เพราะเขาหวังทรัพย์สมบัติของคุณ” กานดามณีบอก
ฐิติมองกานดาวสีอย่างเกลียดชัง “คุณไม่ใช่กานดาวสีจริงๆ แล้วทำไมคุณยังมาแต่งงานกับผม คุณก็รู้ว่าคนที่ผมรักไม่ใช่คุณ คุณรู้อยู่ตลอดเวลา”
“ฟังฉันก่อนค่ะฐิติ ฉันแต่งงานกับคุณก็เพราะฉันรักคุณนะคะ” กานดาวสีบอก
“รัก รักผมหรือรักสมบัติของผมกันแน่ ผมไม่เคยรักใครนอกจากกานดาวสีคนนี้เท่านั้น”
ฐิติหันไปโอบกอดกานดาวมณี สองคนหันหลังเดินจากไป กานดาวสีร้องเรียกไปร้องไห้ไปด้วย
“อย่าไปนะคะฐิติอย่าไป ฉันรักคุณ ..อย่าทิ้งฉันไป ฉันรักคุณ”
กานดาวสีทรุดลงร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“ฐิติ ฐิติคะ อย่าไป” เสียงกานดาวสีดังขึ้นท่ามกลางความมืดสลัวในห้องนอน
ฐิตินอนหลับอยู่ลืมตางงๆ ลุกขึ้นหันไปมองที่เตียง เห็นกานดาวสี พลิกไปมาสะอื้นเบาๆ เรียกชื่อเขาอยู่ ฐิติรีบลุกไปที่เตียงพบว่ากานดาวสีละเมอ ฐิติหันหลังกลับ
“อย่าทิ้งฉันไปนะคะฐิติ...อย่าทิ้งฉัน”
ฐิติชะงักมองกานดาวสีอย่างดีใจ สีหน้าอ่อนโยน ค่อยๆเขย่าตัวเรียกเบาๆ
“กานดาวสี”
กานดาวสีรู้สึกตัวค่อยๆลืมตางงๆลุกขึ้นนั่ง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
กานดาวสีลืมตัวโผเข้าซบอกฐิติ กอดฐิติไว้แน่นเหมือนกลัวฐิติจะเดินจากไปอย่างในฝัน
“ฉันฝันร้ายค่ะ”
ฐิติโอบกอดกานดาวสีไว้อย่างเป็นห่วง กำลังจะลืมความขุ่นข้องหมองใจที่เกิดขึ้น
“ฝันว่าอะไร บอกผมสิ”
กานดาวสีได้สติ รู้ตัวว่ากำลังกอดฐิติอยู่ก็รีบเบนตัวออกห่าง อึ้งไป ไม่กล้าเล่าความฝันให้ฐิติฟัง
ฐิติน้อยใจ “ทำไมคุณถึงไม่ยอมเล่าให้ผมฟัง คุณมีอะไรปิดบังผมหรือเปล่า”
กานดาวสีรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ค่ะ แต่ฉัน...ฉันจำไม่ได้ รู้แต่ว่ามันเป็นฝันร้าย” กานดาวสีตัดบท “ขอโทษนะคะที่ฉันทำให้คุณตื่น คุณกลับไปนอนเถอะค่ะ”
ฐิติมองอย่างระแวง ไม่อยากเชื่อ
รุ่งเช้าขบวนรถไฟกำลังเคลื่อนตัวมาเทียบชานชาลา สถานีรถไฟหัวหิน ผู้โดยสารทยอยลงจากรถไฟ ก่อนจะเห็น กานดามณีกับวิไลวรรณในชุดเดินทางสวยทันสมัยหิ้วกระเป๋าเดินทางลงมาจากขบวนรถ ลงมายืนมองซ้ายมองขวาอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำยังไงต่อ
“แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้...บ้านช่องเค้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
“ก็ถามสิยะ มันจะมีวังเจ้าซักกี่แห่งกันเชียวในหัวหินเนี่ย”
“ยังไงก็หาที่พักก่อนเหอะ นี่ดีว่าพ่อแกเอาเงินมาให้ก่อนที่เค้าจะป่วยนะ ไม่งั้นคงได้นอนวัดกันก็คราวนี้ล่ะ”
ที่ตำหนักริมทะเล ทุกคนกำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่ นมสายยืนคอยรับใช้ตามปกติ ฐิติกับกานดาวสีนั่งทานอาหารเช้าเงียบๆ ไม่พูดไม่จากัน ท่านหญิงมองอย่างไม่สบายใจ พยายามหาเรื่องคุย
“เมื่อคืนนอนสบายหรือเปล่าแม่กานดาวสี”
“ค่ะ”
“แล้วตาติล่ะลูก”
“ดูจากสีหน้าแล้ว คงไม่สบายเท่าไหร่” พุดตานว่า
ฐิติพูดท่าทางพาลๆ “บรรยากาศที่นี่ดีนะครับ แต่ทำไมผมรู้สึกอึดก็ไม่รู้ สงสัยจะอยู่ใกล้กับคนที่มีแต่ความลับ ก็เลยรู้สึกอึดอัด”
ท่านหญิงฉงน “ความลับอะไร ใครมีความลับ”
“ผมอิ่มแล้ว ผมขอตัวนะครับ”
ฐิติเดินออกไป
กานดาวสีวางช้อน “หนูขอตัวนะคะ” แล้วเดินออกไปอีกทางหนึ่ง
ท่านหญิง พุดตาน และนมสายมองหน้ากันอย่างหนักใจ
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ขณะที่กานดาวสีกำลังจะเดินลงไปที่ชายหาด ท่านหญิงลักษมีกับนมสายเดินตามออกมา ท่านหญิงร้องเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนแม่กานดาวสี อะไรกันเนี่ย นี่งอนกันตั้งแต่กรุงเทพฯ ยังไม่เลิกอีกรึ”
กานดาวสีพูดไม่ออก
“ตัวก็น่าจะรู้ว่าผัวตัวน่ะขี้หึง แล้วยังจะเอามาเป็นอารมณ์อีก” ท่านหญิงตำหนิอยู่ในที
กานดาวสีอึกอัก “เอ่อ...”
“เราน่ะเป็นผู้หญิง ถูกผิดยังไงก็ต้องง้อสามี...” ท่านหญิงอบรม
นมสายเห็นด้วย “นั่นสิคะ มัวแต่งอนกัน แล้วเมื่อไหร่จะมีคุณหนูเล็กๆ ซะทีล่ะคะ”
“ไปลูก ไปง้อพ่อฐิติเขาหน่อย มีอะไรก็คุยกัน อย่าปล่อยให้มีปัญหาคาใจ...นะ เชื่อย่าเถอะ”
ให้บังเอิญเหลือเกินว่าคุณหญิงไขนภาพาวิสูตรมาเช็ครายชื่อผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่วิเศษพักอยู่ แลฃะสองคนกำลังเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ ตรงโถงกลาง
“รบกวนช่วยเช็คให้หน่อยนะครับ ว่ามีคนไข้ชื่อกานดามณี วัฒนากุลหรือเปล่า”
“รอสักครู่นะคะ”
พยาบาลหาข้อมูล
“ไม่มีนะคะ”
วิสูตรมีสีหน้าเศร้า ด้วยความผิดหวัง “เราตามไปตั้งหลายโรงพยาบาล แต่ก็ยังไม่เจอ”
ไขนภาพยายามปลอบใจ “อย่าเพิ่งหมดหวังสิคะ จริงๆแล้วดิฉันว่าเราโชคดีมากกว่าที่ไม่เจอคุณกานดามณีที่นี่ อย่างน้อยเราก็คิดได้ว่าเธอยังปลอดภัยอยู่...”
จังหวะนี้ไขนภาชะงัก เมื่อเห็นอุไรเดินหน้าเครียดถือถุงข้าวถุงน้ำเดินไปอีกทาง
“เอ๊ะ...นั่นคุณอาอุไรนี่”
ตรงทางเดินหน้าห้องผู้ป่วย ขณะอุไรกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่วิเศษพักฟื้นอยู่
เสียงไขนภาดังขึ้น “คุณอาอุไรคะ”
อุไรชะงัก หันไปตามเสียง เห็นไขนภากับวิสูตรกำลังเดินเข้ามาหา
“อ้าว คุณหญิงไขนภา สวัสดีค่ะ”
ไขนภาแนะนำวิสูตรให้อุไรรู้จัก
“นี่คุณวิสูตร ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ดิฉันสอนอยู่ค่ะ…คุณอามาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”
“ก็มาดูแลคุณวิเศษน่ะสิคะ คุณวิเศษไม่สบายมากค่ะ”
ไขนภาตกใจ “คุณอาวิเศษเป็นอะไรคะ”
วิเศษป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก นอนเป็นอัมพฤกษ์อยู่บนเตียง พูดไม่ได้ อ้าปากไม่ได้ แต่ได้ยินและยังรับรู้ได้ทุกอย่าง
ไขนภาจับมือวิเศษไว้อย่างเป็นห่วง
“คุณอาวิเศษเส้นเลือดในสมองแตกได้ยังไงคะ”
อุไรอึกอัก “เอ่อ…คนแก่น่ะค่ะ อะไรๆ มันก็เสื่อมไปตามกาลเวลา”
“แล้วนี่คุณอาเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อวานตอนบ่ายค่ะ”
ไขนภาแปลกใจ “เอ๊ะ งั้นคุณกานดาวสีก็ยังไม่รู้สิคะ เพราะเธอไปหัวหินตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ทำไมจะไม่รู้คะ อาตามไปบอกถึงที่วัง แต่แม่นั่นก็ไม่ใส่ใจ แล้วยังทำเหมือนไม่รู้จักอา พอว่าเข้า มันก็ให้เพื่อนตบอาจนหน้าเขียวไปหมด”
วิเศษขยับตัวไม่ได้ แต่สายตาบอกว่าหงุดหงิด ไม่เชื่อ ส่งเสียงร้องอื้ออ้าไม่พอใจออกมา อุไรหันไปมองตาขวาง ลืมตัวตวาดแว้ด อย่างไม่มีความเกรงใจวิเศษอีกต่อไป
“ไม่ต้องมาโวยวายเลยนะคุณวิเศษ เป็นไงล่ะลูกรักของคุณ รู้ทั้งรู้ว่าพ่อป่วยก็ยังไม่มาดูแล อยากจะรู้นักว่าถ้าไม่มีฉันซะคนคุณจะทำยังไง...”
อุไรหันไปเห็นไขนภามองมาอย่างตำหนิก็เลยหยุดกึก
วิเศษยังอื้อฮ้า กระสับกระส่ายด้วยอย่างไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้เพราะขยับตัวไม่ได้
แล้วก็สะดุดกึกเมื่อมองไปเห็นวิสูตร
ไขนภาไม่อยากเชื่อ “ไม่น่าจะเป็นไปได้”
“แต่ก็เป็นไปแล้วล่ะค่ะ รัตน์เห็นกับตาว่าคุณแม่โดนตบจนหน้าตาบวมไปหมด”
อุไรรีบสร้างภาพเรียกคะแนนคืน “โดนตบน่ะไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่อาเป็นห่วงคุณวิเศษ นี่คุณหมอก็บอกว่าอาจจะต้องผ่าตัดด้วย ค่าใช้จ่ายก็เป็นแสนๆ เงินทองก็อยู่ในเซฟที่คุณวิเศษเปิดได้อยู่คนเดียว ถ้าแม่กานดาวสีเค้าไม่ยอมรับผิดชอบ อาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
ไขนภายังไม่ยอมเชื่อ “ดิฉันว่าต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ...ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันจะเป็นคนบอกคุณกานดาวสีให้เอง”
“อู้ย ขอบคุณมากนะคะคุณหญิง...ว่าแต่คุณหญิงมาทำอะไรที่นี่คะ”
ไขนภาลอบหันไปมองหน้าวิสูตรอย่างเกรงใจ อึ้งไปไม่กล้าตอบ วิสูตรเลยตอบแทน
“ลูกสาวผมหนีออกไปจากบ้านน่ะครับ คุณหญิงก็เลยมาช่วยตามหา”
“ตายจริง เสียใจด้วยนะคะ ดิฉันเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ค่ะว่าเป็นยังไง ดิฉันเอาใจช่วยขอให้หาลูกสาวเจอเร็วๆนะคะ”
วิสูตรยิ้มขอบคุณอุไร และมองเลยไปถึงวิเศษที่มองจ้องมาอย่างพิจารณาเหมือนจะให้
แน่ใจอะไรบางอย่าง
รอยยิ้มของวิสูตรค่อยๆ จางลง เผลอขมวดคิ้วมองวิเศษอย่างสงสัย
ตอนสายๆ วิไลวรรณกับกานดามณีซึ่งสวมแว่นตาโอเวอร์ไซส์ และใส่หมวกปีกใหญ่บังหน้าตาด้อมๆมองๆ อยู่หน้ารั้วตำหนัก แลเห็นคนขับรถกำลังล้างรถอยู่
“ใช่ที่นี่หรือเปล่านังวรรณ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เราก็มาตามที่แม่ค้าในตลาดบอกแล้วนี่”
“แกก็ถามไอ้หมอนั่นสิ ฉันจะหลบอยู่ตรงนี้ก่อน”
กานดามณีผลักเพื่อนออกไป วิไลวรรณจำใจเดินไปชะโงกที่หน้ารั้วด้วยท่าทางละล้าละลัง
“คุณคะ นี่บ้านพักตากอากาศของคุณวิชัยใช่มั้ยคะ” วิไลวรรณแกล้งถาม
“ไม่ใช่ครับ”
“ตายจริง แล้วนี่บ้านใครล่ะคะ”
นมสายเดินจำอ้าวออกมาจากด้านใน มองแล้วถามอย่างแปลกใจ “พูดกับใครน่ะปัญญา”
“เขามาถามหาบ้านคุณวิชัยอะไรนี่ล่ะครับคุณนม” คนรถบอก
“ไม่ใช่ที่นี่หรอกแม่คู๊ณ นี่เป็นตำหนักพักร้อนของท่านหญิงลักษมีวิลาศสูรยกานต์ ลองไปถามที่อื่นดูเถอะ”
วิไลวรรณยิ้มพอใจออกมา “ค่ะๆๆ ขอบคุณมากค่ะ”
กานดามณีจูงมือวิไลวรรณวิ่งมาถึงชายหาด
“โอ๊ย แก จะวิ่งไปไหนเนี่ย ทำไมไม่เข้าไปถามหาคุณฐิติเค้าเลยล่ะ” วิไลวรรณโวยวาย
“ได้ยังไง ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวเลย”
“แต่งมาซะเพียบขนาดนี้เนี่ยนะ ไม่ได้เตรียมตัว”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องแต่งตัวนะยะ เรื่องอย่างเงี้ย มันอยู่ที่ชั้นเชิงด้วยจะให้เดินโทงๆเข้าไปบอกได้ไง มันต้องสร้างบรรยากาศให้เหมือนกับต้องมนต์...”
วิไลวรรณสวนขึ้นมา “เหมือนที่แกทำกับเค้าที่ประจวบใช่มั้ยล่ะ”
“ฉันจะทำให้ยิ่งกว่านั้นอีกแก คอยดูสิ ฉันจะรื้อฟื้นความหลังให้ถึงใจเลยล่ะ”
ท่านหญิงกับนมสายในเครื่องแต่งกายรัดกุม เดินลงมาจากตำหนักไปที่รถอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
คนขับรถเปิดประตูรถรออยู่ พุดตานเดินตามมาอย่างไม่เต็มใจนัก
“เร็วเข้าสิยะแม่พุดตาน ทำไมถึงได้อืดอาดเชื่องช้าอย่างนี้นะ”
“ท่านหญิงจะไปเขาวังจริงๆเหรอเพคะ...มันไกลนะเพคะ กว่าจะไปกว่าจะกลับก็คงเย็น”
นมสายค้อนพุดตานอย่างหมั่นไส้ที่เข้าใจอะไรยากเหลือเกิน
“ก็เพราะไกลน่ะสิคะ ท่านหญิงถึงอยากไป แล้วท่านหญิงก็วางแผนไว้แล้วว่าจะไปเสวยมื้อค่ำที่ตำหนักเสด็จในกรม...”
“อ้าว แล้วตาติ กับแม่กานดาวสีล่ะเพคะ”
“ก็ปล่อยให้เค้าอยู่กันสองคนน่ะสิ”
พุดตานทำหน้าจะค้านไม่เห็นด้วย
“เลิกมีปัญหาได้แล้วแม่พุดตาน” ท่านหญิงนิ่วหน้าอย่างรำคาญ “นี่ถ้าฉันรู้ว่าหล่อนจะเข้าใจอะไรยากอย่างนี้ ฉันคงไม่เอาหล่อนมาที่นี่ด้วยให้มัน เกะกะแน่ๆ”
ด้านฐิติเดินผ่านครัว สายตาเหลือบไปเห็นกานดาวสีทำอะไรวุ่นวายอยู่ในครัว ฐิติรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอยากหาเรื่อง เดินเข้าไปในครัว ทำเป็นเปิดตู้เย็นปึงปังหาน้ำดื่ม แต่ตาชำเลืองมองที่กานดาวสีตลอด
กานดาวสีตั้งใจปั้นขนมปั้นสิบอย่างไม่ถนัดมือ ไม่สนใจ ฐิติพยายามเรียกร้องความสนใจโดยการทำเป็นหาน้ำไม่เจอ สายตาฐิติมองที่กานดาวสีอย่างนั้น
“ไม่มีน้ำกินเลยหรือไงแต่ขวดน้ำแช่อยู่ในตู้เย็นหลายขวด”
กานดาวสียังไม่ยอมละสายตาจากการพยายามปั้นขนม ฐิติเห็นกานดาวสียังวางเฉยไม่สนใจตนสักนิด ก็ทำเป็นเดินเฉียดเข้าไปใกล้ๆ เห็นกานดาวสีพยายามปั้นขนมอยู่อย่างเก้ๆกังๆ จนฐิติรู้สึกขวางหูขวางตาเป็นกำลัง
“ทำไม่เป็นแล้วยังอยากจะทำ ปั้นแบบนั้นน่ะ จนเย็นก็ไม่เสร็จ”
กานดาวสีเหลือบมามอง ค้อนนิดหนึ่ง แล้วยิ่งมุ่งมั่น ทำหูทวนลม ตั้งอกตั้งใจปั้นต่ออย่างทุลักทุเล แต่ไส้แตกออกมา กานดาวสีโมโหตัวเอง ฐิติหัวเราะชอบใจ
“นี่คุณนึกยังไง ถึงได้ลุกขึ้นมาทำขนมไทยฮะ นักเรียนนอกอย่างคุณคงจะทำเป็นแต่พวกเบเกอรีล่ะสิ”
กานดาวสีนิ่งไปนิดนึง ตัดสินใจข่มความอายตอบไปตามความจริง
“ท่านหญิงบอกคุณชอบทานปั้นสิบปลา”
ฐิติชะงัก ดีใจที่เห็นกานดาวสีพยายามหัดทำเพื่อตน แอบอมยิ้มแล้วรีบปรับสีหน้าเป็นปรกติเดินไปล้างมือ แล้วเดินเข้ามาใช้ไหล่ดันกานดาวสีเพื่อตนจะได้เข้าไปยืนแทนที่
“ขืนปล่อยคุณให้ทำคนเดียว ชาตินี้จะได้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้...มานี่ ผมจะทำให้ดู”
ฐิติลงมือทำให้ดูอย่างคล่องแคล่ว
“ดูนี่”
พลางเข้ามาหยิบขนมจากมือกานดาวสีแล้วเริ่มทำให้ดูอย่างคล่องแคล่ว
“แป้งต้องไม่หนามาก ไม่งั้นมันจะไม่อร่อย แล้วค่อยทำเป็นเบ้า ตักไส้ปลาใส่แล้วก็พับเป็นครึ่งวงกลม จับจีบเป็นขลิบ ทำเบาๆ แทบจะไม่ต้องใช้แรงเลย...เห็นมั้ย แค่นี้ก็เสร็จแล้ว”
ฐิติโชว์ปั้นสิบที่ปั้นได้อย่างสวยงามประณีตให้ดู กานดาวสีมองอย่างทึ่ง เผลอเข้าไปดูขนมในมือฐิติ ไม่รู้ตัวว่าหน้าเกือบชนกัน ฐิติมองหน้ากานดาวสีที่ชะโงกมาอยู่ใกล้ๆ ยิ้มพอใจ กานดาวสีรู้สึกตัวรีบผละออก เงอะงะจนชนช้อนตกลงจากโต๊ะ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
ฐิติและกานดาวสีก้มลงเก็บพร้อมกัน มือแตะมืออีก ทั้งสองจ้องตากัน ฐิติถือโอกาสจับมือหล่อน ดึงเข้ามาใกล้ๆ มองซึ้งๆ อย่างแสนรัก
“ผมดีใจที่คุณตั้งใจทำขนมนี่...เพื่อผม”
กานดาวสีเหมือนต้องมนต์ แทบจะละลายไปกับสายตาคู่นั้น ฐิติก้มลงจะจูบ กานดาวสีรู้สึกตัวรีบสะบัดมือ ผละออกจากฐิติแล้วรีบลุกขึ้นกลบเกลื่อน
“เอ่อ....ฉันคงไม่ถนัดเรื่องขนมไทยจริงๆ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
กานดาวสีรีบออกจากห้องไป ฐิติรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกจนได้
สุดสายป่าน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ฟากกานดามณีอยู่ในชุดชุดวาบหวิวและเซ็กซี่มากเดินเข้ามายังวิไลวรรณที่กำลังนั่งทานส้มตำด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยเงยหน้าขึ้นมามองกานดามณีอย่างตกตะลึง
“หูย... นังณี...แกแต่งตัวแบบนี้จะรอดไปถึงคุณฐิติหรือเปล่าวะ”
กานดามณีบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ชุดนี้แหละที่ฉันได้เจอกับคุณฐิติ ถ้าเค้าเห็นเค้าจะจำฉันได้ทันที”
“เพื่อนฉันสุดยอดเลยว่ะ เก็บทุกรายละเอียด ทำถึงขนาดนี้ไม่ได้คุณฐิติคืนมาไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
“แกน่ะกินเสร็จหรือยัง…จะได้ไปกันซะที”
“จะรีบไปถึงไหน กินส้มตำก่อนสิแก” วิไลวรรณทำตาเล็กตาน้อยอย่างมีเลศนัย “จะได้มีแรงเอาคุณฐิติคืนไง”
กานดามณีชำเลืองมองจานส้มตำบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองวิไลวรรณอย่างปลงๆ
“กินส้มตำก่อนไปหาผู้ชายเนี่ยนะ แกใช้อะไรคิดฮะนังวรรณ”
กานดามณีปราดเข้าไปลากตัววิไลวรรณให้ลุกจากเก้าอี้อย่างใจร้อน
“แล้วแกก็พอได้แล้ว” กานดามณีบอกอย่างหมายมั่นปั้นมือ “ฉันจะได้รีบไปถีบนังกานดาวสีให้มันตกลงมาจากสวรรค์เร็วๆ”
ขณะเดียวกันคุณพระบรรณกิจอยู่ที่สูรยกานต์ไหมไทยกำลังเดินตรวจงานอยู่ในโชว์รูม แต่สายตาวนเวียนพินิจพิเคราะห์อยู่ที่วสันต์ซึ่ง กำลังนั่งคุยกับแขกอยู่ที่โซฟาบริเวณมุมรับแขก
“คุณพระคะ”
คุณพระสะดุ้ง หันมาเห็นไขนภา เปลี่ยนสีหน้าครุ่นคิดเป็นยิ้มอย่างยินดี
“สวัสดีครับ...คุณหญิงไขนภา มาถึงที่นี่มีอะไรจะให้...”
ไขนภาขัดขึ้นอย่างคนใจร้อน “คุณพระต้องไปกับหญิงเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
คุณพระอ้าปากค้าง
“หญิงมีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับคุณพระ”
ไม่นานต่อมาคุณพระบรรณกิจมองวิเศษอย่างเป็นห่วงมาก วิเศษท่าทางดีใจที่เห็นคุณพระมาเยี่ยม
“หนูกานดาวสีจะต้องไม่รู้แน่ๆว่าพ่อวิเศษป่วยหนักขนาดนี้ ไม่งั้นแกจะไม่ยอมทิ้งพ่อไปไหนไกลๆอย่างเด็ดขาด”
วิเศษตาเป็นประกายแจ่มใส ส่งเสียงอื้ออ้าอย่างพอใจ และพยายามจะแสดงออกว่าเห็นด้วย
“หญิงก็คิดอย่างนั้นค่ะ แต่คุณอาอุไรยืนยันว่าเจอคุณกานดาวสีที่วังสูรยกานต์”
“เป็นไปไม่ได้ครับ ท่านหญิงเสด็จหัวหินตั้งแต่เช้า ผมก็ยังไปส่งเสด็จด้วย...มันต้องมีการเข้าใจอะไรผิดซักอย่าง”
คุณพระบีบมือวิเศษอย่างกำลังใจ พูดเสียงหนักแน่น แต่หน้าตามีความไม่แน่ใจปนอยู่
“หนูกานดาวสีเป็นเด็กน่ารัก แกไม่มีวันทำอะไรแย่ๆอย่างที่คุณอุไรเล่าให้คุณหญิงฟังแน่ๆ”
ส่วนที่บ้านกิริเนศวรอุไรกับนารีรัตน์เดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด
นารีรัตน์เครียดมาก “คุณพ่อก็ป่วย บ้านก็จะถูกยึด ทำไมเราถึงซวยอย่างนี้คะคุณแม่”
เสียงราศีแกล้งพูดแขวะเสียงอ่อนเสียงหวาน “ที่ซวยก็เพราะคุณแม่ของหลานติดการพนันไงล่ะคะ”
อุไรกับนารีรัตน์หันไปมองอย่างตกใจ เห็นราศรีนั่งวางสง่าอยู่ในบ้าน
“...เคยได้ยินมั้ยคะที่เค้าบอกว่าโจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว แต่ไฟไหม้สิบครั้ง ก็ยังวอดวายไม่เท่าคนติดการพนันแค่ครั้งเดียว”
“แกมาที่นี่ทำไมอีก เพราะแกคนเดียวที่ทำให้คุณวิเศษต้องเป็นอย่างนี้ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกำลังหาเงินมาใช้ให้ แต่แกก็ยังส่งนักเลงมา...”
อุไรพูดยังไม่ทันจบก็ต้องตาเหลือกเมื่อเห็นนักเลง 2-3 คนช่วยกันหอบเสื้อผ้าของตนและลูกเดินออกไปนอกบ้าน อุไรได้สติ โวยวายวิ่งตามออกไป
“อะไรกันเนี่ย หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกแกจะทำอะไรกัน”
นักเลงขนข้าวของไปโยนไว้หน้าประตูบ้าน อุไรวิ่งตามมา
“หยุดนะ แกไม่มีสิทธิ์จะมาทำลายข้าวของของฉัน”
ราศีเสียงดังใส่ “ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อแกเป็นหนี้ฉันไม่รู้กี่ล้าน นี่ก็ถือว่าฉันปราณีแกที่สุดแล้ว ที่ไม่ได้ไล่แกออกไปตั้งแต่วันที่คุณวิเศษเข้าโรงพยาบาล”
อุไรหน้าซีด นารีรัตน์รีบเข้ามาขวางระหว่างราศรีกับอุไร
“เห็นใจเราบ้างเถอะค่ะ อย่าเพิ่งไล่เราออกจากบ้านเลยนะคะ ตอนนี้คุณพ่อก็ป่วยหนัก หนูขอเวลาอีกสักหน่อย หนูสัญญาว่าจะหาเงินมาใช้หนี้คุณราศรีให้ครบทุกบาททุกสตางค์”
ราศีมองอย่างดูถูก “เด็กอย่างเราเนี่ยนะจะมีปัญญาหาเงินมาใช้ฉัน...”
นารีรัตน์บอกอย่างหนักแน่น “ค่ะ หนูคิดว่ายังพอจะมีทาง”
ส่วนที่ชายหาดหัวหิน กานดามณีกับวิไลวรรณเดินไปตามชายหาดอย่างรีบร้อน แต่อยู่ดีๆ วิไลวรรณก็ชะงัก หน้าเหยเก
กานดามณีหงุดหงิด “นังวรรณ เดินเร็วๆหน่อยได้มั้ย ฉันยิ่งรีบๆอยู่”
“ยัยณี ฉันปวดท้องอ่ะ สงสัยส้มตำเมื่อกี้จะทำพิษ ฉันกลับไปบังกะโลก่อนนะ”
กานดามณียิ่งหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ “เออๆ...แล้วรีบตามมาเร็วๆล่ะ”
วิไลวรรณวิ่งจู๊ดกลับไปที่บังกะโล กานดามณีเดินต่อไป
ฝ่ายกานดาวสีรีบเดินออกมา เพื่อสงบอารมณ์ทั้งสับสนและหวั่นไหวของตนที่ชายหาด
ภาพเหตุการณ์วาบหวามผุดขึ้นมาอีก ในตอนที่ฐิติและกานดาวสีก้มลงเก็บพร้อมกัน มือแตะมืออีก ทั้งสองจ้องตากัน ฐิติถือโอกาสจับมือกานดาวสี ดึงเข้ามาใกล้ๆ มองซึ้งๆ อย่างแสนรัก
“ผมดีใจที่คุณตั้งใจทำขนมนี่...เพื่อผม”
กานดาวสีเหมือนต้องมนต์ แทบจะละลายไปกับสายตาคู่นั้น ฐิติก้มลงจะจูบกานดาวสี
กานดาวสีสะบัดหัวเหมือนต้องการจะให้ภาพในหัวหายไป
“ท่องไว้เลยนะกานดาวสี ว่าเธอไม่ใช่...”
ไม่ทันขาดคำ กานดาวสีถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดฐิติ กานดาวสีพยายามขัดขืน แต่ฐิติยิ่งกอดแน่นขึ้น
“ทำไมถึงชอบหนีผมนักนะ” ฐิติกอดรัดแน่นขึ้นอีก “ผมรู้นะว่าคุณรังเกียจผม...แต่ยังไงคุณก็หนีผมไม่รอดหรอก”
กานดาวสีดิ้นรนขัดขืนอยู่อย่างนั้น “ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันขอร้อง...นี่มันชายหาดนะคะ”
“งั้นก็เข้าบ้าน”
กานดาวสียิ่งตกใจ “ไม่ได้นะคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ถ้าคุณขี้เกียจเดิน ผมอุ้มคุณเข้าไปก็ได้”
ฐิติตั้งท่าจะอุ้ม กานดาวสีตกใจ ไม่รู้จะทำยังไงเลยกัดที่แขนฐิติ
“โอ๊ย”
ฐิติเจ็บ ยอมปล่อยกานดาวสี พร้อมกับก้มดูรอยกัดที่แขน
“นี่คุณกัดผมเหรอ”
“ก็คุณพูดไม่รู้เรื่อง”
“ดี...คราวนี้ผมจะได้เอาจริงซะที”
ฐิติตั้งท่าจะจับ แต่กานดาวสีวิ่งหนีไปตามชายหาด
กานดามณีเดินเร็วๆ ไปตามชายหาด ผ่านกลุ่มชาวประมงที่กำลังเตรียมเรือ และข้าวของให้พร้อมก่อนจะออกทะเลตอนเย็น ชาวประมงมองกานดามณีตาเป็นประกาย ผิวปากแซว
กานดามณีรำคาญ “ผิวปากเรียกแม่แกเหรอ”
กลุ่มชาวประมงยิ่งเป่าปากแซวกันสนุกสนาน ชาวประมง 1 ในนั้น มองตามกานดามณีด้วยสายตาเป็นประกาย
ชาวประมงคนหนึ่งบอก “ปากเก่งอย่างเงี้ย...กูชอบว่ะ”
ชาวประมงคนนั้นลุกขึ้นเดินตามไปแซวกานดามณีต่อ
“จะรีบไปไหน...เดินตามควายเหรอจ๊ะน้องสาว”
“เปล่า...ควายมันเดินตามต่างหาก”
พวกชาวประมงยิ่งเฮรับ กานดามณีรีบเดินให้เร็วๆ ผ่านไป
ฝ่ายฐิติวิ่งไล่กานดาวสีไปตามชายหาด
“หยุดนะ.. กานดาวสี”
“ไม่”
ฐิติจับกานดาวสีได้ล้มกลิ้งกันลงไปในทะเล ฐิติคว้ากานดาวสีมากอดไว้ เปียกปอนทั้งคู่
“บอกแล้วว่าคุณหนีผมไม่พ้นหรอก”
ฐิติ กานดาวสีมองกันและกันอย่างห้ามใจไม่ไหว ก้มลงจูบ กานดาวสีเผลอปล่อยใจไปตามความต้องการของตน
สองคนไม่รู้ว่า อีกมุมหนึ่งของชายหาด แลเห็นกานดามณียืนตะลึงมองมาอย่างแค้นใจ
กานดาวสีเคลิ้ม แต่พอรู้ตัวก็รีบผลักฐิติออก พยายามวิ่งกลับตำหนัก ฐิติวิ่งตาม กานดามณียืนมองอย่างขุ่นเคือง เห็นเหมือนว่าฐิติกับกานดาวสีกำลังหยอกล้อกัน
ฐิติวิ่งตามกานดามณีทัน คว้าตัวกานดาวสีขึ้นมาอุ้มพากลับตำหนัก กานดาวสีโวยวายทุบที่อกฐิติ ดูน่าเอ็นดู
กานดาวสีเขินอาย “ปล่อยฉันนะ..บอกให้ปล่อย”
“ไม่ โป๊ขนาดเนี้ย อยากจะเดินยั่วให้ผู้ชายคนอื่นเห็นหรือไง”
สีหน้าแววตากานดามณีเคียดแค้น และโกรธจัด เค้นเสียงอย่างกราดเกรี้ยว
“นังกานดาวสี...นังหน้าด้าน ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะเอาของๆฉันคืน”
กานดามณีกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหาฐิติกับกานดาวสี แต่เห็นมือชาวประมงคนที่ตามมา ทุบที่ต้นคอกานดามณีอย่างแรงจนหล่อนสลบ ชาวประมงอุ้มกานดามณีไป
ฐิติอุ้มกานดาวสีมาวางบนเตียง กานดาวสีได้โอกาสจะวิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำ ฐิติกระชากตัวกานดาวสีเข้ามากอด
“อย่านะ...บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่...”
ฐิติพูดขัดขึ้น “คุณจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้คุณเป็นเมียผม และผมจะไม่ยอมปล่อยคุณไปให้ใครทั้งนั้น...คุณต้องเป็นของผมคนเดียว”
ฐิติจูบกานดาวสีอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน นุ่มนวลเต็มไปด้วย
ความรู้สึก กานดาวสีพยายามต่อสู้ในตอนแรก แต่ตอนหลังก็แพ้ใจตัวเอง ฐิติถอนริมฝีปากออกมา มองกานดาวสีอย่างทั้งรักทั้งหลง
“เป็นของผมนะ กานดาวสี....ผมรักคุณ”
กานดาวสีพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งไปกับคำสารภาพรักของสามี ฐิติอุ้มกานดาวสีไปวางที่เตียง ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อกานดาวสีทีละเม็ด กระซิบเสียงสั่นด้วยความรู้สึก
“คุณเปียกไปหมดทั้งตัวแล้ว...ผมเปลี่ยนเสื้อให้นะ
กานดาวสีได้สติ กำลังจะอ้าปากค้าน พยายามจะผุดลุกขึ้น แต่ฐิติโน้มตัวลงไปจูบกานดาวสี
ภาพกว้างออกไปที่พื้น
ชุดสวยของกานดาวสีถูกเหวี่ยงลงมากองไว้ที่พื้น นอกหน้าต่างเห็นคลื่นกระทบฝั่ง
ที่อุโบสถวัดพระแก้วน้อย เขาวัง ท่านหญิงกำลังถวายพวงมาลัยที่พระประธานในโบสถ์ก่อนจะนั่งคุกเข่า รับธูปมาจากนมสายและอธิษฐาน พุดตาน นมสายไหว้พระตาม
“เจ้าพระคุณ...ขอให้พ่อติกับหนูกานดาวสีมีเหลนให้ลูกอุ้มไวๆ เสียที ลูกจะได้หมดห่วง”
“ถ้าคุณติกับคุณกานดาวสีมีเหลนให้ท่านหญิง ดิฉันจะถวายพวงมาลัยหมู เห็ด เป็ด ไก่ พร้อมด้วยผลไม้ อาหารคาว หวานไม่ให้ขาดเลยเจ้าค่ะ” นมสายอธิษฐานเสียงดังตามประสา
ส่วนพุดตานพูดอธิษฐานอยู่ในใจ “ขอให้ติลูกของแม่ พบแต่ความสุขและสิ่งที่ดีๆในชีวิต และแคล้วคลาดจากความอัปมงคลทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิดเจ้าค่ะ
นมสายรับธูปจากท่านหญิง และพุดตานไปปักที่กระถาง ทั้งหมดกราบพระ
ฝ่ายกานดามณีอยู่ในสภาพเกือบเปลือยนอนอยู่บนแคร่ในกระท่อม สักครู่หนึ่งกานดามณีเริ่มจะรู้สึกตัว ขยับตัวเล็กน้อยอย่างไม่สบายตัวก่อนจะลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆกระท่อมอย่างงงๆ
เสียงชาวประมงดังขึ้น “ตื่นแล้วเหรอจ๊ะน้องสาว แหม...กว่าจะตื่น พี่รอซะเหนื่อยเลย”
กานดามณีนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลุกพรวดขึ้นมานั่ง หันไปตามเสียง เห็นชาวประมงจอมหื่นกำลังเดินเข้ามาหา มองตาเป็นมัน กานดามณีถอยหลังไปจนสุดฝาผนังกระทุ่ม มองหาทางหนีทีไล่
“นี่แกทำอะไรฉัน”
“ยังไม่ได้ทำซะหน่อย แต่กำลังจะทำอยู่เดี๋ยวนี้ไงล่ะจ๊ะ”
ชายจอมหื่นว่า พลางก้มลงหมายจะจูบกานดามณีฉากหลบ ชาวประมงจะจูบอีก กานดามณีได้จังหวะตบหน้ามันเต็มแรง แล้ววิ่งหนีออกประตูไป
“โอ๊ย”
ชาวประมงไวกว่า จิกผมกานดามณีไว้ได้แล้วต่อยที่ท้องซ้ำจนกานดามณีจุก ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น
“ช...ช่วย...ด้วย!”
ชาวประมงไม่สน ฉุดกานดามณีขึ้นมา กระชากเสื้อผ้าออกแล้วเหวี่ยงตัว กานดามณีไปที่แคร่อย่างแรง พร้อมกับย่างสามชุมเข้าไปหาอย่างหื่นกระหาย
“กูจะได้เมียเป็นนางฟ้าก็คราวนี้ล่ะโว้ย”
ทันใดนั้น มีไม้อันหนึ่งฟาดลงไปที่ท้ายทอยชายชาวประมง จนมันสลบไป เป็นฝีมือของวิไลวรรณที่ทิ้งไม้ แล้ววิ่งเข้าไปประคองกานดามณีอย่างเป็นห่วง
วิไลวรรณแกเป็นยังไงบ้าง
กานดามณีระบมไปหมด ไม่ตอบ แต่แววตาเปล่งประกายด้วยความแค้น ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้น เดิน
กระโผลกกระเผลกไปหยิบไม้ที่วิไลวรรณทิ้งไว้ มากระหน่ำฟาดชาวประมงเต็มแรงอีกครั้งก่อนจะโยนไม้ทิ้งลงบนตัวมัน แล้วถีบซ้ำอีกทีอย่างแค้นใจ พูดออกมาด้วยท่าทีอ่อนแรง
“ไปกันเถอะนังวรรณ”
ไม่นานต่อมาที่บังกะโลบ้านพักกานดามณี วิไลวรรณถือถ้วยข้าวต้มเข้ามาในห้อง
“กินอะไรซะหน่อยนะ”
กานดามณีนอนซมอยู่บนเตียง
“ฉันกินไม่ลงหรอก มันต่อยท้องฉันซะระบมไปหมด หายใจยังเจ็บเลยแก...นี่ดีนะที่แกมาช่วยไว้ทัน ถ้าไม่ได้แกฉันไม่รอดแน่...ขอบใจแกมากนะนังวรรณ”
“เออ...ไม่เป็นไรหรอก”
“นี่ถ้าไอ้ชั่วนั่นมันไม่มาขวางไว้นะ ป่านนี้ฉันกับคุณฐิติก็คงจะรู้เรื่องกันไปแล้ว”
“เอาเหอะน่า แกรอดจากไอ้บ้านั่นมาได้ก็ดีแล้ว คุณฐิติเค้าคงยังไม่กลับกรุงเทพฯในวันสองวันนี้หรอก”
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอกแก ถึงวันนี้จะไม่สำเร็จ แต่พรุ่งนี้ฉันก็ต้องเอาคุณฐิติมาเป็นของฉันให้ได้”
กานดามณีบอกออกมาอย่างมุ่งมั่น แววตาเด็ดเดี่ยว
อ่านต่อตอนที่ 7