สุดสายป่าน ตอนที่ 12
ยามเช้าที่วังสูรยกานต์ ฐิติกำลังแต่งตัวเตรียมตัวไปทำงาน คุยกับพุดตานไปด้วยเรื่องชุดสร้อยที่หายไปไร้ร่องรอย
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ถ้าแม่กานดาวสียืนยันว่าไม่ได้เอาสร้อยไป แล้วสร้อยมันจะหายไปได้ยังไง”
ฐิติครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“และผมก็เชื่อว่ากานดาวสีไม่ได้เอาสร้อยไปจริงๆ”
“ถ้างั้นก็หมายความว่าแม่กานดามณีเป็นคน...”
ฐิติสับสน “แต่เค้าก็ยืนยันว่าเค้าไม่เคยเห็น”
พุดตานตัดสินใจพูดกับลูกชายตรงๆ
“ติอาจจะหาว่าแม่อคติ แต่แม่พูดจริงๆ ว่าแม่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อคำพูดของแม่กานดามณีซักเท่าไหร่ แต่จะให้แม่หาเหตุผลหรือหลักฐานมายืนยัน แม่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเอามาจากไหน...”
พุดตานมองฐิติอย่างแน่วนิ่ง
“แต่แม่แน่ใจว่า คนอย่างกานดามณีที่เคยแอบอ้างใช้ชื่อคนอื่น แล้วมามีความสัมพันธ์กับติจะต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆ”
ขณะเดียวกันหม่อมหลวง วิทย์เดินเข้ามาในบ้านอิ่มใจ โดยมีลิซ่าตามเข้ามาด้วย
“นี่บ้านใครคะ แล้วเรามาที่นี่ทำไม”
“ก็มาตามทวงหนี้น่ะสิ...” วิทย์พูดเสียงดัง ก่อนจะตะโกนเรียกวสันต์ “ไอ้สันต์ หายหัวไปเลยนะแก
ออกมาคุยกันหน่อยซิ”
ลิซ่าพูดด้วยเสียงเหยียดๆ เจือดูถูกนิดๆ “นี่บ้านคุณวสันต์เหรอคะ”
พลางลิซ่ามองไปรอบๆ บ้าน นึกในใจว่าดูจ๊นจนเมื่อเทียบกับวิทย์ โชคดีที่ไม่ได้สลัดวิทย์มาเกาะวสันต์ จากนั้นเดินไปชะโงกดูในห้องโน้นห้องนี้ ตามประสาผู้หญิง
“บ้านเงี้ยบ เงียบ ไม่เห็นมีใครอยู่เลยค่ะ”
“ไอ้สันต์ คุณอิ่มใจ...” วิทย์ตะโกนประชด “เจ้าหนี้มาตามถึงบ้าน ไม่คิดจะออกมาต้อนรับเลยหรือไงครับ”
วิทย์มองไปรอบๆ อย่างหงุดหงิดที่ไม่มีใครออกมา จึงตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไป
“หรือจะต้องให้ตามถึงห้องนอน”
ลิซ่าเดินตามไปด้วย
วิทย์เดินขึ้นมาชั้น 2 เปิดประตูห้องนอนอิ่มใจ ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป วิทย์เห็นทั้งตู้เสื้อผ้า ลิ้นชักฯลฯ เปิดอ้าอยู่ ข้าวของกระจัดกระจาย สภาพระเกะระกะที่วสันต์เข้ามาค้นหาสร้อยในลิ้นชักต่างๆ แล้วเปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นเสื้อผ้าอิ่มใจหายไปนั่นเอง
“เหมือนมีใครเข้ามาค้นบ้านเลยนะคะ...อุ๊ย หรือว่าจะถูกขโมยงัดบ้าน...แล้วนี่คุณวสันต์เค้าอยู่ไหนล่ะคะ” ลิซ่าว่า
วิทย์นิ่วหน้า มองสภาพในห้องด้วยความสงสัย ตอบอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ด้านกานดามณีอยู่ที่ห้องโถงวังสูรยกานต์ กำลังแอบคุยโทรศัพท์อยู่กับวิไลวรรณกระซิบกระซาบสั่งเพื่อนคนเดียวในชีวิตเสียงเข้ม ด้วยกลัวใครมาได้ยิน
“แกต้องไปดูไอ้วสันต์ที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะว่ามันเป็นยังไงมั่ง”
วิไลวรรณอยู่บ้านปฏิเสธสุดตัว
“ไม่เอา ฉันไม่กล้าไปหรอก สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปแล้วฉันโดนตำรวจจับจะว่าไง”
กานดามณีโมโห “อีโง่ ไม่มีใครรู้ซะหน่อยว่าเราเป็นคนลงมือ...ยังไงแกก็ต้องไป ฉันต้องการจะให้แน่ใจว่ามันตาย”
วิไลวรรณยืนกรานไม่ไป “เมื่อคืนเราก็ตามไปทีแล้ว แกก็เห็นๆ อยู่....อาการหนักขนาดนั้นมันคงไม่รอดแล้วล่ะ”
“ไม่ได้ แกต้องไปดูให้เห็นกับตา จำไว้นะนังวรรณ ถ้ามันไม่ตาย เราสองคนไม่รอดแน่ อย่าลืมสิว่าแกก็มีส่วนทำร้ายมันเหมือนกัน”
กานดามณีวางโทรศัพท์ อย่างกระวนกระวาย ระแวงว่าถ้าวสันต์ไม่ตาย มันจะต้องกลับมาแก้แค้นตนแน่ๆ ขณะคิดเครียดหัวจะแตกอยู่นั้น ก็เห็นนวลเดินถือกล่องพัสดุไปรษณีย์ผ่านเข้ามาในห้องโถง กานดามณีตกใจ นึกถึงอีกปัญหาขึ้นมาได้ รีบวิ่งตามไป
นวลถือกล่องพัสดุจะเอาไปไว้ที่ห้องสมุด กานดามณีรีบวิ่งมาตรงโถงบันได
“นวล เดี๋ยวก่อน นั่นกล่องอะไรของใคร”
“ของคุณฐิติค่ะ ไปรษณีย์เพิ่งจะเอามาส่งให้เมื่อกี้”
กานดามณีตกใจจะดึงมา
“งั้นเอามานี่ เดี๋ยวฉันเอาไปให้ติเอง”
นวลยื้อ ยังไม่ยอมให้
“จะดีเหรอคะ”
“ฉันเป็นเมียตินะ ของติก็เหมือนของฉัน...เอามาให้ฉัน”
นวลคิดหนักจะให้ดีมั้ย
จังหวะนี้ฐิติกับพุดตานกำลังเดินลงบันไดมา เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ” พุดตานถามเสียงเข้ม
กานดามณีหน้าเสีย มองที่กล่องพัสดุอย่างหวาดหวั่น ก่อนตัดสินใจคว้าพัสดุมาไว้ในมือก่อน
“ไม่มีอะไรนี่คะ พัสดุของหนูเอง”
นวลอ้าปากจะค้าน กานดามณีหันไปจ้องเขม็งจนนวลไม่กล้าพูดอะไร
กานดามณีกอดกล่องพัสดุไว้แน่น หันหลังกลับจะเดินออกไป แล้วก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นท่านหญิงลักษมียืนมองอยู่
ท่านหญิงลักษมีเขม้นมองกานดามณีอย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยสายตารู้ทัน นมสายยืนอยู่ด้านหลังท่านหญิง
“เอากล่องนั่นมาให้ฉันดูก่อน ฉันอยากจะรู้ว่ามันเป็นของใครกันแน่”
“ท่านย่าจะดูทำไมเพคะ ก็หนูบอกแล้วว่าของหนู”
“แต่ฉันได้ยินนวลบอกว่าเป็นของตาติ”
ท่านหญิงจ้องกานดามณีเขม็งด้วยสายตาบีบบังคับ
“เอามาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้”
กานดามณีถือกล่องไว้แน่นไม่ยอมให้ ถอยหลังเหมือนอยากจะหนี ท่าทางราวกับจะยอมตายไปกับกล่อง
นมสายไม่สนใจ เดินมาดึงกล่องไปจากมือกานดามณีทันที กานดามณีหรือจะยอม สองคนยื้อยุดไปมา แต่นมสายก็ไม่รามือ กระชากมาจากกานดามณีจนได้
“อุ๊ย ของคุณติจริงๆ ด้วยเพคะ”
กานดามณีหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ
อ่านต่อหน้า 2
สุดสายป่าน ตอนที่ 12 (ต่อ)
ทุกคนอยู่ห้องนั่งเล่นวังสูรยกานต์พร้อมหน้า นมสายกำลังเปิดกล่องพัสดุ กานดามณีมองในกิริยาลุ้นสุดขีด หล่อนหน้าซีด ใจสั่น จ้องตาเป๋งไปที่กล่องในมือคุณนม พลางคิดหาทางหนีทีไล่ไปด้วย
ท่านหญิงลักษมีลอบมองปฏิกริยาของกานดามณีอย่างสงสัย และจับสังเกตตลอดเวลา
นมสายแกะกล่องออก หยิบจดหมายพร้อมเอกสารขึ้นมาจากกล่อง คลี่กระดาษดู เห็นที่หัวกระดาษเขียนว่า “สัญญากู้เงิน”
“สัญญากู้เงิน!” นมสายงงๆ หันมาทางทุกคน
กานดามณีมีท่าทางโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
ท่านหญิงฉงน “สัญญากู้เงินของใคร”
นมสายส่งจดหมายกับสัญญานั้นให้ฐิติ ฐิติกวาดสายตาดูข้อความในสัญญาอย่างรวดเร็วก่อนจะบอกอย่างปวดใจ
“ของกานดาวสีครับย่า”
“หมายความว่ายังไง แล้วหนูกานดาวสีส่งสัญญามาทำไม” พุดตานก็งง
ฐิติมองสัญญาในมืออย่างปวดร้าว
ด้านกานดาวสีนั่งแปลหนังสืออยู่ในโต๊ะสนาม ในสวนสวยของบ้านกิริเนศวร ลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง กระดาษที่วางไว้ปลิวกระจาย
“ตายจริง...งานปลิวไปหมดเลย”
กานดาวสีรีบคว้ากระดาษที่เหลือ แล้วเอาหนังสือเล่มหนาหนักมาทับเอาไว้ ก่อนจะลุกขึ้น วิ่งตามเก็บกระดาษที่กำลังปลิวกระจัดกระจายไปเรื่อยๆ ตามแรงลม
มีมือของฐิติเข้ามาจับกระดาษแผ่นเดียวกับกานดาวสีพอดี กานดาวสีเลยหน้าขึ้นสบตาฐิติที่กำลังมองมาพอดี
ฐิติเก็บกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาส่งให้
กานดาวสีพูดเรียบๆ “ขอบคุณค่ะ...คุณฐิติมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
ฐิติยื่นสัญญากู้เงินให้กานดาวสี
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าถึงฉันจะไม่ได้ไปทำงานใช้หนี้ให้คุณที่สูรยกานต์ไหมไทย แต่ฉันก็สัญญาว่าฉันจะใช้เงินคุณให้ครบทุกบาททุกสตางค์ ทั้งค่ารักษาคุณพ่อ ทั้งเงินไถ่จำนองบ้านหลังนี้ด้วย”
ฐิติหน้าตึง “คุณมันอวดดี คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือไง ที่กล้าส่งสัญญาบ้าๆ แบบนี้มาให้ผม”
กานดาวสีอธิบายบอก “ฉันไม่ได้อวดดี แต่ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณคนอื่น”
ฐิติสะอึก “คนอื่น!”
“ถึงคุณจะเป็นสามีกานดามณี แต่ดิฉันก็ไม่บังอาจจะคิดว่าคุณเป็นน้องเขยหรอกค่ะ”
ฐิติปวดร้าวเหลือเกินที่กานดาวสีทำเหมือนเขาและเธอ ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกันเลย
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะความจำสั้นจนถึงขนาดลืมไปแล้วว่าคุณเคยเป็นเมียผม”
“ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องอดีต”
ฐิติน้อยใจ “ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณคงไม่เคยมีความรู้สึกดีๆระหว่างเราเลยใช่มั้ย”
กานดาวสีพูดไม่ออก น้ำตาจะหยดเสียให้ได้ รีบตัดบทก่อนน้ำตาจะทรยศ รดรินให้เขาเห็นความอ่อนแอ
“ฉันจำไม่ได้หรอกค่ะ ฉันรู้แค่ว่าคุณก็ได้แต่งงานกับคนที่คุณรักแล้ว อย่ามาเสียเวลากับผู้หญิงที่บังเอิญต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตคุณโดยไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ ฉันต้องรีบทำงาน”
กานดาวสีเดินออกไปเลย
ฐิติมองตามอย่างอาลัยอาวรณ์ รำพึงรำพันอย่างปวดร้าว
“คุณลืมเรื่องของเราจริงๆ หรือกานดาวสี”
ฐิติเข้าที่โชว์รูม สูรยกานต์ไหมไทย และกำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานคุณพระบรรณกิจอย่างหงุดหงิด
“ผมเกลียดนักคนอวดดี ตัวเองยังจะเอาไม่รอด ไหนจะต้องดูแลพ่อ ไหนจะส่งต้องส่งน้องเรียน แล้วยังจะกล้ามาทำสัญญาเงินกู้กับผม” ราชนิกุลหนุ่มของขึ้นประชดออกมาอีก “อีกหน่อยก็คงอดข้าวตาย”
คุณพระอ่านสัญญาในมือ แอบยิ้มในสีหน้า
“ผมก็เห็นหนูกานแกขะมักเขม้นแปลหนังสือ ที่แท้ก็จะหาเงินมาใช้คุณฐิตินี่เอง...แต่ยังไง เรื่องนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับความกรุณาของคุณฐิติ ถ้าคุณฐิติไม่เซ็นชื่อซะอย่าง สัญญาฉบับนี้ก็ถือเป็นโมฆะ...”
ฐิติหยิบปากกามาเซ็นชื่อลงไปทันที
“ในเมื่ออยากจะใช้หนี้นัก ก็จะได้ใช้สมใจ...คุณพระเพิ่มหมายเหตุลงไปด้วยนะครับว่าเค้าจะต้องเอาเงินมาใช้คืนผมด้วยตัวเองทุกเดือน” ฐิติหลุดพูดความรู้สึกลึกๆ ออกมา “ก็ดี...จะได้หนีไปไหนไม่พ้น”
คุณพระมองยิ้มอย่างรู้ทัน ตัดสินใจพูดกับฐิติตรงๆ
“ในเมื่อรักเค้าขนาดนั้น แล้วหย่ากับเค้าทำไมล่ะครับ”
ฐิติพูดไม่ออก รู้ว่าตัวเองเผลอแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
“คุณฐิติเชื่อจริงๆ เหรอครับว่าหนูกานดาวสีมั่วผู้ชาย...คิดดูดีๆสิครับว่าจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อหนูกานเพิ่งจะกลับจากปีนังไม่นาน...”
ฐิติพูดขัดขึ้น “ผมไม่ได้หย่ากับกานดาวสีเพราะเรื่องนั้น ไม่ว่าเค้าจะเป็นยังไงผมก็...” แล้วพูดไม่ออก ด้วยสะเทือนใจ “...แต่เค้าไม่ได้รักผม”
คุณพระมองฐิติอย่างเข้าใจในฐานะคนที่ผ่านโลกมาเยอะ
“ก็คุณฐิติบอกทุกคนในโลกอยู่ตลอดเวลาว่ารักหนูกานดามณี...คนอย่างหนูกานน่ะ ไม่มีวันแย่งคนรักของใครแน่ๆ”
ฐิติวุ่นวายใจ “แต่ผมต้องรับผิดชอบกานดามณี...ผมเคยสัญญากับเค้าไว้ และเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ทำไมจะไม่ผิดครับ มันผิดตั้งแต่ที่แอบอ้างใช้ชื่อหนูกานมาหลอกคุณฐิติแล้วและผมก็ไม่คิดว่าแกจะหลอกแค่คุณฐิติเพียงคนเดียว...คุณฐิติไม่ใช่คนโง่ ก็น่าจะดูออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว”
คุณพระมองฐิติอย่างจริงจัง พูดอย่างหนักแน่นเตือนสติอีก
“จะทำอะไรก็รีบทำซะนะครับก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ผมอยากจะเตือนคุณฐิติในฐานะคนที่ผ่านโลกมามากกว่า...อย่าปล่อยให้ทิฐิมีอำนาจเหนือเหตุผลและความจริง...โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงจากหัวใจของตัวเอง”
ขณะที่นวลกำลังเก็บล้างอยู่ในครัว กานดามณีเดินหันซ้ายหันขวาอย่างละล้าละลังเข้ามา
“นวล...”
นวลทำงานเพลินๆ ถึงกับสะดุ้ง
“คุณกานดามณี” ท่าทางของนวลเกรงๆ และไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย “มีอะไรจะใช้นวลเหรอคะ”
“ฉันมีเรื่องจะวานเธอ...”
กานดามณีหยิบเงินยัดใส่มือนวล
“สองสามวันนี้ ถ้าไปรษณีย์มา เธอต้องไปดักเอาจดหมายทั้งหมดมาให้ฉันก่อน เข้าใจมั้ย”
นวลมองเงินในมืออย่างไม่แน่ใจ
“ทำไมล่ะคะ”
“ไม่ต้องถาม แค่ทำตามที่ฉันบอกและอย่าบอกใครเด็ดขาด แล้วฉันจะตบรางวัลให้ทุกครั้งที่เธอเอาจดหมายมาให้ฉัน”
สักครู่หนึ่งต่อมา กานดามณีเดินออกจากเรือนครัว กำลังจะรีบเดินกลับตึก แล้วก็ชะงักอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นฐิติยืนอยู่ที่ ระเบียงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่กานดามณีรีบเดินเข้าไปหา
“ทำไมวันนี้กลับเร็วนักล่ะคะ ไม่ได้ไปทำงานเหรอคะ”
ฐิติหันมามองกานดามณีอย่างตัดสินใจแล้ว
“ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
เมื่อสองคนอยู่ในห้องนอนกานดามณี ฐิติถามขึ้นทันที
“เมื่อเช้า ทำไมคุณต้องโกหกว่ากล่องนั้นเป็นของคุณด้วย”
กานดามณีหาทางเอาตัวรอดไปแบบน้ำขุ่นๆ
“ก็...ฉันไม่ทันได้มองชื่อที่หน้ากล่องนี่คะ ฉันกำลังรอของๆ ฉันอยู่ มันก็น่าจะมาถึงวันนี้เหมือนกัน”
“คุณรออะไรอยู่ล่ะ”
“ก็...ของกระจุกกระจิกของผู้หญิงน่ะค่ะ ติอย่าสนใจเลยนะคะ”
ฐิติบอกด้วยเสียงจริงจัง “ผมไม่ชอบคนโกหก”
กานดามณีชะงักหันมาดูเห็นฐิติมองมาอย่างไม่ชอบใจก็พยายามหาทางออก แกล้งตัดพ้อ
“ทำไมติพูดอย่างนี้กับณีล่ะคะ ติหมดรักณีแล้วใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้หมดรักคุณ แต่ผมรู้สึกว่าคุณมีอะไรปิดบังผมอยู่”
กานดามณีใจหล่นวูบ รีบตีโพยตีพายกลบเกลื่อนพิรุธในใจ
“ติไม่เคยจับผิดฉันอย่างนี้มาก่อนเลย ที่ติอ้างโน่นอ้างนี่ก็เพราะจะหาเรื่องไม่ยอมแต่งงานกับฉันใช่มั้ยคะ เพราะพี่กานดาวสีใช่มั้ย ติถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
ฐิติจริงจังอย่างเดิม “ไม่ใช่เพราะกานดาวสี แต่เพราะผมเพิ่งรู้ว่าผมไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณเลยต่างหาก...”
ฐิติมองจ้องกานดามณีอย่างเคลือบแคลงใจ
“ส่วนเรื่องแต่งงาน ผมคิดว่าเราน่าจะทบทวนเรื่องนี้อีกที ผมยังไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ขอเวลาให้ผมตัดสินใจอีกหน่อยก็แล้วกัน”
ฐิติเดินออกไปทันที กานดามณีโกรธจัดกำมือแน่นจนเกร็ง
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 12 (ต่อ)
ขณะเดียวกัน ภายในห้องพักวสันต์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง วสันต์นอนอยู่ที่เตียง ผ้าพันแผลเต็มตัว ทั้งแผลที่ถูกแทง โดนตีหัว แผลไฟไหม้ สายน้ำเกลือ สายอาหารระโยงระยาง วสันต์เริ่มรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นจากเบลอๆ เริ่มชัดขึ้น
วสันต์ส่งเสียงเหมือนจะพูด แต่ไม่มีแรง พยาบาลเข้าห้องมา รีบเดินเข้ามาดู
“รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ”
วสันต์พยายามขยับตัวจะลุก พยาบาลจับตัววสันต์
“อย่าเพิ่งลุกค่ะ”
วสันต์จะลุกขึ้นให้ได้ ส่งเสียงในลำคอ
“นอนเฉยๆนะคะ ดิฉันจะรีบไปตามคุณหมอก่อน”
พยาบาลรีบออกจากห้องไป
ที่หน้าประตูห้อง วิไลวรรณยืนแอบมองเข้าไปดูวสันต์อย่างตกใจปนหวาดเสียวที่เห็นวสันต์ฟื้นขึ้นมา วิไลวรรณรีบเดินหลบฉากออกไป
“ไอ้วสันต์มันยังไม่ตายจริงๆ ด้วย” วิไลวรรณกลุ้มใจมาก “ยัยณีเอ๊ย แกจะทำยังไงต่อล่ะที่นี้”
พอวิไลวรรณกำลังจะเดินผ่านเคาน์เตอร์ออกจากโรงพยาบาล ตำรวจ 2-3 นายเดินมาที่เคาน์เตอร์พอดี
“สวัสดีครับ ผมร้อยตำรวจเอกนพดล มณีเดชมาขอสอบปากคำผู้ป่วยที่ชื่อนายวสันต์ ประสบบุญครับ...”
วิไลวรรณตกใจ ชะงักกึก รีบหลบหลังเสาโดยสัญชาติญาณ
“ซวยแล้วยัยณี เรื่องถึงตำรวจแล้ว...ฉันจะทำยังไงดีวะเนี่ย”
วิไลวรรณกังวลหนัก
ครู่ต่อมาตำรวจกำลังสอบถามอาการวสันต์จากหมอ อยู่หน้าห้อง
“นายวสันต์อาการเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”
“ค่อนข้างสาหัสทีเดียวครับ ดูจากบาดแผลแล้วมีร่องรอยของการถูกทุบด้วยของแข็งและถูกของแหลมคมแทงที่ร่างกายหลายแผล ยังโชคดีที่มีพลเมืองดีพามาส่งโรงพยาบาลได้ทัน”
“ผมคงจะต้องอนุญาตสอบปากคำเค้าหน่อยนะครับ”
นายตำรวจคนนั้นเดินเข้าไปในห้องวสันต์
วิไลวรรณตามมาแอบดูเหตุการณ์อย่างร้อนรนใจ
ส่วนวสันต์นอนสะลืมสะลืออยู่บนเตียง
“สวัสดีครับคุณวสันต์ ผมร้อยตำรวจเอก...”
วสันต์หันมาเห็นว่าเป็นตำรวจ ก็ตาเหลือก ตกใจมาก ตัวสั่น จะลุกขึ้นก็ไม่มีแรง ได้แต่พยายามซ่อนหน้าซุกตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียง ถ้าทางกลัวมาก
“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า”
วสันต์ขดตัวอย่างกลัวจัด ตำรวจกลับเข้าใจว่าวสันต์หวาดกลัวเพราะถูกทำร้ายเมื่อคืน
“ไม่ต้องกลัวนะ คุณปลอดภัยแล้ว ผมแค่อยากรู้ว่าใครทำร้ายคุณ”
วสันต์ชะงักเพิ่งนึกออกว่าตัวเองถูกทำร้าย แต่ตายังมองตำรวจอย่างระแวดระวัง ตำรวจเห็นวสันต์สงบลงแล้ว ก็พยายามจะสอบปากคำ
“พอจะจำได้มั้ยครับว่าใครทำร้ายคุณ”
วสันต์พยักหน้า พยายามจะพูด แต่พูดไม่รู้เรื่อง ด้วยฤทธิ์ยาสลบ เหมือนยังบังคับกล้ามเนื้อที่ปากไม่ได้
“กา...กาน”
“อะไรนะครับ”
วสันต์พยายามจะพูดอีก แต่พูดไม่รู้เรื่อง ทั้งอ่อนเพลีย จากบาดแผล และฤทธิ์ยาสลบ วสันต์หันไปทางประตูพอดี เห็นวิไลวรรณมองผ่านกระจกเข้ามา
วสันต์ส่งเสียงโวยวาย ตาเหลือกลาน วิไลวรรณหลบวูบจากประตู รีบวิ่งหนี
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
วสันต์ชี้ไม้ชี้มือไปที่ประตู ทำท่าเหมือนอยากจะลุกตามออกไป แต่ไม่มีแรง แต่ก็ยังพยายาม จนหมอ และพยาบาลต้องมาช่วยกันจับตัว
ตำรวจรีบวิ่งไปที่ประตู ทางเดินหน้าห้องผู้ป่วยเงียบสงบ ไม่มีอะไรผิดปกติ ตำรวจเดินกลับเข้ามา
เห็นหมอกำลังฉีดยาระงับประสาทให้วสันต์พอดี
“วันนี้คนไข้คงจะยังไม่สามารถจะให้ปากคำได้ คงต้องรบกวนให้คุณตำรวจมาใหม่อีกครั้ง
วสันต์เหนื่อยหอบ
ตำรวจพยักหน้ารับรู้ หันไปถามรายละเอียดจากหมอต่อ
“ก็ได้ครับ แต่ผมคงต้องขอดูหลักฐานเกี่ยวกับนายวสันต์ที่โรงพยาบาลเก็บไว้ นอกจากบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว ไม่ทราบว่ามีหลักฐานอื่นๆอีกหรือเปล่า”
ฟากวิไลวรรณวิ่งหนีมาหลบอยู่ที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล ท่าทางเหนื่อยล้า และกังวลหนัก
“เอาไงดีวะ ฉันไม่น่ารู้เห็นเรื่องนี้กับแกเล้ยยัยณี...นี่ฉันจะซวยไปกับแกด้วยมั้ยเนี่ย”
สองสาวนัดเจอกันในสวนสาธาณะ ช่วงตอนบ่ายๆ กานดามณีเครียดจัดท่าทางคิดหนัก เดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่น วิไลวรรณเดินเร็วๆ เข้ามาหาด้วยท่าทางกระวนกระวาย กานดามณีหันไปเห็นก็รีบพุ่งเข้าไปหา
“ทำไมแกมาช้านักฮะ ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว นี่ติก็ดูสงสัยเรื่องที่ฉันไปดักรอจดหมาย แล้วยังพูดเหมือนจะไม่ยอมแต่งงานกับฉัน ไหนจะเรื่องไอ้วสันต์อีก...”
วิไลวรรณหวั่นใจไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับกานดามณีเหมือนอย่างเคย มุ่งเข้าประเด็นที่กังวลทันที
“ยัยณี ไอ้วสันต์ยังไม่ตาย...”
กานดามณีอึ้งไปหน้าเสีย
วิไลวรรณท่าทางพะว้าพะวัง ประสาทจะเสียซะให้ได้
“เราจะทำไงกันดีแก มันเห็นหน้าฉันด้วย มันต้องรู้แน่ๆ ว่าแกให้ฉันตามไปดูมัน”
กานดามณียิ่งเครียดหนัก หันไปดุวิไลวรรณ
“แกอย่าเพิ่งโวยวายได้มั้ย ฉันยิ่งคิดไม่ออกอยู่”
“ก็จะให้ฉันเฉยอยู่ได้ยังไงล่ะ วันนี้มีตำรวจไปสอบปากคำมันด้วย โชคดีนะที่มันยังพูดไม่รู้เรื่อง ไม่งั้นมันคงเรียกตำรวจจับฉันไปแล้ว”
กานดามณีสะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างรำคาญวิไลวรรณเต็มที ท่าทางคิดหนัก
สาวแฝดใจชั่วเห็นกลุ่มเด็กหญิงชายกำลังเล่นเครื่องเล่นกันอยู่ เด็กแฝดผู้หญิงสองคนวิ่งออกมาจากกลุ่มเพื่อน วิ่งตรงเข้ามากอดชายหนุ่มที่เดินถือขนมเข้ามา
“พ่อซื้อไปไอติมมาให้...ของดาว ช็อกโกแล็ต ของเดือน สตรอเบอรี่...ไหน...ให้พ่อดูซิ คนไหนดาว คนไหนเดือน”
เด็กแฝด 2 คนแย่งกันตอบ “เดือนค่ะ...” แต่เด็กอีกคนบอก “ไม่ใช่...นั่นดาวต่างหาก” 2 คนเถียงกันแบบเด็กๆ
“ตัวเองอยากทานไอติมสตรอเบอรี่ของเค้าใช่มั้ยล่ะ”
เสียงเด็กแฝดเถียงกันว่า ใครชื่อเดือน ใครชื่อดาว เสียงพ่อหัวเราะ ดังแว่วๆ เข้ามา
สายตากานดามณีจ้องเป๋งไปที่เด็กหญิงฝาแฝดคู่นั้น นึกแผนชั่วออก
“ฉันรู้แล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
บ่ายคล้อย ที่สนามหน้าบ้านกิริเนศวร ไขนภากับรำเพยกำลังนั่งคุยกับวิเศษอยู่
“ผมต้องขอบคุณคุณหญิงกับหนูรำเพยมากที่อุตส่าห์มาเยี่ยม”
“เห็นคุณอาวิเศษแข็งแรงขึ้น หญิงก็อุ่นใจ” ไขนภายิ้มแสนดี
กานดาวสีกับนารีรัตน์ยกเครื่องดื่มกับขนมมาให้ไขนภากับรำเพย
ไขนภาพูดทักกานดาวสี “แต่ดิฉันว่าคุณกานดาวสีดูซูบๆไปนะคะ”
“จะไม่ซูบยังไงไหวคะ ยัยกานอยู่แปลหนังสือดึกๆทุกคืน” รำเพยบอก
วิเศษมองกานดาวสีอย่างเป็นห่วง
“พ่อก็ไม่สบายใจเลยที่ลูกต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดนี้”
กานดาวสีฝืนทำหน้าชื่น ยิ้มแย้ม ไม่อยากให้วิเศษเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงลูกหรอกค่ะคุณพ่อ ลูกยังแข็งแรงดี แล้วงานแปลหนังสือมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร รายได้ก็ดีพอที่จะทยอยใช้เงินให้คุณฐิติได้สบายๆ”
ไขนภาบอกอย่างเกรงใจ “อย่าหาว่าดิฉันก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวเลยนะคะ แต่ดิฉันแน่ใจว่าคุณฐิติต้องไม่ยอมรับเงินจากคุณกานดาวสีแน่ๆ”
“แต่ถึงยังไงดิฉันก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะใช้หนี้เค้าให้ครบทุกบาททุกสตางค์ ดิฉันไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร” กานดาวสีบอกหนักแน่น
นารีรัตน์ขัดขึ้นมาด้วยความโมโห
“เป็นเพราะยัยกานดามณีแท้ๆที่ทำให้พี่กานต้องหย่ากับคุณฐิติ”
กานดาวสีมองหน้านารีรัตน์ เตือนสติ “รัตน์ก็รู้ว่าพี่กับคุณฐิติไม่ได้รักกัน...”
นารีรัตน์หลบตากานดาวสีด้วยความรู้สึกผิด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตนเป็นคนบังคับให้กานดาวสีต้องแต่งงานกับฐิติ
“กานดามณีกับคุณฐิติเค้ารักกันมาก่อน...”
นารีรัตน์อดขัดไม่ได้ “แต่พี่กานกับคุณฐิติก็แต่งงานกันก่อน มันไม่ยุติธรรมกับพี่กาน...”
“แต่พี่ว่ามันยุติธรรมที่สุดแล้ว ชีวิตน้องณีผ่านเรื่องร้ายๆ มาเยอะ เค้าสมควรจะได้พบกับความสุขบ้าง และถ้ามีอะไรที่พี่จะทำให้น้องณีมีความสุขได้ พี่ก็เต็มใจจะทำให้ทุกอย่าง”
ฟากวิไลวรรณลงจากรถ มายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านกิริเนศวร
“ทำไมคนเยอะนักวะ”
วิไลวรรณหยิบจดหมายขึ้นมาดู คิดๆก่อนจะพยายามมองสังเกตการณ์ภายในบ้านอีกเห็นรำเพยกับนารีรัตน์ช่วยกันประคองวิเศษเข้าบ้าน กานดาวสีกำลังเดินมาส่งไขนภาที่หน้าบ้าน
วิไลวรรณรีบฉากหลบเข้าไปนั่งสังเกตการณ์อยู่ในรถ
อ่านต่อหน้า 4
สุดสายป่าน ตอนที่ 12 (ต่อ)
กานดาวสีเดินคุยมากับไขนภา
“คุณกานดาวสีจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าดิฉันจะให้คุณยืมเงินเอาไปใช้หนี้คุณฐิติก่อนคุณจะได้ไม่กระอักกระอ่วนใจที่จะกลับมาอยู่ดูแลคุณอาวิเศษบ้านนี้”
กานดาวสีกำลังจะปฏิเสธ แต่พอไขนภาพูดถึงวิเศษก็ลังเลนิดหนึ่ง
“อย่าเลยค่ะ...ดิฉันเกรงใจ ถึงดิฉันจะค้างที่บ้านรำเพย แต่ตอนกลางวันดิฉันก็มาอยู่ดูแลคุณพ่อที่นี่ทุกวันอยู่แล้ว”
ไขนภาจับมือกานดาวสี ให้กำลังใจ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แต่คุณอาวิเศษจะต้องดีใจมากแน่ๆถ้าคุณกานดาวสียอมกลับมาอยู่ที่นี่...อย่าเกรงใจเลยนะคะ เราเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรที่พอจะช่วย กันได้ก็ช่วยกันไป”
ฟากวิไลวรรณที่แอบมองอยู่ในรถ เห็นกานดาวสีกับไขนภาร่ำลากันก่อนที่ไขนภาจะขึ้นรถกลับออกไป
วิไลวรรณรอจนไขนภาขับรถหายไป และ มองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณที่จะมองเห็นตนได้ แล้วจึงรีบลงจากรถ
“หวังว่าคงจะไม่มีใครโผล่พรวดพราดออกมาตอนนี้นะ”
วิไลวรรณเอาจดหมายเสียบไว้ที่ประตูรั้วให้มองเห็นได้ชัดๆ
ขณะที่กานดาวสีกำลังจะเข้าบ้าน ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดัง จึงชะงักนารีรัตน์โผล่ออกมา
“ใครมาก็ไม่รู้ เดี๋ยวรัตน์ไปดูเองค่ะ”
“พี่ไปเองจ้ะ สงสัยคุณหญิงไขนภาจะลืมอะไร...”
กานดาวสีเดินไปที่ประตูบ้าน กำลังจะเปิดไปดูข้างนอก เห็นซองจดหมายเสียบอยู่ จึงหยิบขึ้นมาดู ที่หน้าซองจดหมายเขียนชื่อ “กานดาวสี กิริเนศวร” ชัดเจน
ที่วังสูรยกานต์เวลาตอนค่ำ กานดามณีนอนอยู่บนเตียง มือก็จับโคมไฟหัวเตียงเอามาส่องหน้าให้เหงื่อออก ที่แขนมีถุงน้ำร้อนปะคบอยู่
เสียงเคาะประตูดังขึ้น กานดามณีรีบวางโคมหัวเตียงให้เข้าที่ เอาถุงน้ำร้อนแอบใต้ผ้าห่ม ทำเป็นนอนซมอยู่ ฐิติเปิดประตูเข้ามา
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าถึงให้เด็กยกอาหารขึ้นมาที่ห้อง”
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ เลยไม่อยากลงไปข้างล่าง”
ฐิติเข้ามาจับตัว จับหน้าผากกานดามณี อย่างเป็นห่วง
“ตัวรุมๆ จะให้ผมพาไปหาหมอมั้ย”
กานดามณีบีบน้ำตา ทำเป็นสะเทือนใจมาก
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ถึงหมอจะรักษายังไงก็คงไม่มีทางหาย ที่ฉันเป็นอย่างนี้ก็คงเพราะตรอมใจที่ติหมดรักฉันแล้วมากกว่า...แต่ติไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ฉันอยู่ได้ คุณอยากไปหาพี่กานดาวสีก็เชิญเถอะค่ะ”
ฐิติหนักใจ แต่ไม่แก้ตัวซักคำ
ประตูเปิดผางออกโดยไร้มารยาท วิไลวรรณพรวดพราดเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันสังเกตเห็นฐิติ
“ยัยณี ฉันเอาจด...”
วิไลวรรณหันกลับมาเห็นฐิติก็รีบตะครุบปากตัวเองไว้ กานดามณีรีบแก้สถานการณ์ให้
“ฉันขอให้ยัยวรรณมาค้างเป็นเพื่อนน่ะค่ะ”
วิไลวรรณทำหน้าเหรอหรา ชี้ที่ตัวเองอย่างงงๆ
กานดามณีหันไปจิกตามองไม่ให้วิไลวรรณพูดอะไรออกมา ก่อนจะหันมามองฐิติอย่างชอกช้ำ น้ำตารื้น
“ฉันถือโอกาสขออนุญาตติเลยก็แล้วกันนะคะ ตอนนี้จิตใจฉันอ่อนแอมาก ฉันต้องการเพื่อนที่จะคอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจฉัน”
วิไลวรรณมองกานดามณีประมาณว่าแกนี่ตอแหลเก่งจริงๆ
ฐิติมองกานดามณีด้วยความเห็นใจ พยักหน้ารับรู้ พูดกับกานดามณีก่อนจะเดินออกไป
“ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเสียใจ”
ฐิติเข้าขอประทานอนุญาตจากท่านย่าด้วยตัวเองเรื่องวิไลวรรณ
“ขอบคุณท่านย่านะครับที่อนุญาตให้คุณวิไลวรรณมาค้างเป็นเพื่อนกานดามณี ตอนนี้จิตใจเค้าคงไม่ค่อยจะปกตินัก ถ้าได้อยู่กับเพื่อนสนิทซักพักก็อาจจะสบายใจขึ้น”
พุดตานดีใจ หมายความว่าลูกพูดจากับแม่กานดามณีรู้เรื่องแล้วใช่มั้ยว่าลูกจะไม่แต่งงานกับเค้า
“ผมบอกเค้าว่าจะขอเวลาตัดสินใจอีกครั้ง...ผมอยากรู้ความจริงก่อนว่ากานดามณีกำลังปิดบังเรื่องอะไรเราอยู่”
พุดตานหน้าม่อยไปนิดหนึ่ง ท่านหญิงหันไปดุพุดตาน แต่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
“เอ๊ะ แม่พุดตานนี่...ได้คืบจะเอาศอก เรื่องอย่างนี้มันก็ต้องใช้เวลากันบ้าง” แล้วหันมาทางฐิติ “ก็ดีเหมือนกัน ย่าอยากให้ติรู้จักตัวตนของแม่กานดามณีด้วยตัวเองโดยไม่ต้องฟังจากปากคนอื่น แล้วก็ตัดสินใจเอาเองว่าใครเป็นเพชร ใครเป็นกรวด”
“คุณตินะคุณติ น่าจะเกิดพุทธิปัญญาได้ซะตั้งนานแล้วไม่งั้นป่านนี้ท่านหญิงคงได้อุ้มเหลนแล้วล่ะเพคะ”
นมสายอดไม่ได้ค้อนฐิติประชดประชันตามเคย
คืนนั้นกานดามณีกำลังมองตัวเองในกระจกเหมือนกำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างวิไลวรรณท่าทางกลุ้มใจแทนเพื่อน
“ดูท่าทางฐิติเค้าหมดรักแกแล้วแน่ๆเลยว่ะ”
กานดามณีหน้านิ่ง แต่ตาเป็นประกายวาวอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันรู้แล้ว”
“แล้วแกจะทำยังไงต่อ หรือว่าแกจะต้องออกจากที่นี่...”
“มันต้องมีวิธีสิ ฉันไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆหรอก”
กานดามณีมองกระจกเหยียดยิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก เช็ดลิปสติกออกจากริมฝีปากอย่างช้าๆ
ทางด้านกานดาวสีอยู่ในห้องนอนที่บ้านรำเพย ถือจดหมายเดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
“ถ้าคุณอยากรู้เรื่องสร้อยเพชรของคุณที่หายไป ให้มาพบผมที่โรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้...วสันต์”
กานดาวสีครุ่นคิด
“สร้อยเพชร!”
ภาพจำตอนที่ฐิติมาถามหาสร้อยเพชรผุดขึ้นมา
กานดาวสีคิดไปคิดมา “หมายความว่าสร้อยเพชรเส้นนั้นหายไป! แล้วมันไปอยู่ที่นายวสันต์ได้ยังไง” แล้วนึกขึ้นมาได้ สีหน้าตระหนกตกใจ “หรือจะเป็นน้องณี”
รุ่งเช้าวิเศษรับยาจากนารีรัตน์มาทาน ดื่มน้ำตาม ก่อนจะส่งแก้วน้ำให้นารีรัตน์ ท่าทางวิเศษไม่ค่อยสบายใจ
“ทำไมวันนี้ดูท่าทางคุณพ่อเครียดๆ ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“พ่อนอนไม่หลับน่ะลูก เมื่อคืนนี้พ่อฝันไม่ค่อยดี...”
“คุณพ่อฝันว่ายังไงเหรอคะ”
“พ่อฝันเห็นเห็นยัยกานร้องไห้...” วิเศษนึกๆ แล้วเป็นห่วง “นี่พี่เค้ายังไม่มาอีกเหรอ”
“พี่กานโทรมาบอกว่าจะแวะไปธุระก่อน สายๆ ถึงจะเข้ามาน่ะค่ะ แต่รัตน์ก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องรีบเพราะวันนี้โรงเรียนหยุด รัตน์ตั้งใจจะอยู่ดูแลคุณพ่อแทนพี่กานอยู่แล้ว...รัตน์อยากให้พี่กานได้พักผ่อนบ้าง”
วิเศษพยักหน้ารับรู้ แต่ท่าทางยังเป็นกังวลไม่คลาย
ตอนสายๆ กานดาวสีเดินมาตามทางในโรงพยาบาล เหมือนมีใครเดินตามกานดาวสีมาในระยะใกล้ๆ จนมาถึงมุมลับตาคน มีมือใครคนหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้ามาปิดที่จมูกกานดาวสีจากด้านหลัง กานดาวสีขัดขืน แล้วค่อยๆหมดสติไป แต่ก่อนจะหมดสติ กานดาวสีเป็นภาพลางๆของผู้หญิงใส่แว่นตาดำใส่หมวก
ที่แท้เป็นกานดามณี ซึ่งใส่แว่นตาใส่หมวกพรางหน้าจนดูไม่ออกว่าหน้าตาเหมือนกานดาวสี รีบพยุงกานดาวสีไปนั่งพิงเสา ก่อนจะรีบเอาวีลแชร์มาประคองกานดาวสีให้ลงนั่ง แล้วรีบเข็นออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องเก็บอุปกรณ์ทำสวน ด้านหลังโรงพยาบาล กานดามณีหยิบจดหมายวสันต์ออกมาจากกระเป๋ากานดาวสี มองกานดาวสีที่นอนสลบอยู่ ยิ้มสะใจ
“อีกไม่นานแล้วสินะ ทุกอย่างก็จะได้จบลงซะที”
ครู่หนึ่งประตูเปิดออก กานดามณีก้าวออกมาในชุดของกานดาวสีเดินจัดเสื้อผ้า หน้าผมออกมา ยิ้มน้อยๆ เดินเริดๆ เชิดๆออกไป
กานดามณีทำตัวให้เหมือนกานดาวสีมากที่สุด ทั้งการเดิน การพูด เดินมาถึงเคาน์เตอร์
“ดิฉันกานดาวสี กิริเนศวร มาขอเยี่ยมคุณวสันต์ ประสบบุญ ไม่ทราบว่าเค้าอยู่ห้องไหนคะ”
พยาบาลมองหน้ากานดามณี
“ห้อง 302 ค่ะ”
กานดามณียิ้มอ่อนหวานให้พยาบาล แต่พอหันตัวเดินออกมา ใบหน้าสวยฉายแววโหดร้ายออกมา
อ่านต่อตอนที่ 13