xs
xsm
sm
md
lg

อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 1

เช้าวันนี้ แลเห็นกลุ่มชาวบ้าน ชายหญิง ราว 5-6 คน พากันมุงดูกระจาดข้าว ที่มีข้าวเปลือกอยู่ 3 กอง บริเวณใกล้ที่นาของพุฒกับแตงกวา แต่ละคนต่างออกอาการงวยงง ระคน แปลกใจ

“นี่มันก็ข้าวเปลือกธรรมดา แล้วมันใหม่ยังไงล่ะด๊อกเตอร์” ชาวบ้านชายคนแรกเปิดฉากถาม
“ใหม่ซิครับ” ด็อกเตอร์ แสน เผื่อนนาดี วิศวกรหนุ่ม นักตัดต่อพันธุกรรมพืช ยิ้มพลางอธิบาย “กองนี่ป็นข้าวพันธุ์ที่ทนแมลงศัตรูพืช อย่างเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ก็จะไม่มารบกวนครับ”

"ใหม่ซิครับ" แสน ด็อกเตอร์หนุ่มนักตัดต่อพันธุกรรมพืชยิ้ม "กองนี่ป็นข้าวพันธุ์ที่ทนแมลงศัตรูพืช อย่างเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ก็จะไม่มารบกวนครับ"
พุฒกับแตงกวาฟังอยู่ใกล้ๆ และห่างออกมามีชาวบ้านคนอื่นๆ ฟังอย่างสนใจ
"ส่วนนี่ เป็นข้าวพันธุ์โบราณ ทนน้ำท่วม พอน้ำมา ลำต้นจะยืดได้อีกเป็นเมตรสูงประมาณนี้นะครับ" แสนทำมือสูงเลยหัว "ทำให้ต้นข้าวไม่จมน้ำ"
ชาวบ้านที่พากันมาฟังตื่นตาตื่นใจ
"แล้วมันจะกินอร่อย ขายได้รึเปล่าจ๊ะด็อกเตอร์?”
"ได้สิครับ เพราะผมจะเอาข้อดีของทั้งสองพันธุ์นี้มารวมกับ...กองที่3นั่นคือข้าวหอมมะลิเกรดเอ"
ข้าวเปลือกแบบที่สามถูกหยิบออกมาและนำมาวางเรียงไป
แสนอธิบายต่อ "แล้วเราจะได้ข้าว..ที่นอกจากอร่อยแล้ว ยังทนน้ำท่วม และทนแมลงด้วยครับ"
ชาวบ้านยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น แต่ทันใดนั้นก็มีหนุ่ม 2 คนที่ท่าทางเฮี้ยวๆ มองแบบไม่อยากเชื่อ
ชายหนุ่มพูดกวนๆ "แล้วเอามารวมกันยังไง เอากาวติดเหรอ"
ชายหนุ่มหันไปหัวเราะเยาะกับเพื่อน
แสนมีท่าทางนิ่งไปเหมือนคิดอะไรก่อนที่จะเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก
"เอามาแต่งงานกันต่างหากล่ะครับ" แสนบอก
ชายคนนั้นหน้าเจื่อน แต่ไม่ยอมแพ้ "แต่งงาน? ข้าวนะไม่ใช่คน จะได้แต่งงานได้"
พุฒทนไม่ไหว "แกสิไม่ฉลาด ด็อกเตอร์เค้าหมายถึง เอาข้าวเนี่ยมาผสมพันธุ์กันต่างหากล่ะ"
ชาวบ้านที่เหลือพยักเพยิดเห็นด้วยกับแสน หนุ่มวัยรุ่นทั้งสองจ๋อยไป ชาวบ้านพากันเข้าไปคุยกับแสน
"ถ้าวิจัยสำเร็จแล้ว อย่าลืมเอาพันธุ์ข้าวมาให้ทดลองนะ"
"ได้เลยครับ จะให้ที่นี่ได้ทดลองปลูกก่อนใครเลย" แสนบอก
"นี่ ฉันขอลงชื่อไว้ก่อนเลยได้มั๊ย"
พุฒรีบบอก "นังแตงกวา จัดการ !”
พุฒหันไปบอกแตงกวา ลูกสาวหน้าตาแป้นแล้นของตัวเอง
"จ้าพ่อ" แตงกวาหยิบเอกสารที่วางอยู่ข้างๆแสนมาส่งให้ชาวบ้าน "เซ็นชื่อได้เลยจ้า"
ชาวบ้านที่สนใจพากันมาลงชื่อ พุฒและแตงกวาพากันมองผลตอบรับอย่างชื่นใจ แตงกวาหันไปมองหน้าแสน แสนยิ้มให้แล้วลูบหัวแตงกวา แตงกวาชูนิ้วโป้งบอกว่ายอดเยี่ยม !
"รับรองเลยว่าคนเก่งๆอย่างดร.แสน ทำอะไรไม่เคยพลาดอยู่แล้ว" แตงกวาบอก
แสนยิ้มรับคำชมแล้วเขินเล็กๆ

ณ ห้างสรรพสินค้าสุดอลังการและไฮโซที่สุด
เสียงคิมหันต์ดังขึ้น "แต่ผมว่าพลาด!!”
คิมหันต์ หนุ่มหล่อสไตล์เกาหลีมองอย่างไม่เห็นด้วยกับชุดบนหุ่นโชว์ที่แรงจนองค์ไม่ลงคงใส่ไม่ได้
"ดีไซเนอร์ของชุดนี้พลาดอย่างแรง แบบแรงขนาดนี้ ใครกล้าใส่ก็บ้าแล้ว !!”
คนที่อยู่ด้านซ้ายของคิมหันต์พูดขึ้น
"เช็คหน่อย !”
คิมหันต์หันไปมองด้วยสีหน้าทีแรกเหมือนไม่เดือดร้อนก่อนจะผงะเมื่อเห็นอันยาซึ่งแต่งตัวแรงยิ่งกว่าชุดบนหุ่นโชว์ไปหลายช่วงตัวยืนอยู่

คิมหันต์เดินเคียงคู่มากับอันยา โดยตลอดทางที่เดินคนที่เดินผ่านต่างพากันเหลียวมองอันยาเพราะเธอแรงจริง
"ลืมไปได้ยังไง๊ ว่าผมมีบอสเป็นคู่แข่งเลดี้กาก้า" คิมหันต์แซว
"นิ อย่าเปรียบเทียบกัน อาจจะแรงทั้งคู่ แต่สไตล์ใครสไตล์มัน แยกด้วย"
"เจ้แยกให้ออกนะ แรงกับรั่วมันต่างกันนะ"
อันยาสะบัดมือออกอย่างอารมณ์เสีย
"เราต้องไปปิดจ็อบสำคัญกันไม่ใช่เหรอ ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ"
"มีปัญหาตรงไหน ?” อันยาถาม
"ถามใหม่เถอะ ตรงไหนที่มันไม่มีปัญหา"
อันยาไม่พอใจ "คิมบอมบ์ !”
คิมหันต์ตั้งท่าจะโกยอ้าว อันยาหยุดแล้วทำท่าเหมือนคิดได้
"เดี๋ยว ! ที่แกพูดก็ถูกนะ ชุดเนี๊ยะมันมีปัญหาบางอย่าง" อันยาก้มมองชุด หัวจรดเท้า แล้วตัดสินใจ "ฉันควรจะเปลี่ยน!”

คิมหันต์โล่งอก

ครู่ต่อมาคิมหันต์โวยใส่อันยาที่กำลังสาละวนดูรองเท้าโดยมีพนักงานขายประกบเชียร์สินค้าอยู่

"ที่ให้เปลี่ยน ผมหมายถึงเปลี่ยนชุด! ไม่ใช่ให้เปลี่ยนรองเท้า !” คิมหันต์บอก
"เงียบหน่อยสิ ฉันต้องการสมาธินะ" อันยาว่า
อันยาหยิบรองเท้าขึ้นมาเลือกสองคู่
"อันไหนดี คู่นี้ก็ลุคแกลมมากๆ อีกคู่..ก็เนี๊ยบไม่มีที่ติ"
"จะลังเลไปทำไม ก็ซื้อไปให้หมดแหละ แบบทุกทีไง"
อันยาหันไปมองกองรองเท้าที่เลือกไว้แล้ว 2 คู่
"เดี๋ยววงเงินไม่พออ่ะว์" อันยาบอก
"งั้นผมเลือกให้ เอาคู่นี้ออก เจ๊มีคล้ายๆแบบนี้สักสิบคู่ได้แล้วมั๊ง"
"เฮ้ย มันไม่เหมือนกันนะ หนังมันคนละอย่าง แล้วพื้นรองเท้าก็คนละผิวสัมผัส..”
คิมหันต์มองนาฬิกา "แต่มันจะไม่ทันแล้วนะเจ๊ !! อยากให้งานหลุดมือไปรึไง"
"นิ แกฟังนะ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งยังมีรองเท้าคู่ใจ ฉันก็ต้องมีเจ้าหญิงแห่งชัยชนะของฉัน!”
ขณะที่อันยาประกาศกร้าวอยู่กลางร้านนั่นเอง สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นพนักงานขายอีกคน นำรองเท้าคู่ใหม่อย่างจิมมีชูส์ส้นสูงปรี๊ด เอ็กซ์คลูซีฟมากๆ ออกมาวางโชว์
อันยาหันไปมองแล้วก็ตะลึงไปทันที เธอเดินเหมือนถูกแม่เหล็กดูดเข้าไปหา
"นี่แหละ" อันยาจับรองเท้าขึ้นมาอย่างซาบซึ้ง "เจ้าหญิง"
คิมหันต์ปวดกะโหลกที่อันยาเป็นเอามาก
"ตกลงเอาคู่นี้ใช่มั๊ย คู่นั้นไม่เอาแล้วนะ" คิมหันต์รีบหยิบรองเท้าไปให้พนักงาน "ช่วยรีบหาไซส์ ใส่ถุง แล้วคิดเงินด่วนๆเลยครับ"
อันยาหวงรองเท้า "จับเบาๆสิ!”
คิมหันต์หันมาถาม "ตกลงสถานที่ คอนเฟิร์มเป็นที่ไหน?”

แสนปรากฎกายในชุดสูทหล่อกำลังเช็คความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอยู่หน้ากระจก บุรินทร์มองแสนด้วยความชื่นชม

"ลูกน้องฉัน เป็นด็อกเตอร์หรือว่าเป็นดาราเนี่ย แยกไม่ออกจริงๆ"
"ถ้าแยกไม่ออก ก็จ้างดารามาทำงานแทนผมมั๊ยล่ะครับ" แสนแซว
บุรินทร์ชะงักที่แสนย้อน
"แหม จ้างดาราได้ความหล่ออย่างเดียว จ้างนายฉันได้ทั้งคนหล่อๆ วิจัยเก่งๆ แบบนี้ฉันควรจะจ้างใครล่ะ"
แสนส่ายหน้าในความไม่ยอมลดราของบุรินทร์
สตาฟเข้ามาพูด "ด็อกเตอร์คะ ถึงคิวแล้วค่ะ"
แสนพยักหน้าแล้วจะเดินตามพนักงานออกไป บุรินทร์ตบไหล่แสนแล้วพูด
"ไม่ต้องตื่นเต้นนะ"
"คนที่ตื่นเต้นไม่ใช่ผมหรอกครับ" แสนบอก
"เหรอ สงสัยชั้นจะตื่นเต้นดีใจแทนแกไง"
บุรินทร์จะเดินออกไป แล้วก็นึกได้จึงหันกลับมาพูด
"แสน ฉันขอบใจนายมากนะ จริงๆ" บุรินทร์ยกนิ้วโป้งชื่นชม
แสนยิ้มตอบบุรินทร์ก่อนจะเดินตามสตาฟไป บุรินทร์มองตามแสนปแบบทั้งชื่นชมและเอ็นดูลูกน้องคนนี้

โถงหอประชุมเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ์ซึ่งเป็นเหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ บนเทวี พิธีกรกำลังประกาศรางวัลสำคัญ
"และแล้วก็มาถึงรางวัลที่สำคัญที่สุดในงานวันนี้ รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปีบุคคลที่ผมจะประกาศชื่อต่อจากนี้ เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเลยครับ พันธุ์ข้าวที่เขาค้นคว้าและพัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกรได้ถึง20%ต่อไร่ ทำให้เกษตรกรนับพันรายที่กำลังเผชิญปัญหาผลผลิตตกต่ำเมื่อปีที่แล้ว สามารถรอดพ้นจากวิกฤตนั้นมาได้ เขาจะเป็นใครไปไม่ได้ ขอเชิญด็อกเตอร์แสน เผื่อนนาดี ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรติ์นี้ครับ"
เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วทั้งหอประชุม แสนเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วรับรางวัลจากมือประธานจัดงาน แสงแฟลชกระจายวูบวาบ
ประธานกล่าวกับแสน "ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ"
"ขอบคุณครับ ท่านประธาน"
"ขอเชิญด็อกเตอร์แสน ด็อกเตอร์หนุ่มอัจฉริยะของเรา กล่าวความรู้สึกที่ได้รับรางวัลนี้หน่อยครับ" พิธีกรบอก
แสนเดินมาที่ไมโครโฟน "ก่อนอื่นผมขอขอบคุณ คุณบุรินทร์ ประสิทธิ์เกื้อกูล กรรมการบริหารของบริษัทเพียงพอดี ที่ไฟเขียวให้ผมทำโครงการนี้ โดยมุ่งเรื่องของผลกำไรเป็นรอง เอื้อประโยชน์แก่เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการของเราเป็นหลัก"
แสนมองไปทางบุรินทร์ บุรินทร์พยักหน้าและยิ้มให้
แสนพูด "และผมขอขอบคุณทีมงานที่บริษัทเพียงพอดีทุกคน ที่ให้ความช่วยเหลือและอดทนกับข้อเรียกร้องอันมากมายของผม"
แขกผู้มีเกียรติ์ด้านล่างขำกับมุกประชดตัวเองเล็กๆของแสน
"พวกเขาอดทนกับผมจริงๆนะครับ" แสนบอก แขกในงานหัวเราะขึ้นมาอีก "และสำหรับบุคคลกลุ่มสุดท้ายที่ผมรู้สึกขอบคุณมากที่สุด ก็คือ..”
แสนนิ่งไปนิดแล้วมีสีหน้าและแววตาจริงจังขึ้น
"พี่น้องเกษตรกรทุกคน ซึ่งรวมถึงครอบครัวของผมด้วย เพราะพวกเขาก็เป็นเกษตรกร"
แขกในงานเริ่มนิ่งเงียบกับอารมณ์ที่จริงจังขึ้นของแสน
"สิ่งที่ผมบอกว่าต้องฟันฝ่า ที่จริงแล้ว มันยังน้อยกว่าที่เกษตรกรทุกคนต้องเจอมากในโลกของวิทยาศาสตร์เรามีห้องแล็ปที่ควบคุมปัจจัยแวดล้อมต่างๆได้ แต่ในเรือกสวนไร่นา เกษตรต้องเผชิญกับความเสี่ยงของจริง ไม่ว่าจากภัยธรรมชาติ โรคภัยและแมลงศัตรูพืช ยังไม่นับกลไกลการตลาดที่ไม่รองรับผลผลิตที่ลงทุนไปมากมาย"
ทุกคนยิ่งนิ่งเงียบไปอีก
"เรื่องที่ผมพูด ทุกๆท่านย่อมทราบกันดีอยู่แล้ว.. ถ้าหากขาดซึ่งความทุ่มเท และความยึดมั่นในอาชีพเกษตรของพวกเขา ก็คงจะไม่มีพวกเราในวันนี้ ผมเป็นเพียงแค่กลไลเล็กๆที่อยู่เบื้องหลัง.. ผมอยากจะกล่าวว่า แท้จริงแล้วพี่น้องเกษตรกรคือเจ้าของรางวัลนี้ตัวจริง และผมฝากความหวังไว้กับวงการวิทยาศาสตร์ว่าเราจะใช้ความรู้ความสามารถของเรา" แสนพูดเน้น "ไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม แต่เพื่อตอบแทนให้กับชาติบ้านเมือง ผืนแผ่นดิน และผู้ที่ปลูกข้าวให้เรากิน ขอบคุณครับ"
บรรยากาศในห้องประชุมนิ่งงันกันไปชั่วขณะเพราะโดนกระทบเป็นจำนวนไม่น้อย ก่อนที่บุรินทร์จะปรบมือนำขึ้น แล้วเสียงปรบมือจากคนอื่นก็ดังก้องไปทั่ว
แสนมีแววตานิ่งอย่างมุ่งมั่น เขาค้อมศีรษะรับเสียงปรบมือตามมารยาท
เหนือเทพ ตัวแทนของบริษัทการเกษตรยักษ์ใหญ่ วิชั่นออฟฟิวเจอร์ นั่งด้วยแววตาเฉยแต่มีแววเย้ยกับสิ่งที่แสนพูด

เขายังคงปรบมือไปตามมารยาท แต่สายตาจับจ้องมองที่แสนอย่างหมายมาด

บุรินทร์กับแสนกำลังจะล่ำลากัน

"แหม คนรุมกันใหญ่เลยนะพ่อเนื้อหอม ไม่ใช่ฉันกลับไปออฟฟิศพรุ่งนี้ แกโดนบริษัทอื่นลักพาไปแล้วนะ"
"ผมจะไปเพราะบอสพูดแบบนี้แหละ" แสนบอก
"เออ ฉันไม่พูดแล้ว วันนี้เหนื่อยมามาก กลับไปพักผ่อนซะ ฉันเองจะไปธุระต่อเหมือนกัน"
แสนยกมือไหว้ลาบุรินทร์แล้วเดินแยกมา ยังไม่ทันจะได้ออกจากงาน ผู้ช่วยเหนือเทพในชุดสูทก็เดินเข้ามา
"ด็อกเตอร์ครับ เจ้านายของผม อยากคุยกับคุณ คงไม่รบกวนเกินไปนะครับ"
แสนชะงักไปแต่ยังไม่ทันจะได้ตอบ

คิมหันต์บ่นอย่างกังวล ขณะที่อันยาง่วนกับการหยิบกระเป๋าและแฟ้มเอกสาร
"มาเลทแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเค้าโดนบริษัทอื่นฉกเอาตัวไปแล้วนะ"
อันยาไม่ตอบเพราะกำลังง่วนหยิบๆวางๆข้าวของอย่างลนๆ
"เอ้า หยิบอยู่นั่นแหละเจ๊ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก"
คิมหันต์จะเข้าไปช่วย อันยาเอาของทั้งหมดวางใส่มือคิมหันต์ คิมหันต์ถึงกับเซ อันยาไปหยิบกล่องจิมมีชูส์มาเปิดออกจนเห็นรองเท้าคู่สวยงามสง่าอยู่ อันยาหยิบออกมาอย่างวางที่พื้นอย่างเบามือ เสมือนกำลังทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เธอถอดรองเท้าที่สวมอยู่ออกแล้วสูดหายใจเข้า หลับตา แล้วสวมจิมมีชูส์
อันยาลืมตาขึ้นมาอีกทีด้วยสีหน้าวิตกลนลานก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่งและมั่นใจขึ้นมาทันที อันยาหยิบเพียงกระเป๋าถือ แฟ้มบางเฉียบและไอแพดจากมือคิมหันต์ไป คิมหันต์มองตาไม่กระพริบเพราะทึ่ง
"ฉันพร้อมแล้ว"
อันยาพูดแล้วยิ้มมุมปากน้อยๆ ด้วยสีหน้ามั่นใจมาก

แสนพูดชัดเจนและหนักแน่น
"ผมว่าผมพูดชัดแล้วนะครับ ผมต้องการทำงานที่เกษตรกรส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่งานที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนแค่ไม่กี่คน"
เหนือเทพ และผู้ช่วยต่างก็ชะงักกันไป
"ขอตัวก่อนนะครับ" แสนลุกขึ้นแล้วจะเดินไป
เหนือเทพลุกตามแล้วพูด "วิชั่นออฟฟิวเจอร์ เป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าเกษตรที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศนี้ ถ้าคุณทำงานกับเรา ก็จะมีเกษตรกรมากมายได้ประโยชน์"
"ได้ประโยชน์ที่ไม่ถึง 5% จากที่พวกคุณได้ สำหรับบางรายอาจจะติดลบซะด้วยซ้ำ เพราะราคารับซื้อสินค้าเกษตรไม่เท่ากับค่ายา ค่าปุ๋ยที่คุณขายให้พวกเค้า" แสนว่า
"คุณเพิ่งจะทำงานได้ไม่กี่ปี อย่ารีบตัดสินอะไรเร็วไปนัก ถ้าไม่มีบริษัทใหญ่อย่างเรา กำลังการผลิตโดยรวมจะเข้มแข็งแบบนี้เหรอ" เหนือเทพบอก
"จริงครับ การจัดสรรผลผลิตสู่ท้องตลาดคงจะไม่ง่ายเท่านี้ แต่เกษตรกรก็คงจะมีอิสระ และมีอำนาจต่อรองมากกว่านี้ ไม่ได้กลายเป็นแค่เบี้ยตัวเล็กๆที่โดนควบคุมได้ทุกฝีก้าว ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของผม ก็ดีครับ คุณจะได้มองหาคนอื่นที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณมากกว่า ขอตัวนะครับ...อ่อ แล้วอันนี้นอกเรื่องนะครับ ผมไม่ชอบการซื้อตัวกัน"
แสนพูดจบก็รีบเดินไปทันที
"น่าจะรู้จักกาละเทศะมากกว่านี้ หรือถือว่าตัวเองได้รางวัล กำลังเนื้อหอม"
"คุณก็น่าจะรู้จักกาละเทศะมากกว่านี้" เหนือเทพว่า ผู้ช่วยชะงัก "คนแบบนี้ ปล่อยให้โอหังอยู่ที่อื่นมันจะสะใจอะไร ต้องให้มันคลานเข่ามาของานเราทำถึงจะถูก"

ณ บู้ทแจกเอกสารแผ่นพับประชาสัมพันธ์โครงการต่างๆ คิมหันต์เนียนคุยกับแขกในงาน
คิมหันต์ถือแผ่นพับในมือ "มีบริษัทใหญ่หลายแห่งกำลังหาคนทำงานด้านนี้อยู่" คิมหันต์หยิบนามบัตรออกมา "นี่นามบัตรผมครับ ถ้าแนะนำใครมา ผมมีเปอร์เซนต์ให้ด้วย โทรหาผมได้นะครับ"
แขกรับนามบัตรจากคิมหันต์ก่อนที่เพื่อนของแขกจะมาตามไป
เพื่อนกระซิบถาม "เมื่อกี๊คุยกับใคร"
"พวกเฮดฮันท์เตอร์"
เพื่อนพยักหน้าเข้าใจ คิมหันต์แจกนามบัตรไปแล้วก็รำพึง
"เจ๊อันโกะเป็นไงบ้างเนี่ย ?”

อันยาเดินมาด้วยมาดของโพรเฟสชั่นแนล สายตาของเธอเหลือบมองหาจุดนัดพบก็เห็นคนในงานกำลังทยอยกันกลับ

แสนเดินมาด้วยท่าทางเร่งรีบ เมื่อสวนกับแขกผู้ใหญ่เขาก็หยุดไหว้ทักกันเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไป แสนดูล้าและอยากรีบกลับ เขาเดินเลี้ยวไปด้านหนึ่ง อึดใจต่อมาอันยาก็เดินออกมามองซ้ายขวา ก่อนจะเลี้ยวไปทางเดียวกัน ในขณะที่เผด็จยืนอยู่บริเวณนั้น

อันยาเห็นด้านหลังของผู้ชายในชุดสูทคนหนึ่งที่ดูคล้ายแสน อันยายิ้มเพราะคิดว่าเจอเป้าหมายแล้ว เธอรีบเดินเข้าไปหา
"สวัสดีค่ะด็อกเตอร์"
ชายคนนั้นหันหน้ามากลับกลายเป็นเผด็จ นักวิทยาศาสตร์วัย 40 ต้นๆ
"ต้องขอโทษด้วยนะคะ เลทไปนิ๊ส" อันยาบอก
เผด็จยังงงอยู่ด้วยอารมณ์ว่ายัยนี่มาทักผิดคนรึเปล่า
อันยารู้แต่ก็ยังเก็บอารมณ์ "ฉันอันยา รักษ์เรืองรองจากไรท์เพอร์เซิ่ลที่นัดไว้ไงคะ"
เผด็จพูด "คุณ ? เฮดฮันเตอร์ ?”
"ตัวจริง ร้อยเปอร์เซนต์ค่ะ ให้ฉันเลี้ยงกาแฟชดเชยที่มาเลทนะคะ"
เสียงเมรีดังขึ้น "ไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะว่าด็อกเตอร์ มีกาแฟแล้ว"
อันยาหันขวับไปเห็นเมรียืนอยู่พร้อมกาแฟสองแก้วที่อยู่ในมือ อันยาผงะไปอย่างแรง เมรียิ้มและส่งกาแฟให้เพื่อเอาใจด็อกเตอร์แล้วเธอก็เชิดคิ้วใส่อันยา อันยาตาแข็งใส่เมรี

รังสีอำมหิตของทั้งคู่เปล่งรัศมีออกมาปะทะกันทันที

เผด็จเอ่ยอย่างนึกไม่ถึง

"นี่พวกคุณสองคน เป็นคนละทีมกันเหรอ"
อันยาและเมรีนั่งอยู่คนละฝั่ง ทั้งสองต่างก็วางมาดของตัวเอง
"เมรีคงสะเพร่านะค่ะ ถึงมานัดด็อกเตอร์ซ้ำซ้อนกับฉัน ปกติพนักงานบริษัทเดียวกัน เค้าไม่ทำกันแบบนี้" อันยาเหน็บ "ถ้าหากว่ามีมารยาท"
"คุณเผด็จคะ ฉันไม่รู้จริงๆ เพราะฉันสั่งให้ผู้ช่วยโทรหาคุณ ฉันนึกว่าสายที่โทรหาคุณก่อนหน้านั้นที่คุณพูดถึงคือผู้ช่วยฉัน ไม่นึกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานบริษัทเดียวกันแบบนี้"
เมรีแก้ตัวด้วยสีหน้าน่าเห็นใจ แล้วก็มองอันยาด้วยสายตาประมาณว่าฉันไม่ผิด
"ในเมื่อรู้แล้ว ว่าตัวเองมาทีหลัง ก็คงต้องทำตามมารยาทสักทีนะ" อันยาบอก
เมรีไม่ยอม "ฉันอาจจะนัดคุณทีหลัง เพราะความไม่รู้ แต่ฉันก็มาถึงก่อน เห็นชัดอยู่แล้วนะคะ ว่าใครให้ความสำคัญกับงานนี้มากกว่า"
อันยาชะงักไปเมื่อเจอไม้นี้
โทรศัพท์ของเผด็จดังขึ้น "ฮัลโหล" เผด็จยืนเบี่ยงออกไปเล็กน้อย "จะให้ผมเข้าไปกี่โมง"
อันยาก้มลงกระซิบบอกเมรี
"อย่าคิดว่าเนียนกับด็อกเตอร์ได้ แล้วจะหลอกฉันได้ เดี๋ยวต้องเคลียร์กันหน่อย"
"ฉันไม่มีอะไรต้องเคลียร์" เมรีไม่ยอมแพ้ อันยาแทบวี๊ดแตก
เผด็จแทรกขึ้น "ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมต้องไปธุระต่อ เอาเป็นว่า" เผด็จกั๊ก "ไหนๆพวกคุณทั้งคู่ก็มาแล้ว งั้น..ต่างคนต่างยื่นข้อเสนอมาเลยก็แล้วกัน แล้วผมจะพิจารณาเอง"
อันยาชะงัก
เมรีรีบไหว้ "ขอบคุณมากนะคะ ที่กรุณาให้โอกาส ด็อกเตอร์เนี่ยใจกว้างจังเลยค่ะ" เมรีปรายตาไปทางอันยา "ผิดกับบางคน"
อันยาเจ็บจี๊ดแต่ไม่กล้าให้เผด็จโกรธจึงค้านอะไรไม่ได้

เผด็จเปิดแฟ้มดูก็เห็นตัวเลขเงินเดือนผู้บริหาร 200,000 บาท สายตาอันยามองเผด็จแบบลุ้นๆ
"อันนี้ของดิฉันค่ะ" เมรียื่นแฟ้มของตัวเองให้
ที่แฟ้มของเมรีตัวเลขอยู่ที่ 250,000 บาท
เผด็จมีสีหน้าพอใจมากกว่า อันยาหน้าซีดเมื่อเห็นว่าตัวเลขต่างกันมากจึงรีบชี้แจง
"ถึงเงินเดือนที่ทางวีว่าเสนอให้จะน้อยกว่าอาร์โก้ แต่เค้าก็มีข้อเสนออื่นที่น่าสนใจด้วยค่ะ"
"แค่เงินเดือนซึ่งเป็นเมนหลักยังเทียบไม่ได้ แล้วอย่างอื่นจะไหวได้ยังไงจ๊ะ" เมรีว่า
อันยาไม่สนใจเมรีจึงพูดกับเผด็จ "คุณเผด็จคะ ฉันต้องขอโทษที่เสียมารยาท แต่ขอทราบเหตุผลที่คุณลาออกจากงานที่ทำงานเก่าได้มั๊ยคะ" อันยาถ่อมตัว "ถ้าคุณบอกได้"
เมรีแอบเหน็บ "ไม่มีมารยาท กล้าถามลูกค้าได้ยังไง"
เผด็จไม่ว่าแต่ก็ยอมตอบ "อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก งานในแผนกที่ผมคุมอยู่มันโหลดมากขึ้นทุกทีทั้งผมและลูกทีมต่างก็เครียดและ..ล้า รู้สึกไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำเท่าไหร่ ผมก็เลยออก"
"ขอบคุณมากนะคะที่กรุณาตอบ ถ้ายังงั้นฉันอยากให้คุณลองพิจารณาโปรแกรมการทำงานแบบใหม่ของทางวีว่าดูค่ะ" อันยาบอก
ไอแพดของอันยาโชว์ภาพสำนักงานแนวครีเอทีฟที่มีการตบแต่งรีแลกซ์หลายๆภาพ
"ที่วีว่าไม่ต้องการเน้นปริมาณงานมาก แต่เน้นผลงานที่สร้างสรรค์จริงๆ เลยวางโปรแกรมการทำงานที่รีแลกซ์ และเอื้อให้เกิดไอเดียบรรเจิดกับพนักงานมากที่สุด" อันยาบอก
ภาพบรรยากาศการทำงานที่อบอุ่นเป็นกันเอง ทั้งการคุยงานกันที่มุมดื่มชา การประชุมงานทางไกลของผู้บริหารปรากฏขึ้น
"ที่นี่คุณสามารถเลือกเวลาเข้า และออกงานได้เอง กำหนดวันหยุดเองได้ ขอแค่ให้มีเวลางานครบ และผู้บริหารสามารถทำงานทางไกล ประชุมผ่านวีดิโอคอลจากที่บ้าน หรือที่ไหนๆก็ได้ ถึงวีคละ 2 วันแน่ะค่ะ" อันยาอธิบาย
"ผมเคยได้ยินว่ามีระบบการทำงานแบบนี้ที่ต่างประเทศ แต่ในประเทศเราเห็นว่ายังน้อยอยู่" เผด็จบอก
"วีว่าเป็นหนึ่งในนั้นค่ะ เงินเดือนอาจจะไม่มากเท่ากับบางที่" อันยาปรายตาไปทางเมรี "แต่ฉันว่า ตรงกับความต้องการของคุณมากกว่า เพราะไม่ต้องเจอปัญหาโหลดงานมากเหมือนที่เก่า และถึงวีว่าไม่เน้นเรทเงินเดือน ก็มีโบนัสพิเศษสำหรับทีมงานที่ยอดเยี่ยม เค้าเน้นไปที่ผลงานจริงๆ ซึ่งฉันว่า...ไม่น่ายาก สำหรับคนฝีมือระดับคุณ"
เผด็จพยักหน้าด้วยท่าทางพอใจมากๆ ทั้งสิ่งที่อันยาพรีเซนต์และลูกหยอดที่โดนใจ
"งั้นฉันขออนุญาตนัดวันที่จะเข้าไปคุยกับทางวีว่าเลยนะคะ" อันยาบอก
"แล้วที่บริษัทของทางคุณมีแบบนี้รึเปล่า" เผด็จถาม
เมรีหน้าเสีย "ดิชั้นคงต้องขอกลับไปเช็คค่ะ"
"โอว ไม่เป็นไรครับ แค่ลองถามดูน่ะครับ"
อันยาว่าแล้วก็ปรายสายตามาที่เมรีก่อนจะทิ้งสายตาใส่ประมาณว่า “ฉันชนะ” เมรีแสบร้อนไปหมดทั้งหน้าเมื่อเห็นเคสตรงหน้าจะหลุดลอยไป เธอคิดว่าจะทำยังไงดี!
เมรีเห็นเข็มกลัดเน็คไทของด็อกเตอร์มีลายตราประจำตระกูลอันนึงสลักอยู่ซึ่งมีตัวย่อว่า น.ร.ม. เมรีชะงักไปทันที แล้วเมรีก็ยิ้มแบบมีความคิดอะไรบางอย่าง !

เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น ภายใต้บรรยากาศของออฟฟิศ Right person Company ซึ่งมีป้ายชื่อบริษัทอยู่ด้านหน้า ที่โถงทางเดินมีพาติชั่นพนักงานภายใต้ขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่นัก มีพนักงานประมาณ 15 คน เสียงโทรศัพท์ดังมาจากโต๊ะเลขาซึ่งอยู่หน้าหน้าห้องผู้บริหารซึ่งมีป้ายชื่อ “ธกฤต แสนยะนันท์” พร้อมตำแหน่ง “ประธานกรรมการบริหาร” ติดอยู่
"ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะต่อสายท่านประธานให้นะคะ" เลขาฯ กดโอนสาย
ภายในห้องทำงานของธกฤต หน้าจอคอมพิวเตอร์พีซีมีสกรีนเซฟเวอร์ที่ปรากฎสโลแกนของบริษัท “คนที่ใช่สำหรับคุณ คือภารกิจสำคัญของเรา”
ธกฤตรับสายที่โอนมาจากเลขาฯ
"ครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติ์จริงๆที่ได้คุยกับท่าน ต้องการให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ"
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ธกฤตยังคงคุยต่อ
"ฟังดูไม่ใช่เคสที่ง่ายนัก แต่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ คนที่ใช่สำหรับคุณ คือภารกิจสำคัญของเราผมมั่นใจว่าทางเราจะจัดการให้ท่านได้ ผมมีคนที่ชำนาญการเจาะตัวบุคคลแบบนี้อยู่พอดี"
ธกฤตพูดให้ลูกค้ามั่นใจแต่แววตาของเขาคิดไปถึงคนๆ หนึ่ง

อันยากับคิมหันต์เดินผึ่งผายมาอย่างผู้ชนะ
"ทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งมีของ หัวหน้าใครเนี๊ยะ !”
อันยาชะงัก "อันสุดท้ายนี่ชมหรือหลอกด่าฮึ"
"ต้องชมอยู่แล้ว ยัยเมรีนี่แสบมาก จะมาฉกเคสเราหน้าตาเฉย ดีนะ เจ๊ระเบิดพลังใส่จนหงายเงิบ แบบเนี๊ยไม่ให้เรียกว่ามีของ แล้วให้เรียกว่าอะไรล่ะค๊าฟ"
"ช่วยใช้คำว่า ความสามารถพิเศษ หรือ ทาเลนท์ได้มั้ย" อันยาพูดแอคเซนค์สมจริง
คิมหันต์กับอันยาดี๊ด๊าภายใต้โมเม้นท์แห่งความสุข
"ปิดเคสได้แบบนี้ ต้องฉลอง ฉันเลี้ยงเอง" อันยาบอก
"เจ้รอแปปได้มั้ย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน" คิมหันต์บอก
คิมหันต์รีบเดินไป
อันยาหยิบมือถือขึ้นมา "อุ๊ย ส่งแมสเสจบอกข่าวดีบอสซะหน่อย"
อันยายืนอ้อยอิ่งพิมพ์แมสเสจอยู่กลางถนน พอเธอเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือก็เห็นรถเข้ามาในระยะใกล้ อันยาขาแข็งจนทำอะไรไม่ถูก
เสียงแตรยาวจากรถคันนั้นดังขึ้น อันยาฉุดขาตัวเองให้เคลื่อนได้ก็รีบถอยออก แต่รถที่เบรคแล้วก็ยังพุ่งเข้ามา
อันยาร้องลั่น "อ๊าย...”

รถเบรคลงพร้อมกับร่างของอันยาที่ล้มพับไป

อ่านต่อหน้า 2

อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ประตูรถยนต์เปิดออกมา แสนที่มีสีหน้าตื่นตะลึงรีบเดินมาดูคนเจ็บ

"เป็นอะไรรึเปล่าคุณ"
แสนเห็นอันยาแว่บแรกก็ผงะกับคอสตูมเสื้อผ้าหน้าผมอันจัดเต็มของนาง
อันยารีบใส่ทันที "สบายดีมั๊ง! ฉันแค่ลงไปนอนเล่น"
ทั้งสองคนสบตากันต่างก็ชะงักไปชั่วขณะ
จากที่ประชดอยู่พอเงยขึ้นมาเห็นหน้าคู่กรณีชัดๆ อันยาก็อึ้งไป
"หล่อ....." อันยาตาค้างเฉพาะตอนที่แสนหันไปทางอื่น
"คุณ..ลุกไหวรึเปล่าครับ" แสนถาม
"โอ้ย" อันยารีบแสดง
อันยามองแสนอย่างเคลิบเคลิ้มแล้วก็เกิดอ่อนแอขึ้นมาอัตโนมัติ
แสนหันซ้ายหันขวา "เจ็บตรงไหนมั๊ยครับ..”
อันยาไม่ได้ฟัง เพราะมัวแต่สำรวจชายหนุ่มที่เข้ามาประคอง..
อันยาคิดในใจ "ตัวหอมด้วยอ่ะ น้ำหอมหรือโคโลญจน์นะ"
แสนเรียก "คุณ ได้ยินผมรึเปล่า?”
"โคโลญจน์ใช่มั้ย" อันยาโพล่งออกมา
"อะไรเหรอคุณ"
"ตายแล้ว เมื่อกี้ชั้นพูดอะไรออกไปเนี่ย"
แสนหันไปเห็นรองเท้าของอันยาหักอยู่ "คุณครับ รองเท้าคุณน่ะ"
"จีวองชี่ รุ่นล่าสุด เพิ่งอิมพอร์ตเข้ามาเลยค่ะ"
"ผมไม่ได้ถามยี่ห้อครับ คือมันหัก"
อันยาชะงักแล้วก้มมองเท้าที่ว่างเปล่าหนึ่งข้างก่อนจะช็อค
"ห๊ะ ลูก ลูกแม่!”
"ลูก? เรียกรองเท้าว่าลูกเลยเหรอ" แสนงง
"ชนฉันไม่ว่า แต่คุณทับเจ้าหญิง"
"เจ้าหญิงเหรอ"
"ทำลายสิ่งที่งดงามแบบนี้ได้ลงคอ!!! ฉันจะให้ตำรวจจับคุณเข้าคุก ฐานขับรถโดยประมาท"
ทันใดนั้นก็มีคนเดินผ่านมามองอันยาที่กำลังเสียงดังอยู่
"คุณ ออกไปคุณกันตรงนู้นมั้ย" แสนชวน
"คุณรู้มั้ยมันเป็นของมีค่าแค่ไหน" อันยาเดินกระเผลก "มันยิ่งใหญ่มากรู้มั้ย"
แสนเหวอไป "รองเท้าเนี่ยนะเรื่องใหญ่ โทษนะครับ แต่ถ้าคุณไม่เดินก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ รองเท้าคุณก็คงไม่พัง"
"ห๊ะ นี่เกือบชนคนอื่น แล้วยังจะโทษเจ้าทุกข์อีกงั้นเหรอ ไอ้คนไม่รับผิดชอบ"
"คุณก็ไม่รับผิดชอบเหมือนกัน ก็ต้องดูรถด้วย ถึงจะรีบไปงานแฟนซีแค่ไหนก็เถอะ"
"งานแฟนซี..อะไร ?”
"ก็เสื้อผ้าคุณ ?”
"แฟนซีบ้าอะไรล่ะ ทำไม เสื้อผ้าชั้นมันผิดตรงไหน"
"ไม่ได้บอกว่าผิดที่เสื้อผ้า คือมันแปลกตา....มาก"
อันยาแทบกรี๊ด "นี่! นอกจากไม่รับผิดชอบ แล้วยัง..ตาไม่มีแวว!มันเป็น my style ! รู้ไว้ซะด้วย"
แสนเหวอแล้วคิดในใจว่านี่เอาจริงเหรอ ขณะที่อันยาแทบอยากจะกินเลือดกินเนื้อแสน !!!
คิมหันต์เข้ามาถาม "เจ๊ นี่มันเรื่องอะไรกัน"
คิมหันต์ที่เดินกลับมาตามอันยาผ่าเข้ามากลางวง ระหว่างที่อันยากำลังมองแสนด้วยความโมโหมาก

รถแสนจอดหลบข้างทาง แสน อันยา และคิมหันต์กำลังยืนตกลงกัน
"ตกลงคุณจะชดใช้ยังไง ไหนบอกมาซิ" อันยาถาม
"ผมจ่ายค่ารองเท้าคืนให้คุณก็แล้วกัน" แสนหยิบเงินออกมาประมาณสามพัน
"สามพันเหรอคู่นี้... สามหมื่นยังซื้อไม่ได้เลย" อันยาว่า
แสนชะงัก "นี่ ราคารองเท้า?”
"จิมมีชูส์ ไม่ใช่รองเท้าธรรมดาๆ มันคืองานศิลปะที่ออกแบบมารองรับเท้าอันเรียวงามของผู้หญิง"
"สามหมื่น.." แสนไม่อยากเชื่อ "เตารีดเนี่ยนะ ?”
"เตารีด !!”
"จ่ายเงินหลักหมื่นซื้อของแบบนี้" แสนส่ายหน้า "ซื้อข้าวกินได้เป็นสิบปี"
"นาย !!" อันยาจะหวีด
แสนตัดบทด้วยการหยิบนามบัตรขึ้นมาปิดปากอันยา "งั้นคุณเอานามบัตรผมไป แล้วส่งเลขที่บัญชีของคุณมาในอินบอกซ์ผม ผมจะโอนเงินคืนให้"
"ฉันได้ยินนะ นายว่ารองเท้าฉันเป็น เตารีด โนเทสต์มาก!! แล้วยังเปรียบเทียบรองเท้าฉันกับ..ข้าว นายหาว่าฉันใช้เงินไม่คิด!" อันยาไม่พอใจ
แสนเงียบและพยายามเก็บปากเก็บคำเพื่อให้เรื่องจบๆ
อันยาพูดต่อ "จะบอกให้รู้ไว้นะ นี่รองเท้าของฉัน เงินของฉัน ฉันหามาเอง ไม่ได้ไปขอ ไปโกงใครเค้ามา เพราะงั้นฉันมีสิทธิ์ใช้ยังไงก็ได้ ต่อให้รองเท้าฉันส้นทองคำฝังเพชร นายก็ไม่มีสิทธิ์มาว่า"
อันยาดึงนามบัตรมาจากมือของแสนมา แล้วฉีกออกเป็นชิ้นๆ
"เจ๊ !!" คิมหันต์จะห้าม แต่ไม่ทันแล้ว
"ถ้าไม่ได้สำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำ ฉันก็ไม่อยากได้เงินของนาย!” อันยาว่า
อันยาปากระดาษนามบัตรทิ้ง แล้วเดินโหย่งไปทั้งๆที่เท้าเปล่าเปลือยหนึ่งข้าง

แสนมองตามอันยา แบบไม่อยากจะเชื่อ

อันยายังอารมณ์เสียไม่เลิก ในมือของเธอมีทิชชูซับน้ำตา

"อะเฟรด! ขับรถแย่เกือบชนคนอื่นเค้า แล้วยังมาว่ารสนิยมส่วนตัวเค้าอีก หน้าตาดีซะเปล่าแต่นิสัยแบด แบด แบดมาก"
อันยามองสภาพรองเท้าแล้วพยายามจะต่อส้นเข้าไป แต่ส้นรองเท้านั้นหักจริง
"โฮ...ลูกแม่ เพิ่งใช้ไม่ทันถึงชั่วโมงเลยอ่ะ" อันยาคร่ำครวญ
"คงพอซ่อมได้มั๊งเจ๊" คิมหันต์บอก
อันยายังปล่อยโฮ
"อย่าลืมสิเจ๊ ยังไงวันนี้เจ๊ก็ปิดจ็อบใหญ่ได้นะ อย่าร้องเลยน๊า ผมฟังแล้วแซดอ่ะ"
อันยาฟังคิมหันต์แล้วเริ่มคิดตาม อันยาเริ่มจะซับน้ำตา
คิมหันต์พูดต่อ "ถึงจะเสียรองเท้าไป แต่เจ๊ต้องพราวด์ในตัวเองนะ"
คิมหันต์พยายามปลอบให้ถูกจุด อันยาเริ่มจะหยุดเวิ่นเว้อ
อันยาพยายามกลั้นยิ้มไว้
"ไม่ต้องอั้นหรอก จะยิ้มก็ยิ้มเถอะ พรุ่งนี้บอสต้องตบรางวัล ที่เจ๊ปิดเคสแจ่มๆให้แน่ !”

วันต่อมา อันยาอึ้งเหมือนโดนใครเอาไม้มาทุบหัว
"อะไรนะคะ ขอยกเลิก??”
อันยาเผลอพูดเสียงดังจนพนักงานที่อยู่รอบข้างพากันมองมา อันยารู้ตัวจึงก้มลงคุยเสียงเบากว่าเดิม
อันยาพูดโทรศัพท์ "แต่ว่าฉันติดต่อทางวีว่าเอาไว้แล้วนะคะ ว่าคุณจะเข้าไปพบ"
"ขอโทษนะครับ ผมก็..ชอบข้อเสนอของคุณนะ แต่ผม..ทำกับทางวีว่าไม่ได้จริงๆ" เผด็จอ้ำอึ้ง
อันยายังไม่อยากจะเชื่อ
"ทำไมล่ะคะ คุณเผด็จ" อันยาใจจะขาด "มี.. มีอะไรที่ฉันจะช่วยคุณได้มั๊ย" อันยาฟังแล้วไม่เห็นทาง "ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยบอกได้ไหม ว่าเพราะอะไรคุณถึงยกเลิก"

เมรีคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงหวานจ๋อย
"ขอบคุณม๊าก นะคะคุณหญิงเหมือน แมรีไม่มีวันลืมน้ำใจของคุณหญิงในครั้งนี้เลยเอาเป็นว่าถ้ามีอะไรให้แมรีช่วย บอกได้เลยนะคะ บายค่ะ"
เมรีวางสายด้วยสีหน้าอิ่มสุขมาก แต่แล้วก็หันมาเจออันยาที่กำลังยืนกลั้นอารมณ์ไว้แทบไม่ไหว
"เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” อันยาบอก
"รู้จักมารยาทบ้างสิ เมื่อวานเพิ่งจะเตือนคนอื่นเค้าไว้ไม่ใช่เหรอ" เมรีย้อน
อาโป สมุนมือขวาของเมรีรีบเข้ามาขวาง
"ถ้าอยากคุย ก็ต้องนัดก่อนนะคะ สำหรับคุณอันยา อาโปจะเลื่อนคิวให้เร็วสุดชาติหน้า อุ๊ยพูดผิดค่ะ อาทิตย์หน้า"
อาโปหันไปหัวเราะคิกคักแล้วตบมือกิฟท์มีไฟว์กับเมรีอย่างสะใจ
อันยาสุดทน "ชาติหน้าเราคงไม่ได้เจอกันหรอก เพราะว่าพวกเธอคงอยู่ในนรก"
เมรีหันมาแบบอารมณ์ขึ้น อาโปหน้าเหวอ
พนักงานในออฟฟิศต่างฮือฮาและย้ายก้นมาดูเหตุการณ์กันทันที
"นี่มันออฟฟิศนะ อย่าเอาคำพูดพวกแม่ค้าตลาดสดมาใช้" เมรีว่า
"ถ้าเธอรู้ว่าที่นี่มันที่ทำงาน ก็อย่าเอานิสัยสัตว์เลื้อยคลานชอบลอบกัดมาใช้ !” อันยาบอก
เมรีกับอาโปไม่พอใจ "อร๊าย" / "ว๊าย"
"ฉันรู้หมดแล้ว เธอใช้เส้นคุณหญิงเหมือน นิรมิตร เพื่อนเซเล็บของเธอ บังคับให้คุณเผด็จไปเซ็นสัญญากับอาร์โก้" อันยาว่า
"ของยังงี้มันจะบังคับกันได้ยังไง มัวแต่เอาเวลาไปแต่งตัว จนลูกค้าหนีเอง!” เมรีย้อน
"ฉันก็แค่แต่งตัว แต่เธอมันแต่งเรื่อง ! โกหกกันชัดๆ ตระกูลของคุณเผด็จเป็นลูกน้องเก่าของท่านพ่อยัยคุณหญิงนั่น เธอก็เลยให้คุณหญิงมาบีบเค้า"
"นี่ ถ้าไม่มีหลักฐานอย่ามาพูด" เมรีว่า

ภาพเหตุการณ์ในอดีต เมรีเห็นเข็มกลัดเน็คไทของด็อกเตอร์มีลายตราประจำตระกูลอันนึงสลักอยู่ โดยมีตัวย่อว่า น.ร.ม.
เมรีคิดในใจ "น.ร.ม. เป็นคนของตระกูลนิรมิตงั้นเหรอ ?”
ณ เหตุการณ์ปัจจุบันอันยาขู่ใส่
"หลักฐานเหรอ ก็ที่พูดโทรศัพท์เมื่อกี๊กับยัยคุณหญิงเหมือนเมื่อกี๊นี้ไง" อันยาเข้าไปคว้ามือถือของเมรีมา "ฉันจะโทรไปถามยัยคุณหญิงนั่น จะได้รู้ไง ว่าที่ฉันพูดมันจริงรึเปล่า"
"บ้าไปแล้วรึไง เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ" เมรีบอก
"อาโปช่วยค่ะ คุณแมรี"
อาโปจะโถมเข้าไปหาอันยาเพื่อช่วยเมรีอีกแรงแต่คิมหันต์มาขวางอาโปไว้
"ห้ามรังแกเจ๊อันโกะเด็ดขาด ไม่งั้นชกคว่ำเลยนะ" คิมหันต์บอก
"เป็นผู้ชายจะรังแกเพศที่อ่อนแอกว่าเหรอ" อาโปถาม
คิมหันต์แกล้งงับแม็กใกล้ตัวอาโปเพื่อขู่
"ว๊ายๆๆ อย่าๆ กรี๊ดช่วยด้วย ไอ้โรคจิต" อาโปว่า
"เงียบเหอะ เดี๋ยวเอาแม็กเย็บปากซะนี่" คิมหันต์ถือแม็กเย็บกระดาษขึ้นขู่
เมรีกับอันยายังยื้อแย่งมือถือของเมรีกันอยู่
"เอาคืนมา ยัยอันโก๊ะ ฉันจะแจ้งตำรวจจับเธอฐานขโมยของ" เมรีบอก
"ทีตัวเองขโมยผลงานคนอื่น ขโมยเคสของคนอื่น" อันยากดเบอร์ย้อนหลังเพื่อหา "ดูซิว่ายัยคุณหญิงเหมือนไม่รู้เรื่องจริงรึเปล่า" อันยาเอามือถือแนบหู
เมรีร้อนใจจนทนไม่ไหวจึงกระแทกสีข้างอันยาเพื่อแย่งมือถือคืน
"ฝันไปเถอะ" เมรีหยิบมือถือแล้ววิ่งหนีไป
อันยาไม่ยอมจึงกระโจนเข้าไปหาเมรี ทั้งสองคนแย่งกันอย่างรุนแรงจนล้มโครมไปบนพื้น
"เอามานะ เอามา เอามา !” อันยาโวยวาย
"อ๊าย...ยัยบ้า ฉันไม่ให้ ไม่!” เมรีก็โวยกลับ
อาโปจะออกมาช่วยเมรี คิมหันต์เอาเก้าอี้ เอาโต๊ะ มาวางกั้นไม่ให้อาโปออกมา
"คุณแมรี ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วย!! เอาแต่ดูกันอยู่นั่นแหละ" อาโปส่งเสียงดัง
"เอามือถือมา เอามา !!” อันยาบอก
พนักงานมามุงดูกันใหญ่ แต่ไม่มีใครห้าม ทุกคนมองผู้หญิงสู้กันมันหยด ธกฤตเดินออกมาเห็นสภาพ
"ตายๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

อันยากับเมรีชะงักไป

เมรีตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จขอความเห็นอกเห็นใจ

"ไม่จริงนะคะบอส ยัยนี่สร้างเรื่องขึ้นมาเพราะอิจฉา ที่เคสมาเลือกคอนเน็คชั่นของแมรีแมรีผิดตรงไหนคะ"
"แต่ที่ผมรู้มา คุณเผด็จเป็นเคสที่อันยาเค้าดีลไว้ให้ไปเป็นหัวหน้าแผนกของบริษัทวีว่าไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงไปทำซ้อนกับเค้า" ธกฤตถาม
"บอส แมรีไม่ตั้งใจ ยัยอาโปทำงานชุ่ย นัดเคสให้แมรีเฉยเลย"
อาโปสะอึก เมรีส่งสายตาพิฆาตมาให้
ธกฤตหันมาถาม "จริงรึเปล่า อาโป"
อาโปอึกอัก เมรีส่งสายตาพิฆาตกำลังสอง
"จริง จริงค่ะ อาโปตาลาย ก็เลย..ไม่ทันได้สังเกต"
"ไม่ใช่เห็นว่าเคสนี้เป็นชิ้นปลามัน อยากได้ซะจนไม่สน ว่าจะต้องข้ามหัวใครบ้าง" คิมหันต์ว่า
เมรีกับอาโปเจ็บแสบ
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ" เมรีพูดกับอันยา "อบรมลูกน้องบ้างนะ ฉันเป็นระดับซุปเปอร์ไวเซอร์ ไม่ใช่จะให้ลูกน้องเธอมาก้าวร้าวใส่อย่างนี้ได้"
คิมหันต์อยากจะด่า แต่อันยาปรามไว้
"ดูที่พวกเค้าพูดก็น่าจะรู้แล้วนะคะ ว่าแก้ตัวไม่ขึ้นเลยสักนิดเดียว"
ธกฤตหนักใจเมื่อลูกน้องคนสำคัญทั้งคู่มาอัดใส่กันแบบนี้
เมรีพูด "บอสคะ คุณเผด็จไปทำงานกับอาร์โก้น่ะไม่ดีตรงไหน ทางนั้นเสนอค่าเปอร์เซนต์ให้สูงกว่า
วีว่าด้วยซ้ำ"
"แต่ว่าเราตกลงกับทางวีว่าก่อน เธอมาใช้วิธีสกปรกตัดหน้าเอาตัวคนที่เค้าต้องการไปสังเวยให้อาร์โก้ที่มาแทรกคิวทีหลังแบบนี้ ทางวีว่าเค้าจะว่ายังไง" อันยาว่า
"ใจเย็นๆ อัน เรื่องนั้น เดี๋ยวผมเคลียร์ให้เอง" ธกฤตบอก
"บอส นี่หมายความว่าบอสจะไม่เอาเรื่องยัยนี่เหรอคะ" อันยาถาม
ธกฤตพูดกับอาโป "เธอ ฉันจะตัดวันลาพักร้อนของเธอ ปีนี้ทั้งปี"
"บอส !" อาโปพูดกับเมรี "เจ๊ ฉันซื้อทัวร์ไปญี่ปุ่นไว้แล้วนะ"
เมรีส่งซิกให้อาโปเลิกคร่ำครวญ
ธกฤตพูดกับเมรี "ส่วนคุณ ครั้งนี้ผมยกโทษให้ ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมจะไม่ฟังข้ออ้างอะไรทั้งนั้น คุณจะโดนตัดโบนัสและวันลา"
"ขอบคุณนะคะบอส ที่เข้าใจ ว่าความผิดพลาด มันเกิดขึ้นกันได้"
อันยาและคิมหันต์ผงะ ทั้งสองมองเมรีที่ตีหน้าซื่อด้วยความแค้นที่สุด

อันยาอยู่กับธกฤตสองคนในห้องโดยยังคงรับไม่ได้
"อันรับไม่ได้ !!! อันอยู่ร่วมออฟฟิศกับคนอย่างนั้นไม่ได้ค่ะบอส!!”
ธกฤตหนักใจแต่ก็พยายามอธิบาย
"อัน คุณต้องเข้าใจผมนะ ตอนนี้บริษัทเรา ฮอทเป็นอันดับต้นๆ คนทำงานมีไม่พอเมื่อเทียบกับรีเควทที่ทางบริษัททั้งหลาย อยากจะให้เราหาคนให้"
อันยายังไม่ยอมจึงหันมามองหน้าธกฤต
"นอกจากคุณทัดเทพที่เพิ่งเกษียณออกไปแล้ว คุณ คือมือหนึ่งของผม"
อันยาชะงักแล้วหันมา เมื่อได้ยินธกฤตพูดแบบนี้
"แต่ว่า บริษัทเราในตอนนี้ ก็ยังขาดมือสองอย่างเมรีเค้าไม่ได้"
อันยาหันไปงอนต่อ
ธกฤตพูดต่อ "อันยา คุณบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกับเมรีเค้าไม่ได้ แล้วถ้าผมให้โอกาสคุณเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานของเค้าล่ะ"
อันยาหันมา "แค่เป็นเพื่อนร่วมงานอันยังจะทนไม่ไหว แล้วบอสจะให้อันเป็น...”
"หัวหน้าแผนก ตำแหน่งหัวหน้าแผนกที่ยังว่างอยู่ จริงๆแล้ว ผมเล็งคุณเอาไว้" ธกฤตบอก
อันยารู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าแล่นทั่วกายจนสปาร์คไปทั้งตัวในนาทีนั้น
"บอส บอสพูดจริงๆนะคะ"
"แต่ว่า...ถ้าคุณได้ตำแหน่งนี้ไปเลย คนอื่นก็อาจจะครหาเอาไว้ เพราะอายุงานของเมรีมากกว่าคุณซะอีก" ธกฤตบอก
อันยาหน้ามุ่ยไปอีกรอบ
"แต่ถ้าคุณไม่ขัดข้องที่จะพิสูจน์ตัวเอง ผมก็จะให้โอกาส ถ้าคุณทำงานๆนึงได้สำเร็จตำแหน่งหัวหน้าแผนกจะเป็นของคุณทันที" ธกฤตบอก
อันยาชะงักฟังธกฤตอย่างตั้งใจ

อันยาอ่านชื่อในแฟ้มโปร์ไฟล์ของเคสที่ได้มาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"แสน เผื่อนนาดี" อันยามุ่ยหน้า "คิมบอมบ์ ฉันสะกดผิดรึเปล่า มีคำอะไรตกไปมั๊ย กลับจากเมกามา 3 ปีภาษาไทยฉันยังไม่เป๊ะ"
"เป๊ะแล้ว เค้าชื่อนี้จริงๆ แสน เผื่อน-นา-ดี !” คิมหันต์บอก
อันยาตกใจ "ชื่อเอ้าท์หลุดเทรนด์ขนาดนี้ ยังทนใช้อยู่ได้ ไม่รู้จักไปปงไปเปลี่ยน"
"ขนาดไม่เปลี่ยน พวกบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตรยังล่าหัว อยากได้ตัวเค้ากันให้วุ่น" คิมหันต์ดูแฟ้ม "ก็โปรไฟล์เทพซะขนาดนี้อ่ะนะ จบด้านพันธุกรรมพืชมาจากฮาวาร์ด เพิ่งได้รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นปีนี้"
"เอ๊ะ วันรับรางวัลมันวันที่เราสองคนไปนัดพบคุณเผด็จนี่ แหม ถ้ารู้งี้นะ จะแอบไปดูหน้าไว้ก่อน" อันยาบอก
คิมหันต์หยิบไอแพดออกมา "ดูในเว็บไซด์บริษัทเค้าสิ อาจจะมีรูปก็ได้นะ"
คิมหันต์เริ่มเซิร์ททันทีโดยเข้าไปที่หน้าเว็บเพจ “บุคลากรบริษัท” ของเว็บไซต์บริษัทเพียงพอดี ที่หน้าเพจเห็นมีรูปหน้าพนักงานแต่ละคนๆ ไล่มาจนถึงชื่อดร.แสน เผื่อนนาดี
"นี่ไง"
อันยากับคิมหันต์รอดูหน้าด็อกเตอร์แสนกันอย่างสนใจแต่ตรงบริเวณรูปโปรไฟล์ของแสน ไม่มีภาพ
"สงสัยจะมัวแต่ทำงาน จนหน้าตาซกมก สิวขึ้นดูไม่ได้ จนไม่กล้าแปะรูปโพรไฟล์" อันยาบ่นบ้า

แสนที่นั่งอ่านเอกสารอยู่จามออกมา เมขลาเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง
"ด็อกเตอร์คะ อุ๊ย ป่วยรึเปล่าคะ" เมขลาถาม
"ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ฝุ่น" แสนชี้เอกสาร "มันคงเยอะน่ะ"
"ด็อกเตอร์อาจจะทำงานหนักเกินไปนะคะ"
แสนยิ้มๆ แต่ไม่พูดอะไร
"เมมาบอกว่า ฝ่ายไอทีเค้าลงประกาศให้แล้วนะคะ อีกเดี๋ยวคงจะมีคนติดต่อเข้ามา"
"ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องรบกวนคุณเมและคนอื่นๆอีก เกรงใจทุกคนจะแย่" แสนบอก
"ก็หวังว่า ครั้งนี้จะได้คนที่.." เมขลาอึดอัด "เอ่อ ทำงานนี้ได้นะคะ"
"ครับ.." แสนอึดอัดเหมือนกัน "ก็หวังว่าอย่างนั้น...”

เมขลาและแสนพูดถึงเรื่องนี้กันด้วยความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ

คิมหันต์เรียกอันยาอย่างกระตือรือร้น

"เจ๊ เจ๊ดูนี่ ด็อกเตอร์แสนกำลังรับสมัครเลขาอยู่"
"โถ่ นึกว่าด็อกเตอร์จะย้ายงาน ถึงเค้ารับเลขาฯก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเราซะหน่อย" อันยาบอก
"นั่นดิ แล้ว..เท่าที่ดูโพร์ไฟล์ไป เจ๊ว่าไง ปิดจ็อบพรุ่งนี้มะรืนนี้ได้เลยมั๊ย"
อันยาชะงักไปกับคำถามของคิมหันต์

ธกฤตไม่อยากเชื่อ
"คุณขอให้ผมเสนอคนอื่น ให้วิชชั่นออฟฟิวเจอร์แทนด็อกเตอร์แสน"
"ค่ะ ถึงด็อกเตอร์ทางด้านพันธุกรรมพืชจะมีไม่มาก แต่อันเชื่อว่าจะหาคนที่มีคุณสมบัติตรงกับที่วิชชั่นออฟฟิวเจอร์ต้องการมาให้ได้" อันยาว่า
"อันยา คุณก็รู้นี่ ถ้าลูกค้าเจาะจงตัวบุคคลมา แปลว่าเค้าต้องการคนๆนี้ ต้องการตัวด็อกเตอร์แสน"
"ค่ะ อันทราบ แต่ว่า" อันยาจนปัญญา "โอเค อันสารภาพตามตรง หลังจากดูข้อมูลของเค้าแล้วสัญชาตญาณอันบอก ว่านายด็อกเตอร์แสนคนเนี๊ยะ คุยกับเค้าไปก็เสียเวลาเปล่า นายเนี่ยเป็นคนหัวแข็ง เชื่อมั่นในตัวเอง กล่อมให้ตายก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนใจ"
ธกฤตชะงัก
"นี่บอสโกรธอันรึเปล่าคะ" อันยาถาม
ธกฤตรู้สึกเซอร์ไพร์ส "คุณพูดถูกเป๊ะทุกอย่าง ทางวิชชั่นออฟฟิวเจอร์เองก็พยายามกล่อมเค้ามาตั้ง
หลายครั้งแล้ว เสนอเงินเดือนหลักล้านให้ด้วย เค้ายังปฏิเสธหน้าตาเฉย"
"อันถึงได้บอกไงคะ ว่าหาคนที่เค้าเต็มใจทำงานดีกว่า พวกแอนตี้เศรษฐี ประกาศตัวจะกินอุดมการณ์แบบเนี๊ยะ ให้ตายก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจเค้าได้ นอกซะจาก...”
ธกฤตถาม "นอกซะจากอะไร...”

หน้าห้องทำงานของธกฤตไม่มีเลขาฯ อยู่ อาโปจึงแอบมาแง้มประตู อาโปเปิดประตูได้อย่างเบามือ บานประตูแง้มออก อาโปแนบหน้าเข้าไปจะแอบมอง
เสียงคิมหันต์ดังขึ้น "อู๊ย ชน!”
อาโปหันมาแล้วก็ตกใจ คิมหันต์ซึ่งถือกองหนังสือมาแกล้งเอาหนังสือเสยสะโพกอาโป
"แก ไอ้คิมบ้า"
คิมหันต์ปราม "จุ๊ๆ เสียงดัง เจ้านายรู้นะ ว่ามาแอบฟังหน้าห้อง"
อาโปตกใจ "ฉันเห็นประตูไม่สนิท เลยปิดให้ต่างหาก" อาโปรีบปิดประตูกลับเข้าไปแล้วลูบสะโพก "แก ฉวยโอกาสเอาหนังสือมาโดนก้นฉัน"
"โห...ดีนะที่โดนหนังสือ ถ้าโดนมือ ผมคงต้องอาบยาฆ่าเชื้อ กลัว..ติดเชื้อร้าย ไวรัสแทงข้างหลัง"
"แก๊!! ไอ้ ไอ้คิมบ้า"
คิมหันต์ทำทีจัดหนังสืออยู่แถวนั้นโดยไม่ยอมไป อาโปรู้ว่าเสียจังหวะแล้วจึงต้องกระแทกส้นไปซะเอง คิมหันต์ถอนใจเพราะรู้สึกว่าอยู่ยากซะจริงจริ๊ง

อันยาตอบออกมา
“..นอกจากว่าเค้าจะสิ้นหวัง จนหมดหนทางไป"
ธกฤตอึ้งกับคำตอบแต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้ แล้วอันยาก็ร้องออกมาอย่างดีใจ
"รู้แล้ว ! อันรู้แล้วค่ะบอส วิธีที่จะทำให้คนอย่างด็อกเตอร์แสน ยอมเปลี่ยนใจมาทำงานกับวิชชั่นออฟฟิวเจอร์"
อันยาสีหน้าตื่นเต้นกับแผนการไม่น่าเชื่อที่เพิ่งจะแว๊บเข้ามาในหัวของเธอ

ณ คอนโดหรูใจกลางกรุง
เสียงคิมหันต์ดังขึ้น "แต่ว่ามันผิดมากนะเจ๊!”
คิมหันต์ทั้งกังวล เครียด และเป็นห่วงอันยา
"งานล่าหัว หาตัวพนักงานให้พวกบริษัทต่างๆที่เราทำอยู่ มันไม่เคย..ต้องทำถึงขนาดนี้!”
"แต่คุณธกฤตก็ไฟเขียวให้เราแล้ว เขาเชียร์ไอเดียนี้เต็มที่" อันยาบอก
"ก็เค้าไม่ได้ไปลงมือเองนี่ แล้วถ้าเจ๊ถูกจับได้ขึ้นมา ไม่เหลือเลยนะ"
อันยามีท่าทางหนักใจไม่น้อย แต่แล้วก็นิ่งก่อนจะยิงคำถามกลับไปที่คิมหันต์
"คำถาม ถ้ายัยเมรีได้โปรโมทเป็นหัวหน้าแผนก แกคิดว่าพวกเราจะเหลือมั๊ย"
คิมหันต์อึ้ง "จบ! จบเลยเจ๊" แค่คิดคิมหันต์ก็เซ็งแล้ว
"งั้น ก็มีแค่ยอมเสี่ยง หรือว่าจะคว่ำไพ่ ยอมแพ้ไปซะตอนนี้"
คิมหันต์ตัดใจแล้วยื่นมือไปแตะมืออันยาเหมือนรวมพลัง "โอเค ถ้าเจ๊เอา ผมก็เอาด้วย"
"เราต้องทำได้ ฉันต้องได้ตัวด็อกเตอร์แสนมาให้วิชชั่นออฟฟิวเจอร์"
อันยาหมายมั่นปั้นมือมากโดยเดิมพันกับหน้าที่การงานทั้งหมดของตัวเอง

รถอันยาขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหน้าออฟฟิศ อันยาที่นั่งอยู่ในรถรู้สึกนอยด์เมื่ออยู่ในชุดเชยสุดๆ อันยาก้มมองชุดตัวเองแล้วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เธอคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
คิมหันต์ส่งถุงให้ 2-3 ใบ
"เอ้า เสื้อผ้าสำหรับตำแหน่งเลขาบริษัทเพียงพอดี บริษัทเค้าเน้นความพอเพียงผมว่าเจ๊แต่งประมาณนี้แหละ เอาอยู่"
อันยารับมาวางลงอย่างไม่สนใจ ก่อนจะหันไปเล่นมือถือต่อ
"ไม่ดูหน่อยเหรอเจ๊"
"ใส่ตามหน้าที่ ! จะแบบไหน สีไหนก็ช่างมันเถอะ"
"ให้มันจริงนะ แล้วก็..." คิมหันต์รู้ทัน "อย่าลืม"
คิมหันต์ชี้ไปที่ชั้นรองเท้าจิมมี่ชูส์ของอันยาที่สุดอลังการ
"งดลูกรักด้วย 1 วัน"
"ฉันรู้น่า..”

อันยาทำเป็นรับปากเนียนๆไป คิมหันต์เหล่และคิดว่าขอให้จริงเถอะ

อ่านต่อหน้า 3

อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 1 (ต่อ)

อันยาอารมณ์เสีย

"รู้งี้เปิดดูก่อนก็ดี! นี่มันสมัครงานเลขาหรือเป็นคนดูแลบ้านพักคนชราเนี่ย"
อันยาส่ายหน้าแต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ เธอก้มมองที่เท้าซึ่งกำลังสวมจิมมี่ชูส์
"ดีนะ ที่ไม่เชื่อคิมบอมบ์" อันยาคุยกับรองเท้า "ช่วยให้ฉันได้งานนี้ด้วยนะ"
อันยาส่งจูบให้รองเท้าแล้วก็คึกคักขึ้นมา

อันยาบอกเมขลาด้วยความสุภาพ
"ฉันมาสมัครเป็นเลขาของด็อกเตอร์แสนค่ะ"
เมขลามองในความเชยแต่สวยของอันยา
"อ๋อ ด็อกเตอร์ให้ขึ้นไปสัมภาษณ์ที่ห้องทำงานได้เลยค่ะ ชั้น 5 ห้องริมสุดนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ"
อันยาผละออกมาแล้วมองหาอะไรบางอย่าง
อันยาเดินกลับมาถามเมขลา "ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าลิฟท์อยู่ตรงไหนเหรอคะ"
"ที่นี่ไม่มีลิฟท์หรอกค่ะ" เมขลาชี้ไป "บันไดอยู่ทางโน้น พอดีบริษัทเราเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน"
อันยาเหวอไปเมื่อได้ยินว่าต้องใช้แรง

แสนกำลังปั่นจักรยานมาทำงานอย่างอารมณ์ดี แสนจอดจักรยานในที่จอดที่ทางบริษัทเตรียมไว้ซึ่งมีจักรยานอื่นๆจอดอยู่แล้ว 2-3 คัน แสนถือกระเป๋าเอกสารเดินเข้าบริษัทไป

อันยาลากขาขึ้นบันไดมาอย่างทรมาน
"โอ๊ย ไม่คิดประหยัดพลังงานในตัวคนบ้างรึไง แล้วนายด็อกเตอร์ก็อยู่ตั้งชั้นห้า บ้าจริงๆ"
อันยาเมื่อยมากจึงเดินป่ายผนังไป แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นรองเท้าเปื้อน
"ว๊าย !”
อันยารีบชักเท้าออกมาค้นทิชชูในกระเป๋ามาซับรองเท้าลูกรักเป็นการใหญ่
"โถ่เอ๊ย หมู่นี้ทำไมโดนอยู่เรื่อย...ถังขยะอยู่ไหนเนี่ย" อันยาหาไม่เจอก็แอบเขวี้ยงทิ้ง
ทิชชูหล่นลงมาตรงหน้าแสนซึ่งกำลังขึ้นบันไดมา เขามองไปเห็นด้านหลังอันยาที่กำลังรีบเดิน แสนเก็บทิชชูขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

อันยารีบเดินไปยังห้องริมสุดที่เป็นจุดหมาย
"คุณ ! คุณลืมของ !”
อันยาได้ยินเสียงคนแต่ไม่นึกว่าเกี่ยวกับตัวเองจึงยังเดินต่ออย่างไม่สนใจ
แสนเดินมาขวางหน้าอันยา "ของคุณ" แสนยื่นทิชชูให้
อันยาไม่พอใจ "ไม่ใช่ของฉัน !" อันยาเห็นแสนก็เหวอ เธอถอดแว่นดูเพื่อความชัวร์ "นาย"
แสนเพ่งมองเพราะแปลกใจเหมือนกัน "คุณนายจีวองชี่!”
"นี่เรียกฉันว่าอะไรนะ"
"ก็เห็นคุณเทอดทูนรองเท้ามากนี่" แสนสังเกต "ไหนบอก It’s my style ทำไมแต่งตัวปกติแล้ว"
"ปกติ ! นี่หมายความว่าวันก่อนฉันไม่ปกติรึไง! ว่าแต่คนอื่น เอาทิชชูใช้แล้วมาให้คนเนี่ยเรียกว่าปกติรึเปล่า"
แสนไม่ตอบแต่เอาทิชชูยัดใส่มืออันยา แล้วจับมือนั้นให้ทิ้งทิชชูลงถังขยะหน้าห้อง
"ปกติ ต้องทิ้งขยะตรงนี้ จำไว้ว่าบันได ไม่ใช่ที่ทิ้งขยะ"
อันยามองมือแสนที่ยังจับมือตัวเองค้างไว้อยู่ "นี่! นี่หลอกจับมือฉันเหรอ"
แสนตกใจ "ไปกันใหญ่แล้ว ผมแค่สอนคุณ ให้รู้จักเคารพสถานที่เท่านั้นเอง"
อันยาไม่ฟัง "โอ๊ย อุตส่าห์มาตั้งไกล ยังมาเจอพวกโรคจิต นี่ ไปให้ห่างๆฉันเลยนะ"
"คงทำไม่ได้ เพราะนี่ที่ทำงานผม ถ้าจะมีคนไป ก็คงจะต้องเป็น..." แสนมองไปที่อันยา
"นาย !! พอที!! ไอ้เรื่องสัมภาษณ์บ้าๆนี่ ถ้านายทำงานที่นี่ เราคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ !”
อันยาหันขวับจะเดินย้อนกลับทางเดิม เมขลาเดินมา พอเห็นอันยาก็โล่งอก
"ฉันขึ้นมาดูว่าคุณหาห้องด็อกเตอร์เจอมั๊ย" เมขลามองแสน "ตกลงว่าเจอกันแล้วนะคะ"
อันยางง "เจอกัน?”
"ก็นี่..ด็อกเตอร์แสน คนที่จะสัมภาษณ์งานคุณไงคะ" เมขลาบอก
"ห๊ะ ว่า ว่าไงนะ !”
เมขลาพยักหน้าย้ำว่าชัวร์
อันยามองแสนอย่างตะลึง "คุณ ? ด็อกเตอร์แสน"
แสนถอนใจ "ครับ ผมเอง ด็อกเตอร์แสน เผื่อนนาดี"

อันยาเข่าอ่อนจนแทบทรุด ดีที่เธอคว้าผนังช่วยทรงตัวเอาไว้ได้

แสนนั่งที่เก้าอี้ผู้บริหารแล้วบอกอันยาอย่างจริงจัง

"เคลียร์แล้วนะครับ ว่าเมื่อครู่นี้ผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด"
อันยานั่งเกร็งมองแสนผ่านกรอบแว่นด้วยท่าทีที่ยังแค้น แต่ก็ต้องสะกดกลั้น
"ค่ะ มันเป็นความเข้าใจผิด" อันยาแอบกำหมัด
"ไม่อยากเชื่อว่าลุคอย่างคุณจะมาสมัครงานเป็นเลขาฯผม เห็นท่าทางคุณเมื่อวันก่อนนึกว่าทำงานบริษัทเอกชนแถวสาธร สีลม"
อันยาตกใจจึงโพล่งออกไป "รู้ได้ไง"
"รู้อะไร" แสนงง
"รู้อะไรคือไง"
"อ้าว ก็เมื่อกี้คุณพูดว่ารู้ได้ไง"
อันยารีบกลบเกลื่อน "ฉันหมายถึง คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะเป็นอย่างที่คุณคิด สิ่งที่คุณเห็นเมื่อวันก่อน อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันเป็นตามปกติก็ได้"
แสนชะงักแล้วมองอันยาด้วยสายตาคล้ายจะถามว่า “ไม่ใช่แน่เหรอ?”
"ลองดูใหม่สิคะ ฉันดูไม่เหมือนวันนั้น ใช่รึเปล่า ?” อันยาบอก
แสนเดินสำรวจรอบตัว อันยาพยายามยิ้มและปั้นหน้าให้ดูเฟรนด์ลี่กว่าที่ผ่านๆมา
"จะว่าต่างก็ต่างนะ" แสนบอก
"ใช่มั๊ยคะ จริงๆแล้วฉันเป็นคนแบบ..เรียบง่าย มีเวลาก็อ่านหนังสือบ้าง พวกตำรับตำราวิทยาศาสตร์เนี่ยก็อ่าน"
แสนพูดแทรกขึ้น "แต่มีอยู่อย่างนึง ที่ไม่ต่าง"
อันยาชะงักแล้วแอบเหลือบมองรองเท้าจิมมี่ชูส์ของตัวเอง
อันยาคิดในใจ "โถ่เอ๊ย น่าจะเชื่อคิมบอมบ์" อันยาบอกแสน "คือฉันอธิบายได้ ที่ฉันใส่รองเท้าแพงไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นพวกใช้จ่ายเกินตัว ไม่รู้จักประหยัดทรัพยากร หรือว่าไม่เห็นใจคนจน" อันยานึกได้ "พอดีฉันได้รองเท้ามาฟรี คือมีคนให้ฉันมา"
"คุณไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว" แสนว่า
อันยาแทบช็อค "ไม่ต้องอธิบาย ! นี่คุณ" อันยาเริ่มดรามา "ฉันขับรถมาร้อยกว่ากิโลจากกรุงเทพเพื่อมาสมัครงานที่บริษัทนี้ ซึ่งอยู่ถึงปากช่อง แล้วคุณจะไม่ฟัง ไม่คุยกับฉัน ประวัติงานก็ยังไม่เปิดดูเลยด้วยซ้ำ"
"มันไม่จำเป็น เราคุยกันไปเยอะแล้ว และผมก็ได้ในสิ่งที่ผมต้องการแล้วด้วย" แสนบอก
"ห๊ะ ได้.. ได้แล้วงั้นเหรอ!”
แสนพยักหน้า
อันยาไม่อยากจะเชื่อจึงลุกขึ้นประชด "ขอบคุณนะคะ ทั้งที่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ยังอุตส่าห์สละเวลามาสัมภาษณ์ฉัน บอกได้เลยว่าคุณทำฉันซึ้งมาก"
อันยากระแทกแฟ้ม เธอคว้ากระเป๋าบีบไว้แน่นด้วยความแค้นและหน้าแตกสุดๆ ก่อนจะเดินออกไป
แสนมองอันยาด้วยความแปลกใจก่อนจะพูด "พรุ่งนี้เช้า เริ่มงานแปดโมงครึ่งนะครับ"
อันยาที่กระชากประตูออกมาแล้วครึ่งบานชะงักกึกก่อนจะหันขวับ
"คุณมีปัญหาอะไรเหรอ ?”
"เริ่มงาน? นะ นี่ หมายความว่าคุณ…คุณรับฉัน?" อันยาแปลกใจสุดขีด
"แล้วผมจะบอกเวลางานคุณทำไม ถ้าผมไม่รับคุณ" แสนว่า อันยายิ่งงง "ที่บอกให้คุณไม่ต้องอธิบาย เพราะว่าผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับรองเท้าคุณ อีกอย่างนะ ถึงบริษัทนี้จะอยู่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ได้บังคับให้พนักงานต้องทำตัวเชยๆหรอกนะ"
อันยาเหวอไปทันที
"กลับไปเป็นตัวคุณเองเถอะ your style น่ะ" แสนบอก
อันยาหน้าชาเพราะพูดไม่ออก เธอเปิดประตูออกไปแล้วปิดปัง แสนที่นั่งอยู่ในห้องยิ้มๆ พลางคิดในใจว่าตลกดีแฮะ ผู้หญิงคนนี้
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกใหม่อย่างรวดเร็ว
"ขอโทษค่ะ" อันยาพูด
"อุ๊ย..." แสนรีบหุบยิ้ม
"ฉันขอถามอะไรหน่อย ที่คุณบอกว่า ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว"
"ผมได้แล้ว ผมเห็นทั้งตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรก และที่หน้าห้องเมื่อกี๊นี้" แสนบอก อันยายิ่งงง และไม่เข้าใจไปใหญ่ "คุณสมบัตินี้แหละ ที่ทำให้ผมตกลงรับคุณเข้าทำงาน"
“What? เอ่อ คืออะไรไม่ทราบ" อันยารู้ตัวจึงรีบพูดมีหางเสียง "คะ?”
แสนนิ่งไปอึดใจ อันยารอฟังด้วยสีหน้าอยากรู้มากๆ

คิมหันต์หัวเราะร่วนอย่างไม่เกรงใจ
"ด็อกเตอร์รับเจ๊เพราะว่าปากร้าย และสู้คนเนี่ยนะ ฮ่าๆ สุโค่ยอ่ะ" คิมหันต์หัวเราะจนสำลักกาแฟ "แน่ใจนะเจ๊ ว่าเค้าให้ไปเป็นเลขา ไม่ใช่ให้ไปทวงหนี้"
อันยาหน้าง้ำเพราะยังจี๊ดไม่หาย
"ขำมากก็ไปเป็นเลขาแทนฉันมั๊ย" อันยาบอก คิมหันต์เงียบ "ทำไม นายเชื่อเหรอว่านายด็อกนั่นรับชั้นเพราะเหตุผลนี้"
"แล้วเค้าจะโกหกไปทำไมล่ะเจ๊"
"ฉันยังเล่าไม่จบ เค้ายังมีพิรุธยิ่งกว่านี้อีก"
อันยาย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ในอดีต

แสนย้ำให้อันยาเข้าใจ
"คุณได้ยินไม่ผิดหรอก นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมรับคุณเข้าทำงาน"
อันยายังทำหน้างงไม่หาย
"เดี๋ยวพอคุณมาทำงานแล้ว ก็จะเข้าใจเอง"
อันยาทั้งมึนทั้งไม่เคยเจอเหตุผลประหลาดอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยลุกขึ้น เตรียมจะออกไปทั้งมึนๆ
"เอ่อ จริงๆแล้วก็ยังมีเหตุผล อีกข้อนึงนะ" แสนพูด
อันยาชะงักก่อนจะหันขวับมามองแสน
"ยังมีอีกเหรอ ?" อันยางง แสนพยักหน้า "นอกจากฉันปากร้ายแล้วก็สู้คน! คุณยังมีเหตุผลอะไรอีก" แสนนิ่ง อันยาถามต่อ "บอกมาเถอะค่ะ" อันยาพูดประชดเบาๆ "ถัดจากข้อแรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร ฉันคงรับได้ทุกอย่าง"
อันยานิ่วหน้าและตั้งใจฟัง แสนทำท่าเหมือนจะบอก แล้วก็หยุดอมยิ้ม อันยายิ่งตั้งใจฟังมากๆ
“..เอาไว้วันหลังแล้วกันนะ" แสนบอก "ผม..ต้องทำงานแล้ว ไว้พรุ่งนี้เจอกัน"

แสนตัดบทและหันไปเปิดแฟ้มทำงานซะดื้อๆ อันยาเหวอไปทันที

อันยาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วบอกอย่างมั่นใจ

"แต่ฉันรู้ ว่าเหตุผลนั้นน่ะ มันคืออะไร"
คิมหันต์งง "เค้ายังไม่ได้บอกเลยนะ เจ๊รู้ได้ไง"
อันยามีสีหน้ารู้ทัน

ภาพในอดีต แสนเอาทิชชูใส่มืออันยาแล้วจับมือนั้นให้ทิ้งทิชชูลงถังขยะหน้าห้อง
"ปกติ ต้องทิ้งขยะตรงนี้ จำไว้ว่าบันได ไม่ใช่ที่ทิ้งขยะ !”
อันยามองมือแสนที่ยังจับมือตัวเองค้างไว้อยู่ "นี่! นี่หลอกจับมือฉันเหรอ"

อันยามีสายตาไม่ไว้วางใจ
"ที่บอกไม่ได้ ก็เพราะว่านายนั่นคิดไม่ซื่ออยู่น่ะสิ!” อันยาว่า
"คิดไม่ซื่อ !" คิมหันต์ตกใจ "เฮ้ย แต่ท่าทางเค้าดู..ไม่ใช่พวกหน้าหม้อเลยนะ"
"หม้อไม่หม้อ เจอความบลิงค์ระดับฉันเข้าไป ก็อาจจะทำให้ตาพร่า หน้ามืดขึ้นมา"
คิมหันต์ชักคล้อยตาม "ก็..ก็อาจจะเป็นไปได้นะ" คิมหันต์เวิ่นเว้อ "แล้ว..แล้วยังงี้มันจะอันตรายรึเปล่า ต้องเอาตัวเข้าแลกรึเปล่าเนี่ยเจ๊"
"ไม่มีทาง ถึงหน้าตา..จะพอใช้ได้ แต่ปากเสียและอวดดีแบบเนี๊ยะ แม้แต่ส้นรองเท้าฉันก็อย่าหวังจะมาแตะ"
อันยามีแววตามุ่งมั่นคมกริ๊บ
"ด็อกเตอร์แสน ฉันจะป่วนจนนายต้องโดนไล่ออก เซไปซบอกวิชชั่นออฟฟิวเจอร์เลย คอยดู"
อันยาประกาศเจตนาแรงกล้าออกมา

เสียงทวยเทพดังขึ้นในร้านอาหารหรู
"จะไปธุระต่างจังหวัด ไม่มีเวลา!”
อันยาจิ้มสเต๊กเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆอย่างไม่มีฟอร์ม ทั้งที่บรรยากาศโต๊ะอาหารนั้นแสนจะโรแมนติค
"แต่แม่ผมอยากพบคุณนะ คุณก็รู้ว่าแม่ผมอยากมีหลานใจจะขาด แล้วว่าที่ลูกสะใภ้ไม่ยอมไปเจอซะที เนี่ย เสื้อผ้าแบบที่ท่านชอบ ผมก็เตรียมไว้ให้คุณแล้ว" ทวยเทพบอก
ทวยเทพหยิบเดรสสวยเรียบๆออกมาจากกล่องมาโชว์ให้อันยาดู
อันยาซึ่งสวาปามเสต็กหมดชิ้นไปแล้ว วางมีดแล้วมองทวยเทพด้วยสายตาตาคมวับ
"ทวยเทพคะ ปัญหาข้อที่ 1 คุณถามฉันสักคำรึยัง ว่าต้องการไปพบแม่ของคุณรึเปล่า"
ทวยเทพสะอึก แต่ไม่ยอมแพ้ "อันนี่ คุณทำเพื่อผมหน่อยไม่ได้เหรอจ๊ะ"
"ปัญหาข้อที่ 2" อันยามองที่ชุด "ฉันเกลียดชุดนี้ !”
ทวยเทพเหวอ
"แบบเพลนๆแบบเนี๊ยะ คุณก็รู้ว่าฉันไม่ใส่"
ทวยเทพบ่นอุบ "ก็เพราะรู้น่ะสิ"
"ว่าไงนะ !! นี่คุณว่าฉันเยอะเหรอ"
"เปล่า..ผมแค่รู้ว่ารสนิยมคุณเป็นยังไง แค่รู้เฉยๆ แต่ไม่ได้จะต่อว่าอะไรเลยนะ จริงๆ"
อันยาคิดแล้วหยั่งเชิง "ที่บอกว่ารู้จักรสนิยมฉันน่ะ มันยังไงเหรอคะ"
"ก็ ก็รู้ว่ามัน เอ่อ.." ทวยเทพรู้ตัวก็รีบกลบเกลื่อน "บางอย่างไม่ต้องพูดจะดีกว่านะ"
"ฉันไม่โกรธหรอกน่า ถ้าคุณพูดมามีเหตุผล ฉันอาจจะ ใส่ชุดนั้นก็ได้นะ"
ทวยเทพรีบพูดทันที "โถ่อันนี่ คุณน่ะสวยจะตาย! แต่เสื้อผ้าคุณเนี่ยสิ มันทำให้คุณดูพิลึก คือผมไม่รู้จะใช้คำไหน ดูสิ ไหล่ซ้ายสีนึง ขวาอีกสี เข็มขัดเค้าเอาไว้คาดเอวนี่อยากจะพาดตรงไหนก็พาด มันประหลาดอ่ะ"
ทวยเทพพรั่งพรูออกมาจนแทบจะหอบหายใจไม่ทันเลยทีเดียว อันยาฟังจบก็ไม่พูดอะไร เธอหยิบกระเป๋าถือแล้วลุกพรวดไปทันที
"อ้าว อัน อันนี่ ไหนบอกว่าไม่โกรธไง"
ทวยเทพรีบวิ่งตามไปด้วยหน้าตาตื่น

อันยาเดินกระแทกส้นฉับๆ เพราะโกรธมาก
"อัน อัน รอผมด้วยสิ" ทวยเทพวิ่งมาขวางหน้าไว้จนได้ "ก็คุณให้ผมพูดเองนะ"
"ฉันก็ไม่ได้โกรธนี่" อันยาบอก
ทวยเทพเลิกคิ้วคล้ายจะถามว่าจริงเหรอ
อันยาพูดต่อ "แต่โมโห !!!ไม่เข้าใจกันเลยใช่มั๊ยคำว่ายูนีค ไม่ซ้ำ ไม่ดาษดื่นเหมือนใครๆน่ะ สะกดไม่เป็นใช่มั๊ย"
"ไอ้ผมน่ะยังไงก็ทนได้ ขอแค่ตอนไปเจอแม่ผม คุณไม่ยูนีคได้มั๊ย พลีส"
"ฉันไม่มีเวลาให้เรื่องนี้หรอก ต้องทำงาน อย่างที่ฉันบอกคุณ ถ้างานนี้ไม่สำเร็จ ฉันจะไม่สนใจเรื่องอื่น"
อันยาว่าแล้วก็กระแทกส้นเดินต่อ
"อันนี่ ผมเคยบอกคุณแล้วไง ว่าถ้าเจ้านายคุณเขี้ยวนัก อยู่ๆใช้ให้คุณไปคุมสาขาต่างจังหวัดอะไรไม่รู้ ก็ลาออกมันไปซะเลย" ทวยเทพดึงมืออันยาไว้ "แล้วมาเป็นเจ้าสาวให้ผม"
อันยาถอนมือออกอย่างไม่ยอม
"ฉันก็บอกคุณแล้ว ว่าฉันยังไม่ใช่คู่หมั้น หรือแม้แต่ แฟนคุณ เราสองคนเป็นเพื่อนที่กำลังศึกษาเรียนรู้กันอยู่"
ทวยเทพเซ็งสุดๆ "สำหรับผม คุณสอบผ่านตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเห็นคุณแล้ว อันนี่ เชื่อผม ไม่ต้องไปต่างจังหวัด ไม่ต้องพยายามเอาใจบอสของคุณหรอก"
ทวยเทพจ้องตาอันยาแล้วส่งความปรารถนาสุดหัวใจไปให้
"คุณแค่อยู่ตรงนี้กับผม ไม่ว่าคุณอยากได้อะไร ต้องการอะไร ผมจะตามใจคุณทุกอย่าง" ทวยเทพเว้าวอน "นะครับ"
ทวยเทพเห็นอันยานิ่งอึ้งไปก็นึกว่าเคลิ้ม เขาจึงจะเอื้อมไปกุมมืออันยาอีกครั้ง แต่อันยาเก็บมือหนี
"ฝันของฉันคือฉันต้องได้เป็นหัวหน้าแผนก ฉันจะไม่แพ้ให้ยัยเมรีนั่นเด็ดขาด ขอตัวนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า"
อันยาเห็นแท็กซี่ผ่านมาพอดีจึงเรียกและขึ้นไปทันที
"อัน อัน ! อะไรวะเนี่ย กะอีแค่ตำแหน่ง อยากได้ไปทำไม" ทวยเทพส่ายหน้าไม่เข้าใจก่อนจะคิด "หรือว่าจะสลัดเราไปหาคนอื่น"
ทวยเทพหัวเสียจนชักจะพาลขึ้นมา

รูปแสนในวันที่รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น แปะโชว์หราบนบอร์ด อันยาซึ่งอยู่ในลุ๊คเกือบปกติของตัวเอง แต่น้อยลงกว่าตอนอยู่ในเมืองเล็กน้อยกำลังยืนมองรูปนั้นสีหน้ามุ่งมั่น

"ด็อกเตอร์แสน อีกนานไม่หรอก..”

อันยาพูดกับรูปภาพแสนอย่างหมายมั่นปั้นมือ

เอกชัย พนักงานชายวัยกลางคนพูดอย่างออกรส

"ไม่นานก็ออก! เมื่อวานผมแค่เห็นด้านหลังแว๊บๆ ก็บอกได้เลย"
เพียงดาว พนักงานรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นเลขาของบุรินทร์ และเมขลาที่ยืนฟังอยู่ ต่างไม่ค่อยเชื่อ
"เห็นแค่ด้านหลัง เดาได้ขนาดนั้นเลยเหรอยะ" เพียงดาวถาม
"เอ้า คนเรามันก็เดากันได้ ดูจากการแต่งตัว ท่าเดิน เสื้อผ้าอะไรเงี๊ยะ เค้าแต่งตัวคล้ายๆ เจ๊เนี่ยแหละ" เอกชัยชี้ไปที่ชุดของเพียงดาว "เชยๆ"
"นี่ !”
เอกชัยรีบประจบ "แต่เจ๊ดูออร่าดีกว่าเยอะ ใส่แล้วดูดี แต่ผู้หญิงคนนั้นดู..เก้ๆกังๆไงไม่รู้"
เมขลาแก้ตัว "แต่ฉันว่าคุณอันยาสวยออกค่ะ"
"แก้ตัวให้เค้าซะแล้ว แม่โลกสวย คนเราน่ะจะดูแค่หน้าตา" เพียงดาวปรายตาไปทางเอกชัย "หรือว่าการแต่งตัวไม่ได้นะยะ ต้องพิสูจน์กันที่ผลงาน"
เพียงดาวบลั๊ฟกลับทุกข้อด้วยข้ออ้างของตัวเอง
"แต่..ถ้าบอกว่าแต่งตัวเหมือนฉันล่ะก็..คงจะพอมีรสนิยมอยู่บ้าง" เพียงดาวบอก
เอกชัยแอบเบ้หน้า เมขลาหน้าเจื่อนไป ทันใดนั้นเจ้าของสายตาทั้งสามคู่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นอันยาในสภาพเป็นชีเดินมา เพียงดาวขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก
"พอแล้ว เจ๊ตาไม่ฝาดหรอก แหม..ทำไมไม่เป็นคนนี้นะที่มาเป็นเลขาด็อกเตอร์ ดูสีสันกว่าเยอะเลย" เอกชัยจำอันยาไม่ได้
เมขลาเพ่งมองแล้วก็เหวอไปก่อนจะเรียกชื่อ "คุณ..คุณอันยา ?”
เอกชัยกับเพียงดาวต่างก็ผงะ
"คุณเม นี่ฉันมาไม่สายเกินไปใช่มั๊ยคะ" อันยาถาม
"ไม่หรอกค่ะ เอ่อ..คุณดูไม่เหมือนเมื่อวานเลยนะคะ" เมขลาว่า
"ค่ะ เมื่อวานนี้ฉันหลงผิดไปที่ใส่ชุดเอ้าท์แตกแบบนั้น" อันยาบอก
เอกชัยเห็นชุดเพียงดาว "คล้ายๆแบบนี้แหละครับ...อุ่ย"
เมขลากับเอกชัยสยองแทน เมื่อเห็นสีหน้าเพียงดาว
เมขลาพูด "คุณอันยาคะ นี่คุณเพียงดาว เลขาของคุณบุรินทร์ ที่เป็นหัวหน้าของคุณแสนน่ะค่ะแล้วนี่ก็...คุณเอกชัย ฝ่ายแอดมินค่ะ"
"สวัสดีค่ะ"
เพียงดาวรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ แต่เอกชัยตาเป็นประกาย
"คุณ..แจ๋วมาก ! ผมรอมานานแล้วที่ด็อกเตอร์จะรับคนอย่างคุณเข้ามาทำงานแบบนี้แหละมันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ" เอกชัยบอก
อันยาหน้ามึนเพราะไม่เก็ท?
เพียงดาวหยิกเอกชัย "พูดมากนะยะ" เพียงดาวดูนาฟิกา "เลิกเหลวไหลกันซะที ได้เวลางานแล้ว"
ขณะที่เพียงดาวจะให้ทุกคนชักแถวกลับไปทำงานก็มีเสียงผู้มาเยือนอีกคนดังขึ้น

ม.ร.ว.เหมือน นิรมิตรเดินสโสว์มาด้วยมาดของไฮโซลูกหลานผู้ดีเก่า
"มาอยู่ที่นี่กันนี่เอง พอดีเลย ฉันอยากถามอะไรหน่อย"
อันยาเห็นม.ร.ว.เหมือนก็ชะงักแล้วหันขวับไม่สบตาทันที
อันยาคิดในใจ "ม.ร.ว.เหมือน นิรมิตร เซเล็ปคนดัง เพื่อนยัยเมรี" อันยาตกใจ "มาอยู่นี่ได้ไง ?”
อันยาร้อนรนพลางคิดในใจว่าตายแล้วทำไงดี
"ฉัน.. ฉันไปทำงานก่อนนะคะ" อันยาพูดก่อนจะรีบเผ่น
ม.ร.ว.เหมือนเห็นด้านหลังของอันยาแล้วก็ชะงักไป
"วันนี้มีจัดงานแฟนซีด้วยเหรอ ?”
เพียงดาวอมยิ้มอย่างสะใจเบาๆ "เปล่าหรอกค่ะ พนักงานใหม่น่ะค่ะ"
อันยาโมโหก็โมโห กลัวความแตกก็กลัวแต่ก็กลั้นไว้ไม่กล้าหันไปเม้ง
ม.ร.ว.เหมือนพูดต่อ "ไม่ยักรู้ว่าที่นี่รับคนแนวนี้ด้วย ช่างเถอะ ฉันจะถามเรื่องเลขาใหม่ของแสน เห็นว่ารับเข้ามาแล้ว หน้าตาเป็นยังไง สวยมั๊ย ?”
เพียงดาว เอกชัย เมขลา ต่างปรายตาไปทางอันยา แต่ละคนยังไม่ทันพูดตอบ ม.ร.ว.เหมือนก็แทรกขึ้นมาเอง
"หญิงเตือนแสนแล้วว่าอย่าเลือกคนสวย พวกเลขาสวยๆน่ะ มักจะมีสมองแค่นิดเดียว"
อันยาที่หันหลังอยู่ได้ยินก็จี๊ดเหมือนตัวเองโดนกระทบเข้าอย่างแรง
อันยาคิดในใจ "ไม่รู้อะไรซะแล้ว" อันยากำหมัดด้วยความโกรธแล้วก็นึกได้ "เอ๊ะ เดี๋ยว ! เค้าไม่เคยเจอเรานี่ ?”
อันยาเกิดพุทธิปัญญา เธอเงยหน้าขึ้น อกเชิด แล้วดิ่งมาหาม.ร.ว.เหมือน
ม.ร.ว.เหมือนถาม "มีธุระอะไรกับฉันไม่ทราบ"
"ฉันชื่ออันยา เป็นเลขาคนใหม่ของด็อกเตอร์แสนค่ะ"
เหมือนชะงักไปแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมขลาดูตกใจกว่า
"คุณอยากเห็นหน้าฉันไม่ใช่เหรอคะ ว่าจะมีสมองแค่นิดเดียวรึเปล่า" อันยาถาม
อันยาว่าแล้วก็จงใจสลัดผมโชว์สวยให้เห็นกันจะจะ
ม.ร.ว.เหมือนชะงักไปเล็กน้อยแต่บลั๊ฟกลับ "นั่น..ฉันไม่ได้ว่าเธอ ฉันว่าพวกเลขาสวยๆ"
อันยาจี๊ดยิ่งกว่าเดิม
ม.ร.ว.เหมือนพูดต่อ "แสนนึกยังไงถึงได้รับคนแบบนี้ แต่ก็ดีถ้าเป็นแม่นี่ ต่อให้ต้องอยู่ดึกช่วยงาน
แสนทั้งคืน ก็ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์"
"ขอโทษนะคะ กรุณาเรียกฉันให้ถูกต้อง เรียกคุณอันยา ไม่ใช่แม่นี่" อันยาบอก
เพียงดาว เอกชัย และเมขลาอึ้งเพราะคิดในใจว่าแม่นี่แรง
"เธอนี่ ไม่สวย! แล้วยังไม่รู้จักประมาณตัวเองอีกนะ ยัยเลขาหน้าใหม่"
"ถือเป็นคำชมค่ะ เพราะหน้าใหม่ก็ยังดีกว่าหน้าเก่า"
ม.ร.ว.เหมือนไม่พอใจ "แก นัง..นัง"
"ชั้นชื่ออันยาค่ะ"
นังอัน.." เหมือนชะงักเพราะนึกได้ "ไซเมอร์ ความจำเธอคงไม่ดี จำไม่ได้เหรอ ว่าฉันน่ะเป็นใคร"
"ขนาดตัวเองยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ต้องเที่ยวมาถามคนอื่น ฉันว่าคุณน่ะแหละอัลไซเมอร์"
"อั๊ย! พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เศษสังกะสีอย่างหล่อนกล้ามาสู้ทองคำแท้อย่างฉันเหรอ จำใส่สมองแบนๆของเธอเอาไว้ ฉันม.ร.ว.เหมือน นิรมิตรเป็นแฟนด็อกเตอร์ เจ้านายใหม่ของหล่อน"
อันยาชะงัก เมื่อม.ร.ว.เหมือนประกาศศักดาออกมาแบบนั้น
"ปากกล้ากับแฟนเจ้านายแบบนี้ คงจะอยากหางานใหม่ตั้งแต่วันแรก รับรองได้เลยว่าแสนเค้าไล่เธอออกแน่ ที่กล้าล้ำเส้นแฟนของเค้า"
อันยาชะจะหนาวๆขึ้นมาเสียแล้ว

อิงค์กี้คิดในใจ "ต๊าย กล้าพูดมากๆนะคะ ว่าเป็นเจ้าของด็อกเตอร์"

อ่านต่อหน้า 4

อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ผู้มาเยือนคนใหม่นั่นคือ อิงค์กี้ ดาราสาวหน้าใสวิ๊งค์ที่เดินมาอีกราย

"ด็อกเตอร์เค้านับถือคุณป้าหญิงเหมือน เสมือนญาติผู้ใหญ่ มาตู่แบบเนี๊ยะ ด็อกเตอร์เค้าเสียหายนะคะ"
ม.ร.ว.เหมือนพูด "ยัยดาราแอ็บแตก ไม่ต้องมาเรียกฉันป้า ฉันไม่ใช่ญาติหล่อน น้ำเน่าแค่ในจอไม่พอหรือยะ พาฝูงยุงมาวางไข่แถวนี้อีกทำไม"
"แต่ยุงฉันวางไข่ทองคำ เรตติ้งละครฉันถึงขึ้นเอาๆ ว่าแต่นกของป้าเถอะให้มันเลิกมาวางรอยเท้ากาบนหน้าป้าซะที"
ม.ร.ว.เหมือนจี๊ด "หน้าฉันไม่มีเท้าสัตว์ปีก อย่ามาพูดมั่วๆ"
"ก็โบ๊ะมากี่ชั้นล่ะคะ ถึงได้แอ็บเต่งตึงเอาไว้ได้"
ม.ร.ว.เหมือนแค้นสุดๆ "คิดว่าตัวเองจะไม่มีวันแก่ใช่มั๊ย อยากจะรู้นักว่าถ้าไม่มีเมคอัพปิดรอยเมาค้างจนหน้าทิ่มชักโครก ผิวหน้าหล่อนจะดีกว่าฉันสักแค่ไหน"
ม.ร.ว.เหมือนว่าพลางคว้าแก้วน้ำของเมขลาที่วางไว้มาสาดใส่อิงค์กี้
อิงค์กี้เหวอ "นังป้าเหมือน เลือดผู้ดีตีกลับจนบ้าไปแล้วเหรอยะ"
อิงค์กี้คว้าผ้ารองกระถางต้นไม้เล็กๆบนโต๊ะของเมขลาแล้วถลาเข้าไปหาเหมือน แม้กระถางจะตกลงมาแตกเธอก็ไม่สน
"ขอดูชั้นเมคอัพของหญิงป้าหน่อยเถอะ ว่าสอดไส้คอลลาเจนสังเคราะห์เอาไว้กี่หลอด" อิงค์กี้เอาผ้าลูบไถเมคอัพออกจากหน้าหญิงเหมือน
ม.ร.ว.เหมือนโกรธ "กรี๊ด นังบ้า นังตัวอิจฉาในคราบนางเอก หยุดนะ"
ผู้หญิงสองคนเริ่มยื้อยุดทำสงครามกระชากหน้ากากเมคอัพกันและกัน
เอกชัยชักจะเมามัน "นั่นไง ! ยกที่หนึ่ง เริ่มแล้ว"
เพียงดาวพูดกับอันยา "ยืนนิ่งอะไรอยู่ล่ะ ทำอะไรสักอย่างสิ"
อันยาไม่เก็ท "ทำ? ทำไมฉันต้องทำอะไรด้วย"
"เป็นหน้าที่เลขาของคุณแสนน่ะค่ะ ต้องสงบศึกไม่ให้แขกตีกันจนก่อความวุ่นวาย" เมขลาบอก
อันยางงสุดๆ
อิงค์กี้กับหญิงเหมือนฟัดใส่กัน อิงค์กี้มาสคาร่าหลุด หญิงเหมือนโดนผ้าปาดหน้าจนอายแชโดว์เปื้อนหน้าผาก เมขลาเกือบจะโดนลูกหลง เธอหลบออกมาแทบไม่ทัน
"อันยา ทำไงดี !” เมขลาถาม
เพียงดาวกับเอกชัยจะเข้าไปห้าม แต่ทั้งข้าวของ กระเป๋า และอะไรต่อมิอะไรของสองสาวเหวี่ยงไปมาว่อนจนทั้งสองคนต้องถอย
"หรือว่าไปตามรปภ.มาดีมั๊ยคะ" เมขลาพูดแล้วกล่องทิชชูก็ถูกปามา "ว๊าย หยุดค่ะ หยุด"
อันยานิ่งไปอึดใจแล้วก็คิดได้จนมีดวงตาเปล่งประกาย
อันยาคิดในใจ "นายด็อกเตอร์ เสร็จแน่ เจอคลิปฉาว ไฮโซสาวกับนางเอกดาวรุ่งตบนัวแย่งด็อกเตอร์หนุ่มไฟแรง ปิดจ็อบไว ใสๆเลยงานนี้" อันยารีบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา
"เวลาอย่างนี้ ยังจะถ่ายรูปอีกเหรอยะ" เพียงดาวถาม
"ไม่ใช่" อันยาเสียงเบาลง "ฉันถ่ายคลิปต่างหากล่ะ" อันยาส่องหามุม
อิงค์กี้ได้ยินคำว่า “คลิป” เบาๆ
"คลิป ?" อิงค์กี้ชะงัก "ใครถ่ายคลิป"
อิงค์กี้กับหญิงเหมือนคล้ายถูกเสกให้ค้างไปทั้งคู่
ม.ร.ว.เหมือนชี้หน้าอันยา "หล่อน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
"อย่าเพิ่งเลิกสิ เค้าว่าเธอแก่ ส่วนเค้าก็ว่าเธอสวยปลอมๆ แบบนี้จะไปยอมได้ไง"
สองสาวหันหน้าเข้าหากันด้วยท่าทางเจ็บใจมากๆ แต่แล้วก็กลับหยิบกระเป๋า คว้าแว่นกันแดดมาสวมก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างเร็ว
"เฮ้ย นี่ จะไปไหน กลับมาก่อน นี่ !" อันยาหันขวับ
ทั้งเพียงดาว เอกชัย และเมขลาอึ้งว่าทำไมสงครามจบเร็วขนาดนี้
"สุดยอด !! ซุปเปอร์วูแมนเลยนะเนี่ย" เอกชัยดูนาฬิกา "หนึ่งนาทีสามวินาที ทำลายสถิติเลขาทุกคนเรียบ"
"เธอเก่งมากๆเลยอันยา ไม่เคยมีเลขาของด็อกเตอร์คนไหนจัดการให้สองคนนี้สงบศึกกันได้เร็วเท่านี้มาก่อนเลยนะ" เมขลาบอก
เพียงดาวมองอันยาอึ้งๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน อันยาเหวอเนื่องจากไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนตื่นเต้นกันถึงขนาดนี้และแล้วแสนก็ถือกระเป๋าเอกสารเดินเข้ามา
"เมื่อกี๊ ผมเห็นรถของคุณหญิงเหมือน กับคุณอิงค์กี้รีบแล่นออกไป มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า" แสนบอก
แสนมองอันยาหน้าเครียด ในขณะที่อันยาชะงักไปทันที

ภาพคลิปบนจอสมาร์ทโฟนของอันยา ซึ่งเห็นภาพไหวๆของผู้หญิงสองคนกำลังตีกัน แต่ยังไม่เห็นหน้าเพราะถ่ายไปแค่ 2 วินาที
"ยังไม่เห็นหน้า งั้นคงไม่เป็นไร" แสนบอก
"ฉันเอามือถือคืนได้แล้วใช่มั๊ย" อันยาจะคว้าคืน "คะ
แสนยังครองมือถืออันยาไว้อยู่ อันยานิ่วหน้ามองแสน “อะไรเนี่ย”
"เมื่อกี๊นี้คุณหญิงเหมือน กับคุณอิงค์กี้โทรมา ทั้งสองคนไม่พอใจมาก ก็แน่ล่ะ เพราะถ้าคลิปนี้ถ่ายติด แล้วภาพหลุดออกไป พวกเค้าต้องเสียหายมาก"
เสียงอันยาดังขึ้น "แล้วคุณก็ต้องโดนไปด้วยนะยะ ขอบอก"
"คุณทำแบบนี้ได้ยังไง"
อันยาหน้าตื่น "ซวยแล้ว อันยา !!”
"เอ่อ ฟังฉันก่อนนะคะ คือว่าสองคนนั่นทะเลาะกัน แล้วฉัน..ฉันกลัวว่าจะทำให้ คุณเสื่อมเสียชื่อเสียง ฉันก็เลย..”
แสนรู้สึกสมใจมาก "คุณแน่มาก"
อันยาชะงัก
"ผมคิดไม่ผิดเลยที่เลือกคุณ คุณทำงานนี้ได้จริงๆ" แสนบอก
"ห๊ะ ตกลงว่านี่คุณชมฉัน?" อันยางงมาก "แต่ แต่ว่าฉันทำให้แฟนๆคุณ โกรธ?”
"พวกเค้าไม่ใช่แฟนผม" แสนบอก
"ไม่ใช่ได้ยังไง ก็พวกนั้นบอกว่า...” อันยาพูดยังไม่จบแสนก็แทรกขึ้น
"คุณจะเชื่อเค้า หรือว่าเชื่อเจ้านายคุณ"
อันยาชะงักแล้วก็หน้านิ่วจนคิ้วผูกกัน แต่ก็ยังนิ่งเอาไว้
แสนพูดต่อ "ผมหาเลขาที่จะช่วยให้พวกเค้าสงบได้มาตั้งนานแล้ว มีเรื่องกันทีไร ผมเกรงใจคนที่ออฟฟิศจะแย่" แสนเอามือถือคืนให้ "เมื่อกี๊นี้ที่คุณแกล้งถ่ายคลิปขู่ไล่พวกเค้าไป คุณทำได้ดีมาก" แสนตบบ่าอันยา "ขอบคุณมากนะ อันยา"
แสนเดินกลับไปนั่งด้วยสีหน้ามีความสุขด้วยความโล่งอกมากมาย
อันยาพึมพำ "แกล้งขู่เพื่อไล่พวกนั้น เราน่ะนะ ?”
"ใช่" แสนตอบ

อันยาหน้าแตกเพล้ง

เมขลาบอกเล่าเก้าสิบให้อันยาฟัง

"เธอน่ะเป็นเลขารายที่ 12 ของด็อกเตอร์แสนจ้ะ" เมขลาบอก
"ห๊ะ อีตาด็อก เอ๊ย ด็อกเตอร์แสน ใช้เลขามาเป็นโหลแล้ว นี่คงจะเขี้ยวมากล่ะสิ" อันยาว่า
"อุ๊ย ไม่ใช่ ด็อกเตอร์ใจดีจะตาย"
อันยานิ่วหน้าสงสัยว่าใจดีตรงไหน
เมขลาพูดต่อ "อาจจะ..พูดแรงบ้าง แต่ใจดีนะ ถ้าร่วมงานกัน ขอแค่รับผิดชอบและสู้งานเท่านั้นแหละ แต่ที่เลขาคนก่อนๆอยู่ไม่ได้น่ะ ก็อย่างที่เห็น" เมขลาเริ่มเล่าให้อันยาฟัง

ภาพในอดีตตอนที่เลขาคนก่อนเจอฤทธิ์เดชหญิงเหมือน เพราะหญิงเหมือนทั้งจิกใช้ จิกว่า เลขาคนนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าต้อยๆ แล้วก็วิ่งหนีไปร้องไห้
เลขาเอาเอากาแฟมาให้หญิงเหมือน
ม.ร.ว.เหมือนพูด "ชั้นไม่กินกาแฟใส่นม"
เลขาเอากาแฟมาให้ใหม่
ม.ร.ว.เหมือนจิบกาแฟ "ไม่ใส่น้ำตาลด้วย"
"แล้วทำไมไม่บอกล่ะคะ ว่าไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาล" เลขาถาม
"นิ..แกเถียงชั้นเหรอ รู้มั้ยว่าชั้นเป็นใคร"
"ไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ล่ะคะ"
"เดี๋ยว ชั้นว่าเธออย่าเปลี่ยนกาแฟเลย เปลี่ยนงานเลยดีกว่า"
เสียงเมขลาเล่าเรื่อง "พวกเลขาคนก่อนๆน่ะ พอเจอองค์แรงของคุณหญิงเข้าหน่อย ก็หงอ ไม่กล้าสู้หน้า อย่างว่านะ ของแรงแบบนั้น คนทั่วๆไปน่ะทนไม่ได้หรอก ส่วนคุณอิงค์กี้"

ภาพในอดีต อิงค์กี้เดินสวยเข้ามา คนในออฟฟิศเข้ามาขอลายเซ็นบ้าง ถ่ายรูปคู่บ้าง พอเลขาคนใหม่จะมาขอให้กลับไป อิงค์กี้ก็ทำดราม่าใส่จนเลขาทำอะไรไม่ถูก
"ขอโทษนะคะ ถ้าไม่ได้นัดไว้ก่อน เข้าไปไม่ได้นะคะ"
อิ้งกี้แกล้งร้องไห้
เลขาตกใจและจะไปหยิบทิชชู่มาให้
อิ้งกี้แอบเนียนเข้าไปในห้องทันที
เมขลาเล่า "นั่นก็นักแสดงตุ๊กตาทอง เลขาไล่ให้ไป ก็ดราม่าใส่จนเลขารู้สึกผิด"

ภายในห้องทำงานแสน อิงค์กี้เข้ามาเห็นหญิงเหมือนที่นั่งอยู่ก่อน ทั้งสองคนแขวะกันวุ่นวาย
ม.ร.ว.เหมือนถาม "แกมาทำไม"
อิ้งกี้สวน "แล้วแกล่ะมาทำไม"
"ชั้นนัดกับแสนไว้"
"ชั้นก็นัดกับด๊อกเตอร์ไว้เหมือนกัน"
"ชั้นนัดก่อน"
"ชั้นนัดก่อน"
ทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร แสนต้องเข้ามาห้ามอย่างเอือมระอา
เมขลาเล่าต่อ "ด็อกเตอร์พยายามไม่ให้พวกนั้นมาวุ่นวายแล้ว แต่ว่า..”

เมขลาเล่าอย่างต่อเนื่อง
"ก็อย่างที่เห็น พวกเค้าคงคิดว่าตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก เลยยังมาหาด็อกเตอร์ได้ทุ๊กวัน"
เมขลามองอันยาอย่างปลาบปลื้ม
"แต่เธอ!! เธอไม่เหมือนคนอื่นๆ แค่วันแรกก็จัดการสองคนนั้นได้ เธอต้องอยู่ที่นี่ได้นานแน่ๆเลยจ้ะ อันยา"
อันยายิ้มแหยๆ เพราะจริงๆ เธอไม่ปลื้มและไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย
"แล้วตกลง ใครอยู่ในตำแหน่งไหนล่ะ แบบว่า ใครบ้านใหญ่ ใครบ้านเล็ก ใครเป็นแฟน ใครเป็นกิ๊ก"
เมขลาตกใจ "อย่าพูดให้ด็อกเตอร์ได้ยินนะ คุณแสนไม่อยากให้สองคนนั้นเสียหาย ด็อกเตอร์คบพวกนั้นในฐานะคนรู้จักเท่านั้นแหละ"
อันยานิ่วหน้าคล้ายจะบอกว่า “จริงอ้ะ ?”
"เอ่อ เรียกฉันว่าอันโกะก็ได้ เพื่อนๆก็เรียกแบบนั้นจ้ะ" อันยาบอก
"อันโกะเหรอ ชื่อน่ารักดี ดีจังที่มีคนเก่งๆอย่างอันโกะมาช่วย ด็อกเตอร์จะได้ทำงานได้อย่างสบายใจซะที"
อันยายิ้มแหยๆ แต่แอบคิดในใจ
"โถน่าสงสาร โดนอีตาด็อกเตอร์ล้างสมอง ของอย่างนี้ ปรบมือข้างเดียวแล้วดังเป็นไปได้ซะที่ไหน"
อันยายิ้มให้เมขลาโดยทำเป็นรับฟัง ทั้งที่ไม่เชื่อเลยสักนิดนึง

ณ ออฟฟิศไรท์เพอร์เซิ่ล
เสียงเมรีดังขึ้น "เป็นไปไม่ได้?”
เมรีไม่อยากจะเชื่อ
"ยัยอันโก๊ะเนี่ยนะลาพักร้อน 2 เดือน !!” เมรีถาม
อาโปโชว์ภาพถ่ายที่ไปแอบถ่ายจากเอกสารมาให้ดู
ภาพหน้าจอมือถือ คือภาพของใบเอกสารที่มีบันทึกการลาของอันยา
"อาโปไปแอบเช็คมา จากน้องก้อยที่อยู่ฝ่ายบุคคล ถึงได้กล้ามาบอกคุณแมรีนี่ไงคะ"
"ช่วงที่บอสกำลังเฟ้นหาหน้าหัวหน้าแผนกคนใหม่แบบเนี๊ยะนะ ยัยนั่นน่ะเหรอจะลาไปเที่ยวไม่คิดจะชิงตำแหน่งนี้กับฉัน" เมรีสงสัย "มันต้องมีอะไรแน่ๆ"
เมรีข้องใจเป็นที่สุด

อันยาลองแป้งพัฟพ์ตัวล่าสุดแล้วส่องกระจกสำรวจระดับความบลิ๊งค์ของตัวเอง
"ฉันเกือบจะปิดจ็อบได้อยู่แล้ว อีกนิดเดียว !! เสียดายจริงๆ"
"แต่โชคยังช่วยนะเจ๊ ที่เจ๊รู้จักยัยคุณหญิงเหมือน แต่เค้าไม่เคยรู้จักเจ๊"
"ยัยนั่นไม่กล้าพูดความจริง ! ถึงได้บอกว่าฉันไม่สวย นึกเหรอว่าฉันจะเชื่อ" อันยาพูดกับบีเอ "มีรุ่นที่ใช้แล้วหน้าวิ้งค์กว่านี้มั้ยคะ"
บีเอรีบพาไปเลือกตรงอีกมุม
คิมหันต์พึมพำ "นี่ขนาดไม่เชื่อนะ?”

อันยาเลือกสารพัดแป้งรองพื้น ซิมเมอร์เพิ่มประกายเงางามอย่างร้อนรน แบบไม่ยอมแพ้เอามากๆ

อันยามองไปรอบๆ ร้านกาแฟหรู แล้วสูดกลิ่นอายอย่างสบายใจ ในขณะที่อันยากับคิมหันต์มาพักดื่มอะไรด้วยกัน

"แบบนี้สิ ค่อยใช้ชีวิตฉันหน่อย" อันยาบอก
"แต่เหลือเชื่อเลยนะเจ๊ เรื่องเจ้านายใหม่เจ๊น่ะ เห็นมาดนิ่งๆ ทั้งนางเอกดาวรุ่ง เซเล็บห้าดาวมารุมกันให้นัว นี่ถ้าไม่ใช่เจ๊พูด ผมไม่เชื่อนะเนี่ย"
"ฉันว่าด็อกต้องเป็นเสือซุ่ม เอาเวลางานไปเฟิร์สทหญิง ไม่งั้นไม่มากันเป็นขโยงอย่างนี้หรอก"
"เฮ้ย ถ้าเค้าเสือถึงขนาดนั้น ทำเคสต่อไหวเหรอเจ๊"
"แบบนี้สิดี!" อันยาปาดครีมช็อคโกแลตบนเค้กขึ้นมา
คิมหันต์มองด้วยความแปลกใจ
อันยาชูช้อนเค้กที่เปื้อนช็อคโกแลตขึ้นมา "เจอรอยมลทินเข้าปื้นเบ้อเร่อ นี่แหละที่จะทำให้อีตาด็อกเตอร์เสื่อมเสียจนต้องถูกไล่ออก"
อันยาเขมือบครีมเข้าไปด้วยสีหน้าฟินมากๆ

อันยาผงะเพราะตกใจ
"ให้ฉันออกไปกับคุณ !”
"ครับ" แสนบอก เขาเห็นสีหน้าอันยาไม่โอเค "คุณไม่สะดวกเหรอ"
"เอ่อแล้ว คุณจะพาฉันไปไหน ไม่ทราบ ?”
"ก็ใกล้ๆแถวนี้แหละครับ"
"ไปธุระเรื่องงานเหรอคะ ?”
แสนไม่ยักตอบ เขากลับถอดสูท ถอดเนคไทออก
"ทะ ทำอะไร ถ้าจะถอดก็ให้ฉันออกไปก่อนสิ"
"ขอโทษ คุณถือด้วยเหรอ แค่เอาสูทกับเนคไทออกน่ะ เพราะว่าที่ที่เราจะไป มันไม่ต้องใช้"
อันยาครุ่นคิด "หือ...หือ.....หือ"
แสนเรียก "อันยา...อันยา"
อันยาได้สติ "ค่ะ"
"คุณคิดอะไร" แสนถาม
"เอ่อ ฉันว่า ฉันไม่ไปดีกว่า ฉันเพิ่งมาทำงานวันแรกๆ ต้องศึกษาเอกสารแบบฟอร์ม ตารางงานของคุณ และเรื่องอื่นๆอีกเยอะแยะเลย" อันยาจะชิ่งไป
แสนอมยิ้มเพราะรู้ทันที่อันยาคิด "ได้ยังไงคุณ ! หน้าที่เลขาคือต้องไปช่วยงานเจ้านายทุกที่ ส่วนงานที่คุณว่ามา ไว้ค่อยทำทีหลัง เข้าใจมั๊ยครับ"
อันยาจ้องแสนด้วยแววตาที่ฟ้องว่าไม่อยากเข้าใจเอามากๆ
"คุณควรจะทำตัวให้ชินเรื่องออกไปข้างนอกกับผมนะ" แสนเดินมาใกล้ "เพราะคุณคงต้องไปบ่อยๆ"
อันยารีบถอยกรูดหนีอย่างไม่ไว้ใจ แต่แสนกลับยิ่งเดินเข้าใกล้
อันยากลัวๆ "คุณ! จะทำอะไร"
"ก็ออกไปไง คุณยืนขวางประตูอยู่"
อันยาหันขวับไปมองก็เห็นว่าประตูอยู่ข้างหลังจริงๆซะด้วย เธอหน้าแตกเพล้งแล้วต้องรีบถอยออกมาให้
"ผมให้เวลาคุณเตรียมตัว 5 นาที ผมจะรออยู่ที่รถตู้หน้าบริษัทนะ"
แสนพูดแล้วก็เดินออกไปก่อน อันยารีบหลบให้ไกล แสนมองอันยาแล้วส่ายหัวยิ้มๆ ในท่าทางแปลกๆ ของเธอ

ส่วนอันยาไม่สบายใจเอาซะเลย

อันยานั่งอยู่บนเบาะรถตู้ซึ่งห่างจากแสนคนละมุม พร้อมทั้งกอดกระเป๋าแน่นอย่างป้องกันตัว แสนนั่งดูเอกสารอะไรต่างๆที่เตรียมมาซึ่งดูไม่มีพิษภัย

อันยาคิดในใจ "สงสัยจะคิดเยอะไปเองนะเรา"
แสนเหลือบมามองเบาะที่นั่งที่ห่างที่เหลือช่องว่างเยอะมากระหว่างเขากับอันยา
"นั่งแบบนั้น ไม่อึดอัดเหรอคุณ" แสนถาม
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันสบายดี" อันยาคิดในใจ "อย่าบอกนะ ว่าจะชวนให้ฉันไปนั่งใกล้ๆ"
"เข้ามาใกล้ๆหน่อยก็ได้นะ ที่ยังเหลืออีกตั้งเยอะ"
อันยาช็อค
"เฮ้ย ! นี่แค่คิดมั่วๆนะเนี่ย !” อันยาคิดในใจ
"ทำไมทำหน้าแบบนั้น ?” แสนถาม
อันยาคิดในใจ "ก็คุณมันไว้ใจไม่ได้น่ะสิ !"แต่อันยากลับพูดว่า "แดด..แดดร้อนน่ะค่ะ"
"ก็คุณนั่งชิดหน้าต่างเกินไป บอกแล้ว ให้มานั่งนี่" แสนตบเบาะเรียก
อันยาคิดในใจ "จะบอกว่าปลอดภัย ไม่ต้องกลัวล่ะสิ"
"นั่งใกล้ๆผมได้ ปลอดภัยน่ะคุณ"
อันยาคิด "โป๊ะเช๊ะ ทำไมมันแม่นแบบนี้"
อันยายิ่งระแวงและไม่ยอมขยับไปนั่งใกล้ๆ แสน แต่เธอกลับถามขึ้นแทน
"อีกไกลมั๊ยคะ กว่าจะถึง" อันยาถาม
"ก็..อีกสักพักนึง" แสนบอก
อันยาคิดแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจเลย แล้วเธอก็มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นโรงแรมม่านรูดขนาดเล็กแห่งหนึ่งตั้งอยู่
อันยาคิด "อีกพักนึงใช่มั๊ย งั้นอย่าจอดที่นี่เชียว"
ทันใดนั้นรถก็จอดดื้อๆ
"จอด จอดทำไม" อันยาถามแล้วก็คิดต่อ "อย่าบอกนะ ว่าไม่รู้ "
"เอ... ไม่รู้สิ"
อันยาเหวอสุดๆ
คนขับเก็บของที่หล่นลงมาจากคอนโซล
อันยาทนไม่ไหว "ถ้าคุณไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้จะไปทำไมเหมือนกัน"
ว่าแล้วอันยาก็พรวดไปเปิดประตูรถตู้ทันที
"คุณ ทำอะไร! จะไปไหน !” แสนงง
"ทำแบบนี้มันเกินไป เชิญไปคนเดียวเถอะย่ะ ทุเร่ศ" อันยาว่า
"ทุเรศอะไร อันยา !! คุยกันก่อน"
อันยาไม่สน เธอพยายามแงะประตูรถตู้ให้ได้ แต่รถออกไปแบบไม่ทันตั้งตัว อันยาเหวอสุดๆ

ชายฉกรรจ์หน้าตาคล้ายโจรผู้ร้าย คร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบอยู่ใต้ต้นไม้ ก่อนจะถึงแยกทางเข้าหมู่บ้าน ด้วยท่าทีเหมือนดักรอบางสิ่ง รถตู้แล่นผ่านมาตรงหน้าโรงแรมจนใกล้จะมาถึงแยก ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเพ่งมองจนแน่ใจ แล้วก็โยนอะไรบางอย่างออกไป

แสนมาห้ามอันยาไม่ให้ลงจากรถ
"ทำอะไรของคุณ ให้ถึงก่อนสิ" แสนจับแขนอันยาไว้ไม่ให้เปิดประตู
"ไม่มีทาง ทุเรศมาก ปล่อยฉันน๊ะ"
"จะลงตรงนี้ได้ไง มันอันตราย" แสนว่า
"อยู่กับคุณไม่อันตรายงั้นสิ ปล่อยฉัน !" อันยาดิ้นสู้แสน
ชด คนขับรถตู้หันมามองอย่างตกใจว่าด้านหลังชุลมุนอะไรกัน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนล้อรถเหยียบโดนอะไรบางอย่างดังปึ้ง แล้วรถทั้งคันก็สั่นสะเทือน ประตูรถตู้ที่อันยาพยายามเปิดเลื่อนออกกว้างจนอันยาร่วงลงไป
"อร๊าย"
"อันยา !”
แสนตกใจจึงรีบกระโจนตามออกไป

แสนร่วงลงไปพร้อมกับอันยา แสนดึงตัวอันยาเข้ามากอดเพื่อปกป้องแล้วเอาหลังตัวเองรับแรงกระแทก ทั้งสองล้มกลิ้งไปบนพื้นข้างทาง
"ว๊าย อร๊าย..."
แรงหมุนหยุดลง แสนนอนอยู่กับพื้น ร่างของอันยาทับอยู่บนตัวแสน อันยาผวาเข้ามากอดแสนแน่นอย่างไม่รู้ตัว
แสนมองอันยาที่ตัวสั่นเป็นลูกนก "ใจเย็นๆคุณ ไม่มีอะไรแล้ว"
แสนค่อยๆเอื้อมมือไปลูบหลังเพื่อปลอบอันยา
"ไม่เป็นไรแล้ว"
อันยาค่อยๆได้สติจึงเงยหน้าขึ้นมาจนเห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของแสน อันยาชะงักกึ้กเพราะยังโกรธอยู่ก่อนจะรีบผละออก
อันยาผละออก "ฉันไม่เป็นไรแล้ว"
แสนมองอันยาเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยดี อันยาเห็นแสนมองตัวเองก็ผงะ
"ไม่! ไม่ต้องมอง ฉันไม่เป็นอะไร ฉันจะกลับ"
อันยาหันขวับก่อนจะรีบจ้ำไปที่รถ แต่แล้วทั้งแสนและอันยาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ารถตู้จอดเสยพุ่มไม้อยู่
ชดวิ่งมาบอก "มันขี่มอเตอร์ไซค์หนีไปแล้วครับ ผมเห็นหลังมันลิบๆ เฮ่ย เล่นซะล้อระเบิด"
แสนก้มมองที่ล้อรถตู้ก็เห็นท่อนไม้ที่มีตะปูฝังไว้เพียบ แสนค่อยๆหยิบขึ้นมา
"ให้ผมตามมันไปมั๊ยครับ" ชดถาม
"ตามมันไม่ทันหรอก ช่างมันเถอะ" แสนบอก
"แล้วเกิดมันกลับมาอีกล่ะครับ"
"ไม่หรอก" แสนมั่นใจ "มันแค่ขู่เท่านั้นแหละ"
แสนพลิกด้านล่างของท่อนไม้ให้ดูก็เห็นตัวหนังสือพ่นสีไว้ว่า “กลับไปซะ ถ้าไม่อยากตาย” ชดมองอ่อนใจ

อันยาทั้งอึ้งทั้งงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น