xs
xsm
sm
md
lg

เปิดคฤหาสน์หรูย่านบางลำพูของครอบครัว “นิลเจียรสกุล” ผู้ครองตลาดกระเป๋าเดินทางของไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ท่ามกลางความจอแจวุ่นวายและไร้ระเบียบตามแบบเขตเมืองเก่าย่านบางลำพู ใครจะรู้บ้างว่ามีคฤหาสน์หลังงามแฝงตัวอยู่อย่างเงียบเชียบด้านหลังหน้าฉากอาคารพาณิชย์ติดถนนที่แลดูไม่ต่างจากตึกแถวรอบข้างของร้านขายอุปกรณ์การเดินทางในนาม The Travel Store ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของครอบครัว “นิลเจียรสกุล” เจ้าของบริษัท บอนนี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยักษ์ใหญ่แห่งตลาดกระเป๋าเดินทางของบ้านเรา ทั้งผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์กระเป๋าเดินทางนับเป็นสิบแบรนด์ และเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์นำเข้า RIMOWA และ ZERO HALLIBURTON แบรนด์กระเป๋าเดินทางสุดหรูเจ้าเดียวในเมืองไทย

เมื่อย่างเท้าก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบ้านหลังนี้ คุณจะรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่โลกอีกใบที่แตกต่างจากบรรยากาศรอบข้างของละแวกบางลำพูโดยสิ้นเชิง สิ่งแรกโดดเด่นทักทายสายตาคือ สวนน้ำพุขนาดย่อมสไตล์อังกฤษซึ่งล้อมรอบด้วยอาคารรูปตัว C ที่ด้านหนึ่งเป็นร้านติดหน้าถนนและออฟฟิศเชื่อมต่อกับอาคารส่วนที่พักของเหล่าทายาททั้ง 3 “คุณบัณฑิต-คุณสมฤดี-คุณบรรหาร” พร้อมด้วยห้องอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนสส่วนตัว ห้องอบไอน้ำและเซานา ห้องคาราโอเกะ และห้องจัดเลี้ยงขนาดย่อม ส่วนปีกอาคารด้านหลังซึ่งทาสีขาวสะอาดตาสูงตระหง่านถึง 6 ชั้น ตกแต่งสไตล์ยุโรปเป็นอาณาเขตของคุณพ่อคุณแม่ “คุณสุรชัย นิลเจียรสกุล” และ “คุณพูลศรี จงแสงทอง” ประมุขใหญ่ของครอบครัว

วันที่ Celeb online ไปเยือน ก็ได้เหล่าทายาทรุ่นลูกมาพูดคุยให้ฟังถึงธุรกิจและพาทัวร์บ้านหลังงาม น่าเสียดายที่ลูกสาวคนกลางอย่าง “คุณดี - สมฤดี” ติดภารกิจกะทันหันจึงไม่สามารถมาร่วมด้วยได้ ส่งหนุ่มๆ ทั้งสองมาเป็นตัวแทน โดย “ฑิต-บัณฑิต” พี่ชายคนโตวัย 34 ปี กล่าวถึงการที่บริษัท บอนนี่ ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของบริษัทกระเป๋าเดินทางของเมืองไทยว่า

“หลายคนได้ยินชื่อบอนนี่ ก็จะนึกถึงภาพกระเป๋าเดินทางก่อนเลย แต่ที่จริงแล้ว บริษัทเราเริ่มจากผลิตกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพายที่ทำจากผ้ายีนส์ ก่อนจะพัฒนามาสู่การทำเครื่องหนัง แล้วจึงหันมาทำตลาดกระเป๋าเดินทาง โดยเริ่มจากสมัยคุณปู่ คุณย่าที่เปิดเพียงร้านเล็กๆ ขายกระเป๋า รองเท้า แบบซื้อมาขายไป ไม่ได้ผลิตเอง จนคุณพ่อท่านมองเห็นช่องทางธุรกิจจึงตัดสินใจลงทุนทำโรงงานผลิตกระเป๋าขึ้นแถวๆ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2512 โดยนำเอาผ้ายีนส์ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักในสมัยนั้นจากการเข้ามาของทหาร G.I. ซึ่งส่วนใหญ่จะทำกางเกงยีนส์กัน แต่ท่านประยุกต์ตัดเป็นกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย เป็นเจ้าแรกๆ ของเมืองไทย ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ต่อยอดมาทำเครื่องหนัง เป็นกระเป๋าหิ้ว กระเป๋าสตางค์ แล้วก็ขยับมาทำกระเป๋าเดินทางในที่สุด...

เมื่อ 40 ปีก่อน กระเป๋าเดินทางยังไม่ได้มีรูปลักษณ์แบบปัจจุบันนี้ ที่มีพวกคันชัก ที่ลาก ล้อเลื่อน จะเป็นเหมือนกระเป๋าหูหิ้วแต่ใบใหญ่กว่า หรือไม่ก็แบบหีบสมบัติสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ส่วนกระเป๋าอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันแบบถือลากขึ้นเครื่องนี่เพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อ 20-30 กว่าปีนี่เอง ทางเราก็ถือเป็นเจ้าแรกที่เข้ามาจับตลาดตรงนี้ ริเริ่มผลิตเองตั้งแต่แบบกระเป๋าสี่เหลี่ยมซิปแบบเปิดฝา เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ พัฒนาจนมาเป็นกระเป๋าลากแบบในปัจจุบัน หลังจากนั้นก็เริ่มขยายธุรกิจด้วยการนำเข้าแบรนด์จากต่างประเทศมาจัดจำหน่าย”

No.1 ในตลาดกระเป๋าเดินทาง

จุดสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของบอนนี่พัฒนาแบบก้าวกระโดด คือ การเป็นบริษัทท้องถิ่นและแบรนด์กระเป๋าเดินทางรายแรกที่เข้าไปวางขายในห้างสรรพสินค้า มีเคาน์เตอร์อยู่ในทุกห้างดัง ทั้งเซ็นทรัลสาขาแรกๆ ห้างไดมารู ที่ราชดำริ ห้างโซโก้ โรบินสัน แถวราชประสงค์ จวบจนทุกวันนี้บอนนี่ก็ได้ขยายจุดจำหน่ายควบคู่ไปกับการขยายสาขาของห้างต่างๆ เรียกได้ว่าคุณสามารถพบเห็นหรือหาซื้อสินค้าของบอนนี่ได้อย่างง่ายดาย เพราะมีวางจำหน่ายอยู่ในห้างเกือบทุกแห่งในประเทศไทย ซึ่งการเจริญเติบโตของธุรกิจนี่ ก็สอดคล้องไปกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่ปรับเปลี่ยนไป มีการเดินทางมากขึ้นด้วยสามารถทำได้อย่างสะดวกสบาย อันต้องขอบคุณพัฒนาการคมนาคมอย่างการบินที่เริ่มทะยานสู่ความนิยมไปพร้อมๆ กัน

“ทุกวันนี้บริษัทเราก้าวมาไกลมาก จากวันแรกที่เป็นร้านเล็กๆ คนในบ้านช่วยกันดูแล จนทุกวันนี้บริษัทเรามีพนักงานกว่า 600 คน ดูแลเกือบ 30 แบรนด์ แต่แม้ว่าขนาดองค์กรจะเปลี่ยนไป แต่ความเป็นแฟมิลี บิสซิเนสยังคงอยู่ ที่สำคัญคือยังคงความเป็นองค์กรของคนไทยแท้ๆ พนักงานเราทุกคนเป็นคนไทยทั้งหมด ไม่ได้พึ่งพาทีมงานหรือผู้บริหารจากต่างชาติเลยแม้แต่น้อย”

บอนนี่นับเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดกระเป๋าเดินทางเกินกว่าครึ่ง ด้วยความที่มีแบรนด์หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึง Luxury อย่าง RIMOWA, ZERO HALLIBURTON และขณะที่แบรนด์กระเป๋าเดินทางที่เห็นกันส่วนใหญ่จะเป็นการนำเอา License แบรนด์ต่างชาติเข้ามาอย่าง Samsonite, Tumi, Amrican Tourist แต่ถ้าจะเป็นแบรนด์ไทยแท้ๆ ที่ผลิตเองและได้รับการยอมรับเทียบเคียงกับแบรนด์นอกก็ดูจะมีเพียงกระเป๋าจากค่ายบอนนี่ อย่างแบรนด์ บอนนี่, บอนนี่ คลับ, เดวิด และโปโล เวิลด์ ซึ่งทุกวันนี้ไม่เพียงการเป็นที่หนึ่งในประเทศ เพราะบอนนี่ขยายไปเปิดตลาดต่างประเทศด้วย โดยเปิดชอปทั้งที่มาเลเซีย ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียดนาม ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและกัมพูชา แม้จะยังไม่ได้เปิดร้านอย่างเป็นทางการแต่ก็มีการข้ามพรมแดนมาออเดอร์สั่งสินค้าเป็นล็อตใหญ่ๆ กลับไปเสมอ

ผลัดเปลี่ยนสู่เจเนอเรชันใหม่

ทุกวันนี้บริษัทบอนนี่ผลัดเปลี่ยนมาสู่ยุคของคนรุ่นใหม่ ด้วยการส่งต่อให้กับบรรดาทายาททั้งสาม โดยแบ่งหน้าที่กันดูแล โดย “บัณฑิต” รับผิดชอบในส่วนธุรกิจหลัก ดูแลการผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์กระเป๋าทั้งหลาย “สมฤดี” ลูกสาวคนเดียวดูเรื่องการเงินและบัญชี ส่วนน้องชายคนเล็ก “ได-บรรหาร” รับตำแหน่งผู้จัดการแผนกพัฒนาธุรกิจ ดูแลในส่วนแบรนด์ใหม่ๆ ที่นำเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยได้ “อิม-จารุพรรณ วณิชย์คูพลังกูร” ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันเมื่อต้นปีเข้ามาช่วยดูแลด้วย

“ผมเข้ามาดูในส่วนธุรกิจที่เราขยายออกมา ซึ่งช่วยเติมเต็มให้ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์รองเท้า หรือ Accessory ต่างๆ ของพวก Gadget ซึ่งนับเป็นไลน์ธุรกิจใหม่ที่เราเพิ่งนำเข้ามาได้ 4-5 ปี และกำลังขยายนำเข้าแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ ผมสนใจสินค้าพวกนี้อยู่แล้ว ก็เลยติดต่อเข้ามาทำตลาดดู ซึ่งทางบริษัทเราเองก็มีพร้อมด้านการดำเนินงาน ระบบการจัดการต่างๆ อยู่แล้ว ได้แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาก็ช่วยเสริมให้เรามีสินค้าที่หลากหลายขึ้น ทำให้เราตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบถ้วนขึ้น ซึ่งสินค้าพวกนี้มันก็เกี่ยวพันกับการเดินทางอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าใส่สบาย หรือพวกกระเป๋าใส่ Gadget ต่างๆ ซึ่งการขยายธุรกิจมาตรงนี้ก็ช่วยเปิดประตูตลาดใหม่ๆ ให้เราได้ด้วย” ลูกชายคนเล็กของบ้านกล่าว

พี่น้องบ้านนี้ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาสานต่อธุรกิจของครอบครัวอย่างแข็งขัน และมองหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับบริษัทโดยตลอด ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเขานำเข้าแบรนด์ใหม่ 10 กว่าแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าไลฟ์สไตล์แบรนด์ Hello Lulu, แบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพ Croc Rx, แบรนด์สัญชาติอเมริกันชื่อดังอย่าง Timbuk 2 ที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก และที่กำลังจะนำเข้ามาในช่วงปลายปีนี้คือ แบรนด์กระเป๋าเป้ที่เคยดังมากในหมู่วัยรุ่นไทยอดีตอย่าง JanSport, และสินค้า Luxury ของแบรนด์ Ferrari

เสน่ห์ย่านบางลำพู

ครอบครัวนิลเจียรสกุล นับได้ว่าเป็นคนท้องถิ่นบางลำพูที่มีความผูกพันกับถิ่นฐานเป็นอย่างมาก ทั้งบ้านและบริษัทก็ยังตั้งอยู่ที่นี่โดยไม่ย้ายออกไปแถบชานเมืองที่กว้างขวางและมูลค่าที่ดินถูกกว่า

“บ้านใหม่นี้เพิ่งย้ายมาได้ 5 ปี ตอนแรกอยู่ในซอยฝั่งตรงข้าม ซึ่งก่อนจะย้ายมาตรงนี้ก็เคยมีพูดคุยกันนะ ว่าเราจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันไหม มีดูแถวพุทธมณฑลไว้ แต่พอคุยกันแล้ว ทุกคนยังรักและคุ้นชินกับแถวนี้มากกว่า ถึงแม้มูลค่าที่ดินจะสูงกว่าและพื้นที่คับแคบกว่า แต่ด้วยเราผูกพันกับถิ่นนี้ พี่น้องเราเกิดและโตในย่านนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็อยู่ที่นี่มาตลอด บริษัทเราก็อยู่นี่ ก็เลยเลือกที่จะสร้างบ้านหลังนี้ไม่ย้ายออกไปไหน”

สำหรับตัวบัณฑิตนั้นนอกจากที่นี่แล้ว ยังมีบ้านอีกหลังในย่านพัฒนาการซึ่งเป็นบ้านของเขากับภรรยา “ปอนด์-ดาราพร อัศวโสภณ” ทายาทเครื่องเสียง BOSS ที่สร้างไว้ เนื่องจากอยู่ใกล้กับโรงเรียนของบุตรสาว “น้องพริม-พิมพ์ภัสสร” วัย 3 ขวบ และอยู่ใกล้บ้านเดิมของภรรยาซึ่งยังมีคุณยายวัย 95 ปีที่ต้องคอยดูแล แต่ด้วยความผูกพันก็ยังคงหอบครอบครัวไปมาระหว่างบ้าน 2 หลัง และทุกครั้งที่มาบ้านค้างที่นี่ก็จะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง เพราะเป็นถิ่นฐานที่คุ้นเคย

“ผมวิ่งเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็ก เห็นความเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก แต่ก่อนนะแถวข้าวสารถือเป็นย่านอันตรายที่ไม่ควรไปเดิน มันเป็นตรอกเล็กๆ เงียบๆ และเปลี่ยวมาก ไม่ได้มีภาพอย่างทุกวันนี้เลยแม้แต่น้อย แต่การเปลี่ยนแปลงนี่ก็ช่วยเอื้อให้ธุรกิจเรานะ เพราะตรงนี้กลายเป็นแหล่งของนักท่องเที่ยวเลย

ที่สำคัญกลายเป็นจุดเด่นของบริษัทเรา เพราะทุกครั้งที่พานักธุรกิจต่างชาติมา ก็จะบอกได้อย่างภาคภูมิเลยว่า บริษัทเราอยู่ในเขต Old Town ซึ่งมีน้อยบริษัทนักที่อยู่ในละแวกนี้ เป็นเสน่ห์ที่ทำให้แขกทุกคนประทับใจ เพราะปกติคนมาทำธุรกิจก็จะเจอแต่สุขุมวิท นั่งรถไฟฟ้า เขาจะไม่ได้เห็นบรรยากาศอะไรแบบนี้เลย อยู่ตรงนี้ 5 นาทีก็ถึงวัดพระแก้ว ได้ขับรถผ่านราชดำเนิน ได้พบบรรยากาศคลาสสิก ทุกคนจะ Amazing มากเลย”

โอกาสดีๆ ได้มาจากการเดินทาง

การเดินทางกับครอบครัวนี้นับเป็นสิ่งที่หนีกันไม่พ้น ไหนจะการโตมากับกิจการกระเป๋าเดินทาง ไหนจะบทบาทนักธุรกิจผู้นำเข้าแบรนด์ต่างๆ ซึ่งต้องเดินทางติดต่อกับบริษัทแม่ในต่างแดนอยู่ตลอด ซึ่ง 2 หนุ่มนั่งนับนิ้วแล้วหันมาบอกกับเราว่า
“ในแต่ละปี เราเดินทางกันน่าจะเกิน 100 วันครับ เฉลี่ยคือมีทริปทุกเดือน บางเดือนมากกว่า 1 ทริป เก็บกระเป๋ากันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราอยู่ในธุรกิจแบบนี้ ก็ต้องทั้งออกแฟร์ ไปติดต่อเจรจางาน ไปดูงาน และผมก็จะหาเวลาอยู่ต่อด้วย ซึ่งจะได้ตระเวนดูตลาดและได้พักผ่อนไปด้วยในตัว ซึ่งการเดินทางก็ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตา ได้พบเห็นอะไรใหม่ๆ และเปิดประตูโอกาสให้เรามากมาย

ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาประสบการณ์ระหว่างการเดินทางกลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา เพราะในฐานะที่ผมก็เป็นนักเดินทางคนหนึ่งก็จะเข้าใจว่าเราต้องการบริการอะไร อย่างกระเป๋าทรงนี้หิ้วยากนะ หรือเวลาเดินทางไปถึงที่หมายแล้วของในกระเป๋ามันไหลไปกองรวมกันเละ เสื้อยับยู่ยี่ ก็ทำให้เราต้องพัฒนาสินค้ามาช่วยแก้ปัญหานี้

รวมไปถึงการได้ไปพบเจอสินค้าใหม่ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำมาปรับใช้กับธุรกิจของเราได้ ไปดูว่าคนอื่นเขาทำอะไรกัน ผมเชื่อว่าชีวิตคือการเรียนรู้ การเรียนรู้ผ่านการเดินทาง และผมจะคอยบอกกับทีมงานเสมอว่าให้หัดช่างสังเกต เพราะตัวผมเองได้รู้จักกับหลายๆ ที่ ทุกวันนี้ได้นำเข้ามาเพราะไปพบเจอโดยบังเอิญตามงานแฟร์บ้าง และของเหล่านี้มันไม่เดินตรงเข้ามาแนะนำตัวกับเราหรอก เราต้องมองหามัน ต้องสังเกตเอง
อย่างแบรนด์กระเป๋าที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้อย่าง Hello Lulu เมื่อหลายปีก่อนผมไปเจอในแฟร์ ซึ่งเขาไปตั้งชั้นเล็กๆ แชร์บูทร่วมกับแบรนด์อื่น แต่เราดูสินค้าแล้วมันน่าสนใจ น่าจะทำตลาดได้ ก็เข้าไปคุย ทำความรู้จักและก็ติดต่อนำเข้ามา ซึ่งตอนนั้นนับได้ว่าเราเป็นเจ้าแรกในตลาดต่างประเทศของแบรนด์เขาเลยนะ มาถึงทุกวันนี้แบรนด์เขาได้รับความนิยมระดับโลกแล้ว

ผมเชื่อว่าถ้าเราไปเจอเขาวันนี้ มันไม่มีทางที่จะเข้าไปติดต่อง่ายอย่างวันนั้นอีกแล้ว ฉะนั้นคุณต้องหูไว ตาไว ช่างสังเกต และตัดสินใจให้เร็ว ไม่งั้นก็จะหลุดมือไปหาคนอื่นก่อนได้ โอกาสต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาต้องจับไว้ให้ได้ ทุกอย่างมันพอดีกัน ทั้งโอกาส จังหวะ และเวลา ซึ่งก็มีหลายแบรนด์นะที่ผมพลาดไป แบบเล็งไว้แล้วแต่รีรอ จนสุดท้ายคนอื่นคว้าไปก่อน ก็รู้สึกเสียดายนะ …. แต่เสียดายไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สู้เก็บเป็นบทเรียนไว้ว่า คราวหน้าอย่าพลาดแบบนี้อีกละกัน” นี่คือคติหลักในการสร้างความก้าวหน้าให้กับธุรกิจของผู้บริหารยุคใหม่ที่น่าจับตามองคู่นี้ :: Text by FLASH

คู่นี้เพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากคบกันเป็นแฟนยาวนานมาถึง 7 ปี ตั้งแต่สมัยเป็นเพื่อนนักศึกษากันที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ภาพแห่งความทรงจำของคุณฑิต และคุณปอนด์ เพราะกว่าจะได้ภาพ Pre-Wedding เซตนี้มาก็ผ่านอุปสรรคชิ้นโต เพราะทั้งคู่กับทีมช่างภาพเดินทางไปถ่ายทำกันถึงที่เวเนเชียน เกาะมาเก๊า โดยจัดคอสตูมเต็มตระเวนถ่ายตามมุมต่างๆ นานเกือบ 4 ชั่วโมง นับเป็นหลายร้อยรูป ก่อนจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยมาแจ้งว่า ไม่อนุญาตให้ถ่ายทำและขอลบภาพในเมมโมรีการ์ดทั้งหมดทิ้ง

“ผมก็งงมาก เพราะตอนเราเดินเข้าไปก็ใส่ชุดแต่งงานไปเลย ไม่ได้แบบแอบๆ เปลี่ยนหรือหลบซ่อนอะไร บางภาพเราถ่ายตรงล็อบบี้ด้วยซ้ำ พนักงานก็ไม่ได้ว่าอะไร มีนักท่องเที่ยวมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยซ้ำ ถ่ายกันใกล้เสร็จแล้ว อยู่ๆ ก็มาแจ้งว่าถ่ายไม่ได้ มันเป็นกฎ เราก็เสียดายรูป เพราะถ่ายไปเยอะแล้ว ก็เจรจากันอยู่นาน จะขอเสียค่าธรรมเนียม ค่าใช้สถานที่ให้ เขาก็ไม่อนุญาต ยืนยันว่าต้องลบรูปทิ้ง จนสุดท้ายได้ไหวพริบของช่างภาพ สับเปลี่ยนเมมโมรีการ์ดในกล้องให้เป็นการ์ดเปล่า แล้วก็กด Format ให้เขาดู เรื่องถึงได้จบลงและได้รูปสวยๆ พวกนี้มา”









>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น