ASTVผู้จัดการรายวัน- แฉ! อย.สหรัฐฯ ตีกลับข้าวหอมมะลิไทย 3.2 หมื่นกิโลกรัม จากที่ส่งออกไปทั้งหมด 4 หมื่นกิโลกรัม หลังพบสารปนเปื้อน ปชป. จี้รัฐบาลสอบหวั่นปนข้าวเน่าลามขายไทย ด้าน "นิวัฒน์ธำรง" ยันไทยไม่เคยขายข้าวให้สหรัฐฯ โวยกุข่าวทำชาติเสียหายส่วน ขณะที่สมาคมข้าวไทยยังไม่มีข้อมูล ส่วน“พาณิชย์”เปิดช่องใหม่ขายข้าวในสต๊อก ให้รัฐวิสาหกิจและเอกชนต่างประเทศยื่นซื้อข้าวได้โดยตรง
วานนี้ (22 ส.ค.56) ที่รัฐสภา นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขณะนี้ทราบว่าประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตีกลับข้าวหอมมะลิของไทยจำนวน 3.2 หมื่นกิโลกรัม จากข้าวที่ส่งออกไปจำนวน 4 หมื่นกิโลกรัม ซึ่งมีความเป็นห่วงว่าจะมีการนำข้าวดังกล่าวมาขายให้กับประชาชนในประเทศไทย เนื่องจากองค์การอาหารและยา (อย.)ของสหรัฐฯ ไม่ควบคุมข้าวดังกล่าวไว้ทั้งที่ตามหลักปกติต้องควบคุมตรวจสอบและนำไปทำลาย ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลเข้าไปตรวจสอบและชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ เพราะเกรงว่าข้าวดังกล่าวจะถูกนำมาปนกับข้าวที่ขายในประเทศ
ทั้งนี้ทราบอีกว่าการระบายข้าวในโกดังของรัฐบาที่ตั้งเป้าว่าจะระบายจำนวน 7.5 แสนตัน แต่ปรากฏว่าขณะนี้มีการระบายออกเพียง 2.4 แสนตันเท่านั้น ทั้งที่ข้าวในสต็อกรัฐบาลมีมากกว่า 17 ล้านตัน
"ขอเรียกร้องว่ารัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันคุณภาพข้าวว่าหากบริษัทใดซื้อข้าวแล้วพบว่าข้าวมีคุณภาพไม่ดีก็ควรเปลี่ยนข้าวใหม่ที่มีคุณภาพได้ ซึ่งจะทำให้ขายข้าวให้ผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น หากไม่ดำเนินการจะส่งผลเสียหายอย่างมหาศาลให้กับข้าวไทย"
นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ว่า มีคนที่รู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งเห็นข้าวหอมมะลิส่งออกไปอเมริกาถูกตีกลับมาแล้วปล่อยผ่าน เกิดทนไม่ได้ จึงได้เข้าให้ข้อมูลกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งโดยกระบวนการตามหลักหน่วยงานรัฐจะต้องตรวจสอบสินค้าที่ถูกตีกลับว่ามีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายหรือไม่ แต่พบว่าหน่วยงานรัฐไม่ได้ทำอะไรเลย ปล่อยผ่านให้ข้าวหอมมะลิที่ถูกตีกลับเข้าประเทศ ซึ่งตนก็เป็นห่วงว่า ในเมื่อสหรัฐอเมริกาตีกลับ ไม่ซื้อข้าว แล้วเอามาขายให้กับคนไทย เกรงว่าผู้บริโภคที่ซื้อจะได้รับอันตราย
**พณ. ยันไทยไม่เคยขายข้าวให้สหรัฐฯ โวยกุข่าวทำชาติเสียหาย
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับรายงานที่ชัดเจน แต่เบื้องต้น ได้สั่งให้เจ้าที่หน้าตรวจสอบข้อมูลแล้ว พร้อมยืนยัน รัฐบาลไทยไม่เคยขายข้าวให้กับรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งหากพบว่า ข้าวดังกล่าวเป็นการขายผ่านเอกชนไทย และพบมีสารปนเปื้อนจริง จะมีการลงโทษขั้นเด็ดขาด พร้อมเรียกร้องในการให้ข่าวควรมีข้อเท็จจริง เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของข้าวไทย
**ส.ข้าวไทยยังไม่มีข้อมูลUSตีกลับ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ยังไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้ ซึ่งโดยปกติแล้ว การปนเปื้อนส่วนใหญ่ที่เคยโดนตีกลับ จะเป็นการปนเปื้อนของแมลงมีชีวิต และจะมีการตีกลับยกลอต แต่ในกรณีระบุว่า มีการตีกลับบางส่วนนั้น ไม่เคยเกิดขึ้น และจากกระแสข่าวการปนเปื้อนของข้าวไทย ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ เช่นใน ฮ่องกง มีความกังวลมาก โดยข้าวที่จะส่งออกไปขายยังฮ่องกงได้ จะต้องมีการตรวจสอบเข้มงวดมากขึ้น เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ทางสหรัฐฯ มีการหันไปซื้อข้าวจากเวียดนามแทนข้าวไทยบางส่วน ซึ่งเห็นว่า หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องเพิ่มความเข้มงวดกับการตรวจสอบ และทำความเข้าใจกับประเทศผู้ซื้อให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อไม่ให้ข้าวไทยได้รับผลกระทบ
**“พาณิชย์”ดิ้นระบายข้าวสต๊อก
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการระบายข้าวว่า ได้พิจารณาแนวทางการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลเพิ่มเติม โดยเห็นชอบการเปิดระบายข้าวให้กับรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศ หรือเอกชนต่างประเทศที่ติดต่อขอซื้อข้าวเข้ามาโดยตรง แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องซื้อข้าวสต๊อกรัฐไม่ต่ำกว่าราคาประมูลทั่วไปและราคาแบบที่ขายให้กับต่างประเทศในแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยจะต้องมีการส่งออกจริง หรือมีเอกสารการส่งออกมายืนยัน โดยจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) อนุมัติในการประชุมวันที่ 26 ส.ค.นี้
“เชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลระบายข้าวในสต๊อกได้มากขึ้น เพราะขณะนี้มีเอกชนต่างประเทศเสนอซื้อข้าวหลายรายแล้ว ทั้งจากจีน และประเทศในตะวันออกกลาง ส่วนการประมูลข้าวให้กับภาคเอกชนในประเทศ ยังจะใช้วิธีนี้ต่อ แต่จะปรับหลักเกณฑ์การประมูล เช่น เดิมให้ประมูลแบบยกคลัง เป็นสามารถซื้อย่อยแยกกองได้ เพื่อจูงใจให้เอกชนมาเข้าร่วมประมูลมากขึ้น”
นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติให้นำข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลปริมาณ 2-4 แสนตัน มาจัดทำเป็นข้าวถุง (5 กก.) ราคาพิเศษขายให้ประชาชน ประมาณถุงละ 85 บาท โดยจะจ้างเอกชนให้มาทำ มีคณะกรรมการขึ้นมาบริหาร ให้นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ เป็นประธานที่ปรึกษา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงาน ร่วมด้วยตัวแทนจากกรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นต้น และจะจำหน่ายผ่านช่องทางร้านถูกใจ ร้านโชว์สวย ร้านธงฟ้า รวมถึงขายให้หน่วยงานราชการที่จำเป็นต้องนำไปใช้
นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวว่า วันนี้ (23 ส.ค.) จะมีการหารือกับตัวแทนเกษตรกรทั้งจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ สมาคมส่งเสริมชาวนาไทย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และสมาคมชาวนาข้าวไทย เพื่อหารือถึงแนวทางการรับจำนำข้าวในรอบใหม่ทั้งเรื่องราคาและหลักเกณฑ์ เมื่อได้ข้อสรุปจะนำแนวทางทั้งหมดเสนอให้ กขช. พิจาณาว่าจะเลือกแนวทางใด ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป คาดว่าหลักเกณฑ์ใหม่จะทันกับการเปิดรับจำนำข้าวฤดูกาลใหม่ในเดือนต.ค.นี้
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า แนวทางการรับจำนำข้าว หากรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าที่ราคาตันละ 1.5 หมื่นบาท ก็จะจำนำรอบเดียว หรือรับจำนำเฉพาะฤดูกาลนาปี 2556/57 แต่อาจขยายระยะเวลาให้นานขึ้น อาจทำให้คนที่ปลูกข้าวเปลือกนาปรัง 2557 สามารถมาใช้สิทธิ์นี้ได้ หากรับจำนำ 1.2 หมื่นบาท ก็จะรับจำนำได้ 2 รอบ
โดยเชื่อว่าการปรับหลักเกณฑ์รับจำนำข้าวดังกล่าวจะทำให้ใช้งบประมาณในการรับจำนำไม่เกิน 3 แสนล้านบาท
ส่วนการเปิดประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) จะเปิดประมูลข้าวล็อตแรกประมาณต้นเดือนก.ย.2556 เป็นข้าวขาว 1 แสนตัน ข้าวหอมมะลิ 4 หมื่นตัน รวม 1.4 แสนตัน และจะมีการรับมอบข้าวตั้งแต่เดือน พ.ย.2556 เป็นต้นไป ส่วนปัญหาในเรื่องการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันและค่าธรรมเนียม ในการซื้อขายในเอเฟต 240 ล้านบาท นายนิวัฒน์ธำรง
ได้เห็นชอบที่จะนำเงินจากกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมาใช้ในการค้ำประกันแล้ว