ปีกมาร ตอนที่ 12
เมื่อนวลนภามาเยี่ยมศลัยลา แต่ต้องแปลกใจที่เห็นตำรวจเฝ้าอยู่หน้าห้อง
“จะเยี่ยมคนป่วยหรือครับ”
“ค่ะ ฉันเป็นแม่”
“เชิญครับ”
นวลนภาเข้ามาหาศลัยลาถามอย่างแปลกใจ
“ศลัย ตำรวจมาเฝ้าทำไมน่ะ”
“หนูขอกำลังตำรวจมาคุ้มกันค่ะ หนูกลัวภูเขาตามมาฆ่าหนูที่นี่”
สีหน้าแววตาของนวลนภาเจื่อนลงๆ
“งั้น...งั้นก็หมายความว่า…”
ค่ำนั้นภูฉายนั่งรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ ท่าทีสลักรื่นเริงขณะรับประทานอาหาร
“พรุ่งนี้แม่จะเรียกทนายของแกมาสั่งให้เอาเตรียมฟ้องกลับฐานที่นังศลัยลามันคบชู้ ฟ้องเอาทั้งค่าเสียหายแล้วก็...เอาตาหนูคืนมาด้วย”
“ค่าเสียหาย...เสียหายเรื่องอะไรครับ”
“อ้าว ก็ค่าสึกหรอไง ได้ทั้งค่าสึกหรอทั้งตาหนู ผู้หญิงมีชู้น่ะด้อยคุณสมบัติที่จะเป็นแม่ ดูแม่ซี...พ่อแกทิ้งไป แม่ยังครองตัวเป็นม่ายโดยไม่มีเรื่องด่างพร้อย เพราะอะไร...เพราะแม่รักแก ไม่ต้องการให้พ่อเลี้ยงมาข่มเหงลูก แกต้องรักแม่ให้มากนะ...ภู”
ภูฉายนิ่งเงียบ
“ภู...ภู...ได้ยินมั้ย”
“แม่ว่าอะไรนะครับ”
“เรื่องฟ้องน่ะ...ฟ้องนังศลัยมีชู้ ต้องให้เป็นข่าว ต้องเอาให้มันกระเด็นจากเก้าอี้เลยเพราะมันเป็นข้าราชการ มันประพฤติผิดวินัย หมั่นไส้ยายนวลนภานัก...ฉันจะทำให้คนในสังคมนี้นินทาเสียให้แซดไปเลย ไม่รู้เลี้ยงลูกยังไงถึงได้อ่อนการอบรม เที่ยวได้สวมเขาให้ผัว...ผู้หญิงอย่างนังศลัยลานี่...เขาเรียกว่า...”
สลักเชิดหน้าขึ้นอย่างทะนง และด่าออกมาด้วยสุ้มเสียงสะใจ
“ผู้หญิงดอกทอง..!”
ขณะที่ฉวีกำลังทำกายภาพบำบัด ด้วยท่าทีเงียบและนิ่ง มีอาการเลื่อนลอยไม่รับรู้ เพียรภมรเดินเข้ามาหาฉวีด้วยท่าทีกระวนกระวาย ร้อน ตื่นเต้นยินดี ที่จะได้แก้แค้นแทนฉวี
“แม่…”
เพียรภมรปรายตามองไปยังนักกายภาพบำบัด
“ฉันขอเวลาอยู่กับแม่ตามลำพังได้มั้ยคะ”
“เชิญค่ะ”
นักกายภาพออกไป เพียรภมรฉวยมือของฉวีไว้ เขย่าไปมา
“หนูมีข่าวดี หนูรู้..ว่าแม่ได้ยิน ถึงแม่จะไม่พูดอะไร เพราะเรื่องนี้มันไม่เคยสำคัญสำหรับแม่ แต่..แต่หนูอยากจะบอกแม่ว่า..หนูกำลังจะแก้แค้นแทนแม่ หนูกำลังจะลากผู้ชายสารเลวเข้าคุก ข้อหา...”
ดวงตาของเพียรภมรวาวโรจน์ไปด้วยรอยยิ้มหยัน บ่งบอกความอาฆาตพยาบาท
“ทำร้ายผู้หญิง หนูกำลังจะแก้แค้นแทนแม่..หนูกำลังจะแก้แค้นแม่..หนูกำลังจะแก้แค้นแทนแม่!”
ฉวีน้ำตารื้น ในท่าทีนิ่งๆ
เพียรภมรออกมา ปิดประตูห้องกายภาพบำบัดลง ด้วยรอยยิ้ม แต่ชะงักก้าวเมื่อเห็นภาษิตยืนรออยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“คุณ…”
“ผมมาขอร้อง หยุดเถอะ อย่าให้ชื่อเสียงของพี่สาวผม ต้องมาปี้ป่นเพราะการแก้แค้นของคุณเลย สถานะของแม่คุณ กับชีวิตของพี่สาวผมมันต่างกัน พี่ศลัยยังต้องไปต่อ”
“แล้วยังไง คุณจะยอมให้พี่สาวของคุณเดินกระโผลกกระเผลก เสียศูนย์ไปกับชีวิตเพราะฝันร้าย โดยไม่ทำอะไรเลยยังงั้นหรือ”
“พี่ศลัยต้องอยู่ในสังคมต่อไป แต่แม่ของคุณ…” ภาษิตลืมตัว
เพียรภมรขึ้นเสียง “หยุดนะ อย่าแตะต้องแม่ของฉัน ถึงแม่ของฉันจะเป็นขี้เมา หรือผู้หญิงทำงานบาร์ แต่แม่ของฉันก็เป็นผู้หญิง..!”
ดวงตาของเพียรภมรวาวโรจน์ไปด้วยความแค้น
“ฉันจะสอนให้ผู้ชายทั้งโลกรู้ว่า เขาไม่มีสิทธิ์ทำกับผู้หญิงเหมือนขยะ ผู้หญิงไม่ได้มีหน้าที่แค่รองรับความใคร่ กับเบ่งลูก แต่ผู้หญิงทำได้มากกว่านั้น”
ภาษิตชะงัก “คุณ นี่คุณจะ…”
“คุณด้วย ฉันจะสอนให้คุณรู้ว่าเพศของคุณไม่ได้วิเศษมากไปกว่าเพศของเรา!”
เพียรภมรเดินเชิดหน้าออกไปอย่างทะนง ภาษิตมองตามไปด้วยแววตาเป็นกังวล
ศลัยลานอนแบบอยู่บนเตียงในสภาพที่ยังมีบาดแผลบอบช้ำ ประตูเปิดออก ตำรวจพยายามกันลายสือไว้ไม่ให้เข้าไป
“คุณเยี่ยมไม่ได้นะ”
“ให้เขาเข้ามาเถอะค่ะ” ศลัยลาบอก
ลายสือใจหาย ผวาเข้ามาจ้องมองสำรวจสภาพศลัยลาทั้งตัว ตำรวจมองอย่างระแวดระวัง ครู่หนึ่งแล้วจึงออกไป
“ทำไมเขาทำกับคุณแบบนี้”
น้ำเสียงของลายสือโกรธ และขมขื่น ปวดเจ็บแทนศลัยลา
“ช่างมันเถอะ ลายสือ”
ลายสือบอกอย่างเคียดแค้น “คุณหย่ากับเขาได้แล้ว อย่าทนอีกต่อไปเลย เขาไม่ใช่ผู้ชายรังแกผู้หญิงนี่มันหน้าตัวเมียชัดๆ!”
“คุณรู้ได้ยังไง ว่าฉันอยู่ที่นี่”
ลายสือไม่ตอบ “เขารู้เรื่องของเราแล้วใช่มั้ย เขาถึงได้ทารุณคุณ มันถึงเวลาที่คุณต้องสู้กับความจริงแล้ว หย่ากับเขา...วิธีไหนก็ได้ แล้วเราเริ่มต้นกัน!”
“เป็นไปไม่ได้หรอกลายสือ”
“ทั้งที่เขาทุบตีคุณ!”
ศลัยลาบอกอย่างปล่อยปลง “เรื่องของฉันกับภูฉาย ยังต้องตีรันฟันแทงกันอีกนาน อย่าเอาอนาคตของคุณมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้เลย”
“คุณเป็นฝ่ายเจ็บนะ ไม่ใช่เขา”
ท่าทีลายสือร้อนใจ แค้นใจ จับมือของศลัยลากุมไว้แน่น
“ผมทนเห็นผู้ชายคนนั้นรังแกคุณไม่ได้ คุณเจ็บ...แต่ผมเจ็บกว่าคุณอีก ผมไม่ใช่เป็นแค่ชายชู้หรอกนะ แต่ผมจะเป็นให้มากกว่านั้น!”
“โธ่...ลายสือ”
ศลัยลาสะเทือนใจ น้ำตาเริ่มคลอดวงตา
จังหวะนี้เพียรภมรเปิดประตูเข้ามาเงียบๆ
“ผมรักคุณ....รักมาก อยากให้คนทั้งโลกรู้ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน อยากให้โลกรู้เท่ากับที่คุณรู้”
ศลัยลาเห็นเพียรภมร ค่อยๆ ชักมือกลับ
“คุณกลับไปก่อนเถอะลายสือ ขอบใจมาก”
ลายสือหันไปมองเพียรภมร อีกฝ่ายเมินหน้าไปอย่างมึนตึง เฉยเมย
“แล้วผมจะมาเยี่ยมคุณอีก”
ลายสือเดินออกไป เพียรภมรมองตามไป แล้วหันมาเข้มงวดกับศลัยลาอย่างร้อนใจ
“เขานี่เอง ใช่มั้ย นี่เรื่องจริงหรือ โอ พี่ศลัย...เพียร...เพียรไม่รู้จะพูดยังไง”
“ฉันก็เหมือนกัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ”
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนตั้งใจที่จะเล่นชู้หรอก มันก็เกิดขึ้นเพราะความไม่ตั้งใจทั้งนั้นแหละ” เพียรภมรอดประชดไม่ได้
“ฉัน...ฉันเสียใจนะ...ฉันเสียใจจริงๆ เพียร ฉันเสียใจ”
ศลัยลาร้องไห้ เพียรภมรทรุดตัวลงนั่งข้าง ดึงตัวเพื่อนรุ่นพี่เข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
สลักแต่งตัวเฉิดฉาย เดินกรีดกรายมาดคุณนาย ดูระรื่นแปลกไปกว่าทุกๆ วัน และอารมณ์ดีสุดๆ ขณะที่ภูฉายนั่งจมปลักอยู่ตรงหน้าถ้วยกาแฟและอาหารเช้าที่วางอยู่อย่างจืดชืด ละมัยทำงานอยู่ใกล้ๆ
“นี่ ภู เมื่อคืนนี้แม่นอนคิดทั้งคืนเรื่องวางแผนฟ้องกลับนังศลัยลา เฮ้อ...ในที่สุดโชคก็หันกลับมาเข้าข้างเรานะ ฉันนึกว่าฉันจะสูญตาหนูไปซะแล้วซี แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับ...แม่ได้แกกลับมาเป็นของแม่”
สลักเริ่มรู้สึกถึงสิ่งปกติในท่าทีอันเงียบขรึมของลูกชาย
“ภู...ภู...”
ภูฉายยังคงนิ่งเฉย ยกกาแฟขึ้นจิบก่อนที่จะเดินออกไปเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
“ภู เดี๋ยวก่อน แล้วแม่ล่ะ..แม่จะไปพบทนายนะ”
สลักตะโกนตาม ภูฉายเดินออกไปเหมือนไม่ได้ยิน
สลักและละมัยมองตามไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)
ด้านแหมวกำลังปัดกวาดเช็ดฝุ่นในห้องพักหนุ่มๆ จืดจัดหนังสืออยู่กับผลึก ลายสือเดินเครียดเข้ามา ด้วยสภาพจิตใจที่บอบช้ำ หลังไปเยี่ยมและเห็นสภาพศลัยลาถูกทำร้าย แหมวเห็นลายสือก็ออกอาการดีใจ
“พี่ลายสือคะ คุณพ่อมาแน่ะค่ะ...คุณพ่อให้แหมวมาตามพี่ลายสือไปพบ”
ลายสือไม่ตอบใดๆ เดินผ่านแหมวไป ผลึกและจืดมองตามงงๆ
“ไอ้สือมันเป็นอะไรน่ะ”
ผลึกวางงานลง เดินตามลายสือเข้าห้องไป แหมวมองตามไปด้วยสีหน้าสลดลง
ลายสือยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพัก ด้วยท่าทีโกรธแค้นภูฉาย ผลึกเดินเข้ามองหน้าอย่างสงสัย
“สือเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้นวะ ไอ้สือ”
“กู....กู...”
ลายสือทุบกระจกหน้าต่างด้วยกำปั้นโดยแรง แผดเสียงตะโกนก้อง ระเบิดอารมณ์ออกมา
“กูอยากฆ่าคน!”
ศลัยลานอนลืมตาเงียบๆ ครุ่นคิด สีหน้าเศร้าหมอง เพียรภมรเปิดประตูเข้ามา ศลัยลาก็ยังนิ่งเฉย ท่าทีเลื่อนลอย
“พี่ศลัย วันนี้เป็นยังไงบ้าง เพียรโทร. ไปลาป่วยให้แล้วนะ พี่ศลัย...พี่ศลัย...”
ศลัยลายังคงนิ่งเฉย เลื่อนลอยอยู่อย่างเก่า
“พี่ศลัย อย่าทำท่าเหมือนคนสิ้นหวังยังงี้ซี คนสิ้นหวังได้น่ะต้องเป็นคนที่ตายแล้วนะ อย่าสิ้นหวัง เราจะสู้..สู้..สู้ ได้ยินมั้ยพี่ศลัย เราจะ..สู้!”
ศลัยลายยังคงนิ่งราวรูปปั้น เพียรภมรมอง แล้วถอนหายใจด้วยความหนักใจและสงสาร
ภูฉายนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างเนือยๆ นภดลพนักงานผู้ช่วยเดินเข้ามาหา
“คุณภูฉายครับ”
“มีอะไรหรือนภดล”
“หัวหน้าฝ่ายที่สำนักงานใหญ่ ให้คุณภูฉายไปพบด่วนเรื่องเงินร้อยล้านที่ลูกค้าถอนกระทันกระหันน่ะครับ”
“แล้วผมจะโทร. ไป”
นภดลเดินออกไป ท่าทีภูฉายยังเนือยๆ ไม่ได้สนใจ สีหน้าแววตาครุ่นคิดตริตรอง
เพียรภมรแวะมาที่บ้านนวลนภา หารือเรื่องอาการเศร้าซึมของศลัยลา นวลนภาถอนหายใจ แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“หมายความว่า...” นวลนภาคราง
“พี่ศลัยเงียบไปค่ะ หนูเป็นห่วงสุขภาพจิตของพี่ศลัย”
ภาษิตเดินเข้ามา กล่าวด้วยสีหน้ามึนตึง ไม่พอใจ
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะครับ ในเมื่อพี่ศลัยถูกกล่าวหาว่ามีชู้”
“หนูเพียร...ไอ้ที่ภูเขากล่าวหาน่ะ จริงหรือ”
“คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ”
แววตาของภาษิตตื่นตระหนก จ้องหน้าเพียรภมร
“งั้นก็มี...ไอ้...ไอ้หมอนั่นจริงๆ”
“เอ้อ...มันก็พูดลำบากค่ะ”
“อย่าพยายามปลอบใจแม่เลย ถ้าศลัยมีชู้ ความผิดมันก็อยู่ที่ศลัย แม่ไม่นึกเลยว่าศลัยจะเป็นยังงี้ไปได้ แม่เลี้ยงลูกมา ไม่เคยสอนให้ลูกประพฤติผิดศีลธรรม”
“การมีชู้เป็นความผิดทั้งในแง่ศีลธรรมและกฎหมาย แต่เราควรพิจารณากรณีที่มันมีเหตุต่างกัน อย่าเพิ่งลงโทษพี่ศลัยเลยค่ะ ที่ภูฉายกล่าวหาอาจจะยังไม่มีอะไร เพียงแต่...เอ้อ...เขาตีโพยตีพายเพราะเขาเป็นคนหวงก้าง!”
“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด” ภาษิตขัดขึ้น
“ตอนนี้...คุณยังไม่ต้องเข้าใจอะไรทั้งนั้น เรากำลังหาทางรับมือกับฝ่ายโน้น...เพราะฉันเชื่อว่า...เขาต้องฟ้องกลับข้อหา...”
สีหน้าแววตาของเพียรภมรแข็งกล้า ในน้ำเสียงเยียบเย็น
“พี่ศลัยมีชู้!”
ภูฉายพาตัวเองมาอยู่ที่อาคารสำนักงานใหญ่ ถูกเรียกตัวมาชี้แจงกับหัวหน้าฝ่ายเรื่องดวงแก้วถอนเงินออกจนเกลี้ยงแบงค์
ภูฉายนั่งฟังอย่างเงียบๆ จิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับความเคร่งเครียด และคำตำหนิของหัวหน้าฝ่ายตรงหน้าแต่อย่างใด ด้วยมัวแต่คิดถึงปัญหาบานปลายของชีวิตตน
“คุณดวงแก้วเป็นลูกค้าคนสำคัญของเรา คุณก็รู้ว่ามีผลเสียกับเรายังไง ในกรณีที่ลูกค้าย้ายเงินลงทุนไปไว้ในสถาบันอื่น เพราะเหตุผลส่วนตัว ผมทราบว่าคุณมีปัญหาครอบครัว แต่คุณเป็นผู้จัดการภาค คุณต้องรู้ว่าปัญหาของคุณก้าวก่ายส่วนของงานไม่ได้ ผมเสียใจนะ...ผมคงไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดให้คุณฟัง”
ภูฉายยังนั่งฟังเงียบๆ หัวหน้าฝ่ายเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองภูฉายด้วยความรู้สึกเบื่อๆ เรียกสติเสียงดัง
“คุณ…”
ภูฉายสะดุ้งสุดตัว เผลออุทานรับคำด้วยความเคยชิน
“ครับ...แม่”
หัวหน้าฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
เวลาเดียวกันศลัยลานอนร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน เพียรภมรโอบกอดศลัยลาไว้เหมือนปลอบโยน แต่สายตาของเพียรภมรกร้าว เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ร้องเถอะค่ะพี่ศลัย พี่จะร้องไห้สักเท่าไหร่ก็ได้ ผู้หญิงเกิดมาเพื่อใช้น้ำตาเป็นเครื่องช่วย ร้อง..ร้องให้หมดน้ำตาเลยพี่ศลัย แล้วก็ลุกขึ้นมา..สู้”
ศลัยลาร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“สู้!” เพียรภมรตาย้ำคำ นัยน์ตาเป็นประกายแข็งกล้า
ฟากลายสือเดินออกมาจากห้องในหอพัก สวนทางกับแหมวซึ่งเดินเข้ามาโดยไม่ได้ทักทาย สีหน้าแหมวผิดหวังมาก
“เขาเป็นอะไรคะ หรือว่า..เขายังเกลียดคุณพ่ออยู่” แหมวหันมาทางผลึกกะจืด
“เอ้อ คงไม่ใช่หรอกครับน้องแหมว มันคงมีเรื่องไม่สบายใจน่ะ อย่าไปถือมันเลย ไอ้นี่มันบ้าๆ” ผลึกแก้ต่างให้
“เมื่อคืน...มันนั่งอยู่ทั้งคืนไม่หลับไม่นอน กูว่าต้องเรื่องผู้หญิงแน่ๆ ว่ะ” จืดตั้งข้อสังเกต
“ผู้หญิงหรือคะ”
แววตาของแหมวใคร่ครวญครุ่นคิด
นวลนภากำลังจัดผลไม้เพื่อที่จะไปเยี่ยมศลัยลา ภาษิตเดินเข้ามายืนมองท่าทีไม่สบายใจ
“จะไปเยี่ยมพี่ศลัยหรือครับ คุณแม่”
“ถึงศลัยจะเป็นยังไง ศลัยก็ยังเป็นลูกแม่ แม่ทิ้งลูกไม่ได้หรอก แกก็เหมือนกันนะ...ภาษิตอย่าทิ้งศลัย เราอาจจะเป็นเพียงคนไม่กี่คนที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตของศลัยลาก็ได้”
ภาษิตรู้สึกผิด และนึกเสียใจ
“คุณแม่ครับ...ผมเสียใจ...ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายพี่ศลัยแต่ผมไม่เห็นด้วยที่จะทำเรื่องฉาวนั่นให้กลายเป็นคดีตัวอย่าง ประจานผู้หญิง...แล้วก็ประจานตัวเอง...เราไม่ต้องคิดในแง่ผิดหรือถูกหรอกครับ แต่เราคิดในแง่ที่ว่า...เมื่อคดีจบลงแล้ว พี่ศลัยจะมองหน้ามนุษย์ได้แค่ไหน”
นวลนภาอึ้ง นิ่งงันไป
ขณะเดียวกัน ศลัยลานอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน ลายสือเปิดประตูเข้ามายืนมองศลัยลาอยู่ที่มุมห้องเงียบๆ ศลัยลาค่อยๆ ลืมตาขึ้น พึมพำเบาๆ
“ลายสือ”
“หลับเถอะครับคุณศลัย ผมแค่...ขอยืนมองคุณไกลๆ ผมจะไม่แตะต้องคุณ ไม่ทำให้คุณต้องเสื่อมเสีย ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
นวลนภาเปิดประตูเข้ามา ถือกระเช้าผลไม้มาด้วย มองลายสืออย่างแปลกใจ
“อ้าว ลายสือ รู้ได้ยังไงว่า...”
“เอ้อ....ผมจะกลับแล้วละครับ คุณแม่”
ลายสือตัดบทดื้อๆ เดินออกไปอย่างเงียบๆ
นวลนภาจ้องมองตามไป ด้วยแววตาสงสัย และเริ่มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก หันกลับมาจ้องหน้าศลัยลาเขม็ง
“ศลัย...หรือ...หรือว่า…”
ขณะที่ภูฉายนั่งทำงานอยู่ที่แบงค์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพียรภมรก้าวเข้ามา ภูฉายกระแทกเสียงประชดโดยไม่เงยหน้ามอง
“ลูกความของคุณเป็นยังไงมั่งล่ะ”
“คุณถามถึงศลัย เหมือนคุณไม่รู้ว่าศลัยนอนโรงพยาบาล หรือเพราะคุณถามชุ่ยๆกันแน่”
แววตาของภูฉายกระตุกนิดๆ ตื่นตระหนก เพราะไม่คิดว่าจะรุนแรงถึงขั้นนอนโรงพยาบาล
“ศลัยน่ะหรือ นอนโรงพยาบาล”
“คุณข่มขืนแล้วก็ทุบตีศลัยลาปางตาย แล้วคุณก็ไป...คุณจะรู้อะไรหลังจากนั้นล่ะ”
ได้ยินคำว่าข่มขืน แววตาของภูฉายลุกเป็นไฟ
“ข่มขืน…”
“ใช่ เราจะแจ้งความในข้อหาทำร้ายร่างกายและข่มขืน!”
“ไอ้เรื่องทำร้ายร่างกายนะมันพอฟังกันได้นะ แต่ข่มขืนนี่ซี...ผมสงสัย อะไรนะ...ที่คุณเรียกมันว่าการข่มขืนน่ะ” ภูฉายยอกย้อน
“ฉันมาที่นี่....เพื่อจะบอกคุณว่าเราจะแจ้งความ!”
“ผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่นั่นเอง คุณจะชักนำโจทย์ยังไงในคดีนี้” ท่าทีภูฉายเฉยชา
แววตาเพียรภมรวาวโรจน์ บอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ภู ฉันจะทำคดีนี้ให้มันเป็นคดีตัวอย่าง ฉันกับศลัยจะร่วมมือกันฟ้องคุณในข้อหาข่มขืน เราจะทำลายค่านิยมทางความคิดของผู้ชาย ที่คิดว่า...ทันทีที่ผู้หญิงมีฐานะเป็น “เมีย” ผู้หญิงจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างทางเพศ ทั้งที่..เรายังเป็นเจ้าของเพศของตัวเองอยู่”
ภูฉายเสียงดัง “ก็เอาซี คุณกลับไปพลิกตำรากฎหมายได้เลยว่ามีมาตราไหนบ้าง ที่จะเอาคนเป็นผัวเข้าคุกในคดีข่มขืน....ผมจะรอ...รอหมายศาล!”
เพียรภมรผลุนผลันออกไปด้วยตวามโกรธ สีหน้า แววตาของภูฉายที่มองตาม เครียดหนัก
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้น ลายสือเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนในหอพัก จืดและผลึกเดินตามเข้ามาหยุดมอง ผลึกพยักหน้าบอกกับจืด
“กูขอเวลาคุยกับมันเดี๋ยวหนึ่ง มึงออกไปก่อน”
“ได้ ถ้ามันคลั่งขึ้นมาละก็ มึงเรียกกูนะ กูจะโทร.เรียก191”
จืดเดินออกไป ผลึกเข้ามานั่งใกล้ๆ ลายสือ
“เขาจับได้แล้วใช่มั้ยว่ามึงเป็น...เอ้อ...”
ลายสือเงยหน้าขึ้นมองผลึก เห็นอาการนั้นผลึกนึกรู้ทันทีจึงเบือนหน้าหนีอย่างลำบากใจ
“กูนึกแล้ว...ว่าเรื่องยังงี้มันต้องเปิดโปงตัวเอง กูไม่สัญญานะว่าภาษิตมันถามกูเรื่องมึงกูจะไม่พูดความจริง”
“กูเข้าใจ แต่กูรักคุณศลัยจริงๆ ชีวิตกู...อนาคตของกู จะขาดคุณศลัยไม่ได้!”
“แล้วพ่อมึงล่ะ...พ่อมึงรอมึงอยู่นะ พ่อมึงนะ...พ่อ!” ผลึกเตือนสติเพื่อนเสียงดังลั่น
แววตาของลายสือว้าวุ่น ชักลังเล
ขณะนั้น แหมวยืนเหม่อลอยอยู่ระเบียงห้องที่บ้าน ท่าทีเหงาหงอย เศร้าหมอง ผู้ว่าฯ ผู้เป็นพ่อเดินออกมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ มองมาอย่างเข้าใจ
“ไม่ต้องเสียใจหรอกลูก หนูก็ทำหน้าที่ของหนูดีที่สุดแล้วนี่”
“เขายังเกลียดแหมว เกลียดคุณแม่ เกลียดพวกเราอยู่ใช่มั้ยคะ”
“ไม่รู้ พ่อเองก็ไม่เข้าใจเขา เรายังมีเวลาที่จะให้เขาอยู่นี่”
“แหมวสงสารคุณพ่อนี่คะ เขาน่าจะรู้...ว่าคุณพ่อหวังดีกับเขาแค่ไหน”
“แหมว บางที...ลายสืออาจจะมีเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเราก็ได้เพราะถึงยังไง..เราก็ยังเป็นครอบครัวของเขาได้ ตอนที่...ตอนที่เขาต้องการครอบครัวยังไงล่ะ”
แหมวมองหน้าพ่อ พ่อยิ้มให้อย่างปลอบโยน ขณะโอบไหล่ของแหมวไว้
พยาบาลกำลังเปลี่ยนเสื้อให้ศลัยลา หลังเช็ดตัวแล้ว ร่างกายยังมีบาดแผลบอบช้ำอยู่ เพียรภมรกังวลใจ
“ฉันดูท่าทีคุณภูแล้ว เขากำลังมีข้อต่อรองนะ”
“เรื่องลูกหรือ” ศลัยลาเงยหน้าถาม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” พยาบาลบอก
“ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลเดินออกไปแล้ว
“เรื่องหย่า หรือเรื่องลูก เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ” เพียรภมรหนักใจ
“ฉันไม่ยอมเสียลูกนะเพียร เสียอะไรได้ทั้งนั้น...แต่ลูก....ลูก”
ศลัยลาอารมณ์ขึ้น ด้วยความสะเทือนใจ
“เขามีข้ออ้าง” เพียรภมรบอก
“ผู้หญิงที่ร่ำๆ จะมีชู้ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลว หรือเป็นแม่ไม่ได้นี่!”
เพียรภมรจ้องหน้า “พี่ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่า...พี่มีอะไรกับเด็กนั่น”
“มันไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะปฏิเสธ...โลกต้องไม่เชื่อ ไม่ว่าฉันจะสาบานหรือไม่สาบาน เพียร...วันหนึ่งฉันอาจจะรักลายสือ ฉันไม่โกหกใคร...ว่าฉันจะไม่เริ่มต้นกับเขา...ถ้า…”
น้ำตาของความบอบช้ำ ขมขื่นและปวดร้าวจิตใจปะปนกับเสียงสั่นสะท้าน ที่เปล่งออกมา
“ถ้าฉันหย่ากับภูฉาย!”
ศลัยลาน้ำตาไหลพรูลงมาก่อนที่จะหลับตาลงอย่างอดกลั้น
ภูฉายขับรถยนต์เข้ามาจอดด้วยท่าทีเนือยๆ สลักเดินออกมาส่งทนาย
“ฉันจะนัดคุณทนายมะรืนนี้ดีมั้ยคะ เผื่อมีข้อมูลเพิ่มเติมจะได้รวบรวมไว้ให้คุณอีก”
ภูฉายแปลกใจ “คุณมาทำอะไรนี่คุณทนาย”
“คุณนายให้ผมมาพบเรื่องสรุปคดีน่ะครับ” ทนายบอกเกรงๆ
“เอาละ...คุณกลับไปก่อน แล้วยังไง...ฉันจะโทร.ไปนัดเมื่อสะดวกก็แล้วกัน”
“ผมลาละครับคุณภูฉาย”
ภูฉายรับไหว้อย่างงงงัน ทนายขึ้นรถยนต์ขับออกไป สลักเดินเข้าบ้าน ภูฉายข้องใจรีบเดินตาม
“นี่อะไรกันครับ แม่”
“ฟ้องกลับ..ฉันจะฟ้องนังศลัยลาข้อหาคบชู้!”
สลักพูดจบแล้วเดินเชิดเข้าบ้านไป
สีหน้า แววตาของภูฉายสลดลงๆ
ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาทุบตีและข่มขืนศลัยลาอย่างรุนแรงผุดขึ้นมาในห้วงคิด ภูฉายหลับตาลง รู้สึกผิดที่ทำร้ายศลัยลา แต่ก็ยังมีความรู้สึกโกรธที่ถูกศลัยลาทรยศตี สองความรู้สึกตีกันวุ่น
ภูฉายสับสน ว้าวุ่น และหวั่นกลัว
ด้านลายสือนั่งอยู่บนเตียงนอนผลึกและจืดแต่งตัวจะออกไปข้างนอก ผลึกถือกุญแจดอกใหญ่ ใหญ่มากๆ
“อย่าไปที่นั่นอีกนะ เขากำลังวุ่นวายกัน มึงต้องรู้นะ...ว่ากูลำบากใจแค่ไหนที่ต้องทำกับมึงยังงี้”
“เฮ้ย มึงจะไปขังมันทำไมวะ มันไม่ใช่นักโทษนะ” จืดงงตามเคย
“มึงไม่รู้อะไร เก็บปากเอาไว้กินนมก่อนนอนไป๊ ไอ้หนู...กูไปหาอาจารย์อังเดรบ่ายๆกลับ”
ลายสือนั่งนิ่งเงียบงัน ไม่พูดไม่จาอยู่อย่างนั้น
ผลึกกะจืดเดินออกจากห้อง ลั่นกุญแจดอกใหญ่ขังภูฉายไว้ในห้อง
ภาพที่จอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นบ้านนวลนภา เป็นภาพเพียรภมรกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวสายสังคมและสตรี
“เสรีภาพซีคะ...เสรีภาพเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ ผู้หญิงต้องมีสิทธิและเสรีภาพในสังคมนี้เท่าเทียมกับผู้ชาย...ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเพียงแต่พูดว่า สังคมให้สิทธิทัดเทียมอย่างเสมอภาค แต่โดยความเป็นจริงๆแล้วยังมีข้อกฎหมายบางมาตราที่ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของเพศผู้หญิง”
ภาษิตกดรีโมทปิดอย่างหงุดหงิด สีหน้าบ่งบอกความรู้สึกไม่พอใจ นวลนภาเดินออกมา
“ไม่ไปเยี่ยมศลัยลาหรือภาษิต แกควรจะไปนะ”
ภาษิตทอดถอนหายใจ
“ครับผมจะไป”
ภาษิตเดินมาตามทางเดิน มองเห็นห้องศลัยลาซึ่งมีตำรวจเฝ้าอยู่เปิดประตูค้างไว้ ช่างภาพกำลังถ่ายรูปบาดแผลของศลัยลา โดยมีเพียรภมรคุมอยู่ใกล้ๆ เพียรภมรมองเห็นภาษิต รีบเดินมาปิดประตูแล้วยืนขวางไว้
“นั่นคุณจะทำอะไร”
“ถ่ายรูปภาพบาดเจ็บของพี่ศลัย ประกอบหลักฐานการยื่นฟ้อง” เพียรภมรบอก
ภาษิตของขึ้น “คุณจะบ้าหรือ คุณกำลังจะทำให้ชีวิตพี่ศลัยพัง!”
“นี่เป็นการตัดสินใจของพี่ศลัยนะ คุณออกไป!”
“คุณ...คุณกำลังทำให้พี่ศลัยกลายเป็นคนบาดเจ็บทางจิตใจ ทั้งที่พี่สาวของผม...ไม่ได้มีพื้นฐานภูมิหลังทางครอบครัวเหมือนคุณ!”
ภาษิตชี้หน้าเพียรภมร โกรธจนหน้าดำหน้าเขียว
“คุณกำลังจะจับพี่ภูขื้นเขียง...เพื่อล้างแค้นแทนผู้หญิงทั้งโลก”
“นี่ พูดดีๆ นะภาษิต ไม่ยังงั้นคุณจะต้องเดินหน้าเข้าคุก” เพียรภมรโกรธเช่นกัน
“คำก็คุกสองคำก็คุก เอาซี่...มานี่”
ภาษิตกระชากลากตัวเพียรภมรออกไปโดยไม่ฟังเสียง
“ภาษิต..!”
ทุกคนมองตามไปอย่างตื่นตระหนกตกใจ
ไม่นานต่อมา ภาษิตกระชากเพียรภมรเข้ามาหยุดยืนหน้าประตูห้องกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลแห่งนั้น สองคนมองเห็นนักกายภาพกำลังทำกายภาพบำบัดให้ฉวีอยู่ในห้องไกลๆ เพียรภมรโกรธสุดขีดสะบัดออกสุดแรงจนหลุดพ้นการจับกุมของเขา
“ปล่อยฉันนะ คุณพาฉันมาทำไมที่นี่ อยากติดคุกหรือไง”
“คำก็คุกสองคำก็คุก...ให้มันรู้ไปซี ว่าการที่ผมพูดความจริงนี่มันเป็นเรื่องหมิ่นประมาท”
“หยุดนะ...ภาษิต”
“คุณไม่รู้หรอกว่าการที่คุณล้างแค้นผู้ชายทั้งโลกน่ะ คุณเอาชีวิตพี่สาวผมขึ้นไปประจาน...ใช่ซี...มันไม่ใช่ชีวิตของคุณนี่ คุณไม่ต้องขึ้นไปยืนอยู่บนคอกให้การ...คุณไม่ได้ถูกข่มขืน...คุณยืนอยู่ในจุดที่ผู้หญิงทั้งโลกชื่นชม คุณได้สองสิ่งไป ขณะที่พี่ศลัยไม่มีอะไรเหลือ!”
เพียรภมรย้อนถามเสียงกร้าว “ฉันได้อะไร!”
“หนึ่ง...คุณได้แก้แค้นผู้ชาย สอง...คุณได้ทำตัวเองให้เก่ง...ให้องอาจ ให้เป็นที่เคารพนับถือ ทั้งที่คุณก็เป็นได้แค่ตัวของคุณเอง หรืออาจจะเป็นอะไรไม่ได้เลย!”
ภาษิตจ้องตาเพียรภมรอย่างคั่งแค้นใจ พรั่งพรูความรู้สึกนึกคิดออกมาด้วยความขมขื่น ปวดร้าว และประชดประชันอย่างรุนแรง
เพียรภมรเงื้อมือหมายจะตบ ภาษิตจับรั้งไว้
“ปล่อยนะ..ปล่อยฉัน”
“ไม่...คุณน่ะลืมไปแล้วว่า คุณเป็นได้แค่ผู้หญิง เป็นผู้หญิงนี่มันก็ดีมากแล้วนะ อยากเป็นอะไรอีกล่ะ นั่น...หรือคุณอยากจะเป็นยังงั้น...”
ภาษิตชี้มือไปยังฉวี ซึ่งนั่งคอตก ก้มหน้านิ่งๆ อยู่
“เป็นอนุสาวรีย์ให้คนเขาเห็นว่า...พิการทั้งกาย...ทั้งใจ!”
เพียรภมรถูกพูดแทงใจดำจังๆ ถึงกับรับไม่ได้ยกมือปิดหู ร้องกรี๊ดสุดเสียง
ทางด้านสลักนั่งวางท่าอ่านหนังสืออยู่อย่างมีความสุข ละมัยเลียบๆ เคียงๆ ถามด้วยความอยากรู้เรื่องศลัยลามีชู้
“คุณนายคะ”
“หือ อะไรล่ะ นังมัย”
“จริงหรือคะ...ที่...ที่ว่าคุณศลัยมีชู้น่ะ”
“ก็จริงน่ะซี ภูเขาจะฟ้องกลับที่มันเล่นชู้ แกยังนับถือว่ามันเป็นแม่พระอีกหรือ นังโง่!”
“ไม่น่าเลยนะคะ ถ้าเป็นหนูละก็...”
“ทำไม”
ละมัยทำหน้าเจื่อนๆ ขณะบอก
“เป็นหนู...มีไปตั้งนานแล้วล่ะค่ะ”
“แหม นังมัย อีนัง...” สลักโมโหสุดขีดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ระหว่างนี้ภูฉายเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยไม่ได้ทักทายสลักสักคำ
“อ้าว ภู นั่นจะไปไหนล่ะลูก...ภู....ภูฉาย”
ละมัยขมวดคิ้วมองตามไป ด้วยสีหน้าสงสัย
“เอ๊ะ เดี๋ยวนี้คุณภูไม่ยักกะตอบว่า “ครับ....แม่” เลยนะคะคุณนาย สงสัยจะถ่านหมดนะคะ”
สีหน้าแววตาสลักเจื่อนไปสนิท
ผลึกและจืดอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม สภาพมอมแมมทรุดโทรม เพราะไปแฮงค์เอ้าท์ติดลมกันหลายคืน สองคนเดินกอดคอเข้ามาหน้าห้องในหอพัก
“เออ...ไปนอนค้างอ้างแรมติดลมกับอาจารย์อังเดรเสียสองสามคืน ดีว่ะ...ทุ่นค่าข้าวไปเก้ามื้อเต็มๆ” จืดว่า
“ข้อสำคัญ...สงสัยพวกเรามีหวังได้ตามอาจารย์ไปทำงานที่เคนยาว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ”
ผลึกชะงักหัวเราะค้าง มองไปยังกุญแจดอกใหญ่ที่ปิดล็อคประตูห้องอยู่แล้วนึกได้
“ฉิบหายละซี..ไอ้...ไอ้สือ กูขังไอ้สือเอาไว้ในห้อง ตายละวา...ป่านนี้มันอดข้าวอดน้ำตายไปแล้วละมั้ง”
“เปิดเร็วๆ ก็มึงนี่น้า...ชวนกูไปติดลมตั้งสองสามคืน ป่านนี้ไอ้สือมันกลับบ้านเก่าไปแล้วละ” จืดเร่งยิกๆ
ผลึกรีบลนลานเปิดกุญแจเข้ามาในห้อง แต่ไม่มีร่างของลายสือ ผลึกนึกรู้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหวาดระแวง
“กูว่า...มันไม่ได้กลับบ้านเก่าหรอก ป่านนี้...มันไปไหนต่อไหนแล้วละ”
วันนี้ศลัยลาครบกำหนดออกจากโรงพยาบาล และมีนวลนภากับภาษิตมารับ สองคนประคองศลัยลาลงมายังรถยนต์
“ระวังนะลูก แขนยังเจ็บอยู่นี่”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูเดินได้”
“ผมช่วยครับพี่ศลัย”
ศลัยลามองสบสายตากับภาษิต
“ไม่ต้อง”
“ให้ผมช่วยเถอะครับ ผมอาจจะไถ่โทษแทนผู้ชายทั้งโลกไม่ได้ แต่ขอให้ผมทำเพื่อพี่ศลัยบ้าง”
“ขอบใจนะ..ภาษิต”
ศลัยลายิ้มบางๆ นั่งรถยนต์ออกไป
โดยไม่รู้ว่าลายสือยืนมองอยู่ไกลๆ ด้วยแววตาเศร้าหมอง
ส่วนสลักกำลังสั่งทนายเสียดเข้ม ทนายจัดข้อมูลที่ได้จากสลักเข้าแฟ้ม ละมัยยกน้ำเย็นมาให้
“มันต้องเข้าไปนอนกันในโรงแรม สมัยนี้กรุงเทพฯมันมีแต่โรงแรมม่านรูดทั้งนั้น พอขับเข้าไปปุ๊บมันก็รูดม่านบดบังความชั่ว ผู้หญิงสมัยนี้มันถึงได้ทำชั่วง่ายดายนัก”
“โรงแรมอะไรครับ” ทนายถาม
“ฉันจะไปรู้หรือ โรงแรมก็ดกดื่น ฉันคาดเดาน่ะคุณทนาย”
ทนายบอก “การคาดเดา ใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องกลับไม่ได้หรอกครับคุณนาย”
“แต่มันต้องทำยังงั้นจริงๆ มันต้อง...”
ภูฉายเดินลงมา มองหน้าทนาย
“อ้อ คุณภูฉาย ผมกำลังต้องการพบคุณพอดี”
“นั่งลงลูก นั่งลง...แล้วปรึกษากันหาทางเอานังศลัยให้กระเด็นออกจากงานเลย เพราะข้อหามีชู้นี่เขาถือว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง”
ภูฉายบอกเสียงเครียด “คุณกลับไปก่อน ถ้าผมมีอะไร ผมจะไปพบคุณที่สำนักงานก็แล้วกัน”
“ได้ครับ”
ทนายเดินออกไป สลักโวยลั่นบ้าน
“อ้าว ภูทำไมแกทำยังงั้น แกไม่เห็นความหวังดีของแม่เลยนะ แม่อุตส่าห์เสียเวลาเรียกทนายเขามาชี้แนะ หาทางเอาชนะนังศลัยลา จะได้ฟ้องเอาลูกคืนพร้อมค่าสึกหรอ เอาแกเป็นเป็นผัวตั้งนาน แกควรจะได้รับค่าเสียหายสักสี่ซ้าห้าล้าน”
ภูฉายเดินหนีไปดื้อๆ สลักอ้างปากค้าง ครางเสียงอ่อยๆ
“ภู…”
สลักกับละมัยมองตามท่าทีแปลกประหลาดของภูฉายไปอย่างงงงัน
ปีกมาร ตอนที่ 12 (ต่อ)
ด้านผลึกกะจืดยืนกอดอกนิ่งๆ ต่างคนต่างครุ่นคิด จู่ๆ ลายสือเปิดประตูเข้ามา
“ไปไหนมาวะ กูกำลังเป็นห่วงมึง” ผลึกถามเสียงขุ่นอย่างมีอารมณ์
“มึงออกไปได้ยังไงไอ้สือ ก็ประตูมันปิด” จืดถามงงๆ ตามเคย
“ประตูน่ะ...มันขังกูไม่ได้หรอก กุญแจใหญ่แค่ไหนก็ขังกูไม่ได้ มึงก็รู้ว่ากูต้องไป”
ลายสือบอกแล้วเดินเข้าห้องไป สีหน้าผลึกกังวลและห่วงใยเมื่อมองตาม จืดดีดนิ้วเปาะอย่างตื่นเต้น เหมือนนึกบางอย่างได้
“กูรู้แล้วว่าไอ้สือมันเป็นอะไร มันมีความรัก...มันกำลังมีความรักว่ะ”
ผลึกมองจืดอย่างเบื่อๆ ในความซื่อของจืด ก่อนเดินผละไป จืดตื่นเต้นอยู่นั่น
คืนนั้นศลัยลายืนกอดอกเหม่อมองออกไปอย่างเศร้าหมอง ยังมีริ้วรอยของบาดแผลบอบช้ำให้เห็นอยู่แต่จางลงไปมาก นวลนภาเดินออกมาหยุดยืนเคียง
“แม่ถามอะไรสักอย่างได้มั้ย ศลัย”
“เรื่องลายสือใช่มั้ยคะ”
“แม่เดาไม่ผิดใช่มั้ย”
ศลัยลาก้มหน้านิ่งแทนคำตอบ
“แล้วภาษิตรู้เรื่องนี้มั้ย”
“คงไม่รู้หรอกค่ะ”
“บอกแม่ได้มั้ยว่าทำไม...ทำไมถึงไม่ใช่คนอื่น มันควรจะเป็นคนอื่น”
“หนูตอบไม่ได้หรอกค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นลายสือ....มันเหมือนกับหนูเดินทางมาไกล ไกล..แล้วหนูก็เหนื่อย...เหนื่อยมาก”
น้ำตาของศลัยลาคลอเต็มดวงตา
“หนูต้องการแค่น้ำเลี้ยงหัวใจสักหยด...หยดเดียวเท่านั้นเอง...แล้วเขาก็มีให้ เรายังไม่ได้ทำอะไรผิด แต่วันหนึ่ง...หนูไม่สัญญาหรอกค่ะ คุณแม่”
นวลนภายิ้มตื่นเต้น
“แม่เชื่อ...ว่าศลัยเคารพตัวเองพอที่จะไม่ทำชั่ว แม่เชื่อลูกของแม่”
“ถ้าหนูไม่มีลูก หนูคงจะ…”
“ศลัย...อย่าตัดสินใจเร็วนัก ให้เวลามันถ่วงปัญหา เผื่อเราจะได้คำตอบ”
ศลัยลาโอบกอดนวลนภา น้ำตาเต็มตา น้ำเสียงสั่นเครือ
“อย่าทิ้งหนูนะคะ คุณแม่”
“ไม่...แม่ไม่ทิ้งลูก ไม่ทิ้ง”
สีหน้าแววตาของนวลนภาครุ่นคิดตริตรอง
เวลาเดียวกันภูฉายขับรถยนต์เข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาล เงยหน้าขึ้นมองอาคารผู้ป่วยที่ศลัยลาพักฟื้นอยู่ ด้วยแววตาเครียดเคร่ง ครุ่นคิด ในท่าทีลังเล ก่อนที่จะลงจากรถ เดินเข้าไปในอาคาร
ด้านผลึกเดินตามลายสือออกมาหน้าห้องพัก
“มึงจะไปไหนวะ ไปหาอาจารย์อังเดรกันดีกว่า อาจารย์ต้องการพบมึงนะ”
“ไปบ้านภาษิต”
“มึงจะไปทำไมที่นั่น ไปเคนยาซีวะ...ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วทิ้งเรื่องนี้ลงถังขยะ นั่นน่ะ..คืออนาคตนะ”
“กูไม่วันปล่อยให้คุณศลัยลาสู้ปัญหาคนเดียว กูตัดสินใจแล้วเป็นไงเป็นกัน!”
ลายเสือเดินดุ่มออกไป
“ไอ้สือ..ไอ้ผีกระสือ..ไอ้…”
ผลึกร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก
สลักเดินไปมาหน้าโต๊ะอาหาร ละมัยกำลังปัดแมลงวันที่จานถ้วยกับข้าวรออยู่
“อ้อ มาแล้ว เดี๋ยวแกเอาแกงไปอุ่นก่อนนะ จะได้ร้อนๆกำลังพอดี”
“ค่ะ”
ภูฉายเดินหน้าเครียดเข้ามา
“ภู กินข้าวเถอะลูก แม่รอแกตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ที่ทำงานเขาบอกว่าออกไปตั้งแต่บ่าย แกไปไหนมา ฮึ”
“ผมไปโรงพยาบาลครับ”
สลักโมโห “ไปโรงพยาบาล อ้อ ไปดูนังศลัยลาว่ามันปางตายแค่ไหนซีนะแล้วเป็นยังไงล่ะ ยังพอเหลือสังขารให้เล่นชู้มั้ย”
“ผมไม่ทราบ หมอบอกว่าศลัยกลับไปแล้ว”
“งั้นมันคงไม่เป็นอะไรหรอกน่ะ..ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่ประพฤติตัวเป็นกากี แหม..ฉันอยากรู้นัก ได้ผัวดีๆยังงี้แล้ว มันเลือกผู้ชายชนิดไหนเป็นชู้นะ”
สลักยิ้มเยาะสะใจ
ลายสือมาพบศลัยลา นั่งรออยู่ในบ้าน นวลนภาเดินออกมาหา สีหน้าแววตาของนวลนภาค่อนข้างเย็นชา
“ลายสือ แม่ขอพูดอะไรด้วยหน่อย”
“คุณศลัยล่ะครับ เอ้อ...ผม..ผมเป็นห่วงคุณศลัย”
“บางที ความหวังดีนี่มันก็ต้องมีขอบเขตเหมือนกันนะ คือมันต้องรู้ว่าเราอยู่ในฐานะห่วงคนอื่นได้แค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ลูกเขาเมียคนอื่น..!”
“คุณแม่”
“โบราณท่านว่า...จิ้งจกทักยังหยุด นี่คนทักทั้งคน...จะไม่หยุดตัวเองสักก้าวหนึ่งหรือ แม่รู้..คนหนุ่มน่ะไฟแรงแบบนี้ทั้งนั้น แต่แรงอยู่ไม่นานหรอกมันไหม้ตัวเองแล้วก็ดับ!”
“แต่ผมจริงใจกับคุณศลัยลานะครับ คุณแม่ ผมอาจจะเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนอื่น แต่ผมขอยืนยันในความรักของผม!”
“ฟังดูน้ำเน่านะ” นวลนภาจ้องหน้าชายหนุ่ม
“ครับ มันฟังดูทำนองนั้นแหละครับคุณแม่ แต่เชื่อผมเถอะ...คุณศลัยหย่าได้เมื่อไหร่ ผมจะแต่งงานกับคุณศลัยลาทันที...ผมเดินหน้าครับคุณแม่ ผมไม่มีก้าวถอยหลัง..!”
ลายสือกล่าวด้วยความเชื่อมั่น ก่อนที่จะไหว้ลาแล้วเดินดุ่มออกไป
นวลนภามองตามไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นและกังวลใจ
ในขณะที่ละมัยเก็บกวาดบ้านอยู่นั้น เห็นสลักวิ่งตามภูฉายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหนื่อยล้า สลักโวยวาย ตีโพยตีพาย บีบคั้นอารมณ์สุดๆ ภูฉายทั้งอดกลั้น และอดทนสุดขีด
“แกจะไม่ทำอะไรสักอย่างหรือ แม่ร้อนจนใจมันจะกลายเป็นกองไฟแล้วนะ แกไม่รู้หรอก...ว่าแบกขุมนรกเอาไว้ในอกน่ะมันร้อนแค่ไหน ภู...ภู!”
ภูฉายเดินหนีขึ้นชั้นบนไป สลักน้อยใจ ถอนหายใจหนักๆ แล้วหันกลับมาตวัดสายตาค้อนละมัย
“มองอะไร นังมัย”
ละมัยทำหน้าเจื่อนๆ
“เปล่าค่ะ”
“ยังจะมีหน้ามาบอกเปล่าอีก ก็ฉันเห็นอยู่ทนโท่ว่าแกสาระฉันเรื่องของฉันกับภู นังนี่... จริงซีนะ ภู พักนี้เขาแปลกๆ ไปนะ ก็น่าจะให้เขาแปลกหรอก ผัวที่ถูกเมียสวมเขาให้นี่ ไม่แปลกก็ประหลาดละ!”
สลักพูดเองเออเอง
ฟากภาษิตวิ่งลงมาจากบันไดอย่างรีบร้อน นวลนภาเดินกลับเข้ามาในบ้าน ด้วยสีหน้าแววตาหวั่นวิตกอย่างรุนแรง
“เมื่อกี้ใครมาครับ”
“ลายสือ”
“อ้าว แล้วทำไมมันไม่เข้ามาล่ะครับ”
“เขากลับไปแล้ว!”
“เอ๊ะ มันมาทำไม มาถึงแล้วก็กลับ ผมกำลังอยากพบมันอยู่พอดี”
แววตาของนวลนภาหวั่นระแวง หวาดกลัว
“แกจะพบลายสือเรื่องอะไร”
“เรื่องงานครับ...ได้ข่าวว่าอาจารย์อังเดรเขาอยากได้ตัวมันไปทำงานที่เคนยาด้วย อยากลุ้นให้มันไปน่ะครับ ไหนๆ อยู่เมืองไทยมันก็ไม่มีแม้แต่บ้าน ไป...ก็อาจจะมีอนาคตเป็นนักโบราณคดีดังได้”
แววตาของนวลนภาสลดลง
“แล้วทำไมเขาไม่ไปล่ะ”
“ผมเองก็อยากรู้ว่าทำไมมันไม่ยอมไป”
สีหน้าแววตาของภาษิต ฉงนฉงายไม่เข้าใจลายสือเอามากๆ ที่เหมือนไม่ใส่ใจโอกาสดีๆ ในชีวิต
สองสาวอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เห็นเงาของศลัยลายืนท้าวคางเหม่อมองลงไปในสายน้ำ จ้องมองเงาตัวเองอย่างเหงาๆ เพียรภมรเดินเข้ามายืนใกล้ๆ
“ที่ยังไม่กลับบ้านนี่ พี่ศลัยหลบหน้าลายสือใช่มั้ย”
“ฉันไม่ควรพบเขา”
“คิดได้ยังงั้นก็ดีแล้ว พี่ศลัย...ดูเงาของพี่ในน้ำนั่นซีคะ พี่ยังสาวยังสวย เพียรออกจะเห็นใจลายสือเขาอยู่นะ การแต่งงานหรือการมีลูกมันไม่ได้ทำให้พี่บุบสลาย แต่ถ้าพูดในแง่ที่คุณภูเขาเป็นสามี เขายังหวงพี่อยู่นะ”
ศลัยลาหมุนตัวกลับมา แววตากระด้างขึ้นมาทันที
“สันดานของผัวทุกคน ก็มีสัญชาติญาณของหมาหวงก้างทั้งนั้นแหละ!”
“หมายความว่า...พี่ยังยืนยันที่จะฟ้องเขานะ พี่ศลัย”
“ใช่ ฉันต้องหย่ากับเขา!”
เพียรภมรยิ้มในสีหน้าอย่างสมใจ
“ต้องเร็วที่สุด เสียเท่าไหร่เสียไป ฉันไม่ยอมเสียคือลูก ฉันต้องได้ลูกมา”
แววตาของศลัยลาเต็มไปด้วยความชิงชังภูฉายกับสลัก
“ฉันจะไม่ยอมแพ้ภูฉายกับแม่ของเขา!”
เวลาเดียวกันภาษิตเดินเข้ามาเคาะประตูห้องพักสามหนุ่ม ยืนรอสักครู่ ก่อนจะเคาะซ้ำผลึกเปิดประตูโผล่ออกมาดู เมื่อเห็นเป็นภาษิต ท่าทีของผลึกลอกแลก ส่อพิรุธเต็มที่ ออกอาการหวาดหวั่นออกมาตลอด
“ไอ้...ไอ้ภาษิต”
“เป็นอะไรวะ หน้ากูเหมือนหน้าเจ้าหนี้หรือยังไง”
“ปละ...ปละ...เปล่า...กู...กูไม่มีอะไรจริงๆ มึงมาทำไมวะนี่”
“เฮ้ย เข้ามาข้างในก่อนซีวะ มึงจะยืนขวางโลกคุยกันยังงั้นหรือวะ” จืดบอก
“กูมาหาไอ้สือ เออ ขอบใจว่ะเพื่อน กูก็รอให้ไอ้ผลึกมันเชิญจนเมื่อยแล้ว”
ภาษิตเดินเข้าภายในกับจืด ผลึกตาเหลือก เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะหวาดระแวงสันหลังหวะ เกรงภาษิตจะรู้เรื่องลายสือกับศลัยลา
“มาหาไอ้สือ..ยุ่งละมึง!”
เวลาเดียวกัน ที่ร้านเหล้าริมถนนละแวกท่าพระจันทร์ แก้วเหล้าตั้งอยู่ตรงหน้าลายสือ เป็นเหล้าไทย 40 ดีกรี ลายสือนั่งหมุนแก้วเหล้าตรงหน้าเล่นช้าๆ สีหน้าและแววตาครุ่นคิด
อาจารย์อังเดรผ่านมา ชะงักเมื่อเห็นลายสือ
“ลายสือ”
ลายสือค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สีหน้าเจื่อนๆ ยกมือไหว้
“กินเหล้าตอนแดดเหมือนฟ้าจะผ่ายังงี้ ไม่สบายหรือเปล่า”
“อาจารย์”
“ทำไมเธอไม่ไปพบฉัน ฉันสั่งเพื่อนเธอ เขาไม่ได้บอกเธอหรือ”
“เอ้อ...บอก...บอกครับ แต่...”
“ไม่ว่างไปพบฉัน แต่มีเวลามานั่งกินเหล้า ถ่านไม่เอา...ขี้เถ้าไม่โกยยังงี้...ไม่ดี...ไม่ดี”
น้ำเสียงและแววตาของอังเดรตำหนิลายสือเต็มที่ ลายสือหลบสายตาก้มหน้าลง
อังเดรจ้องมองท่าทีของลายสือด้วยความสงสัย
“เป็นอะไร ลายสือ”
สลักเพิ่งกลับจากร้านทำผม เดินนวยนาดเข้ามาในบ้าน เอามือกุมผมมาบ่นบ้าไปด้วย
“โอย ทีหลังฉันไม่นั่งหรอกตุ๊กๆ น่ะ ถูกหน่อย...แต่เผ้าผมกระเชิงจนจะหลุดจากหัว มัย...นังมัย”
“ขา”
“กับข้าวกับปลาแกเตรียมหรือยัง เดี๋ยวภูเข้ากลับจากที่ทำงานแล้วละ”
“จะกลับหรือคะ หนูว่าคุณภู...”
“ทำไมจะไม่กลับ ไม่กลับบ้านเขาจะไปไหน ผู้หญิงกี่คนฉันก็ตีแตกไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่นังศลัยลานี่แหละ แต่หลักฐานมัดตัวออกยังงั้นแล้วมันต้องกระเด็นแน่ เออ...เมื่อคืนฉันลืมดูละคร มันไปถึงไหนแล้ว”
“ถึงตอนแม่ผัวกำลังจะเขี่ยลูกสะใภ้ให้กระเด็นค่ะ”
ละมัยแกล้งยิ้มซื่อๆ สลักชะงัก หันมามอง ไม่แน่ใจว่าตนถูกประชดหรือไม่
“เหมือนชีวิตน้ำเน่าเลยนะคะ คุณนาย!”
ละมัยลอบมองค้อนสลัก
ภาษิตเดินไปมารอลายสือนานแล้ว ผลึกนั่งทำงานอยู่ ชำเลืองมองภาษิตอย่างลำบากใจ
“เอาน้ำเย็นมั้ยวะ น้ำเปล่าๆ มีไม่อั้นว่ะ”
“ไม่ต้อง กูกินจนพุงกางแล้ว ทีหลังหัดซื้อน้ำอัดลมไว้รับรองเพื่อนฝูงบ้างซีวะ ไอ้จืด”
“งั้นกูเก็บแก้วไปนะ”
จืดเก็บแก้วเดินออกไป ผลึกหนาวสั่น ส่อพิรุธเต็มๆ
“มะมะมะ..มึง...มึงมีธุระอะไรกับไอ้สือวะ”
“เปล่า กูมาถามข่าวเรื่องงานมันน่ะ ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์จะมีธุระกับใครทั้งนั้นแม้แต่ตัวกูเอง”
“เอ้อ..แฮ่ะๆ ไอ้สือมันก็คงคิดหยั่งมึง มันเคยเป็นคนดีที่น่านับถือนะ กูไม่นึกเลย ว่ามันจะกลายเป็นไอ้บ้า กูน่ะ...หวังดีต่อมันอยากให้มันไปเคนยา แต่ไอ้สือมันรั้น...มันร่ำๆจะปีนต้นงิ้ว”
ผลึกลืมตัว ใส่อารมณ์แบบจัดเต็ม ท่าทีเคืองแค้น
“เป็นหนุ่มทั้งแท่ง...หนอย...เสือกกินแตงเถาตาย เกิดเป็นผู้ชายทั้งทีไม่รู้จักเลือกเกิด ดันเลือกไปเป็นชายชู้!”
“ไอ้สือน่ะหรือ” ภาษิตฉงน ขมวดคิ้ว
“จะใครที่ไหนล่ะ มันละ”
ภาษิตชักสนใจ “ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะ”
“ศะ-ลัย-ลา อุ๊ย”
ผลึกรีบตะปบปากตัวเองไว้
สีหน้าแววตาของภาษิตตื่นตระหนก กระชากคอเสื้อผลึกเขย่าแรงๆ
“พี่ศลัยหรือ”
ศลัยลาเปิดประตูเข้ามา นวลนภากำลังเตรียมอาหารสำหรับเด็กอยู่
“กลับมาแล้วหรือ ช้าไปเกือบสองชั่วโมงนะ แม่ห่วง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่ หนูไม่อยากกลับบ้าน กลัวว่า...”
“จะพบลายสือใช่มั้ย” นวลนภาพยักหน้ารับรู้ “ใช่ หนูคิดถูกแล้วละ เขามาที่นี่”
ศลัยลาถอนหายใจ
“เป็นเพราะเขายังเด็ก เขาถึงได้หัวรั้น”
“ศลัย แม่กลัวใจลายสือนะ คิดบ้างมั้ย...ถ้าลายสือกับภูฉายเจอกัน…อะไรจะเกิดขึ้น”
สีหน้าแววตาของนวลนภาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและกังวลใจ
ขณะที่ลายสือเปิดประตูเข้ามา เขาก็ถูกภาษิตที่รออยู่แล้วต่อยเข้าหน้าเต็มแรงด้วยความโกรธจัด และเสียใจ จนร่างลายสือเซไป ภาษิตถลันจะเข้าไปซ้ำ แต่ผลึกรีบกันเอาไว้
“เฮ้ย ภาษิต อย่านะ อย่าๆๆๆ กูไม่ได้ตั้งใจ กูมีอารมณ์ร่วมไปนิด กูถึงได้พูดมาเรี่อยเปื่อย เฮ้ย..หยุดโว้ย”
“กูจะฆ่ามัน มึงปล่อยกูนะ!”
จืดรีบเข้ามาช่วยห้ามอย่างงงัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“มันเป็นอะไรวะ เฮ้ย ไอ้สือน่ะเพื่อนนะโว้ย กูว่าไอ้นี่มันต้องผีเข้าแน่ๆ เลยว่ะ เมื่อกี้นี่มันนั่งกัดฟันกรอดๆ รอมึง”
ผลึกขอร้อง “กูขอร้องนะ อย่ามีเรื่องกันเลยว่ะ กูเสียใจจริงๆ ที่...ที่...”
ภาษิตทั้งสะเทือนใจทั้งโกรธจัด ระเบิดอารมณ์ใส่
“กูไม่นึกเลยว่าผู้ชายเฮงซวยคนนั้นคือมึง มึงมันสัตว์ มึงทำร้ายชีวิตพี่ศลัย ทั้งที่พี่ศลัยเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด มึง...มึง...”
“มึงต้องฟังกูนะ”
“กูเสียใจ...ไม่ใช่เพราะพี่กูมีชู้หรอก แต่กูเสียใจที่ผู้ชายเลวๆ คนนั้นคือมึง...!”
ภาษิตผลุนผลันออกไป จืดตาเหลือก ด้วยความตื่นตระหนก ไม่รู้เรื่องราวกะชาวบ้านเขา
“ชะ ๆๆๆ ชู้..ชายชู้!”
ลายสือแตะเลือดที่ซึมออกมาตรงมุมปาก เดินเข้าห้องไป
“เฮ้ย...นี่...นี่หมายความว่า...ไอ้...ไอ้สือ…”
จืดตื่นตะลึง เพราะเพิ่งรู้ความจริง ผลึกถอนหายใจอย่างกังวลหนักอกหนักใจ
“เออ คือมัน!”
ศลัยลายืนรอภาษิตอยู่ ภาษิตเปิดประตูเข้ามา สีหน้ามึนตึง ศลัยลาเอื้อมมือไปจะจับไหล่ของน้อง ถูกภาษิตสะบัดตัวออกไปอย่างฉุนเฉียว และรังเกียจ
“ไปกินเหล้ามาหรือ”
“อย่ามายุ่งกับผมนะ”
ถูกภาษิตตวาดศลัยลางง
“ภาษิต เป็นอะไรน่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพี่ศลัยหรอก มันก็แค่...ผมผิดหวังในตัวเพื่อนเลวๆ บางคน”
“ลายสือใช่มั้ย”
“พี่ศลัยก็รู้อยู่แล้วนี่ หัวเราะซี...หัวเราะเยาะความโง่ของผม”
ศลัยลาขึ้นเสียงดัง “มันไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะหรอก มันเป็นเรื่องน่าร้องไห้มากกว่า มันไม่ใช่ความผิดของลายสือ แต่เป็นความผิดของพี่เอง!”
“พี่ศลัยกำลังจะบอกว่า...พี่ศลัยเป็นคนเริ่มต้น”
“ใช่ พี่เริ่มต้นเอง ไม่ใช่ลายสือ อย่าโกรธเขาเลย”
“พี่ศลัย”
แววตาของภาษิตผิดหวังยิ่งขึ้นอีก จ้องมองศลัยลาด้วยน้ำตาเต็มตา ภาษิตรับไม่ได้
“ผมรู้...รู้ว่าพี่ศลัยไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพี่ภู...แต่ทำไม...ทำไมไอ้คนที่เล่นบทชายชู้จะต้องเป็นลายสือ ต้องเป็นเพื่อนผมด้วย..ทำไม!”
ภาษิตผลุนผลันเข้าบ้านไป ศลัยลายังคงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น น้ำตาค่อยหยดรินไหลออกมารดแก้มนวล
อ่านต่อตอนที่ 13