กาญจนบุรี - อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม สั่งเร่งขนย้ายสารพิษที่มีผู้ลักลอบนำมาทิ้งกลางป่าเมืองกาญจน์ไปทำลายแล้ว ด้านกลุ่มอนุรักษ์กาญจนบุรียื่นหนังสือถึง DSI ส่งเจ้าหน้าที่กวาดล้างขบวนการทิ้งสารพิษทั้งระบบ “ผบก.กาญจน์” เตรียมดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างไม่ไว้หน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีมีผู้ลักลอบนำสารเคมีบรรจุถังพลาสติก และถุงบิ๊กแบ็กไปทิ้งที่บริเวณป่าเชิงเขาตอง บ้านหนองสองตอน หมู่ 6 ต.ท่าล้อ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ภายหลังการตรวจสอบของผู้ชำนาญการเกี่ยวกับสารพิษ ปรากกฏในเบื้องต้นเป็นสารเคมีประเภทแคดเมียม และโครเมียม ซึ่งเป็นสารอันรายต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ไปแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าม่วง ในการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ลักลอบนำสารเคมีมาทิ้ง
ล่าสุด เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (20 ส.ค.) นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ว่าจ้างบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) และ บมจ.อัคคีปราการ นำเจ้าหน้าที่พร้อมรถบรรทุกขนาดใหญ่มาขนย้ายสารเคมีทั้งหมดออกนอกพื้นที่เพื่อนำไปกำจัดด้วยการฝังกลบ และเผาทำลาย
น.ส.วนิดา วรพิทยาฤกษ์ ผจก.สิ่งแวดล้อม บมจ.อัคคีปราการ กล่าวว่า เบื้องต้นทางบริษัทได้นำรถบรรทุกมาขนย้ายสารโคลิเมอร์ออกไปแล้ว 1 เที่ยว หรือ 1 บล็อกภาชนะ และจากการประเมินการขนย้ายซึ่งวันนี้ได้นำรถบรรทุกเข้ามาขนย้ายเพิ่มเติมรวมทั้งหมด 3 พ่วง 6 บล็อก ซึ่งจะต้องนำมาขนทั้งสารเคมีที่เป็นถัง และดินที่ปนเปื้อนสารเคมี ซึ่งการขนย้ายเบื้องต้นพบว่าถังบรรจุสารเคมี มีอยู่ประมาณ 80 ใบ ซึ่งจะต้องใช้รถทั้งรวม 5 บล็อกภาชนะ
ส่วนบล็อกที่เหลือก็จะใช้สำหรับขนย้ายดินที่ปนเปื้อนสารเคมี สำหรับพื้นดินที่คาดว่าจะมีสารเคมีซึมลงไปใต้ดินนั้นคงมีไม่มากนัก เนื่องจากพื้นใต้ดินจะเป็นหินทั้งหมด ส่วนสารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งที่จุดนี้ได้แปรสภาพจากของเหลวเป็นของแข็งแล้วบางส่วนด้วย จึงทำให้ซึมลงสู่พื้นดินน้อยลง
ส่วนสารเคมีทั้งหมดจะนำไปเผาทำลาย ซึ่งเป็นเตาเผาเขย่าสารดำซึ่งเตาเผาเป็นของกรมโรงงานอยู่แล้ว ส่วนของเราเป็นบริษัทเอกชนที่ได้รับการสัมปทานจากกรมโรงงานในการเข้าไปบริหารงาน โดยหลังจากที่เราเคลียร์พื้นที่ได้หมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การเก็บตัวอย่างดินที่เหลือไปพิสูจน์ดูว่า พื้นที่แห่งนี้ยังมีสารเคมี หรือวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่งตกค้างอยู่หรือไม่ และหากพิสูจน์แล้วพบว่าดินที่นำไปพิสูจน์ยังมีสารตกค้างอยู่ทางบริษัทก็จะปรึกษากับอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี ว่า จะให้ทางบริษัทเข้ามากำจัดต่อไปหรือไม่
ด้านนายปราโมทย์ กันโพธิ์ หัวหน้าส่วนงานบริหารการตลาด บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ทางบริษัทเข้ามาขนย้ายตะกรันหลอมอะลูมิเนียมออกนอกพื้นที่ ซึ่งเราได้นำรถมาทั้งหมด 3 พ่วง เนื่องจากประเมินแล้วคาดว่าจะมีวัสดุที่จะต้องขนย้ายออกไปประมาณ 60 ตัน คาดว่าวันนี้คงจะยังไม่แล้วเสร็จ แต่เราจะขนย้ายในส่วนที่บรรจุอยู่ในถุงบิ๊กแบ็กออกไปก่อน
ส่วนวันพรุ่งนี้ (21 ส.ค.) ก็จะขูดเอาดินที่มีสารซึมลงไป แต่คงขุดไม่ลึกเนื่องจากพื้นที่เป็นชั้นหิน สรุปก็คือ วันนี้จะขนย้ายในส่วนที่เป็นฝุ่นออกไป ส่วนพรุ่งจะเป็นการเอาดินที่ปนเปื้อนออกไป เบื้องต้นตนประเมินว่าตะกรันที่ถูนำมาทิ้งคาดว่าจะมีน้ำหนักรวมกันประมาณ 200 ถึง 250 ตัน ซึ่งรวมน้ำหนักของดินที่ปนเปื้อนสารเคมีด้วย สำหรับการกำจัดเราจะนำไปทำลายด้วยวิธีฝังกลบในแบบหลุมอันตราย แต่ต้องนำไปลดค่าของสารอันตรายก่อนแล้วค่อยนำไปฝังกลบ ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนัก เนื่องจากทางบริษัทมีเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่แต่ละแผนกอยู่แล้ว ส่วนการขนย้ายคาดว่าพรุ่งนี้ (21 ส.ค.)ก็คงจะแล้วเสร็จ
ทางด้านนางภินันทน์ โชติรสเศรณี เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ทราบข่าวว่า มีการลักลอบนำสารพิษมาทิ้งในพื้นที่เชิงเขาหมู่ 6 ต.หนองสองตอน ต.ท่าล้อ จากนั้นเราได้เข้าไปดูในพื้นที่ว่ามีจริงหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าเป็นเรื่องจริง และเมื่อเข้าไปสัมผัสทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่าแสบเนื้อแสบตัว และจมูก จึงมั่นใจได้ว่าทั้งหมดเป็นสารพิษ และได้มีการบันทึกภาพเอาไว้ จากนั้นจึงไปถามความจริงจากกำนันในพื้นที่ ซึ่งกำนันได้บอกแก่เราว่า ทางจังหวัดได้สั่งการให้ทางเทศบาลขนสารเคมีไป ซึ่งขณะนั้นกลุ่มอนุรักษ์ก็สงสัยว่าถ้าทางเทศบาลขนไปและจะขนไปไหน เราจึงคิดว่าทุกคนในพื้นที่ไม่มีความรู้ทางด้านสารเคมี แล้วจะให้เอาไปทิ้งที่ไหน ส่วนตัวเองเคยทำงานด้านนี้มานาน
เช่น สารพิษจากคลองเตย ที่ถูกนำไปทิ้งเราก็ได้ต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้นานกว่า 6 ปี จึงสำเร็จ ในเมื่อไม่ทราบว่าจะนำสารเคมีที่พบไปทิ้งที่ไหน ดังนั้น กลุ่มอนุรักษ์กาญจนบุรี จึงเดินทางไปพบท่านอธิบดีกรมโรงงานฯ จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการบอกให้ท่านอธิบดีฯ ทราบว่าสารเคมีเหล่านี้มันเกินความสามารถที่ในระดับจังหวัดจะจัดการเองได้ และได้บอกท่านอธิบดีไปว่า หน่วยงานที่จะต้องดำเนินการก็คือ กรมโรงงาน และกรมโรงงานจะต้องเป็นผู้ดำเนินการกำจัดสารพิษเหล่านี้ด้วยตนเอง ซึ่งท่าอธิบดีกรมโรงงานก็รับทราบปัญหา และลงพื้นที่มาสั่งการด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่ทางกลุ่มอนุรักษ์ให้ความสำคัญอีกประเด็นหนึ่งก็คือ จะต้องติดตามจับกุมกลุ่มผู้ที่ลักลอบนำสารพิษเหล่านี้มาทิ้งในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้น เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา เราจึงเดินทางไปยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ให้เข้ามาสืบสวนสอบสวนหาที่มาว่าสารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งนั้นมากจากที่ไหน และมาจากโรงงานไหน เพื่อดำเนินคดีต่อเจ้าของตัวจริง และอยากให้สืบต่อไปว่า ใครเป็นคนสั่งให้นำสารพิษมาทิ้งที่จังหวัดกาญจนบุรี เพราะจังหวัดกายจนบุรีเป็นเมืองท่องเที่ยวทางด้านธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นต้นน้ำที่นำไปใช้สำหรับการอุปโภคบริโภค และการเกษตร ผู้ใช้ประโยชน์มีหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย กลุ่มอนุรักษ์กาญจนบุรีหวั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้จังหวัดกาญจนบุรีเสียชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยว
“ดังนั้น เราจึงเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เพื่อให้เข้ามาสืบสวนดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้กระทำผิดทั้งหมด อย่างน้อยก็จะได้เป็นคดีตัวอย่าง เพราะคนพวกนี้เอาสิ่งที่เขาได้ประโยชน์ไปแล้ว แต่เมื่อเป็นสารพิษกลับนำมาทิ้งในพื้นที่จังหวัดอื่น ซึ่งกลุ่มอนุรักษ์กาญจนบุรีมองว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาระดับชาติ ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรม ทำงานเหมือนเช้าชามเย็นชาม แต่เรื่องนี้ท่านจะต้องตื่นตัว รีบเร่งในการสืบหาข้อมูลว่าสารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งนั้นมาจากที่ใด ซึ่งเอกสารก็ปรากฏอยู่ที่ถังบรรจุสารเคมีอยู่แล้ว หลังจากได้ข้อมูลที่เป็นจริงก็ขอให้รีบส่งข้อมูลให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็ว เพื่อที่เขาจะได้ดำเนินการเรียกตัวมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว” นางภินันทน์ กล่าว
พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหา เบื้องต้น มีผู้ถูกกล่าวหาเดินทางเข้ามามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง แล้ว 1 ราย แต่ผู้ถูกกล่าวหายังให้การปฏิเสธ และไม่ยอมซัดทอดถึงกลุ่มผู้ร่วมขบวนการ แต่ถึงแม้ผู้ถูกกล่าวหาจะไม่ซัดทอดก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสืบสวนในเชิงลับ และรู้หมดแล้วว่าผู้ร่วมขบวนการนั้นมีใครบ้าง เพียงแต่ขณะนี้พนักงานสอบสวนรอเพียงข้อมูลหลักฐานการวิเคราะห์ว่าสารเคมีที่ถูกนำไปทิ้งนั้นเป็นสารพิษหรือไม่ และหากใช่ผู้ถูกกล่าวหาจะถูกดำเนินคดีอาญาเพิ่มอีกข้อหาหนึ่ง
ส่วนผู้ที่ยังไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน หากเรียกให้มาพบแล้วแต่ยังไม่มา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำรายงานถึงศาลจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขออนุมัติหมายจับต่อไป และคาดว่าทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะนำเอกสารการยืนยันว่าสารเคมีที่พบเป็นสารพิษมามอบให้พนักงานสอบสวนภายในเร็ววันนี้
“ผมขอยืนยันว่า หากหลักฐานสาวไปถึงใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพล หรือผู้กว้างขวางขนาดไหน ผมจะดำเนินคดีโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่างให้แก่ผู้ที่คิดจะลักลอบนำสารพิษไปทิ้งที่อื่นต่อไป”