ปีกมาร ตอนที่ 13
เช้าวันต่อมา ภูฉายนั่งดื่มกาแฟอยู่เงียบๆ สลักเดินลงมา ถือการ์ดเชิญไปร่วมงานมาด้วย
“ภู วันนี้กลับเร็วหน่อยนะ มีงานเลี้ยงที่โรงแรมเขาเชิญมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แม่ไม่ได้บอกแก”
“งานอะไรครับ”
“งานสังสรรค์ของสำนักงานใหญ่ไง นี่แสดงว่าสมองแกไม่รับรู้เรื่องของใครเลยนะ แม่ก็เลยต้องเป็นเลขาฯ ให้แก”
“งานเลี้ยง แล้วทำไม...เอ๊ะ” ภูฉายแปลกใจ
“อ๋อ แม่ต้องไปกับแกซี ตอนนี้แกไม่มีเมียแล้วนี่...แม่ต้องทำหน้าที่ของแม่ให้เต็มที่ กลับมาเร็วๆ นะ เดี๋ยวจะไปงานไม่ทัน นะ...ภู”
ภูฉายถอนหายใจยาว
สลักเรียกเป็นเชิงถาม “ภู...”
“ครับ..แม่”
ภูฉายเดินออกไป สลักเยื้อนยิ้มอย่างพอใจ
“เห็นมั้ยนังมัย...พอเปลี่ยนถ่านแล้ว ภูก็เป็นลูกที่ดีเหมือนเดิม”
“ครับ...เอ๊ย...ค่ะ...คุณนาย”
ละมัยรับคำอย่างประชดประชัน
ที่ออฟฟิศสำนักโบราณคดี เจ้าหน้าที่และผจงจิตนั่งทำงานอยู่ ศลัยลาก้าวเข้ามา ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองตามศลัยลาเหมือนตัวประหลาด
ผจงจิตลุกจากโต๊ะทำงานมาซุบซิบกับศลัยลา เมื่อศลัยลานั่งลง
“มีคนพูดกันเรื่องเธอแล้วนะ ศลัย เรื่อง...เอ้อ...เรื่อง...”
“เรื่องที่ฉันเล่นชู้จนถูกสามีจับได้ใช่มั้ย” ศลัยลาถามกลับ
“เฮ้อ ฉันนึกแล้วถึงได้เคยเตือนเธอ เขาต้องจับได้สักวันแล้ว ยังงี้ภูฉายเขาจะยอมหย่าให้ดีๆ หรือ”
“ก็คงต้องฟ้องกัน”
“เขาอาจจะฟ้องกลับก็ได้ ตอนนี้เขาได้เปรียบ ข้อหามีชู้ไม่ใช่ข้อหาเบาๆ นะ ถึงจะพิสูจน์ในชั้นศาลว่าไม่มีมูล มันก็ยังเป็นรอยด่าง”
“ฉันรู้...ว่าฉันใช้ยาลบหมึก ลบรอยด่างนั่นไม่ได้ แต่ที่ฉันต้องการลูก เพราะฉันไม่ต้องการเห็นเขาเติบโตอย่างภูฉาย มีผู้ชายอย่างเขาขึ้นมาอีก มันก็ต้องมีคดีฟ้องหย่า ฉัน...ฉันทนเห็นเขาแบ่งลูกไปให้แม่เขารังแกไม่ได้!”
ศลัยลาสะเทือนใจ ผจงจิตปลอบใจท่าทีกังวล
“ศลัย เธอต้องหาทางป้องกันตัวเองนะ ถ้าภูฉายเขารู้ว่าเธอ...เอ้อ…”
“เล่นชู้!”
“แหม...ฉันไม่ได้ตั้งที่จะ”
“ช่างเถอะ จริงหรือไม่จริง มันจะมีความหมายอะไรล่ะ…ในเมื่อไม่มีใครต้องการความจริง!”
ศลัยลามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าแววตาแข็งกร้าว
ส่วนนวลนภาทำงานบ้านอยู่ ภาษิตเดินลงมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ภาษิต เป็นอะไร ทำไมต้องหลบหน้าพี่ศลัยด้วยล่ะ”
“ผมจะออกไปข้างนอก!”
ภาษิตผลุนผลันออกไป นวลนภามองตามลูกชาย ด้วยความแปลกใจ
“ภาษิต เขาเป็นอะไรของเขานะ”
ค่ำนั้นสลักแต่งตัวงดงามเตรียมจะไปงานเลี้ยง สีหน้าแช่มชื่นแจ่มใส หมุนตัวไปรอบๆ ให้ละมัยดู
“ฉันเป็นยังไงมั่ง นังมัย”
“เอ้อ...มัน...มันจะไม่สาวไปหน่อยหรือคะ คุณนาย หนูไม่เคยเห็นคุณนายแต่งตัวยังงี้” ละมันท้วง
“เรื่องอะไรฉันจะต้องทำตัวเป็นแม่จำพวกล้าหลัง ภูน่ะ...เขาต้องการกำลังใจนะ ก่อนเขาแต่งงาน ฉันก็ไปงานเลี้ยงกับเขา ตอนหลังนังศลัยมันขึ้นวอ ฉันเลยต้องอยู่บ้านเฝ้าสมบัติ!”
“คุณภูมาพอดี เลยค่ะ”
ภูฉายเดินเข้ามา มองสลักอย่างแปลกใจ สลักเติมริมฝีปากอยู่
“แม่…”
“แม่เสร็จพอดี มัย แกเอาสูทมาสวมให้คุณภูซิ ไม่ต้องอาบน้ำหรอก สูทฉีดน้ำหอมหน่อยก็พอแล้ว เดี๋ยวจะไปงานสาย”
สลักช่วยละมัยสวมสูทให้ภูฉาย แล้วฉีดน้ำหอมให้มองภูฉายด้วยความภูมิใจ
“ถ้าแกทำหน้าให้มันดีกว่านี้อีกหน่อย แกจะเป็นภูฉายที่เด่นแล้วก็สง่าที่สุดในงาน”
“แต่...แม่ครับ”
สลักเดินนำหน้าภูฉายไป ภูฉายมองตามไป ด้วยแววตาฝืนๆ เซ็งๆ ก่อนที่จะเดินตามไป
ท่ามกลางความมืด ศลัยลาเปิดประตูเข้ามาในห้องหนึ่งในบ้านแม่ แสงทแยงเข้าไปในความมืดก่อนที่ศลัยลาจะเปิดไฟขึ้น ศลัยลาไขกุญแจลิ้นชักตู้ไม้ หยิบปืนออกมาลูบคลำ ภาษิตก้าวเข้ามายินพิงประตูที่เปิดทิ้งไว้
ศลัยลาหันไปมองหยิบปืนซ่อนทางด้านหลังก่อนที่จะเดินออกไป ภาษิตมองตามไป
ภายในงานเลี้ยงคืนนั้น สลักยืนอยู่ใกล้ๆ ภูฉายวางท่าสง่างาม ภูฉายค่อนข้างดื่มหนักเงียบและเคร่งขรึม นภดลอยู่ข้างๆ สลักจ๊ะจ๋ากับแขกในงาน
“งานเลี้ยงที่นี่..เมื่อก่อนฉันมาแทบทุกปีแหละจ้ะ พวกหนูคงจะเป็นพนักงานใหม่ซีนะ”
“ค่ะ หนูไม่ยักทราบว่าคุณภูฉาย…”
“อ๋อ เขาอยู่ส่วนกลางน่ะ..ฉันเป็นคนตัดสินใจเอง ให้เขาอยู่ที่นั่น ไม่ยังงั้นก็ไม่ได้เป็นหัวหน้าเสียที ภูเขาจบสายบัญชีมาโดยตรง ตอนที่เขาเรียนน่ะ...เขาได้เกียรตินิยมด้วยนะ นภดล นี่ๆๆ นภดล ไปเติมเครื่องดื่มให้ฉันหน่อย”
“ครับผม”
“ภู อย่าดื่มมากนักนะ ลูก รองท้องเสียบ้างเดี๋ยวจะท้องว่างเอามั้ย แม่ไปหยิบมาให้”
“ไม่..ไม่ต้องหรอกครับแม่”
“ไม่ได้ แกต้องกิน ไม่กินเดี๋ยวแกจะเมาขับรถไม่ได้ อ้อ...นั่นคุณประพจน์ผู้จัดการภาคนี่ ไป..แม่จะพาแกไปคุยกับเขา”
สลักเจ้ากี้เจ้าการ ลากตัวภูฉายออกไป แขกในงานมองตามไปพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขัน
“คุณภูฉายนี่..แกยังเป็นลูกแหง่ติดแม่อยู่เลยนะ”
ผู้คนต่างซุบซิบเม้าท์มอย หัวเราะกันอย่างขบขัน
วันต่อมาภาษิตและศลัยานั่งกินอาหารเช้าตรงข้ามกันอย่างเงียบๆ ต่างก้มหน้ารับประทานนวลนภามองด้วยความแปลกใจ
“เติมกาแฟอีกมั้ย ศลัย”
“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ หนูฝากตาหนูด้วยนะคะ หนูต้องรีบไปเดี๋ยวจะสาย”
ศลัยลาฉวยกระเป๋าถือ เดินออกไป ภาษิตมองตามไปเงียบๆ นวลนภานั่งลงตรงหน้าภาษิต
“แกรู้แล้วใช่มั้ย...”
“ครับ ผมรู้แล้ว ก่อนนอนผมเขกหัวตัวเองทุกวัน...แล้วด่าว่าทำไมมึงถึงโง่นัก!” ภาษิตแดกดันตัวเอง
“แล้วได้ประโยชน์อะไรกับการทำยังงั้น ฉลาดขึ้นหรือเปล่าล่ะ ฮึ”
นวลนภาเยาะในสีหน้า ภาษิตผลุนผลันออกไป นวลนภามองตามไปพลางทอดถอนใจ
ภูฉายนั่งจมปลักอยู่กับความทุกข์ต่อหน้าถ้วยกาแฟ สีหน้าเคร่งขรึมเงียบๆ สลักเดินลงมาแล้วภูฉายก็ยังไม่ขยับเยื้อน
“แหม เมื่อคืนนี้พบผู้หลักผู้ใหญ่ของแกหลายคนนะ แม่เลยทำคะแนนให้เขารู้ว่าแกดียังไงเก่งยังไง ขยันขันแข็งยังไง แล้วก็มีพื้นเพทางครอบครัวยังไง”
ภูฉายตอบเนือยๆ “ผมแก่เกินกว่าที่เขาจะสอบประวัติแล้วละครับ”
“แกหวังจะเป็นอยู่แค่นี้หรือ..ไม่ได้นะ แกต้องเป็นถึงตำแหน่งใหญ่ระดับบริหาร”
“แต่ว่า…”
“เลิกพูดคำว่า “แต่ว่า...” เสียทีเถอะภู”
น้ำเสียงของสลักตวัดเข้มเหมือนสีหน้า เริ่มบีบบังคับภูฉาย
“ไอ้คำๆนี้น่ะมันทำให้ชีวิตแกไปไม่ถึงไหน แกเลิกกับนังศลัยแล้วแกต้องทำชีวิตของแกให้ดีกว่ามัน ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความเครียด จนร่ำๆจะเป็นบ้า ยิ่งเรื่องหย่ามันเยิ่นเย้อไปนานเท่าไหร่ แกก็ถอยหลังเข้าคลองนานเท่านั้น จริงมั้ย....แม่ถามว่าจริงมั้ย”
ภูฉายถอนหายใจอย่างเบื่อๆ ตอบเหมือนเสียไม่ได้
“ครับ..แม่”
สลักยิ้มอย่างภูมิใจ
เพียรภมรขับรถยนต์เข้ามาจอดในบ้านนวลนภา ภาษิตยืนพิงต้นเสามองมาอย่างเฉยเมยและปึ่งชา ขณะเพียรภมรเดินตรงเข้ามาหา
“พี่ศลัยไม่อยู่หรือ”
“ยังไม่กลับ แม่ก็ไม่อยู่ ไม่มีใครอยู่ คุณจะนั่งรอข้างนอกหรือจะเข้าไปนั่งข้างในล่ะ”
เพียรภมรทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้สนาม
“น้ำเย็นมั้ย”
“ไม่ต้อง!”
ภาษิตยิ้มเยาะอย่างสังเวช เพียรภมรหันมาทำตาขุ่นเขียว
“ยิ้มอะไร”
“กลัวผมผสมยานอนหลับลงในน้ำดื่มซีนะ”
“ผู้ชายพ.ศ.นี้เขาไม่ใช้วิธีเชยๆ สิ้นดีแบบนั้นหรอก แล้วที่ฉันรอนี่ก็เพราะฉันมีธุระสำคัญกับพี่ศลัย”
“ถามจริงๆ เถอะ คุณกับพี่ศลัยจะฟ้องเขาจริงๆ หรือ”
“หรือว่า...คุณยังยืนกรานที่จะอยู่ฝ่ายภูฉาย”
“ผมไม่ได้เห็นพี่ภูวิเศษเป็นเทวดามาตั้งแต่แรกแล้วละ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นด้วยที่พี่ศลัยแต่งงานกับเขา แต่ผมไม่ต้องการให้พี่สาวผมเอาปี๊ปคลุมหัว ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ในสังคมต่อไป”
“นี่คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าพี่ศลัยทำเรื่องบัดสีนั่น”
“ก็หรือไม่จริงล่ะ”
“ฉันเสียความรู้สึกแทนพี่ศลัยจัง ที่แม้แต่น้องชาย...ก็ยังโง่พอที่จะเชื่อว่าพี่สาวเล่นชู้!”
“คุณน่ะเชื่อมั่นในตัวลูกความของคุณมากเกินไปแล้ว...ระวัง…ไอ้ความเชื่อของคุณเองจะทำให้คุณจนตรอก..!”
ภาษิตจ้องหน้านิ่ง สีหน้าแววตาของเพียรภมรชักหวั่นไหว
ฟากลายสือนั่งอยู่เงียบๆ บนเตียงนอน ผลึกเปิดประตูเข้ามา สีหน้ารู้สึกผิดและเสียใจ
“กูเสียใจ...เรื่องวันนั้นน่ะกูพลั้งปากไป แต่พอกูพลั้งออกไปแล้วกูโล่งใจว่ะ ให้มันรู้ๆไปซะ ไหนๆ มันก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว”
“ภาษิตมันโกรธกูน่ะไม่สำคัญหรอก แต่กูกลัวว่ามันจะเสียความรู้สึกกับคุณศลัย”
“นั่นน่ะเขาพี่น้องกัน เขาต้องพูดกันได้ แต่มึงล่ะ...มึงเป็นใครมึงเป็นแค่เพื่อนนะ ถอยซะ..ไปยืนอยู่มุมไหนก็ได้ หรือไม่ก็ไปจากที่นี่”
ลายสือค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ย้ำคำอย่างหนักแน่น
“กูรักคุณศลัย กูจะวิ่งหนีปัญหาที่กูเป็นคนก่อได้ยังไง...กูนี่แหละ...เป็นคนก่อไม่ใช่คุณศลัยให้ท่า...ไม่ใช่..!”
แววตาของลายสือทั้งสะเทือนใจและเสียใจ
ทั้งสองสาวเดินคุยกันช้าๆ สีหน้าเศร้าหมอง
“ฉันสาบานกับใครไม่ได้ หรือแม้แต่...กับภาษิต เขาไม่เชื่อ...ใครๆ ก็ไม่เชื่อ ไม่รู้จะสาบานไปทำไม”
เพียรภมรเอื้อมมือมาจับมือศลัยลาอย่างปลอบโยน
“แต่เพียรเชื่อพี่ เพียรกำลังหาทางที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาของภูฉาย”
“ภาษิตยังเด็ก เขายังไม่เข้าใจชีวิต เขาผิดหวังในตัวฉันในตัวเพื่อน เขาก็เลย...ฟาดหัวฟาดหางไปตามเรื่อง”
“ถ้าเราทำให้คนรอบข้างเชื่อในความถูกต้องของเราไม่ได้ พี่ศลัยจะทำให้คนแปลกหน้าเชื่อได้ยังไง”
“ภูไม่มีวันเชื่อ...เขาเห็น...เห็นฉันกับลายสือ อะไรก็เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้!”
“เอาเถอะ มันคงจะไม่ร้ายแรงอย่างที่เรากลัว ทำใจให้สบายนะคะพี่ศลัย”
“ขอบใจมากเพียร เธอเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีอยู่ตอนนี้ เพียร...อย่าทิ้งฉันนะ อย่าทิ้งฉัน”
สองสาวต่างกระชับมือกันแน่น อย่างเชื่อมั่นในตัวกันและกัน
ที่ห้องรับแขกบ้านสลัก ถ้วยกาแฟที่พร่องไปมากแล้ว ละมัยนำน้ำเย็นมาเพิ่มให้ทนาย
ภูฉายเดินลงมา สวมเสื้อผ้าลำลองเพราะเป็นวันหยุด
สีหน้าภูฉายแปลกใจ
“มีอะไรหรือครับ”
“คุณนายโทร. เรียกผมมาพบครับ”
“อ้อ…”
ภูฉายนิ่ง อึ้งไป หันไปทางละมัย
“แม่ตื่นหรือยัง”
“ลงมาพอดีค่ะ”
ภูฉายหันไปมอง เห็นสลักเดินลงมา
“อ้อ...มาแต่เช้าเชียวนะคุณทนาย แม่เป็นคนโทร. ไปเรียกทนายมาพบไหนๆ ก็ต้องเสียเงินจ้างเขาแล้ว เรื่องอะไรจะเสียค่าน้ำมันไปหาเขาที่สำนักงานอีกละล่ะ”
“ผมนึกว่าพูดกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก” ภูฉายพูดน้ำเสียงเรียบๆ
“คุณนายมีอะไรจะเพิ่มเติมหรือครับ”
“แกนั่งลงก่อน ภู คือแม่เรียกเขามาย้ำเรื่องให้จัดการฟ้องกลับนังศลัยลาน่ะ”
สลักหันมาทางทนาย
“คุณต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้นะ ว่ามันมีชู้ ต้องรู้ด้วยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ต้องทำให้ศาลสั่งว่ามันเป็นเมียไม่ได้ เป็นแม่ไม่ได้ เอาตาหนูคืนมาพร้อมค่าเสียหาย”
ทนายเริ่มสีหน้าเบื่อๆ การพูดซ้ำซากของสลัก แต่ภูฉายฟังอย่างนิ่งเฉย
“นี่ดีนะ...หลานฉันเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงฉันเห็นจะต้องใส่ถาดถวายวัดแน่ๆ ไม่เลี้ยงไว้ให้เสียพันธ์หรอก..จริงมั้ย ภู”
ภูฉายเหลือบสายตามองทนายด้วยความเกรงใจ
“เอ้อ…”
“แม่ถามว่าจริงมั้ย”
“เอ้อ…”
ภูฉายมองสบสายตาทนาย ก่อนรับคำเสียงแผ่ว
“ครับ..แม่”
ศลัยลาเดินลงมาที่รถยนต์ เห็นลายสือยืนพิงรถอยู่ จึงชะงัก สีหน้าแปลกใจระคนหวั่นไหว
“ลายสือ”
“ผมเป็นห่วงคุณ คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันสบายดีแล้วละ ขอบใจที่เป็นห่วง คุณเอง...ก็ควรจะห่วงตัวเองให้มาก”
“คุณพบเขาหรือเปล่า”
“คุณถามทำไม”
“ผมกลัวคุณจะถูกทำร้าย...เขาต้องทำร้ายคุณแน่เพราะเขาหมดรักคุณแล้ว หรือถ้าเขายังรักคุณ มันก็เข้าข่ายที่เขาจะ....ทำรุนแรงกับคุณอีก คุณต้องระวังตัวนะ”
“ลายสือ”
ศลัยลามองหน้าลายสือ ด้วยนัยน์ตาฉายแววอาวรณ์
“อย่าเพิ่งไปนะ...อะไรมันจะเกิดขึ้นฉันไม่รู้...แต่...แต่อย่าเพิ่งไปจากฉัน”
ลายสือก้าวเข้ามา ยื่นมือมาให้ศลัยลา
“ผมจะไม่มีวันไปจากชีวิตของคุณ”
ศลัยลาค่อยๆ ยื่นมือออกไป ด้วยความรู้สึกผิดถูกที่ต่อสู้กันอย่างรุนแรงในจิตใจ
“จนกว่า....คุณจะกลับไปหาเขา หรือ..หย่ากับเขา!”
สองคนไม่รู้ว่า ภูฉายนั่งมองเหตุการณ์อยู่ในรถยนต์ นัยน์ตาของเขาเป็นประกายวาววับ ทั้งโกรธ แค้น และเจ็บปวด ในท่าทีอันเยือกเย็น
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
ปีกมาร ตอนที่ 13 (ต่อ)
ภาษิตเครียดจัด กระแทกแก้วเหล้าลง ด้วยแรงโทสะในอารมณ์โกรธ และน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“มันคงจะน่าดูอยู่หรอก...ถ้าพี่ศลัยอายุสักสิบหก ลายสืออายุสิบเจ็ด..!”
นวลนภาตกใจ “ภาษิต นี่...นี่เอาเหล้าเข้ามากินในบ้านเชียวหรือ”
“แล้วมันก็น่าทุเรศนะครับคุณแม่...พี่ศลัยน่ะ...สามสิบกว่าเข้าไปแล้วละมั้ง ไอ้สือแค่ยี่สิบหก คุณแม่รู้มั้ยผมคิดถึงอะไร ผมคิดถึงกากีกับคนธรรพ์..!”
นัยน์ตาของนวลนภาหมองลง สะเทือนใจมาก หยิบขวดเหล้าแก้วเหล้าขว้างออกไป
“นี่เหล้าพูด หรือแกพูด แกพูดถึงพี่สาวแก หรือว่าพูดถึงกากีกันแน่ ภาษิต คนที่รุมทำร้ายศลัยควรจะเป็นคนอื่น ไม่ใช่คนในครอบครัว คิดในมุมกลับกันซี ถ้าแกเป็นลายสือ แกจะรู้สึกยังไง!”
ภาษิตชะงัก มองสบสายตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของแม่ ค่อยๆ มีสติ รู้สึกตัวขึ้น
ศลัยลาเดินจูงมือกับลายสืออยู่เงียบๆ อยู่บนฟุตบาทของท้องสนามหลวงในยามค่ำคืน
“ผมคิดถึงคุณ...ผมอดกลั้นตัวเองไม่ให้มายืนรอคุณ ผมรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ แต่ความรักนี่...มันมีข้อยกเว้นที่ทำให้ผมทนไม่ได้ ผมรอเวลาจบของคุณกับเขา...เมื่อไหร่!”
“ฉันก็ไม่รู้”
ลายสือเย้า “ให้ความหวังกับผมบ้างซี ผมจะได้จัดการกับอนาคตของตัวเองเพื่อรอคุณ”
“ฉันยังมองไม่เห็นทางเลยนะลายสือ”
“คุณต้องการความเชื่อมั่นในตัวผมมากกว่านี้หรือ”
“คุณจะทำอะไรได้”
“ไปอยู่กับผม...หนีไปที่ไหนก็ได้ ไปอยู่ด้วยกัน ถ้าผมสู้กับคุณในสังคมนี้ไม่ได้ ผมจะไม่ปล่อยให้คุณสู้ตามลำพัง”
“ไม่ได้ ถ้าทำยังงั้น...ฉันจะเป็นอะไรล่ะ กากียังเลวน้อยไป...ฉันจะเป็นแม่ที่มองหน้าลูกได้ยังไง”
ท่าทีลายสือสลดลง ยอมปล่อยมือศลัยลา
“เขาจะฟ้องกลับ ข้อหาคุณมีชู้ใช่มั้ย”
“ใช่”
ลายสือโมโห “โธ่เอ๊ย...ไอ้บ้า...มันโง่จริงๆนะ คุณจะอยู่ร่วมกับผู้ชายโง่ๆ ที่ไม่รู้คุณค่าของคุณได้ยังไง”
“ลายสือ อย่าโกรธเลย”
ศลัยลาเอื้อมมือมาจับมือลายสืออย่างปลอบโยน
“มันไม่ใช่ปัญหาที่เราแก้ได้ด้วยอารมณ์ ฉันต้องกลับบ้านละ...ส่งคุณแล้วฉันจะเลยกลับบ้านนะ”
ลายสือพยักหน้า ทั้งสองเดินออกไป
ภูฉายเฝ้าดูอยู่เงียบๆ ด้วยแววตาเยือกเย็น เก็บกลั้นอารมณ์รักและแค้น ริมฝีปากของภูฉายสั่นระริก พยายามกลั้นไม่ให้ร้องไห้
ด้านนวลนภาเดินออกมาอย่างเงียบๆ ยังมีอารมณ์โกรธภาษิตอยู่ สักครู่ภาษิตเดินออกมา สำนึกผิดและเสียใจ
“คุณแม่ครับ ผมขอโทษ”
“เก็บเศษแก้วเศษขวดนั่นไปทิ้งซะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่แกจะใช้เหล้าแทนตัวแกด่าคนอื่น เป็นลูกผู้ชายจริงมันต้องพูดกันซึ่งๆหน้า ไม่ใช่หลบอยู่ช้างหลังขวดเหล้า ไป...เก็บให้เรียบร้อย!”
“ครับ”
ศลัยลาขับรถยนต์เข้ามา รถภูฉายขับรถปราดหน้าขวางไว้ ต่างคนต่างรีบลงมา
“ยังดีนะ ที่คุณยังรู้ว่าคุณเป็นแม่ ไม่เลยเข้าไปเริงชู้ถึงโรงแรมม่านรูด!”
“คุณตามฉัน คุณหมดความเป็นผู้ชายเหลือแต่ความเป็นหมารึไง!”
ภูฉายโมโห “ศลัย หยุดนะ!”
“ไม่หยุด ไอ้หมาหวงก้าง!”
ภูฉายบันดาลโทสะ ถลันเข้ามาจะทำร้ายศลัยลาอย่างลืมตัว ศลัยลาควักปืนออกมา เล็งใส่หน้า
“เข้ามาซี เข้ามาทำร้ายฉัน ฉันจะยิงคุณทิ้งเหมือนยิงหมา อย่าคิดว่าฉันไม่ทำนะ”
ภูฉายตะลึงงัน
“ศลัย”
“กลัวตายซีนะ แม่คุณไม่ได้บอกหรือ...ว่าเกิดแก่เจ็บตายน่ะมันเป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่ไอ้ตายข้างถนนเพราะถูกผู้หญิงยิงนี่ ศักดิ์ศรีมันแทบไม่เหลือเลยนะ”
นวลนภาตื่นตระหนก “ศลัย”
ภาษิตเสียงแผ่ว ตื่นตระหนก “ปืน!”
“คุณทำเพื่อไอ้จิ้งเหลนนั่น ระวัง...มันจะไถคุณเหลือแต่เปลือกตอนนี้มันยังต้องการคุณอยู่เพราะคุณยังมีเนื้อมีหนังให้มันเถือ แต่วันหนึ่งคุณต้องเป็นอีแก่แร้งทึ้ง”
ศลัยลาแผดเสียงดังขึ้น
“ฉันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน แต่ฉันต้องหย่ากับคุณ!”
“แล้วเราจะได้เห็นดีกันศลัยลา”
ภูฉายกลับไปขึ้นรถยนต์แล้วขับทะยานออกไป ศลัยลาตะโกนด่าอย่างคุ้มคลั่ง โกรธแค้น ชิงชัง รังเกียจ
“เชิญยกมาทั้งเหล่าเลย...เชิญ...เอาเหล่าพ่อคุณมาด้วยก็ได้นะฉันจะยิงกบาลให้หมดทั้งโคตรเลย!”
“ศลัย ขึ้นเหล่าขึ้นกอกัน....มันหนักไปนะลูก” นวลนภาปราม
“หนูทำได้จริงๆ ค่ะ หนูจะยิงมันทิ้งจริงๆ”
ศลัยลากระแทกเสียงเก็บปืนแล้วเดินขึ้นตึกไป นวลนภามองตามด้วยความห่วงใย
ภาษิตยืนหลบมุมอยู่ มองตามไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว...กลัวใจตัวศลัยลา
สลักต่อว่าต่อขานภูฉายเมื่อเห็นเขาขับรถยนต์เข้ามาจอดด้วยความเร็ว เพราะยังเหลือค้างอารมณ์โกรธที่มีต่อศลัยลา
“ทำไมแกเพิ่งกลับฮึ แกกลับบ้านเข้าไปเกือบสี่ชั่วโมงนะฉันโทร.ไปถามที่ทำงานแล้ว นภดลบอกว่าแกออกมาตั้งแต่บ่ายสองโมง ไปหานังศลัยลามาใช่มั้ย ไปทำตัวน่าทุเรศเป็นยาจกแบมือขอส่วนบุญมันมาละซี!”
ละมัยยืนถือไม้กวาดฟังอยู่อย่างสอดรู้สอดเห็น ภูฉายไประบายอารมณ์กับละมัย
“นี่ อย่ามายุ่งกับฉันได้มั้ย มัย แกอยากเจ็บตัวหรือยังไง ฉันจะกลับบ้านเมื่อไหร่มันกงการอะไรของแกล่ะ ฉันเกลียดแก..ได้ยินมั้ย...” ภูฉายแผดเสียงดังลั่น “ฉันเกลียดแก!”
จากนั้นภูฉายเดินหนีขึ้นบ้านไป สลักตะลึงงัน หันไปมองภูฉาย
“เอ๊ะ คุณภูเขาดุหนูทำไมคะ”
“ก็เพราะเขาเกลียดแกน่ะซี!”
สลักสะบัดเสียงใส่ แล้วเดินตามภูฉายขึ้นบ้านไป
ละมัยมีสีหน้างงงัน
ศลัยลานั่งจมปลักอยู่กับความเศร้าหมอง ในห้องนอน นวลนภาเปิดประตูเข้ามานั่งลงใกล้
“ศลัย เป็นยังไงมั่งลูก”
“เขาตามหนูค่ะ เขากลัวหนูกับลายสือจะเลี้ยวเข้าโรงแรม เห็นมั้ยคะคุณแม่ เดี๋ยวนี้ภูเขาเหมือนสัตว์ หวาดระแวงไปหมด เขาหมดสัญชาติญานของคนเข้าไปทุกที เขาเหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้ หนูขยะแขยงเขา!”
“แล้ว...แล้วหนูพบลายสือได้ยังไง”
“เอ้อ...เขาไปรอที่ทำงานค่ะ”
“ศลัย เราน่ะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ทำอะไรต้องประมาณให้ถูกว่าเหมาะสมแค่ไหน ยังมีสามีอยู่แต่มีผู้ชายอื่นมารับมาส่ง คนอื่นเขาจะคิดยังไง”
“หนูรู้ค่ะคุณแม่ว่าอะไรคือความเหมาะสม แต่หัวใจของหนู...มันไม่เข้มแข็งพอที่จะไม่พบเขา”
“คิดถึงลูกให้มาก แบ่งความรักให้แก่ลูกเยอะๆ”
นวลนภาพูเสียงอ่อนโยนเป็นกำลังใจ พร้อมกับลูบไล้เส้นผมของศลัยลาอย่างนุ่มนวล
“แล้วเจียดความสงสารให้กับตัวเอง หนูจะได้ไม่ต้องร้องไห้อีก”
“แม่กำลังจะพูดถึงลายสือ” ศลัยลาสีหน้าเป็นคำถาม
“ลายสือเป็นเด็กหนุ่มนะ สิ่งแวดล้อมของเขากับเราไม่เหมือนกัน มีเด็กหนุ่มวัยนี้มากมายที่ท่าดีทีเหลว”
“หนูไม่อยากเชื่อเลยค่ะ คุณแม่ ว่าที่สุดแล้ว...ลายสือจะไม่จริงใจ”
“หัวใจคนเปลี่ยนได้ทุกวัน วันนี้เขาอาจจะจริงใจแต่วันข้างหน้าไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าเขาจะไม่เปลี่ยน ครั้งหนึ่ง...หนูกับภูฉายก็เคยรักกัน แต่เดี๋ยวนี้..หนูกำลังฆ่ากับเขา ตีรันฟันแทงกับเขา ทั้งที่ภูฉายน่ะ...เรารู้จักพื้นฐานทางครอบครัวของเขาดี”
ศลัยลาค่อยๆ เหลือบสายตาขึ้นมองนวลนภาอย่างฉุกคิด แปลกใจ
“แต่ลายสือน่ะ...เราเกือบจะไม่รู้จักเขาเลยนะ”
ศลัยลาอึ้ง นิ่งงันไปอย่างจำนน
คืนนั้นผู้ว่าฯพ่อลายสือ ยืนพลิกๆ หนังสือที่เป็นตำราเกี่ยวกับโครงกระดูกมนุษย์ของลายสืออย่างเงียบๆ ในห้องที่หอพัก ลายสือเปิดประตูเข้ามา อุทานเบาๆ อย่างแปลกใจ
“คุณพ่อ”
พ่อเงยหน้าขึ้นมองลายสือ สีหน้าของพ่อเรียบๆ แต่น้ำเสียงอ่อนโยน
“พ่อพบศาสดาจารย์อังเดรที่เชียงใหม่ เขาแนะนำให้พ่อมาดูแกบ้าง”
ลายสือเริ่มเย็นชา “แล้วยังไงครับ แล้วคุณพ่อเห็นผมเป็นอะไร”
“เป็นไอ้บ้า...แกกำลังจะทำตัวเป็นไอ้บ้าอย่างที่เขาห่วง...ลายสือ..พ่อไม่อยากก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของลูกก็จริง แต่ก็ไม่มีพ่อคนไหนทนเห็นลูกเดินหลงทาง เพราะมันไม่ใช่แค่เสียเวลา....แต่มันหมายถึง...แกต้องเสียอนาคตด้วย”
สีหน้าแววตาของลายสือนิ่งขรึม
เช้าวันต่อมา ภูฉายเดินลงมาด้วยท่าทีอ่อนเพลีย ที่เกิดจากความเครียดทางอารมณ์ ละมัยกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่
“มัย เอายาแก้ปวดหัวมาให้ฉันสองเม็ดซิ”
“ค่ะ”
“เป็นอะไร ภู ไม่สบายหรือเปล่า ไม่สบายก็ไม่ต้องไปทำงานหรอกขึ้นไปนอนพักไปลูกไป๊ ไม่ต้องกลัวใครแกเป็นถึงหัวหน้าฝ่าย แล้วยังมีเส้นสายข้างในอีกล่ะ....”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
สลักเสียงเครียดมากขึ้น “เรียกหายากินอยู่เมื่อกี้เอง บอกมาได้ว่าไม่เป็นอะไร แกน่ะ...ทำเหมือนคนไม่รักแม่ขึ้นมาอีกแล้วนะ แม่ไม่ดียังไง...”
สลักเริ่มพูดจาบีบคั้นภูฉาย
“แกถึงได้มึนตึงกับแม่ คอยดูนะ ถ้าแม่ทนแกไม่ไหวแม่จะผูกคอตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย คนมันจะได้รู้ว่าแกน่ะเนรคุณแม่ เสียจนแม่ไม่กล้าอยู่ในโลกร่วมกับแก..!”
สลักกระแทกน้ำเสียงอย่างเจ็บปวด และขมขื่น
ภูฉายถอนหายใจ อดกลั้นความเบื่อหน่ายไว้ ก้มหน้ารับคำ
“ครับ...แม่!”
คืนนั้น หลังจากพ่อกลับไปพักใหญ่ ลายสือนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงนอนในห้องที่หอพัก ครุ่นคิดเคร่งเครียดวุ่นวายใจ ผลึกเปิดประตูเข้ามา ยังยืนพิงประตูอยู่
“พ่อมึงมาทำไมวะ”
“เขาจะให้กูไปเคนยากับอาจารย์อังเดร หรือไม่ก็กลับไปอยู่ที่บ้านเขา”
ผลึกเห็นงามด้วย “ก็ดีนี่.. อย่างน้อยพ่อมึงก็มาเพื่อบอกว่ามีทางออกอีกตั้งสองทาง แทนที่มึงจะมานั่งอยู่ในมุมตัน มึงอยากมีครอบครัวไม่ใช่หรือ”
ลายสือลุกขึ้นยืน ด้วยท่าทีเย็นชา
“กูขาดความเคยชินเรื่องครอบครัวไปตั้งนานแล้วมีหรือไม่มี...มันจะสำคัญอะไร”
“บางทีการที่เรายังมีครอบครัวอยู่นี่ มันทำให้เรามีจุดหมายที่จะกลับบ้าน คนเราน่ะโว้ยลายสือ มันก็มีพลังกายในการใช้ชีวิตเท่าๆ กันทั้งนั้นแหละ แต่พลังใจซี เรามีต่างกัน”
ลายสือหันไปมองหน้า ไอ้อ้วนดำ ผลึก อึ้ง นิ่งงันไป
วันต่อมาผลึกกะจืดกำลังช่วยกันทำกับข้าวตามมีตามเกิด ลายสือเดินออกมาจากห้องนอนทำท่าจะไปข้างนอก ผลึกรีบขวางไว้ จืดยังคงถือกระทะค้างอยู่
“จะไปไหน” ผลึกถาม
“ออกไปหาอะไรกิน”
“ไม่ต้อง กูกำลังจะผัดก๋วยเตี๋ยว นั่งลงเดี๋ยวนี้...กูรู้นะมึงจะไปไหน” จืดว่า
“สงสัยกูต้องทำฟาร์มจิ้งจกว่ะ เอาไว้ทักมึงตอนมึงจะออกไปทำชั่ว!” ผลึกแดกดัน
“ไอ้สือ กูไหว้ละ อย่าไปเลย...ถ้ามึงจะกลับไปอยู่กับพ่อมึง หรือจะไปทำงานกะอาจารย์อังเดรกูสองคนอนุโมทนาสาธุ แต่...แต่ว่ามึง…”
ลายสือมีท่าอ่อนล้า เพราะรู้ว่าเพื่อนหวังดี จึงทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา
“เฮ้ย เชื่อว่ะ สงสัยไม่ต้องทำฟาร์มจิ้งจกแล้ว”
ทั้งสองหนุ่มสบสายตากันด้วยความแปลกใจ
ขณะเดียวกัน พยาบาลประจำห้องกายภาพ ทำกายภาพบำบัดให้กับฉวี อาการของฉวีดีขึ้นมาก แต่ยังนิ่งเฉย สีหน้าเศร้าหมอง เพียรภมรก้าวเข้ามา จ้องมองฉวีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง
“ฉันขออยู่กับแม่ตามลำพังสักพักค่ะ”
“เชิญค่ะ”
พยาบาลเดินออกไป เพียรภมรข้าคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็นของแม่ จับมือฉวีไว้ ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้า
“แม่ หนูกำลังจะแก้แค้นให้แม่ หนูจะลากไส้ผู้ชายที่ชอบทำร้ายผู้หญิงเข้าคุก แม่ดีใจนะ..ที่คนที่ทำกับแม่กำลังจะได้รับกรรม หนูจะส่งภูฉายเข้าคุกก่อน จากนั้น..หนูจะไปตามเอาไอ้สารเลวนั่นมาเหวี่ยงเข้าคุก!”
ฉวีนั่งนิ่งๆ พึมพำเบาๆ
“อยากกลับบ้าน”
สีหน้าและแววตาของเพียรภมรเต็มไปด้วยความผิดหวัง ที่แม่ไม่ยินดีด้วยสักนิด
ถึงวันที่ศาลนัดคู่ความเป็นนัดแรก ทั้งสองฝ่ายออกมาจากห้อง เพียรภมรเดินนำหน้าศลัยลาเพื่อหลบนักข่าว ซึ่งวิ่งตามมาขอสัมภาษณ์
“คิดว่าคดีนี้จะเป็นคดีตัวอย่างหรือเปล่าครับ ในฐานะที่ลูกความคุณยื่นฟ้องกรณีสามีข่มขืน แล้วก็ทำร้ายร่างกาย” นักข่าวยิงคำถาม
ท่าทีเพียรภมรดูองอาจ มั่นใจ ขณะที่ศลัยลาก้มหน้านิ่งด้วยความอับอาย
อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครทั้งสองแตกต่างกันสุดขั้ว เพราะเพียรภมรกำลังประกาศตัวตนของตนเอง ขณะที่ศลัยลาสูญเสียชื่อเสียง
“ค่ะ ต้องเป็นคดีตัวอย่างแน่ๆ เพราะทุกวันนี้สามีส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติต่อภรรยาอย่างทาส”
“คุณคิดว่า...มีแนวโน้มที่ศาลจะรับฟังมากน้อยแค่ไหน”
“มันก็แล้วแต่หลักฐานและเหตุผล ข้อสำคัญ...สังคมต้องให้ความยุติธรรมต่อเพศผู้หญิงให้มากเพราะเราเป็นไม่ใช่เพศที่สอง อย่างที่สังคมไทยให้ฐานะ ขอโทษนะคะ”
เพียรภมรขับรถยนต์พาศลัยลาออกไป
ภูฉายเดินลงมาพร้อมทนาย มองตามศลัยลาไปด้วยแววตาเยาะหยัน ที่เจือไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ด้วย ทั้งรักและแค้น
เช้าวันต่อมาสลักขว้างหนังสือพิมพ์ลงกับพื้นด้วยความโกรธ ขณะภูฉายยืนผูกไทด์ด้วยท่าทีเคร่งเครียด เงียบขรึม
“ต้องฟ้องกลับ...ฟ้องให้คนทั้งโลกรู้ว่าแกไม่ได้ข่มขืนมัน นังศลัยลามันฟ้องหย่า ยกเหตุเรื่องข่มขืน เรื่องทำร้ายร่างกาย มันแก้เกี้ยวเพราะมันมีชู้ คนสมัยนี้มันเข้าตำราการศึกษาสูงแต่ศีลธรรมต่ำ แกต้องฟ้องกลับนะ”
ภูฉายอึกอัก “เอ้อ...”
“มีผัวอยู่ดีๆ ก็ร่านออกไปเริงชู้ ถึงนังศลัยลากับวงวารว่านเครือของมันจะหน้าหนาแค่ไหน ก็คงต้องเอาปี๊ปคลุมหน้างานนี้แหละ นี่ หนังสือพิมพ์นี่ ช่วยประจานดีนัก!”
“ไหนครับ..แม่”
ภูฉายลืมตัว กระชากหนังสือพิมพ์จากมือสลักมาอ่าน ถามละมัยด้วยเสียงเครียดๆ
“ลงทุกฉบับหรือเปล่า มัย”
“ไม่ทราบค่ะ แต่...แต่เมื่อเช้ามัยออกไปเอาหนังสือพิมพ์บ้านโน้นมองยังไงก็ไม่รู้ค่ะ”
สลักหัวเราะเยาะชอบใจ “เขาจะมองยังไง เขาก็มองด้วยความอยากรู้น่ะซี เมียแกเล่นชู้ แกถึงได้กลับมาอยู่กับแม่!”
แววตาของภูฉายวาววับ โกรธสุดขีด อารมณ์คล้อยตามเมื่อถูกสลักปั่นหัว
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 09.00 น.
ปีกมาร ตอนที่ 13 (ต่อ)
ด้านลายสือนั่งใช้ความคิดอยู่เงียบๆ ผลึกเอาหนังสือพิมพ์มาโยนลงสีหน้าเคร่งเครียด จืดยืนมองนิ่งๆ 2 หนุ่มต่างกลุ้มและกังวลกับปัญหาของลายสือ
“อ่านหรือยัง”
“อ่านแล้ว”
“คุณศลัยลาฟ้องหย่าสามีข่มขืนและทำร้ายร่างกาย..ใครๆ ก็สนใจข่าวนี้ทั้งนั้น เพราะเรื่องมันต่ำตั้งแต่เอวลงไป ข้อสำคัญทนายของคุณศลัยลาเป็นทนายชื่อดัง แต่มันจะดังขึ้นไปอีกถ้าคุณศลัยถูกฟ้องกลับว่ามีชู้!”
สีหน้าและแววตาของลายสือเจ็บปวดระคนร้อนใจ
“กูควรจะทำอะไรเพื่อคุณศลัยบ้าง”
“อยู่เฉยๆ มึงอยู่เฉยๆ ดีที่สุด”
ลายสือผุดลุกขึ้นยืน ย้อนถามเพื่อนเสียงขุ่น
“มึงเห็นกูหมดความเป็นผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผลึกขวางไว้ จืดก็ช่วยขวาง “นั่นมึงจะไปไหน”
“ปล่อยกู..หลีกไป!”
ลายสือเหวี่ยงสองคนออก ก่อนจะผลุนผลันออกไป สองคนต่างได้แต่มองตามด้วยความกังวล
ขณะเดียวกันเพียรภมรอยู่ในออฟฟิศกำลังใช้โทรศัพท์ ศลัยลาเดินเข้ามาหา เพียรภมรวางสาย เข้ามาประคองศลัยลา
“พี่ศลัย นี่พี่ไม่ได้ทำงานหรือ”
“เปล่า ฉันไม่กล้าไปที่นั่น ทำไมข่าวของฉัน มันถึงได้ลงกระจายไปทุกฉบับเลยล่ะเพียร ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้นะ”
“มันกลายเป็นคดีตัวอย่าง เพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนลุกขึ้นมาฟ้องหย่าสามีกรณีข่มขืนและทำร้ายร่างกาย พี่ศลัย...ไม่มีอะไรหรอก เราสู้กับความจริง เราจะสนใจอะไรกับการเป็นข่าว”
“แต่ว่า....ฉัน....ฉัน”
“พี่ต้องเข้มแข็งนะพี่ศลัย สังคมจะบีบให้พี่ทรุดหรือล้ม...พี่ต้องสู้...พี่ต้องเข้มแข็ง เพียรจะยืนอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่พี่ศลัย ไม่ใช่เพราะเพียรเป็นทนาย แต่เพราะ...เพียรเป็นน้อง เป็นเพื่อนของพี่นะ พี่ศลัย”
เพียรภมรปลอบขวัญและให้กำลังใจ ศลัยลาช้อนสายตาขึ้นสบตาของทนายสาวเพื่อนรุ่นน้อง พยักหน้ารับช้าๆ
เย็นนั้นภาษิตกำลังรดน้ำอยู่อย่างเนือยๆ มองไปเห็นลายสือก้าวเข้ามาในบ้าน ภาษิตส่งเสียงตะโกนไล่ด้วยความโกรธ
“ออกไปจากบ้านของกู ที่นี่ไม่ต้อนรับมึง เมื่อก่อนสมัยที่ยังเรียนมัธยม มึงกินมึงนอนที่นี่ ถ้าข้าวบ้านนี้ไม่มียางละก็....มึงอย่าเหยียบเข้ามาอีก!”
“ภาษิต กูไม่ได้มาคุกเข่าขอข้าวมึงกิน กูต้องการพบคุณศลัย”
“แค่นี้...ชีวิตพี่สาวกูยังพังไม่พอหรือยังไง กูเสียดาย...เสียดายเชื้อสายของมึง เสียดายที่มึงร่ำเรียนมาตั้งนานการศึกษามันไม่ได้ช่วยให้มึงเป็นคน...หรือเป็นผู้ชาย ออกไปจากบ้านของกู!”
“ไม่ จนกว่ากูจะได้พบคุณศลัย!”
นวลนภาได้ยินเสียงเอะอะ รีบออกมาจากบ้านด้วยความตื่นตระหนก ยั้งมือของภาษิตไว้
“อะไรกันลูก ลายสือ...เธอมาทำไมที่นี่”
“ต้องมีใครสักคน ยืนอยู่เคียงคุณศลัยลา คนๆนั้นต้องเป็นผม”
“เป็นมึงหรือ กูถามหน่อย...มึงจะสะเออะมายืนข้างๆ พี่สาวกูในฐานะอะไร”
“กูจะเป็นอะไรไม่สำคัญสำหรับ มึง”
ท่าทีของลายสือจริงจังมากน้ำเสียงหนักแน่น นวลนภาจ้องมองด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“แต่คุณศลัย...คุณศลัยต้องเป็นอย่างที่เคยเป็น...เป็นพี่สาวของมึง!” ลายสือบอกอีก
แววตาของภาษิตสะเทือนใจ
“ลายสือ เธอกลับไปก่อนนะ ฉันขอร้อง...ตอนนี้อย่าเพิ่งพบศลัยเลย ภาษิตเข้าบ้านแม่จะพูดกับลายสือเอง”
“ครับ คุณแม่”
ภาษิตเข้าบ้านไป
“เอาละ...”
นวลนภานภาก้าวเข้ามาสบสายตาของลายสือ แววตาของนวลนภาลดความแข็งกร้าวลงบ้าง แต่ยังไม่คลายจากความเย็นชา
“ฉันพูดเองเธอไม่เชื่อ จะรอศลัยก็นั่งรออยู่ข้างนอกนี่แหละ...ตามใจนะ”
นวลนภาเดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้ ลายสือค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งรอ
คืนนั้นภูฉายยืนสูบบุหรี่ในมุมสลัวเงียบๆ ท่าทีเครียดๆ สลักเดินออกมา ปิดปากหาว
“ยังไม่นอนอีกหรือ”
“ผมยังไม่ง่วง”
“แกคิดมากเรื่องนั้นใช่มั้ย ไม่ต้องกลัว...แม่วางหมากให้ทนายเขาจัดการฟ้องกลับแล้วละ ตอนนี้ถ่วงเอาไว้ก่อน...ให้มันเป็นข่าวใหญ่ยิ่งใหญ่ยิ่งดัง เวลาเราฟ้องกลับข้อหานังศลัยคบชู้จะได้แรง!”
“นานแค่ไหนแล้ว ที่ผมไม่ได้พบลูกหนูเลย”
“พอจบคดีแล้ว เราก็ได้ลูกกลับมาพร้อมค่าเสียหาย ถึงตอนนั้นแกจะเลี้ยงลูกสักแค่ไหนก็ได้ เด็กยังเล็ก ยังไม่รู้อะไร ยังไม่ติดมือใครง่ายๆหรอกน่ะ ไป...ไปนอน...”
“ครับ..แม่”
ภูฉายรับคำเนือยๆ แล้วเดินขึ้นบ้านไป
สลักยิ้มร้ายด้วยความพอใจ
“นังศลัยลา...แก..!”
ฟากศลัยลาขับรถยนต์เข้ามาจอดในบ้านแม่ เปิดประตูรถยนต์ลงมา ต้องชะงักเมื่อเห็นลายสือนั่งรออยู่ ลายสือเองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ลายสือ”
“ผมมารอคุณตั้งแต่บ่าย ผมเห็นข่าวนั่นแล้ว ผมรู้ว่าคุณต้องเผชิญกับอะไรบ้างไม่ว่าในหรือนอกบ้าน”
“ฉันทนได้ ฉันตัดสินใจฟ้องหย่าเขาแล้วนี่”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อคุณเลยนะ ขอให้ผมทำอะไรเพื่อคุณบ้าง อะไรก็ได้ที่คุณต้องการยกเว้น....เดินไปจากชีวิตของคุณ”
ด้วยความอ่อนแอ โดดเดี่ยว ทำให้ศลัยลาเริ่มหวั่นไหว
“ลายสือ แค่อย่าให้ฉันเสียความรู้สึกกับคุณ แค่อย่าให้ฉันถูกคุณทิ้งไปตอนนี้”
“ไม่...ผมไม่ทำยังงั้น นี่คุณกำลังให้ความหวังผมใช่มั้ย คุณกำลังจะบอกผมใช่มั้ยว่าคุณรักผม คุณต้องการผม”
“ลายสือฉันขอไม่พูดคำนั้น แต่...แต่ฉันต้องการพลังใจ ฉันต้องการน้ำใจแค่หยดเดียว อย่าให้ฉันล้ม ฉันต้องการจะสู้!”
ลายสือยื่นมือออกมากระชับมือของศลัยลา สองคนต่างสบสายตาของกันและกัน ลายสืออย่างหนักแน่น น้ำตาคลอเต็มดวงตา
“ผมมีให้คุณ...หมดหัวใจดวงนี้ของผม..!”
วันต่อมาหลังการนัดสืบพยานเสร็จสิ้นลง เพียรภมรดึงมือศลัยลาลงจากศาลมาขึ้นรถยนต์ขับหนีภูฉายที่พยายามวิ่งตามมา ด้วยท่าทีหงุดหงิด ทนายจำเลยเองก็รีบเดินตาม โดยมีนักข่าวตามมาติดๆ
“มีการดำเนินการชั้นศาลไปถึงไหนแล้วครับ”
“ก็เป็นไปตามขั้นตอนทางรูปคดีน่ะครับ ขอไม่ไห้ข่าวนะครับ คุณภูฉายเชิญครับ”
ทนายดึงตัวภูฉายขึ้นรถยนต์
นักข่าวยังตามเคาะกระจกรถยนต์ตะโกนขอร้อง
“ขอคุยกับลูกความของคุณหน่อยได้มั้ยครับ”
“ไม่ได้ตอนนี้ยังไม่ได้ครับ กรุณาหลีกทางให้ผมด้วย”
ทนายขับรถยนต์พาภูฉายออกไป
ไม่นานต่อมา ละมัยเงี่ยหูฟังอย่างสนใจตรงที่มุมหลบ โดยที่สลักกำลังเกรี้ยวกราดกับภูฉายซึ่งนั่งนิ่งๆ
“โธ่ ทำไมแกไม่ประจานมันกับหนังสือพิมพ์เลยว่ามันมีชู้ แกกำลังฟ้องกลับมันข้อหามีชู้ หนังสือพิมพ์จะได้เอาไปลงให้มันกลายเป็นข่าวดังในรอบปี ไปให้การกันตั้งสองนัดแล้ว ฉันไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าเลย ฉันเห็นจะต้องเปลี่ยนทนายของแก!”
“แม่ครับ คดีต้องมีขั้นตอนเราคงไม่รู้ดีไปกว่าทนาย”
“นี่...นี่แกหาว่าแม่โง่ซีนะ ภู ถ้าแม่จะโง่ละก็...แม่โง่ที่เบ่งแกออกมาเป็นไอ้งั่งต่างหากล่ะทีหลัง....ถ้าจะไปศาลละก็...แม่จะไปด้วย!”
ภูฉายลุกขึ้นยืนอย่างเหนื่อยอ่อนและเบื่อหน่าย
“ผมจะไปอาบน้ำ”
“แกจะได้ไม่เสียค่าโง่ให้ใครอีก ทรัพย์สินสมบัติที่ยังเหลืออยู่น่ะ ยึดได้ทั้งนั้นถ้าศาลสั่งว่านังศลัยมันผิด ไม่ว่าบ้าน...หรือ...รถ หรือที่ดินผืนนั้น!”
ภูฉายหันมามองสลักไม่พูดไม่จา แล้วจึงเดินขึ้นชั้นบนไป สาวใช้มองตามไป
“แกว่า ที่ฉันพูดเรื่องยึดบ้านยึดรถนี่มันถูกมั้ย”
สลักหันมาไล่เบี้ยกับสาวใช้คู่ปรับ ละมัยหน้าเจื่อนๆ
“ก็...ก็ถูกค่ะ แต่.....แต่ว่า....”
“ในเมื่อฉันพูดถูก แกจะมี “แต่ว่า” ทำไมนังมัย”
“แต่ว่า...มัน...มันผิดค่ะ”
น้ำเสียงสลักกระด้างยิ่งขึ้น
“ผิดยังไง!”
เสียงละมัยยิ่งอ่อนลงไปอีก สีหน้ายิ่งซื่อและหวาดเกรงยิ่งขึ้น
“ผิดศีลธรรมค่ะ....”
สีหน้าแววตาของสลักปั้นปึ่ง มึนตึง เชิดศีรษะขึ้นอย่างทะนง
“ศีลธรรมระหว่างแม่ผัว-ลูกสะใภ้มันคืออะไร!”
เอาเรื่องลูกชายไม่ได้ สลักหันมาใส่ทนายที่นั่งทำหน้าเบื่อๆ ปวดหัวกับเสียงแจ้วๆ ของสลัก ที่กำลังเกรี้ยวกราดใส่
“ฉันขอสั่งให้คุณฟ้องกลับ...รีรออยู่ทำไมเดี๋ยวคนมันก็เชื่อว่าภูเป็นผู้ร้ายถึงขั้นตบตีทำร้ายร่างกายแล้วก็....เอ้อ...แล้วก็ข่มขืนเมียของตัวเอง ฉันต้องรักษาภาพลักษณ์ของลูกชายฉัน เพราะเขาเป็นถึง…”
ทนายสวนออกมา “คุณนายครับ เรื่องนั้นเราต้องฟ้องกลับแน่ แต่มันยังไม่ถึงขั้นตอนที่เราควรทำ”
“ขั้นตอนมันหลายขั้นนักก็ตัดออกซะบ้างซี เอาไว้ทำไมหลายๆ ขั้น ทำให้เยิ่นเย้อชักช้า ฟ้องเลย..!”
“ผมต้องปรึกษากับลูกความผมก่อน”
“ปรึกษาฉันก็ได้ ฉันเป็นแม่ของเขา!”
ทนายตัดบท “ผมขอตัวละครับ คุณนาย ผมมีงาน”
สลักย้ำคำ “คุณต้องฟ้องนะ...แล้วไปศาลคราวหน้านี่...ฉันต้องรับรู้ด้วยว่าเมื่อไหร่”
“ครับ”
ทนายเดินออกไป สลักหันมาค้อนละมัย
“หนอย...มันทำท่าดูถูกว่าฉันไม่รู้เรื่องกฎหมาย ฉันไม่รู้กฎหายแค่ฉันมีเงินจ้างทนายนะ มันไม่ยิ่งกว่ารู้กฎหมายอีกเรอะ”
สีหน้าของละมัยเบื่อและเซ็งสุดขีด แต่ทำอะไรไม่ได้
ด้านศลัยลากำลังทำอาหารเด็กเล็กอยู่ภาษิตนั่งเหงาๆ อยู่มุมหนึ่ง นวลนภานภาเดินลงมาถามภาษิต
“แกไม่ไปไหนหรือ จบแล้วก็น่าจะออกไปหางานบ้างนะ เอาแต่ขลุกอยู่บ้านไม่เห็นทำอะไรสักอย่างนอกจากดูทีวี”
“คุณแม่ล่ะครับ ผมก็ไม่เห็นคุณแม่ออกไปไหน”
ศลัยลาสะท้อนใจ เริ่มตระหนักว่าครอบครัวอับอายที่จะเผชิญหน้าคนในสังคม
“ฉันไม่มีเรื่องจะไป” นวลนภาว่า
“แล้วงานรวมญาติพรุ่งนี้ล่ะครับ”
“คงไม่ไป แม่ไม่ค่อยสบาย แกไปแทนแม่ได้มั้ยล่ะ”
“ผมก็...คงไม่ค่อยสบายละมั้ง” ภาษิตว่า
ศลัยลา ชะงักมือที่ทำงานอยู่ วางมือ แล้วเดินออกไป นวลนภาและภาษิตหันมาสบสายตากันอย่างห่วงใยและกังวล
ค่ำคืนนั้นศลัยลาเดินออกมานอกบ้าน และนั่งนึกทบทวนถึงเรื่องราวการหย่าของตนกับภูฉาย
ศลัยลาทอดถอนใจ สะท้อนในอกที่เวลานี้ลุกลามบานปลายใหญ่โตมากขึ้น
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 13 (ต่อ)
รุ่งเช้า ขณะที่ภาษิตกำลังเช็ดรถยนต์ของศลัยลาที่จอดอยู่ในบ้าน ศลัยลาเดินออกมาที่รถ กำลังจะไปทำงาน ต้องชะงักเมื่อมองเห็นสีหน้าภาษิตที่ดูเจื่อนๆ
“ผมไม่ได้ทำอะไร รองานอยู่ ผมขับรถให้มั้ย ถ้าพี่ศลัยเหนื่อย”
ศลัยลาค่อยๆ ยิ้มออก แววตาสดใส เพราะรู้ว่าภาษิตห่วงใย
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจ”
นวลนภาเดินออกมายืนมองสองพี่น้อง
ศลัยลาขับรถยนต์ออกไปแล้ว ภาษิตหันไปสบสายตาของนวลนภา ถอนหายใจกังวล
“ผมพยายามทำดีกับพี่ศลัย เพราะผมไม่อยากผลักพี่ศลัยออกไปหาลายสือผมพยายามแล้วนะครับแม่”
“พยายามต่อไปซีลูก เพราะตอนนี้เราลำบาก คนในครอบครัวจะต้องช่วยกัน แล้วมันจะผ่านพ้นไปได้..แม่เชื่อ”
นวลนภาเดินเข้ามาแตะหลังของภาษิต สบสายตาด้วย แววตาอ่อนโยน ทั้งปลุกปลอบและให้พลังใจ
ที่สำนักโบราณคดี ผจงจิต และเจ้าหน้าที่ทุกคนนั่งทำงานกันอยู่ ที่โต๊ะทำงานของศลัยลามีแจกันดอกไม้วางเด่นอยู่
ครั้นเมื่อศลัยลาเดินเข้ามา ทุกคนเงยหน้าขึ้นจ้องมองเป็นตาเดียว ศลัยลามองดอกไม้อย่างสงสัย แต่เมื่อหันกลับไปมองคนอื่นๆ ต่างหลบสายตา
“ดอกไม้ใครนี่”
“ฉันมาถึงก็เห็นมันตั้งอยู่แล้ว”
ผจงจิตตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ กิริยาอาการไม่ได้เป็นเช่นคนอื่น และยังคงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของศลัยลาในยามนี้
“หวังว่า...มันคงไม่ใช่กำลังใจนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรที่น่าจะได้กำลังใจ”
“ก็คงจะมีผู้หญิงที่ถูกสามีทุบตีไม่น้อยในสังคมนี้ที่เขาเห็นด้วยกับการฟ้องของเธอ แต่อีกมุมเขาอาจจะเห็นคุณเป็นตัวประหลาด..!”
ศลัยลาค่อยๆ เอีอมมือไปแตะต้องช่อดอกไม้ ด้วยความรู้สึกอันขมขื่นจิตใจ
“ใช่ ฉันกำลังจะกลายเป็นตัวประหลาด!”
บ่ายเกือบเย็น แหมวยืนรอรถประจำทางอยู่ ศลัยลาจอดรถยนต์ไขกระจกลงมายิ้มให้แหมว
“คุณศลัย หนูเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วละค่ะ หนูไม่นึกเลยว่าคุณจะโชคร้ายเรื่อง....เรื่อง...”
“ขึ้นมาเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
แหมวขึ้นรถยนต์ของศลัยลา รถเคลื่อนตัวออกไป
รถแล่นมาตามถนน แหมวนั่งอยู่เคียงข้างศลัยลา มองเนื้อตัวของศลัยลา
“คุณศลัยคงเจ็บมาก ในข่าวนั่นบอกว่าคุณบาดเจ็บสาหัส...ทำไมเขาถึงได้ทำกับคุณศลัยยังงั้นล่ะคะ คุณเป็นผู้หญิงสวย มีความสามารถแล้วก็...มีอะไรพร้อมทุกอย่างเขาไม่น่าทำกับคุณแบบนั้นเลยนะคะ”
สีหน้าศลัยลาเจื่อนลง พยายามเปลี่ยนเรื่องพูด
“พบลายสือบ้างหรือเปล่า”
“ไม่พบค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่ไปรับพี่ลายสือมาอยู่ด้วย เขาก็หลบหน้าเขาทำให้คุณแม่ของแหมวเสียใจค่ะ”
“เขาคงจะอยู่หอพักจนชินหรือเปล่า”
แววตาของศลัยลาหวั่นไหว สีหน้าสลดลง รถยนต์แล่นผ่านไป
ขณะเดียวกัน พ่อของลายสือนั่งรออยู่ มองไปรอบๆ ห้องในหอพัก ผลึกเอาน้ำมารับรอง
“น้ำเย็นครับ”
“ขอบใจนะ”
จืดเดินนำหน้าลายสือเข้ามา
“มาแล้วครับ เอ้อ...ถ้าเรื่องที่คุณพ่อจะพูดกับมันเป็นเรื่องสำคัญผมสองคนจะออกไปข้างนอก”
“ไม่ต้องหรอก มันก็สำคัญ...แต่มันไม่ใช่ความลับอะไรวันก่อนพ่อกับคุณอามานั่งรอแกจนถึงตีหนึ่ง”
สีหน้าลายสือสลดลง รู้สึกเสียใจ
“ผมทราบครับ ผมเสียใจ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้าคุณพ่อกับ...เอ้อ...กับคุณอา”
“พ่อก็หวังยังงั้น ลายสือ...ถ้าแกไม่ไปเคนยากับอาจารย์อังเดรพ่อมีทางออกให้แกอีกทาง”
ผลึกและจืด สบสายตากันอย่างดีใจ ลายสือเนือยๆ เหลือบสายตาขึ้นมองพ่อ
“คุณพ่อจะให้ผมทำอะไร”
“บวช…” ผู้เป็นบิดาบอก
“บวช...!”
สีหน้าแววตาของลายสือตื่นตระหนกอย่างชัดแจ้ง
พ่อ ลายสือ ผลึก และจืด ยังคงนั่งคุยกันอยู่ในห้องของหอพัก
“การบวชเป็นคตินิยมทางศาสนาที่ถือว่าเป็นการทำให้คนดิบๆ กลายเป็นคนสุก หมายถึง...การมีข้อปฏิบัติที่สอนให้ตนรู้จักหยุดหรือยั้ง สอนให้รู้จักมีสติที่จะใช้ชีวิตโดยไม่ประมาทมันเป็นทางออกของแก ลายสือ”
แววตาของลายสือเศร้าหมอง ด้วยลังเล ค่อยๆ หันมาสบสายตาของพ่อ
ฝ่ายนวลนภาทำงานบ้านอยู่กับภาษิต ศลัยลาเพิ่งกลับจากทำงานด้วยสีหน้าไม่สบายใจ นวลนภาร้อนใจ
“ศลัย เห็นว่าภูฉายเขาเปลี่ยนทนายหรือ”
“ค่ะ”
“แล้วหนูรู้มั้ยคุณสรวงเขาเป็นทนายประเภทไหน”
“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์นะครับพี่ศลัย” ภาษิตบอก
“ขอบใจที่เป็นห่วง คงไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ เพราะเพียรเองก็เป็นทนายที่มีชื่อเสียง”
ภาษิตไม่พอใจ “ฟังดูเหมือน...พี่ศลัยฝากความหวังไว้ในมือทนายนะ”
“มันมีทาง...ที่ฉันจะหวังอย่างอื่นได้หรือ ตอนนี้....ฉันหวังอยู่อย่างเดียวหวังว่าเพียรภมรจะทำให้คดีชนะ ฉันจะได้หย่ากับภูฉาย”
แววตาของศลัยลาเปล่งประกายวาววับ ทั้งโกรธ และข่มขื่นเหลือเกิน
สีหน้านวลนภาเครียดจัด หนักใจมาก
“ศลัย...เหลือใจไว้เผื่อความผิดหวังบ้างนะลูก เพราะถ้าคุณสลักประกบกับทนายสวงเมื่อไหร่ละก็…”
ส่วนลายสือนั่งเหยียดปลายเท้ากอดอกนิ่งๆ หน้าตาเครียดจัด และใช้ความคิดหนักผลึก และจืดเปิดประตูเข้ามา เห็นสีหน้าของลายสือ ทั้งสองจึงต่างกังวลใจไปด้วย
“แกตัดสินใจหรือยัง” ผลึกถาม
“กูรู้...ว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่มันก็เป็นทางที่ดีที่สุดของมึง...ถ้ามึงไม่เลือกทางอื่น คุณศลัยลากับมึงน่ะ..อายุต่างกันไม่ใช่น้อยๆนะ ถ้ามึงยังขาดสังคมไม่ได้ คุณศลัยลาเอาก็ขาดไม่ได้เหมือนกันแล้วสังคมนั่นแหละที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่าง” จืดว่าเป็นทางการมาก
“เพื่อนรัก” ผลึกเดินเข้ามาตบไหล่ของลายสือ “ตัดสินใจซะ”
“ตกลง..กูจะบวช!”
ลายสือแวะมาหาศลัยลาที่สำนักโบราณคดีทันที ศลัยลาอุทานแผ่วเบาพอรู้เรื่อง
“บวช”
แววตาของศลัยลาหวั่นไหว ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสายตาให้ปรากฏรอยยิ้มทั้งที่ฝืนเต็มที่
“ฉันดีใจด้วยนะ...ลายสือ...บางทีช่วงชีวิตของคนเรามักก็วุ่นวายเสียจนเราสับสนเราไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเอง”
“คุณไม่ได้คิดว่าผมทอดทิ้งให้คุณต่อสู้คนเดียวนะ”
“ไม่…”
ศลัยลาแสร้งยิ้ม ท่าทีเข้มแข็ง
“ฉันอนุโมทนาด้วย...ฉันต้องการกุศลส่วนที่คุณจะเจือจานมาถึงฉัน อย่าห่วงฉันเลย ฉันดีใจจริงๆ ที่คุณมีทางเลือกของตัวเอง”
“ผมไม่ต้องการทำแบบนี้เลยนะคุณศลัย แต่ผมต้องทำเพราะ...เพราะคนรอบข้างของผมทุกคนบอกผมว่ามันคือทางออก!”
ศลัยลาแววตาสลดลง ยื่นมือออกไปจับมือกับลายสือ
“ใช่ คุณโชคดีที่ยังมีทางออก ขณะที่ฉัน..ไม่มี!”
สองคนไม่รู้เช่นเคยว่า ภูฉายนั่งมองอยู่ในรถยนต์เงียบๆ ด้วยแววตาที่วาวโรจน์ขึ้น เพราะความโกรธ
เวลานั้น สลักนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กับทนาย หัวเราะขึ้นมาอย่างชอบอกชอบใจ
“ใช่...นังศลัยลาต้องเสียเหงื่อหนักแน่ เพราะคุณคงจะไม่ได้ทำ”
หน้าที่แค่ขึ้นไปซักพยานหรอกนะ
“ครับ เรื่องนี้เราต้องวางแผนให้รัดกุม ไอ้เรื่องง่ายๆที่ทำให้เป็นเรื่องยากนี่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยิ่งละเอียดมากแค่ไหน มุมที่เราจะเล่นมันก็มีมากขึ้น”
ภูฉายเดินลงมาท่าทีเนือยๆ ด้วยไม่ชอบหน้าทนายสวง
“ภูมาพอดี แม่ชวนทนายสวงเขากินน้ำชาที่นี่ด้วย มัย...นังมัยยกชามาได้แล้ว”
“เป็นยังไงครับคุณภูฉาย ผมเรียนคุณนายทราบไว้ว่าสบายใจได้เลยคุณต้องชนะความแน่” สวงว่า
“ถ้าชนะ...ฉันจะยึดทุกอย่างไม่ใช่แค่หลานชายฉันหรอกนะ แม่กับทนายสวงกำลังปรึกษากันว่าเราจะยึดอะไรได้บ้าง นอกจากบ้านกับรถ”
สีหน้าภูฉายแปลกใจ พึมพำเบาๆ
“บ้าน...รถ”
“ใช่…”
สีหน้าแววตาของสลักพอใจมาก
“ที่ดินผืนนั้นด้วย ยึดบ้านกับรถได้ ที่ดินมันต้องติดมากับบ้าน!”
ภูฉายกล่าวด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“ตกลง..ผมจะฟ้องกลับ!”
“มันต้องยังงั้นซีลูก นี่ถ้าไม่เห็นมันคบชู้โทนโท่ แกคงจะลังเลอยู่ใช่มั้ยล่ะ เห็นมั้ย....ขนาดกำลังเป็นคดีอยู่ในศาลมันยังกล้าพบกันต่อหน้าคนเป็นร้อย แล้วคิดดูซีมีหรือมันจะไม่นัดแนะไปพบกันในโรงแรมนะ”
“ผมจะจัดการตามที่คุณภูฉายต้องการ” ทนายสรวงบอก
“ต้องให้เร็วที่สุด...ก่อน...ก่อนที่ผมจะฆ่ามันทั้งสองคน!”
แววตาของภูฉายเปล่งประกายวาวโรจน์ ละมัยมองดูด้วยความหวาดกลัว เพราะภูฉายเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
อ่านต่อตอนที่ 14