ปีกมาร ตอนที่ 10
ทางด้านลายสือนอนอ่านหนังสืออยู่ในหอพัก พลิกไปมา แต่ไม่มีสมาธิ เพราะจิตใจหมกหมุ่นอยู่กับศลัยลา ผลึกเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามา
“เฮ้ย น้องแหมวมาหาแน่ะ เอ้า คุยกันตามประสาพี่น้องนะ พี่จะออกไปทำงานข้างนอก”
ผลึกไปแล้ว แหมวเดินเข้ามา มองไปรอบๆ ห้อง
“โอ้โฮ ทำไมห้องรกยังงี้ล่ะคะ”
“บอกแล้วไง อย่ามาที่นี่ มันน่าเกลียด”
“ไม่เป็นมีอะไรน่าเกลียดเลย ไม่ให้มาที่นี่ จะให้แหมวไปตามสะพานลอย หรือว่าไปตามศูนย์การค้าล่ะ”
“ว่างมากใช่มั้ย เอ้า ถ้าว่างก็ช่วยทำความสะอาดห้องให้ทีเดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอก”
ลายสือลุกเดินหนีไป แววตาแหมวที่มองตามสลดลง
ขณะที่นวลนภากำลังล้างขวดนม โดยภาษิตนั่งอ่านหนังสืออยู่ ศลัยลาเดินสีหน้าระโหยระเหี่ยลงมาจากชั้นบน
“ตาหนูหลับแต่เช้านะคะ”
“ก็รายนั้นน่ะซี ปลุกหลานขึ้นมาเล่นแต่เช้ามืด”
“เอ้อ..เมื่อวานหนูมีเรื่องกับภูค่ะ”
นวลนภาตกใจมาก “ต๊าย...ที่ไหน ก็หนูกับเขา”
“กลางถนนค่ะ เรื่องหย่า...ต่อหน้าแม่เขา”
“ศลัย นี่ทิฐิมันยังไม่ลดลงบ้างเลยลูก”
“มันไม่ใช่เรื่องทิฐิหรอกค่ะคุณแม่ แต่หนูทนเขาไม่ได้ หนูรำคาญเขา หนูเอียนกับคำรักที่เขาพร่ำเพ้อจะเป็นจะตาย”
“ก็เขาไม่ยอม” ภาษิตแทรกขึ้น
“ฉันจะฟ้องหย่า ฉันจะเซ็นใบแต่งทนายวันนี้แหละ”
“ศลัย มันจะไม่รุนแรงไปหน่อยหรือลูก”
“ไม่มีอะไรค่อยอีกแล้วล่ะค่ะ หนูทนอยู่ในขวดเดียวกับภูไม่ได้...ถ้าเขาไม่ยอมเปิดฝาดีๆ หนูจะระเบิดขวดเอง!”
ศลัยลาเดินออกไป ภาษิตและนวลนภาหันมาสบสายตากันอย่างกังวล
ละมัยทำงานอยู่ สลักโผเผเดินลงมาอย่างอ่อนเพลีย
“ภูไปแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“แกไปละลายยาหอมให้ฉันหน่อย เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับเลย ทำไมภูเขาถึงได้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้นะ เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
ละมัยละลายยาลมมาให้
“ยาลมค่ะ”
“นังมัย”
“คะ”
“แกว่าคุณภูแปลกไปมั้ย”
“ก็...ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกนี่คะ มีสองขาสองแขนเหมือนเดิมค่ะ”
สลักค้อนละมัย
“แหม แกนี่...เอาเถอะ ฉันไม่โทษแกหรอกที่แกโง่ ฉันผิดเองที่จ้างแกมาเป็นคนใช้ ฮึ”
สลักกระแทกเสียงประชด มองค้อน
ขณะเดียวกันที่สำนักงานทนายความ เพียรภมรเอนพิงพนักเก้าอี้ ถามศลัยลาอย่างเคร่งขรึม
“แน่ใจหรือพี่ศลัย ว่าพี่จะหย่ากับคุณภูฉายให้ได้”
ศลัยลารำคาญอยู่ในสีหน้าหงุดหงิด
“อย่าหว่านล้อมฉันอีกนะเพียร ฉันฟังมาเยอะแล้ว ฉันเบื่อ...ฉันรำคาญ ฉันจะฟ้องหย่าให้ได้”
“พี่ศลัย...การพูดกันดีๆ น่ะมัน...”
ศลัยลาผุดลุกขึ้นยืน น้ำตาทะลักออกมา
“เราเลิกพูดกันดีๆ ตั้งแต่เมื่อวาน เขาตะโกนใส่หน้าฉันกลางถนน...ภูน่ะไม่เหมือนภูฉายคนเก่าแล้วนะ หน้าตาเขา อารมณ์เขา ...ฉัน...ฉันต้องรอให้เขาทุบตีฉันก่อนหรือยังไง เธอถึงจะยอมฟ้องหย่าให้ฉัน”
“พี่ศลัย...คุณภูฉายเป็นยังงั้นจริงๆ หรือ”
เพียรภมรตื่นตระหนก
“ใช่ เขาไม่เคยเป็นยังงี้มาก่อนเลยนะ”
แววตาของเพียรภมรวาวโรจน์ เพราะมีปมด้อยในจิตใจ แม่ถูกชายชั่วทำร้ายจนพิการ
“ถ้าเขาทำกับเธอยังงั้น ฉันจะทำกับเขาเหมือนที่ฉันทำกับผู้ชายที่มันชอบใช้กำลังทำร้ายผู้หญิง มันเอาความโชคดีที่ธรรมชาติให้รังแกเพศอ่อนแอกว่าอย่างเรา”
น้ำเสียงของเพียรภมรเด็ดเดี่ยว
“เธอเซ็นใบแต่งทนายได้เลย ศลัยลา”
ภูฉายนั่งทำงานอยู่ เพียรภมรเปิดประตูห้องเข้ามาหยุดยืน ภูฉายค่อยๆ เหลือบสายตาขึ้นมอง สีหน้ามึนตึง ท่าทีเพียรภมรกระด้าง
“หวังว่าคุณคงมาดีนะ”
“คิดร้ายกับใครไว้ล่ะ ถึงได้คิดว่าคนอื่นเขาจะร้ายตอบ”
“ศลัยไปหาคุณหรือ”
“ใช่”
“ศลัยฟ้องหย่าผมแน่ ไม่ใช่คำขู่ใช่มั้ย”
“คุณภูฉาย”
เพียรภมรก้าวเข้ามาหยุดยืน ไม่ได้รับเชิญให้นั่ง ซึ่งผิดกับวิสัยปกติของภูฉาย เพียรภมรเริ่มร้ว่าภูฉายเปลี่ยนแปลงไป
“ฉันไม่อยากให้มีการฟ้องหย่าถึงฉันจะค้าความเป็นอาชีพ...มีทางไหนที่คุณจะยินยอมโดยดีบ้าง”
ภูฉายยิ้มเยาะ
“ศลัยคงจ้างคุณมาเกลี้ยกล่อมซีนะ”
“ฉันไม่ได้ให้คุณเชื่อ แต่มาทำหน้าที่ทนายให้กับลูกความของฉัน ถ้าเราตกลงกันได้ เราก็ไม่ต้องเสียทั้งเงิน เวลา แล้วก็ไม่ต้องเสียน้ำใจ คุณก็รู้นี่...ถึงตอนนี้คุณกับพี่ศลัยเกือบจะไม่เหลือคำนั้นเลย”
ภูฉายผุดลุกขึ้นยืนอย่างโกรธจัด ทุบโต๊ะปัง
“ไม่ ผมไม่อย่า เชิญ...จะฟ้องสักกี่ศาลก็เชิญ แต่ผมจะไม่ยอมหย่าจากศลัยลาเด็ดขาด...ไม่”
แววตาของเพียรภมรกระด้างและเกลียดชัง ในกิริยาเยือกเย็น ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเดินออกไป
ภูฉายรู้สึกเสียใจ ค่อยๆ ทรุดตังลงนั่ง
ครั้นพอสลักรู้เรื่องก็อาละวาด เกรี้ยวกราดใส่หน้าภูฉาย ซึ่งนั่งก้มหน้านิ่งอย่างจำนน
“แกจะถ่วงมันไว้ทำไม คว้าอิสรภาพเอาไว้ก่อนซี ค่าเลี้ยงดูมันก็ไม่เอาเพราะมันทำหยิ่ง ก็ช่างมัน แกไม่อยากกลับมาอยู่กับแม่หรือภู”
“ไม่ครับ ผมจะไม่มีใครทั้งนั้น ผมรักศลัยลา”
“โง่ มันฟ้องหย่าแกแล้ว แกยังไปรักมันอีกหรือ แล้วนี่...ก็ต้องตั้งทนายสู้กับมัน เสียเงินอีกเท่าไหร่ รกศาลก็เท่านั้น แกนี่มันสิ้นคิดไม่สมกับเป็นลูกของแม่เลยนะ”
“แม่ครับ ผมรักแม่ แต่ผมก็ขาดศลัยลาไม่ได้ ผมรักศลัยรักลูก”
“ก็ถ้ามันมีผัวใหม่ล่ะ แกต้องตายซีนะ ก้มลงมองตัวเองซีภูฉาย แกเสื่อมโทรมลงแค่ไหน” สลักทั้งเจ็บปวดและขมขื่น “ทำตัวให้น่าสังเวชมากๆ เถอะอีกหน่อยมันคงจะควงผัวใหม่มาเย้ยแก”
ภูฉายค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ด้วยสีหน้าแววตาตื่นตระหนก เพราะเป็นสิ่งที่ภูฉายไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อน
ด้านผลึกหิ้วถุงกับข้าวที่ซื้อเข้ามาในหอพัก จืดกำลังเปิดปลากระป๋องอยู่กับแหมว
“กินโว้ย...กินกันให้เปรมไปเลย ไอ้จืด มึงหันหลังให้ปลากระป๋องสักมื้อไม่ได้หรือวะ หน้ามึงจะเป็นปลากระป๋องตราแม่ครัวเลิกกับผัว...อ้าวน้องแหมวมาเมื่อไหร่ครับ” ตอนท้ายเสียงสุภาพทันที
“มาทำความสะอาดห้องให้พี่ลายสือค่ะ ซื้ออะไรมาบ้างคะ”
“แหม...ไปรวยอะไรมาวะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมึงมีอันจะกินยังงี้เลยนี่” จืดว่า
“เฮ่ย กูน่ะโว้ย..นี่..มีหัวไม่ได้ไว้ใส่หมวกอย่างเดียว มีสมองซะอย่าง ตักข้าวเร็วๆเข้า เอากับข้าวนี่ไปใส่ถ้วย เดี๋ยวเรียกไอ้สืออีกคน”
ลายสือเดินเข้ามา สีหน้าขรึม มองอย่างแปลกใจ
“ไปรวยอะไรมาวะ กูมีนัดกับไอ้ภาษิตจะไปวัดด้วยกัน”
ของหล่นจากมือของผลึก ไม่อยากเชื่อ
“ไปไหนนะ..ไป..วัด”
นวลนภาและเข็มกำลังจัดของไปวัด ศลัยลาเดินอุ้มลูกลงมา
“ไปวัดกันมั้ยลูก เผื่อจิตใจจะได้ดีขึ้น”
“เรื่องของหนูกับเรื่องของวัดน่ะ ไปกันคนละทางเลยนะคะ คุณแม่”
นวลนภาเรื่องของคนภายนอก กับเรื่องในวัด มันเป็นคนละเรื่องกัน
ตั้งนานแล้วละ แต่วัดกับคนก็อยู่ในสังคม ที่เอื้ออวยกันมาหลายยุคสมัย ธรรมะก็เคยช่วยชี้ทางให้คนร้อนเย็นลงได้นะ”
“แล้วตาหนูจะอยู่กับใครคะ”
“อยู่กับเข็มสักสองสามชั่งโมง ไม่เป็นไรหรอกน่ะ”
“งั้นก็ไปซีคะคุณแม่”
“เอาของไปใส่ในรถซี ภาษิต”
“ครับ”
ศลัยลาขมวดคิ้ว มองไปยังภาษิตอย่างหวาดระแวง
“เอ๊ะ แกไปด้วยหรือ”
“ครับ ไปดูลู่ทาง เผื่อโลกภายนอกมันยุ่งๆ นัก ผมจะได้หนีไปบวชแก้ร้อนบ้าง”
ภาษิตยกข้าวของออกไป นวลนภามองค้อน
“ฟังมันพูดซี”
สีหน้าแววตาของศลัยลาเคร่งขรึมลง
ฝ่ายแหมวกินข้างอย่างเนือยๆ มองออกไปผลึกเข้าใจถึงความรู้สึกของแหมว
“ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกครับ น้องแหมว ไอ้พี่ชายนอกคอกยังงี้เก็บเอาไว้ในคอกแล้วมันดื้อ มันอึดอัด”
“ทำไม...พี่ลายสือเขาไม่ยอมให้แหมวไปวัดด้วยล่ะคะ”
“มันอาจจะไม่ได้ไปวัดวาก็ได้ อาจจะไปวัดดวง” จืดว่า
“นี่ กินเข้าไป ไม่ต้องออกความเห็น เอ้อ...น้องแหมวต้องเข้าใจลายสือมันบ้างนะ พักนี้...มันวุ่นๆ กำลังจะเรียนจบ มันเลยต้องไปฟังเทศน์มหาชาติ ปล่อยมันไปเถอะ..ไปขัดแข้งขัดขามันเดี๋ยวบาปนะ เฮ้อ!”
ผลึกทอดถอนหายใจอย่างเป็นกังวล
แหมว มองออกไปด้วยสีหน้า แววตาเศร้าหมอง
ที่วัดลายสือและภาษิตเดินคุยกันอย่างเคร่งเครียด
“พี่ศลัยลาต้องฟ้องหย่าเพราะฝ่ายนั้นเขาไม่ยอม ผู้ชาย..ก็เป็นยังงี้แหละ ไม่ว่าจะดิบดีสักแค่ไหน มันอดมีสันดานเห็นแก่ตัวไม่ได้”
ลายสือลืมตัว คำราม
“ระยำ!”
“อะไรวะ”
“ปละ...เปล่า...กูไม่ได้ด่าแกหรอก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่เขยมึงนี่...เขาอาจจะเป็นผู้ชายประเภทระยำก็ได้”
“เขาคงมีเหตุผลของเขาน่ะ หรือไม่ก็...”
“เขายังรักคุณศลัยลาอยู่” ลายสือตอบ
จังหวะนี้ศลัยลาเดินออกมาแต่ไกลๆ
“พี่ศลัยออกมาแล้ว กูจะเข้าไปรับแม่ข้างในนะ”
“เออ”
ภาษิตเดินขึ้นศาลาไปแล้ว ศลัยลาเดินเข้ามา มองลายสือ
“คุณดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”
“ฮื่อ ก็ดีขึ้น ทำไมไม่ขึ้นไปข้างบนล่ะ แล้วมาวัดทำไม”
“ผมต้องการพบคุณ ผมรู้ว่ามันไม่เหมาะ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หรือโอกาส แต่ผมกำลังจะตาย ผมไหม้ไปทั้งตัวเพราะไฟที่คุณจุดเผาผม” ลายสือจ้องหน้า คาดคั้นเสียงแผ่ว “มันไม่ทางเลยใช่มั้ย...คุณไม่มีทางที่จะหย่ากับเขา”
ศลัยลาอึกอัก ตอบไม่ได้
“เอ้อ...ฉัน”
ขณะเดียวกัน ละมัยเอากาแฟมาวางให้ภูฉาย แต่กาแฟกระฉอกออกมา ภูฉายเหลือบสายตาขึ้นมอง แววตาเริ่มขุ่น น้ำเสียงกระด้าง
“ถ้าไม่เต็มใจจำทำอะไรให้ฉันละก็ ทีหลังแกไม่ต้องฝืนทำนะ...มัย”
“เอ้อ..มัย”
“ไป..ไปให้พ้น!” ภูฉายตะเพิด
ละมัยออกไป สวนทางกับสลัก
“เรื่องอะไรกัน นังมัยมันทำอะไรอีกล่ะ”
“มันกระแทกกาแฟรดหัวผม เมื่อวานก็ทีนึงแล้วทำน้ำหกรดกางเกงผม”
“แหม ทำไมมันถึงได้ซุ่มซ่ามยังงี้ ยังงี้มันต้องไล่ออก”
“ดี ออกไปให้พ้นๆ หน้าผม ผมรำคาญ!”
ภูฉายฉุน เดินขึ้นชั้นบนไป
“ภู...”
สลักอุทาน สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความแปลกใจกับอารมณ์ที่เริ่มแปรปรวนหนักของภูฉาย
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 09.30 น.
ปีกมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
เวลาผ่านไป เช้าวันนี้มีการสอบที่มหา’ลัย เป็นการสอบเพื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ภายในห้องสอบ ผลึกทำตัวเป็นคนขี้เมื่อยบิดขี้เกียจอยู่ตลอดเวลา แต่ตาคอยชะเง้อมองเพื่อนตลอดเวลา ลายสือนั่งเขียนข้อสอบอยู่มุมหนึ่ง
“อะไรวะ” เพื่อนนักศึกษาที่ถูกมองกระซิบถามผลึก
“เอียงนิด...สี่สิบห้าองศายี่สิบลิปดา นั่น...ยังงั้นแหละ...”
มีตัวอักษรโย้เย้ของเพื่อนที่เขียนใส่ในกระดาษว่า “นึกแล้วมึงต้องลอก”
เพื่อนนักศึกษาหัวเราะเบาๆ เมื่อผลึกทำหน้าเคืองแค้น อาจารย์อังเดรเดินเข้ามา
“ญาติผู้ล่วงลับเป็นอะไร”
“เอ้อ...อ้า...เป็น...เป็นลมชักกระดุกตายครับ อาจารย์ ผมก็เลยมีเชื้อ มันเป็นโรคที่ติดต่อกับตามสายตระกูลน่ะครับ กระดุก...กระดุกยังงี้”
“ทำข้อสอบดีๆ ไม่ยังงั้นฉันจะไล่ออกนอกห้องสอบ”
“ครับ ผม”
อังเดรเดินไปตรวจคนอื่นๆ
ลายสือนั่งทำข้อสอบด้วยความตั้งใจ
ชั่วโมงแห่งการสอบเสร็จสิ้นลง ลายสือเดินออกมาหน้ามหา’ลัย ผลึกมีท่าทีร่าเริง
“เฮ้อ โล่งใจว่ะจบซะที เดี๋ยวไปฉลองการสอบที่ร้านของเตี่ยกูนะ...อาม่วยนี้ลูกสาวเตี่ย อีเตรียมอาหารคาวหวานไว้กับสำหรับพี่ลายสือกับเฮียโต๊ะเบิ่อเริ่มเลยว่ะ อ้าว น้องแหมว”
ผลึกเห็นแหมวยืนเด๋ออยู่พร้อมช่อดอกไม้เล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้แก่ลายสือ
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ พี่ลายสือ”
ลายสือรับดอกไม้มา แหมวยิ้มบอก
“วันรับพระราชทานปริญญา คุณพ่อกับคุณแม่จะมาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของพี่ลายสือด้วยค่ะ”
“ขอบใจมากนะ แหมว”
ลายสือกล่าวด้วยความรู้สึกตื้นตัน มองสบสายตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของแหมว ก่อนที่จะโอบไหล่ เดินออกไปด้วยกัน ผลึกยืนมอง
“อ้าว เอ้อ แล้วอาม่วยนี้ล่ะ ไอ้สือ...ไอ้สือโว้ย รอด้วย”
ผลึกรีบเดินตามสองพี่น้องออกไป
คืนนั้น ภูฉายนอนหลับอยู่บนเตียง กลางแสงสลัวมีอาการฝันร้าย ภูฉายพยายามดิ้นรนแผดเสียงร้องก่อนสะดุ้งตื่น
“ศลัย...อย่าไป...อย่าไปนะ ศลัย”
สลักเปิดประตูเข้ามา เปิดไฟ ภูฉายเหงื่อพราวตัว
“ภู เป็นอะไรน่ะลูก”
“ผม...ผมฝันร้ายครับคุณแม่...ผม...ผมฝันว่าศลัยกำลังจะไปจากชีวิตของผม”
“ภู จำได้มั้ยลูก เมื่อตอนเด็กๆ แกก็ฝันร้าย แกต้องเรียกแม่ แกเหงื่อไหลโชกยังงี้แหละ แล้วแม่ก็อยู่ใกล้ตัวของแก เอาตัวแกมากอดยังงี้...ยังงี้ไงล่ะลูก ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูกนะ..ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะลูกนะ”
ใบหน้าสลักหมองจัด กอดลูกชายไว้แน่น ใบหน้าของภูฉายแนบอยู่กับทรวงอกของสลัก เหมือนเด็กๆ ที่ต้องการอกของแม่เพื่อปกป้องผองภัย
เช้าวันต่อมา ลายสือแวะมาที่บ้านนวลนภาเล่นอยู่กับลูกชายศลัยลาด้วยท่าทีอ่อนโยน มีความสุขกับวัยเยาว์ไร้เดียงสาของเด็กทารก นวลนภาเดินถือขวดนมเข้ามา มองลายสือยิ้มๆ
“รักเด็กเหมือนกันหรือ ลายสือ”
“น่าเอ็นดูน่ะครับ แกน่ารักดี ร้อนหนาวก็ไม่เป็น พูดก็ไม่ได้แต่สื่อภาษารักให้เราเข้าใจได้”
“มีน้องเล็กๆ หรือเปล่า”
“คงจะมี คุณพ่อแต่งงานใหม่มีลูกอีกหลายคนครับ”
“แม่ก็ลืมไป วันนั้นหนูแหมวมากินข้าวที่นี่ด้วย น่ารักนะเรียนหนังสือชั้นไหนแล้ว”
“เอ้อ...ผม...ผมก็ไม่ทราบ”
“นี่แสดงว่าเราทำตัวเหินห่างครอบครัวของคุณพ่อ ไม่ได้คิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกันน่ะซี ถึงได้ไม่รู้ ครอบครัวน่ะ...จะให้สมบูรณ์ไปหมดมันก็มีแค่คำนิยามเท่านั้นแหละ”
“เอ้อ…”
“ไว้เรียนจบแต่งงาน ก็สร้างครอบครัวในแบบของเราเองซี”
สีหน้าลายสือสลดลง
“ผมคงจะไม่”
“ตั้งใจประพฤติตัวให้ดีอย่าให้คุณพ่อเสียใจนะ....ถ้าท่านมีลูกเลวท่านก็เสียใจเดี๋ยวด๋าว เดี๋ยวท่านก็ตายแล้ว แต่เราซี...เราจะได้รับผลพวงของความเลวของเราไปตลอดชีวิต”
“เอ้อ...ครับ คุณแม่”
“จะรอภาษิตก็ออกไปนั่งรอหน้าบ้านก็ได้ ตามสบายนะลายสือ”
“ครับ”
ลายสือเดินออกไป นวลนภามองตามไปด้วยแววตาเอ็นดู
ขณะที่ละมัยทำงานบ้านอยู่ สลักเดินลงมา
“ภูยังไม่ลงมาอีกหรือ”
“ยังค่ะ”
“เอ๊ะ นี่สายแล้วนะ หรือว่าเขา...”
สลักตื่นตระหนก รีบเดินขึ้นชั้นบนอย่างรีบร้อน ละมัยมองตามไปอย่างแปลกใจ
ภูฉายนอนซมอยู่บนเตียงเพราะอาการไข้ สลักเปิดประตูเข้ามา เห็นสภาพอุทานอย่างตื่นตกใจ
“ภู เป็นอะไรน่ะลูก ตัวร้อนจี๋เชียว มัย...นังมัย”
“ขา...”
ละมัยเปิดประตูเข้ามา
“คุณภูไม่สบายทำไมแกไม่บอกฉัน นี่ถ้าฉันไม่ใช่แม่คุณภาพเขาคงขาดใจตายแล้ว!”
“หนูไม่รู้ค่ะ ก็คุณนายสั่งว่า...”
สลักขึ้นเสียง “ไปเอาน้ำมาอ่างนึงเร็วๆ เอาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวภู จะได้ทุเลาร้อน เมื่อคืนเขาก็ไม่ค่อยดี....ภู..ภู..ภูเอ๊ย”
สลักหันมาดุละมัย
“อ้าว ไหนล่ะยะ น้ำกับผ้าเช็ดหน้าน่ะ!”
“ค่ะๆ”
ละมัยรีบออกไปสลักลูบใบหน้าของภูฉายอย่างอ่อนโยน ภูฉายรีบคว้ามือของสลักแนบแก้มไว้เหมือนเด็กๆ
“ภู ไม่เป็นอะไรแล้วละลูก แม่อยู่นี่ แม่อยู่ใกล้ๆ แกแล้วนะ...ไม่เป็นไรนะลูกนะ”
“ครับ..แม่”
ภูฉายกุมมือสลักไว้แน่น เนื้อตัวสั่นสะท้านเพราะพิษไข้
ลายสือนอนหลับอยู่บนชิงช้าในสนาม ศลัยลาขับรถยนต์เข้ามาจอด เดินเข้ามามองงงๆ ลายสือค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“คุณศลัย”
“มารอภาษิตหรือ”
“ทำนองนั้นครับ แต่ที่สำคัญ...ผมอยากรู้ว่า คุณจะทำยังไงกับเรื่องหย่าของคุณ”
แววตาของศลัยลาถมึงทึงขึ้นมาทันควัน
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยนะ”
“ผมเป็นกองเชียร์ ผมเชียร์ให้คุณหย่ากับเขาให้ได้ คุณกำลังจะฟ้องหย่าเขาใช่มั้ย”
“ดูเหมือนฉันจะเคยบอกคุณหลายครั้งแล้วนะ ถ้าฉันทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นละก็...ฉันไม่อ้างว่าทำเพื่อลูกหรือเพื่อคุณหรอก ฉันทำเพื่อตัวเอง..!”
ศลัยลากระแทกเสียง ก่อนเดินเข้าบ้านไป ลายสือมองตาม แววตาสลดลงด้วยความผิดหวัง
ที่ศูนย์หนังสือแห่งหนึ่ง ภาษิตและเพียรภมรเดินสวนทางกันมา โดยเพียรภมรหอบเอกสารพะรุงพะรังจนเอกสารหล่น ภาษิตยืนมองแล้วจึงเดินเข้ามาหา ก้มลงช่วยเก็บ
“สำนวนนี่...คดีฟ้องหย่าของพี่สาวผมหรือเปล่า”
เพียรภมรกระชากเอกสารจากมือภาษิต สีหน้าไม่พอใจ
“กลับไปลงวิชาเลือกมารยาทใหม่ไป๊ นี่มันเอกสารสำคัญของฉันนะ”
“ความจริง...ผมก็เห็นด้วยที่พี่สาวของผมจะหย่า แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเห็นด้วยถ้าคุณจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ในศาล”
“เหตุผลกับเงื่อนไขของคุณกับพี่ศลัยไม่เหมือนกัน คุณน่ะกลับไปอาบน้ำประแป้ง แล้วสวดมนต์ก่อนนอนไป”
เพียรภมรสะบัดหน้าออกไป
ภาษิตมองตามไป ด้วยความไม่พอใจ
“ฮึ่ม เจ็บ..!”
ภูฉายอยู่ในห้องนอน พลิกตัวลืมตาตื่น สีหน้ายังร่วงโรยไปด้วยพิษไข้ ดูเวลาที่หัวเตียง เห็นสลักนั่งเฝ้าอยู่
“กี่โมงแล้วครับ แม่”
“เกือบบ่ายโมงแล้ว ไม่ต้องห่วงงานหรอก แม่โทร.บอกนภดลตั้งแต่เช้าว่าแกไม่สบาย”
“วันนี้ผมมีนัดลูกค้าครับ”
“ภู ช่างมันเถอะน่ะ ลูกค้ามันไม่มีปัญหาเก็บเงินร้อยล้านไว้ที่บ้านมันก็ต้องรอแก ไม่ใช่ให้แกตะเกียกตะกายไปรอมัน ทั้งที่สังขารแกเจ็บป่วยยังงี้”
“ผม...ผม...”
“เชื่อแม่เถอะ นอนพักมากๆ เดี๋ยวกินข้าวแล้วค่อยกินยา แม่ให้นังมัยมันวิ่งไปซื้อยาที่ร้านหน้าปากซอยให้ ปวดหัวตัวร้อนแม่ให้ยาถูกน่ะ ไม่ยังงั้นจะเลี้ยงแกมาจนโตหรือ จริงมั้ย”
ภูฉายนิ่งเฉย เลื่อนลอย สลักขมวดคิ้ว ถามย้ำ
“จริงมั้ย ภูฉาย”
“ครับ...แม่”
ภูฉายรับคำแผ่วเบา ก่อนหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย
ขณะเดียวกันในห้องทำงานภูฉาย ที่แบงค์ นภดลนำน้ำเย็นเข้ามาวางให้ดวงแก้วที่มาหาภูฉายตามนัด ด้วยกิริยานอบน้อม
“คุณภูฉายไม่ได้บอกหรือว่าป่วยเป็นอะไร”
“คุณนาย...เอ้อ..คุณแม่คุณภูฉายโทร. มาบอกว่าป่วยครับ”
“แล้วรู้มั้ย...บ้านคุณภูฉายอยู่ที่ไหน”
“เอ้อ..คุณ...”
พนักงานมองดวงแก้วด้วยแววตากังวล เพราะรู้นิสัยของสลัก
“ฉันจะไปเยี่ยมคุณภูฉาย”
ดวงแก้วยิ้มๆ สีหน้าแววตาเชื่อมั่นตัวเองสูง
ฟากศลัยลาและผจงจิตนั่งทำงานอยู่ สีหน้า แววตาของศลัยลาครุ่นคิด เก็บของใส่กระเป๋าถือปุบปับ ผจงจิตเงยหน้าขึ้นมอง
“นั่นเธอจะไปไหน”
“ฉันจะไปคุยกับทนาย”
“เรื่องหย่าน่ะหรือศลัย นี่มันเวลางานนะ”
“เธอก็รู้นี่...ว่าฉันต้องไป!”
ศลัยลาผลุนผลันออกไป ผจงจิตมองตามไปด้วยความกังวลปนห่วง
ดวงแก้วนั่งไขว่ห้างรอภูฉายในห้องรับแขก กำลังจะหยิบบุหรี่และไฟแช็คออกมา สลักเดินลงมาสั่งละมัยด้วยท่าทีมึนตึง เย็นชา
“นังมัย เอาที่เขี่ยบุหรี่ไปเก็บ ฉันบอกกี่ครั้งแล้วให้มีสำนึกรักษาสภาพแวดล้อมบ้าง ไอ้คนสูบบุหรี่น่ะไม่ค่อยเป็นมะร็งตายหรอก แต่ไอ้คนไม่สูบบุหรี่นะซี ปีๆนึงโดยควันบุหรี่ตายไปตั้งเท่าไหร่!”
ละมัยรีบเอาที่เขี่ยบุหรี่ไปเก็บ
ดวงแก้วชะงัก เก็บบุหรี่และไฟเช็ค ขยับขาลงมา แต่ท่าทียังปั้นปึ่ง
“คุณน่ะหรือที่มาหาภูฉาย” สลักถามสียงขุ่น
“ค่ะ ฉันทราบว่าเขาไม่สบาย ก็เลยมาเยี่ยม”
“ฉันเป็นแม่ของเขา คุณจะไม่แนะนำตัวเองหรือว่าคุณเป็นใคร”
“ฉันเป็นลูกค้าคนสำคัญของคุณภูฉาย ช่วยเรียนคุณภูด้วยว่าฉันชื่อดวงแก้ว”
สลักหันมาจ้องดวงแก้ว ดวงแก้ววางท่าปั้นปึ่ง
“งั้นก็คุณซีนะ เป็นลูกค้าร้อยล้านของภูฉาย แต่ถึงคุณจะเป็นลูกค้าพันล้านก็เยี่ยมไม่ได้”
“ทำไมคะ”
“เพราะ..ฉันไม่อนุญาตให้เยี่ยม!”
แววตาของดวงแก้ววาววับ ไม่พอใจ สลักยิ้มเย้ยหยัน
ดวงแก้วหยิบกระเป๋าถือ ผลุนผลันออกไป สลักมองค้อนตามไปเยาะๆ
ด้านเพียรภมรและศลัยลาเดินมายังรถยนต์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เพียรไปพบคุณภูแล้วเขาไม่ยอมหย่า ไม่น่าเชื่อ...เขาเปลี่ยนไปอย่างพี่ศลัยว่าจริงๆ น่าเป็นห่วงเขาจัง”
“ห่วงทำไม”
“ก็หน้าที่การงานเขาน่ะ...มันไม่เอื้อให้เขาตีหน้ายักษ์เข้าหาคนทั้งโลกนะ”
“มันจะมีทางสำเร็จมั้ย เพียร”
“พี่ศลัย...อย่าเพิ่งสิ้นหวังนะ พี่เป็นรุ่นพี่หนู เป็นผู้หญิงมันมีหลายสิ่งที่ผู้หญิงถูกกดให้ยอมรับ ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ ไม่ว่าจะรับได้หรือไม่ได้”
เพียรภมรยื่นมือมาจับมือของศลัยลาไว้อย่างปลอบโยน
“อย่าขวัญเสียนะ..พี่ศลัย บางทีมันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่เราคิด แต่ถึงตอนนั้นเพียรจะช่วยพี่ให้ถึงที่สุด พี่ศลัยต้องไม่กลัวนะ พี่ต้อง..สู้..สู้!”
ศลัยลามองสบสายตาของเพียรภมร พยักหน้ารับคำ แววตาเพียรภมรเครียดจัด
ส่วนภูฉายมีสีหน้ากังวลพอรู้เรื่อง เดินลงมาพลางบ่น สลักเดินตามมาติดๆ ละมัยจัดโต๊ะอาหารค่ำอยู่
“ทำไมแม่ทำยังงั้นครับ คุณดวงแก้วเป็นลูกค้าของผมนะครับแม่”
“ก็เพราะว่าเป็นลูกค้าน่ะซี แม่ถึงได้ไล่ไปซะ จะฝากเงินก็โน่นนี่มันบ้านนะ ทำอะไรไม่รู้กาละเทศะ แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนจะมายั่วล้วนๆ ไม่มีธุรกิจปน”
สีหน้าภูฉายลำบากใจ
“กินข้าวดีกว่าลูก จะได้หายไข้ ถ้าแม่ดวงแก้วร้อยล้านนั่นต้องการจะเยี่ยมแกก็เชิญที่ทำงาน ที่บ้านไม่ต้อนรับใครทั้งนั้นฉันเข็ด..เข็ดแม่ศลัยลา!”
ภูฉายชะงักค่อยๆลดช้อนลง นัยน์ตาสลดลง
ที่หอพัก ผลึกดึงมือลายสือ เดินออกมาอย่างรีบเร่งพูดไปพลาง จืดเดินสวนทางมา
“เร็วเข้า เดี๋ยวไอ้จืดกลับมันจะขอเอี่ยวด้วย ไอ้นั่นน่ะ...เรื่องกินเรื่องอยู่ไม่สู้พ่อ...แต่เรื่องแจวเรื่องถ่อพ่อไม่สู้ใคร...”
“ไปไหนวะ ไม่ได้กูไปตายแน่นะ”
“พามึงไปอิ่ม อาม่วยนี้อีจัดอาหารจีนไทยฝรั่งไว้ต้อนรับมึงตั้งแต่วันนั้น อีนัดกูให้กูพามึงไปให้ได้”
“อาม่วยนี้อีกแล้วหรือวะ” ลายสือแปลกใจ
“งั้นกูไปด้วย กูเหงา...กลับไปนอนหอคนเดียวกูว้าเหว่ว่ะ” จืดบอก
ผลึกมีสีหน้าลำบากใจ เพราะไม่ต้องการให้จืดไปด้วย
“แหม ไอ้...”
“เอามันไปด้วยซีวะ มันกำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่แล้วก็ทั้งเมียนะ...จะให้มันกำพร้าเพื่อนด้วย มันจะไปอยู่สู้โลกยังไงไหว” ลายสือบอก
“เดี๋ยวกูเสียคน มึงบาปนะไอ้ผลึก” จืดว่า
“เออ ไปด้วยก็ได้ แต่กูบอกเสียก่อนนะไอ้จืด กิน...มึงมีหน้ากินเท่านั้น กิน!”
ทั้งหมดเดินกอดคอกันออกไป
คืนนั้นภาษิตยืนล้างจาน ช่วยนวลนภาเก็บครัวอยู่ศลัยลาเดินลงมา สวมเสื้อคลุมเสื้อนอน
“ตาหนูหลับแล้วหรือ”
“ค่ะ คุณแม่คะ หนูเซ็นใบแต่งทนายแล้วนะคะ เพียรภมรจะเป็นทนายให้หนูค่ะ”
ภาษิตชะงัก พูดประชดทันที “งานถูกโฉลกซีนะ”
“แกละค่อนแต่หนูเพียร” นวลนภาเหน็บลูกชาย
“ก็จริงๆ นี่ครับ พักนี้ทำแต่งานชิ้นดังๆทั้งนั้น ผมเห็นรูปในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ผู้หญิงจำพวกนี้ว่างมาก ถึงได้ลุกขึ้นเรียกนั่นร้องนี่ ทั้งที่ผู้ชายน่ะ..เขามีความเคยชินในสันดานมายังไงก็ยังงั้น มันเป็นธรรมชาติของเขา”
“แกพูดเหมือนแกไม่เห็นด้วย ที่ฉันให้เพียรภมรเป็นทนายฟ้องหย่าภู”
“ผมไม่รู้ แต่ป่านนี้ท่านทนายปนทะแนะคงพลิกตำรามือเป็นระวิงแล้วละมั้ง ยังไงก็ต้องเอาเหยื่อเข้าคุกให้ได้...”
นวลนภาแปลกใจ “เหยื่อ แกพูดถึงอะไรน่ะ”
“พูดถึงพี่ภูครับ เขาต้องตกเป็นเหยื่อถึงจะสะใจผู้หญิงขึ้นคานจำพวกนี้!”
“ภาษิต...เพียรภมรเป็นทนายของฉันนะ ต้องปกป้องผลประโยชน์ของฉัน ผู้หญิงที่ไม่แต่งงาน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ดีพอนะ ผู้ชายอย่างพวกแก อาจจะบุญไม่ถึงเค้าก็ได้…”
สีหน้าแววตาของภาษิตเคร่งเครียดขึ้นอย่างไม่พอใจ
บนโต๊ะอาหารในร้านขายของชำ อาหารจีนวางอยู่ แก้วเหล้าจีนกระทบกันแล้วจึงต่างดื่ม เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเรียนจบปริญญาตรี
“เฮ้อ...โล่งอก ไชโย้” เถ้าแก่บอก
“เดี๋ยวๆ เตี่ย...หมายความว่ายังไง...ไชโย้แล้วโล่งอกน่ะ”
“เตี่ยโล่งอกที่เฮียจบซะทีน่ะซี” ม่วยนี้ว่า
“แล้วต่อไปนี้ อั้วก็จะไม่ให้เงินลื้อไปดูต่างหน้าอั๊ว ลื้อจบแล้วทำมาหากินได้แล้ว บัญชีปิด..งดจ่าย...”
ตลอดเวลาจืดนั่งกินๆๆๆ ไม่สนใจใคร
“อ๊าว เตี่ย”
“เอ้อ ทำยังงี้เป็นการตัดความรับผิดชอบเร็วไปหน่อยหรือเปล่าครับเตี่ย” ลายสือท้วง
“แหม มึงพูดเพื่อเพื่อนยังงี้ ไม่เสียแรงที่ชวนมากินของฟรีว่ะ ถูกต้อง...เตี่ยไม่กลัวโลกจะประณามว่าเตี่ยขาดความรับผิดชอบหรือ”
“อั๊วไม่กลัวใครทั้งนั้น โลกจะประณามยังไงอั๊วไม่สน...เพราะ...ต่อไปนี้…”
เถ้าแก่หันไปยิ้มประจบลายสือ
“อั๊วจะโอนกิจการทั้งหมดให้กับ..นี่..อาม่วยนี้”
“เตี่ย!”
ผลึกอุทานอย่างตื่นตระหนก ม่วยนี้ยิ้มเอียงอาย ผลึกมองจืด มองลายสือด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
ส่วนเถ้าแก่มีสีหน้าที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจมาก
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
คืนนั้นศลัยลายังคงอยู่บ้านแม่ สวมเสื้อคลุมชุดนอนเดินเหงาๆ ลงมาชั้นล่าง นวลนภาเดินตามมาลงมาแล้วเข้ามาโอบเอว ให้แรงใจ ความรัก และความอบอุ่น แก่ลูกสาว
“เหนื่อยหรือ ศลัย”
“บอกไม่ถูกหรอกค่ะ คุณแม่ ยังโชคดีนะคะ ที่หนูมีคุณแม่อยู่”
น้ำตาของศลัยลาคลอเต็มดวงตา ด้วยความรู้สึกตื้นตัน
“อย่าหมกมุ่นกับเรื่องชีวิตนักเลย บางทีเวลาที่มันยืดออกไปนี่ มันอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นก็ได้” นวลนภาปลอบ
“หนูไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ คุณแม่คะ...มันเหมือนกับหัวใจของหนู รับผู้ชายคนนั้นไม่ได้อีกแล้ว”
แววตาของนวลนภาแปลกใจ
“ศลัย หนูคงไม่ได้หมายความว่า...ใจของหนูไม่มีที่ว่างสำหรับภูฉายนะ”
“คุณแม่คะ หนูบอกไม่ถูกว่าหนูเกลียดเขา หรือว่า..หนูยังรักเขาอยู่ หนูไม่กล้าถามตัวเองหรอกค่ะ”
“ศลัย หนูมีลูกนะ...ถึงจะมีหรือไม่มีภูฉาย แต่หนูก็ยังมีลูกอีกทั้งคน ลูกต้องการที่ว่างมากมายของคนเป็นแม่ ก็เหมือนอย่างที่ภูฉายเองก็ต้องการ”
ศลัยลาเลื่อนตัวออกจากอ้อมแขนของนวลนภา สบสายตาของผู้เป็นแม่ ด้วยสีหน้าแววตาครุ่นคิด ครางออกมาเบาๆ
“ภูฉาย”
เช้าวันต่อมา ภูฉายเดินเข้ามาในแบงค์ที่ทำงาน พร้อมกับดวงแก้ว
“เรื่องวันนั้นผมต้องขอโทษคุณดวงแก้วด้วยนะครับเรื่องที่...”
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือคนแก่ ถ้าฉันเป็นคุณแม่คุณฉันอาจจะต้องทำยังงั้นก็ได้”
ดวงแก้ววางถุงเงินลง แล้วเทออกมา เห็นเป็นปึกใหญ่ๆ มากมาย ด้วยสีหน้าแววตาท้าทายภูฉาย
ด้านศลัยลาจอดรถยนต์ด้านหน้ากองโบราณคดี ขณะกดปิดล็อค ลายสือก้าวเข้ามาหยุดยืน ตรงหน้า ศลัยลามองอย่างขบขัน
“ที่เมืองนรกน่ะ เขาว่ากันว่ากระทะทองแดงมันแน่นจนแออัดนะ”
ลายสือยิ้มแย้ม ท่าทีดีใจ “ผมเรียนจบแล้วนะ โยนตำราทิ้งหมดแล้ว” พลางยกมือขึ้น
ศลัยลาฉงน “แล้วมาบอกฉันทำไม”
“ผมอยากให้คุณรับรู้ว่าผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนอีกแล้ว”
“เอาเป็นว่าฉันรับรู้ก็แล้วกัน”
“คุณศลัย...คุณมีผมนะ นัยน์ตาของคุณมันบอก...” ลายสือจ้องหน้า
ศลัยลาชะงัก หันมาสบสายตาของลายสือ ด้วยแววตาหวั่นไหว
“คุณต้องหย่ากับเขา ถึงคุณจะบอกบ่อยๆ ว่าเพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเพื่อเรา...เราจะใช้ชีวิตด้วยกัน เริ่มต้นกันใหม่”
“ฉันยังนึกภาพไม่ออกเลยนะ เราจะเริ่มต้นกันได้ยังไง”
ศลัยลาถดตัวถอยห่าง เกรงว่าลายสือที่มีความระห่ำในตัวจะทำอะไรที่คาดไม่ถึง อีกประการศลัยลาเอง มีใจ ให้เด็กหนุ่มคนนี้ แต่พยายามยับยั้ง ตัวเองอย่างหนัก
ลายสือมีความหวังท่าทีกระตือรือร้น “มันก็เริ่มต้นจาก...ผู้หญิงกับผู้ชาย...คนสองคนพยายามสร้างชีวิตใหม่ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องหนีจากความเป็นจริงคนละครึ่ง เพื่อ...”
ศลัยลาครางแผ่วๆ เสียงจริงจัง “นั่นน่ะหมายถึง...เอ้อ...ฉัน...ฉันมีผัวเด็กนะ!”
“ก็ไม่ดีหรือ ผู้หญิงอายุเท่าคุณ มีผู้ชายมาล้มตายตรงหน้าตั้งสองคน...ถ้าคุณไม่ฉวยโอกาสนี้เลือกผม...คุณจะไม่มีวันหนีพ้นเขา!”
ศลัยลาโกรธในสีหน้าและดวงตาที่เปล่งประกาย บอกเสียงกร้าว
“ไปลงนรกซะ ไอ้หนู!”
ศลัยลาผละไป
สีหน้าท่าทางที่ตื่นเต้นคึกคะนองของลายสือค่อยๆ สลดลง
ภูฉายเดินลงมาส่งดวงแก้วที่รถยนต์ที่หน้าแบงค์ สลักลงจากแท็กซี่มาเห็นพอดี
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนภู นั่นแกจะไปไหน”
แท็กซี่ตะโกนตามเสียงดัง
“คุณ...เจ็ดสิบสามบาท ทำไมให้มาแค่เจ็ดสิบบาทล่ะ”
“ก็เงินแค่สามบาทฉันไม่มีเศษนี่ ฉันรู้นะพวกแท็กซี่มิเตอร์น่ะเศษเล็กเศษน้อยไม่ทอนผู้โดยสารหรอก อ้างว่าไม่มี ก็เอาไปถัวๆ กันบ้างซียะ”
แท็กซี่ฉุน “ฮ่วย เกิดมาบ่เคยพบเคยเห็นเด้อ ยายตืด ตังเม!”
แล้วแท็กซี่ออกรถไปอย่างหงุดหงิด
สลักหันมาเฉ่งลูกชาย “ภู แกไปไหนไม่ได้นะ แกต้องไปกับแม่”
“แม่ครับ ผมไม่ได้ไปไหนหรอกครับ ผมเดินมาส่งคุณดวงแก้ว”
“งั้นหรือ...เออ...ค่อยยังชั่วหน่อย แม่นึกว่าแกต้องไปส่งลูกค้าคนสำคัญถึงเตียงน่ะซี”
“คุณ...คุณนาย”
ดวงแก้วโกรธ ขับรถยนต์ทะยานออกไป
ภูฉายตกใจ “แม่ ทำไมแม่พูดยังงั้นล่ะครับ”
“ตอนฟังน่ะมันน่าเกลียด แต่ตอนทำ...นังพวกนี้มันไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่าเกลียดหรอก มันเห็นเป็นเรื่องน่าสนุก ไป กลับไปทำงานต่อ แม่จะรอกลับพร้อมๆ กับแก!”
สลักดึงแขนภูฉายเดินเข้าสำนักงานไป
ส่วนลายสือยืนชะเง้อชะแง้ ดักรอศลัยลาหน้ากองโบราณคดี ศลัยลาขับรถยนต์ออกมา เลี้ยวออกถนนใหญ่พุ่งตรงไป
“คุณ..คุณศลัยลา คุณ…”
ลายสือวิ่งตามรถของศลัยลามา ท่ามกลางรถยนต์มากมายบนท้องถนน ลายสือวิ่งมาจนล้า ร่างทรุดลง
“คุณ...ศลัยลา”
เย็นจวนค่ำ ภาษิตเล่นบอลอยู่คนเดียวในสนามนอกบ้าน รถยนต์ของภูฉายแล่นเข้ามาจอด ภาษิตชะงักมองภูฉายด้วยแววตาห่างเหิน นวลนภากำลังดูแลต้นไม้อยู่ใกล้ๆ ยิ้มทักเมื่อภูฉายเปิดประตูรถก้าวลงมา
“ภู เข้ามาก่อนซี เอารถเข้ามามั้ย”
“ไม่ต้องก็ได้ครับคุณแม่ ผมแค่มาเยี่ยมลูกน่ะครับ”
“ขึ้นไปข้างบนซี เดี๋ยวแม่จะหาอะไรให้รองท้อง”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมก็แค่...”
“ไป ภู ขึ้นไปกับแม่”
นวลนภาคล้องแขนของภูฉาย ดึงตัวขึ้นไปบนตึก ภาษิตมองตามไปด้วยท่าทีไม่พอใจ
ฟากสลักเดินกระวนกระวายอยู่ในบ้าน
“เขาไปไหนของเขานะ ยังไม่กลับ นี่มันตั้งหกโมงกว่าๆแล้ว หรือว่าไป...ไป...”
“ไปเยี่ยมน้องหนูหรือเปล่าคะ” ละมัยว่า
“เขาจะไปทำไมบ้านนั้น จะขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่วันสองวันนี่แล้ว...เขาคงจะไป เอ๊ะ หรือว่าไป...ไปกับ...นังมัยแกจำผู้หญิงที่เคยมานั่งรอภูที่บ้านได้มั้ย”
“อ๋อ คุณคนที่ใส่เพชรเม็ดเบ้อเริ่มน่ะหรือคะ”
“ใช่ ฉันชักจะสงสัยว่า มันไม่ใช่แค่ลูกค้าคนสำคัญเสียแล้วซี”
สลักเข่นเขี้ยว มีสีหน้าแววตาใคร่ครวญครุ่นคิด คำรามในลำคอ
“มันยังรู้จักฉันน้อยไป!”
เวลาผ่านไป จากเย็นเป็นค่ำ ภูฉายนั่งอยู่เงียบๆ ภาษิตกำลังนั่งล้างปืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ต่างไม่ได้สนใจกัน ท่าทีของนวลนภาลำบากใจมาก พยายามคลี่คลายบรรยากาศ
“ภู อยู่กินข้าวด้วยกันนะ ไม่ต้องรอศลัย ศลัยไปงานเลี้ยงรุ่น”
“ไม่ต้องหรอกครับคุณแม่ เดี๋ยวผมต้องกลับไปกินข้าวกับแม่ผม”
เสียงภาษิตถอดชิ้นส่วนของปืนมีเสียงกระทบกันดังกังวานอย่างจงใจภูฉายลุกขึ้นยืน
“ผมกลับละครับคุณแม่ รถคงเลิกติดแล้ว”
ภูฉายเดินออกไป นวลนภายังงงๆ หันไปทำตาเขียวกับภาษิต
“ทีหลังแกอย่าทำอะไรถ่อยมารยาทยังงี้อีกนะ”
“ก็ใครจะไปรู้...ไอ้ที่เขามานั่งเฉยๆ น่ะเขานั่งรอให้รถว่าง เขาจะกลับไปกินข้าวกับ...”
ภาษิตทำเสียงล้อเลียนภูฉายเหมือนลูกแหง่
“แม่...”
สีหน้าของนวลนภาลำบากใจมาก ได้แต่ถอนหายใจ
ฟากเพียรภมร และศลัยลาออกมาจากโรงแรมชั้นหนึ่งด้วยกัน หลังงานเลี้ยงรุ่นจบสิ้น สองสาวตรงมาที่ลานจอดรถ
“แยกกันตรงนี้นะคะพี่ศลัย ขับรถดีๆ นะ เดี๋ยวเพียรแวะไปดูแม่แล้วจะกลับเลย”
“แล้วฉันจะโทร. นัดเธออีกที”
“ฮื่อ”
เพียรภมรขับรถยนต์ออกไปก่อน ศลัยลาจึงเปิดประตูรถยนต์ขึ้นนั่ง ลายสือเดินออกมาจากมุมที่หลบอยู่ แทรกตัวเข้ามานั่งในรถด้วยท่าทีอ่อนล้า
“ลายสือ”
“ผมมารอคุณตั้งแต่หนึ่งทุ่ม ผมรู้ว่ามีงานเลี้ยงรุ่นที่นี่...ส่งผมหน่อยได้มั้ย โอย..วิ่งเกือบตาย”
“ฉันจะช่วยสงเคราะห์คนยาก”
“ผมสัญญา”
ลายสือยกมือสาบาน
“ผมจะไม่ปล้ำคุณ ถึงแม้ว่าผมจะมีแรงบันดาลใจ เพราะกรุงเทพฯนี่ โรงแรมงอกเงยเหมือนดอกเห็ด ผมจะไม่ทำร้ายคุณเพราะเขาทำให้คุณบาดเจ็บมามากแล้ว”
“คุณเข้าใจผิด ภูฉายไม่เคยทุบตีฉัน”
“เขาทำร้ายจิตใจคุณ เขาไม่ยอมหย่าจากคุณ”
“จะไปหรือไม่ไป!”
“ไป”
“งั้นก็หุบปากซะ!”
ศลัยลาขับรถยนต์กระชากออกไปด้วยความเร็ว
คืนเดียวกันนั้น สลักยืนรออยู่ในบ้าน ภูฉายเดินเข้ามา ถอดรองเท้า ละมัยทำหน้ากลัวๆ อยู่ด้านหลังสลัก
“ไปไหนมา...ไปกับลูกค้าร้อยล้านอีกแล้วใช่มั้ย แกไม่ได้ระวังตัวกลัวมันจะจับเลยนะ ภูฉาย แม่เป็นห่วงแก กลัวแกจะเสียท่านังนั่น ดูมันแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าซี ดูหูตามันซี มันมองฉันเหมือนฉันเป็นเจ้าของบริษัทเช่าซื้อผัวยังงั้นแหละ...มันเห็นลูกฉันเป็นอะไร!” สลักบ่นบ้าตามแรงโทสะ
“แม่ครับ” ภูฉายอ่อนใจ
“แกน่ะ...กำลังถูกเมียฟ้องหย่านะ ถ้าทนายฝ่ายโน้นรู้เบาะแสเรื่องแกมีผู้หญิงอื่น มันต้องฉวยโอกาสเอาเป็นข้ออ้างแน่ แล้วยังงี้แกจะชนะมันได้ยังไง...บอกแม่ซี...แกไปไหนมา”
“ผมไปบ้านศลัยลามาครับ แม่”
ภูฉายตอบเสียงเนือยๆ เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า
“ผมจะขึ้นไปอาบน้ำนะครับ แม่ ผมเหนื่อย”
ภูฉายเดินหนีขึ้นชั้นบนไป สลักอ้าปากค้าง หน้าตาตื่นตระหนก
“ไป ไปบ้านนังศลัยลามาหรือ”
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
ศลัยลาจอดรถยนต์หน้าร้านข้าวต้มเล็กๆ ริมทาง
“ฉันส่งคุณแค่นี้นะ”
“เลี้ยงข้าวผมสักมื้อซีครับ เพื่อตอบแทนความภักดีของผม ผมวิ่งตามรถคุณมาตั้งนานนะ”
“นี่มันดึกแล้วนะ ลายสือ”
“คุณกลับไปตอนนี้ลูกก็หลับแล้ว”
“ก็ได้”
ลายสือเปิดประตูรถยนต์ลงมาอย่างกระปรี้กระเปร่า ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าสาวรุ่นพี่ ศลัยลาจ้องมองลายสืออย่างเคร่งขรึม
“คุณโตแล้วจริงๆ หรือ”
“ผมจบปริญญาตรีแล้ว ผ่านด่านนั้นมาได้ผมถือว่าผมเป็นผู้ใหญ่ พอที่จะพิพากษาตัวเองได้แล้ว”
ลายสือเอาตะเกียบมาเล่นอย่างเด็กๆ คะนอง
“ชีวิตมันไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แค่เรียนจบแล้วก็มีงานทำ ฉันบอกไม่ถูกหรอกว่ามันคืออะไร”
ศลัยลาพยายามเตือนสติลายสือ
“แต่มันต้องใช้เวลาอีกมาก เพื่อสร้างให้ชีวิตของเราสมบูรณ์ขึ้น...ที่ฉันพูดนี่...เพราะฉันเกิดความรู้สึกสังเวชอย่างแม่....ฉันเป็นแม่นะลายสือ”
ลายสือชะงักการเล่นตะเกียบ เบนสายตามาจับอยู่ที่ใบหน้าสวยซึ้งของศลัยลา เนื่องเพราะการขาดแม่ อันเป็นปมด้อยในจิตใจ
“ฉันคงสังเวชจัง ถ้าลูกของฉันพลัดตกลงไปในเหว เหวแห่งความประมาท เพราะเขาใช้ชีวิตไม่ระมัดระวัง มันไม่ต่างอะไรกับการเดินไปสู่นรก”
“ผมรู้....ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด”
แววตาของลายสือเชื่อมั่นเต็มไปด้วยความทะนง จ้องหน้าศลัยลานิ่งๆ
“แต่ผมจะเดินต่อไป!”
รุ่งเช้าภาษิตกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เป็นหนังสือหางาน ศลัยลาอุ้มลูกลงมา นวลนภาเตรียมอาหารเช้า
“เมื่อคืนกลับดึกหรือ”
“เอ้อ..ค่ะ...ดึกไปหน่อย หนูเลยไปทานข้าวกับเพื่อนด้วยค่ะ”
ศลัยลาโกหก
“ดีแล้วละ รู้จักไปกินข้าวกันคนโน้นคนนี้เสียบ้าง เมื่อวานภูเขามาแน่ะ”
แววตาของศลัยลาเปลี่ยนไป เป็นบูดบึ้ง มึนตึง
“เขามาทำไมคะ”
“มานั่งเฉยๆ” นวลนภาว่า
“หลบรถติด เขาไม่เปลี่ยนสักเท่าไหร่เลยนะครับพี่ศลัย” ภาษิตบอก
“แกสอบเสร็จแล้วหรือ”
“แหม ผมเริ่มหางานทำแล้วนะครับ พี่ศลัยนี่แก่เสียจน...ลืมไปแล้วละมั้งว่าใครเป็นใครในครอบครัว มา...ส่งตาหนูให้ผมเถอะ ตอนนี้ผมกำลังตกงาน ผมช่วยเลี้ยงให้”
สีหน้าศลัยลาสลดลง ภาษิตรับหลานไป
“กาแฟไงลูก” นวลนภาบอก
“คุณแม่คะ คนวัยหนูกับคนวัยภาษิต แก่กว่ากันมากมั้ยคะ”
“ไม่รู้ซี แม่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ว่าคนวัยแม่กับคนวัยหนูแตกต่างกันแค่ไหน”
สีหน้าแววตาของศลัยลาดูออกว่าหวั่นวิตกไม่น้อย เมื่อคิดถึงวัยวันที่แตกต่างกันของตนและลายสือ
เช้าวันเดียวกันสลักเดินตามภูฉายมายังรถยนต์ ละมัยเดินตามลงมา สีหน้าเบื่อๆ แทนภูฉาย แต่สีหน้าภูฉายเรียบสงบเป็นปกติ
“อย่าไปที่นั่นอีกนะ เดี๋ยวมันจะแจ้งข้อหาบุกรุกแก นังศลัยลามันคงจะย้ายไปรวมอยู่กับพวกของมัน มันจะผลึกกำลังเล่นงานแก แกต้องระวังตัวไว้บ้าง อ้อ...เดี๋ยวก่อน...เย็นนี้อย่าให้ผิดเวลานะแม่ตั้งนาฬิกาไว้แล้ว เผื่อรถติดเอาไว้ด้วยเพราะฉะนั้น...แกต้องกลับมาสี่โมงครึ่งแป๊ะ”
“ครับ..แม่”
ภูฉายขับรถยนต์ออกไป สลักมองตามด้วยสีหน้าพอใจ ก่อนหมุนตัวกลัมาสั่งละมัย
“งั้นเดี๋ยวบ่ายๆ แกออกไปซื้อกับข้าวที่ปากซอยไว้นะเย็นๆ ฉันจะทำกับข้าวไว้ให้ภูฉาย แกต้อง…”
“ครับ..แม่”
ละมัยเผลอตัวรับคำตามคำพูดติดปากของภูฉาย พอรู้ตัวรีบปิดปากไว้ ผลุบหายเข้าบ้านไป
“นัง...นังมัย..!”
สลักเต็มไปด้วยความโมโห
ลายสือโทรศัพท์หาศลัยลา ขณะเธอทำงานอยู่ที่กองโบราณคดี
“ผมเอง”
ศลัยลารับด้วย สีหน้าไม่พอใจ
“คุณโทร. มาทำไม”
“ผมไม่มีที่ไปนี่”
“ฉันจะแนะนำให้สองสามแห่งนะ วัด...ป่าช้า...หรือไม่ก็ห้องดับจิต!”
“แบตผมกำลังจะหมด ผมให้เวลาคุณสามนาทีคุณจะพูดอะไรก็ได้อย่างที่คุณคิด”
“ลายสือ ฉันกำลังทำงานนะ” ศลัยลาฉุน
“ผมยังบังคับความคิดถึงไม่ได้ ผมคิดถึงคุณ อยากเห็นหน้าคุณอยากได้ยิน..แม้แต่เสียงด่าของคุณ”
“ฉันจะวางสายเดี๋ยวนี้นะ”
ลายสือยิงมุกใส่ “อย่า..ผมตายแน่ ผมจะตายไปพร้อมกับแบตโทรศัพท์”
ศลัยลาเสียงอ่อนลง “ลายสือ ให้เวลาฉันเป็นตัวของตัวเองให้มากกว่านี้ได้มั้ย...เรายังไม่ควรพบกัน ฉันต้องการเวลา”
“ผมจะรอคุณ...ผมจะตื้อคุณ...ผมจะพยายามเสมอ...ผมรักคุณนะ”
น้ำเสียงของลายสือเริ่มอ่อนโยนลง แววตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความรัก
“ผมรักคุณ...ผมรักคุณ...ผมรักคุณ...ผมรักคุณ”
สีหน้าและความรู้สึกของศลัยลาหวั่นไหวไปกับคำนั้น
“ผมรักคุณ...ศลัยลา”
ภาษิตกำลังนั่งดูโทรทัศน์ภาคข่าวที่มีสัมภาษณ์เพียรภมรอยู่ด้วยความสนใจ นวลนภาเดินตามมายืนดูด้วยความชื่นชมในความสามารถของเพียรภมรที่กำลังพูดในจอทีวี
“บ้านฉุกเฉินที่ทางสมาคมฯ ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงและเด็ก เรามีบุคลากรจากหน่วยงานหลายสาย และได้รับ ความอนุเคราะห์จากกรมประชาสงเคราะห์ บ้านพักของเราจะเปิดให้การบริการยี่สี่ชั่วโมง สำหรับ ผู้ที่ต้องการคำปรึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางกฎหมาย หรือปัญหาชีวิต เรามีการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ด้วยค่ะ”
ภาษิตเปลี่ยนช่องด้วยท่าทีรำคาญแกมหมั่นไส้
“อ้าว ทำไมไม่ดูข่าวหนูเพียรล่ะ แม่ว่าดีนะ ลุกขึ้นมาช่วยผู้หญิงด้วยกันนี่”
“แม่ก็ไปช่วยเขาอีกคนซีครับ” ภาษิตเหน็บ
“ถ้าหลักการถูกใจแม่ไปแน่ แม่ติดที่ต้องเลี้ยงหลานน่ะซี”
“นั่นละครับ หน้าที่ของผู้หญิงละ ไม่ต้องไปเต้นแร้งเต้นกาเรียกร้องไอ้นั่นไอ้นี่ ไอ้ที่มันไปฝืนความเคยชินของผู้ชายเขา”
ศลัยลาเดินเข้ามาหยิบของ ไม่ได้สนใจฟังการโต้เถียง
“แล้วแกไปค่อนหนูเพียรทำไม”
“รำคาญ ผู้หญิงที่ไม่ค่อยประมาณความต้องการของตัวเองนี่ เห็นแล้วผมรำคาญ!”
“ระวังเถอะ แกจะได้ผู้หญิงจำพวกนี้เป็นเมีย แล้วจะกลัวเมียจนแม่ค้านอะไรไม่ขึ้น”
ศลัยลาชะงัก สีหน้าสลดลง ก่อนจะเดินออกไป ภาษิตเห็นก็แปลกใจในท่าทีพี่สาว
“พี่ศลัย...”
นวลนภายังอารมณ์ติดพัน “แหม แกนะ”
“ผม...เอ้อ...ผมไม่ได้ตั้งใจนี่ครับ แม่”
ภาษิตชะเง้อมองศลัยลาด้วยแววตากังวล
ส่วนภูฉายเดินลงมาจากชั้นบนด้วยท่าทีเนือยๆ เหน็ดเหนื่อย เริ่มไว้หนวดเครา สลักอุทานเสียงดัง
“ต๊าย...นั่นแกหรือภู ทำไมปล่อยเนื้อปล่อยตัวยังงี้ หนวดเคราก็ไม่โกน อีกหน่อยแกคงเสื่อมโทรมเป็นซากศพเดินได้”
“ชงกาแฟให้แก้วซี มัย”
“ถ้วย...ใครเขาเรียกกาแฟเป็นแก้ว แหม...ไม่สมกับที่แกร่ำเรียนมาสูงๆแล้วมีหน้าการงานดีๆเลย ไปชงมาถ้วยนึงนังมัย แล้วไม่ต้องใส่น้ำตาลมากนะ มันแสบคอ”
“ค่ะ”
“วันนี้วันหยุดไม่ได้ไปไหนไม่ใช่หรือค่ำๆ แม่จะทำ...”
“ไม่ต้องหรอกครับ แม่ คืนนี้ผมมีงานเลี้ยง”
ภูฉายกล่าวเนือยๆ ทรุดตัวลงนั่งหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเปิดอ่านอย่างเงียบขรึม
สลักขยับจะพูด แต่ชะงักเมื่อเห็นท่าทีเงียบๆ ของภูฉาย ได้แต่สลักถอนหายใจยาว
ลายสือเดินวนเวียนไปมาอยู่บนฟุตบาทอย่างเปลี่ยวเหงา สีหน้าทุกข์ระทม กระวนกระวายร้อนรุ่มเมื่อคิดถึงศลัยลา
ลายสือทรุดตัวลงนั่งยังม้านั่งริมถนน หยิบโทรศัพท์ขึ้น กดเบอร์ศลัยลา แต่ตัดสินใจปิด
กลางดึกคืนนั้นภูฉายอยู่ในเงามืดกำลังเลื่อนประตูเปิดเข้าบ้าน พบสลักรออยู่ สลักเดินเปิดสวิทช์ไฟ เห็นท่าทีภูฉายทั้งเหนื่อยและโทรม
“ภู กินเหล้ามาด้วยหรือ”
“งานเลี้ยงน่ะครับ ยังไงก็ต้องดื่ม”
“เพื่ออะไร... อบายมุขพวกนั้นน่ะต้องกินมันเพื่อมารยาทด้วยหรือ แกน่ะ...ตกเป็นทาสของผู้หญิงอย่างศลัยลาไม่พอ แกยังตกเป็นทาสของเหล้าอีก!”
“ผมเหนื่อย ขอขึ้นไปนอนก่อนได้มั้ยครับ แม่”
“ทีกับแม่ละ...แกเหนื่อยที่จะพูดด้วย แล้วนี่แกจะทำตัวเป็นซากศพอีกนานแค่ไหน แกอยากให้แม่ตายเร็วใช่มั้ย”
น้ำเสียงของสลักเครือ เจือไปด้วยมารยา
สลักเห็นลูกเงียบ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “เอาซี...ถ้าแกอยากให้แม่ตายเร็ว แม่ก็จะตายให้แกสมใจแม่ไม่หย่ากับนังลัยลาแม่จะผูกคอตายที่ประตูบ้านนี้แหละ มันจะได้ประจานความชั่วของแก ว่าแกเป็นคนเนรคุณแม่!”
แววตาภูฉายร้อนใจ
“อย่านะครับ..แม่”
“อย่าไปบ้านนั้นอีกนะ คิดถึงลูกยังไงก็ไม่ต้องไป แม่ยังตัดใจจากตาหนูได้เลย ทั้งที่แม่เลี้ยงมาจนโต ไปขนของมาให้หมด อะไรที่เป็นของแกที่มันยังตกค้างอยู่บ้านโน้นน่ะ”
“เอ้อ...”
ภูฉายอึกอัก ตัดสินใจไม่ได้
สีหน้าแววตาของสลักแข็งกร้าวขณะเอ่ยออกมา
“ถ้าแกไม่ทำ แม่จะทำเอง..!”
รถสองแถวถอยหลังเข้ามาจอดในบ้าน โดยมีสลักยืนเปิดประตูให้ เข็มวิ่งออกมาอย่างตื่นตระหนกตกใจ
“อะไรกันคะ คุณนาย”
“แกถอยไป...ฉันเอารถมาขนของของภู!”
“แต่ว่า…”
“ไหนๆ ก็เลิกกันแน่ๆ อยู่แล้ว ฉันไม่ทิ้งอะไรเอาไว้ให้เกะกะบ้านจ้าวนายของแกหรอก เอ้า..ลงมาขนของข้างบน”
“ครับ”
“ไม่ได้นะ ยังขนไม่ได้” เข็มไม่ยอม
“ทำไม” สลักจ้องตาเอาเรื่องเต็มที่
“หนูจะโทร.ไปฟ้องคุณศลัย”
สลักผลักเข็มจนกระเด็น แล้วเดินนำคนขับรถเข้าบ้านไป
เสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านนวลนภาดังขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารกัน ท่าทีภาษิตเฉยเมย เพียรภมรเหลือบสายตาขึ้นมองภาษิตอย่างตำหนิ
ศลัยลาเดินไปรับสาย สีหน้าแปลกใจ
“เข็มหรือ...มีอะไร...อะไรนะ...เอาเถอะ...เขาอยากได้อะไรก็ให้เขาขนไป”
ศลัยลากระแทกสายลงแป้น
“ศลัย เรื่องอะไรน่ะลูก”
“คุณนายสลักค่ะ ให้คนมาขนของที่บ้านโน้น”
“ตายจริง แล้วจะรู้หรือว่าอะไรเป็นของใคร”
เพียรภมรถามด้วยน้ำเสียงกระด้าง “คุณภูเขามาด้วยหรือเปล่า!”
“เปล่า”
ภาษิตประชดตามนิสัย “แหม ยังงี้มันต้องเล่นข้อหาบุกรุกเลยนะครับ ท่านทนายใหญ่”
“ช่างเถอะค่ะ...ใครอยากได้อะไรก็ให้ขนไป หนูสังเวชความมักได้ของคนเลวพวกนี้เต็มทีแล้ว”
“คิดยังงั้นจริงๆ หรือคะพี่ศลัย”
“ใช่ คิดแล้วก็เกิดทุกขเวทนา แล้วก็ปลง...ก็แค่นั้น!”
ทุกคนกินข้าวไม่ลง ภาษิตรำพึงขึ้นเบาๆ อย่างขบขัน
“แหม..นี่ดีนะ..ผมกับคุณแม่ไปขนเครื่องลายครามกลับมาซะทัน...ไม่ยังงั้น”
ด้านสลักกำลังค้นหาเครื่องลายครามในตู้โชว์ที่เคยเห็นและจำแม่น เข็มยืนมองด้วยสีหน้าบึ้งตึง คนขับรถทยอยแบกของออกไป
“ไหน...เครื่องลายครามในตู้นี้ไปไหน”
“คุณป้ากับคุณภาษิตเอากลับไปตั้งนานแล้วละค่ะ” เข็มบอก
“ต๊ายตาย...นี่มันรู้แกว มาขนตัดหน้าฉันหรือนี่...งก...เกิดมาไม่เคยพบเห็นใครงกอย่างคนพวกนี้เลย อีแค่...เครื่องลายครามราคาไม่กี่แสน ฉันไม่เอาก็ได้ย่ะ...แต่ ฉันจะขนของในบ้านให้เกลี้ยง..!”
“คุณศลัยบอกว่า....เชิญค่ะ..!” เข็มบอกอีก
สีหน้าโกรธจัดของสลัก
สภาพบ้านช่องห้องหอว่างเปล่า ข้าวของกระจุยกระจาย ขณะที่ศลัยลาเดินสำรวจตรวจตรา ก่อนที่จะหันมาสบสายตาของเพียรภมรด้วยความโกรธจัด
“ดูนะ ดูภูเขาทำ พอจะเลิกกัน เขาก็หมดเยื่อใย..ใจคอเขาจะไม่ให้มีอะไรเหลือให้นึกถึงความดีเก่าๆ ของเขาบ้างเลยหรือ”
“เขาอาจจะไม่รู้เรื่องที่แม่เขาทำก็ได้นะ ศลัย” เพียรภมรปลอบ
“ไม่จริง เขาแม่ลูกกัน เขาปฏิเสธไม่ได้หรอกเรื่องไม่รู้ไม่เห็น เข็ม…”
“คะ”
“เปลี่ยนกุญแจประตูข้างนอกด้วยนะ ถ้าคุณนายสลักมาขนของอีกให้ขนกระถางต้นไม้ข้างนอกไป ในบ้านนี้..ไม่มีอะไรให้ขนอีกแล้ว!”
“ค่ะ”
“พี่ศลัย ...ใจเย็นๆ ซี เพียรว่า...”
สีหน้า แววตาเรียบๆ ของเพียรภมรครุ่นคิด
“คงไม่ใช่ภูฉายหรอก ที่ทำเรื่องน่ะ” เพียรภมรเองก็รู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร
ขณะภูฉายเดินลงมาเตรียมตัวจะไปทำงาน อาการเนือยๆ มองสลักและละมัยที่กำลังปัดฝุ่นของเข้าตู้โชว์ด้วยความแปลกใจ
“นี่อะไรครับ แม่”
“ของที่แม่เพิ่งเหมารถไปขนมาจากบ้านโน้น เหนื่อยเปล่า...ของมีค่าสักชิ้นก็ไม่มี ถ้วยโถโอชามที่ใช้กันหรูหราน่ะ แม่หาไม่เจอ...เครื่องลายครามมันก็ขนกลับไปแล้ว มันเตรียมหย่าแล้วก็เตรียมย้ายด้วย”
ภูฉายอึ้ง “แม่ครับ..แต่นี่มันของใช้ส่วนตัวของศลัยลานะครับ”
“ฉันจะไปรู้หรือ มันแยกไม่ถูกนี่ แม่เห็นว่าแกทำงานก็เหนื่อยแล้วอยากพักผ่อนแรงแกบ้าง แม่หวังดีนะ..ภูฉาย”
“เราต้อง เอาของพวกนี้ไปคืนศลัยลานะครับ”
สลักผลุดลุกขึ้นยืน ตวาดเสียงแหวใส่ทันที
“คืนมันทำไมกันเสียเหลี่ยม...ไหนๆ เราก็เสียตาหนูไปแล้วจะเสียเหลี่ยมอีกทำไม มันอยากได้คืนให้มันเข้ามาขนในบ้านนี้ซี แม่จะได้แจ้งตำรวจข้อหาบุกรุก!”
ภูฉายหน่าย ถอนใจด้วยสีหน้าระโหยระเหี่ย
ภาษิตอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเดินลงมานั่งร่วมโต๊ะอาหาร ซึ่งนวลนภา ศลัยลาและเพียรภมรกำลังนั่งรับประทานกันอยู่
“โอ้โฮ นี่อะไรครับ นี่ กินแล้วไม่ตายนะ”
“กระทงทอง กลัวตายนักก็ไม่ต้องกิน”
“แหม อย่าทำตัวแก่เกินวัยซีครับ แม่ เดี๋ยวผมสงสารนะ ตักให้ผมหน่อย” ภาษิตอ้อน
เพียรภมรเหลือบสายตาขึ้นมองด้วยท่าทีไว้ตัว นวลนภาตักกระทงทองกระแทกวางแล้วหันมายิ้มเจื่อนๆ กับเพียรภมร
“เอ้อ หนูเพียร อย่าไปถือสาภาษิตนะ เขาก็ยังงี้แหละ...ชายไทยแท้”
“ค่ะ เพราะสังคมไทยเราให้ความสำคัญกับเพศผู้ชายมาก ทำให้เกิดการเพาะเชื้อนิสัยเห็นแก่ตัว ต้องได้รับความสำคัญก่อนเพศอื่น ลูกผู้ชายมักจะได้รับการเลี้ยงดูปรนเปรอ ก็เลยทำให้ผู้ชายไทยมีค่านิยมกดขี่ทางเพศ”
“คุณแม่เลี้ยงลูกผู้ชายมายังงั้นจริงๆ นะ ไม่เคยสอนให้ภาษิตช่วยงานบ้านหรือหุงข้าวต้มแกง เพราะถือว่ามันเป็นงานของผู้หญิง” ศลัยลาว่า
นวลนภายิ้ม “แหม พูดถูกใจแม่ทั้งสองคนเลย...จริง..คนเป็นแม่อย่างฉันนี่แหละที่ทำให้ผู้ชายไทยสันดานเสีย..!”
ภาษิตฝืดคอ กลืนอาหารไม่ลง
คืนเดียวกัน ภูฉายนั่งอยู่กับแก้วเหล้าตรงเค้าน์เตอร์บาร์เช่นเคย กิริยานิ่งเงียบ ดวงแก้วเดินเข้ามา
“เต้นรำมั้ยคะ บางทีสัมผัสใหม่ๆ อาจจะช่วยให้คุณลืมอะไรๆ บ้างก็ได้”
“ไม่..ผมลืมศลัยลาไม่ได้”
“คุณยังไม่พยายามเลย คุณจะรู้ได้ยังไง...ว่าคุณจะลืมไม่ได้ มาเถอะค่ะ...ภูฉาย”
ดวงแก้วจูงมือภูฉายออกไปเต้นรำจนได้
ส่วนลายสือนอนก่ายหน้าผากอยู่ในห้อง ขณะที่ผลึกหลับอยู่ที่พื้น ลายสือพึมพำเบาๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“ผมไม่อยากเป็นไอ้บ้ายังงี้เลยนะ ไม่อยากเป็นไอ้บ้า ไอ้โง่ ไอ้งั่ง ไอ้..ไอ้ชายชู้!”
ลายสือผลุนผลันออกจากห้องไป
ใบหน้าอันเศร้าหมองของศลัยลา แนบอยู่ที่เตียงนอนของลูกชาย ฝ่ามือลูบไล้แผ่นหลังที่กำลังหลับสนิทของลูก ตบกล่อมเบาๆ นวลนภาเปิดประตูเข้ามาเงียบๆ
“ไปนอนเถอะลูก แม่จะนอนกับตาหนู”
“ไม่ค่ะ คุณแม่ ให้หนูนอนกับตาหนูดีกว่าค่ะ หนูอยากอยู่ใกล้ๆ ลูก เพราะบางที..หนูก็เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบไม่ได้”
“ไม่มีใครเป็นแม่ที่สมบูรณ์ตามตำราหรอกลูก เพราะเด็กแต่ละคนต้องการแต่ละสิ่งไม่เหมือนกัน เป็นแม่เท่าที่เป็นได้..เท่าที่หัวใจของเราจะเป็น”
นวลนภายิ้มอย่างปลอบโยน
“เหมือนอย่างที่คุณแม่เป็นแม่ของหนูใช่มั้ยคะ”
“แม่ก็ไม่รู้”
นวลนภาเดินออกไปแล้ว ศลัยลารู้สึกดีขึ้น วางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของลูกน้อย
“แม่จะพยายาม...เป็นแม่ที่ดี แม่จะพยายาม...”
ศลัยลาร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกอันเจ็บปวด
ขณะเดียวกันลายสือเดินมาอย่างโดดเดี่ยวบนถนนสายเปลี่ยว ท่ามกลางแสงไฟที่สะท้อนกับถนนหลังฝนตก
ก่อนที่จะหยุดยืนพิงเสาไฟฟ้าครุ่นคิดคำนึงถึงศลัยลาด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มในใจ
อ่านต่อตอนที่ 11