สุดสายป่าน ตอนที่ 15
ภายในโถงกลางตำหนักใหญ่ของวังสูรยกานต์ ตอนเช้ามืดวันต่อมา กานดามณีหมุนเบอร์โทรศัพท์ลับๆ ล่อๆ อยู่แล้วรอสาย
“สถานีตำรวจใช่มั้ยคะ”
เวลาเดียวกันนั้น ฐิติ วิเศษ และนารีรัตน์ เดินมาตามทางในสถานีตำรวจ วิเศษมีท่าทีแน่วแน่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“ผมตัดสินใจแล้ว ผมคงจะทำตามที่ลูกกานขอร้องไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมรักลูกไม่เท่ากันนะครับ แต่ใครผิดใครถูกก็ต้องว่ากันไปตามนั้น”
นารีรัตน์เห็นด้วย “ก็ดีแล้วล่ะค่ะคุณพ่อ พี่กานก็เป็นอย่างนี้ทุกที ห่วงแต่คนอื่น รักทุกคนยกเว้นตัวเอง”
“รักทุกคน...แต่ไม่เคยคิดว่าคนที่รักเค้าจะรู้สึกยังไง จะเจ็บปวดแค่ไหนที่เห็นเค้าต้องอยู่กับความทุกข์แบบนี้”
นารีรัตน์ชำเลืองมองฐิติ อดไม่ได้ที่จะพูดกระแนะกระแหน นิดหนึ่ง
“แล้วที่พี่กานต้องเจ็บปวดอยู่ทุกวันนี้ล่ะคะ เป็นเพราะใคร...”
ฐิติอึ้ง
นารีรัตน์ใส่ต่อ “ถ้าคุณฐิติเชื่อมั่นในตัวพี่กาน ไม่ไขว้เขวไปตามที่กานดามณีพยายามจะชักนำ เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่เป็นแบบนี้”
ฐิติ วิเศษ และนารีรัตน์ อยู่กับนายตำรวจเจ้าของคดีแล้ว
“หมายความว่า คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณวสันต์คือคุณกานดามณีเหรอครับ”
“ใช่ครับ ผมยืนยันได้ว่าลูกกานไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกับนายวสันต์เลย” วิเศษยืนยัน
“ส่วนเรื่องจดหมายกับเรื่องที่กานดาวสีโดนยาสลบ ผมว่าต้องเป็นการจัดฉากเพื่อป้ายความผิดให้กานดาวสี” ฐิติบอก
“คนที่จะทำแบบนั้นได้ก็ต้องเป็นคนที่หน้าตาเหมือนกัน” ตำรวจว่า
นารีรัตน์เสริม “แค่แต่งตัวแต่งหน้าเลียนแบบพี่กาน ก็ไม่มีใครดูออกแล้วล่ะค่ะว่าใครเป็นใคร”
“ผมแน่ใจครับว่ากานดาวสีก็รู้ว่าใครเป็นคนวางยาสลบเค้า แต่ที่ไม่ยอมพูดก็เพราะต้องการจะปกป้องน้อง”
“แล้วตอนนี้คุณกานดาวสีอยู่ที่ไหนครับ ผมอยากจะขอสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง” ตำรวจถาม
ด้านกานดาวสีนั่งหน้าเศร้าคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สะเทือนใจที่กานดามณีทำกับตนได้ถึงขนาดนี้
จู่ๆ กานดามณีก็โผล่มาผวาเข้ามากอดกานดาวสี บีบน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญ กานดาวสีตกใจ
“น้องณี ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“พี่กานดาวสี น้องขอโทษ น้องผิดไปแล้ว พี่กานยกโทษให้น้องนะคะ”
กานดามณีก้มลงกราบที่ตักพี่สาว กานดาวสีอึ้งไปอย่างนึกไม่ถึง
“น้องขอโทษที่คิดอิจฉาพี่ ทำลายพี่ แย่งทุกอย่างไปจากพี่ แต่สุดท้ายความดีของพี่ก็ชนะทุกอย่าง...ตอนนี้น้องไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ใครๆ ก็รังเกียจ แต่มันก็สมควรแล้วที่น้องจะโดนอย่างนี้”
กานดามณีสบตากานดาวสี น้ำหูน้ำตาไหลอย่างเสียใจ
“เกิดอะไรขึ้นน้องณี บอกพี่สิ ใครทำอะไรน้อง
กานดามณีสะอื้น “ติ...ติขอเลิกกับฉัน เค้าไม่รักฉันแล้ว ฉันแพ้พี่จริงๆ แพ้ทุกอย่าง ถึงฉันจะทำให้พี่ดูเลวยังไง เค้าก็ยังรักพี่อยู่ดี”
“เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ เค้าไม่ได้...”
กานดามณีแย่งพูด “เลิกปลอบ เลิกปกป้องฉันซะทีถอะ ฉันมันเลว เลวเกินกว่าที่พี่จะต้องเสียสละทุกอย่างให้ให้ฉันขนาดนั้น”
“แต่พี่ไม่เคยโกรธน้องณีเลยนะ แค่น้องเข้าใจพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว”
กานดามณีมองกานดาวสีด้วยสายตาซาบซึ้ง
“ที่ฉันมาวันนี้ ฉันจะมาลาพี่...”
“น้องจะไปไหน”
“พี่อย่ารู้เลย...และฉันก็เอานี่มาคืนให้พี่ด้วย”
กานดามณีหยิบสร้อยเพชรออกมาจากกระเป๋า กานดาวสีมองสร้อย ไม่แปลกใจที่สร้อยอยู่กับน้องสาว กานดามณีจับมือกานดาวสีให้รับสร้อยนั้นไว้
“เรื่องความบาดหมางของเรามันควรจะจบลงซะที...ฉันขอให้พี่อโหสิกรรมให้ฉันด้วย ก่อนที่เราจะไม่ได้พบกันอีก”
กานดามณีโผเข้ากอดกานดาวสี
ในอ้อมกอดของกานดาวสี กานดามณีทำหน้าเหี้ยม หยิบมีดออกมาจากกระเป๋า แล้วคลายกอดออก กานดาวสีเห็นมีดในมือน้องสาวใจชั่วก็ตกใจ คิดว่ากานดามณีจะทำร้ายตัวเอง
“น้องณี นั่นน้องจะทำอะไร”
กานดามณีคร่ำครวญ
“ฉันสมควรตายให้สาสมกับสิ่งเลวๆ ที่ฉันทำไว้”
กานดาวสีตกใจ
“น้องณีอย่าทำอะไรแบบนั้นนะ เรื่องทุกอย่างเราแก้ไขได้”
“พี่อย่ามาห้ามฉัน ฉันคิดดีแล้ว ฉันอยากจบปัญหาด้วยตัวของฉันเอง”
กานดามณีพูดจบก็ใช้มีดแทงเข้าที่ท้องตัวเอง แต่เอียงไปทางด้านข้าง กานดาวสีตะลึง กานดามณีดึงมีดออกมาถือไว้
“น้องณี! เธอทำอะไรน่ะ ทิ้งมีดเดี๋ยวนี้ พี่จะพาเอไปหาหมอ”
“ไม่!”
กานดามณีวิ่งเจ็บปวดออกไป กานดาวสีรีบวิ่งตามไป
กานดามณีวิ่งทุรนทุรายออกมา แล้วทำเป็นล้ม โดยรอจังหวะให้กานดาวสีตามมาทันมือยังถือมีดอยู่กานดาวสีวิ่งตามมา
“หยุดก่อนน้องณี น้องจะไปไหน”
กานดามณีชำเลืองมอง แล้วทำเป็นจะล้ม
“ปล่อยน้องไปตามทางของน้องเถอะ น้องมันคนอาภัพ”
กานดาวสีรีบวิ่งเข้ามา จะเข้าประคอง
“พี่กานอย่าเข้ามานะ”
กานดามณีเงื้อมีดขึ้นเพื่อขู่ว่าจะแทงตัวเองถ้ากานดาวสีเข้ามา กานดาวสีชะงัก
“อย่านะน้องณี โธ่ ทำไมถึงทำอย่างนี้”
“ฉันไม่อยากทนสู้หน้าพี่และอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก ลาก่อนนะคะพี่กานดาวสี”
กานดามณีเงื้อมีดขึ้นสูง กำลังจะแทงตัวเองอีก
ขณะเดียวกัน รถตำรวจวิ่งปราดเข้ามาจอดหน้าบ้านกิริเนศวร ตำรวจสองนายลงมาจากรถ เดินตรงไปที่ประตูบ้าน เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถของฐิติและตำรวจอีกคันที่ขับตามกันมา แล่นมาจอดที่หน้าบ้านพอดี
วิเศษเห็นตำรวจมาที่บ้านก็ตกใจ รีบเข้าไปถาม
“คุณตำรวจมาที่บ้านผมทำไมเหรอครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“มีพลเมืองดีโทร.แจ้งว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่นี่ครับ”
ฟากกานดาวสีกำลังแย่งมีดในมือกานดามณีมา แต่กานดามณีไม่ยอมปล่อยมือ
“ขอมีดให้พี่ อย่าทำร้ายตัวเองเลย”
กานดามณีพยายามจะเบี่ยงตัวหนี สองคนยื้อยุดแย่งมีดกันไปมา กานดามณีพยายามเข้าไปชนโต๊ะ ชั้นวางของฯลฯ เพื่อให้ข้าวของที่วางอยู่ตกกระจาย
ตำรวจได้ยินเสียงของตกแตกกระจายก็รีบวิ่งไปตามเสียง ทุกคนตามไป
ส่วนกานดามณีเหลือบไปเห็นวิเศษ ฐิติ นารีรัตน์และตำรวจกำลังเดินเข้ามา กานดามณีจึงยอมปล่อยให้กานดาวสีแย่งมีดไปได้
ทุกคนที่เข้ามามองเห็นภาพตอนที่กานดาวสีกำลังดึงมีดออกพอดี กานดามณีรีบร้องเสียงดัง
“ช่วยด้วยค่ะ...พี่กานพยายามจะฆ่าฉัน”
กานดาวสียืนอึ้งตะลึง มือถือมีดค้างอยู่ หันมามองกานดามณีอย่างไม่เชื่อสายตา
วิเศษ ฐิติ นารีรัตน์เห็นทั้งสองคนอยู่ในสภาพนั้นก็ตกใจ
ตำรวจกรูกันเข้าไปดึงกานดาวสีออกมา
“วางอาวุธเดี๋ยวนี้”
กานดาวสีหน้าเสีย มองไปที่กานดามณีที่กำลังครวญคราง รู้ทันทีว่าตนตกเป็นเหยื่อในแผนชั่วของน้องสาวอีกแล้ว
ในเวลาต่อมา ภายห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล กานดามณีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บีบน้ำตาไปด้วยตอนให้การกับตำรวจ
“ฉันขอร้องให้พี่กานรับสารภาพกับตำรวจที่ฆ่านายวสันต์ค่ะ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณกานดาวสีฆ่าคุณวสันต์”
กานดามณีซับน้ำตา
“จริงๆแล้วฉันไปหาพี่กานเรื่องคุณฐิติ คุณตำรวจคงไม่รู้ว่าเราสามคนกำลังมีปัญหาเรื่องความรักกันอยู่ ดิฉันตั้งใจจะไปบอกพี่วสีว่าดิฉันยอมแพ้ แล้วดิฉันก็จะไป...”
ตำรวจมองวิเศษไปด้วยเพื่อจะดูปฏิกิริยาว่าเรื่องที่กานดามณีพูดจริงหรือเปล่า
วิเศษไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นเรื่องจริง แต่วิเศษสงสัยว่ากานดามณีพูดเรื่องนี้ทำไม
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะครับ” ตำรวจถาม
“คุณฐิติเป็นคนรักของฉัน แต่พอพี่กานดาวสีได้รู้จักเค้า พี่กานก็หลงรักคุณฐิติทั้งๆที่ตัวเองมีคนรักอยู่แล้วคือนายวสันต์ พี่กานต้องการโยนความผิดทุกอย่างให้ฉันและกำจัดนายวสันต์ไปด้วย พี่กานจะได้อยู่กับคุณฐิติ”
วิเศษโต้ทันที “ไม่จริง กานดาวสีไม่ได้เป็นอะไรกับคุณวสันต์”
กานดามณีมองไปที่วิเศษอย่างเจ็บช้ำและน้อยใจ
“ยังมีอีกหลายเรื่องของพี่กานที่คุณพ่อยังไม่รู้ค่ะ อีกอย่างคุณพ่อจะปฏิเสธเหรอคะว่าพี่วสีไม่ได้แย่งคุณฐิติจากลูกไป”
“ลูกก็รู้ว่าพี่เค้าไม่ได้ตั้งใจจะแย่งคุณฐิติไปจากลูก และที่สำคัญพ่อรู้ว่าลูกกานไม่ได้ฆ่านายวสันต์ แกไม่เคยรู้จักนายวสันต์มาก่อนด้วยซ้ำ”
“ถ้าคุณพ่อพูดอย่างนั้นก็หมายความว่าลูกเป็นคนทำใช่มั้ยคะ”
วิเศษท่าทางหนักใจ กำลังจะตอบ
กานดามณีรีบชิงพูดขึ้นกับตำรวจอย่างน้อยใจ น้ำตาคลอ
“ทุกคนรักพี่กาน...ดิฉันถึงได้ยอมที่จะเป็นฝ่ายไป” แล้วหันกลับมาทางวิเศษ “คุณพ่อก็เหมือนกัน ยังไงคุณพ่อก็ต้องปกป้องพี่กานเพราะคุณพ่อไม่เคยรักลูกถึงได้ทิ้งลูกไปตั้งแต่เด็ก”
วิเศษพูดไม่ออก กานดามณีแกล้งร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างกับว่าสะเทือนใจเหลือแสน
“แล้วคุณมีหลักฐานอะไรถึงได้กล้ายืนยันว่า พี่คุณเป็นคนฆ่าคุณวสันต์”
“สร้อยเพชรเส้นนั้นค่ะ”
นายตำรวจนึกไปที่ตอนเจอสร้อยในที่เกิดเหตุ
สุดสายป่าน ตอนที่ 15 (ต่อ)
กานดาวสียังคงตอแหล ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จต่ออย่างน่าสงสาร
“ฉันบังเอิญไปเจอสร้อยในห้องพี่กานดาวสี สร้อยที่ทุกคนคิดว่าคนร้ายเป็นคนเอาไป...พี่กานยอมรับกับฉันว่าเป็นคนจัดฉากฆ่านายวสันต์ แต่ขอร้องไม่ให้ฉันบอกใครเพื่อเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง แต่ฉันไม่ยอม”
นารีรัตน์โกรธสุดขีดด่าทันที “อีตอแหล! โกหกเป็นตุเป็นตะ พี่กานไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด”
กานดามณีปรี๊ดขึ้นมา “แล้วสิ่งที่ทุกคนเห็นล่ะมันคืออะไร ทำไมพี่กานต้องพยายามจะฆ่าฉัน”
ทุกคนอึ้ง ตอบไม่ได้
“หวังว่าคงไม่มีใครคิดหรอกนะว่าฉันพยายามจะฆ่าตัวเอง”
ตำรวจไม่มีข้อโต้แย้ง คล้อยตามไปกับคำพูดของแฝดใจชั่ว
กานดามณีมีแววตาสะใจอย่างผู้ชนะ
ฐิติอยู่ในห้องทำงานที่โชว์รูมสูรยกาน์ไหมไทย ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดหวัง เครียดหนัก คุณพระขรึมอย่างใช้ความคิด
“ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่ากานดาวสีจะทำร้ายกานดามณี”
“ถึงไม่เชื่อแต่หลักฐานก็มัดตัวหนูกานดาวสีแน่น คราวนี้คงยากแล้วล่ะครับที่จะช่วยอะไรได้”
“ถึงจะยากแค่ไหนผมก็ไม่มีวันยอมแพ้หรอกครับ ผมจะทำทุกอย่างให้กานดาวสีพ้นจากที่ถูกปรักปรำให้ได้”
ฐิติพยายามใช้ความคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
“เรื่องนี้กานดามณีต้องวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วทุกอย่างแน่ๆ ตั้งแต่ตั้งใจไปหากานดาวสีที่บ้านกิริเนรศวร ทิ้งหลักฐานเรื่องสร้อย รวมทั้ง...”
“เรื่องที่แกทำร้ายตัวเอง” คุณพระต่อคำให้
ฐิติพยักหน้ารับ คุณพระคิดแล้วสยองตาม
“เธอคงรักและต้องการจะเป็นภรรยาคุณฐิติมากจริงๆ เลยนะครับ”
ฐิติจ้องหน้าคุณพระเหมือนนึกอะไรออกแล้วนิ่งใช้ความคิดหนัก คุณพระแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณฐิติ”
“ผมคิดว่าผมพอมีวิธีแล้วล่ะครับ”
คุณพระสีหน้าดีขึ้น “ยังไงครับ”
“แต่เราต้องขอความร่วมมือจากคนๆหนึ่ง และต้องคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบที่สุด เพระถ้ากานดามณีทำอย่างที่ผมคิดจริงๆ เราจะพลาดไม่ได้เลย”
วิไลวรรณนึกไม่ถึงมองกานดามณีอย่างอัศจรรย์ใจ
“นี่แก... กล้าแทงตัวเองเลยเหรอ”
“มากกว่านี้ฉันก็จะทำ จำไว้นะนังวรรณ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาขวางทางฉันเด็ดขาด” กานดามณีเสียงเหี้ยม “ไม่ว่าฉันจะต้องฆ่าใครอีกฉันก็จะทำ”
วิไลวรรณอึ้ง เริ่มกลัวกานดามณี
“นังณี แกมันบ้าไปแล้ว”
“แกรู้ไว้ก็ดี และก็จำไว้นะ ยังไงแกต้องช่วยฉันห้ามคิดหักหลังฉันเด็ดขาด”
กานดามณีตวัดสายตามาจ้องวิไลวรรณอย่างจับผิด วิไลวรรณพยายามปั้นยิ้ม
“แหม ฉันไม่เคยคิดอยู่แล้วล่ะ ยังไงแกก็เป็นเพื่อนฉันนะนังณี”
ฐิติเปิดประตูเข้ามาเดินตรงเข้าไปหากานดามณีที่เตียงอย่างเป็นห่วง กานดามณีปรับสีหน้าเป็นน่าสงสารทันที
“เป็นยังไงบ้างครับ เจ็บมากหรือเปล่า”
กานดามณีทำตัวอ่อนแอ น่าสงสาร
“ก็ยังเจ็บแผลอยู่นิดหน่อยค่ะ”
ฐิติเข้าไปจับมือกานดามณี มองกานดามณีอย่างเป็นห่วงและขอโทษ
“ผมต้องขอโทษนะครับที่ผมเคยเข้าใจคุณผิด ผมนึกไม่ถึงเลยว่าพี่แท้ๆ ของคุณจะทำได้ถึงขนาดนี้”
กานดามณีสะอึกสะอื้น ทำเป็นสะเทือนใจ
“อย่าโทษพี่กานเลยค่ะ จริงๆ ฉันเองก็ผิดที่ไปคาดคั้นให้พี่วสียอมรับสารภาพเพื่อสู้คดี พี่กานคงโกรธถึงได้พยายามจะฆ่าฉัน”
ฐิติพูดจริงจัง “ผมสัญญาครับ ต่อไปผมจะไม่มีวันให้เรื่องอะไรร้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน”
กานดามณียิ้มกระหยิ่ม นึกเข้าข้างตัวเอง
วิไลวรรณแคลงใจ แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
2-3 วันต่อมา ฐิติเปิดประตูรถประคองกานดามณีลงจากรถอย่างทะนุถนอม กานดามณีออดอ้อน ทำตัวอ่อนปวกเปียก
“ค่อยๆ เดินนะครับ”
กานดามณีทำเป็นไม่มีแรง ทิ้งตัวใส่ฐิติ ฐิติกำลังประคองกานดามณีเดินเข้าไปในวัง
ท่านหญิง พุดตาน นมสายยืนอยู่รออยู่ที่หน้าประตูอยู่แล้ว
“หายดีแล้วรึแม่กานดามณี” ท่านหญิงถามไถ่
“ดีขึ้นแล้วเพคะท่านย่า”
ท่านหญิงทำหน้าเหมือนห่วงใยเต็มที่
“แต่ดูหล่อนเหมือนจะยังไม่มีแรงนะ ตาติถึงต้องคอยประคองอยู่อย่างนั้น เอาอย่างนี้ละกัน...” ท่านหญิงหันมาทางนมสาย “นมสาย หล่อนไปตามทองดีให้มาอุ้มแม่กานดามณีขึ้นไปบนห้องหน่อย”
นมสายรับลูกยิ้มสมใจ “เพคะ ท่านหญิง”
ขณะนมสายเตรียมขยับฐิติก็พูดออกมา
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะเป็นคนอุ้มเธอไปเอง”
สามคนอึ้งตะลึงงัน
ท่านหญิงขึ้นเสียงอย่างเกรี้ยวกราด “ตาติ!
ฐิติอุ้มกานดามณีขึ้นมา
“ตั้งแต่นี้ไปผมจะดูแลกานดามณีเอง เพื่อชดเชยเวลาที่เคยเสียไปให้กับเธอ...ผมขอตัวนะครับ”
ฐิติอุ้มกานดามณี เดินเข้าไปในวัง
จากข้างหลังฐิติกานดามณีหันมายิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยเพคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นตาติถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้” พุดตานทั้งโกรธ โมโห และงวยงง
ทุกคนยืนอึ้ง มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมฐิติถึงเปลี่ยนไป
ตำรวจพาตัวกานดาวสีมาที่ห้องเยี่ยม คุณพระบรรณกิจนั่งรออยู่แล้ว
คุณพระถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “หนูกานเป็นยังบ้าง...อดทนอีกนิดนะลูก ทุกคนกำลังหาทางช่วยหนูอยู่นะ”
“หนูขอบคุณมากนะคะ แต่คราวนี้หนูรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้”
“อย่าเพิ่งหมดหวังสิหนู...”
คุณพระชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกกานดาวสีเป็นนัยๆ
“ตอนนี้คุณฐิติกำลังพยายามจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อช่วยหนูออกมาให้ได้”
กานดาวสีฉงน “อะไรเหรอคะ”
“ลุงคงยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้ แต่ขอให้หนูเชื่อและมั่นใจว่าคุณฐิติจะไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าจะช่วยหนูได้”
กานดาวสีน้ำตารื้น ตื้นตันและซาบซึ้งใจที่รู้ว่าฐิติทำเพื่อตัวเองได้มากขนาดนี้
เวลาเดียวกันในห้องนั่งเล่น วังสูรยกานต์ ท่านหญิง กับพุดตานคุยอยู่กับฐิติอย่างเคร่งเครียด
“นี่ติเป็นอะไรไป ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้เกิดจะพิศวาสแม่กานดามณีขึ้นมาอีก”
“แม่ก็ไม่เห็นด้วยที่ลูกจะไปคืนดีกับแม่นั่น”
“เราควรจะให้โอกาสกานดามณีบ้างนะครับ เธออาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดก็ได้” ฐิติบอก
“ติไปหลงเชื่อแม่งูพิษนั่นได้ยังไง คนอย่างนั้นทำได้ทุกอย่างน่ะแหละ...แม้กระทั่งแทงตัวเองเพื่อป้ายความผิดให้แม่กานดาวสี”
ฐิติโต้อย่างฉุนเฉียว “ท่านย่าอย่าพูดถึงผู้หญิงคนนี้อีกเลยครับ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนดีของท่านย่าจะดีจริงหรือเปล่า...ในเมื่อผมเห็นกับตาว่าเค้าเป็นคนแทงกานดามณี”
ท่านหญิงชะงัก นิ่งไป พุดตานมองฐิติอย่างผิดหวัง
“นี่แม่กานดามณีเป่าหูอะไรลูกมาอีก ลูกถึงเป็นไปได้ขนาดนี้”
“ไม่มีใครเป่าหูใครทั้งนั้นล่ะครับ ผมมีตา มีสมอง ผมคิดเองได้ แล้วผมก็ตัดสินใจแล้วว่าผมจะขอมอบชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ให้กับกานดามณี”
พุดตานทั้งตกใจ และไม่พอใจ “ลูกหมายความว่ายังไงตาติ
“ผมจะจดทะเบียนกับกานดามณีในวันพรุ่งนี้ครับ”
ท่านหญิงและพุดตานถึงกับอึ้ง
อีกมุมหนึ่ง เห็นกานดามณียิ้มอย่างสมใจ
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 15 (ต่อ)
วิไลวรรณเครียดจัดและหวาดกลัวกานดามณีมาก จนต้องพาตัวเองมาไหว้พระให้ใจสงบที่วัดแห่งหนึ่ง เวลานี้อยู่หน้าพระประธานองค์ใหญ่ในโบสถ์ของวัด
“เจ้าประคู๊ณ ขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกด้วย ให้ลูกแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง อย่าให้เพื่อนลูกคิดร้ายกับลูก...ลูกไม่ไว้ใจจริงๆ ค่ะหลวงพ่อ ถ้ามันถึงขนาดกล้าแทงตัวเองเพื่อจะป้ายความผิดให้คนอื่น มันก็คงฆ่าลูกได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องคิดเลยใช่มั้ยคะ หลวงพ่อต้องคุ้มครองลูกด้วยนะคะ สาธุ”
วิไลวรรณกราบพระ 3 ครั้ง แล้วหันมาเสี่ยงเซียมซี
“ขอให้ได้ใบดีๆ นะคะหลวงพ่อ”
วิไลวรรณเขย่าเซียมซีก่อนจะเดินไปหยิบคำทำนายมาอ่านอย่างลุ้นๆ
“ใบที่เจ็ดว่าไว้ในตอนนี้ ดวงชะตาราศีน่าใจหาย...”
วิไลวรรณถึงกับเหงื่อแตก
“โอ๊ย แค่ขึ้นต้นก็ไม่อยากจะอ่านต่อแล้ว”
วิไลวรรณถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้มลงอ่านต่อ ยิ่งอ่านเสียงยิ่งสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอันตราย ทั้งเคราะห์ร้ายเจ็บตัวน่ากลัวจริง แต่ยังดีที่พอมีทางแก้ ถึงจะแย่แต่ก็พอจะผ่อนผันรีบทำบุญปล่อยสัตว์สารพัน เคราะห์ร้ายนั้นจะเบาบางจางลงเอย”
วิไลวรรณหน้าเหวอ ใจเสียสุดๆ
เวลาต่อมาวิไลวรรณมาปล่อยปลา ปล่อยเต่า ที่บริเวณท่าน้ำของวัด บ่นบ้าไปตามเรื่อง
“ฉันปล่อยแกให้เป็นอิสระแล้วนะ ขอให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วอย่าถูกจับมาอีกล่ะ และไหนๆจะไปแล้วแกก็ช่วยเอาสิ่งไม่ดี เคราะห์ร้ายของฉันไปกับแกด้วยนะ ฉันยังไม่มีผัว ฉันยังไม่อยากตายแกรู้มั้ย”
ต่อมาวิไลวรรณถวายสังฆทาน กรวดน้ำจนเสร็จ
“หลวงพ่อคะ เมื่อกี้ที่หลวงพ่อเพิ่งสวดเสร็จไป มีประโยคไหนอวยพรให้หนูปลอดภัยบ้างมั้ยคะ”
“มีแล้วล่ะโยม”
วิไลวรรณโล่งใจ “งั้นก็แล้วไป”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก หมั่นทำบุญทำกุศลไว้ ในที่สุดความดีก็จะคุ้มครองเองน่ะแหละ”
วิไลวรรณชะงัก อึ้งไปนิดหนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไร ก่อนจะก้มลงกราบพระ
ภายในห้องพักครูที่โรงเรียน ไขนภานั่งตรวจการบ้านเด็กอยู่ สักครู่แม่บ้านเดินเข้ามาหาท่าทีนอบน้อม
“คุณหญิงคะ มีคนมาขอพบค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ไขนภาสงสัยว่าใครมาขอพบ
เป็นวิไลวรรณที่นั่งรออยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ ออกอาการผุดลุกผุดนั่ง บีบไม้บีบมือตัวเองเป็นระยะ เหมือนไม่แน่ใจในการตัดสินใจของตน
“เอาให้แน่ๆ นังวรรณ แกจะเป็นคนดีหรือแกจะทรยศเพื่อน”
วิไลวรรณสับสนยังคิดไม่ตก
คุณหญิงไขนภาเดินมาตามทางเดินในโรงเรียน พอเข้ามาในห้องรับแขก แต่กลับไม่เห็นใคร ไขนภายืนงง แม่บ้านเดินเข้ามา
“เมื่อกี้ที่ไปตามดิฉันบอกว่ามีแขกมาพบ แต่ไม่เห็นมีใครซักคนเลยนี่คะ”
แม่บ้านมองซ้ายมองขวา
“มีค่ะ เมื่อกี้ดิฉันยังเห็นนั่งรอยู่เลย”
แม่บ้านมองไปมา ก่อนจะชี้มือไปที่ทางเดินจะออกจากโรงเรียน
“นั่นไงคะ แปลก อยู่ดีๆก็กลับไปซะงั้น”
ไขนภาเห็นวิไลวรรณเดินแกมวิ่งมุ่งหน้าจะออกจากโรงเรียน
วิไลวรรณกำลังจะเดินพ้นโรงเรียนอยู่แล้ว ไขนภาตามมาทันดึงแขนไว้ วิไลวรรณสะดุ้ง หน้าเสีย
“คุณวิไลวรรณมีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ ยังไม่ทันได้คุยกันทำไมจะรีบกลับซะล่ะคะ”
วิไลวรรณอึกอัก คิดหาข้อแก้ตัว
“ปละ เปล่าค่ะ คือ ตอนแรกคิดว่าจะมา เอ่อ มา...อ๋อ ติดต่อขอเช่าที่ขายอาหาร แต่เปลี่ยนใจแล้ว ดิฉันกลับก่อนนะคะ”
วิไลวรรณพยายามจะดึงแขนออกจากมือไขนภา แต่ไขนภาไม่ยอมปล่อย จ้องหน้าวิไลวรรณอย่างจับผิด
“เดี๋ยวค่ะ แน่ใจเหรอคะว่าคุณวิไลวรรณไม่ได้มาหาดิฉันเรื่องคุณกานดามณี”
วิไลวรรณรีบปฏิเสธปากคอสั่น “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่...”
ไขนภาจ้องหน้า “มีใครเคยบอกคุณมั้ยคะว่าคุณโกหกไม่เก่ง”
วิไลวรรณลืมตัว “ก็มีเหมือนกันค่ะ...เอ๊ย ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้โกหก”
“ฉันขอเตือนอะไรคุณอย่างนะคะ คนอย่างคุณตามคุณกานดามณีไม่ทันหรอกค่ะ ทั้งความฉลาดเอาตัวรอด” ไขนภาจงใจเน้นเสียงขู่กลาย “และความอำมหิต”
วิไลวรรณมีท่าทางหวาดหวั่น
“คุณก็รู้เหมือนที่ดิฉันรู้ว่า คุณกานดาวสีไม่มีทางทำร้ายคุณกานดามณีแน่ๆ...”
ไขนภายิ่งพูดให้วิไลวรรณกลัวมากขึ้น
“คุณไม่กลัวเหรอคะ คนที่เหี้ยมพอที่จะทำร้ายตัวเองได้เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เค้าจะลุกขึ้นมาทำร้ายใครเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเค้าคิดว่าคนๆ นั้นเป็นอันตรายต่อเค้า...คุณวิไลวรรณเองก็รู้เรื่องคุณกานดามณีเยอะขนาดนี้ คุณไม่กลัวบ้างเหรอคะว่าจะถูกฆ่าปิดปาก”
วิไลวรรณยิ่งประสาทเสียเพราะไขนภาพูดแทงใจดำในเรื่องที่ตนกังวลอยู่ ละล่ำละลักปฏิเสธ
“คุณพูดอะไร ยัยณีเค้าไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย และฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น...”
วิไลวรรณสะบัดแขนสุดแรงจนหลุดจากมือไขนภาแล้ววิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา
สักครู่วิไลวรรณวิ่งมายืนหอบอยู่บนทางเท้าไกลจากโรงเรียนพอสมควร
“ยัยณี ฉันหักหลังแกไม่ได้จริงๆ ว่ะ”
ส่วนทางด้านนารีรัตน์ประคองวิเศษที่ถลาเข้าไปหากานดาวสีตรงหน้าห้องขัง รำเพยตามมาด้วย
“ยัยกาน เป็นยังไงบ้างลูก...พ่อเป็นห่วงลูกเหลือเกิน”
กานดาวสีเห็นพ่อก็น้ำตารื้น ผวาเข้ามาจับมือวิเศษ รู้ว่าวิเศษคงเป็นทุกข์มาก
“คุณพ่อ!”
“ไม่ต้องกลัวนะลูก ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด ยังไงพ่อก็ต้องช่วยลูกออกมาให้ได้”
กานดาวสีปลอบใจวิเศษ “คุณพ่อไม่ต้องห่วงค่ะ ลูกก็แน่ใจว่าทุกอย่างจะต้องคลี่คลาย”
รำเพยพูดขัดขึ้น ทั้งเป็นห่วง ทั้งหงุดหงิดกานดาวสี
“จะคลี่คลายได้ยังไงถ้าเธอไม่ยอมบอกตำรวจว่าใครเป็นคนจัดฉากเพื่อป้ายความผิดว่าเธอฆ่านายวสันต์”
นารีรัตน์โมโหขึ้นมาอีก “จะมีใครซะอีกนอกจากนังกานดามณี มันใส่ร้ายพี่กานใช่มั้ยคะ แค่นี้ทำไมตำรวจไม่รู้ รัตน์โง่ๆ รัตน์ยังรู้เลย ทำไมพี่กานไม่บอกความจริงตำรวจไป ไม่งั้นเค้าจะเชื่อได้ยังไงว่ามันแทงตัวมันเอง”
กานดาวสีแสนดีพูดไม่ออก
“ยัยรัตน์พูดถูก คิดดูดีๆ นะยัยกานว่ามันคุ้มเหรอที่จะเสียสละตัวเองให้คนที่คิดแต่จะทำลายเธอ และไม่เคยสำนึกถึงความดีของเธอเลยซักนิด”
วิเศษ นารีรัตน์ และรำเพยเดินคุยกันออกมาหลังจากเยี่ยมกานดาวสีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณพ่อ...เราจะทำยังไงกันดีคะ รัตน์ยังไม่เห็นทางเลยว่าพี่กานจะพ้นผิดได้ยังไงในเมื่อหลักฐานมันคาตาขนาดนั้น” นารีรัตน์ว่า
วิเศษกำลังคิดหาทางว่าจะทำยังไง ก็เห็นคุณพระบรรณกิจหอบเอกสารเกี่ยวกับคดีเดินสวนเข้ามาพอดี สามคนไหว้คุณพระ
“พ่อวิเศษ หนูกานดาวสีเป็นยังไงบ้าง นี่ผมก็นัดตำรวจไว้เรื่องคดี...”
“เจอคุณพระก็ดีแล้วครับ ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาพอดี” วิเศษบอก
ทุกคนอยู่ตรงมุมหนึ่งในโรงพัก วิเศษเอ่ยขึ้นกับคุณพระบรรณกิจ
“ผมอยากพบคุณฐิติ...”
“ท่านหญิงคงจะบอกพ่อวิเศษแล้วใช่มั้ยเรื่องที่คุณฐิติจะจดทะเบียนกับหนูกานดามณี”
“ครับ...แต่ก่อนนี้ผมไม่เคยคิดจะกีดกันเรื่องคุณฐิติกับลูกณีเลยถึงแม้ผมจะไม่เห็นด้วย แต่ครั้งนี้ ผมคงต้องพูดอะไรบ้าง...”
วิเศษตัดสินใจเด็ดขาด
“ลูกณีเป็นผมลูกผมก็จริง ผมแน่ใจว่าผมรักลูกเท่ากัน แต่ผมยอมไม่ได้ที่จะเห็นแกเหยียบพี่สาวแท้ๆที่รักแกมากจนจมดินซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่แกต้องการ...มันไม่ยุติธรรมสำหรับลูกกาน”
คุณพระอึดอัดใจ อยากจะเล่าแผนการของฐิติให้วิเศษฟัง แต่ก็กลัวจะเสียแผน ได้แต่พูดกำกวมอยู่ไปมา
“ถึงจะพบคุณฐิติก็ไม่มีประโยชน์หรอกพ่อวิเศษ...ท่านคิดของท่านไว้แล้ว ยังไงก็คงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
รำเพยเปรยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “โลกนี้ช่างยุติธรรมเหลือเกิน คนทำดีแทบตายแต่กลับต้องสูญเสียทุกอย่างให้คนเลว”
“ใจเย็นๆ เถอะหนูรำเพย ลุงก็พูดอะไรไม่ได้มาก แต่เรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดก็ได้”
วิเศษ นารีรัตน์ และรำเพยงวยงง ไม่เข้าใจว่าคุณพระต้องการจะบอกอะไร
บ่ายนั้นที่โต๊ะน้ำชา ในสวนสวยวังสูรยกานต์ ท่านหญิง พุดตาน และไขนภาคุยกันอย่างเคร่งเครียด
ท่านหญิงแปลกใจพอฟังที่ไขนภาเล่าจบ “แม่วิไลวรรณไปหาหลานที่โรงเรียน!”
“ค่ะ หญิงคิดว่าคุณวิไลวรรณอยากจะบอกความจริงกับหญิง แต่อาจจะไม่กล้า”
“แล้วเราจะทำยังไงถึงจะง้างปากแม่นั่นได้”
ท่านหญิงตื่นเต้น พุดตานทักท้วง “จะได้เหรอคะ ท่าทางสนิทกันขนาดนั้น ยังไงแม่นั่นก็คงไม่ยอมมาช่วยเราหรอกค่ะ ไม่งั้นเค้าก็คงจะยอมบอกคุณหญิงไปแล้ว”
“แล้วถ้าเราเสนอเงินก้อนใหญ่ให้ล่ะ” ท่านหญิงถาม
นมสายที่คอยรับใช้อยู่ขัดขึ้น “เค้าก็เคยปฏิเสธมาครั้งนึงแล้วนี่คะ เงินก้อนหรือจะสู้เงินที่กินไปนานๆ ได้ ถ้าคุณกานดามณีแต่งงานกับคุณติเมื่อไหร่ แม่นั่นก็คงจะพลอยสบายไปด้วยตลอดชีวิต”
“แต่ถ้าเราโน้มน้าวดีๆ หญิงก็คิดว่าน่าจะพอมีทางนะคะ ท่าทางคุณวิไลวรรณเหมือนจะลังเลอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นเธอคงไม่มาหาหญิงที่โรงเรียนหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นหลานก็รีบไปเจรจากับแม่นั่นได้เลย และถ้าเค้าต้องการเงินเท่าไหร่ก็บอกมาบอกป้า”
ทั้งสี่คนไม่รู้ว่าที่อีกมุมหนึ่ง กานดามณีแอบฟังอยู่ ได้ยินทุกอย่าง
อ่านต่อหน้า 4
สุดสายป่าน ตอนที่ 15 (ต่อ)
ค่ำนั้นวิไลวรรณจอดรถในบ้านเสร็จแล้วเดินย้อนมาปิดประตูรั้ว จังหวะนี้วิไลวรรณรู้สึกเหมือนมีใครคนเคลื่อนเข้าไปด้านหลัง จึงหันขวับไปดู แต่ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดขีด ที่เห็นชายคนหนึ่งถือมีดเดินย่างสามขุมเข้ามาหา
“อย่า...อย่าทำฉันนะ” วิไลวรรณรีบส่งกระเป๋าถือให้ “แกอยากได้อะไรก็เอาไปเลย แต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ”
“กูอยากได้ชีวิตมึงไงล่ะ”
ชายคนนั้นเข้ามาประชิดตัววิไลวรรณอย่างรวดเร็ว วิไลวรรณสะดุ้งเฮือก ตาเหลือกลาน
ขณะที่ชายคนนั้นดึงมีดออกมา ร่างวิไลวรรณทรุดฮวบลง แต่พยายามจะกระเสือกกระสนหนี
“ฉันขอร้อง...อย่า”
ชายคนนั้นไม่ฟังเสียง เดินเข้าไปแทงซ้ำอีกที วิไลวรรณตาเหลือก ล้มคว่ำลงแน่นิ่งลงไปชายอีกคนขับรถเข้ามาเทียบ
“เร็วสิวะ จะได้เอาไปฝังๆ ซะให้เสร็จ”
ชายที่ขับรถรีบลงรถ เปิดท้ายรถ ตรงเข้ามาจะช่วยกันหามร่างวิไลวรรณไปขึ้นรถ
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน หาอะไรซักอย่างเอาไปเป็นหลักฐานให้คุณณีดูด้วยว่าอีนี่มันตายแล้ว”
ชายคนที่ 2 กระชากสร้อยคอ แล้วช่วยกันยกวิไลวรรณขึ้นรถ แล่นหายไป
วิไลวรรณตาเหลือกค้างอยู่ น้ำตาไหลออกมาจากหางตาเงียบๆ ก่อนจะหลับตาลง
เย็นเดียวกันนั้น กานดาวสีเห็นขาใครคนหนึ่งเดินมาหยุดที่หน้าห้องขัง กานดาวสีมองไล่ขึ้นไป เห็นเป็นกานดามณีมองยิ้มๆ มาอย่างสมเพชแกมสะใจ ก่อนจะพูดกับกานดาวสีด้วยเสียงอ่อนโยน
“พี่กานดาวสีเป็นยังไงบ้างคะ น้องเป็นห่วง ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เลยมาเยี่ยม”
กานดาวสีมองกานดามณีอย่างเสียใจ
“ทำไมน้องณีถึงทำกับพี่อย่างนี้”
กานดามณีแกล้งทำหน้าเศร้า
“น้องทำอะไรผิดคะ...ถ้าน้องไม่เห็นสร้อยเส้นนั้น น้องก็คงนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่จะฆ่าคนได้เพราะสร้อยเส้นเดียว”
“เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอเป็นคนฆ่าเค้า” กานดาวสีว่า
“พี่เกลียดอะไรน้องนักหนาคะ ถึงได้คอยใส่ความน้องอยู่ตลอดเวลา น้องหวังดีนะคะถึงอยากให้พี่รับสารภาพแล้วมาสู้คดี นายวสันต์นั่นก็ไม่ใช่คนดี ยังไงเราก็น่าจะมีทางรอด แต่พี่กลับแทงน้องอีก ใจคอของพี่ทำด้วยอะไรคะ ถึงได้โหดร้ายอย่างนี้”
กานดาวสีฟังอย่างเจ็บปวด “พี่ไม่คิดเลยว่าน้องณีจะเกลียดพี่ขนาดนี้”
“ใครบอกคะ ถึงพี่จะไม่รักน้องแต่น้องก็รักและหวังดีกับพี่เสมอ...ที่น้องมาวันนี้ก็เพราะอยากจะได้คำอวยพรจากพี่...พรใดจะประเสริฐมากไปกว่าพรจากพี่สาวแท้ๆ...จริงมั้ยคะ”
กานดาวสีงง กานดามณียิ้มอย่างผู้ชนะ
“ตอนแรกน้องก็คิดว่าคุณฐิติเค้าคงจะกลับไปหาพี่ ถ้าเป็นอย่างนั้นน้องก็คงยินดีด้วย แต่ในที่สุดเค้าก็ทนความอำมหิตของพี่ไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจจะจดทะเบียนสมรสกับน้องพรุ่งนี้ค่ะ”
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ห้องโถงวังสูรยกานต์ กานดามณีกำลังเซ็นชื่อในใบคำร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อหน้านายทะเบียนที่มารับจดถึงวัง ก่อนจะส่งต่อให้ฐิติ ขณะฐิติกำลังจะเซ็นชื่อ ท่านหญิง พุดตาน และนมสายเดินเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้ตาติ...ย่าขอสั่งห้ามไม่ให้หลานจดทะเบียนกับแม่กานดามณี ย่าไม่ต้องการให้แม่คนนี้มาเป็นสะใภ้ของสูรยกานต์”
ฐิติชะงัก
“แต่ผมตัดสินใจแล้วครับท่านย่า...”
กานดามณียิ้มปลื้มปริ่ม ท่านหญิงโกรธจัด
“หมายความว่าหลานไม่เชื่อย่าใช่มั้ย”
“ท่านย่าได้โปรดเห็นใจผมเถอะนะครับ ผมต้องการแต่งงานกับกานดามณีจริงๆ เธอไม่ได้มีอะไรเสียหาย ท่านย่าก็เห็นแล้วว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์”
ท่านหญิงสุดทน “ไม่มีใครเค้าโง่เชื่ออย่างนั้นหรอก นอกจากเธอคนเดียวตาติ”
ฐิติพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง
“ผมเชื่อมั่นในตัวผู้หญิงที่ผมรักครับ แล้วผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ”
แท้จริงฐิติกำลังบอกว่าเขาทำทุกอญ่างเพื่อกานดาวสี ทว่าท่านหญิงเข้าใจว่าฐิติหมายถึงกานดามณีก็ยิ่งโกรธจัด
“งั้นก็ตามใจเธอ ในเมื่อเธอไม่เชื่อฉัน ไม่เชื่อแม่ของเธอ เราก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีก”
ท่านหญิงเสียใจ และตัดสินใจประกาศออกไปอย่างหนักแน่น
“นับตั้งแต่นี้ ฉันจะคิดว่าฉันไม่เคยมีหลานที่ชื่อหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์อีก” ท่านหญิงหันไปหาคุณพระ “คุณพระไปร่างพินัยกรรมมาใหม่ ฉันจะยกสมบัติทั้งหมดให้เป็นสาธารณะกุศล แล้วเอามาให้ฉันดูโดยเร็วที่สุด”
คุณพระน้อมรับ “กระหม่อม”
กานดามณีตกใจ ห่วงสมบัติขึ้นมาทันที
นมสายเองก็ตกใจมาก “ท่านหญิงเพคะ จะต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอเพคะ”
ท่านหญิงเชิดหน้าเมินไปทางอื่น ไม่สนใจ
ฐิติเสียใจ “ผมขอโทษครับท่านย่าที่ทำให้ท่านย่าผิดหวัง และผมขอยอมรับในสิ่งที่ท่านย่าตัดสินใจทุกอย่าง...”
ฐิติเซ็นชื่อลงในใบคำร้องอย่างตัดสินใจแล้ว
“ในเมื่อท่านย่าไม่ได้คิดว่าผมเป็นหลานอีกแล้ว ผมกับกานดามณีก็จะออกไปจากวังสูรยกานต์วันนี้ครับ”
พุดตานแทบช็อก “ตาติ! ใจเย็นๆ ก่อนดีมั้ยลูก...”
ท่านหญิงยิ่งโกรธ “ถ้าติเห็นว่าผู้หญิงคนนี้สำคัญกว่าย่า กว่าแม่ของตัว ก็เชิญเลย”
“ผมกราบลาครับ แล้วผมจะรีบไปทำเรื่องขอลาออกจากที่บริษัทให้เรียบร้อย”
ฐิติประคองกานดามณีจะเดินออกไป กานดามณีขืนตัวไว้ หน้าตาบึ้งตึงหมดความสุข
“เราจะไปไหนคะ”
“ไปอยู่ในที่ที่จะมีแค่เราสองคน...ชีวิตผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้วไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือสมบัติพัสถานอะไร ผมยินดีแลกทุกอย่างเพื่อคุณคนเดียว”
ฐิติกำลังพากานดามณีออกไป ท่านหญิงโกรธจัดจนหน้ามืด เป็นลมล้มลงไป พุดตาน คุณพระ และนมสายตื่นตกใจ
“ท่านหญิง” พุดตานอุทานอย่างตกใจ
นมสายรีบเข้าไปประคองทันที
ไม่นานต่อมา ภายในห้องบรรทม หมอตรวจชีพจร วัดความดันให้ท่านหญิงที่นอนอยู่บนเตียง นมสาย พุดตาน คุณพระบรรณกิจมองอย่างเป็นห่วง
“ท่านหญิงทรงเครียดมากเกินไป เลยมีอาการหน้ามืดแบบนี้”
หมอบอก พุดตานออกอาการเป็นห่วงมาก
“แล้วท่านหญิงจะเป็นอะไรมากมั้ยคะคุณหมอ”
หมอยืนยัน
“ไม่ต้องกังวลไปครับ หมอจัดโอสถบำรุงและคลายความเครียดให้แล้วเดี๋ยวนอนพักสักครู่ก็หาย แต่ที่สำคัญอย่าให้ท่านต้องมีเรื่องไม่สบายพระทัยอีก มิเช่นนั้นอาการอาจจะทรุดหนักไปมากกว่านี้”
นมสายเปรยๆ
“แล้วจะให้ท่านหญิงไม่คิดมากได้อย่างไร คุณฐิติทำอะไรไม่คิดถึงท่านหญิงบ้างเลย”
ทุกคนมองท่านหญิงอย่างเป็นห่วง
ฐิติเป็นห่วงท่านย่ามาก เดินกระวนกระวายอยู่หน้าห้องแต่ไม่กล้าเข้าไป กานดามณีอยู่ด้วย ลุ้นสุดขีดว่าท่านหญิงจะเป็นอะไรมากมั้ย และในใจแช่งชักให้เป็นอะไรไปได้ยิ่งดี เพราะสมบัติก็จะตกเป็นของฐิติคนเดียว
สักครู่ เห็นพุดตานเปิดประตูห้องบรรทมออกมา ฐิติรีบถามทันที
“คุณแม่ครับท่านย่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทำไมติไม่เข้าไปหาท่านย่าเองล่ะ” พุดตานบอก
“ผมก็อยากเข้าไปนะครับ แต่กลัวท่านย่าเห็นหน้าผมและจะอาการหนักไปมากกว่านี้
พุดตานมองจ้องกานดามณีแต่พูดกับลูกชาย
“ติเป็นห่วงท่านย่าแต่ทำไมต้องขัดใจท่าน ที่ท่านเป็นแบบนี้ก็เพราะตินะ”
ฐิติรู้สึกผิด
“ผมมีเหตุผลของผมครับ แล้วสักวันนึงผมจะบอกกับแม่เอง”
พุดตานเห็นใจฐิติ
“ไม่ว่าติจะมีเหตุผลอะไรของติ แต่แม่ขอให้คิดลองคิดทบทวนดูให้ดีๆ อีกครั้งว่า จะเลือกท่านย่าหรือเลือกแม่ผู้หญิงคนนี้”
กานดามณีแค้นสุดๆ ที่ถูกด่า ลอบมองพุดตานตาวาววับอย่างเจ็บใจ
อ่านต่อตอนที่ 16