ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 2
นันทินีนอนและพยายามยกเวทขึ้น แต่ก็ไม่เขยื้อนเพราะมีลูกเหล็กน้ำหนักเยอะ
“เล่นวันแรก ก็ต้องยกหนักขนาดนี้เลยเหรอค่ะคุณชาย” นันทินีถาม
จันทรภานุที่เล่นเครื่องเล่นอื่นอยู่ข้างๆ พูดโดยไม่ได้มองนันทินี
“บอกแล้วไงว่าผมสอนไม่เป็น ไม่ใช่เทรนเน่อร์ เลยไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง”
“แล้วตอนที่คุณชายเรียนครั้งแรก เริ่มยังไงล่ะ”
“ยกเวทน้ำหนักเท่าที่ให้คุณนันยกนี่แหละครับ”
จันทรภานุเหลือบไปเห็นประกายดาวกับจิตสุภางค์ จึงนึกอะไรออก
“ผมเจอเพื่อนเก่า ขอเข้าไปทักเพื่อนก่อน”
จันทรภานุรีบเดินออกไป นันทินีเหวอ เธอรีบมุดออกมาจากเวทที่เหมือนทับเธออยู่อย่างทุลักทุเล
ประกายดาวกับจิตสุภางค์มองหน้าและกลืนน้ำลายเอื๊อกพร้อมกัน
“คุณชายจันทรภานุเนี่ยนะ?!!”
จันทรภานุเดินมาหาประกายดาว
“นี่คุณ!”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์หันไปเห็นจันทรภานุก็ตกใจมาก ประกายดาวรีบปิดหน้าจอไอแพดแทบไม่ทัน
“คุณชาย!”
จันทรภานุเหล่เห็นนันทินีมองมาเลยแกล้งยิ้มแย้มเข้ามานั่งข้างประกายดาว ทำเอาประกายดาวแปลกใจมาก
จันทรภานุทัก “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีนะ”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์งงมาก จันทรภานุหันไปเห็นนันทินีกำลังเดินมาก็ลุกขึ้นมาจับมือประกายดาว ประกายดาวตกใจและกำลังจะโวยวาย
“เฮ้ย! คุณจะทำอะ..”
จันทรภานุพูดแทรก “เราไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า ผมเลี้ยงเอง”
จันทรภานุรีบลากประกายดาวออกไป จิตสุภางค์เหวอ
“อะไรวะเนี่ย?”
จิตสุภางค์รีบเดินตามประกายดาวกับจันทรภานุออกไป นันทินีจะตามไปแต่มีหญิงสาวที่เล่นฟิตเนสเข้ามาเรียกไว้
“คุณคะๆ!”
“อะไร เรียกทำไม ชั้นไม่รู้จักกับเธอ” นันทินีบอก
“ชั้นก็ไม่รู้จักคุณเหมือนกัน แต่คุณลืมเสื้อวอร์มเอาไว้”
นันทินีรับมาแบบกระชากแล้วรีบหันไปมองก็เห็นจันทรภานุดึงมือประกายดาวเดินไป นันทีนีจะรีบตามแต่มีเสียงเรียกจากผู้หญิงฟิตเนสคนเดิม นันทินีหัวเสีย
“คุณคะๆ!”
“อะไรอีกโว๊ย!! ชั้นลืมอะไรอีก”
“คุณลืมขอบคุณ”
นันทินีโกรธ แต่ก็ยังพูดแบบเน้นๆ แบบประชด “ขอบ-คุณ ---พอใจรึยัง ไม่ต้องเรียกอีกแล้วนะ”
นันทินีรีบจ้ำเดินออกไป
จันทรภานุจับมือประกายดาวพาเดินออกมา ก่อนจะหยุดแล้วหันไปพอไม่เห็นนันทินีเดินตามมาก็โล่งอก
“คุณชายจันทร์..” ประกายดาวเรียก จันทรภานุหันไป “ปล่อยมือฉันได้แล้วมั๊งคะ”
จันทรภานุนึกขึ้นได้จึงรีบปล่อยมือประกายดาว จิตสุภางค์เดินตามออกมา
ประกายดาวถาม “คุณคิดจะทำอะไรของคุณ?”
“ไม่มีอะไร ผมไปล่ะ”
จันทรภานุเดินออกไป ประกายดาวไม่เข้าใจ
“อะไรของเค้าวะ?” จิตสุภางค์คิด “หรือเค้าจะหลงเสน่ห์แก”
“บ้าน่ะสิ”
ประกายดาวส่ายหัว
มิลินทร์จ้องไอแพดแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองประกายดาวกับจิตสุภางค์
“หม่อมราชวงศ์จันทรภานุ นพรัตน์ คู่ปรับแกเนี่ยนะ?”
ประกายดาวพยักหน้า “ใช่ ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าอีตาหม่อมเนี่ยจะอยู่อันดับหนึ่ง บางทีกูเกิ้ลอาจจะมีปัญหา เพราะตัวจริงก็ไม่ได้เพอร์เฟคเหมือนอย่างที่โปรไฟล์ระบุเอาไว้”
“แล้วอันดับสองล่ะ..ใคร?” มิลินทร์ถาม
ประกายดาวเอาไอแพดจากมิลินทร์เลื่อนไปหน้าถัดไปแล้วส่งให้เพื่อน มิลินทร์มองไอแพดเห็นรูป พงศ์จันทร
“พงศ์จันทร พิพิธมงคล คนนี้ฉันรู้จัก เค้าเป็นไฮโซ ติดโผหนุ่มน่าลากมาหลายปี เป็นเจ้าของบริษัทออร์กาไนซ์เซอร์ SIX-NINE เจ้าชู้ กะล่อน เป็นเพลบอยตัวพ่อ และที่สำคัญ..แกไม่ใช่ สเป็คเค้า อย่างคุณพงศ์เนี่ยต้องขาว อึ๋ม ตู้ม แบ๊ว”
ประกายดาวรีบทำท่าประกอบทันที “ฉันก็ทำได้” ประกายดาวดันนมขึ้นมาพร้อมยิ้มปากเจ่อแลบลิ้นเลียปาก
“อย่าพยายามเลยไอ้ดาว ฉันไม่อยากขย้อนอาหารเย็นออกมา”
“แล้วตกลงแกจะเลือกใคร?? ลองพิจารณาดูให้ดีดี” มิลินทร์บอก
ประกายดาวอ่านข้อความในไอแพด
“จันทรภานุ นพรัตน์ จบปริญญาโทสองใบ สาขา เอ็มบีเอ จากออกซ์ฟอร์ด และ สาขา การเงิน จากแคมบริด”
ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์ทึ่งมาก จิตสุภางค์หันไปจดบนกระดาษข้างใต้รูปจันทรภานุ
ประกายดาวอ่านต่อ “เป็นราชนิกูลโดยกำเนิด และเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหม่อมเจ้าสุริยะวรรต และ หม่อมสุรีย์”
ประกายดาวอ่านต่อ “ตระกูลนี้เป็นเจ้าของมูลนิธิหลายแห่ง ทั้งบ้านพักคนชรา บ้านเด็กกำพร้า บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน”
จันทรภานุไปบ้านพักคนชรา เขาไหว้คนชราด้วยความนอบน้อม
จันทรภานุไปเยี่ยมบ้านเด็กกำพร้า บ้านเด็กพิการ เขาเล่นกับเด็กๆ ด้วยการเตะฟุตบอล อุ้มเด็กอย่างไม่รังเกียจและป้อนข้าวเด็ก
“มีวัดประจำตระกูลอยู่ที่เชียงใหม่”
วัดชื่อ “วัดนพรัตน์” จันทรภานุกับครอบครัวและเครือญาติต่างแต่งกายด้วยชุดสีขาวกำลังทำบุญ
“มีทุนนพรัตน์แจกให้กับเด็กด้อยโอกาสทุกปี”
จันทรภานุแจกทุนให้เด็กๆ
มิลินทร์กำลังจดประวัติพงศ์จันทรใต้รูปพงศ์จันทร ประกายดาวกำลังอ่านประวัติของเขาจากไอแพด
“พงศ์จันทร เรียนจบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยเยลที่นิวยอร์ค ลูกชายเพียงคนเดียวของ คุณอนันต์ นักธุรกิจที่รวยติดอันดับแปดของเอเชีย” ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์ตะลึง
ประกายดาวอ่านต่อ “เป็นคาสโนว่าตัวพ่อที่หาตัวจับได้ยาก”
พงศ์จันทรนั่งดื่มและนั่งกอดสาวๆหลายคนที่รายล้อมพร้อมทั้งหัวเราะอย่างมีความสุข
“งานอดิเรก ชอบเล่นกีฬาแนวแอดเวนเจอร์”
พงศ์จันทรปีนเขา และขับรถเอทีวี
“แต่เป็นคนชอบทำบุญ ทุกปีครอบครัวพิพิธมงคลจะเดินทางไปร่วมแสวงบุญที่อินเดีย”
คนอินเดียแต้มจุดแดงที่หน้าผากให้พงศ์จันทร กับพ่อและแม่
“อีกทั้งยังมีโครงการสร้างวัดไทยในต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาอีกด้วย”
จิตสุภางค์กับมิลินทร์ยืนอยู่หน้ารูปผู้ชายสองคนที่มีประวัติยาวเหยียด ทั้งสองหันมาทางประกายดาว
“คุณชายจันทร์ท่าทางจะรักเด็ก ซึ่งก็เข้าทางแก” จิตสุภางค์บอก
ประกายดาวพยักหน้า
“แต่คุณพงศ์จันทรชอบเล่นกีฬาแนวแอดเวนเจอร์เหมือนแก”
ประกายดาวพยักหน้าแล้วก็เดินมายืนตรงกลางระหว่างเพื่อนสาว เธอหันไปมองรูปจันทรภานุกับพงศ์จันทรสีหน้าคิดหนัก
“จะว่าไปสองคนนี้สูสีกันสุดๆ” จิตสุภางค์บอก
“แถมยังหล่อและใจบุญทั้งคู่” มิลินทร์เสริม
ประกายดาวกลุ้ม “ทำไม๊ทำไม..อันดับหนึ่งต้องเป็นอีตาคุณชายจันทร์จอมเยอะด้วยก็ไม่รู้ โอ๊ย!! กลุ้มเว๊ย!”
จิตสุภางค์จับไหล่ประกายดาวให้หันมา “แกต้องเลือกแล้วล่ะไอ้ดาวว่าอันดับหนึ่งหรืออันดับสอง!”
ประกายดาวคิดหนักมากๆ แล้วมิลินทร์ก็นึกอะไรออก
“ฉันมีทางช่วยให้แกตัดสินใจง่ายขึ้น” มิลินทร์บอก ประกายดาวกับจิตสุภางค์หันขวับ “พรุ่งนี้จะมีงานฉลองครบรอบห้างมีเดียกรุ๊ปของคุณชาย และคนออร์กาไนซ์งานนี้ก็คือคุณพงศ์จันทร ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ประกายดาวตาโตด้วยความตื่นเต้น
จันทรภานุกำลังอ่านข่าวประกายดาวในหน้าสังคมด้วยสีหน้าไม่แปลกใจกับข่าวที่เขียนถึงประกายดาวว่าเป็นมือที่สามแย่งสามีของลูกสาวคุณหญิงอินทุอร เขามองรูปประกายดาวแบบเหยียดๆ หญิงนิ่มเดินออกมาเห็นจันทรภานุตั้งใจอ่านข่าวก็เข้ามายืนข้างๆโดยที่จันทรภานุไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวนี้พี่ชายสนใจข่าวกอซซิปพวกนี้ด้วยเหรอคะ”
จันทรภานุหันไป “พี่ก็อ่านไปงั้นๆแหละ”
หญิงนิ่มเห็นรูปประกายดาวในนสพ.เลยหยิบขึ้นมาดู “ประกายดาว...สวยนะคะ” หญิงนิ่มอ่านข่าว “เป็นช่างภาพด้วย เท่ห์จัง”
“สวย เท่ห์ แต่ถ้าชอบแย่งสามีคนอื่น ก็ไม่น่าปลื้มหรอกนะคะน้องหญิง” จันทรภานุพูดแล้วของขึ้น “ผู้หญิงที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อความรัก...ไม่ใช่คนดี น้องหญิงอย่าเอาเยี่ยงอย่างเด็ดขาด จำไว้!” หญิงนิ่มเหวอว่าทำไมพี่ชายต้องแรงด้วย “เตรียมตัวไปงานกับพี่ได้แล้ว”
จันทรภานุพูดจบก็เดินออกไป หญิงนิ่มมองภาพประกายดาวในหนังสือพิมพ์อีกครั้งอย่างรู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด
อรอุมาหันมาทางรติรสที่นั่งหน้าวีน
“ไม่เห็นนังประกายดาวมันจะออกมาตอบโต้เหมือนอย่างที่เธอบอก แค่สองวันก็แทบจะไม่มีหนังสือพิมพ์เล่นข่าวนี้แล้ว”
“ฉันว่าต้องมีคนคอยกำกับมันอยู่” รติรสบอก
“ใคร?”
“ถ้าให้เดา ก็น่าจะเป็นเพื่อนมันที่ชื่อมิลินทร์ คนนี้เป็นนักข่าวหน้าสังคม อยู่หนังสือพิมพ์นิวไลน์”
“รติ...” อรอุมานั่งลงข้างๆ รติรส “เธอต้องหาทางเล่นงานมันให้ฉัน เอาให้มันอับอายขายขี้หน้ามากกว่านี้ มันต้องได้รู้ว่ามันคิดผิดที่มายุ่งกับผู้ชายของฉัน”
รติรสพยักหน้า อรอุมาเคียดแค้น
รติรสเดินเข้ามาในห้อง มีคนเข้ามากอดจากทางด้านหลัง รติรสหันไปเห็นศิวะที่ยิ้มกรุ่มกริ่มและจะยื่นหน้ามาหอมแก้มแต่รติรสยกมือยันศิวะเอาไว้
“อย่าค่ะศิวะ”
“ทำไม ผมคิดถึงรติจะแย่อยู่แล้ว เราไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้วนะ คุณไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ” ศิวะถาม
รติรสรีบผละออกไปปิดม่านหน้าต่างแล้วหันกลับมา
“อยู่สูงขนาดนี้ ใครจะเห็นเรา”
“กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ”
“คุณนี่รอบคอบเสมอ มิน่าหลายปีมานี่อรถึงไม่เคยสงสัยคุณกับผมเลย”
รติรสยิ้ม “และก็จะไม่มีวันสงสัยด้วยค่ะ เพราะตอนนี้คุณมีข่าวกับแฟนเก่าอยู่ อรก็เลยนึกว่านังนั่นเป็นกิ๊กคุณน่ะสิ”
“น่าสงสารดาวเค้าเหมือนกัน”
รติรสจับหน้าศิวะให้หันมา “พูดแบบนี้แสดงว่ากลับไปมีอะไรกับนังดาวนั่นอีกเหรอคะ”
ศิวะรีบจับมือรติรสอย่างเอาใจ “เปล่านะจ๊ะ เปล่าเลย”
“งั้นก็ดีค่ะ เพราะรติหึง” รติรสบอก ศิวะหัวเราะชอบใจ “เลิกพูดถึงคนอื่น แล้วเราไปอาบน้ำกันดีกว่า รติเอาสบู่กลิ่นที่คุณชอบมาด้วย”
ศิวะยิ้มปลื้ม พลันเสียงมือถือของศิวะก็ดังขึ้น ศิวะตกใจแล้วหยิบมือถือออกมา พอเห็นชื่อ “อร” เธอก็หันไปเอานิ้วแตะปากรติรสให้เงียบก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงจ๊ะที่รัก” ศิวะถาม
เสียงอรอุมาดังผ่านสาย “คุณอยู่ไหน? เราต้องไปงานคุณชายจันทร์ด้วยกัน ลืมไปแล้วเหรอ?”
ศิวะตาโตเพราะลืม “ใครว่าผมลืม..ผมไม่ได้ลื๊ม...นี่ผมมาหาซื้อดอกไม้ไปร่วมแสดงความยินดีกับคุณชายอยู่ ถ้ายังไงเจอกันที่ห้างฯเลยก็แล้วกันนะจ๊ะ”
ศิวะวางสายแล้วหันมาทางรติรสด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“รติเข้าใจค่ะ คุณรีบไปเถอะ เพราะรติก็ต้องไปงานนี้เหมือนกัน”
ศิวะจับมือรติรสขึ้นมาหอม “คุณเป็นคนเดียวที่เข้าใจผม”
ศิวะหอมแก้มรติรสแล้วก็รีบเดินออกไป รติรสเซ็งสุดๆ
ห้างสรรพสินค้ามีเดียกรุ๊ปถูกตกแต่งด้วยสีสันสดใส แขกเหรื่อมากมายทยอยกันเดินเข้าไปในห้างฯ ประกายดาวกับมิลินทร์เดินเข้ามาพร้อมกัน
“ถ้าใครถาม ก็บอกว่าแกเป็น...”
ประกายดาวสวนกลับทันที “ช่างภาพหนังสือพิมพ์นิวไลน์ ไม่ได้เป็นอัลซัลเมอร์ ย้ำฉันมาห้ารอบแล้ว”
มิลินทร์ยิ้ม “ฉันไปลงทะเบียนนักข่าวก่อน”
มิลินทร์เดินออกไป ประกายดาวหันไปมองรอบๆ อย่างค่อนข้างตื่นเต้นที่จะได้เจอเป้าหมายทั้งสองคน พอเห็นมุมสวยๆ เธอก็อดที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปไม่ได้
ประกายดาวมองผ่านเลนส์กล้องเพื่อถ่ายภาพตามมุมต่างๆ แล้วเธอก็เห็นพงศ์จันทรกำลังคุยก้อร่อก้อติกกับทีมงานสาวๆ ประกายดาวผละจากเลนส์กล้องมองไปที่พงศ์จันทรแล้วก็ยกกล้องขึ้นมาจะถ่ายรูป
ประกายดาวพึมพำ “เพลย์บอยอย่างที่ลินทร์บอกจริงๆ”
ประกายดาวมองผ่านเลนส์กล้องก็ตกใจเพราะพงศ์จันทรหายไปจากตรงนั้นแล้ว ประกายดาวผละออกมามองหา
ประกายดาวพึมพำ “หายไปไหน?”
พงศ์จันทรยืนอยู่ด้านหลังประกายดาว
“อยากถ่ายรูปผม ขอกันดีดีก็ได้นี่ครับคุณช่างภาพ”
ประกายดาวหันขวับมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจเพราะพงศ์จันทรยืนอยู่ข้างหลังเธอ
ประกายดาวเผลอพูดชื่อออกมา “คุณพงศ์จันทร...”
“ไม่แปลกใจที่รู้จัก” พงศ์จันทรบอก ประกายดาวหน้าถอดสี “แสดงว่าเป็นแฟนคลับผม”
พงศ์จันทรหยอดทันที ประกายดาวรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ
“ฉันไม่ได้เป็นแฟนคลับคุณ คำว่าแฟนคลับมันมีความหมายในแง่บวก แต่ฉันรู้ว่าคุณมีชื่อเสียงแบบไหน” ประกายดาวว่า พงศ์จันทรแทบสะอึก “รู้จักในทางที่แย่” พงศ์จันทรชะงัก “มันน่าภูมิใจตรงไหนคะ”
พงศ์จันทรพูดไม่ออก แล้วมิลินทร์ก็เดินเข้ามา
“คุณพงศ์..” มิลินทร์เรียก พงศ์จันทรกับประกายดาวหันไป “ทำอะไรเพื่อนลินทร์คะเนี่ย”
“เพื่อนคุณลินทร์เหรอครับ?”
“ค่ะ ประกายดาว” มิลินทร์แนะนำ
พงศ์จันทรหันไปทางประกายดาว “ต้องถามคุณประกายดาวมากกว่าว่าทำอะไรผม”
พงศ์จันทรหันไปมองประกายดาวด้วยตาเป็นประกาย ประกายดาวหน้าตึงขึ้นมาทันที มิลินทร์เห็นท่าไม่ดี
“เออ ลินทร์ว่าลินทร์ขอตัวก่อนดีกว่า ต้องไปเก็บภาพด้านโน้น”
มิลินทร์จับแขนประกายดาวพาเดินออกไป พงศ์จันทรมองประกายดาวด้วยความสนใจ
มิลินทร์หันมาทางประกายดาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
“แกเป็นบ้าอะไร!! ไปกวนประสาทเค้าทำไม เค้าน่ะว่าที่พ่อของลูกแกนะ”
“หลงตัวเองจนน่าหมั่นไส้ อดใจไม่ไหว ก็เลยต้องขอกัดนิดนึง”
มิลินทร์ถอนหายใจ “ฉันว่าสิ่งแรกที่แกต้องทำก็คือ หัดสงบปากสงบคำมากกว่านี้ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เที่ยวไล่งับเค้าไปทั่ว”
ประกายดาวสวนทันที “คนนะไม่ใช่หมา!”
มิลินทร์หันไปเห็นก็ผงะ “เป้าหมายอันดับหนึ่งของแกมาโน่นแล้ว”
ประกายดาวหันไปเห็นจันทรภานุเดินมาในชุดสูทสีขาวทั้งตัวก็ยิ่งทำให้ออร่าของจันทรภานุเปล่งประกายมีแต่คนมองด้วยความชื่นชม
“รีบไปหาตะกร้อครอบปากมาให้แกก่อนดีกว่า”
ประกายดาวหันไปค้อนมิลินทร์ มิลินทร์อมยิ้ม ประกายดาวตื่นเต้นมาก
ประกายดาวมองจันทรภานุที่กำลังเดินมาทางเธอช้าๆ จันทรภานุเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา แล้วก็ยิ้มให้ประกายดาว
ประกายดาวอึ้งไป แต่แล้วเสียงสดใสน่ารักของหญิงนิ่มก็ดังขึ้นทางด้านหลังเธอ
“พี่ชาย..”
ประกายดาวหันไปเห็นหญิงนิ่มประคองนมพรกับสุรีย์เดินมาหาจันทรภานุ ประกายดาวหน้าแตกดังเพล้ง!! หญิงนิ่มกับจันทรภานุยิ้มให้กัน ทั้งสองดูราวกับเป็นภาพวาดในเทพนิยาย
มิลินทร์ยื่นหน้ามากระซิบข้างๆ “งานเข้าแล้วประกายดาว! นั่นน่ะคุณหญิงนิ่ม คนที่ฉันเคยเล่าให้แกฟัง”
นักข่าวทุกสำนักรีบเข้าไปกดชัตเตอร์รัวไม่หยุด ประกายดาวมองหญิงนิ่มตาค้างเพราะเธอช่างน่ารักและมีความเป็นกุลสตรีมากกว่าเธอล้านเท่า
มิลินทร์อธิบาย “คนสาวหน่อยคือหม่อมสุรีย์ หม่อมแม่ของคุณชาย ส่วนคนแก่ๆนั่น แม่นมพร เค้าว่ากันว่าคุณชายรักแม่นมพรมากจนบางครั้งหม่อมแม่ตัวจริงยังอดน้อยใจไม่ได้ ถ้าแกอยากชนะใจคุณชาย ก็ต้องชนะใจแม่นมพรด้วย”
“แล้วหม่อมสุริยะวรรตไปไหน?” ประกายดาวถาม
“ท่านพ่อของคุณชายเป็นคนไม่ชอบออกงานสังคม งานไหนๆก็ไม่มีวันได้เห็นท่าน”
ประกายดาวหันไปมองภาพครอบครัวอบอุ่นตรงหน้า แล้วจันทรภานุ หญิงนิ่ม สุรีย์ นมพรก็เดินผ่านหน้าประกายดาวไป จันทรภานุหันมาสบตากับประกายดาวพอดี ต่างฝ่ายต่างผงะ ประกายดาวทำหน้าไม่ถูก จันทรภานุแปลกใจที่เห็นประกายดาวที่นี่ เขารู้สึกระแวงนิดนึงแต่ก็เดินออกไป
หญิงนิ่มหันไปมองตามพี่ชายแล้วก็เห็นประกายดาว หญิงนิ่มจำประกายดาวได้ ประกายดาวหันไปเจอหญิงนิ่มมองอยู่ หญิงนิ่มยิ้มทักทายประกายดาวอย่างเป็นมิตร ประกายดาวยิ้มตอบ
“ท่าจะเข้าถึงตัวยากแล้ว ถ้าแกจะต้องฟาดฟันกับสาววัยกระเตาะที่สวยสดใสขนาดนั้น” มิลินทร์บอก
ประกายดาวมองหญิงนิ่มอย่างครุ่นคิด “ถ้าคุณหญิงนิ่มเป็นนางฟ้า ฉันก็คือดาว..ดาวที่อยู่บนฟ้าเหมือนกัน ต่อให้ยากเย็นแค่ไหน ฉันต้องทำให้ได้”
ประกายดาวเดินออกไปทันที มิลินทร์มองตามประกายดาวด้วยความอึ้งและทึ่ง
จันทรภานุจับมือกับผู้กองอภิเชษฐ์ เพื่อนซี้ที่แต่งชุดตำรวจมาเต็มยศ
จันทรภานุตบบ่าเพื่อน “ขอบใจที่มา” ทั้งสองปล่อยมือออกจากกัน
“ไม่ได้มีของมาให้ แต่มีหัวใจมาฝาก ฮิ้วว” อภิเชษฐ์บอก
จันทรภานุขำ “พอพอ..อย่ามาทำเลี่ยนกับฉัน ไปทำกับสาวๆนู่น”
“วันๆเอาแต่ไล่จับผู้ร้าย จะมีเวลาที่ไหนไปจับสาว”
“ฉันแนะนำให้เอามั๊ย สาวๆที่หม่อมแม่มาให้ฉันเลือก ยังมีอีกเพียบ”
“กระผมมิบังอาจทับรอยคุณชายจันทร์หรอกครับ”
แล้วเสียงแหลมๆของนันทินีก็ดังขึ้น
“คุณชายขา...”
จันทรภานุกับอภิเชษฐ์หันไปเห็นก็สะดุ้งกับการจัดเต็มของนันทินี นันทินีเดินมาพร้อมกับช่อดอกไม้
นันทินียื่นช่อดอกไม้ให้ “Congratulation ค่ะ”
อภิเชษฐ์เสนอหน้ามารับแทน
“ขอบคุณมากนะครับคุณนันยาง”
นันทินีฉุน “นันทินี!”
“โอ้..มายก๊อด ขอโทษครับ ไม่รู้ทำไมนึกว่าคุณชื่อนันยางทุ้กกที” อภิเชษฐ์แกล้งดมดอกไม้ “ดอกไม้หอมชื่นใจมากเลยครับ”
จันทรภานุอมยิ้ม นันทินีไม่พอใจ
“ฉันเอาดอกไม้มาให้คุณชาย ไม่ได้ให้คุณ!!”
“จะให้ผมหรือให้คุณชาย มันก็เหมือนกันนั่นแหละครับ เพราะว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน”
นันทินีหัวเสียมาก ระหว่างนั้นก็มีพนักงานเดินมาหาจันทรภานุ
“คุณชายจันทร์คะ ถึงเวลาขึ้นเวทีแล้วค่ะ”
จันทรภานุพูดกับเพื่อน “ขอตัวนะ”
อภิเชษฐ์พยักหน้า นันทินีจะเดินตามจันทรภานุ แต่อภิเชษฐ์คว้าแขนนันทินีมาควงเอาไว้ นันทินีหันไปมองด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
“จะทำอะไร!”
“ผมจะพาคุณนันยาง..เอ๊ย คุณนันทินีไปหาที่นั่งน่ะสิครับ ไปครับไป”
อภิเชษฐ์กึ่งเดินกึ่งลากนันทินีไปตามทาง
จันทรภานุยืนอยู่บนเวที มีหญิงนิ่ม นมพร หม่อมสุรีย์นั่งอยู่ด้านหน้า อภิเชษฐ์กับนันทินีนั่งอยู่มุมหนึ่ง พงศ์จันทรอยู่ข้างๆ เวทีกับพวกนักข่าว หนึ่งในนั้นมีประกายดาวกับมิลินทร์ยืนอยู่ด้วย พงศ์จันทรจับตามองท่วงท่าของประกายดาวที่ถ่ายรูปอยู่ตาไม่กระพริบ เขารู้สึกว่าประกายดาวไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เคยพบมาก่อน
จันทรภานุพูด “งานครั้งนี้เป็นหนึ่งในหลายๆงานที่ทางมีเดียกรุ๊ปวางโครงการไว้เพื่อตอบแทนสังคม ผมหวังว่าทุกท่านจะได้รับความสุขจากการให้ และทุกครั้งที่มีงานดีๆเช่นนี้ทางเราก็จะมาประกาศบอกบุญให้ได้ทำบุญร่วมกัน เพื่อสังคมที่ดีขึ้นของประเทศไทย เพื่อเด็กๆ ด้อยโอกาสที่พวกเราหยิบยื่นโอกาสในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นแก่พวกเขา ขอบคุณครับ”
ทุกคนปรบมือให้จันทรภานุ จันทรภานุเดินลงจากเวที ประกายดาวปรบมือไปก็มองจันทรภานุด้วยแววตาที่เป็นประกายเพราะเริ่มรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่จันทรภานุพูดถึงเด็กๆ
ประกายดาวเดินเก็บภาพในงานไปเรื่องๆ ระหว่างนั้นก็มีพี่น้องเด็กจรจัดชายหญิงเดินเข้ามาในห้างฯ รปภ.เห็นก็เข้ามาไล่
“เข้ามาได้ยังไง?!! ออกไป” เด็กยังยืนเฉย “ไล่แล้วยังไม่ไปอีก เดี๋ยวเรียกตำรวจมาจับซะเลย”
ประกายดาวหันไปเห็นรปภ.กำลังไล่เด็กก็โมโหมาก เธอกำลังจะเข้าไปเอาเรื่องแต่จันทรภานุเดินมาแล้วตรงรี่เข้าไปหา
“มีอะไรกัน!”
ประกายดาวหยุดมอง
รปภ. รีบหันไปด้วยความกลัว “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับคุณชาย ผมไม่เห็นว่าเด็กสองคนนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ประกายดาวยืนมองว่าจันทรภานุจะทำยังไง จันทรภานุเดินเข้าไปหาเด็กจรจัดสองพี่น้องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาจากที่ไหนกันครับ”
“บ้านพวกเราอยู่ข้างหลังห้างฯนี้ค่ะ น้องชายหนูอยากมาเที่ยว หนูก็เลยพาเข้ามา”
จันทรภานุหันไปทางพนักงาน “มานี่” พนักงานเดินมาหา “เดี๋ยวพาเด็กสองคนนี้ไปหาอะไรทาน ถ้าเค้าอยากได้อะไรก็ลงบัญชีฉันเอาไว้”
“ได้ค่ะ”
รปภ. หน้าเจื่อน เด็กจรจัดสองพี่น้องดีใจกันมากแล้วพากันยกมือไหว้จันทรภานุ
“ขอบคุณมากนะคะ คุณใจดีจัง”
จันทรภานุลูบหัวเด็กสองคนแล้วยิ้มให้อย่างใจดี พนักงานพาเด็กเดินออกไป จันทรภานุหันไปทางรปภ.
จันทรภานุพูดหน้าดุ “จำไว้ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในห้างฯ ไม่ว่าเค้าจะยากดีมีจน เค้าคือลูกค้า”
“ครับ..ผมทราบแล้วครับ ผมขอโทษครับ”
จันทรภานุเดินออกไป ประกายดาวหันไปมองตามจันทรภานุด้วยสีหน้าประทับใจมากขึ้นและเริ่มอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของจันทรภานุว่าเป็นคนยังไง
จันทรภานุเดินมาที่บูทบริการของว่างกับแขกที่มาร่วมงาน ประกายดาวเดินตามมาดูห่างๆ พนักงานเอากล่องอาหารว่างให้จันทรภานุประมาณสิบถุง จันทรภานุรับมาแล้วก็เดินออกไป ประกายดาวสงสัย
“จะเอาไปให้ใคร?”
ประกายดาวแอบตามจันทรภานุออกมาหน้าห้างฯ จันทรภานุเอาถุงอาหารว่างให้กับคนขายลอตเตอรี่ คนขับรถสามล้อ คนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่อยู่แถวนั้น
“ขอบคุณคุณชายมากนะครับ // นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
จันทรภานุยิ้มให้ทุกคนอย่างใจดีแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ประกายดาวแปลกใจมาก เธอได้ยินคนขายลอตเตอรี่ คนขับสามล้อ คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างคุยกัน
“คุณชายนี่ดีกับพวกเราเสมอเลยเนอะ”
“นั่นสิ..ให้พวกเราทำมาหากินด้านหน้าห้างฯฟรีๆ แล้วก็ยังชอบเอาของดีดีมาให้พวกเราอีก”
“เทวดามาเกิดแท้ๆ ทั้งหล่อทั้งใจบุญ”
ประกายดาวฟังที่ทุกคนพูดถึงจันทรภานุแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างตัดสินใจได้ว่าจะเลือกให้ใครเป็นพ่อของลูก
ศิวะ อรอุมา และรติรสเดินมาด้วยกัน อรอุมามีท่าทางหงุดหงิดมาก
อรอุมาหันไปด่าศิวะ “เพราะคุณแท้ๆ ขับรถช้าหยั่งกับเต่าคลาน มาสายเลยดูสิเนี่ย!!”
ศิวะเซ็งมากแต่ไม่อยากตอบโต้เลยเดินหนี อรอุมายิ่งหัวเสีย
“จะไปไหน?!”
ศิวะหันขวับ “ไปห้องน้ำ จะตามไปดูด้วยรึเปล่าว่าผมเข้าจริงมั๊ย?”
อรอุมาฉุนกึก ศิวะเดินออกไปเลย
“ศิวะ!”
รติรสรีบปราม “ไม่เอาน่าอร...คนเยอะแยะอายเค้า”
“เธอก็ดูผัวฉันสิ เคยทำอะไรดั่งใจที่ไหน เอะอะก็เดินหนีเดินหนี ไม่มีความเป็นผู้ชายซักนิด น่าเบื่อ!”
รติรสลอบยิ้มสะใจที่ได้เห็นความร้าวฉาน แล้วเธอก็หันไปเห็นประกายดาว รติรสถึงกับตาโต
“อร..”
อรอุมาหันไป รติรสบุ๊ยใบ้ให้มองไปทางโน้น อรอุมาหันไปเห็นประกายดาวก็ชะงัก
“ไม่ต้องเสียเวลาคิดแผน อ้อยเข้าปากช้างแท้ๆ งานนี้ดราม่าจัดเต็มกันหน่อย” รติรสว่า
อรอุมามองรติรสด้วยความสงสัย รติรสมีสีหน้าร้าย
อ่านต่อหน้าที่ 2
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ประกายดาวกอดโดยเอาแก้มแนบแก้มกับเจ๊พีช ก่อนผละออกจากกัน เจ๊พีชหันไปกอดเอาแก้มแนบแก้มกับ
มิลินทร์ต่อ
“น้องดาว น้องลินทร์ เจ๊ล่ะมิสยู คิดถึ๊งคิดถึง” เจ๊พีซพูดกับมิลินทร์ “วันนี้ฉายเดี่ยวไร้เงาผัวเหรอจ๊ะ”
“ลินทร์มาทำงานค่ะเจ๊ เลยหนีบดาวมาช่วยถ่ายรูป”
“ช่วยเพื่อนได้ แต่ไม่คิดช่วยเจ๊บ้างเลยนะ” เจ๊พีซหันไปฟ้องมิลินทร์ “เจ๊พยายามจีบดาวให้มาเป็นนางแบบตั้งหลายปี แต่ดาวใจแข๊งใจแข็ง ไม่ตกลงซักที”
“ดาวชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่านี่เจ๊” ประกายดาวบอก
“จ๊ะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจ คิดถึงเจ๊คนแรกนะ” เจ๊พีซบอก ประกายดาวยิ้ม “เจ๊ไปล่ะ ต้องไปเช็คความเรียบร้อยให้เด็กๆก่อนเดินแฟชั่น”
เจ๊พีชเดินออกไป ประกายดาวกับมิลินทร์หันไปเห็นจันทรภานุยืนอยู่กับหญิงนิ่ม หม่อมสุรีย์ และนมพร
ประกายดาวพูดขึ้น “ฉันตัดสินใจได้แล้วว่าฉันจะเลือกใครเป็นพ่อของลูกฉัน”
มิลินทร์มองจันทรภานุแล้วก็หันมามองหน้าประกายดาว ประกายดาวพยักหน้าแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ
จันทรภานุ หญิงนิ่ม หม่อมสุรีย์ และนมพร ยืนคุยกัน
“นมพรเมื่อยแล้ว หญิงพานมพรขึ้นไปพักบนห้องทำงานพี่ชายชั้นบนนะคะ” หญิงนิ่มบอก
จันทรภานุหันมาจับมือนมพร “นมพักตามสบายนะครับ ชายเสร็จงานแล้วจะรีบขึ้นไปหา”
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ งานนี้คุณชายเป็นพ่องาน” นมพรบอก
สุรีย์พูดกับหญิงนิ่ม “ป้าพานมพรขึ้นไปเอง หญิงนิ่มอยู่กับพี่ชายเถอะ”
“ค่ะ”
สุรีย์ประคองนมพรเดินออกไป หญิงนิ่มหันมาทางจันทรภานุ
“หญิงหิว ขอไปหาอะไรทานก่อนนะคะ”
“ค่ะ”
หญิงนิ่มเดินออกไป
ประกายดาวกับมิลินทร์ยังคงจ้องอยู่
“คุณชายอยู่คนเดียวแล้ว รีบเข้าไปเร็วแก” มิลินทร์บอก
ประกายดาวกำลังจะก้าวเข้าไป แต่นันทินีถลาเข้ามา ประกายดาวเบรคเอี๊ยดแทบไม่ทัน
มิลินทร์งง “ใครอีกเนี่ย?”
จันทรภานุเซ็งที่เห็นนันทินี
นันทินีร้องเรียก “คุณชายขา”
อภิเชษฐ์รีบเข้ามาขวางก่อนที่นันทินีจะมาถึงตัวจันทรภานุ
“คุณนันยางขา..”
นันทินีหยุดกึก
“ไวจังเลยนะครับ ผมหันไปหยิบน้ำแป๊บเดียว”
นันทินีไม่สนใจ “คุณชายขา นันไม่เคยมาห้างฯของคุณชายเลย คุณชายพานันเดินเที่ยวหน่อยนะคะ”
อภิเชษฐ์เข้ามาจับแขนนันทินี “ได้เลยครับคุณนัน..ผมจะเป็นไกด์พาคุณเดินเอง แกไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลไม่ให้เล็ดลอดสายตาไปไหนได้เลย”
จันทรภานุอมยิ้ม นันทินีเหวอเมื่อเจออภิเชษฐ์เข้ามาโอบแล้วพาเดินออกไป
“ฉันไม่ไปกับคุณ..” นันทินีหันมาทางจันทรภานุ “คุณชาย...”
จันทรภานุขำแล้วก็เดินออกไป
ประกายดาวกับมิลินทร์มองตาม
มิลินทร์รีบบอก “โอกาสเป็นของแกแล้ว”
ประกายดาวมองตามจันทรภานุแล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
จันทรภานุเดินทักทายแขกไปตามทาง ประกายดาวแอบเดินตามมาห่างๆ โดยยังไม่กล้าเข้าไปหาจันทรภานุ ประกายดาวคอยหลบตามหลังบรรดาแขกที่ยืนอยู่เพื่อแอบมอง พอเห็นจันทรภานุเดินหลุดกลุ่มคนออกไป เธอก็รีบตามไปติดๆ
ประกายดาวรีบเดินมาแต่ไม่เห็นจันทรภานุแล้ว
“ไปไหนแล้ว?”
ประกายดาวถอยแล้วก็ตกใจเพราะชนเข้ากับใครบางคน เธอหันไปก็เจอจันทรภานุยืนอยู่ ประกายดาวแทบช็อค
“คะคุณ..คุณชาย!!”
จันทรภานุถามเสียงดัง “ตามผมมาทำไม?”
ประกายดาวสะดุ้ง “ทำไมคุณชายต้องเสียงดังด้วยคะ อยู่ใกล้กันแค่เนี้ย พูดเบาๆก็ได้ค่ะ หูจะแตก!”
“เลิกพูดอ้อมไปอ้อมมาซักที ตกลงตามผมมาทำไม?”
“ฉัน..เออ...ฉันอยากสมานฉันท์กับคุณชายน่ะค่ะ คือ ที่ผ่านมา ดูเราจะเจอกันในแบบไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่”
“แล้วทำไมเราถึงต้องสมานฉันท์กันด้วย”
ประกายดาวอึกอัก “ก็..เพราะว่า..” ประกายดาวนึก “เพราะเราเป็นคนไทยเหมือนกันยังไงล่ะคะ” จันทรภานุผงะ “คนไทยควรรักกัน และสามัคคีกัน ฉันก็เลยอยากให้เราลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจ ถ้าฉันทำอะไรให้คุณชายไม่พอใจ ฉันก็อยากให้คุณชายลืมมันให้หมด แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่”
“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ บอกมาเลยดีกว่า ไม่ต้องพูดชักแม่น้ำทั้งห้าให้เสียเวลา”
ภาพในความคิด ประกายดาวมองหน้าจันทรภานุสามวินาทีก่อนเอ่ย “ฉันอยากได้สเปิร์มของคุณชายค่ะ”
จันทรภานุตกใจ
ในเหตุการณ์จริง จันทรภานุยังคงจ้องหน้าประกายดาว
จันทรภานุถามย้ำ “ตกลงคุณต้องการอะไรจากผม?!!”
“....ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณชาย..” ประกายดาวบอก จันทรภานุหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อ “จริงๆนะคะ”
ยังไม่ทันที่จะคุยกันต่อ ผู้จัดการห้างฯก็เดินมาหาจันทรภานุ
“ขอประทานโทษนะครับคุณชาย มีแขกผู้ใหญ่บางส่วนกำลังจะกลับแล้วครับ”
จันทรภานุพยักหน้า เขาหันไปมองประกายดาวอีกครั้งแล้วก็เดินตามผู้จัดการไป ประกายดาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ประกายดาวเดินกลับเข้ามาแต่ดันเจอพงศ์จันทรมายืนขวาง ประกายดาวชะงักกึก
“หายไปไหนมาครับคุณประกายดาว”
ประกายดาวสวน “ไม่เกี่ยวกับคุณ”
พงศ์จันทรเหวอไปแล้วก็ยิ้มออกมา “วันนี้คุณยิงผมสองครั้งแล้วนะ แต่ไม่เป็นไร ถ้าเป็นผู้หญิงสวยๆอย่างคุณ ผมยอม..”
“ขอโทษนะคะ ฉันรีบ”
ประกายดาวกำลังจะเดินเลี่ยงออกไปแต่กลับเจออรอุมากับรติรสเดินเข้ามา ประกายดาวอึ้ง
“คุณอรอุมา”
“เจอเธอที่นี่ก็ดีประกายดาว..เราจะได้คุยกันให้จบ” อรอุมาบอก
พงศ์จันทรมองประกายดาวกับอรอุมาด้วยความแปลกใจ
มิลินทร์หันมาเห็นก็ตกใจจึงรีบเดินมาสมทบประกายดาว
รติรสทำเป็นห้ามเพื่อน “อย่าเลยอร..ที่นี่คนเยอะ”
อรอุมาแกล้งดราม่า “อย่ามาห้ามฉันรติ ยังไงวันนี้ก็ต้องพูด เพราะฉันทนไม่ไหวแล้ว” อรอุมาหันไปทางประกายดาว “เมื่อไหร่ เธอจะเลิกยุ่งกับศิวะสามีฉันซักที”
ประกายดาวอึ้ง มิลินทร์ไม่พอใจ พงศ์จันทรนิ่วหน้ามอง ส่วนรติรสลอบยิ้มอย่างสะใจ จันทรภานุหันมาเห็นเหตุการณ์ก็แปลกใจ พวกนักข่าวสะกิดกันให้ดูแล้วก็รีบกรูกันเข้ามา
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้แย่งสามีของคุณ” ประกายดาวบอก
“ไม่ต้องโกหก ฉันรู้เรื่องของเธอกับศิวะดีทุกอย่าง” อรอุมาว่า
นักข่าวเริ่มเข้ามาล้อมเอาไว้
อรอุมาทำเป็นร้องไห้ตัวสั่น “เธอก็เป็นคนสวยนะประกายดาว แต่ทำไมถึงทำอะไรสิ้นคิด โดยการไปเป็นเมียน้อยคนอื่น”
นักข่าวฮือฮา ผู้คนแถวนั้นหันขวับมามองเป็นตาเดียว ประกายดาวกำมือแน่นด้วยความโมโห พงศ์จันทรมองประกายดาวด้วยความแปลกใจและไม่เชื่อ จันทรภานุเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ มิลินทร์จะเอาเรื่อง ประกายดาวรีบคว้าแขนเพื่อนเอาไว้
“อย่าลินทร์!! ฉันเอง” ประกายดาวหันไปทางอรอุมา “หยุดพูด หรือ ทำให้คนอื่นมองฉันผิดๆได้แล้ว”
รติรสทำเป็นโมโหแทนเพื่อน “ตายแล้ว พูดออกมาได้หน้าด้านๆว่ามองผิด อรเค้ามองถูกแล้วต่างหาก” รติรสหันไปทางนักข่าว “รู้ไว้ด้วยนะคะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นพวกโรคจิต ชอบแย่งของของคนอื่น ใครที่พาสามีหรือแฟนมาด้วย ระวังตัวเอาไว้”
พวกผู้หญิงที่พาแฟนหรือสามีมาด้วยรีบควงแขนแฟนตัวเองแน่น ประกายดาวโมโหมากแต่ยังไม่ทันทำอะไร ศิวะก็เดินผ่าเข้ามาตรงกลาง
“ดาว...” ศิวะหันไปทางอรอุมา “หาเรื่องอะไรดาวอีก”
อรอุมาแกล้งทำเป็นเสียใจ “คุณตวาดฉันเพราะปกป้องมันเหรอศิวะ” อรอุมาหันไปกอดรติรสแล้วร้องไห้
ศิวะเหวอและงงมากเพราะไม่ได้ตวาด พงศ์จันทรทนไม่ไหวจึงเดินเข้ามายืนข้างประกายดาวแล้วพูด
“ผมว่าพวกคุณเข้าใจคุณดาวผิดแล้วนะครับ”
ประกายดาว มิลินทร์ ศิวะ อรอุมา และรติรสหันไปมองพงศ์จันทรด้วยความแปลกใจ
พงศ์จันทรโอบประกายดาวทันที ประกายดาวเหวอ “คุณดาวเป็นแฟนผม” ทุกคนตกใจ “แล้วคุณดาวจะไปมีอะไรกับสามีคุณได้ยังไง ในเมื่อเค้าอยู่กับผมตลอดเวลา”
ประกายดาวอ้าปากค้าง มิลินทร์อึ้ง อรอุมากับรติรสพูดไม่ออก ศิวะมองประกายดาวกับพงศจันทรด้วยความหึง พวกนักข่าวกับผู้คนแถวนั้นหันไปมองอรอุมาเป็นตาเดียว
พงศ์จันทรพูดกับประกายดาว “ไปกันเถอะครับที่รัก”
พงศ์จันทรโอบไหล่พาประกายดาวเดินออกไป มิลินทร์รีบเดินตามไปติดๆ อรอุมาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
อรอุมาบอกเพื่อน “กลับ..!”
“เธอจะปล่อยมันไปง่ายๆแบบนี้เหรอ” รติรสถาม
“แล้วจะให้อยู่หน้าแตกต่ออีกทำไม?!” อรอุมาหันไปทางศิวะ “ศิวะ!”
ศิวะรีบเดินตามอรอุมาไปติดๆ รติรสหัวเสียแล้วก็เดินตามอรอุมาไป
จันทรภานุยืนมองประกายดาวกับพงศ์จันทร หญิงนิ่มเดินมาหาเขาพร้อมกับจานขนม
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ชาย”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราเตรียมตัวไปดูแฟชั่นดีกว่า”
จันทรภานุพาหญิงนิ่มเดินออกไป จันทรภานุยิ่งมองประกายดาวแบบแย่ลงไปกว่าเดิม
พงศ์จันทรยังโอบประกายดาวพาเดินออกมา โดยมีมิลินทร์เดินตามมาติดๆ
“ปล่อยฉันได้แล้วมั๊งคะ” ประกายดาวบอก
พงศ์จันทรรู้ตัวก็รีบปล่อยมือ ประกายดาวกับมิลินทร์หันไป
“ไม่ต้องขอบคุณผมนะครับ เพราะว่าผมเต็มใจช่วย และผมก็รู้ว่าคุณโดนใส่ร้าย ผู้หญิงอย่างคุณไม่มีทางไปเป็นเมียน้อยใครแน่นอน” พงศ์จันทรว่า
“ไม่ขอบคุณอยู่แล้วล่ะค่ะ เพราะว่าไม่ได้ขอให้ช่วย”
มิลินทร์ชะงักแล้วรีบเข้ามาจับแขนประกายดาว
“ดาว...!”
พงศ์จันทรยิ้มออกมาอย่างชอบอกชอบใจ
ประกายดาวแปลกใจ “คุณยิ้มไร?” พงศ์จันทรหุบยิ้มแทบไม่ทัน “ฉันไม่สนุกด้วยนะ เกิดทุกคนเข้าใจว่าฉันกับคุณ..” ประกายดาวกระดากที่จะพูด
“มีอะไรกันแล้วน่ะเหรอครับ” พงศ์จันทร์พูด ประกายดาวกับมิลินทร์ผงะ “ผมว่าสมัยนี้เป็นเรื่องธรรมดาออกจะตาย”
“แต่มันไม่ธรรมดาสำหรับฉัน!”
ประกายดาวทำหน้าจริงจังมากจนพงศ์จันทรชะงักไป แล้วประกายดาวก็เดินออกไป มิลินทร์รีบเดินตามออกไปทันที พงศ์จันทรมองประกายดาวด้วยความถูกใจมากยิ่งขึ้น
ประกายดาวเดินจ้ำมาตามทาง โดยมีมิลินทร์เดินตามมาติดๆ
“เพราะยัยอรอุมากับนายศิวะแท้ๆ ป่านนี้คุณชายจันทร์คงเกลียดฉันไปแล้ว” ประกายดาวหยุดเดินแล้วมีสีหน้าสิ้นหวัง “จบกัน!! ความฝันของฉัน”
“ใจเย็นก่อนแก ทุกปัญหามีทางออก”
“แต่วันนี้ฉันสู้หน้าคุณชายไม่ติดแล้วล่ะ ถ้าฉันเสนอหน้าเข้าไปหาเค้าตอนนี้ เค้าคงด่าฉันเปิง”
“ฉันว่าแกไม่ต้องสนคุณชายหรอก เพราะท่าทางคุณพงศ์จะปลื้มแกมาก”
“ปลาไหลตัวพ่อขนาดนั้น ฉันกลัวว่าถ้าเค้ารู้ว่าฉันต้องการอะไร เค้าจะขอมากกว่านั้นน่ะสิ”
“แกหมายถึง..เค้าจะขอนอนกับแกจริงๆ”
“ใช่...”
ประกายดาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เวลาผ่านไป ประกายดาวเข้ามาในห้องพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“พอดีดาวเหนื่อยๆน่ะเจ๊ ก็เลยกลับมาก่อน ขอโทษที่ไม่ได้อยู่เจอ” ประกายดาวฟัง “เที่ยวเหรอเจ๊ใครไปบ้าง” ประกายดาวฟัง “พวกทีมงานแฟชั่นวันนี้” ประกายดาวคิด “ไปก็ได้ กำลังเซ็ง ที่ไหนคะ”
เสียงเพลงดังสนั่นออกมาจากผับแห่งหนึ่ง พงศ์จันทรกำลังเต้นกับสาวๆ ด้วยสีหน้าคึกคักมาก เขาหันไปเห็นประกายดาวเดินเข้ามาข้างใน พงศ์จันทรมองแล้วก็ยิ้มออกมา เจ๊พีชเดินมาหาประกายดาว
“ดาว..” เจ๊พีซเรียก ประกายดาวหันมายิ้ม “เจ๊ดีใจจริงๆที่ดาวมา”
“ไม่ได้เม้าท์กับเจ๊นาน ยังไงก็ต้องมาค่ะ”
ประกายดาวหันไปก็ผงะเพราะเห็นพงศ์จันทรเดินมาหา
“แหมคุณพงศ์ เรดาร์จับสาวสวยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากเลยนะคะ ยัยดาว นี่คุณพงศจันทร....” เจ๊พีซแนะนำ
“เรารู้จักกันแล้วครับ”
“ตายแล้วนี่เจ๊ตกข่าวอะไรไปรึเปล่า”
ประกายดาวเซ็ง “ขอไปสั่งน้ำก่อนนะเจ๊”
ประกายดาวเดินออกไป พงศ์จันทรหันไปมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ประกายดาวหยิบน้ำมาจากบาร์เทนเดอร์แล้วหันไปเจอพงศ์จันทร
“ให้ผมเลี้ยงนะครับ ถือเป็นคำขอโทษที่ผมทำให้คุณขุ่นเคือง”
“ไม่ต้อง..ฉันดูแลตัวเองได้”
ประกายดาวจะเดินหนี พงศ์จันทรรีบหันไปพูด
“คุณกลัวผมเหรอ?”
ประกายดาวหันมา “กลัว..กลัวทำไมคะ? คุณนอกจากจะดูเจ้าชู้ มือไม้เป็นปลาหมึก ท่าทางเหมือนเสือผู้หญิง ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวเลยนี่” พงศ์จันทรอมยิ้มอย่างที่ชอบทำ “ฉันขอตัว”
“คุณกลัวผมจริงๆนั่นแหละ” พงศ์จันทรหรี่ตามอง
ประกายดาวเริ่มไม่พอใจ “ฉันไม่เคยกลัวใคร”
“ถ้าไม่กลัว ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อยสิครับ”
“ไม่เห็นเกี่ยวกันซักนิด”
“เกี่ยวสิครับ ทำไมจะไม่เกี่ยว ถ้าคุณกล้าอย่างปากพูด คุณก็ต้องกล้าที่จะให้เบอร์ผม”
ประกายดาวคิดอะไรดีดีออก “ถ้าฉันให้เบอร์คุณเลย มันดูจะง่ายไปหน่อยมั๊ย”
พงศ์จันทรขยับมาใกล้ๆ “แล้วผมต้องทำยังไง ผมถึงจะได้เบอร์คุณ”
ประกายดาวขยับมาประจันหน้า “ขึ้นอยู่กับว่า คุณกล้ารึเปล่า” ประกายดาวยิ้มละไม
“ผมเองก็ไม่เคยกลัวใคร ยิ่งใครท้า ยิ่งต้องทำให้ได้”
ประกายดาวยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอเดินไปกระซิบบาร์เทนเดอร์แล้วก็หันมามองพงศ์จันทรด้วยแววตาท้าทาย ทำให้พงศ์จันทรสงสัยสุดๆ
เก้าอี้และโต๊ะถูกดันออกไปจนเหลือพื้นที่ตรงกลาง พงศ์จันทรยืนอยู่ลำพัง เจ๊พีช แก๊งค์เก้งกวาง ลูกค้าที่ทั้งนั่งและยืนมองด้วยความสนใจ ประกายดาวเดินออกมาหาพงศ์จันทร
“พร้อมเหรอยังคะคุณพงศ์จันทร”
พงศ์จันทรยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าไม่หวาดหวั่น
“ถ้าคุณทำได้ คุณจะได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
“ได้ที่ต้องการทั้งหมดจริงรึเปล่าครับ” พงศ์จันทรยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แหม..รักแท้ย่อมมีอุปสรรคนะคะ ไปทีละขั้นเถอะ จะได้เร้าใจ”
ประกายดาวทำเหมือนจะยกมือลูบหน้าพงศ์จันทรแต่กลับชักมือกลับทำให้พงศ์จันทรอารมณ์ค้าง ประกายดาวยิ้มและปรบมือ ไม่นานพนักงานก็ยกถาดวางขวดหลายสี มีภาชนะสีโลหะสำหรับการทำคอกเทล มีเหยือกแก้วน้ำใบโต วางอยู่มาวางบนโต๊ะ
พงศ์จันทร เจ๊พีช และคนอื่นๆ พากันมองด้วยความสงสัย
“คุณต้องดื่มเครื่องดื่มพิเศษกับส่วนผสมที่ฉันจะผสมให้คุณ” ประกายดาวบอก
ประกายดาวหันไปหยิบขวดโน่นขวดนี่มาเทลงภาชนะการทำคอกเทลก่อนจะปิดฝา และเอาขึ้นมาเขย่าๆพลางจ้องหน้าพงศ์จันทรด้วยแววตาท้าทาย
พงศ์จันทรรู้สึกคึกคักมาก ไม่นานประกายดาวก็เทน้ำจากภาชนะนั้นออกมาเป็นน้ำสีตุ่นๆ ไม่น่ากินอย่างแรง
เจ๊พีชกระซิบกับเก้งนางหนึ่ง “เชื่อเจ๊มะว่างานนี้คาสโนว่ากลายเป็นคาสโนแห้ว”
ประกายดาวยกเหยือกขึ้นมาวางบนโต๊ะตรงหน้าพงศ์จันทร ผู้คนฮือฮา แล้วประกายดาวก็ไปยืนข้างเจ๊พีชก่อนจะผายมือให้พงศ์จันทร พงศ์จันทรยกเหยือกทั้งเหยือกขึ้นมา คนรอบข้างเชียร์เสียงดังสนั่น
“ดื่มๆๆๆๆๆ”
พงศ์จันทรกลั้นใจยกขึ้นดื่มอักๆๆ ทุกคนยังคงเชียร์เสียงดังอย่างต่อเนื่อง พงศ์จันทรทำท่าจะแย่ เจ๊พีชรีบเข้าไปบิ้วท์
“ถ้าหยุดเท่ากับแพ้นะฮะคุณพงศ์”
พงศ์จันทรฮึดต่อ ประกายดาวมองพงศ์จันทรแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ พงศ์จันทรดื่มจนหมด ทุกคนเฮดังลั่น พงศ์จันทรคว่ำเหยือกให้ประกายดาวดู ประกายดาวปรบมือให้
พงศ์จันทรเริ่มเมา “ผม..ทาม..ได้แล้ว..ไหนล่ะคร๊าบบบบ เบอร์ว่ารักแทบ แบบว่ารักเธอ เฮอะๆๆ”
เจ๊พีชกระซิบประกายดาว “ไปซะแล้ว”
“แค่นี้มันง่ายไปหน่อยมั๊งค่ะคุณพงศ์” ประกายดาวบอก
พงศ์จันทร เจ๊พีชและคนอื่นๆ มองประกายดาวด้วยความสงสัย
ประกายดาว เจ๊พีช แก้งค์เก้งกวาง และลูกค้าคนอื่นๆ ออกมายืนกันเต็มพื้นที่ ประกายดาวหันไปทางพงศ์จันทร
“ขั้นต่อไป คุณต้องวิ่งรอบสนามสามรอบ”
“สบาย..เอิ๊ก!” พงศ์จันทรบอก
“แต่..” ประกายดาวพูดขึ้น ทุกคนหันไปมอง “ก่อนที่คุณจะวิ่ง คุณต้องปั้นจิ้งหรีด 20 ครั้ง และต้องวิ่งโดยที่ไม่ใส่เสื้อผ้า”
เจ๊พีช แก้งค์เก้งกวาง และสาวๆ ตาโตอ้าปากค้าง
“ว้าว...ข้อนี้เจ๊ช๊อบชอบ”
“ไม่ใส่เสื้อผ้าซักชิ้นเลยเหรอ ขอกางเกงบ๊อกเซอร์ซักตัวนะ เพราะลมมันเย็น” พงศ์จันทรต่อรอง
ประกายดาวยักไหล่ “ก็ได้...”
พงศ์จันทรค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น ท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดของเจ๊พีชและเก้งกวางบ่างชะนี พงศ์จันทรถอดแล้วก็โยนออกไป เก้งกวางเข้ามาแย่งเสื้อของเขากันอย่างมีความสุข พงศ์จันทรถอดกางกาง แล้วก็เหวี่ยงกางเกงไปคลุมหัวเจ๊พีช เจ๊พีชเอามาสูดดมด้วยความสดชื่น
พงศ์จันทรหันมาทางประกายดาวพร้อมกับส่งจูบ ประกายดาวทำหน้าปุเลี่ยนๆ แล้วพงศ์จันทรก็เริ่มปั่นจิ้งหรีด โดยมีประกายดาว เจ๊พีช และทุกคนช่วยกันนับ พงศ์จันทรปั่นไปก็ล้มลุกคลุกคลานไปแต่ก็ลุกขึ้นมาจนปั่นสำเร็จ จนกระทั่งถึงรอบสุดท้าย...
ทุกคนช่วยกันนับ “......20”
พงศ์จันทรรีบวิ่งออกไปทันทีทำให้เขาหน้าคะมำไปบนพื้น ทุกคนหวาดเสียวมาก พงศ์จันทรรีบลุกขึ้นยืนหันไปทางที่ไม่มีคน
“เยยย!! หายไปไหนหมด”
ทุกคนร้องบอก “ทางนี้!!”
พงศ์จันทรหันมายิ้มแหย
“เมาขนาดนี้ ยังมีแก่ใจเล่นมุข” เจ๊พีซว่า
พงศ์จันทรออกตัววิ่งอีกครั้ง แต่ก็เซมาชนเจ๊พีชและกลุ่มเก้งกวางที่ตั้งท่ารับอย่างดี ทุกคนช่วยกันส่งพงศ์จันทรให้วิ่งต่อ พงศ์จันทรพยายามฝืนวิ่งต่อแต่ก็ล้มคลุกดินคลุกฝุ่นจับกบบนพื้นตลอด ทำเอาทุกคนหัวเราะชอบใจ
พงศ์จันทรวิ่งมาตรงหน้าประกายดาวในสภาพดูไม่ได้ เขายืนหอบ
“ผมวิ่งครบ 3 รอบแล้ว”
เจ๊พีชนำขบวนปรบมือให้พงศ์จันทร พงศ์จันทรหันไปโค้งรับ ประกายดาวมองพงศ์จันทรด้วยสายตาทึ่งแล้วก็เดินมาตรงหน้าก่อนจะยื่นนามบัตรให้ พงศ์จันทรประหลาดใจมากแล้วก็ยิ้มดีใจ
พงศ์จันทรพูดเสียงอ้อแอ้ “ผมนึกว่าคุณจะให้เบอร์รองเท้าเสียอีก”
ประกายดาวยิ้ม “ฉันไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนั้นหรอกค่ะ”
พงศ์จันทรรับนามบัตรมาจากประกายดาวเสร็จก็ถึงกับเมาหลับพับลงไปนอนกับพื้นทันที ประกายดาวกับทุกคนตกใจ เจ๊พีชรีบเข้ามาดูพงศ์จันทร
“ว๊าย!!! คุณพงศ์!”
พงศ์จันทรกรนออกมาเรียกเสียงหัวเราะของทุกคน เจ๊พีชลุกเดินมาหาประกายดาว
“หมดสภาพ..แล้วใครจะพากลับบ้านล่ะเนี่ย”
ประกายดาวมองพงศ์จันทรแล้วอมยิ้มพลางครุ่นคิด
จันทรภานุยืนเหงาๆอยู่คนเดียว ไม่นานสุรีย์ก็เดินออกมา
“มายืนตากน้ำค้างอะไรตรงนี้ชายจันทร์”
จันทรภานุหันไป “ผมตรวจเอกสารจนมึนก็เลยออกมาเดินเล่นน่ะครับ”
“งั้นแม่เดินเป็นเพื่อนนะ”
จันทรภานุจับแขนสุรีย์เดินเล่นไปด้วยกันตามทาง
สุรีย์หยั่งเชิง “ชายจันทร์ปีนี้ลูกอายุเท่าไหร่แล้ว”
จันทรภานุปรายตามองสุรีย์อย่างรู้ทัน
“มีใครที่หม่อมแม่อยากแนะนำให้ผมหรือครับ”
“ที่มีอยู่ เราก็ไม่สนใจอยู่แล้วนี่”
“คุณนันทินีน่ะเหรอครับ รายนี้ผมขอยกเว้นไว้ซักคนก็แล้วกัน”
“แม่ก็เห็นลูกพูดแบบนี้กับทุกคน” จันทรภานุอมยิ้ม “อายุชายจันทร์ก็เยอะแล้วนะลูก เพื่อนแม่มีหลานอุ้มกันแทบทุกคน” จันทรภานุเงียบ “หรือลูกยังยึดติดอยู่กับอดีต” จันทรภานุมองหน้าสุรีย์ สุรีย์พูดต่อ “ประตูบานนั้นได้ปิดลงแล้วนะลูก มันยังมีประตูบานอื่น ถ้าลูกมัวแต่มองประตูที่ปิด เนิ่นนานวันเข้า ลูกอาจจะมองไม่เห็นประตูแห่งความสุขที่เปิดรอลูกอยู่อีกเลยก็ได้”
“หม่อมแม่ครับ...การที่ผมจะชอบใคร รักใครมันอาจจะใช้เวลาไม่นาน แต่การที่จะลืมใครซักคน มันต้องใช้เวลาชั่วชีวิต” สุรีย์ชะงัก จันทรภานุเศร้า “ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ผมยังไม่อยากเจ็บอีกหน” จันทรภานุรีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมจะเข้าไปทำงานต่อแล้ว หม่อมแม่ไปนอนเถอะนะครับ ผมจะไปส่งที่ห้อง”
สุรีย์พูดอะไรไม่ออกแล้วก็นึกขึ้นมาได้
“เออนี่ชายจันทร์” จันทรภานุหันมา สุรีย์พูดต่อ “อย่าลืมว่าวันมะรืนเรามีถ่ายภาพครอบครัวนะจ๊ะ”
“ไม่ลืมครับหม่อมแม่”
จันทรภานุประคองพาสุรีย์เข้าไปในวัง
อ่านต่อหน้าที่ 3
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 2 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ประกายดาวยืนอยู่กับแดนดินที่กำลังใช้ฟอกกี้รดน้ำต้นไม้
“ดาวได้เจ้าของสเปิร์มแล้วนะพี่แดน” ประกายดาวบอก
แดนดินตกใจจนปล่อยฟอกกี้ทับเท้าตัวเอง
“โอ๊ย!!”
ประกายดาวผงะ แดนดินรีบเก็บฟอกกี้ขึ้นมาวางบนชั้น
“ฉันบอกแกแล้วใช่มั๊ยว่าห้ามพูดคำนี้ในร้านของฉัน” แดนดินว่า ประกายดาวยิ้มแหย “ใคร?”
“มอรอวอจันทรภานุ”
“ใครวะ ชื่อแปลก มอรอวอ”
“ปัดโธ่พี่แดน มอรอวอ..หม่อมราชวงศ์จันทรภานุ”
แดนดินผลักหัวประกายดาว “เล่นของสูงนะเนี่ย แล้วแกจะเข้าไปทำความรู้จักกับเค้ายังไง อยู่ดีดีไปขอสเปิร์มเค้า พอดีพอร้ายคนระดับนั้นได้เฉดหัวแกออกจากสารรบบน่ะสิ” แดนดินพูดน้ำเสียงเยาะเย้ย
ประกายดาวฝ่อเหมือนกันแต่ยังทำเก่ง “มันต้องมีทางสิ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าไม่ได้คนนี้ ก็ยังมีอีกคน คุณสมบัติด้อยไปนิด แต่ก็ใช้ได้”
“พูดเหมือนเลือกซื้อยาอยู่เลยนะแกน่ะ”
ประกายดาวยิ้มๆ แล้วก็ครุ่นคิด
ชาวบ้านทั้งยืนทั้งนั่งรออยู่ที่เรือนไทย จันทรภานุกับหญิงนิ่มเดินเข้ามา จันทรภานุมองบ้าน และผู้คนอย่างแปลกใจ
“น้องหญิงจะบอกพี่ได้รึยัง ว่าพาพี่มาทำไม”
“หญิงพาพี่ชายมาดูดวง”
“หือ มาหาหมอดูเข้าทรงนะเหรอ”
หญิงสาวร่างทรงดูเพี้ยนๆ นั่งหลับตาตัวสั่นอยู่หน้าเครื่องไสยศาสตร์น่ากลัว ก่อนจะลืมตาตวาดเสียงแข็ง
“อ้าปาก..”
จันทรภานุทำหน้าเลิ่กลั่กแต่ก็ทำตาม
เจ้าแม่สั่งต่อ “แลบลิ้น”
จันทรภานุหุบปากทันที “ให้แลบลิ้นทำไม?”
“ข้าทายดวงชะตาจากการดูเส้นที่ลิ้น”
จันทรภานุเหวอมาก
“มีด้วยเหรอครับ ดูดวงจากเส้นของลิ้น”
“อย่ามาทำเป็นขี้สงสัย!! ข้าบอกให้แลบลิ้นก็แลบลิ้นออกมาสิวะ”
จันทภานุกลัว “ครับครับ”
จันทรภานุอ้าปากแล้วแลบลิ้น
“แลบลิ้นยาวๆ!”
จันทรภานุทำตาม เจ้าแม่เพ่งดูไม่นาน
“หุบปาก”
จันทรภานุรีบปิดปาก
“เส้นลิ้นของเจ้ามันขาด แปลว่าจะตายโหง!”
จันทรภานุสะดุ้งตกใจขณะที่นั่งอยู่ในห้องโล่งๆ มีโต๊ะตัวใหญ่กลางห้อง โดยมีหญิงนิ่มนั่งอยู่ข้างๆ
“พี่ชายเป็นไรค่ะ—ตื่นเต้นที่จะได้เจออาจารย์เหรอ” หญิงนิ่มถาม
จันทรภานุไม่ตอบ สักครู่อาจารย์หญิงก็เดินมาในชุดที่ดูเรียบร้อยใบหน้าสงบ อาจารย์ยิ้มให้นิดนึง จันทรภานุมองอย่างแปลกใจ เขากระซิบถามหญิงนิ่ม ขณะที่อาจารย์หญิงกำลังหยิบไพ่ออกจากกล่อง
“ไม่ใช่หมอดูเข้าทรงเหรอ”
“อาจารย์เป็นหมอดูไพ่ยิปซีค่ะ”
อาจารย์หยิบไพ่มาวางตรงหน้าจันทรภานุแล้วพูด
“อธิษฐานจิต ตั้งใจแล้ว หยิบไพ่ เป็น สามกอง”
จันทรภานุมองหญิงนิ่มที่พยักหน้าให้ทำตาม ไพ่ถูกแบ่งเป็นสามกองวางบนผ้าปูโต๊ะ
อาจารย์บอกต่อ “อธิษฐานจิต ตั้งใจแล้ว เลือกไพ่สิบใบ จากองหนึ่งกองใด”
จันทรภานุเลือกไพ่สิบใบออกมาส่งให้อาจารย์
อาจารย์เรียงไพ่สิบใบบนผ้าปูโต๊ะ จันทรภานุมองอย่างอึดอัด หญิงนิ่มกุมมือจันทรภานุพร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างมั่นใจ ไพ่ใบบนสุดถูกเปิดออกทำให้เห็นว่าเป็นเดอะเลิฟเวอร์
หญิงนิ่มอุทาน “เดอะเลิฟเวอร์”
“ไพ่ใบนี้คือปัจจุบัน เดอะเลิฟเวอร์ หมายถึงเนื้อคู่”
หญิงนิ่มตื่นเต้น “หมายความว่าพี่ชายของหญิงจะได้เจอเนื้อคู่แล้วเหรอคะ”
“ไม่ใช่จะได้เจอ แต่เจอแล้ว!”
จันทรภานุกับหญิงนิ่มหันขวับมามองหน้ากันด้วยความตกใจ
“ผู้หญิงคนนั้น อยู่ใกล้ๆ แค่ปลายจมูก” อาจารย์บอก จันทรภานุกับหญิงนิ่มนิ่วหน้า “แต่อาจมองผ่าน มองข้าม มองไม่เห็นค่า หลังจากวันนี้ จงพิจารณาคนรอบข้างให้ดี แล้วคุณก็จะรู้ว่าเนื้อคู่ของคุณนั้นเป็นใคร?”
จันทรภานุทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ
จันทรภานุเดินออกมาโดยมีหญิงนิ่มเดินตามมาข้างๆ
“งมงาย!!” จันทรภานุว่า
“ของแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่สิคะ”
“พี่ไม่ได้ลบหลู่ แต่พี่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว น้องหญิงเองก็ควรจะเพลาๆเรื่องแบบนี้ลงบ้างนะคะ ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับหมอดู แต่อยู่ที่เราจะใช้ชีวิตยังไง”
“แต่อาจารย์แม่นมากนะคะ”
“เนื้อคู่นะคะน้องหญิง ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อ ที่ไปไหนก็เจอทุกที่”
จันทรภานุจับหัวหญิงนิ่มแล้วก็เดินออกไป หญิงนิ่มได้แต่เซ็งที่จันทรภานุไม่เชื่อ
ประกายดาวยืนอยู่ข้างจิตสุภางค์ที่กำลังล้างขวดนมอยู่ในห้องครัว
“ไหนแกบอกไอ้ลินทร์ว่าขยาดพ่อปลาไหลอย่างคุณพงศ์จันทร ไหงข้ามคืนถึงเปลี่ยนใจ”
“เมื่อคืนฉันมีโอกาสเจอเค้า ฉันก็เลยว่าจะเก็บเค้าไว้เป็นตัวสำรอง แต่ฉันต้องวางตัวเป็นเพื่อนกับเค้าจริงๆ”
จิตสุภางค์ล้างเสร็จก็หันมาพูด “แล้วอย่าเผลอถลำเพลี้ยพล้ำไปเป็นเพื่อนนอนเค้าล่ะ ไม่งั้นปัญหาจะตามมาไม่รู้จักจบสิ้น”
จิตสุภางค์เช็ดมือเสร็จก็เดินออกไปที่ห้องรับแขกที่พี่เลี้ยงกำลังอุ้มและกล่อมหลงอยู่ ประกายดาวเดินตาม
“ฉันรู้..ช่วงนี้ฉันจะศึกษาพฤติกรรมเค้าไปพลางๆ เพราะถ้าหากว่าเค้าช่ำชองใช้งานหนัก สเปิร์มของเค้าก็ไม่มีความหมายสำหรับฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาสานสัมพันธ์ต่อ เออนี่จิต..วันนี้แกว่างป่ะ ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันหน่อยดิ”
จิตสุภางค์หันไปมองประกายดาวด้วยความสงสัย
หมอเงยหน้าจากใบประวัติขึ้นมามองประกายดาวกับจิตสุภางค์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน หมอมองประกายดาวกับจิตสุภางค์ยิ้มๆ
“คุณประกายดาว คือ..”
ประกายดาวขานรับ “ฉันค่ะ”
“แล้วอีกท่านนึง ไม่กรอกประวัติไว้ด้วยเหรอครับ ผมจะได้พิจารณาดูว่าใครเหมาะสมจะเป็นคนตั้งครรภ์”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์ผงะ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ตกใจจึงหันขวับไปมองหมอ
“หมอคิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกันเหรอคะ?” ประกายดาวถาม
หมอยิ้ม “ไม่ใช่เหรอครับ?”
จิตสุภางค์แทบกรี๊ด “ว๊าย!! ไม่ใช่นะคะคุณหมอ ฉันมีผัว4ลูก1” หมอกับประกายดาวชะงัก “เอ๊ย! ผัว 1 ลูก 4 ต่อให้ชะมดออกลูกเป็นควาย ฉันก็ไม่สิ้นคิดเอามันเป็นแฟนหรอกค่ะ ฉันมาเป็นเพื่อนมันเฉยๆ”
หมอเหวอ “ขอโทษครับที่เข้าใจผิด”
ประกายดาวอมยิ้มขำๆ จิตสุภางค์กระทุ้งศอกเข้าให้ ประกายดาวเลยหยุดขำ
“ถ้าอย่างนั้นก่อนที่ผมจะเริ่มตรวจคุณ ผมขออธิบายบางอย่างให้คุณฟังซักเล็กน้อยนะครับ กรณีอย่างคุณเป็นกรณีที่ต่างจากคนปกติ เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาขอทำเด็กหลอดแก้วจะเป็นสามีภรรยาที่มีบุตรยาก หรือต้องการคัดเพศของบุตร แต่คุณในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว มีความจำเป็นที่ต้องคุยกับจิตแพทย์เพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจ คุณโอเครึเปล่าครับ”
“โอเคค่ะ ฉันพร้อม”
ประกายดาวทำสีหน้ามุ่งมั่น
กิจจาซึ่งเป็นหมอสูตินารีนั่งลงตรงข้ามประกายดาวกับจิตสุภางค์ บนชั้นด้านหลังมีรูปคู่ระหว่างกิจจากับมิลินทร์ที่กำลังกอดกัน เตียงที่มีขาหยั่งตั้งอยู่ข้างๆ
“ได้ข่าวว่าคิดอะไรแผลงๆ” กิจจาว่า
“แผลงตรงไหน แล้วแกจะว่าไงล่ะคุณหมอกิจจา จะช่วยฉันรึเปล่า” ประกายดาวถาม
“ถ้าไม่ช่วย คงไม่บอกให้คุณมาตอนนี้หรอกครับ ว่าแต่เอาจริงแน่นะ การผสมเด็กหลอดแก้วใช่ว่าจะประสบความสำเร็จในครั้งเดียว”
“ฉันสู้สุดตัวอยู่แล้ว” ประกายดาวบอก กิจจายิ้ม “อ่ะนี่ผลตรวจของฉัน ฉันอยากให้แกตรวจดูอีกครั้งเพื่อความสบายใจ” ประกายดาวยื่นเอกสารให้
กิจจาหยิบเอกสารออกมาเปิดอ่าน “ทุกอย่างของคุณไม่มีปัญหา น้ำหนักกำลังดีไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป โรคทางพันธุกรรมก็ไม่มี..สามารถตั้งครรภ์ได้”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์หันมายิ้มให้กัน
กิจจาพูดต่อ “ภูมิต่อโรคหัดเยอรมันกับอีสุกอีใสก็มีพร้อม แต่ควรฉีดวัคซีนป้องกันอีกทีเพื่อกันไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องภูมิคุ้มกันโรคหัดไปตลอดชีวิต และควรจะกินวิตามินโฟรเลตก่อนตั้งท้อง ที่นี้ถึงจะมาดูเรื่องวันไข่สุก ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ยาวไกล ไว้ค่อยพูดกันวันหลัง”
“งั้นแกสั่งวิตามินให้ฉันได้เลย”
“ต่อจากนี้ไป จะทำอะไร ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะดาว” กิจจาบอก
“เออน่า..ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองดีแน่”
ประกายดาวยิ้มอย่างมีความสุขมาก
ประกายดาวสะพายกระเป๋ากล้องและหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กเดินมากับจิตสุภางค์
“แน่ใจนะว่าไม่มีนักข่าวมาดักรอแกแล้ว”
“แน่ใจ ฉันโทรถามป้าแม่บ้านแล้ว”
ประกาวดาวกับจิตสุภางค์เดินมาถึงหน้าคอนโดก็ชะงักเพราะเห็นคนเต็มไปหมด
“ทำไมคนเยอะแบบนี้ เค้ามุงดูอะไรกัน” จิตสุภางค์สงสัย
ประกายดาวมองด้วยความอยากรู้ พวกนักข่าวหันมาเห็นประกายดาวก็ตื่นเต้นดีใจ
“มาแล้ว!!”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์หันไปมองด้านหลังก็ไม่มีใคร ทั้งสองสาวหันไปมองพวกนักข่าวอีกครั้งแล้วก็เริ่มเอะใจ
“ดาว..ฉันว่าเค้าหมายถึงพวกเราว่ะ”
ประกายดาวยังไม่ทันตอบ พวกนักข่าวรีบกรูกันเข้ามา
“จริงมั๊ยครับที่คุณเป็นแฟนคนใหม่ของคุณพงศ์จันทร”
“งานเข้าแล้วแก” จิตสุภางค์ว่า
ประกายดาวตาเหลือก “หนี..”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์รีบวิ่งไปขึ้นรถ นักข่าวไล่ตามไปแต่ไม่ทัน ประกายดาวขับรถออกไปทันที
ประกายดาวกับจิตสุภางค์กำลังดูภาพข่าวตัวเองกับพงศ์จันทร พร้อมพาดหัวข่าวที่ว่า.. “กิ๊กเก่าไฮโซศิวะ แต่ปัจจุบันกิ๊กใหม่ไฮโซพงศ์จันทร”
ประกายดาวหัวเสียสุดๆ เธอแทบจะขยำหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนี้ทิ้งแล้วเงยหน้ามองมิลินทร์
“ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันเนี่ย?”
“ใจเย็นดาว อย่างน้อยรูปนี้แกก็ดูดีนะ” จิตสุภางค์บอก
ประกายดาวหันไปมองจิตสุภาค์ จิตสุภางค์หน้าแหยเมื่อรู้ตัวว่าพูดผิดจังหวะ
“ถ้าคุณชายจันทร์เห็นข่าวนี้ ฉันมีแต่เสียกับเสีย”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของประกายดาวก็ดังขึ้น ประกายดาวเห็นเป็นเบอร์แปลก
“ใครไม่รู้?”
“อย่ารับ อาจจะเป็นนักข่าว ฉันรับเอง”
มิลินทร์เอามือถือประกายดาวมากดรับ
“ฮัลโหล” มิลินทร์ฟัง “คุณพงศ์จันทร?”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์ตาโต
พงศ์จันทรหน้าเครียดในมือของเขามีหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนั้นอยู่ด้วย
“ผมเพิ่งเห็นข่าว ขอโทษนะครับคุณดาว ไม่นึกว่าเค้าจะเล่นข่าวแรงขนาดนี้”
ประกายดาวกำลังคุยแบบเปิดสปีคเกอร์โฟน โดยมีจิตสุภางค์กับมิลินทร์ตั้งใจฟังอยู่ด้วย
“ช่างเถอะค่ะ”
“จะช่างได้ยังไงครับ เอาเป็นว่าผมจะโทรไปที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง”
“ไม่ต้องค่ะ ยิ่งคุณแก้ตัว ก็แปลว่าคุณยอมรับ ฉันจัดการเอง”
“ห้ผมได้ช่วยคุณบ้างเถอะครับ” พงศ์จันทรเงียบไปอึดใจ “เอางี้เย็นนี้ผมจะไปฮ่องกง อยากหลบข่าวลือไปกับเป็นเพื่อนผมมั๊ย”
ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์ตกใจหันมามองหน้ากัน
“อะไรนะ!!”
พงศ์จันทรรีบปฏิเสธเสียงลั่น
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ คุณแม่ผมก็ไปด้วย ผมก็แค่อยากช่วยคุณให้พ้นเรื่องร้อนหูร้อนตาซักพัก” พงศ์จันทรยิ้มกรุ่มกริ่ม “ในเมื่อไหนๆ เราก็คุยกันถูกคอ และผมก็คิดว่าคุณเป็นเพื่อนผมแล้วคนหนึ่ง ถึงแม้เราจะยังไม่สนิทกันมากนัก”
ประกายดาว มิลินทร์ และจิตสุภางค์มองหน้ากันเพราะคิดว่าไอ้หมอนี่หน้าด้านจริงๆ
“ถ้าฉันไปกับคุณ งานนี้ก็เท่ากับฉันยอมรับว่าฉันเป็นกิ๊กคุณน่ะสิ” ประกายดาวบอก
พงศ์จันทรครุ่นคิด
“มันก็จริง เอาเป็นว่าผมขอพูดตรงๆ ผมแค่หวังว่าคุณจะไป เราจะได้รู้จักกันมากขึ้นและผมก็ยินดีจะออกค่าใช้จ่ายให้คุณทุกอย่าง ผมอยากให้คุณไปเที่ยวสบายๆในฐานะเพื่อนจริงๆนะครับ”
ประกายดาวรีบปฏิเสธ
“ไม่จำเป็น ถ้าเราจะเป็นเพื่อนกัน ไว้คุณกลับมาแล้วค่อยนัดคุย ตอนนี้ฉันมีเรื่องปวดหัวมากพอแล้ว ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มอีก ขอบคุณในความหวังดีก็แล้วกัน คุณมันโคตรอันตรายเลย”
พงศ์จันทรหัวเราะชอบใจ
“โอเค..ไม่ไปก็ไม่ไป แล้วไว้เจอกันตอนผมกลับมานะครับ อ้อ..แต่ไม่ต้องห่วงว่าผมจะหายไปจากชีวิตคุณ เพราะผมจะโทรหาคุณทุกวัน บ๊าย”
พงศ์จันทรจูบมือถือก่อนจะกดวางสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
ประกายดาวหันไปมองจิตสุภางค์กับมิลินทร์ที่จ้องหน้าอยู่
“เค้าก็ดูเป็นคนน่ารักดีนะแก” จิตสุภางค์บอก
ประกายดาวเหวอ “ไอ้จิต..ให้นมลูกมากจนป่วยป่ะ เนี่ยนะน่ารัก เห็นอยู่ว่าคิดจะเคลมฉัน”
“จริง ลองเค้าสนใจแกขนาดนี้ ฉันว่าตื้อไม่เลิก แกต้องหนักแน่นนะดาว คุณชายจันทร์คนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นพ่อของลูกแก” มิลินทร์บอก
“แต่ฉันว่าคุณพงศ์ของ่ายกว่า เผลอๆ แกโทรกลับไปบอกเค้าว่าอยากได้อะไร ขี้คร้านเค้าจะรีบเอามาให้” จิตสุภางค์ว่า
“สเปิร์มนะไม่ใช่ขนม” ประกายดาวหันไปทางมิลินทร์ “ลินทร์ มันถึงเวลาแล้วที่แกต้องลบล้างมลทินทั้งหมดให้ฉัน”
ประกายดาวมีสีหน้าเอาจริง
วันต่อมา ประกายดาวคุยโทรศัพท์กับเจ๊พีชไปโดยเล่นกับฟ้าไปด้วย
“ช่วงนี้ดาวไม่มีอารมณ์ทำงานหรอกเจ๊”
เจ๊พีชเดินถือกระเป๋าแอร์เมสคุยมือถือ
“แหมน้องดาว ช่วยเจ๊หน่อยไม่ได้เหรอ ช่างภาพที่เจ๊หาไว้มันดันเมาแล้วขับ รถคว่ำ..หัวแตก แขนหัก หายไม่ทันพรุ่งนี้แน่ เจ๊นึกถึงใครไม่ออกแล้วจริงๆ น้องดาวจะใจดำไม่ช่วยเจ๊เชียวเหรอ” เจ๊พีซทอดเสียงอ้อน
ประกายดาวอ่อนใจ
“เจ๊บอกมาก่อนก็ได้ว่างานอะไร”
“งานถ่ายภาพครอบครัวของตระกูลนพรัตน์!”
ประกายดาวหูผึ่งตาโต
“ตระกูลนพรัตน์...ครอบครัวคุณชายจันทรภานุน่ะเหรอเจ๊!”
บทสัมภาษณ์ประกายดาว มีรูปประกายดาวเกือบครึ่งหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ประกายดาวเงยหน้าขึ้นมามองมิลินทร์ด้วยสีหน้าพอใจ
“เคลียร์ชัดทุกข้อกล่าวหา หนังสือพิมพ์ฉบับวันพรุ่งนี้ใช่ป่ะ” ประกายดาวถาม มิลินทร์พยักหน้า “ดี..ฉันจะเอาไปที่วังด้วย ฉันจะทำให้คุณชายจันทร์อ่านให้ได้ เค้าจะได้หมดข้อข้องใจในตัวฉัน เผลอๆอาจจะรู้สึกดีกับฉันมากขึ้น”
มิลินทร์เป็นห่วงเพื่อน “อย่าเพิ่งคาดหวัง ฉันว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย ไอ้แผนที่แกจะเข้าไปตีสนิทเป็นเพื่อนคุณชาย”
ประกายดาวนิ่วหน้า “เมื่อวานแกยังเชียร์ฉันอยู่เลย”
“ก็พอแกจะลงมือจริงๆ ฉันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แกไม่ใช่ผู้ดีมาจากไหน เรื่องที่คุณชายจันทร์จะลดตัวมาคบหาเพื่อนอย่างแกอย่างพวกฉันมีเปอร์เซนต์สำเร็จน้อยจริงๆ”
“ฉันเข้ามาครึ่งตัวขนาดนี้แล้ว ไม่มีวันถอยกลับเด็ดขาด!! งานนี้ตายเป็นตาย!”
ประกายดาวมีสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
วันรุ่งขึ้น ที่วังนพรัตน์ เจ๊พีชยืนอยู่กับประกายดาว ขณะที่ทีกำลังเตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพอยู่ด้านหลัง
“ขอบใจน้องดาวที่มาช่วยเจ๊ ไม่งั้นเจ๊โดนหม่อมสุรีย์หักคอตาย” เจ๊พีซบอก ประกายดาวยิ้ม “ไงเดี๋ยวเจ๊เข้าไปแต่งหน้าพวกคุณๆเค้าก่อนนะ”
“ตามสบายเจ๊ ดาวดูแลตัวเองได้”
เจ๊พีชเดินออกไป ประกายดาวหันไปสำรวจบริเวณโดยรอบทันทีด้วยแววตาที่เป็นประกายเพราะความใหญ่โตโอ่อ่าของสถานที่ แล้วเธอก็เห็นทีเกือบทำกล้องหล่น ประกาวดาวแว๊ดเข้าให้ทันที
“ระวังหน่อยสิ!”
“ก็มันตื่นเต้นนี่พี่ดาว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าวังมาก่อน”
“งานนี้ห้ามทำพลาดเด็ดขาด ไม่งั้น..เจอ” ประกายดาวชูหมัดขึ้นมา
ทีกลืนน้ำลายพร้อมทำหน้าแหย
“ฉันไปห้องน้ำก่อน เตรียมทุกอย่างให้พร้อม”
“คร๊าบ”
ประกายดาวเดินออกไป
ประกายดาวเดินมองหาห้องน้ำมาตามทาง
“ไหนบอกห้องน้ำอยู่ทางนี้ ไม่เห็นมีเลย”
ประกายดาวมองหาห้องน้ำไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็มีมือมาคว้าหมับที่ไหล่ประกายดาว ประกาวดาวหันขวับไปก็ตกใจสุดขีด เพราะคนๆนั้นก็คือศิวะ
“ศิวะ!!”
ศิวะดีใจมาก “ดาว!” ศิวะจับมือดาวหมับ “ไม่นึกเลยว่าจะเจอดาวที่นี่ ดาวมาทำอะไร”
ประกายดาวดึงมือออก “ฉันมารับจ๊อบถ่ายรูป”
“อ๋อ...แล้วดาวไม่อยากรู้เหรอว่าเรามาทำอะไรที่นี่”
“ไม่อยากรู้!”
ศิวะยิ้มกริ่ม “ดาวนี่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เพราะดาวเป็นคนแบบนี้ ถึงทำให้เราไม่เคยลืมดาวได้เลยซักวัน”
ประกายดาวหันไปทำหน้าอยากจะอ้วก
“เราสองคนนี่หนีกันไม่พ้นจริงๆ สงสัยเราจะเป็นเนื้อคู่”
ประกายดาวสวนขึ้นมาทันที “คู่เวรคู่กรรมมากกกว่า”
ประกายดาวจะเดินหนีเพราะปวดฉี่มาก ศิวะรีบตามไปขวางทางเอาไว้
“เดี๋ยวสิดาว คุยกันก่อน”
“ไม่คุย ปวดฉี่”
ประกายดาวปวดมากจนตัวบิด เธอรีบหันไปจะเดินต่อแต่ไปไม่ถูกเลยหันมาถามศิวะ
“ห้องน้ำไปทางไหนเนี่ย?”
ศิวะยิ้ม
ประกายดาวเดินออกมาจากห้องน้ำ พอเห็นศิวะยังรออยู่ก็ผงะ
“ยังไม่ไปอีกเหรอ?”
“เราไม่ยอมไปจากดาวง่ายๆหรอก” ศิวะบอก ประกายดาวผงะ “เราอ่านบทสัมภาษณ์ของดาวแล้ว เราดีใจนะที่ดาวไม่ได้เป็นแฟนกับคาสโนว่าอย่างคุณพงศ์จันทร”
“ฉันจะเป็นแฟนกับใคร หรือไม่เป็นแฟนกับใคร แล้วมันเกี่ยวไรกับนาย?”
ศิวะคว้ามือประกายดาวทั้งสองข้าง ประกายดาวตกใจเพราะตั้งตัวไม่ติด
“เกี่ยวตรงๆเลยล่ะ เพราะว่าดาวเป็นรักครั้งแรกของเรา เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เรารัก ที่เราต้องแต่งงานกับอรเพราะถูกคุณแม่บังคับ เราไม่เคยรักเค้าเลย เรากลับมาคบกันใหม่นะดาว”
ประกายดาวพยายามดึงมือออก “ในฐานะเมียน้อยนายเนี่ยนะ?!! คนอย่างฉันไม่สิ้นคิดขนาดนั้น ปล่อย”
ศิวะไม่ปล่อย เขากลับดึงประกายดาวเข้ามาชิดตัว
“เราสัญญาว่าเราจะดูแลดาวอย่างดี จะไม่ให้ดาวเดือดร้อน อรจะไม่มีทางรู้เรื่องของเราเด็ดขาด”
ประกายดาวมองศิวะด้วยสายตาที่รังเกียจมาก ทันใดนั้นเสียงจันทรภานุดังขึ้น
“ทำอะไรกัน!”
ศิวะกับประกายดาวหันไปเห็นจันทรภานุ ประกายดาวตกใจจนหน้าถอดสี จันทรภานุเห็นประกายดาวก็แปลกใจมาก ประกายดาวรีบผละออกห่างจากศิวะ
“สวัสดีครับคุณชายจันทร์ ผมเอาเครื่องเพชรมาส่งให้หม่อมสุรีย์ครับ” ศิวะบอก
“หม่อมแม่อยู่ในห้องปีกตะวันออก”
ศิวะปรายตามองประกายดาวนิดนึงแล้วก็รีบเดินออกไป จันทรภานุหันมามองประกายดาวแววตาดูถูกเหยียดหยาม
“เข้ามาอยู่ในบ้านผมได้ยังไง?”
“ฉันเป็นช่างภาพที่มาถ่ายรูปครอบครัวคุณชายค่ะ” ประกายดาวตอบ
จันทรภานุอึ้งไป ประกายดาวพยายามยิ้มสู้
“เมื่อกี๊ที่คุณชายเห็น มันไม่มี...”
จันทรภานุพูดแทรก “ผมไม่รู้ว่าคุณไปอดอยากปากแห้งมาจากไหน” ประกายดาวเหวอ “แต่ที่นี่เป็นวัง เป็นสถานที่อันทรงเกียรติ คุณไม่สมควรทำกิริยาที่ดูไม่งามแบบนั้น”
ประกายดาวได้แต่อ้าปากค้างเพราะตั้งตัวไม่ติด จันทรภานุมองประกายดาวพลางส่ายหัวเอือมๆ แล้วก็เดินออกไป ทิ้งให้ประกายดาวยืนอึ้งอยู่กับที่
ประกายดาวเดินหัวเสียออกมาตามทางโดยยังคงบ่นไม่หยุด
“ซวยจริงๆ ภาพพจน์ฉันเสียหายเข้าไปอีก เพราะนายศิวะแท้ๆ”
ประกายดาวเดินมาแล้วเกือบจะชนกับหญิงนิ่ม
“อุ๊ย!”
หญิงนิ่มเห็นประกายดาว ประกายดาวก็เห็นหญิงนิ่ม
“คุณหญิงนิ่ม”
หญิงนิ่มแปลกใจ “รู้จักฉันด้วยเหรอคะ”
ประกายดาวนิ่วหน้า “รู้จักสิคะ ก็คุณหญิงนิ่มปรากฎตัวตามข่าวสังคมบ่อยๆ” ประกายดาวยิ้ม ทันใดนั้นเสียงในใจของเธอก็ดังขึ้น “จะให้บอกได้ยังไงว่าเราคิดจะเอาสเปิร์มจากพี่ชายเค้าก็เลยต้องสืบประวัติเค้าด้วย”
“คุณประกายดาวมาถ่ายภาพครอบครัวหญิงเหรอคะ”
“ค่ะ” ประกายดาวเอะใจ “เอ๊ะ คุณหญิงนิ่มก็รู้จักฉันเหมือนกัน?”
หญิงนิ่มหัวเราะน้อยๆ “หญิงเห็นจากข่าวค่ะ”
ประกายดาวหุบยิ้มแทบไม่ทัน “ฟังดูไม่ค่อยดี”
“แต่หญิงไม่เชื่อหรอกนะคะ แล้วยิ่งได้มาอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณประกายดาว หญิงก็รู้ว่าหญิงคิดไม่ผิดจริงๆ”
ประกายดาวดีใจ “คุณหญิงได้อ่าน?”
“ค่ะ ถ้าไงหญิงขอตัวเข้าดูด้านในก่อนนะคะว่าทุกคนพร้อมเหรอยัง”
ประกายดาวยิ้ม แล้วหญิงนิ่มก็เดินเข้าไป
ประกายดาวมีแววตาที่มีความหวังรำไร “ลองคุณหญิงนิ่มได้อ่านแบบนี้ บางทีคุณหญิงอาจจะไปเล่าให้คุณชายฟัง”
ประกายดาวยิ้มด้วยความโล่งใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ศิวะเปิดกล่องกำมะหยี่ที่มีสร้อยเพชรอันใหญ่มากอยู่ข้างในให้สุรีย์ซึ่งนั่งให้เจ๊พีชแต่งหน้าดู เจ๊พีชเห็นเพชรก็ตาโตเป็นไข่ห่าน
“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นเพชรเม็ดเป้งขนาดนี้เลยค่ะหม่อม”
สุรีย์ยิ้มกับเจ๊พีซแล้วหันมาทางศิวะ
“สวยมากคุณศิวะ เลยต้องรบกวนคุณให้เอามาส่งด้วยตัวเอง”
“ไม่รบกวนอะไรเลยครับหม่อม ของสำคัญขนาดนี้ ผมต้องเอามาด้วยตัวเองอยู่แล้ว” ศิวะบอก
จันทรภานุนั่งมองศิวะ ไม่นานหญิงนิ่มเดินออกมาพอเห็นท่าทางจันทรภานุเธอก็แปลกใจ หญิงนิ่มหันไปเห็นศิวะก็จำได้
“นั่นผู้ชายที่มีข่าวกับคุณประกายดาว?”
จันทรภานุตอบ “ใช่..เค้าเป็นเจ้าของร้านเพชรที่หม่อมแม่ใช้บริการประจำ”
“สงสัยเค้าจะรู้ว่าคุณประกายดาวมาที่นี่ ก็เลยตามมาด้วย”
จันทรภานุหันไปทางหญิงนิ่ม “เจอผู้หญิงคนนั้นแล้วเหรอ?”
“ค่ะ”
“พี่ว่านัดกันมามากกว่า พี่เห็นเค้าสองคนทำรุ่มร่ามกันอยู่พอดี”
“ไม่จริงหรอกค่ะพี่ชาย หญิงว่าคุณประกายดาวไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น พี่ชายน่าจะได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเธอดู”
“พี่ไม่อ่าน เสียเวลา”
จันทรภานุพูดจบก็เดินออกไป หญิงนิ่มได้แต่ถอนหายใจ
ประกายดาวกำลังจัดแสง ในขณะที่เจ๊พีชกำลังช่วยจัดท่าทางให้จันทรภานุ หญิงนิ่มซึ่งอุ้มน้องหมาพันธุ์เล็กชื่อจีจี้ สุรีย์ที่ใส่สร้อยเพชรที่ศิวะเอามาให้ และหม่อมเจ้าสุริยะวรรต ระหว่างนั้นอ้อยก็ประคองนมพรเดินออกมา จันทรภานุรีบลุกเดินไปรับ
จันทรภานุพูดกับอ้อย “ฉันเอง” จันทรภานุเข้ามาประคองนมพร “ค่อยๆเดินนะครับนม”
ประกายดาวเห็นจันทรภานุปฏิบัติกับนมพรด้วยความนุ่มนวลก็เผลอมองแล้วยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดี ก่อนจะรู้สึกว่ามีคนจ้องเธออยู่ พอหันไปก็เห็นศิวะที่ยืนยิ้มพร้อมโบกมือให้
ประกายดาวหัวเสีย เธอเดินเข้าไปหาอย่างสุดทน
“ไม่ต้องห่วงเราหรอกดาว เราอยู่ได้ ดาวไปทำงานเถอะ” ศิวะบอก
“ฉันไม่ได้ห่วงนาย ฉันห่วงตัวเองมากกว่า กลับไปซะ”
ศิวะหุบยิ้มแทบไม่ทัน “โธ่ดาว..”
“จะกลับดีดี หรือจะให้ฉันโทรบอกเมียนายให้มารับ”
ศิวะยิ้ม “ดาวไม่มีเบอร์อร”
“ฉันไม่มี แต่ลินทร์มีแน่นอน”
ศิวะอึ้งและเริ่มกลัวขึ้นมาทันที
“ถ้างั้น...เรากลับก็ได้ แต่เราไม่มีวันถอดใจจากดาวง่ายๆ เอาข้อเสนอของเรากลับไปคิดดูให้ดีนะจ๊ะ”
ศิวะยิ้มพร้อมส่งจูบแล้วก็เดินออกไป ประกายดาวแหยงมากก่อนจะหันมาเจอสายตาจันทรภานุมองอยู่พอดี เธอเสียวสันหลังวาบก่อนจะรีบเดินไปเช็คกล้อง พลางลอบมองจันทรภานุไปด้วย
ประกายดาวคิดในใจ “สายตาอำมหิตที่จ้องเราเมื่อกี๊ แสดงว่าคุณหญิงนิ่มต้องยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง”
ประกายดาวคิด เธอหยิบหนังสือพิมพ์ในกระเป๋าสะพายออกมาเพราะอยากให้จันทรภานุได้อ่านแต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ เจ๊พีชก็เดินไปหาประกายดาว
“พร้อมแล้วจ๊ะน้องดาว”
ประกายดาวรีบเก็บนสพ. “นอกจากเป็นเมคอัพอาร์ตทิสแล้วยังรับจ๊อบเป็นสไตลิสด้วยนะคะ”
“แน่นอนสิจ๊ะ คนอย่างเจ๊ ทำได้” เจ๊พีซทำท่าประกอบ “360 องศา”
ประกายดาวขำ เธอหันไปวางกระเป๋าสะพายบนโต๊ะ
ประกายดาวถือกล้องเดินมาตรงหน้าทุกคนเตรียมจะถ่าย
“พร้อมนะคะทุกคน หนึ่ง ส่อง..”
พอจะกดชัตเตอร์เธอก็เห็นหน้าจันทรภานุนิ่งมากอยู่คนเดียว ประกายดาวเลยลดกล้องลงแล้วพูด
“ยิ้มหน่อยสิคะคุณชาย”
“ผมไม่อยากยิ้ม ผมสร้างภาพไม่เก่ง” จันทรภานุมองหน้าประกายดาว
ทุกคนมองจันทรภานุอึ้งๆ ประกายดาวรู้สึกเหมือนโดนด่าก็เริ่มจะทนไม่ไหวเพราะเจอไปหลายดอกแล้ว
“นี่ไม่ใช่การสร้างภาพนะคะ หรือว่าคุณชายไม่มีความสุขที่ได้ถ่ายภาพกับครอบครัว”
ทุกคนหันไปมองจันทรภานุ จันทรภานุไม่พอใจ หม่อมเจ้าสุริยะวรรตหันมาพูดกับจันทรภานุด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ชายจันทร์...”
จันทรภานุชะงัก นมพรจับแขนจันทรภานุ
“ยิ้มให้นมชื่นใจหน่อยนะคะ”
จันทรภานุพยักหน้า
หญิงนิ่มรีบหันไปทางประกายดาว “พร้อมแล้วค่ะคุณประกายดาว”
จันทรภานุพยายามฝืนยิ้มจนออกมาดูตลก ประกายดาวเผลอขำก๊ากออกมาเสียงดังทำเอาทุกคนหันไปมองจันทรภานุแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน จันทรภานุรู้สึกอายมาก
ประกายดาวรู้ตัว “เออ.. เอาเป็นว่าคุณชายไม่ต้องยิ้มก็ได้ค่ะ พร้อมอีกครั้งนะคะ หนึ่ง ส่อง ส่าม”
ประกายดาวกดชัตเตอร์ แต่ไฟที่จัดแสงกลับดับ
“เดี๋ยวพี่ดาว ไฟดับ” ทีบอก
ประกายดาวกับทุกคนหันไปมอง ทีเดินไปขยับปลั๊กไฟแต่ก็ยังไม่ติด
ประกายดาวเดินมาหาที “ได้ยัง”
“ยังพี่..”
“เอามานี่! พี่ทำเอง”
ประกายดาวเอาปลั๊กไฟมาจากทีแล้วเสียบเข้าไปในเต้าเสียบ ทันใดนั้นไฟก็ระเบิดเสียงดัง..ปัง!!! ทุกคนตกใจรวมทั้งจีจี้ที่กระโดดลงจากตักหญิงนิ่มแล้ววิ่งออกไปทันที
หญิงนิ่มตกใจ “จีจี้!!! ช่วยกันจับจีจี้หน่อยค่ะ”
ทุกคนแตกตื่นตกใจ
ประกายดาว เจ๊พีช อ้อย หญิงนิ่ม จันทรภานุ หม่อมสุรีย์ หม่อมเจ้าสุริยะวรรต และนมพรช่วยกันลุกขึ้นตามจับจีจี้ที่วิ่งพล่านไปทั่ว อ้อยกับทีวิ่งเข้ามาจะจับจีจี้แต่ก็จับไม่ได้ ทั้งสองคนเลยชนกันจนล้มหงายหลัง
จีจี้วิ่งมาทางนมพรกับหม่อมสุรีย์ ทั้งสองคนตั้งท่ารับด้วยความกล้าๆกลัวๆ จีจี้ไปซ้าย หม่อมสุรีย์กับนมพรก็ไปทางซ้าย จีจี้ไปทางขวา ทั้งสองก็ไปทางขวา เล่นเอาหม่อมสุรีย์กับนมพรถึงกับมึนจนเซ จีจี้เลยวิ่งหนีไปได้
หม่อมเจ้าสุริยะวรรตกับเจ๊พีชกระโดดจะตะครุบจีจี้ก็พลาดจนกอดกันเอง เจ๊พีชตกใจ รีบผละออกมาคุกเข่า
“ขอโทษค่ะหม่อม”
ประกายดาวเห็นจีจี้กำลังจะวิ่งไปทางบึงก็รีบวิ่งตามไป
“จีจี้!”
ประกายดาวมองแต่จีจี้เลยไม่เห็นจันทรภานุที่วิ่งมาจากอีกทางทำให้สองคนชนกันดังโครม แต่จันทรภานุกลับเป็นฝ่ายตกน้ำ ประกายดาวตกใจมาก
“คุณชาย!”
จีจี้วิ่งมาตามทาง หญิงนิ่มคว้าตัวขึ้นมากอดเอาไว้
“ได้ตัวแล้วค่ะ”
หญิงนิ่มหันไปทางคนอื่นก็เห็นสภาพแต่ล่ะคนดูแย่มาก ทุกคนโล่งใจที่จับจีจี้ได้ สุรีย์สังเกตว่าจันทรภานุหายไป
“ชายจันทร์หายไปไหน?”
ทุกคนหันไปมองหาด้วยสีหน้าแปลกใจ
ประกายดาวยังอยู่ริมบึง เธอมองไปที่บึงน้ำด้วยความรู้สึกแปลกๆที่จันทรภานุไม่โผล่ขึ้นมาซักที จันทรภานุที่อยู่ใต้น้ำดูทุรนทุรายและมีสีหน้าย่ำแย่สุดๆ วินาทีนั้นภาพในอดีตก็ย้อนกลับมา
จันทรภานุในวัยเด็กกำลังจะจมน้ำแล้วก็พรวดขึ้นมา
“ช่วยด้วย..ช่วยชายด้วย...!!”
สุรีย์กับนมพรสมัยยังสาวรีบเดินมาที่ริมบึงด้วยหน้าตาตื่นตระหนก
“ชายจันทร์!!”
“คุณชาย!!” นมพรหันไปเรียก “ใครก็ได้ช่วยคุณชายที”
จันทรภานุตะเกียกตะกาย
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน จันทรภานุที่อยู่ใต้น้ำทำท่าไม่ดี ทุกคนรีบเดินมาริมบึง จันทรภานุพรวดขึ้นมาจากน้ำแล้วร้อง
“ช่วยด้วย!”
ทันทีที่สุรีย์ นมพร สุริยะวรรต และหญิงนิ่มเห็นจันทรภานุก็ตกใจมาก
“ช่วยชายจันทร์ที ชายจันทร์ว่ายน้ำไม่เป็น” สุรีย์บอก
ประกายดาวตกใจสุดขีด เธอรีบกระโดดลงไปช่วยจันทรภานุทันที ทุกคนมีสีหน้าแย่มาก ประกายดาวว่ายเข้าไปลากจันทรภานุมาที่ฝั่ง ที เจ๊พีชช่วยกันลากจันทรภานุที่หมดสติขึ้นมา สุรีย์ สุริยะวรรต และนมพรใจแทบขาด หญิงนิ่มมีสีหน้าแย่มาก
ประกายดาวเขย่าตัว “คุณชายจันทร์คะ!”
จันทรภานุยังหมดสติ ประกายดาวตัดสินใจผายปอดให้จันทรภานุแบบเม้าท์ทูเม้าท์พร้อมกับปั๊มหัวใจ ไม่นานจันทรภานุก็สำลักน้ำออกมา ทุกคนโล่งใจสุดๆ
ประกายดาวนั่งดื่มชาร้อนโดยมีผ้าขนหนูห่มตัวอยู่กับเจ๊พีชและที ไม่นานหญิงนิ่มก็เดินออกมา ทุกคนลุกขึ้นยืน
“คุณชายเป็นยังไงบ้างคะ” ประกายดาวถาม
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” หญิงนิ่มตอบ
ประกายดาวสบายใจ “ขอโทษนะคะคุณหญิง เป็นเพราะฉันแท้ๆ ที่ทำให้คุณชายตกน้ำ”
“อย่าโทษตัวเองสิคะ มันเป็นเพราะจีจี้ต่างหาก แล้วอีกอย่างถ้าไม่ได้คุณช่วยพี่ชายเอาไว้ ทุกอย่างมันคงแย่มากกว่านี้”
ประกายดาวลังเลนิดนึง “คุณหญิงนิ่มคะ ฉันถามหน่อยได้มั๊ยคะว่าทำไมคุณชายจันทร์ถึงว่ายน้ำไม่เป็น?”
จันทรภานุยังนอนอยู่บนเตียง หญิงนิ่มเดินมานั่งลงข้างๆ
“คุณประกายดาวกลับไปแล้วค่ะ”
“พี่ไม่ได้ถาม”
“พี่ชาย..เค้าช่วยพี่ชายเอาไว้นะคะ”
“พี่ไม่ซาบซึ้งหรอกนะคะน้องหญิง น้องหญิงรู้มั๊ยว่าทุกครั้งที่พี่เจอผู้หญิงคนนั้น พี่โชคร้ายทุกที เพราะฉะนั้นต่อไปนี้อย่าพูดชื่อเค้าให้พี่ได้ยินอีก”
จันทรภานุทำหน้าจริงจังจนหญิงนิ่มไม่กล้าพูด
ประกายดาวจามเสียงดัง
“ฮัดเช้ย!”
จิตสุภางค์ที่กำลังปอกแอปเปิ้ลหั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่กล่องพลาสติคเงยหน้ามองประกายดาว
“อีตาคุณชายต้องด่าแกอยู่แน่ๆ ที่แกไปทำเค้าตกน้ำ มิหนำซ้ำยังไปจูบปากเค้าอีก”
ประกายดาวแทบสำลัก “ฉันไม่ได้จูบ ฉันผายปอดช่วยชีวิตเค้าต่างหาก”
ประกายดาวหยิบแอปเปิ้ลชิ้นเล็กๆจากในกล่องขึ้นมากิน
“นี่มันของลูกฉัน”
“งก” ประกายดาวว่า
จิตสุภางค์รีบปิดกล่องแล้วเอาแช่ตู้เย็นก่อนจะหันมา
“จะว่าไปมันก็แปลกดีเนอะ คุณชายจันทรภานุหนุ่มหล่อเพอร์เฟคแต่ว่ายน้ำไม่เป็น”
“นี่แก...คนเรามันก็ไม่ได้เก่งไปซะหมดทุกเรื่องหรอกนะ แล้วกรณีอย่างคุณชายจันทร์..สมัยเด็กๆ เค้าเคยจมน้ำ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยกลายเป็นคนกลัวน้ำไปเลย”
จิตสุภางค์แซว “ต๊าย ยังไม่ทันไรก็ปกป้องกันขนาดนี้”
ประกายดาวกลุ้มมาก “อย่าพูดเลย ฉันรู้สึกความหวังริบหรี่”
จิตสุภางค์มองประกายดาวอย่างเห็นใจแล้วก็นึกอะไรออก
“เอ้อ...แกบอกว่าคุณหญิงนิ่มโอเคกับแกใช่ป่ะ”
“อือ..”
“ถ้างั้นแกก็ต้องใช้เค้าให้เป็นประโยชน์ ในเมื่อเข้าทางคุณชายจันทร์ไม่ได้ ก็ต้องเข้าทางคุณหญิงนิ่มแทน”
ประกายดาวมองจิตสุภางค์แล้วก็คิดตาม
หญิงนิ่มกำลังจัดร้าน ประกายดาวเดินเข้ามาทำเป็นไม่สนใจมองคุณหญิง ประกายดาวเดินไปดูของในร้าน หญิงนิ่มหันมาเห็นประกายดาวก็ดีใจ
“คุณประกายดาว”
ประกายดาวหันมาทำเป็นแปลกใจ
“อ้าวคุณหญิงนิ่ม สวัสดีค่ะ บังเอิญจังที่เจอคุณหญิงที่นี่”
หญิงนิ่มยิ้ม “หญิงเป็นเจ้าของร้านนี้ค่ะ”
ประกายดาวแกล้งประหลาดใจ
“เหรอคะ?!! ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“คุณประกายดาวตามสบายนะคะ อยากได้อะไร หยิบได้เลย หญิงให้...ตอบแทนที่คุณช่วยพี่ชายเอาไว้”
“โอ๊ย! อย่าเลยค่ะ ของซื้อของขาย นี่คุณหญิงเปิดร้านมานานเหรอยังคะ”
“เปิดได้สักพักนึงแล้วค่ะ”
ประกายดาวหยิบตุ๊กตาช้างที่ทำจากผ้าขึ้นมา
“มีแผนกของเด็กเล่นด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ นั่นของสุวีเนียร์ สำหรับลูกค้าต่างชาติ –ลูกค้าส่วนใหญ่ เป็นผู้หญิงวัยทำงาน”
“ทำไมไม่ลองหาลูกค้าเป็นเด็กๆ บ้างละ สินค้าโซนนี้เด็กๆ น่าจะชอบ –ลงโปรโมท ให้เด็กสนใจ ก็จะได้ลูกค้าที่เป็นผู้ปกครองด้วย”
“โปรโมทยังไงดี หญิงไม่เคยมีไอเดียนี้เลย”
“ลองใช้วิธีถ่ายแฟชั่นเด็กๆ กับสินค้า แล้วลงโฆษณา ในนิตยสารที่เกี่ยวกับแม่ หรือเด็ก”
“ดูท่าจะต้องใช้เงินไม่น้อย”
“เอาอย่างนี้ เพื่อเป็นการเซฟคอรส์ ดาวจะจัดการเรื่องถ่ายแฟชั่นให้ฟรี ส่วนหนังสือที่จะลงโฆษณา ดาวจะให้คนทำมีเดียที่รู้จักกัน มาช่วยแนะนำให้ ลองคิดดูนะค่ะ”
คุณหญิงหันไปมองประกายดาวด้วยความสนใจ
จันทรภานุหันมาทางหญิงนิ่มทั้งๆที่กำลังเดินอยู่ด้วยกัน
“พี่ไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นมาถ่ายรูปร้านน้องหญิง!”
“ทำไมล่ะคะพี่ชาย”
“พี่ไม่ไว้ใจ น้องหญิงไม่แปลกใจบ้างเหรอ อยู่ดีดีเค้าก็โผล่ไปที่ร้าน แล้วเสนอตัวถ่ายรูปร้านให้ฟรี”
“ไม่เห็นน่าแปลกตรงไหน พี่ชายมองพี่ดาวในแง่ร้ายเกินไป”
จันทรภานุหยุดเดินแล้วหันมาทำหน้าจริงจัง
“นี่สนิทสนมถึงขั้นเรียกพี่กันแล้วเหรอ?”
หญิงนิ่มหยิบไอแพดออกจากกระเป๋าถือ เธอเปิดบทสัมภาษณ์ประกายดาวแล้วส่งให้จันทรภานุ
“พี่ชายอ่านนี่ก่อนนะคะ”
จันทรภานุรับไอแพดมาอ่านแล้วก็ชะงักไป
“พี่ดาวไม่ได้แย่งสามีใคร เธอเป็นผู้หญิงเก่ง เรียนจบเมืองนอก และที่สำคัญยังโสดสนิท”
จันทรภานุส่งไอแพดคืนหญิงนิ่ม
“ของแบบนี้มันโกหกกันได้”
หญิงนิ่มจะอ้าปากพูด แต่จันทรภานุขัดขึ้น
“เอาเป็นว่ารอให้พี่สืบเรื่องของเค้าจนแน่ใจซะก่อนว่าเค้าไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎมาหลอกน้องหญิง แล้วพี่ถึงจะอนุญาต ตกลงตามนี้นะคะ”
จันทรภานุพูดจบก็เดินออกไป หญิงนิ่มเซ็งอย่างแรง
ศิวะกำลังดูสร้อยเพชรสีหน้ายิ้มแย้ม พนักงานยืนอยู่บริเวณนั้น ระหว่างนั้นอรอุมาก็เดินเข้ามา ศิวะเห็นก็รีบเก็บสร้อยเพชรใส่ในกระเป๋ากางเกงพลางหันไปสั่งพนักงานเสียงเข้ม
“เช็ดกระจกตรงนี้หน่อย มันเปื้อน”
พนักงานรับคำแล้วเอาผ้ามาเช็ด อรอุมามองศิวะอย่างจับผิด ศิวะหันไปทำหน้าตายใส่พร้อมกับพูด
“ผมออกไปพบลูกค้าก่อนนะจ๊ะที่รัก”
ศิวะเข้ามาหอมแก้มอรอุมาแล้วก็เดินออกไป อรอุมามองอย่างรู้ทัน
อรอุมาถามพนักงาน “เมื่อกี๊คุณศิวะหยิบอะไรไปรึเปล่า”
พนักงานมองอรอุมาหน้าถอดสี
อรอุมาโทรศัพท์หารติรส
“รติ..ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ”
อรอุมาทำหน้าตาร้าย
ประกายดาวเอารูปจันทรภานุกับรูปตัวเองเข้าโปรแกรมที่ดูหน้าลูกในอนาคต Baby maker พอกดเข้าไปก็ได้รูปลูกตัวเองกับจันทรภานุออกมาโดยสามารถเลือกดูได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง
ประกายดาวมีสีหน้ามีความหวัง “ได้ลูกชายก็หล่อ ลูกสาวก็สวย”
ประกายดาวมีความสุขและเพ้อฝันมาก ระหว่างนั้นเสียงกดออดดังขึ้น ประกายดาวลุกเดินมามองที่ช่องตาแมวก็เห็นศิวะยืนอยู่ ประกายดาวตกใจ
ประกายดาวสบถออกมาเบาๆ “มาได้ไง?”
ประกายดาวหน้าแย่สุดๆ ศิวะกดออดอีกครั้ง
“ดาว..เรารู้ว่าดาวอยู่ เปิดประตูให้เราที”
ประกายดาวส่องตาแมวอีกครั้ง เธอเห็นศิวะหยิบสร้อยเพชรออกมายื่นไปตรงตาแมว ประกายดาวตกใจ
“เรามีของมาฝากดาว ดาวเปิดประตูให้เราหน่อยนะ”
ประกายดาวฉุน “คิดว่าสร้อยเพชรแค่นี้ จะทำให้ฉันยอมเป็นเมียน้อยนายงั้นเหรอ?!! นายจะดูถูกฉันมากไปแล้ว สร้อยเพชรเท่าขี้แมวแค่เนี้ยฉันมีปัญญาซื้อเองเว๊ย”
ศิวะสะดุ้ง
ประกายดาวไล่ “กลับไปซะ”
ศิวะพยายามอ้อน “ดาว...”
ประกายดาวเอาเท้าถีบประตูดังปัง ศิวะสะดุ้งโหยงและรีบถอยห่างจากประตู ประกายดาวยืนเท้าเอวที่ด้านหลังประตู
“ถ้านายไม่ไปให้พ้นหน้าห้องฉัน ฉันจะเรียกรปภ.มาลากตัวนายกลับไปเดี๋ยวนี้!”
ศิวะผงะและตาเหลือกก่อนจะรีบเก็บสร้อยเพชร
“วันนี้เราไปก็ได้ เราคงเร่งรัดดาวมากเกินไป คิดถึงเราบ้างนะดาว..จุ๊บจุ๊บ”
ประกายดาวเตะประตูอีกครั้งแทนคำตอบ ศิวะรีบเดินออกไปด้วยความกลัว ประกายดาวเซ็งสุดๆ
“มารจริงๆ”
ศิวะเดินเซ็งมาที่รถ รถคันหนึ่งจอดซุ่มอยู่ คนในรถคือรติรสที่กำพวงมาลัยแน่นด้วยความโมโหหึงอย่างแรง
ตกกลางดึก ศิวะเข้ามากอดรติรสด้วยสีหน้าออดอ้อน
“คิดถึงใจจะขาด”
รติรสหันมาผลักศิวะออกอย่างแรงทำเอาศิวะอึ้ง
“เป็นอะไร?”
“ยังมีหน้ามาถามอีกว่ารติเป็นอะไร? คุณไปคอนโดนังประกายดาวทำไม?” รติรสถาม ศิวะหน้าถอดสี “ไหนบอกไม่กลับไปหามันแล้วไง”
“นี่คุณแอบขับรถตามผมไปงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่ได้ขับตามคุณ แต่อรบอกให้ฉันขับไปรอคุณที่คอนโดนังนั่น แล้วคุณก็มาจริงๆ”
ศิวะรีบแก้ตัว “ที่ผมไปหาดาวเพราะวันก่อนผมเจอดาวไปถ่ายภาพให้คุณชายจันทร์ที่วังนพรัตน์แล้วดาวลืมของไว้ที่นั่น ผมก็เลยอาสาเอาไปคืนให้ก็เท่านั้นเอง”
“ฉันไม่เชื่อ อรบอกว่าคุณเอาสร้อยเพชรไปฝากมันด้วย”
ศิวะทำเป็นถอนใจ เขาหยิบสร้อยเพชรออกมาจากกระเป๋ากางเกง รติรสผงะ
“ใครว่าผมเอาไปให้ดาว” ศิวะเดินมาสวมให้รติรส “ผมเอามาให้คุณต่างหาก”
รติรสหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง เธอก้มมองสร้อยเพชรด้วยความดีใจ ศิวะจับตัวรติรสให้หันมา
“คนที่ผมรักมีคนเดียวคือคุณ”
รติรสยิ้มอย่างมีความสุข ศิวะดึงรติรสมากอดพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
เช้าวันถัดมา เสียงกดออดดังขึ้น ประกายดาวในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้ามึนเดินออกมาจากห้องนอน
ประกายดาวงัวเงีย “ใครมาแต่เช้า?”
ประกายดาวเดินไปดูที่ช่องตาแมวหน้าประตูแล้วก็แทบช็อคจนตาสว่างตื่นขึ้นมาทันที
“ฉันฝันไปใช่มั๊ยเนี่ย” ประกายดาวหันหลังพิงประตู “ใจเย็นนะประกายดาว”
ประกายดาวสูดลมหายใจเข้าหายใจออก แล้วก็ตัดสินใจหันกลับไปดูที่ช่องตาแมวอีกครั้งจนเห็นว่าคนที่อยู่หน้าห้องคือ จันทรภานุจริงๆ
ประกายดาวผละออกห่างประตูแล้วตบหน้าตัวเอง
“อุ๊ย! ไม่ได้ฝัน”
เสียงกดออดดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ประกายดาวได้สติ
“เออ..รอ..รอซักครู่นะคะ”
ประกายดาวรีบเข้าไปในห้องนอน
ประกายดาวแต่งตัวใหม่ มัดผมเรียบร้อยเดินมาเปิดประตู เธอรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากจันทรภานุ แต่ทำใจดีสู้เสือ
“สวัสดีค่ะคุณชาย ทราบได้ไงคะว่าฉันอยู่ที่นี่”
จันทรภานุไม่ตอบ “เข้าไปได้มั๊ย”
“เชิญค่ะ”
จันทรภานุเดินเข้ามา ประกายดาวปิดประตูแล้วเดินตามเข้ามาสีหน้าไม่ค่อยเข้าใจ
“ตกลงคุณชายทราบว่าฉันพักอยู่ที่นี่ได้ไงคะ” ประกายดาวถาม จันทรภานุก็ยังไม่ตอบ เสียงในใจประกายดาวดังขึ้น “หรือว่าเป็นเพราะเม้าท์ทูเม้าท์ของเราก็เลยทำให้คุณชายสนใจเราขึ้นมาถึงขั้นสืบว่าเราอยู่ที่ไหน?”
ประกายดาวยืนจับปากตัวเองแล้วยิ้มเอียงอาย จันทรภานุเห็นก็รู้สึกว่าประกายดาวดูแปลกๆ
“ฉันเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน”
ประกายดาวพูดเสียงกระเซ่า “เข้าเลยค่ะ”
จันทรภานุผงะกับน้ำเสียงของประกายดาว ประกายดาวยิ้มแหย จันทรภานุหยิบไอโฟนยื่นไปตรงหน้าประกายดาว ประกายดาวเห็นรูปที่จันทรภานุเอามาให้ดูก็แทบช็อคเพราะมันคือภาพของศิวะที่เดินเข้ามาในคอนโดของเธอเมื่อคืน
“ศิวะ?” ประกายดาวรีบแก้ตัว “คุณชายอย่าหึงฉันนะคะ” จันทรภานุชะงัก “ฉันกับนายศิวะไม่ได้มีอะไรกัน!”
“ผมไม่ได้หึงคุณ! แล้วผมก็ไม่สนด้วยว่าคุณจะมีหรือไม่มีอะไรกับผู้ชายคนนี้”
ประกายดาวเหวอ “อ้าว?? นี่คุณชายไม่ได้สนใจฉันหรอกเหรอคะ”
“ผมไม่ไว้ใจคุณต่างหาก”
ประกายดาวนิ่วหน้า “ไม่ไว้ใจฉัน?? ไม่ไว้ใจฉันเรื่องอะไร?”
จันทรภานุพูดหน้าเหี้ยม “คุณเข้ามาตีสนิทกับหญิงนิ่มเพราะหวังอะไร?”
ประกายดาวงง “ตีสนิท”
“ก็ที่เสนอตัวถ่ายรูปร้านให้หญิงนิ่มฟรีๆ ไม่เรียกว่า”ตีสนิท” แล้วเรียกว่าอะไร?”
ประกายดาวเพิ่งเข้าใจ “ฉันว่าคุณชายใช้คำไม่ถูกต้องนะคะ คำว่าตีสนิทมันฟังดูเหมือนฉันไม่หวังดีกับคุณหญิง”
จันทรภานุสวนกลับทันที “ก็แล้วไม่ใช่เหรอ?” ประกายดาวสะดุ้ง “ผมรู้จักคนประเภทคุณดี สิบแปดมงกุฎอย่างคุณที่คิดจะเกาะคนรวยหวังดัง” จันทรภานุยิ้มเยาะ “แผนนี้มันตื้นไปหน่อยนะ”
ประกายดาวตกใจกับคำพูดของจันทรภานุ “คุณชายกำลังเข้าใจฉันผิดอย่างแรงเลยนะคะ”
จันทรภานุมองไปรอบห้องที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูก่อนจะปรายตาหันมามองประกายดาว
“ผมเข้าใจผิดตรงไหน....ลูกคนขายข้าวขาหมูอย่างคุณ” จันทรภานุว่า ประกายดาวผงะ “จะมีปัญญาหาเงินมาซื้อคอนโดห้องล่ะหลายสิบล้านแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไม่ได้หลอกคนอื่น”
ประกายดาวกำมือแน่นด้วยความโมโห “คุณชายดูถูกฉันมากไปแล้วนะคะ ถึงป๊ากับม้าฉันจะเป็นคนขายข้าวหมู แต่ท่านก็ทิ้งมรดกหลายร้อยล้านให้ฉันกับพี่ชาย เพราะร้านขายข้าวขาหมูของป๊าฉันได้กำไรวันล่ะเป็นหมื่น ป๊าขายข้าวหมูมาตลอด 50 ปี แต่ป๊ากับม้าฉันใช้เงินวันละไม่ถึงร้อย แถมยังมีมรดกเก่าจากอากงอาม่าเป็นที่ดินและเพชรนิลจินดา แล้วป๊าฉันก็ยังถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 อีกตั้งหลายครั้ง”
จันทรภานุอึ้งไปกับสิ่งที่ประกายดาวเล่า
ประกายดาวพูดต่อ “ห้องนี้และทุกอย่างที่คุณเห็น เป็นเงินของป๊ากับม้าฉัน ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ตามใจ”
จันทรภานุเงียบและพูดไม่ออก ประกายดาวเดินไปเปิดประตู
“เชิญออกไปจากห้องฉันได้แล้ว!”
จันทรภานุกำลังจะเดินออกไป แต่เขาก็หยุดหันมามองประกายดาวด้วยแววตารู้สึกผิดนิดนึง แต่ประกายดาวไม่สนใจ จันทรภานุเดินออกไป ประกายดาวปิดประตูดังปังเพราะทั้งโมโหทั้งเสียใจ
จิตสุภางค์ได้ฟังประกายดาวเล่าก็กระแทกขวดนมลงบนโต๊ะ
“เลิก! แบบนี้มันต้องเลิก!”
“จะเลิกได้ไงแก ไอ้ดาวมันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณชายจันทร์ซักหน่อย” มิลินทร์ขัดขึ้น
“ฉันหมายถึงให้ล้มเลิกที่แกจะเอาเค้าทำพ่อพันธุ์!! ผู้ชายที่ดูถูกผู้หญิงแบบนี้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษซักนิด”
ประกายดาวยังเงียบและมีท่าทางลังเล พลันเสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้น ประกายดาวหยิบมือถือออกมาดูก็ผงะ
“คุณหญิงนิ่ม” ประกายดาวรับสาย “ค่ะคุณหญิงนิ่ม” ประกายดาวแปลกใจมาก “อ๋อ งานถ่ายแฟชั่นเด็กกับสินค้านะเหรอค่ะ”
ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
หญิงนิ่มวางสายแล้วหันมาทางจันทรภานุที่ยืนอยู่
“พรุ่งนี้พี่ดาวจะมาถ่ายรูปให้ค่ะ”
จันทรภานุโล่งอกที่ประกายดาวยอมมา
“พี่ชายไม่น่าไปพูดกับพี่ดาวแบบนั้น”
“ก็..พี่พูดไปแล้ว จะให้พี่ทำยังไง?”
“ขอโทษไงคะพี่ชาย”
“ขอโทษ”
“ไม่ใช่แค่ขอโทษนะคะ พี่ชายต้องขอบคุณพี่ดาวด้วยที่เค้าช่วยพี่ชายเอาไว้”
จันทรภานุถอนหายใจ
จบตอนที่ 2