ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 1
บรรยากาศในกองถ่ายทำภาพนิ่งโฆษณา เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทีมงานเตรียมงานอยู่บนหน้าผาสูง นายแบบถอดเสื้อโชว์หุ่นล่ำบึกกำลังถูกทาตัวด้วยน้ำมันมวย ทีมงานตั้งไฟกำลังเช็คแสง ความพร้อม ทีมงานอีกกลุ่มเช็คอุปกรณ์สำหรับปีนเขา
ที ผู้ช่วยช่างภาพเอาเครื่องมือวัดแสงมาวัดแล้วหันไปทางช่างไฟก่อนจะยกมือบอกว่า “โอเค” แล้วยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ พอเขาหันไปก็เห็น ประกายดาว ช่างภาพสาววัย 32 ปีเดินใส่แว่นดำมาดเท่เข้ามา
“พี่ดาว ทุกอย่างพร้อมแล้ว” ทีบอก
ประกายดาวถอดแว่นดำ แล้วถอดเสื้อแจ๊คเก็ต แล้วโยนกระเป๋าสะพายให้ที ทีรับหมับอย่างรู้ใจก่อนจะหันมาวางบนโต๊ะ ประกายดาวเอากล้องขึ้นมาแล้วผงะไปนิดหนึ่ง เธอหันไปตบหัวที ทีสะดุ้งแล้วจับหัวด้วยความเจ็บ
“ถ่ายภาพเน้นวิวให้ใช้เลนส์ 24 มม. สอนไม่รู้จักจำ”
ทียิ้มแหยๆ ที่พลาด เขารีบเปิดกระเป๋ากล้องแล้วหยิบเลนส์ให้ประกายดาว ประกายดาวเปลี่ยนเลนส์ด้วยความคล่องแคล่วและรวดเร็วก่อนจะหันไปมองการจัดแสงด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
ประกายดาวเดินเข้าไปหาทีมไฟ “หลีก”
ทีมงานรีบเดินออกไปทันที ประกายดาวเข้ามาจัดแสงและทำโน่นทำนี่เอง ทุกคนมองทึ่งๆ ทียิ้มยืดในขณะที่หันไปทางคนอื่น
“พี่ผม..พี่ผม...”
ประกายดาวหันมาสั่ง “เริ่มงานได้”
ประกายดาวถ่ายรูปนายแบบที่ปีนหน้าผาโดยที่ห้อยตัวอยู่กลางหน้าผา เท้าของเธอเหยียบแง่งหินที่ยื่นออกมาเพียงเล็กน้อยโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวใดใด แต่แล้วเธอก็รู้สึกไม่ทันใจ ประกายดาวจึงเอากล้องที่คล้องคอออกมาแล้วถ่ายต่อ ทันใดนั้นประกายดาวก็ลื่น ทุกคนตกใจ
“เฮ้ย!!”
กล้องร่วงจากมือและกำลังจะหล่น ประกายดาวแทบช็อค ด้วยสัญชาติญาณเลยปล่อยมือที่เกี่ยวก้อนหินแล้วเอื้อมไปคว้ากล้องเอาไว้ได้ทัน แต่ตัวของเธอกลับห้อยต่องแต่งอยู่กลางหน้าผาแทน ทุกคนตกใจร้องเสียงดังลั่น
“เฮ้ย!! // ว๊าย!!”
ทีพูดกับทีมงาน “รีบเอาพี่ดาวลงมา”
“ไม่ต้อง!” ประกายดาวเสียงเข้ม ทีกับทุกคนเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ “มุมนี้แหละ สุดยอด”
แทนที่จะตกใจประกายดาวกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก เธอรัวชัตเตอร์ไม่หยุด
ประกายดาวคิดในใจ
“หลายคนบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉา มีชีวิตที่สนุก มีงานที่ดีทำ มีมรดกมากมายที่พ่อแม่ทิ้งไว้...ชาตินี้ใช้ยังไงก็ไม่มีวันหมด แต่จริงๆแล้วชีวิตฉัน..มันยังไม่สมบูรณ์หรอกนะคะ”
แดนดิน พี่ชายของประกายดาวตัดกิ่งต้นไม้แล้วก็หันมาทางประกายดาวที่กำลังเล่นกับฟ้า ลูกสาวของแดนดินวัย 2 ขวบที่กำลังน่ารักน่าชังบนเสื่อที่ปูในสวน
“หวงไปเถอะ ไอ้ชีวิตโสดน่ะ ขึ้นคานขึ้นมาฉันจะหัวเราะให้ฟันหัก” แดนดินว่า
“ดาวไม่ได้หวงนะพี่ดิน แต่ยังไม่ชอบใคร สงสัยเนื้อคู่จะยังไม่เกิด”
“อย่าเลยแกน่ะ เป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนใช่มั๊ยล่ะ” แดนดินวางกรรไกรแล้วเข้ามาอุ้มฟ้า” เนอะลูกเนอะ” ฟ้าพยักหน้าหงึกๆ
ประกายดาวลุกขึ้นยืน “ฝนน่ะไม่กลัว กลัวแต่จะไม่มีฝนให้เดินตากมากกว่า”
แดนดินขยี้หัวน้องสาวอย่างสนิทสนม “แก้ตัวน้ำขุ่นๆ”
ประกายดาวปัดมือแดนดินออก “มันจริงนี่พี่ดิน “แม้แผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า”
ประกายดาวมีสีหน้าและแววตามุ่งมั่นสุดๆ
ณ วังนพรัตน์ที่ใหญ่โต โอ่อ่า และหรูหรา หม่อมราชวงศ์จันทรภานุกำลังแต่งตัวที่หน้ากระจก คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยขณะที่กำลังขยับเนคไท มือหันไปเปิดผ้าม่านจนแสงจากภายนอกส่องเข้ามา ทำให้เห็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา และ หล่อเหลาของเขา
จันทรภานุหันไปมองเสื้อสูทที่แขวนอยู่ เมื่อยกระดับสายตาขึ้นเขาก็พบรอยยับย่น แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง จันทรภานุปรายตาไปทางอ้อย สาวใช้ที่นั่งคุดคู้ด้วยความกลัวอยู่บนพื้น อ้อยรีบเข้ามารับชุดสูททันที
“ขอประทานโทษค่ะ ดิฉันจะเอาไปรีดให้ใหม่”
จันทรภานุพูดเสียงเฉียบจนเย็นยะเยือก “ไม่ต้อง”
จันทรภานุเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบสูทตัวใหม่ออกมาสวมทับ อ้อยถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
จันทรภานุเดินออกมาที่รถในชุดสุดเนี๊ยบ บุญชูยืนรออยู่ด้วยความเกร็ง
“วันนี้ฉันขับเอง” จันทรภานุบอก
บุญชูรีบส่งกุญแจรถให้จันทรภานุ จันทรภานุขึ้นรถแล้วขับออกไป อ้อยรีบออกมายืนข้างๆ
“เมื่อกี๊ฉันนึกว่าหัวจะขาดแล้ว”
อ้อยกับบุญชูหวาดเกรงจันทรภานุสุดๆ
จันทรภานุขับรถมาตามทางโดยค่อยๆขับอย่างใจเย็น รถของประกายดาวแล่นมาด้วยความเร็ว เธอเปิดเพลงดังลั่นรถและขับแซงหน้ารถหลายคัน
ประกายดาวพูดบลูทูธ “ฉันกำลังไปโรงพยาบาล พวกแกอยากกินไรป่ะ” ประกายดาวฟัง “คาปูชิโน่ โอเค อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง รับรองได้กิน”
ประกายดาววางสายแล้วก็เหยียบคันเร่งแต่คันหน้าขับช้า ประกายดาวจึงแซงขวาแต่ก็ต้องมาชะลอเพราะติดรถของจันทรภานุ
“มันรู้กฎจราจรป่ะเนี่ย ขับช้าเค้าให้ชิดซ้าย”
ประกายดาวแซงรถจันทรภานุไม่ได้เลยเปิดไฟสูงไล่ จันทรภานุไม่เห็น ประกายดาวสุดทนจึงบีบแตรใส่ จันทรภานุได้ยินก็มองกระจกมองหลังจนเห็นรถประกายดาวไล่จี้ ทั้งบีบแตรทั้งเปิดไฟสูง จันทรภานุไม่พอใจเลยแกล้งขับช้าลงมากกว่าเดิม ประกายดาวรู้ว่าถูกแกล้ง
“แบบนี้แกล้งกันนี่หว่า”
ประกายดาวมีจังหวะแซงซ้ายได้เลยแซงมาขนาบข้างรถจันทรภานุแล้วหันไปมอง จันทรภานุหันมา ประกายดาวเห็นหน้าจันทรภานุชัดเพราะฟิล์มไม่ได้ดำมาก จันทร์ภานุหันไปมองรถประกายดาวแต่ไม่เห็นหน้าเพราะรถประกายดาวติดฟิล์มมืด
ประกายดาวอยากกวจึงขับขนาบข้างไปเรื่อยๆจันทรภานุไม่พอใจเลยเร่งแซงแล้วขับปาดหน้ารถประกายดาว ประกาวดาวเกือบเบรคไม่ทัน เธอหัวเสียอย่างแรง
“มันจะเกินไปแล้ว!”
ประกายดาวขับไล่ตามจันทรภานุหมายจะแซงให้ได้แต่จันทรภานุไม่ยอม เขาขับขวางหน้ารถประกายดาวตลอด ประกายดาวหัวเสียมาก จันทรภานุมองกระจกแล้วยิ้มมุมปาก
ด้านหน้าถนนเส้นนั้นเป็นสี่แยกที่กำลังไฟเขียวมีเวลานับถอยหลังใกล้จะเปลี่ยนเป็นไฟแดง จันทรภานุเหยียบพ้นแยกไปได้พอดีกับที่ไฟเปลี่ยนเป็นไฟสีเหลือง ประกายดาวจะตามไปแต่ก็ไม่ทัน เธอจำต้องเบรคเพราะไฟแดง
ประกายดาวทุบพวงมาลัย “โธ่เว๊ย!”
ประกายดาวหงุดหงิด
นันทินี สาวสวยจบแฟชั่นดีไซน์ แต่งตัวจัดและแต่งหน้าเข้มกำลังหัวเราะร่วนอย่างไม่มีเหตุผลแก้เขิน ทำให้จันทรภานุที่นั่งตรงข้ามเธอถึงกับเอือมระอา แต่ไม่แสดงออกเพราะมีความเป็นสุภาพบุรุษสูง
แต่ถึงอย่างนั้นนันทินีก็ยังเอาแต่หัวเราะไม่หยุดจนจันทรภานุทนไม่ไหว
“ไม่ทราบคุณนันหัวเราะอะไรครับ?”
นันทินีหยุดหัวเราะแทบไม่ทัน “อ่า..นันเจอคุณชาย นันก็เลยอารมณ์ดี มันก็เลยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้อ่ะค่ะ โฮะๆๆ”
จันทรภานุพยายามอดทน แล้วเขาก็นึกย้อนกลับไป
หม่อมสุรีย์จับมือจันทรภานุแล้วพูดกับเขาด้วยแววตาเว้าวอน
“ทำเพื่อแม่อีกซักครั้งนะชายจันทร์ แม่สัญญาว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะให้ลูกไปดูตัว”
จันทรภานุมองหม่อมสุรีย์ด้วยสีหน้าลำบากใจสุดๆ
จันทรภานุยังคงมองนันทินีที่เอาแต่หัวเราะอย่างเบื่อหน่าย นันทินีพยายามคุยแต่จันทรภานุไม่ได้ใส่ใจที่จะฟัง
จันทรภานุคิดในใจ “ผมหม่อมราชวงศ์จันทรภานุ อายุ 35 ยังไม่มีแฟน หลายปีที่ผ่านมา หม่อมแม่พยายามให้ผมไปดูตัวหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ ความรักนะครับ ไม่ใช่เลือกซื้อของ จะได้เจอปุ๊บ ถูกใจปั๊บ มันต้องใช้เวลา กว่าจะเจอคนที่ใช่”
ประกายดาวเดินเข้ามาในร้านกาแฟแห่งนั้น ผ่านหลังจันทรภานุไปช้าๆ โดยที่ทั้งคู่ยังไม่เห็นกัน ประกายดาวยังคงหงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอ
“ผู้ชายแม่งทำไมถึงได้สันดานเสียเหมือนกันหมดก็ไม่รู้”
พนักงานชายหันมามองประกายดาวด้วยความตกใจเพราะนึกว่าโดนด่า
“พี่ไม่ได้ด่าน้อง ขอคาปูชิโน่เย็นแก้วหนึ่ง”
จันทรภานุสุดทนกับนันทินีจึงเอ่ยออกมา
“คุณนันครับ ผมขอตัวกลับก่อน โชคดีนะครับ”
นันทินีเหวอ จันทรภานุลุกขึ้นจะเดินออกไป นันทินีรีบลุกขึ้นคว้าแขนจันทรภานุเอาไว้
“อย่าเพิ่งกลับสิคะคุณชาย นันไม่ดีตรงไหน”
เสียงที่ดังของนันทินีทำให้คนทั้งร้านหันมามองรวมทั้งประกายดาวด้วย ประกายดาวหันไปมองจันทรภานุโดยที่ตอนแรกยังจำไม่ได้ แล้วเธอก็รู้สึกคุ้นๆ ไม่นานเธอก็นึกออก ประกายดาวโมโหทันที
“หมอนี่เอง!!”
จันทรภานุอายมาก
“คุณนัน กรุณามีสติหน่อย”
“นันมีสตินะคะ” นันทิดาฟูมฟายมาก “นันรู้ว่าการที่คุณชายเดินออกไปแบบนี้ หมายความว่าคุณชายเซย์โนกับนัน แต่นันอยากขอโอกาส พลีส! จะได้มั๊ยคะ”
นันทินีร้องไห้บีบน้ำตา เธอเข้ามาสวมกอดจันทรภานุแบบไม่ทันตั้งตัว
“อย่าทิ้งนันไปแบบไร้เยื่อใยอย่างนี้เลย”
คนในร้านมองจันทราภานุด้วยสายตาตำหนิเพราะเข้าใจว่าจันทรภานุหักอกผู้หญิง ประกายดาวเห็นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเลยคว้าแก้วกาแฟแล้วเดินตรงไปหาจันทรภานุทันที
“ปล่อยผมคุณนัน!!”
“นันไม่ปล่อย นันจะไม่ยอมเสียคุณชายเด็ดขาด”
จันทรภานุอยากจะบ้าตาย ทันใดนั้นประกายดาวก็เข้ามาสาดกาแฟใส่หน้าจันทรภานุเต็มๆ นันทินีเหวอจึงปล่อยแขนออกจากจันทรภานุ จันทรภานุหันไปมองประกายดาวด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
“นี่มันอะไรกัน!”
“โดนแค่นี้ ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” ประกายดาวว่า
จันทรภานุอึ้งมาก นันทินีตกใจแต่คนในร้านสะใจต่างปรบมือให้ประกายดาว ประกายดาวหันไปโค้งรับแล้วยิ้มกวนให้จันทรภานุ แต่นันทินีหันไปแว๊ดใส่ประกายดาวทันที
“เธอยุ่งอะไรด้วย!”
ประกายดาวเหวอ “อ้าว? ก็เค้าทำคุณร้องไห้”
“คุณชายไม่ได้ทำฉันร้องไห้...สาระแนไม่เข้าเรื่อง” นันทิดาว่า
ประกายดาวเอ๋อหนักที่โดนด่า “เฮ้ย!!”
นันทินีรีบเอากระดาษมาเช็ดหน้าให้จันทรภานุ
“โธ่..คุณชาย”
จันทรภานุปัดมือนันทินีออกแล้วมองประกายดาวด้วยความโมโหก่อนจะจ้ำเดินออกไปด้วยความอาย นันทินีตกใจ “คุณชาย!!” นันทินีหันไปค้อนประกายดาวหนึ่งทีแล้วรีบตามออกไป “คุณชายรอนันด้วย!!”
ประกายดาวงงมาก
“อะไรวะ?” ประกายดาวมองแก้วเปล่าในมือ “เสียดายของจริงๆ”
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น ประกายดาวหยิบออกมาดรับสาย
“ฮัลโหล” ประกายดาวตกใจ “ห๊ะ!”
ประกายดาวเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องพักในโรงพยาบาล จิตสุภางค์ในสภาพท้องแก่นอนสีหน้าเจ็บปวดอยู่บนเตียง มิลินทร์ยืนข้างๆ ทันทีที่มิลินทร์เห็นประกายดาวมาก็โล่งใจสุดๆ
“ขอโทษนะลินทร์ ฉันไม่ได้คาปูชิโน่แกมา” ประกายดาวบอก
“ไม่เป็นไร ดีแล้วที่แกมาทัน ไอ้จิตมันกำลังจะคลอด”
ประกายดาวตกใจ
จิตสุภางค์เจ็บท้องมาก “โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วเว๊ย หมออยู่ไหนวะ?”
“ท้องสี่แล้ว ยังไม่ชินอีกเหรอ?” ประกายดาวถาม
“จะท้องไหนๆ มันก็เจ็บทั้งนั้น แกไม่ท้อง ไม่มีวันรู้หรอก”
พยาบาลกับเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาในห้อง
“ห้องผ่าตัดพร้อมแล้วค่ะ” พยาบาลบอก
เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาจะเข็นเตียงจิตสุภางค์ จิตสุภางค์หันไปบอกเพื่อน
“แกสองคนต้องเข้าไปกับฉัน”
ประกายดาวกับมิลินทร์ตกใจ
มิลินทร์ออกตัว “งานนี้ขอล่ะ ไม่ไหว..กลัวเลือด”
จิตสุภางค์คว้ามือประกายดาวเอาไว้แน่น
“ถ้างั้นก็ต้องเป็นแก”
ประกายดาวพูดไม่ออก บอกไม่ถูก เธอได้แต่กลืนน้ำลาย
จิตสุภางค์ขึ้นขาหยั่ง ประกายดาวที่อยู่ในชุดปลอดเชื้อยืนจับมือเพื่อนข้างๆ และมองหมอที่กำลังทำคลอด
“เบ่งครับ” หมอสั่ง
จิตสุภางค์บีบมือประกายดาวแน่น “ฮึบ!!”
ประกายดาวเจ็บมือสุดๆแต่ก็อดใจเบ่งตามไปด้วยไม่ได้
“อีกทีครับ ขอแรงๆแบบม้วนเดียวจบ”
จิตสุภางค์เบ่งเต็มที่ “อ๊ากก!!”
ประกายดาวเจ็บมือที่โดนบีบแบบสุดๆเลยร้องออกมาด้วย “อ๊ากก”
หมออุ้มเด็กออกมา จิตสุภางค์แทบสลบ ประกายดาวเห็นเด็กก็ตะลึง เธอมองพยาบาลที่พาเด็กไปนอนบนเตียง ดูดรกออกจากปาก เด็กร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น พยาบาลรีบเอาผ้าห่อตัวเด็กเอาไว้ แล้วพาเด็กมาวางข้างตัว
จิตสุภางค์
จิตสุภางค์ถาม “ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง”
“ผู้ชายค่ะ”
จิตสุภางค์ดีใจจนน้ำตาไหล “ผู้ชาย..” จิตสุภางค์หันไปทางประกายดาว “แก..ฉันได้ลูกชายแล้ว”
ประกายดาวพยักหน้าดีใจกับเพื่อนก่อนจะก้มมองเด็กด้วยแววตาที่เป็นประกาย เธอรู้สึกถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่ถือกำเนิดขึ้นมา
จิตสุภางค์นอนบนเตียงโดยกำลังคุยโทรศัพท์กับสามี ในขณะที่ประกายดาวกับมิลินทร์อยู่ในห้องด้วย
“เฮียจะร้องไห้ทำไม?!! ฉันรู้ว่าเฮียไปทำงาน ใครจะรู้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด” จิตสุภางค์ฟัง “โอ๊ยยย เลิกฟูมฟายได้แล้ว ฉันฟังเฮียไม่รู้เรื่อง แค่นี้นะ”
จิตสุภางค์วางสาย
“น่ารำคาญ!”
“แกด่าผัวแกทำไมเนี่ย เค้าอุตส่าห์โทรทางไกลมาจากเมืองจีน” มิลินทร์ว่า
“ก็เอาแต่ร้องไห้ พูดจาไม่รู้เรื่อง”
“แหมแกก้อ..เค้าดีใจที่ได้ลูกชายเกิดปีมังกร พวกแกรอมาตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ?” ประกายดาวถาม
“ก็ใช่อ่ะ คราวนี้ฉันจะได้ปิดอู่ซักที” จิตสุภางค์นึกอะไรออก “เออนี่..วันเกิดแก ลูกฉันก็ครบหนึ่งเดือนฉลองพร้อมกันเลยนะ”
“อื้อ..”
ประกายดาว มิลินทร์ และจิตสุภางค์ยิ้มให้กัน
นมพรรินน้ำชาใส่แก้วให้หม่อมสุรีย์และของตัวเอง
“นมว่าวันนี้จะสำเร็จรึเปล่า” สุรีย์เอ่ยถาม
“ไม่ค่ะ” พรบอก
“ตอบแบบไม่คิดเลยนะ”
“อีฉันรู้ว่าหม่อมเองก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว”
“ถึงความหวังจะริบหรี่ แต่ฉันก็ยังหวัง ฉันอยากอุ้มหลานแล้วล่ะนม แต่ชายจันทร์ก็ยังไม่ยอมตกลงปลงใจกับใครซักที”
“ก็อย่างว่าแหละค่ะ สาวๆสมัยนี้ มีข้อติให้พรึ่บไปหมด”
พรกับสุรีย์จิบน้ำชาพร้อมกัน ระหว่างนั้นจันทรภานุก็กลับเข้ามา สุรีย์กับพรเห็นก็แทบช็อค เพราะเสื้อผ้าของจันทรภานุเต็มไปด้วยคราบกาแฟ ทั้งสองสำลักน้ำชาพร้อมกัน
“ตายแล้ว!”
“ชายจันทร์ไปทำอะไรมาลูก?”
จันทรภานุหัวเสีย “ผมไม่อยากพูดถึง ขอตัวนะครับ”
จันทรภานุเดินออกไป พรกับสุรีย์หันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง
จันทรภานุถอดเสื้อโยนใส่ตะกร้าผ้าจนเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่าที่กำยำ เขาหันไปมองหน้าตัวเองในกระจก
“อย่าให้ฉันเจออีกนะ!!”
จันทรภานุโมโหมากเพราะประกายดาวทำให้เขาอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าคนมากมาย
ณ คอนโดสุดหรู ย่านใจกลางเมือง ประกายดาวจามเสียงดัง
“ฮัดเช้ย!” ประกายดาวบ่น “ใครด่าวะ?”
ประกายดาวเอากระเป๋ากล้องวางบนโซฟา เธอหยิบรีโมทมาเปิดทีวี แต่ก็ยังรู้สึกเหงามาก
ประกายดาวพึมพำ “ทำไมมันเหงาแบบนี้”
ประกายดาวคิดแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง เธอหยิบมือถือออกมากดโทรออก ปลายสายรับแต่มีเสียงแว๊ดออกมา
จิตสุภางค์พูด “เงียบ!!” ประกายดาวสะดุ้ง “ฮัลโหล”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีไร อาม่า..เออ แม่ผัวฉันพาเด็กๆมาเยี่ยมน้อง” จิตสุภางค์บอก เสียงแวดล้อมยังคงดังไม่หยุด “แม่บอกให้เงียบไง!!”
“เฮ้ย จิตจิต...แกไปดูลูกเหอะ ฉันไม่มีอะไร”
ประกายดาววางสาย แล้วก็โทรหามิลินทร์
“ลินทร์..ถึงบ้านยัง”
เสียงมิลินทร์ขำคิกคักออกมา ประกายดาวแปลกใจ
มิลินทร์ถามย้ำ “แกว่าไงนะ?”
“ฉันถามว่าแกถึงบ้านยัง”
“ถึงแล้ว” มิลินทร์พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงมาก “ฮิฮิ อย่าที่รัก เค้าจักจี้ ขอคุยกับดาวก่อน” มิลินทร์พูด ประกายดาวหน้าแดงซ่าน “ว่ามาไอ้ดาว”
ประกายดาวรู้ทันที “แกไปเล่นจ้ำจี้กับผัวแกเหอะ”
ประกายดาววางสายแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงแล้วมองท้องฟ้าด้วยความเหงา
จันทรภานุยืนมองท้องฟ้าที่ริมหน้าต่างด้วยความเหงาเช่นเดียวกัน เขาเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วหยิบรูปคู่ของตัวเองกับแพท แฟนคนแรกขึ้นมาดู จันทรภานุมองรูปแพทด้วยความคิดถึงแล้วหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
เหตุการณ์ตอนนั้น จันทรภานุเดินมาปิดตาแพท
“ทายสิว่าใคร”
แพทจับมือจันทรภานุแล้วก็ยิ้ม “ชายจันทร์..”
จันทรภานุปล่อยมือ แพทหันกลับมา
“แพทรู้ทุกทีว่าเป็นผม”
“เราคบกันมา 7 ปีแล้วนะคะ แพทจะไม่รู้ได้ไงว่าเป็นชาย”
จันทรภานุจับมือแพทขึ้นมามองด้วยความรัก
“ผมอยากให้เราเรียนจบเร็วๆ เราจะได้อยู่ด้วยกันซักที” แพทยิ้ม “สัญญากับผมนะแพทว่าแพทจะไม่ทิ้งผม”
“แพทต่างหากที่ต้องพูดประโยคนี้”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่มีวันทิ้งแพทอยู่แล้ว เพราะว่าแพทคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผม”
จันทรภานุกับแพทยิ้มให้กัน
จันทรภานุมองรูปนั้นแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ
ประกายดาวนั่งเอาเท้าแช่สระว่ายน้ำที่อยู่ตรงระเบียงห้องแล้วก็หงายหลังนอนลงไปก่อนจะคิดถึงความหลังเช่นกัน
ภาพอดีตย้อนกลับมา ท้องฟ้าสดใส เสียงเพลงรับน้องดังขึ้น ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง มัดแกละ หน้าโดนทาสีกำลังเต้นไก่ย่างอยู่กับเพื่อนๆ โดยมีรุ่นพี่ตีกลองและปรบมือให้จังหวะ ประกายดาวเต้นส่ายก้นไปมาแต่แล้วก็เซจะล้ม เพื่อนที่อยู่ข้างๆรีบคว้าตัวประกายดาวเอาไว้ ประกายดาวหันไปเห็นว่าเป็นศิวะที่โดนทาหน้าสีๆ และโดนมัดจุกเหมือนกัน
“ขอบคุณค่ะ” ประกายดาวมองป้ายชื่อที่ห้อยคอ “ศิวะ”
ศิวะประคองประกายดาวให้ยืน ทั้งสองคนมองอย่างรู้สึกดีต่อกัน
เวลาผ่านไป ประกายดาวกับศิวะเดินมาด้วยกันตามทาง ทั้งสองต่างเก้อเขินกันทั้งคู่ ศิวะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ประกายดาวแต่ยังไม่กล้าจับมือ สุดท้ายประกายดาวจึงจับมือศิวะเอง ศิวะดีใจมาก ทั้งสองคนหันมายิ้มเขิน
ศิวะเตะบอลอยู่ที่สนาม ประกายดาวกับมิลินทร์เป็นเชียร์ลีดเดอร์ จิตสุภางค์เป็นสตาฟคอยถือน้ำ ศิวะเตะบอลเข้าประตูแล้วก็รีบวิ่งมาหาประกายดาว ประกายดาวเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาหอมแล้วก็เช็ดหน้าให้ศิวะ ศิวะแทบจะลงไปดิ้นตายตรงนั้น
หลายปีผ่านไป ศิวะ ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์เรียนจบ ประกายดาวกับศิวะถ่ายรูปรับปริญญาด้วยกัน แต่หันไปเจอสายตาแม่ของศิวะที่มองเธออย่างไม่พอใจ ประกายดาวจึงหน้าเจื่อนไป
ประกายดาวนั่งอยู่กับพื้นกับศิวะที่บ้านของศิวะ โดยมีแม่ศิวะที่นั่งบนโซฟาปรายตามองประกาวดาวด้วยสายตาเหยียด
“เห็นศิวะบอกว่าหลังแต่งงาน เธอจะขอทำงาน ฉันไม่เห็นด้วย” แม่ศิวะว่า ประกายดายหน้าตึง “ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ก็ควรอยู่ดูแลบ้านช่อง เป็นช้างเท้าหลังที่คอยเชื่อฟังและดูแลสามี”
ประกายดาวกำมือแน่นด้วยความอดทนแต่แล้วก็ทนไม่ไหว
“ดาวคงทำตามที่คุณหญิงแม่บอกไม่ได้หรอกค่ะ” ประกายดาวโพล่งออกมา แม่ศิวะหน้าม้านทันที “ดาวขอโทษ”
ประกายดาวพูดจบก็ลุกเดินออกมาเลย ศิวะหันไปมองแม่แล้วก็หน้าเสีย
ศิวะรีบเดินตามประกายดาวออกมา
“ดาวพูดแบบนั้นกับคุณแม่ได้ยังไง คุณแม่โกรธมาก”
“แล้วศิวะไม่คิดว่าเราจะโกรธบ้างเหรอ คนที่เราแต่งงานด้วยคือศิวะนะ ไม่ใช่แม่” ประกายดาวว่า ศิวะอึ้ง “หลายปีที่ผ่านมาเราต้องอดทนมากแค่ไหนรู้บ้างรึเปล่า ศิวะไม่เคยมีความคิดเป็นของตัวเอง ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับแม่ คุณแม่บอกอย่างนั้น คุณแม่บอกอย่างนี้ ทั้งๆที่อายุเธอก็ขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นลูกแหง่อยู่ได้” ศิวะไม่ค่อยพอใจ “แล้วก็ฝันไปเถอะว่าเราจะเป็นแม่บ้าน!! แล้วที่เรียนมาแทบตายล่ะ”
ศิวะไม่พอใจ “ทำไมดาวต้องว่าเราด้วย สิ่งที่คุณแม่ทำลงไป เพราะหวังดีกับเรา”
“ถ้างั้นศิวะก็รับความหวังดีไปคนเดียว ดาวทนมามากพอแล้วและดาวจะไม่ทนอีก” ประกายดาวนิ่งไปอึดใจ “เราเลิกกัน!!”
ศิวะอึ้ง ประกายดาวพูดจบก็เดินออกไป
ประกายดาวนั่งอ่านการ์ดแต่งงานที่เขียนว่า “ศิวะ กับ อรอุมา” แล้วก็รู้สึกเจ็บปวด เธอขยำการ์ดทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป
5 ปีต่อมา ประกายดาวกำลังถ่ายรูปฟิตติ้งจามร จามรมองประกายดาวไม่วางตาจนประกายดาวรู้สึกแปลกๆ
“เออ คุณจามรช่วยมองไปทางด้านโน้นนะคะ” ประกายดาวบอก
“ผมไม่มองได้มั๊ยครับ” จามรถาม ประกายดาวผงะ “เพราะทางนี้” จามรจ้องประกายดาวพร้อมส่งสายตาหวานเยิ้ม “มีอะไรน่ามองกว่าเยอะ”
จามรยิ้มหวาน ประกายดาวถึงกับเขินจนทำหน้าไม่ถูก
อ่านต่อหน้า 2
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 1 (ต่อ)
หลายเดือนต่อมา ประกายดาวรีบตาลีตาเหลือกเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนเห็นจามรกำลังนอนซม เหงื่อเต็มหน้า ห่มผ้าอยู่บนเตียง
“จามร...คุณเป็นไงบ้าง” ประกายดาวรีบมาที่เตียง
“หนาว..หนาวมาก” จามรบอก
“ไปหาหมอมั๊ย”
จามรส่ายหน้า ทันใดนั้นจามรก็เปิดผ้าห่มออกมา ประกายดาวแทบช็อคเพราะเห็นจามรแก้ผ้าทั้งตัว
จามรพูดต่อ “แค่คุณอยู่กับผมทั้งคืน ผมก็หายแล้ว”
จามรลุกขึ้นจะปล้ำประกายดาว ประกายดาวรีบเอาสเปรย์พริกไทออกมาจากกระเป๋าแล้วฉีดเข้าหน้าจามรเต็มๆ
“อ๊าก!! ดาว...ทำไมคุณทำกับผมแบบนี้”
“ก็คุณอยากทำฉันก่อนทำไม?!”
จามรแสบตามาก “เราคบกันมาเกือบปีแล้วนะดาว ขอนิดขอหน่อยจะเป็นไรไปวะ?”
ประกายดาวฉุนอย่างแรง “ขอนิดขอหน่อยใช่มั้ย...ได้!!”
ประกายดาวเอาผ้าห่มคลุมตัวจามรแล้วเตะป๊าบเข้าให้อย่างแรง จามรร้องลั่นพร้อมกับทรุดกองกับพื้น
“เราเลิกกัน!!”
ประกายดาวประกาศลั่น แล้วจ้ำเดินออกไปด้วยความโมโห จามรโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มพร้อมกับสีหน้าเจ็บปวด
3 ปีต่อมา ประกายดาวนั่งกินข้าวอยู่กับเอกวินทร์ แต่เอกวินทร์เอาแต่แชตกับเพื่อน
“ดาวพูดเรื่องแต่งงานกับแม่แล้วนะพี่เอ” ประกายดาวบอก
เอกวินทร์ไม่สนใจ “เหรอ”
“จะแต่งเมื่อไหร่ดี”
“ไม่รู้สิ แต่งงานมันเรื่องใหญ่ ยังไม่น่าจะพูดกับผู้ใหญ่นะพี่ว่า” เอกวินทร์บอก ประกายดาวเหวอ แล้วอยู่ดีดีเอกวินทร์ก็ดีใจ “เฮ้ย!! ดาว..” ประกายดาวตกใจ “เพื่อนพี่มันชวนพี่ไปเป็นผู้จัดการให้บริษัทมันที่อเมริกา” เอกวินทร์เอามือถือให้ประกายดาวดู “ดาวดูสิ...มันบอกว่าพี่เก่ง” เอกวินทร์พูดโอ่ “มันก็จริง..พี่เคยทำงานกับเจ้านายฝรั่งมาเกือบสิบปี เงินเดือนกับค่าคอมฯได้เดือนล่ะหลายแสน พี่นะหาเงินเก่ง ญาติพี่น้องไม่มีใครสู้ได้”
ประกายดาวเซ็งจนถึงกับวางช้อนแล้วมองเอกวินทร์ที่ยังโม้เรื่องตัวเองไม่หยุด เธอถอนหายใจ
“พี่เอ” ประกายดาวเรียก เอกวินทร์เงยหน้า “เราเลิกกันเถอะค่ะ”
เอกวินทร์อ้าปากค้างเหวอ ประกายดาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน ประกายดาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
“เนี่ยแหละค่ะ ชีวิตรักของฉัน ทั้งหมดนี้คือคำตอบว่าทำไมฉันถึงมีทัศนคติที่ไม่ดีกับผู้ชาย”
ประกายดาวก่ายหน้าผากและมีสีหน้ากลัดกลุ้ม
ณ งานเปิดร้านคุณหญิงนิ่มที่มีบรรยากาศสบายๆ แต่มีผู้คนมากมาย จันทรภานุประคองนมพรเดินมากับหม่อมสุรีย์ โดยมีบุญชูถือของเดินตามมา ทันทีที่จันทรภานุเข้ามา สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เค้าเป็นตาเดียวด้วยความชื่นชม
สุรีย์มองหา “เอ..หญิงนิ่มอยู่ไหน?”
จันทรภานุมองหาแล้วก็เห็นคุณหญิงนิ่มยืนหันหลังคุยกับแขกที่มาในงานอยู่
จันทรภานุเรียก “น้องหญิง..”
หญิงนิ่มหันมาด้วยความร่าเริงสดใส ทันทีที่เห็นจันทรภานุ สุรีย์ และนมพร เธอก็รีบเข้ามาทักทายด้วยความดีใจและสนิทสนม
หญิงนิ่มยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะหม่อมป้า นมพร พี่ชาย”
บุญชูเอาของยื่นให้สุรีย์ สุรีย์รับของมาส่งให้หญิงนิ่ม
“ยินดีด้วยนะจ๊ะหญิงนิ่ม ขอให้กิจกาจขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขายไม่ทันกันเลย”
หญิงนิ่มไหว้ขอบคุณแล้วรับของมา “ขอบคุณค่ะ”
ผู้ช่วยเข้ามารับของจากหญิงนิ่ม
“เข้าไปด้านในดีกว่าค่ะ หญิงเตรียมที่นั่งเอาไว้ให้แล้ว”
หญิงนิ่มเข้ามาประคองสุรีย์ แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน
หญิงนิ่มยืนอยู่กับจันทรภานุ ส่วนสุรีย์กับนมพรนั่งอยู่
“พี่ชายเดินดูของได้ตามสบายเลยนะคะ ของผู้ชายก็มี” หญิงนิ่มบอก
“ไปเถอะชายจันทร์ แม่นั่งตรงนี้แหละ” สุรีย์ว่า
จันทรภานุพยักหน้าแล้วเดินออกไป สุรีย์ นมพร และหญิงนิ่มมองตามจนเห็นจันทรภานุเดินไปแน่แล้วจึงสุมหัวเม้าท์ทันที
“หญิงนิ่มต้องช่วยป้านะ ชายจันทร์ยื่นคำขาดว่าเค้าจะไม่ไปดูตัวอีก”
“หม่อมป้าไม่ต้องห่วงค่ะ เย็นนี้หญิงมีนัดกับเพื่อน เพื่อนหญิงยังโสดหลายคน หญิงจะชวนพี่ชายไปด้วย”
“ระวังคุณชายจะจับได้นะคะ เธอยิ่งเป็นคนฉลาดอยู่” นมพรบอก
หญิงนิ่มมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงค่ะนม ฝีมือหญิงซะอย่าง รับรองพี่ชายไม่มีทางจับได้แน่นอน”
หญิงนิ่มยิ้มด้วยความมั่นใจ สุรีย์กับนมพรหันมามองหน้ากันด้วยความสบายใจ ระหว่างนั้นนันทินีก็เข้ามาในร้านพร้อมถือช่อดอกไม้สูงใหญ่ปิดหน้าปิดตา
“เฮลโลล..”
หญิงนิ่ม สุรีย์ และนมพรหันไปตามเสียงก็เห็นแต่ช่อดอกไม้ช่อใหญ่ สักพักนันทินีก็โผล่หน้าออกมาหลังช่อดอกไม้ช่อนั้น
“สวัสดีค่ะหม่อมแม่ นมพร” นันทินีหันไปทางหญิงนิ่ม “Congratulation นะคะน้องหญิง”
หญิงนิ่มเห็นนันทินีมาก็เซ็งทันที สุรีย์หันมาทางหญิงนิ่มแล้วกระซิบ
“ป้าคงไม่ต้องพึ่งหญิงนิ่มแล้วล่ะจ๊ะ หนูนันนี่แหละเหมาะที่จะเป็นสะใภ้ที่สุด มีความพยายามเป็นเลิศจริงๆ”
สุรีย์หันไปมองนันทินีที่ยังถือช่อดอกไม้แล้วก็ยิ้มให้
ณ มูลนิธิเด็กเวลานั้น เด็กๆเข้ามาแย่งของที่ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์ยืนแจกอยู่
“อย่าแย่งกันสิ นี่ถ้าไม่เข้าแถว พี่ไม่ให้นะ” ประกายดาวบอก
เด็กๆเชื่อฟังประกายดาวจึงรีบเข้าแถวทันที แล้วทั้งสามสาวก็ช่วยกันแจกของ
“เด็กๆเชื่อฟังแกดีเนอะไอ้ดาว” มิลินทร์บอก
จิตสุภางค์เห็นด้วย “เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไอ้ดาวเป็นนางฟ้า ส่วนพวกเราเป็นแม่มด”
ประกายดาวหัวเราะแล้วมองเด็กๆ ด้วยความรักและความสงสารก่อนจะหันไปทางเพื่อน
“เด็กพวกนี้เกิดจากความไม่มีวุติภาวะของพ่อและแม่ นึกอยากแต่จะมีความสุข แต่ไม่นึกถึงผลที่ตามมา พอเลี้ยงไม่ไหว ก็เอามาทิ้ง”
ประกายดาวเล่าไปก็มองเด็กๆแต่ละคนที่มีแต่ความบริสุทธิ์ไป
“ถึงเค้าจะเจริญเติบโตในสังคมเหมือนเด็กทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างคือจิตใจ ความคิด ความรู้สึก นั่นเพราะไม่มีพ่อกับแม่เป็นต้นแบบในการหล่อหลอม และอบรมสั่งสอน และปัญหาเด็กกำพร้า ก็มีมากขึ้นในสังคมไทย ฉันก็เลยคิดว่าฉันจะรับเด็กมาเลี้ยง พวกแกว่าดีมั๊ย”
เพื่อนสองคนหันขวับไปมองหน้าประกายดาวพร้อมกัน
จิตสุภางค์รีบปราม “อย่าเชียวนะ!! เอาลูกเค้ามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเค้ามาอม ฉันรู้ว่าแกรักเด็ก แต่ไม่ใช่ลูกเต้าเราซักนิด เอามาเลี้ยงจะดีเหรอ อีกอย่างเกิดวันดีคืนดี แกแต่งงานไป แล้วมีลูกเป็นของตัวเอง ทีนี้ล่ะมันจะมีปัญหา”
มิลินทร์เห็นด้วย “จิตพูดถูก แกไม่มีทางรักเด็กคนอื่นมากไปกว่าลูกแกหรอก นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมฉันกับผัวฉันถึงไม่ขอเด็กมาเลี้ยง”
“สิ่งที่พวกแกพูดมา..จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับฉัน เพราะชาตินี้ฉันไม่แต่งงานเด็ดขาด ฉันเข็ดแล้วกับผู้ชาย” ประกายดาวพูดด้วยแววตาเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด “แต่ฉันรักเด็ก พวกแกก็รู้ ฉันอยากมีลูก ฉันอยากมีจริงๆ และฉันก็มั่นใจว่าฉันสามารถเป็นแม่ที่ดีได้โดยไม่ต้องมีสามี”
จิตสุภางค์กับมิลินทร์อึ้งกับสีหน้าที่จริงจังและมุ่งมั่นของประกายดาว แต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเพราะจิตสุภางค์หันไปเจอเด็กจอมซนสามคนยืนเข้าแถวเอาของเนียนกับคนอื่น
“หมวย หลิง หลิน มายืนเนียนอะไรกับเค้าเนี่ย?” จิตสุภางค์ว่า
สามสาวน้อยหัวเราะชอบใจ
จิตสุภางค์เรียก “เฮียเชา!!”
เฮียเชารีบเข็นรถลูกคนสุดท้องของตัวเองเข้ามาหาพลางหอบแฮ่ก
“ดูลูกด้วยสิ ที่ให้เฮียมาด้วย ไม่ได้ให้มาเที่ยวนะ ให้มาช่วยกัน” จิตสุภางค์บ่นไปเรื่อย
ประกายดาวหันมาทางมิลินทร์ “แกเห็นมั๊ยลินทร์ มีลูกกวนตัวคนเดียว ดีกว่ามีผัวกวนใจอีกคน”
มิลินทร์หันไปมองจิตสุภางค์ที่ด่าผัวตัวเองไม่หยุดแล้วก็คิดตามที่ประกายดาวพูด
สุรีย์พานันทินีมายืนใกล้ๆกับจันทรภานุ
“คุยเป็นเพื่อนน้องหน่อยนะลูก น้องไม่รู้จักใคร”
จันทรภานุอยากปฏิเสธ “เออ..”
“แม่จะไปทักคุณหญิงสุดาทางด้านโน้นก่อน”
สุรีย์รีบเดินออกไป จันทรภานุเบื่อสุดๆ พอหันมาทางนันทินีเขาก็ผงะเพราะนันทินีเอาแต่ยิ้มเขินบิดไปบิดมา
“ถ้ายังไงเรามานั่งคุยกันดีมั๊ยคะคุณชาย เราจะได้ทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น” นันทินีบอก
จันทรภานุพยักหน้าแล้วก็นั่งลง นันทินีมองจันทรภานุด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์แล้วก็แกล้งสะดุดขาตัวเอง
“ว๊าย!”
จันทรภานุตกใจ นันทินีล้มลงไปนั่งตักจันทรภานุ คนทั้งร้านหันมามอง ช่างภาพหันมาถ่ายรูป นันทินีรีบโพสท่า จันทรภานุอึ้งมาก
“แฮ่ม..” จันทรภานุกระแอม นันทินีไม่รู้ตัวยังโพสท่าต่อไป “แฮ่มมมม!” นันทินีก็ยังไม่รู้ตัว “คุณนันครับ” นันทินีหันมา จันทรภานุถาม “เมื่อไหร่คุณจะลุกซักที”
นันทินีแกล้งตกใจ “อุ๊ยตาย..นันขอโทษค่ะ”
นันทินีลุกขึ้นยืน จันทรภานุรีบลุกขึ้นยืนตาม
“คุณชายจะไปไหนคะ”
“ผมจะไปห้องน้ำ คุณจะตามไปด้วยมั๊ย”
“ไปค่ะ” นันทินีตอบ จันทรภานุชะงัก นันทินีนึกได้ “อุ๊ย..คุณชายอ่ะ แกล้งนันเหรอคะ”
จันทรภานุส่ายหัวแล้วก็รีบเดินออกไป นันทินียิ้มปลื้มก่อนจะหันมาเจอสุรีย์ยืนอยู่
“หม่อมแม่..”
“หนูนันทำดีมากจ๊ะ” สุรีย์ชม นันทินียิ้ม “ถ้ายังไงแม่จะหาโอกาสให้หนูนันได้ไปดินเนอร์กับชายจันทร์สองต่อสองดีมั๊ย”
“เก๋กู๊ดเลยค่ะหม่อมแม่ขา”
สุรีย์กับนันทินีแอบตีมือกัน
เด็กๆช่วยกันเข็นรถที่มีเค้กรูปการ์ตูนเดินออกมาพร้อมกับร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ประกายดาวยิ้มไม่หุบในขณะที่ยืนอยู่กับมิลินทร์ จิตสุภางค์ เชา และลูกๆของจิตสุภางค์
เด็กๆ ช่วยกันร้อง “แฮป..ปี้...เบิร์ด..เดย์..ทู..ยู...ยย”
ประกายดาวหลับตาอธิษฐานแล้วก็เป่าเทียน ทุกคนปรบมือพร้อมร้องเฮ
เด็กๆกำลังกินเค็ก ประกายดาวตักเค้กใส่จานแล้วก็เห็นครอบครัวจิตสุภางค์ที่มีความเป็นครอบครัวมากๆ มีแม่กับพ่อกำลังป้อนเค้กลูกๆ ประกายดาวเห็นแล้วก็รู้สึกอ้างว้างลึกๆ มิลินทร์เดินมาข้างๆ แล้วเอ่ยถาม
“ดาว..เป็นไรป่ะ”
ประกายดาวฝืนยิ้ม “เปล่า”
มิลินทร์มองเพื่อนอย่างเข้าใจว่าเป็นอะไร ประกายดาวเดินไปป้อนเค้กให้เด็กตัวเล็กที่ยังกินเองไม่ค่อยได้ เธอเอามือเช็ดปากให้อย่างไม่รังเกียจ มิลินทร์มองเพื่อนด้วยความเห็นใจ
ระหว่างนั้นมีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ทุกคนหันไปมอง ไม่นานคนในรถก็เดินออกมา ทำให้ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์อึ้ง คนกลุ่มนั้นคือ ศิวะ อรอุมา และรติรส
ประกายดาวตกใจ “ศิวะ!”
จิตสุภางค์รีบผละจากลูกและสามีมาอยู่ข้างเพื่อนทันที
“กล้วยทอดแล้วแก”
“ไม่เป็นไร” ประกายดาวบอก
ศิวะหันมาเห็นประกายดาวก็ยิ้มด้วยความดีใจเพราะคิดอยู่ว่าจะต้องได้เจอที่นี่
“ดาว....”
อรอุมาหันไปมองตามก็หยุดชะงักแล้วจ้องประกายดาวตาเขม็ง รติรสเองก็เช่นกัน ประกายดาวรู้สึกว่างานจะกร่อยเลยหันไปทางเพื่อน
“พวกแกไปกันได้เลย ฉันต้องคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องอุปการะเด็ก”
“แต่ฉันว่าให้พวกฉันอยู่เป็นเพื่อนแกดีกว่า” มิลินทร์บอก
“ไม่ต้อง ฉันอยู่ได้ พวกแกไปเหอะ นายนั่นไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก เพราะเมียมาด้วย ฉันคุยธุระเสร็จจะรีบตามไปที่คาราโอเกะ”
ประกายดาวไม่รอคำตอบจากเพื่อน เธอเดินจ้ำออกไปทันที จิตสุภางค์กับมิลินทร์มองตามด้วยความเป็นห่วง ศิวะมองประกายดาวด้วยสีหน้าครุ่นคิดเลยเจอรอุมาหยิกเข้าที่แขน
ศิวะเจ็บ “โอ๊ย!!”
“จะทำอะไรรักษาหน้าฉันบ้าง มองแม่นั่นจนตาจะถลนออกมาอยู่แล้ว” อรอุมาว่า
ศิวะเงียบไม่กล้าพูด รติรสหันไปมองตามหลังประกายดาวแล้วก็เบ้หน้าไม่ชอบใจ ระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่เดินออกมา
“สวัสดีค่ะคุณอรอุมา”
อรอุมารีบควงแขนศิวะ แล้วหันไปยิ้มหวานสร้างภาพยิ้มทันที
สุรีย์ยืนอยู่กับจันทรภานุ
“เย็นนี้ไปทานข้าวกับหนูนันเค้านะลูก”
จันทรภานุผงะ “ทำไมล่ะครับหม่อมแม่”
“แม่บอกให้ไป ก็ไปเถอะ”
“ไม่ได้ครับ หม่อมแม่ต้องบอกเหตุผลกับผมมาก่อน ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้น ผมก็จะไม่ไป”
“นี่แม่นะชายจันทร์ ไม่ใช่ลูกน้องของลูก เหตุผลของแม่ก็คือ ลูกต้องไป เพราะหนูนันเป็นคนที่แม่เลือกแล้วว่าเหมาะสมกับลูกมากที่สุด”
“แต่แม่ครับ..ผมไม่ได้ชอบคุณนัน”
“ตอนแม่แต่งงานกับท่านพ่อ แม่ก็ไม่ได้ชอบท่านพ่อของลูกเหมือนกัน แต่พออยู่ๆกันไป แม่ก็รักท่านพ่อของลูกสุดหัวใจ ทำตามที่แม่สั่ง อย่าขัดใจแม่”
สุรีย์เดินออกไป จันทรภานุถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทันใดนั้นก็มีมือมาสะกิดไหล่เขา จันทรภานุหันไปก็เจอหญิงนิ่มยืนอยู่
“หญิงนิ่ม!”
“เจอศึกหนักสิคะพี่ชาย”
“เฮ้อ..ยังไงพี่ก็ไม่มีวันยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่หม่อมแม่เลือกให้เด็ดขาด (นึกอะไรออก) หญิงนิ่มช่วยอะไรพี่อย่างสิคะ”
จันทรภานุหน้าเจ้าเล่ห์ หญิงนิ่มมองสงสัย
เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารให้ประกายดาว ประกายดาวรับมาอ่าน
“นี่เป็นรายชื่อเด็กที่ยังไม่มีผู้อุปการะ คุณดาวค่อยๆดูตามสบายนะคะ เดี๋ยวดิฉันขอตัวซักครู่”
ประกายดาวรับคำ “ค่ะ”
เจ้าหน้าที่เดินออกไป ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง ประกายดาวแปลกใจ
“ทำไมกลับมาเร็ว..”
ประกายดาวหันไปเห็นศิวะก็แทบช็อค เธอรีบลุกขึ้นยืน
“ดาว...สบายดีเหรอ?”
“ก็ดี”
ประกายดาวตอบไปด้วยความอึดอัด แล้วเธอก็ตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกไป แต่ศิวะขวางทางเอาไว้ทำให้ประกายดาวต้องชะงัก
“เดี๋ยวสิดาว..เรามีเรื่องอยากคุยด้วย”
ศิวะส่งสายตาวิงวอน ประกายดาวมองอย่างไม่ไว้ใจ
รติรสยืนรอศิวะแต่ไม่เห็นกลับมาซักทีก็ระแวง หันไปทางอรอุมาที่ดูเจ้าหน้าที่ขนของบริจาคลงจากรถ
“อร..” รติรสอรอุมาหันมา “ฉันว่าศิวะไปเข้าห้องน้ำนานแล้วนะ”
อรอุมาคิดตาม “จริงด้วย”
อรอุมามองรติรสด้วยความสงสัย
ศิวะจับมือประกายดาวหมับ โดยที่ประกายดาวไม่ทันตั้งตัว
ประกายดาวยื้อไว้ “ปล่อย!”
ศิวะกุมมือประกายดาวแน่นกว่าเดิม “ถึงเราจะแต่งงานแล้ว แต่เราก็ยังรักดาวนะ รักดาวเสมอ”
ประกายดาวตกใจมาก พลันเสียงอรอุมาก็ดังขึ้น
“ทำอะไรกัน!”
ประกายดาวกับศิวะหันไปเห็นอรอุมากับรติรสยืนอยู่ ศิวะรีบปล่อยมือประกายดาวทันที
“เออ...”
ศิวะไม่กล้าพูดออกมา อรอุมาเข้ามาใส่ประกายดาวทันควัน
“หน้าตาก็ดี ไม่น่ามาลักกินขโมยกินแบบนี้” อรอุมาว่า ประกายดาวเหวอที่โดนด่าแบบไม่ทันตั้งตัว “มิน่าวันนี้คุณถึงได้อยากมาที่นี่นัก เพราะคุณจะมาหามันใช่มั๊ย!”
อรอุมาหันไปขวับมองศิวะ ศิวะหลบตาเพราะเป็นอย่างที่อรอุมาพูดจริงๆ
“นี่คงนัดมาล่ะสิ”
ประกายดาวฉุนกึก “มันจะน้ำเน่าไปหน่อยมั๊ง ฉันเนี่ยนะนัดตานี่มา ประสาท!”
อรอุมาสะดุ้ง รติรสรีบยุ ศิวะตกใจ
“มันด่าเธอว่าประสาทน่ะอร”
“ฉันรู้แล้ว” อรอุมาพูดแล้วหันไปจ้องหน้าประกายดาว “แกรู้มั๊ยว่าฉันเป็นใคร”
“แล้วแกรู้มั๊ยล่ะว่าฉันเป็นใคร?”
อรอุมาโกรธมาก รติรสพลอยโกรธไปด้วย ศิวะค่อยๆถอยด้วยความกลัวจนหัวหด
“แกกล้าดียังไงมาพูดกับฉันอย่างนี้”
ประกายดาวเท้าเอวด่ากลับอย่างทันควันแถมเดินเข้าหาทำให้อรอุมากับรติรสต้องล่าถอย
“แล้วแกกล้าดียังไงมากล่าวหาฉันอย่างนี้ อะไรที่ฉันทิ้งไปแล้ว ฉันไม่มีทางจะเก็บมันมาใช้อีกหรอก อย่ามาทำเป็นน้ำเน่าเป็นนางอิจฉาที่นี่ ที่นี่บริสุทธิ์เกินกว่าจะต้องมาแปดเปื้อนเพราะความคิดอกุศลของแก”
อรอุมากับรติรสถอยจนหลังชนกำแพง ศิวะตัวหงอไม่กล้าสบตาใคร ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่เดินกลับมาเห็นเหตุการณ์ก็แปลกใจ
“มีอะไรกันรึเปล่าคะ”
ประกายดาวส่งเอกสารคืน “ฝากไว้ก่อนนะคะ ยังไม่มีอารมณ์ดูตอนนี้ วันหลังฉันจะมาใหม่” ประกายดาวหันไปทางศิวะ “แล้วเธอ..ศิวะ” ประกายดาวว่า ศิวะสะดุ้งเงยหน้ามอง “ดูแลภรรยาเธอด้วย อย่าให้มาแสดงกิริยาต่ำๆอย่างนี้ไม่ว่ากับฉันหรือกับใครทั้งนั้น ลาก่อน ลาขาด”
ประกายดาวจ้ำเดินออกไป อรอุมากำมือแน่นเลือดขึ้นหน้าสุดๆ
“เธอจะยอมให้มันด่าเธอฝ่ายเดียวไม่ได้นะอร” รติรสว่า
อรอุมารีบจ้ำตามประกายดาวออกไป รติรสเดินตามไปติดๆ ศิวะเห็นท่าไม่ดีก็หัวเสียมากแล้วก็รีบตามออกไป เจ้าหน้าที่ยืนงง
ประกายดาวเดินจ้ำออกมา อรอุมา รติรส และศิวะเดินตามมา
“ด่ากันแล้วจะไปง่ายๆอย่างนี้เหรอ” รติรสเดินตามมาว่า
ประกายดาวสุดทนจึงหันมา “แล้วจะเอาไง ตบกันเลยมั๊ย”
อรอุมากับรติรสตกใจมาก ประกายดาวถลกแขนเสื้อขึ้น
“จะกี่คนก็ดาหน้าเข้ามา..มาเซ่..”
ประกายดาวดัดมือเตรียมพร้อม อรอุมาผลักรติรสออกไปตรงหน้าประกายดาว รติรสตกใจ
“ตบมันเลยรติ!” อรอุมาบอก
รติรสเหวอไปเพราะเอาเข้าจริงเธอก็ไม่กล้า ทันใดนั้นจิตสุภางค์กับมิลินทร์ก็เดินกลับเข้ามา
“แน่จริงก็ตบเพื่อนฉันสิ!” มิลินทร์ท้าทาย
ประกายดาวหันไปเห็นเพื่อนก็ผงะ เพราะสองเพื่อนซี้เข้ามาประกบตัวเธอไว้
จิตสุภางค์พูด “กิ๊กผัวฉันต่อกี่คนกี่คน ฉันก็ตบหน้าแหกปากแตกมาแล้ว แค่แกสองคน ไม่ครณามือฉันหรอก”
ประกายดาวยิ้มดีใจ แล้วทั้งสามสาวตั้งท่าใส่รติรสและอรอุมา รติรสหวาดกลัวจึงรีบมาหลบหลังอรอุมา
“กลับได้แล้ว” ศิวะจับแขนอรอุมา “ไปสิ!”
ศิวะลากอรอุมาให้ออกไป รติรสรีบตามไปด้วยความกลัว ประกายดาวโล่งอก เธอหันไปทางเพื่อนทั้งสองคน
“กลับมาอีกทำไม?” ประกายดาวถาม
“จะให้ฉันสองคนทิ้งแกไว้กับเสือสิงห์กระทิงแรดพวกนั้นได้ไง?!” จิตสุภางค์ว่า
ประกายดาวยิ้มด้วยความดีใจ เพื่อนสาวทั้งสามคนยิ้มให้กัน
นันทินีขับรถ โดยมีจันทรภานุนั่งข้างๆ นันทินีเปิดวิทยุทำให้เสียงเพลงแนวยั่วยวนดังขึ้น จันทรภานุชะงัก
นันทินีพูดเสียงกระเซ้า “คุณชายทราบมั๊ยคะว่าวันนี้เป็นวันที่นันมีความสุขมากที่สุด”
นันทินีจับหมับที่ต้นขาของจันทภานุ จันทรภานุสะดุ้งโหยงแล้วแกล้งทำเป็นแขนกระตุกจะโดนหน้านันทินี
นันทินีตกใจ “ว๊าย!”
“ขอโทษครับคุณนัน ผมเป็นโรคบ้าจี้น่ะครับ ใครแตะตัวไม่ได้เด็ดขาด แขนขามันจะชักกระตุก”
“เหรอคะ”
“ใช่ครับใช่”
นันทินีมองจันทรภานุด้วยความแปลกใจมาก จันทรภานุหันไปลอบยิ้ม พลันเสียงมือถือของจันทรภานุก็ดังขึ้น จันทรภานุหยิบมือถือออกมาเห็นชื่อ “หญิงนิ่ม” ก็อมยิ้มแล้วก็เก็กหน้าขรึมรับโทรศัพท์
“ว่าไงหญิงนิ่ม” จันทรภานุแกล้งตกใจ “ว่าไงนะ!” นันทินีเหล่มอง “ตอนนี้น้องหญิงอยู่ไหน?” จันทรภานุฟัง “พี่จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
จันทรภานุวางสายแล้วหันไปทางนันทินี
“ผมไปดินเนอร์กับคุณนันไม่ได้แล้วล่ะครับ น้องหญิงเกิดอุบัติเหตุ”
“ตายแล้ว แล้วน้องหญิงเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
“ผมยังไม่ทราบ แต่น้ำเสียงดูกังวลใจมาก คุณนันส่งผมลงตรงนี้แหละครับ”
“ให้นันไปส่งคุณชายดีกว่านะคะ”
จันทรภานุตกใจจึงรีบพูดเสียงดัง “ไม่ได้ครับ” นันทินีตกใจ “เออ..คือ...น้องหญิงขับรถชนคน ตอนนี้นอนเลือดอาบอยู่กลางถนน ไม่รู้ว่าสมองไหลรึเปล่า”
นันทินีทำหน้าตื่นกลัว
“ห๊ะ!! รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นคุณชายรีบไปเถอะค่ะ”
“ครับครับ”
นันทินีจอดรถ จันทรภานุหันไปพูด
“แล้วไว้เราค่อยนัดกันใหม่นะครับ”
“ค่ะ”
จันทรภานุหันหลังเปิดประตูแล้วก็ยิ้มสบายใจ
หญิงนิ่มมองหน้าจันทรภานุด้วยสีหน้าตกใจ
“พี่ชายพูดขนาดนั้นเลยเหรอคะ?!! แล้วถ้าเกิดพี่นันเอาไปบอกหม่อมป้า หญิงไม่กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะเหรอ?”
“พี่ไม่รู้จะทำยังไง ก็ต้องแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน”
“อย่าเอาตัวรอดคนเดียวนะคะ” หญิงนิ่มว่า จันทรภานุยิ้ม “หญิงช่วยพี่ชายแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาพี่ชายที่ต้องช่วยหญิงบ้าง”
“มีทวงบุญคุณกันด้วย?”
“แน่นอนค่ะ พี่ชายต้องไปคาราโอเกะกับหญิง”
“เฮ้อ..นี่พี่หนีเสืออย่างหม่อมแม่ มาปะจระเข้อย่างเราใช่มั๊ย”
หญิงนิ่มยิ้มแต่ไม่ตอบ
ประกายดาว จิตสุภางค์ และมิลินทร์ร่วมด้วยช่วยกันแหกปากร้องเพลงอยู่ที่คาราโอเกะ
“ไปไป..ไปลงนรกซักเถอะที่รัก ฉันจะลงโทษเธอ เวลาของเธอหมดแล้ว”
เวลาผ่านไป จิตสุภางค์กับเชาร้องเพลง ประกายดาว มิลินทร์ และเด็กๆกำลังเต้นท่าเดียวกัน
“Loving You Too Much So Much Very Much Right Now ไม่รู้ว่าเจอเธอทำไมถึงยาว ชิล ชิล ได้ไหม รู้ไหมดวงใจฉันปลิว รักเธอมากเกินมากไป มาก มาก มากมากมาย But don’ t you so ซังกะตาย I hate to lie ไม่อยากจะน้ำตาออก My eyes”
ประกายดาวที่หน้าแดงเพราะความร้อนกำลังร้องเพลง มิลินทร์ จิตสุภางค์ เชา และลูกๆเต้นไปด้วยกัน
“อยู่คนเดียวเมื่อตอนเย็นๆ และก็ไม่เห็นว่าจะต้องมีใครใครมาเคียงข้าง อยู่ลำพังกับความอ้างว้าง นั่งมองดูแสงรำไรของดวงตะวันจนลับไป....”
อีกฝั่ง เพื่อนของหญิงนิ่มกำลังร้องเพลง จันทรภานุดูจะเซ็งๆ หญิงนิ่มเขยิบมานั่งข้างๆพร้อมกับยื่นไมโครโฟนมาให้
“ร้องซักเพลงมั๊ยคะพี่ชาย”
จันทรภานุปฏิเสธ “ไม่ล่ะ พี่ร้องเพลงไม่เป็น”
“อ้าว?? นี่พี่ชายยังพูดได้เหรอคะ” หญิงนิ่มว่า จันทรภานุนิ่วหน้า “ก็ตั้งแต่มาถึง หญิงไม่เห็นพี่ชายจะพูดอะไรเลย”
จันทรภานุเสียงแข็ง “น้องหญิง...”
“หญิงล้อเล่นค่ะ” หญิงนิ่มบอก จันทรภานุยิ้ม “พี่ชายยิ้มแล้ว ค่อยยังชั่ว เพื่อนๆหญิงเค้าเกร็งกันหมดแล้วนะคะ”
“แล้วน้องหญิงคิดว่าพี่ไม่เกร็งเหรอคะ”
จันทรภานุเป็นผู้ชายคนเดียวที่นั่งอยู่ในห้อง หญิงนิ่มยิ้มแหย
“พี่รู้นะว่าเราชวนพี่มาที่นี่เพราะอะไร? เลิกคิดจับคู่ให้พี่เข้าใจ๊”
หญิงนิ่มทำหน้าเหรอหราแล้วรีบปฏิเสธ “อุ๊ย..หญิงไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะคะ” เสียงเพลงใหม่ดังขึ้น “เพลงที่หญิงขอมาแล้ว หญิงขอร้องเพลงก่อนนะ”
หญิงนิ่มรีบหันไปพลางพ่นลมหายใจโล่งอก จันทรภานุมองอย่างรู้ทันแล้วก็ส่ายหัว
ประกายดาวกำลังล้างหน้าอยู่ในห้องน้ำ เธอเงยหน้ามองกระจกก็เห็นหน้าตัวเองแดงก่ำ
“แก่แล้วจริงๆเรา ร้องเพลงแค่นี้เหนื่อย” ประกายดาวขยับตัวจะเดิน “อู๊ย..สงสัยจะเต้นแรงไปหน่อย”
ประกายดาวหันไปจะดึงกระดาษมาเช็ดหน้าแต่กระดาษหมด
“เอ้า??!! เฮ้อ”
ประกายดาวยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าแบบขอไปที ก่อนจะเดินออกไป
ประกายดาวค่อยๆเดินออกมาด้วยท่าทางเหมือนคนเมา และเพราะมีเพียงแสงสลัวจากไฟข้างทางทำให้ประกายดาวมองไม่เห็นว่ามีคนเดินมา เธอชนเข้ากับคนๆนั้นเต็มๆ
“ว๊าย!”
ก่อนที่ประกายดาวจะล้มลงไปบนพื้น ก็มีมือจากคนๆ นั้นเข้ามาประคองเอวเธอไว้
“ขอบคุณค่ะ”
คนๆนั้นก็คือจันทรภานุนั่นเอง
“เดินระวังหน่อยสิคุณ”
เสียงที่ดุดันของจันทรภานุทำให้ประกายดาวหันไปมอง ทันทีที่จันทรภานุกับประกายดาวเห็นหน้ากันก็ผงะ เพราะจำกันได้
“นาย!” / “เธอ”
อ่านต่อหน้า 3
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 1 (ต่อ)
จันทรภานุปล่อยประกายดาวทันที ทำให้ประกายดาวล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้น
“โอ๊ย!” ประกายดาวของขึ้นจึงลุกขึ้นยืน “ปล่อยได้ไง?!”
“ถือว่าหายกัน เรื่องที่คุณสาดกาแฟใส่ผมวันก่อน”
“ผ่านมาตั้งนาน ยังจำได้อีก เจ้าคิดเจ้าแค้นนะเนี่ย ตุ๊ดป่ะ”
จันทรภานุเลือดขึ้นหน้า “นี่!! มันจะมากไปแล้วนะ”
“มันไม่มากไปหรอก ถ้าเทียบกับคนที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างคุณ!”
“ผมไม่เป็นสุภาพบุรุษตรงไหน”
“ไร้มารยาท พูดจาไม่ดี ไม่เคารพกฎจราจร เอาเป็นว่าก็ทุกตรงนั่นแหละ”
ประกายดาวมองจันทรภานุตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาเหยียดหยาม ทำให้จันทรภานุไม่พอใจ
ฟากมิลินทร์เดินมารินน้ำดื่มที่ริมกระจกหน้าต่าง ขณะที่กำลังจะดื่ม สายตาของเธอเหลือบไปเห็นประกายดาวกำลังต่อล้อต่อเถียงกับจันทรภานุ มิลินทร์ตกใจจนสำลักน้ำพรวด จิตสุภางค์เห็นท่าทีของเพื่อนก็แปลกใจ
“เป็นไร?”
มิลินทร์หันมามองเพื่อนหน้าตาตื่น
ส่วนจันทรภานุกับประกายดาวยังคงเถียงกันต่อ
“แล้วหยั่งกับตัวเองดีตาย..ผู้หญิงขี้เมา!”
ประกายดาวผงะ “ฉันไม่ได้เมา”
“คนเมาที่ไหนจะยอมรับว่าตัวเองเมา” จันทรภานุทำหน้าเอือมๆ “มีแฟนยัง”
“มันเกี่ยวไร?”
“ถ้าคุณมีแฟน ผมจะไปบอกให้แฟนคุณเลิกกับคุณน่ะสิ”
ประกายดาวฉุนกึก “แล้วหยั่งกะตัวเองดีตาย ผู้ชายอะไรปากจัดยิ่งกว่าผู้หญิง”
จันทรภานุกำลังจะของขึ้น แต่มิลินทร์กับจิตสุภางค์รีบออกมาห้าม
“ดาว..!”
ประกายดาวกับจันทรภานุหันไปมอง
มิลินทร์รีบเข้ามาหาจันทรภานุ “สวัสดีค่ะคุณชายจันทร์” ประกายดาวชะงัก มิลินทร์พูดต่อ “จำลินทร์ได้มั้ยคะ” จันทรภานุมองนิ่ง “จำไม่ได้ไม่เป็นไรค่ะ มิลินทร์ นักข่าวหน้าสังคมของหนังสือพิมพ์ไทยไลน์ที่เคยสัมภาษณ์คุณชายจันทร์”
จันทรภานุนึกขึ้นได้แล้วก็พยักหน้า มิลินทร์ดีใจ
“ลินทร์ต้องกราบขออภัยอย่างสูง ที่เพื่อนลินทร์ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงค่ะ”
ประกายดาวชะงัก จันทรภานุเหลือบมองประกายดาวแว๊บนึงแล้วก็หันมาทางมิลินทร์
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ เพราะนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน แต่ถ้าให้ดีก็หัดสั่งสอนเพื่อนคุณด้วยว่าผู้หญิงที่ดีเค้าทำตัวกันยังไง?!”
ประกายดาวไม่พอใจจึงจะอ้าปากด่า จิตสุภางค์รีบเอามือปิดปากประกายดาวไว้แน่น แล้วจันทรภานุก็เดินออกไป มิลินทร์หันไปมองประกายดาวสายตาตำหนิ
ครู่ต่อมาประกายดาวทิ้งตัวนั่งลงด้วยความโมโห มิลินทร์กับจิตสุภางค์นั่งอยู่ข้างๆ
“ก็แค่หม่อม จะกลัวอะไรนักหนา” ประกายดาวว่า
“ไม่ได้กลัว แต่เกรง นั่นน่ะคุณชายจันทร์เชียวนะเว๊ย” มิลินทร์บอก
“จันทร์เจินอะไรไม่รู้จัก ชื่อหยั่งกะผู้หญิง”
มิลินทร์อธิบาย “หม่อมราชวงศ์จันทรภานุ นพรัตน์ เค้าดังมากนะแก แกนี่มันหลังเขาจริงเชียว ตระกูลเค้าดีสุดๆ เจ้าของห้างมีเดียกรุ๊ป และโรงแรมอีกหลายแห่งในประเทศไทย เป็นหนุ่มสังคมที่กำลังเป็นที่จับตามองของสาวๆหลายคน”
จิตสุภางค์ถาม “อายุเท่าไหร่แล้ว”
“35 แต่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เค้าว่ากันว่าคุณชายไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหน ฉายาของคุณชายก็คือ “เดทเดียวดับ” ถ้าผู้หญิงคนไหนได้ออกเดทกับคุณชายแล้วล่ะก้อ คุณชายจะบอกเลิกทันที”
เหตุการณ์ “เดทเดียวดับ” ของราชนิกุลรูปงาม และพรุ่งพรูออกจากปากมิลินทร์ เป็นฉากๆ
วันนั้นจันทรภานุชนแก้วไวน์กับสาวสวยที่ดูผู้ดีมากๆ ในร้านอาหารสุดหรู
“เจนเล่าเรื่องของเราให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ท่านสองคนยินดีมากถ้าเราจะคบหาดูใจกัน”
จันทรภานุที่กำลังจะดื่มไวน์ถึงกับชะงักค้างท่านั้น
อีกวันหนึ่ง ที่ฟิตเนส สาวมาดสปอร์ตเกิร์ลคนหนึ่งยืนมองจันทรภานุสีหน้าเอียงอาย
“ฉันชอบคุณชายค่ะ”
จันทรภานุอึ้ง
ส่วนอีกวัน สาวหน้าหวานยืนตรงหน้าจันทรภานุที่อยู่ที่สวนสาธารณะ
“คุณชายนัดเอ๋ออกมาแบบนี้ แสดงว่าความสัมพันธ์ของเราสองคน..มากกว่าเพื่อนแล้วใช่มั้ยคะ”
จันทรภานุผงะ
ณ ร้านอาหารหรู จันทรภานุวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ ขณะเอ่ยขึ้น
“การที่ผมนัดคุณออกมาทานข้าว ไม่ได้หมายความว่าผมตกลงที่จะคบกับคุณ” จันทรภานุบอก สาวผู้ดีชะงัก “ผมขอโทษที่ต้องบอกว่า...เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า”
สาวผู้ดีร้องไห้เงียบๆ ด้วยความเสียใจแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป จันทรภานุถอนใจอย่างหนัก
ส่วนสปอร์ตเกิร์ลที่ฟิตเนสมองจันทรภานุสีหน้าผิดหวังเสียใจ
“เป็นเพื่อนกัน!!”
จันทรภานุพยักหน้า สปอร์ตเกิร์ลร้องไห้เสียงดังแล้วก็วิ่งออกไป ทำเอาคนในฟิตเนสหันมามองจันทรภานุเป็นตาเดียว
เช่นเดียวกับสาวหวานฟูมฟายอย่างหนักอยู่ที่สวนสาธารณะ
“ทำไมคะ? ทำไมคุณชายไม่ชอบฉัน ทำไม? โฮๆๆ”
สาวหวานทรุดเข่าลงกับพื้นแล้วก้มหน้าร้องไห้ จันทรภานุรู้สึกผิด
เหตุการณ์ “เดทเดียวดับ” ถูกถ่ายทอดให้ตากล้องสาวโสดฟัง ประกายดาวหันไปทางมิลินทร์กับจิตสุภางค์
“โรคจิต!” ประกายดาวว่า
มิลินทร์กับจิตสุภางค์สะดุ้งตกใจ ประกายดาวด่าต่อ
“ฉันว่าเค้าต้องมีปัญหาทางด้านความสัมพันธ์ เป็นคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคนอื่น ไม่มีความปราณี ไม่มีน้ำใจ ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา..”
“โว๊ย!! พอได้แล้ว” จิตสุภางค์โวย ประกายดาวเงียบ “บางทีที่เค้าทำแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะเค้าเป็นคนกลัวความรักก็ได้ เค้าถึงไม่อยากผูกพันหรือผูกมัดกับใคร”
“ฉันเห็นด้วยกับที่ไอ้จิตบอก” มิลินทร์บอก
“แต่ฉันว่าไม่ใช่” ประกายดาวลูบคางแล้วครุ่นคิด “หรือว่า...” ประกายดาวหันขวับมาทางสองคน “เค้าเป็นเสือผู้หญิง เป็นประเภทฟันแล้วทิ้ง”
“เฮ้ย!! ไม่นะ เท่าที่ฉันรู้ คุณชายคบแค่ครั้งล่ะคน ผู้หญิงที่สนิทกับคุณชายมากที่สุด มีคนเดียวคือคุณหญิงนิ่ม คนนี้เป็นญาติห่างๆ ห่างมาก ห่างจนแต่งงานได้เลยล่ะ แต่คุณชายก็ดูจะไม่สนอีกนั่นแหละ คนที่กลุ้มใจมากที่สุดคือหม่อมสุรีย์ หม่อมแม่ของคุณชาย เพราะท่านอยากมีหลานจนตัวสั่น แต่คุณชายก็ไม่เคยชอบใครจริงจัง”
“แกนี่รู้จริง” ประกายดาวถาม
“ก็ถ้าฉันยังไม่แต่งงาน คุณชาย...เสร็จฉันแล้ว” มิลินทร์บอก
ประกายดาวกับจิตสุภางค์แบะปากหมั่นไส้
“ถ้าโลกนี้เหลือคุณชายจันทร์เป็นผู้ชายคนเดียว ฉันยอมเป็นโสดไปจนตายดีกว่า”
สีหน้า แววตา ตลอดจนน้ำเสียงประกายดาวมุ่งมั่นมาก
ขณะที่ประกายดาวเดินอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง ด้วยสีหน้างงงวยว่ามันคือที่ไหน พลันก็มีเสียงเด็กดังขึ้น
“แม่ดาว..”
ประกายดาวหันขวับไปเห็นเด็กหน้าตาน่ารักคนหนึ่งวิ่งมาหา ประกายดาวยิ้มและมองด้วยความรัก
เด็กเรียก “แม่ดาวจ๋า”
ประกายดาวย่อตัวลงแล้วดึงเด็กมากอด “ลูกแม่”
เด็กกอดประกายดาวแล้วก็ผละออกมาก่อนจะหันไปทางข้างหลัง
“คุณพ่อ...” เด็กเรียก
ประกายดาวแปลกใจ เธอลุกขึ้นมองลุ้นๆ จันทรภานุเดินยิ้มเผล่ออกมา ประกายดาวทำหน้าตาตื่นตกใจสุดๆ
ประกายดาวนอนอยู่บนเตียงนอน ร้องโวยวายดังลั่น
“ไม่....ไม่จริงง”
ประกายดาวดิ้นๆๆ จนตกเตียงดังโครม เธอสะดุ้งตื่นแล้วจึงรีบลุกขึ้นนั่ง
“เฮ้อ…ฝัน” ประกายดาวถอนใจอย่างโล่งอก
ประกายดาวนึกขึ้นได้ จึงหันไปดูเวลา
“เฮ้ย!! ไม่ทันแล้ว”
ประกายดาวรีบลุกแล้วเดินออกไป
บรรยากาศงานเปิดโรงพยาบาลเช้านี้แสนคึกคึก มีผู้คนมาร่วมงานมากมาย มีลูกโป่งแจกเด็กๆ ประกายดาวยืนอยู่กับเจ้าหน้าที่
“ยังทันค่ะ งานยังไม่เริ่ม เชิญทางนี้ค่ะ” เจ้าหน้าที่บอก
ประกายดาวพยักหน้าพลางหอบเหนื่อย แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ไป
หมอเดินขึ้นมาบนเวที แขกเหรื่อปรบมือ ประกายดาวคอยเก็บภาพ
หมอพูด “สวัสดีครับ แขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน..ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานฉลองครบ 10 ปีของโรงพยาบาล...”
แขกเหรื่อปรบมือ
“ในปีที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลของเรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในเรื่องศูนย์การรักษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งมีอัตราความสำเร็จสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานการรักษาทั่วไป เรามีความยินดีที่ได้มองของขวัญล้ำค่าให้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านครับ” ทุกคนปรบมือ
ประกายดาวไม่ได้สนใจอะไรมาก เธอยังคงเก็บภาพต่อไป
“หลายต่อหลายท่านในนี้มีความสงสัยว่าการทำ IVF หรือเด็กหลอดแก้ว เค้าทำกันอย่างไร ต่อไปนี้ขอเชิญชมพรีเซนเทชั่นดังกล่าวได้เลยครับ”
การฉายพรีเซนเทชั่นก็เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการบรรยาย
“IVF เป็นการนำเอาเซลส์สืบพันธุ์จากฝ่ายหญิงได้แก่ ไข่ และตัวเชื้ออสุจิจากฝ่ายชายมาผสมกันในจานเพาะเลี้ยง..ทำให้เกิดการปฏิสนธิ และมีการแบ่งตัวของเซลล์ตัวอ่อน”
ประกายดาวชะงักแล้วหันไปมองการพรีเซนต์ด้วยความสนใจ เธอค่อยๆเดินเข้าไปยืนมองภาพนั้นใกล้ๆ
“... จากนั้นจึงนำตัวอ่อนย้ายกลับเข้าไปเลี้ยงต่อในโพรงมดลูก ความสำเร็จในการตั้งครรภ์ แต่ล่ะครั้งประมาณ 20-50%”
ประกายดาวค่อยๆ ยิ้มออกมา เมื่อเห็นภาพไข่กลายเป็นเด็ก และถูกนำกลับเข้าไปในมดลูก เธอเห็นภาพการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ประกายดาวตื่นตาตื่นใจมากๆ ราวกับได้เจอกับสิ่งที่รอคอยมานานแสนนาน
หลังจบการพรีเซนต์ ทุกคนปรบมือ หมอเดินออกมา
“ต่อไปนี้ขอเชิญเด็กที่เกิดจากการทำ IVF หรือเด็กหลอดแก้ว ขึ้นมาบนเวทีได้เลยครับ”
พ่อแม่พาลูกๆขึ้นไปบนเวที เด็กทุกคนเป็นเด็กที่แข็งแรง ร่าเริง สดใส ยิ่งทำให้ประกายดาวมีความหวังในการที่จะมีลูกโดยไม่ต้องมีพ่อ
ประกายดายพึมพำ “ในที่สุด..ความฝันของฉันที่อยากมีลูกที่เกิดจากสายเลือดของตัวฉันเองก็เป็นความจริง” ประกายดาวยิ้มตื้นตันจนน้ำตาจะไหล
พอเห็นหมอเดินมา ประกายดาวรีบเข้าไปหาทันที
“คุณหมอคะ” ประกายดาวเรียก หมอหันมา “ฉันอยากถามเกี่ยวกับเรื่องการทำเด็กหลอดแก้วน่ะค่ะ” หมอตั้งใจฟัง “มันมีเคสที่ผู้หญิงไม่ได้แต่งงาน แต่อยากมีลูก มาขอทำเด็กหลอดแก้วกับคุณหมอมั้ยคะ”
“ในกรณีของทางโรงพยาบาลเรามีนะครับ แต่ของที่อื่นผมไม่ทราบ” หมอบอก ประกายดาวตาเป็นประกายสมชื่อขึ้นมาทันที “แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ส่วนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ ก็ยังไม่มี เพราะว่าเค้าจะมาขอฟรีซไข่เก็บเอาไว้ก่อน”
ประกายดาวนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ “ฟรีซไข่เก็บเอาไว้ก่อน คืออะไรเหรอคะ?”
“ผู้หญิงที่ยังไม่มีสามี แต่อยากเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว การหาน้ำเชื้อ มันต้องใช้เวลา อาจจะเป็นปี เพราะฉะนั้น เค้าก็จะเก็บไข่ฟรีซเอาไว้ตอนอายุปัจจุบัน เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลกับอายุที่มากขึ้น..ซึ่งมันจะมีความเสี่ยงต่อการมีบุตรครับ”
ประกายดาวฟังแล้วก็คิดตาม
ไม่นานต่อมา ณ ร้าน “ดินแดนต้นไม้” แดนดินที่กำลังดูคนงานขนต้นไม้หันมาทางประกายดาวด้วยสีหน้าอึ้งตะลึง
“แกจะมีลูก!”
ประกายดาวพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักแน่น แดนดินลมแทบจับ
“นี่แกท้องเหรอไอ้ดาว!”
แดนดินแผดเสียงดังลั่นทำให้คนงานและลูกค้าหันมามองเป็นตาเดียว
ประกายดาวเหวอ “มะ..ไม่...”
แดนดินไม่ฟังและใส่ไม่หยุด “ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร!! ฉันจะไปฆ่ามัน!”
ประกายดาวรีบพูด “ใจเย็นพี่ดิน ดาวไม่ได้ท้อง!! แต่ดาวอยากมีลูก”
แดนดินอึ้งอีกหน เขามองประกายดาวด้วยความไม่เข้าใจ
“แกพูดอะไรของแกวะ?”
ประกายดาวรีบหยิบโบรชัวร์ในกระเป๋าออกมาส่งให้แดนดิน แดนดินรับมามองแบบงงๆ
“วันนี้ดาวไปงานฉลองครบรอบ10ปีของโรงพยาบาลนี้ ซึ่งเค้ามีชื่อเรื่องการทำเด็กหลอดแก้ว ด้วยวิธีการของเค้า มันทำให้ดาวรู้ว่า เรามีลูก โดยที่ไม่ต้องมีสามีก็ได้”
แดนดินยังงงอยู่ “แกพูดใหม่สิ”
“ดาวอยากมีลูก ลูกที่เกิดจากสายเลือดของดาว ดาวจะท้องเอง แล้วดาวก็จะไปหาซื้อสเปิร์มของคนหล่อๆ ฉลาดๆ แล้วก็นิสัยโอเคมาผสมกับไข่ของดาวแล้วก็ให้หมอจัดการให้”
คนทั้งร้านหันขวับมามองประกายดาว แดนดินจึงต้องดึงประกายดาวไปหลบมุม
“หยุดพูดเรื่องสะปงสเปิร์มในร้านของฉันนะ!” แดนดินยัดโบรชัวร์คืน “แกเพี้ยน แกปัญญาอ่อนรึเปล่า คิดอะไรเป็นผู้เป็นคนกับเค้าเป็นบ้างมั้ย ฉันไม่คุยกับแกแล้ว”
แดนดินเดินหนี ประกายดาวเดินตามไปพูดด้วย
“พี่ดินก็รู้ว่าดาวรักเด็ก ดาวอยากมีลูก” ประกายดาวบอก แดนดินไม่ฟัง “มันทำได้จริงๆนะพี่ดิน”
แดนดินสุดทน “ไอ้ดาว ลูกนะเว๊ย ไม่ใช่ข้าวของเครื่องใช้ที่จะจับจ่ายซื้อหาได้ เด็กมีชีวิต มีจิตใจ ถ้าเกิดเค้าโตขึ้นมา แล้วอยากรู้ว่าตัวเองเกิดมาได้ยังไง แล้วแกจะตอบลูกแกได้เหรอ?”
“ทำไมจะตอบไม่ได้ ก็บอกความจริงไปสิ บอกว่าดาวเป็นแม่ที่รักและอยากมีลูกมากๆ”
“แล้วถ้าเพื่อนล้อล่ะ แกมันคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดถึงเด็กมันบ้าง” แดนดินว่า
“เพื่อนล้อ ก็บอกว่าเท่ห์จะตาย เป็นเด็กที่ไม่เหมือนใคร ดาวจะสร้างปมเด่นให้ลูก” ประกายดาวแถ แดนดินอยากจะบ้าตาย “ยังไงดาวก็คงไม่แต่งงาน ดาวไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากยุ่งยาก รำคาญใจ มรดกที่ป๊ากับม้าทิ้งไว้ให้ก็มีเยอะแยะ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาแน่”
แดนดินทำหน้าขึงขัง “นี่แกเอาจริงแน่แล้วใช่มั้ย”
“ใช่” แดนดินจะพูดต่อแต่เจอประกายดาวชี้หน้า “อย่านะพี่ดิน อย่ามายื่นคำขาดตัดพี่ตัดน้องเชียว” แดนดินผงะที่น้องสาวรู้ทัน “ไม่งั้นตัดเป็นตัด!”
ประกายดาวทำหน้าจริงจังจนแดนดินชักใจเสีย
“ความจริงดาวไม่ต้องบอกพี่ก็ได้ เพราะนี่เป็นชีวิตของดาว แต่ดาวเห็นพี่เป็นพี่ เป็นญาติคนเดียวที่ดาวเหลืออยู่ ดาวถึงบอก ดาวอยากมีลูกจริงๆนะพี่ดิน และดาวต้องมีให้ได้ พี่ดินคอยดู”
พูดจบประกายดาวก็เดินจ้ำออกไป ทิ้งให้แดนดินกลุ้มใจอยู่คนเดียว
แดนดินนั่งถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าด้วยความเครียดสุดๆ นภาวัลย์เอาผลไม้มาให้ ในขณะที่ฟ้านั่งเล่นบนพื้นคนเดียว
“ทานผลไม้ให้ชื่นใจก่อนค่ะ”
“ตอนนี้ผมทานอะไรไม่ลงทั้งนั้น” แดนดินบอก
“อย่าคิดมากสิดิน”
“จะไม่ให้คิดมากได้ไง ไอ้ดาวจะมีลูกโดยไม่มีผัว”
“ชู่ว์..ระวังคำพูดหน่อยค่ะ ตอนนี้น้องฟ้ากำลังจำ”
“ผมขอโทษ ท่าทางมันจะเอาจริง แล้ววัลย์ก็รู้ว่าคนอย่างดาว ลองตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจมันได้ง่ายๆ เฮ้อ..ผมกลุ้มใจจริงๆนะ”
แดนดินลุกเดินไปดูรูปพ่อกับแม่ที่วางไว้
“ตั้งแต่ป๊ากับม้าตาย เราก็มีกันแค่สองคนพี่น้อง ป๊ากับม้าสั่งให้ผมดูแลน้อง แต่วัลย์ดูที่มันกำลังจะทำดิ มันใช้อะไรคิด”
“วัลย์รู้ว่าคุณเป็นห่วงน้องมาก แต่เราไม่สามารถที่จะไปกำหนดชีวิตใครได้ ชีวิตใครชีวิตมัน สิ่งที่คุณทำได้ก็คือ คอยมองและคอยช่วยเหลือเวลาที่เค้าออกนอกเส้นทาง แต่คุณจะไปบังคับให้เค้าเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไม่ได้”
แดนดินหันไปมองนภาวัลย์แล้วก็ครุ่นคิดตามก่อนจะนิ่งไป
ด้านจิตสุภางค์กับมิลินทร์กำลังวิ่งบนลู่วิ่ง ประกบประกายดาวที่วิ่งอยู่ลู่ตรงกลาง ทั้งสองถึงกับกดปุ่ม Stop แล้วหันมามองหน้าประกายดาวแบบแทบช็อค
“ทำเด็กหลอดแก้ว!”
ประกายดาวหยุดวิ่งแล้วหันมาพยักหน้า จิตสุภางค์กับมิลินทร์หัวเราะออกมาดังลั่น
“ฮ่าๆๆ”
“เออ มุขนี้เวิร์ค ขำ!” มิลินทร์บอก
“ฉันไม่ได้มุข ฉันพูดจริง ฉันจะทำเด็กหลอดแก้ว” ประกายดาวยืนยัน
จิตสุภางค์กับมิลินทร์หยุดแล้วอ้าปากค้าง
“อย่าบอกนะว่าพวกแกก็จะห้ามฉันเหมือนกับพี่ดินอีกคน”
จิตสุภางค์สวน “แกบ้าป่ะเนี่ย”
“ทำไมแกต้องพูดเหมือนพี่ชายฉันด้วย”
“ฉันพูดจริง แกนึกว่ามีลูกแล้วสนุกเหรอ? ถามฉันก่อนมั้ย ว่าการมีลูกลิงสี่ตัวอยู่ในบ้าน มันรู้สึกยังไง”
ประกายดาวหันไปหามิลินทร์เพื่อหาพวก “ลินทร์..ฉันรู้ว่าแกต้องเห็นด้วยกับฉัน เพราะว่าแกเองก็อยากมีลูก”
“ใช่ฉันอยากมีลูก แต่มาถึงตอนนี้ ฉันกับคุณกิจตัดสินใจแล้วว่าเราจะอยู่กันสองคน ไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร”
ประกายดาวเงียบกริบ
จิตสุภางค์พูดต่อ “คนจีนเค้าบอกว่า 3 อย่าเพิ่ง ถ้าไม่มีแฟนก็อย่าเพิ่งมี ถ้ามีแฟนแล้วก็อย่าเพิ่งแต่งงาน ถ้าแต่งงานก็อย่าเพิ่งมีลูก มันคือภาระทั้งหมด”
“ถ้าเป็นงั้น แล้วแกแต่งงานทำไม”
“ตอนนั้นฉันก็เหมือนแกไง คนเรา..ถ้าไม่เจอของจริง ไม่รู้หรอกเว๊ย” จิตสุภางค์บอก
“แต่ฉันตั้งใจแล้ว พวกแกเปลี่ยนใจฉันไม่ได้หรอก” ประกายดาวย้ำ
จิตสุภางค์กับมิลินทร์มองหน้ากัน แล้วจิตสุภางค์ก็นึกอะไรออก
“งั้นเอางี้ มาลองเลี้ยงลูกฉันซักวัน ถ้าหลังจากนั้น แกยังอยากมีลูก ฉันจะไม่ขัด”
ประกายดาวมองจิตสุภางค์แล้วยื่นมือออกไปก่อนตอบ
“ตกลง”
จิตสุภางค์กับประกายดาวจับมือกัน มิลินทร์มองลุ้นๆ
เวลาเดียวกันนั้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิเด็ก กำลังเดินคุยมากับจันทรภานุ ภายในมูลนิธิ
“ขอบคุณคุณชายจันทร์มากเลยนะคะที่เอาขนมมาให้เด็กๆอีกแล้ว”
จันทรภานุตอบ “เรื่องเล็กน้อยน่ะครับ”
จันทรภานุกับเจ้าหน้าที่เดินไปอีกทาง
ระหว่างนั้นประกายดาวก็เดินออกมากับเจ้าหน้าที่อีกคน
“ดาวขอระงับเรื่องการอุปการะเด็กเอาไว้ก่อนนะคะ”
“ได้ค่ะไม่มีปัญหา”
“ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นดาวกลับนะคะ”
เจ้าหน้าที่ยกมือไหว้ ประกายดาวรับไหว้แล้วก็เดินออกไป
ประกายดาวขึ้นนั่งในรถแล้วขับถอยหลัง แต่มีรถแล่นมา ประกายดาวจึงเบรคเอี๊ยดพร้อมกับๆรถคันนั้น ประกายดาวหันไปมองด้วยความไม่พอใจ
ประกายดาวรีบลงจากรถมาดูท้ายรถตัวเองว่าโดนชนรึเปล่าก่อนจะหันไปเห็นเจ้าของรถอีกคันเปิดประตูลงมา แล้วประกายดาวก็ตกใจเพราะคนนั้นคือจันทรภานุ
“คุณชายจันทรภานุ!”
จันทรภานุเซ็ง “คุณอีกแล้วเหรอ!! ถอยรถยังไง..ไม่รู้จักดู”
“คุณต่างหากที่ไม่รู้จักดู ดีนะที่ฉันเบรคทัน ถ้ารถคุณชนรถฉันล่ะก้อ ฉันเอาเรื่องถึงที่สุดแน่”
“อย่ามาโทษผม ผมขับทางตรง ยังไงก็ถูก แต่คุณถอยออกมา ยังไงก็ผิด”
ประกายดาวอึ้ง เธอตบหน้ารถจันทรภานุ จันทรภานุสะดุ้ง “เฮ้ย!! อย่ามาโทษกันสิคุณชาย”
“ผมไม่เคยโทษใคร จะผิดจะถูกก็ว่ากันตามหลักฐานที่เห็น คุณต่างหากที่ทำผิด ผิดแล้วก็ต้องยอมรับผิดด้วยสิ”
“ฉันไม่ผิด ฉันไม่ยอมรับ” ประกายดาวว่า จันทรภานุไม่พอใจ “คุณถอยรถคุณไปได้แล้ว ฉันจะรีบไป”
“ผมไม่ถอย จนกว่าคุณจะขอโทษ”
ประกายดาวฉุน จันทรภานุกอดอกไม่ยอมไป ประกายดาวหัวเสียมากพร้อมกับคิดในใจว่า “เล่นแบบนี้ใช่มั้ย...ได้!!”
ประกายดาวเดินไปขึ้นรถ จันทรภานุแปลกใจว่าประกายดาวจะทำอะไรเลยเดินมายืนข้างประตูฝั่งคนขับ
จันทรภานุเอ่ยถาม “ทำอะไร?”
ประกายดาวลดกระจกลงมา “คุณไม่ถอย ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันจะถอย”
ขาดคำประกายดาวถอยรถนิดหนึ่ง จันทรภานุตกใจ “เฮ่ย! คุณจะบ้าเหรอไง เดี๋ยวก็ชนจริงๆหรอก”
“รถฉันน่ะเก่าแล้ว ชนไปก็ไม่เป็นไร แต่รถคุณเนี่ยสิ ใหม่เอี่ยมขนาดนี้..ถ้ามีรอย..คงเสียดายแย่” ประกายดาวยักคิ้วพร้อมเร่งเครื่อง
จันทรภานุหน้าตาตื่นแล้วรีบพูด “ตกลง!! ผมจะถอย”
ประกายดาวยิ้มพอใจ จันทรภานุไม่พอใจแต่ก็จำต้องขึ้นรถแล้วถอย ประกายดาวถอยรถออกมาแล้วก็หันไปมองจันทรภานุก่อนจะยิ้มเยาะเย้ย แล้วเธอก็ขับออกไป จันทรภานุโมโหมาก
กลับถึงบ้าน จันทรภานุเดินกลับเข้ามาในห้องนอนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมื่อคิดถึงประกายดาว
“ผู้หญิงอะไร แสบชะมัด ขออย่าให้เจอะให้เจออีกเล้ย!!”
เช้าวันใหม่ ศิวะกับอรอุมากำลังรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน คนใช้เอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟ ศิวะกำลังจะกิน แต่อรอุมาเห็นจานของศิวะแล้วก็ชะงัก
“เดี๋ยว!” อรอุมาพูด ศิวะผงะ อรอุมาหันไปทางคนใช้ “เอาไปทำมาใหม่ ไข่ดาวต้องสุกมากกว่านี้ และฟองเดียวก็พอ”
คนใช้กำลังจะเอาอาหารออกไป ศิวะไม่ค่อยพอใจ
“ไม่ต้องเอาไปทำใหม่” ศิวะบอก อรอุมาหันขวับ “ผมจะทานแบบนี้”
อรอุมาเสียงเข้ม “ไม่ได้ค่ะ คุณต้องควบคุมคลอเรสเตอรอล ทานไข่ได้วันล่ะฟอง และไข่ต้องสุก จะได้มั่นใจว่าปลอดเชื้อโรค” อรอุมาหันไปทางคนใช้ “เอาไป!”
คนใช้ถือจานเดินออกไป ศิวะเซ็งแต่ไม่กล้า ระหว่างนั้นรติรสก็เดินเข้ามา อรอุมาหันไปเห็น
“สวัสดีจ้ะศิวะ” รติรสทักทาย
ศิวะหันไปพยักหน้าทัก แล้วก็ลุกขึ้นยืน
“ผมไม่ทานแล้ว จะไปทำงานเลย”
ศิวะลุกเดินออกไป อรอุมาไม่พอใจ
“คุณศิวะ ไม่ทานอาหารเช้า มันไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”
“พอเถอะอร ไปบังคับเค้าซะทุกเรื่องแบบนี้ เค้าจะอึดอัด” รติรสว่า
“ฉันต่างหากที่อึดอัด ทำอะไรไม่เคยได้ดั่งใจซักอย่าง” อรอุมาบอก
“เอาน่าใจเย็น ฉันมีเรื่องดีดี มาทำให้เธอมีความสุข”
อรอุมาแปลกใจ “เรื่องอะไร?”
“ฉันมีวิธีเล่นงานแฟนเก่าศิวะแล้วน่ะสิ”
อรอุมายิ้ม “เรื่องนี้ทำให้ฉันมีความสุขจริงๆด้วย”
อรอุมากับรติรสยิ้มร้ายแล้วก็หัวเราะให้กัน
ฟากเชาอุ้มหลินกับหลิงด้วยแขนคนละข้างเดินเข้ามาหาประกายดาวที่เดินเข้ามา เชาวางลูกๆ ลง หมวยเดินตามมาด้านหลัง
“จะทดลองเลี้ยงคนไหนก่อนดีล่ะ” เชาถาม
เด็กๆ แย่งกันยกมือ
“เลี้ยงหมวยนะ หมวยไม่ซน” หมวยบอก
หลิงแย่งพูด “เลี้ยงหลิงดีกว่า หลิงน่ารัก เลี้ยงง่าย”
จิตสุภางค์เดินถือขวดนมเปล่าลงมาจากบันได
“ไหนๆ ก็มาแล้ว เลี้ยงมันทั้งสามคนนั่นแหละ มีทุกวัยให้ทดสอบ”
“ไม่มีปัญหา” ประกายดาวหันไปคุยกับเด็กๆ “เรามาเล่นอะไรกันดี วาดรูป ร้องเพลง หรือ ทำกับข้าว”
เด็กๆ แย่งกันตอบเพราะจะเล่นในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน เด็กๆ จูงประกายดาวไปตรงอื่น จิตสุภางค์เดินไปหยิบผ้าอ้อมของเด็กแรกเกิดมาให้เชา
“เฮียขึ้นไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ตัวเล็กด้วย อึ๊อีกแล้ว”
“แม่นั่นแหละขึ้นไปเปลี่ยน เฮียต้องอยู่สอนดาวเลี้ยงเด็ก”
“อย่ามาทำเป็นเลี้ยงเป็น ขึ้นไปจัดการเดี๋ยวนี้ ได้ยินหลงมันร้องมั้ย ..ปะป๊ะ ผ้าอ้อม ๆ ๆ ไปเร็ว”
เชารับผ้าอ้อมจากจิตสุภางค์ แล้วเดินไปขึ้นบันไดแบบไม่ค่อยเต็มใจ
อ่านต่อหน้า 3
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 1 (ต่อ)
ด้านหมวยกับหลิงทะเลาะกัน ทั้งสองต่างดึงแย่งตุ๊กตากันอยู่ ประกายดาวพยายามห้าม
“เจ๊หมวยเอาของหลิงมา”
“ไม่ให้” หมวยบอก
“หมวยเป็นพี่ แบ่งน้องเล่นเถอะนะ” ประกายดาวบอก
“แต่นี่มันของหมวย!” หมวยทำหน้าเหวี่ยง
ขณะนั้น หลินก็เข้ามาดึงแขนประกายดาวแล้วส่งลูกโป่งให้
“เป่าลูกโป่งให้หลิน--เป่าลูกโป่ง”
จิตสุภางค์นั่งอ่านนิตยสารอยู่อย่างไม่สนใจ ประกายดาวเดินเข้ามาโดยมีหลินตามเกาะแจ
“จิต แกช่วยไปห้ามทัพตรงนั่นหน่อย ชั้นจะเป่าลูกโป่งให้หลิน” ประกายดาวร้องขอ
จิตสุภางค์ละสายตาจากหนังสือแล้วมองลูกก็เห็น หลิงกับหมวยกำลังแย่งตุ๊กตา โดยทั้งสองนอนกลิ้งฟัดกันอยู่ที่พื้น
“ปล่อยไป เดี๋ยวมันก็เลิก”
หลินย้ำ “น้าดาว เป่าลูกโป่ง”
ขณะเดียวกันลูกโป่งกำลังถูกเป่าให้โตโดยประกายดาว หมวยกับหลิงพรวดพราดเข้ามา
“เป่าให้หมวยด้วย”
“หลิงจะเอาลูกโป่งสีเหลือง”
แล้วเด็กทั้งสามก็อาละวาดแย่งลูกโป่ง ทั้งดึงมือ ดึงแขน จนประกายดาวเป่าลูกโป่งไม่ได้ เธอปล่อยลูกโป่งให้แฟ่บลงแล้วหันไปหาตัวช่วย
“จิต ทำไงดี ลูกแกจะฟัดกันอีกแล้ว”
จิตสุภางค์วางหนังสือแบบเอือมๆ แล้วเดินเข้ามา
“ถ้าใครร้องจะเอาลูกโป่งอีก อดกินไอติม—เงียบ”
เด็กทั้งสามเงียบกริบกันหมด ประกายดาวมองอย่างทึ่งๆ
“พูดแค่นี้ก็สงบศึกได้แล้วเหรอ—สุดยอดว่ะ”
“ใช่ แต่แกต้องพาสามลิงไปหาไอติมกินนะ เพราะที่บ้านไม่มี ไม่งั้นเดี๋ยวมีก๊อกสอง ก๊อกสามตามมาแน่”
ประกายดาวเลิ่กลั่ก
“พาไปกินไอติมจริงๆ เหรอ---ได้เดี๋ยวจัดให้”
ส่วนเชาเดินถือถุงใส่ผ้าอ้อมที่มัดปากถุงลงบันไดบ้านมา จิตสุภางค์กำลังเดินผ่าน
“ทำไมบ้านเงียบนักละ ดาวกับเด็กๆ อยู่ไหน” เชาถาม
“จิตให้ดาวพาลูกเราไปซื้อไอติม”
“หือ—ซื้อไอติม นี่แม่เพี้ยนรึเปล่า ปล่อยลูกไปกับคนอื่นได้ยังไง ถ้าโดนจับตัวไปเรียกค่าไถ่จะทำยังไง -ดีนะ ที่แค่ออกไปซื้อไอติมที่ปากซอย”
“ไม่น่าไปแค่ปากซอยหรอกนะ เพราะขับรถไปด้วย ได้ยินว่าจะไปกินในห้างฯ”
“ไอ้หยา จำไม่ได้รึไง ว่า 3 ลิงนั่น มันชอบหมุนพวงมาลัยรถเล่น”
“ก็ดีนะซิ ไอ้ดาวจะได้ขยาด ไม่อยากมีลูก”
นักข่าวบันเทิงรายการทีวี 2 หญิง 1 ชายอยู่ที่ร้านกาแฟที่อยู่เยื้องร้านไอศกรีม นักข่าวคนหนึ่งกำลังส่งรูปจากกล้อง 60D เข้าไอแพด ส่วนอีกคนยืนคุยโทรศัพท์
“จะต้องให้มันตื่นเต้นขนาดไหนเหรอค่ะ บก. ก็แค่โปรโมทเปิดร้านใหม่ธรรมดา ไม่มีทั้งเซเลบ หรือดาราสักคน กาแฟก็ไม่เลี้ยง เนี่ยต้องออกมาหากินเอง”
ระหว่างที่นักข่าวพูดๆ ประกายดาวก็พาหมวย หลิง และหลินเข้ามาในร้านไอศกรีมที่อยู่ตรงข้าม ทั้งหมดเลือกดูไอศกรีมที่ตู้ขายเสียงเจี๊ยวจ๊าว
นักข่าวพูดต่อ “กลับไปต้องเบิกค่ากาแฟด้วย แพงระยับเลย---อะไรนะ เขี้ยวไปรึเปล่าจะให้ไปหารถเข็นกาแฟโบราณกิน ไม่รู้ละ ยังไงก็ต้องให้เบิก”
นักข่าวอีกคนเข้ามาสะกิดเพื่อนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ซึ่งกำลังวางสายพอดี
“ดูผู้หญิงคนนั้นซิ แกว่าใช่รึเปล่า”
“ใช่ใคร”
“ประกายดาว...แฟนเก่าคุณศิวะที่เราเพิ่งได้รูปจากบก.มาเมื่อเช้านี่ไหง”
นักข่าวรีบเปิดมือถือซึ่งมีรูปประกายดาว นักข่าวมองประกายดาวด้วยความสนใจแล้วกดโทรศัพท์ทันที
“รู้สึกวันนี้ บก.จะมีโชคแล้วละ ส่งเรามาไม่เสียเที่ยว รับรองข่าวนี้ตื่นเต้นแน่”
ระหว่างพูดโทรศัพท์ นักข่าวก็มองไปที่ร้านไอศกรีม
ประกายดาวจ่ายเงินแล้วพาเด็กๆ ที่ถือไอศกรีมใส่ถ้วยเดินออกไปจากร้านนั้น
จันทรภานุเดินมาตามทางในห้างฯ โดยลำพัง ผู้จัดการห้างฯ รีบเดินเร็วตรงดิ่งเข้ามาหา
“คุณชายไม่โทรบอกก่อนละครับ ว่าจะมาตรวจห้างฯ ผมจะได้พาชม”
“ทำไมต้องพาชมด้วย นี่มันห้างฯของผม ผมรู้จักทุกตารางนิ้วดี” จันทรภานุบอก
“นั่นนะซิครับ ทำไมต้องพาชมด้วย เอาเป็นว่า ผมเดินเป็นเพื่อนละกัน”
“งานฉลองครบรอบ 50 ปีของห้างฯ คุณเตรียมไปถึงไหนละ ไม่เห็นมีรายงานใหม่ๆ อะไรมาถึงผมเลย”
“นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้คุณชายมาก็เพราะเรื่องครบรอบห้าสิบปีของห้างฯ เรา มันอีกตั้งเดือนกว่าๆ ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่ใช่อีกตั้งเดือนกว่า แต่มันคือ อีกแค่เดือนกว่าๆ เข้าใจที่ผมพูดมั้ย”
“กระจ่างเลยครับ งั้นผมขอตัวไปรวบรวมข้อมูลอัพเดท มาให้คุณชายพิจารณา”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องการให้คุณไปทำ ผมจะไปดูสถานที่จัดงานก่อน แล้วจะตามเข้าไปคุยด้วย”
ผู้จัดการฯ เดินกลับไป จันทรภานุเดินต่อ
ประกายดาวเดินจูงหลิน โดยมีหมวยกับหลิงเดินประกบ เด็กทั้งสามยังคงถือไอศกรีมกินไปด้วย
“บอกแล้วว่าร้านของเล่นอยู่ชั้นล่าง ไม่ใช่ชั้นนี้” หมวยบอก
“แต่น้าถามแล้ว เค้าบอกว่าอยู่ชั้นนี้ จะให้น้าเชื่อเธอ หรือเชื่อประชาสัมพันธ์ของห้างดีละ”
“แม่เคยพาเรามา หลิงจำได้ว่าชั้นล่าง ห้างเนี่ยมาบ่อย” หลิงบอก
“น้าก็มาบ่อย จำได้เหมือนกันว่าอยู่ชั้นนี้”
ทันใดนั้นนักข่าวกับตากล้องก็ปราดเข้ามาพร้อมเปิดไฟสว่างสาดมาที่ประกายดาว ประกายดาวตกใจ นักข่าวถือไมโครโฟนจ่อและสัมภาษณ์ผ่านกล้องทันที
“โทษนะค่ะ ขอเวลา 2 นาทีเท่านั้น จากรายการกอสสิปไฮโซ เรื่องที่คุณอรอุมาลูกสาวคุณหญิงอินทุอรพูดเป็นความจริงใช่มั้ยคะ”
ประกายดาวงง “อะไร ความจริงอะไร”
“เรื่องที่คุณศิวะซื้อคอนโด ไว้เป็นรังรักให้คุณกับเค้าจริงใช่มั้ยคะ”
ประกายดาวรู้ทันทีว่าเรื่องอะไร เธอฉุนกึก
“บ้าหรือเปล่า เอาอะไรมาถาม”
ขณะนั้นสายตาของประกายดาวก็มองเลยออกไป เธอเห็นหมวยกับหลิงเดินไปทางอื่น
“อ้าว...สองเด็กจะไปไหนกัน”
ประกายดาวรีบผละจากนักข่าวไปทางที่หมวยกับหลิงเดินไป นักข่าวอีกคนเข้ามาดักหน้าเด็กๆ แล้วถาม
“หนูจ๋า คนไหนเป็นลูก แม่ดาว กับ พ่อ ศิวะจ๊ะ”
ประกายดาวเข้ามาผลักนักข่าวออกไปซึ่งจังหวะนั้นถูกถ่ายพอดี
“อย่ายุ่งกับเด็ก--รายการช่องไหนเนี่ย มีจรรยาบรรณบ้างซิ”
ประกายดาวหันไปดุหมวยกับหลิง
“เธอสองคนจะไปไหน”
“ไปร้านขายของเล่น” หมวยบอก
“บอกแล้วไงว่าอยู่ชั้นนี้”
นักข่าวเดินเข้ามาพร้อมช่างภาพ
“เออ คุณดาว นี่ลูกสาวเหรอค่ะ น่ารักดี ชื่ออะไรบ้างค่ะ”
ประกายดาวหันมาด้วยท่าทางโมโหพร้อมจะวีน แต่สายตาของเธอมองเลยออกไปแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นหลิน เดินเร็วไปทางบันไดเลื่อน
“หลิน !!! หยุด นี่ ช่วยดูเด็กสองคนนี้หน่อย”
ประกายดาวสั่งนักข่าวแล้วรีบวิ่งออกไป
หลินเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปใกล้บันไดเลื่อน ประกายดาวตะโกน
“หลิน !!! หยุด อย่าเดิน บอกให้หยุด”
หลินจะขึ้นบันไดเลื่อน ทันใดนั้นก็มีมือผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาคว้าตัวหลินลอยขึ้นมา ประกายดาวที่จ้ำเข้ามาโล่งอกแต่ก็ก้มตัวหอบเหนื่อย
“ขอบคุณค่ะ”
ประกายดาวหันไปจะรับหลินที่ถูกอุ้มยื่นมาคืน แต่ประกายดาวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่ช่วยหลินคือ จันทรภานุ ซึ่งมองประกายดาวแบบชะงักก่อนจะพูด
“เคยอ่านป้ายที่ติดไว้ในห้างบ้างหรือเปล่า ว่าอย่าบ่อยเด็กให้อยู่ตามลำพังในนี้”
ประกายดาวรับหลินมาแล้ววางที่พื้นโดยไม่อยากต่อปากต่อคำ จันทรภานุเดินออกไป นักข่าวจูงหมวยกับหลิง มาส่ง
“เอาลูกมาส่งค่ะ ขอสัมภาษณ์ต่อเลยได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรให้สัมภาษณ์ ขอบคุณที่ช่วยดูเด็กให้ หมวย หลิง กลับบ้าน”
ประกายดาวจูงหลิงกับหลินเดินออกไป หมวยเดินตาม
“แล้วของเล่นละ” หมวยถาม
ประกายดาวตอบทันที “วันนี้งด”
เวลาต่อมาประกายดาวพาเด็กๆ เดินเลี้ยวเข้ามาถึงบริเวณลิฟท์ ลิฟท์ตัวหนึ่งกำลังจะปิด ประกายดาวรีบเรียก
“เดี๋ยวๆ ไปด้วย”
ลิฟท์ถูกกดเปิด ประกายดาวพาหมวย หลิง และหลินเดินมาจะเข้าลิฟท์ แต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในลิฟท์ และกดลิฟท์ให้คือ จันทรภานุ
“อุ๊ย...ไม่ไปดีกว่า...เชิญตามสบาย”
ประกายดาวถอยออกมา จันทรภานุยังรอและทำหน้าเชิญ แต่ประกายดาวส่ายศีรษะ ขณะนั้นทีมนักข่าวกลุ่มเดิม ก็เดินเลี้ยวมา ประกายดาวเห็นก็ชะงัก เธอตัดสินใจเอามือกันประตูลิฟท์ที่กำลังจะปิด
“เปลี่ยนใจละ...เด็กๆ เข้าลิฟท์”
หมวยกับหลิงรีบเดินเข้าลิฟท์ตามประกายดาวที่จูงหลินเข้าไปก่อน นักข่าวเดินมาถึงประตูลิฟท์ก็ปิดพอดี
“ตามมั้ย”
“ตามทำไม แค่นี้ ก็ทำข่าวได้เบรกนึงแล้ว”
ประกายดาวเหล่จันทรภานุแล้วขยับยืนให้ห่างออกไป จันทรภานุเหลือบมองเด็กๆ ก่อนจะพูดเปรยออกมา
“วันนี้ต้องเป็นวันซวยของผมอีกแน่ที่เจอคุณ” จันทรภานุเหน็บ
ประกายดาวฉุนกึก “ฉันต่างหากที่ต้องพูดประโยคนี้!”
ทันใดนั้นลิฟต์ก็กระตุก ทุกคนตกใจ หมวย หลิง และหลินกอดขาประกายดาวแน่น
“เกิดไรขึ้น!”
จันทรภานุเห็นลิฟต์นิ่งก็รู้ทันที
“ลิฟท์ค้าง” จันทรภานุหันไปทางประกายดาวด้วยความไม่พอใจ “เห็นมั้ย พูดไม่ทันขาดคำ!”
“อย่ามาโทษฉัน ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษไอ้เจ้าของห้างฯนี้” ประกายดาวบอก จันทรภานุผงะ “ที่ทำงานชุ่ย” จันทรภานุสะดุ้ง “ไม่รู้จักตรวจเช็คสภาพลิฟต์ก่อนใช้งาน ทำให้ลูกค้าไม่ได้รับความปลอดภัย”
หมวยกลัว “เราจะตายมั้ย”
ประกายดาวหันไปปลอบ “ไม่ตายหรอก ถ้า...”
“ถ้าอะไร” หลิงถาม
“ถ้ามีอากาศหายใจ”
เด็กๆ ทำหน้าตื่นกลัว
“นอกจากจะชอบปล่อยลูกไว้ตามลำพังแล้ว ยังชอบขู่ลูกอีก แม่แบบไหนกันเนี่ย” จันทรภานุว่า
จันทรภานุมองประกายดาวด้วยความเข้าใจว่าเธอเป็นแม่ของเด็กพวกนี้ ประกายดาวหันมา
“รีบกดปุ่มฉุกเฉินสิคุณ ยืนเฉยๆแล้วมันจะมีคนมาช่วยมั้ย”
จันทรภานุส่ายหัวเอือมๆแล้วกดปุ่ม “ผมจันทรภานุ ตอนนี้ผมติดอยู่ในลิฟต์ รีบส่งคนมาช่วยด่วน”
“เรียกคนมาช่วยแค่เนี้ย ต้องแนะนำตัวด้วย?” ประกายดาวว่า จันทรภานุเงียบ “อ้อ..กลัวเค้าไม่รู้ว่าเป็นใคร?”
จันทรภานุเหลือบมองประกายดาวแต่ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงหลินก็พูดแทรกขึ้นมา
“ปวดฉี่”
“ปวด เออ ก็ฉี่ใส่ผ้าอ้อมสิ” ประกายดาวบอก
“น้องไม่ได้ใส่ผ้าอ้อม” หมวยบอก
ประกายดาวเซ็ง “อ้าว งานเข้าละซิ หลินทนหน่อยนะ”
หลินย้ำ “ปวดฉี่”
“อะไรของเธอ ผ้าอ้อมก็ไม่ได้ใส่ให้ลูก เด็กที่ไหนจะทนปวดฉี่ได้” จันทรภานุว่า
“ปวดฉี่ ปวดฉี่”
“งั้นฉี่มันในนี้แหละ” ประกายดาวบอก
ประกายดาวนั่งลงจะถอดกางเกงหลิน แต่จันทรภานุรีบห้าม
“อย่านะคุณ ฉี่ในนี้เดี๋ยวเหม็นล้างไม่ออก”
“ก็คุณบอกเองว่าเด็กที่ไหนจะทนปวดฉี่ได้ แล้วลิฟท์ค้างแบบนี้ จะให้ไปฉี่ที่ไหนละ”
“รอแป๊บนึง เดี๋ยวมีคนมาช่วย พนักงานที่นี่ ทำงานเร็ว”
ประกายดาวพูดพลางถอดกางเกงหลินแล้วให้นั่งฉี่
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเร็ว ถ้าเกิดทำงานช้าละ เด็กไม่อั้นฉี่จนเป็นนิ่วเหรอ -หลินฉี่เลยช่วยไม่ได้ ดันปล่อยให้ลิฟท์ค้างทำไม”
จันทรภานุร้องห้าม “อย่านะหนู”
หลินฉี่ออกมาก่อนจันทรภานุจะพูดจบ จันทรภานุทำหน้าเบ้
ขณะนั้น ประตูลิฟต์ก็เปิดพอดี ทุกคนหันไปด้วยความดีใจ ช่างเครื่อง กับผู้จัดการยืนมองเหวอๆ เพราะเห็นหลินกำลังนั่งฉี่
จันทรภานุ ประกายดาว และเด็กๆ ออกมายืนอยู่กับรปภ.และผู้จัดการห้างฯ
“ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณชาย” ผู้จัดการพูดแล้วหันไปทางประกายดาว “แล้วก็ต้องขอโทษคุณผู้หญิงด้วยนะครับ”
จันทรภานุพูดกับผู้จัดการ “สั่งปิดลิฟต์ตัวนี้ แล้วตรวจสอบให้ละเอียด”
ผู้จัดการรับคำ “ครับ”
ประกายดาวไม่พอใจ “คุณมีสิทธิ์อะไรไปสั่งเค้าห๊ะ”
จันทรภานุหันไปทางประกายดาว “สิทธิ์ที่ผมเป็นเจ้าของห้างฯนี้ยังไงล่ะ”
ประกายดาวเหวอไปแล้วก็นึกถึงคำพูดของมิลินทร์ขึ้นมาได้
“หม่อมราชวงศ์จันทรภานุ นพรัตน์ เจ้าของห้างมีเดียกรุ๊ป และโรงแรมอีกหลายแห่งในประเทศไทย”
ประกายดาวหน้าเสีย
จันทรภานุพูดต่อ “และเพื่อเป็นการปลอบขวัญ ผมจะให้ทางห้างฯส่ง Gift voucher 3000 บาทให้คุณ จะได้ไม่หาว่าผมทำงานชุ่ย!” ประกายดาวพูดไม่ออก จันทรภานุหันไปทางผู้จัดการ “ถามที่อยู่คุณผู้หญิงคนนี้ไว้ด้วย”
“ครับ”
จันทรภานุหันไปทางประกายดาว “อ้อ..อีกอย่าง ถ้าคิดจะมีลูกเยอะขนาดนี้ ก็ควรไปหาซื้อตำราการเป็นแม่ที่ดีมาอ่าน”
ประกายดาวเหวอ จันทรภานุพูดจบก็เดินออกไป ประกายดาวตอบโต้ไม่ทันก็ได้แต่เซ็ง
เชากำลังสำรวจลูกทั้งสามอย่างละเอียด ทั้งพลิกซ้าย พลิกขวา จิตสุภางค์กับประกายดาวยืนอยู่ด้วย
“กลับมาครบ 32 ก็โอเคแล้ว ไม่ต้องห่วงเว่อร์ขนาดนั้น” จิตสุภางค์บอก
“จะไม่ให้ฉันห่วงได้ไง พาลูกเราไปทำวีรกรรมไว้ซะขนาดนั้น” เชาว่า
“เฮียเชา ดาวขอโทษ สัญญาว่าจะไม่พาเด็กๆ ไปไหนตามลำพังอีก”
“ไม่ได้ๆ เด็กมันติดเธอแล้ว วันหลังต้องมาพาพวกมันไปเที่ยวอีก รู้มั้ย” เชาบอก
ประกายดาวงง “อ้าว!”
“จะเอาไงแน่ ชอบนักนะพูดจาให้คนอื่นสับสนนะ พาเด็กๆ ไปอาบน้ำ แล้วเข้านอนเลย” จิตสุภางค์สั่ง
เชารีบต้อนเด็กๆทุกคนออกไป จิตสุภางค์หันมาทางประกายดาว
“รู้สึกแล้วใช่มั้ย ว่าการมีลูก มันคือการมีภาระ ถ้าวันนี้แกตัวคนเดียว คงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้”
“ใช่..ฉันเห็นด้วยกับที่แกพูดทุกอย่าง ว่าการมีลูกมันคือภาระ” ประกายดาวบอก จิตสุภางค์โล่งใจ “แต่มันเป็นภาระที่ทำให้เรามีความสุข” จิตสุภางค์อึ้ง “วันนี้ฉันได้เรียนรู้สิ่งดีดีจากเรื่องที่เกิดขึ้น”
จิตสุภางค์นิ่วหน้า
“สิ่งดีดีเนี่ยนะ?”
ประกายดาวยิ้ม “มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันมีสัญชาติญาณของความเป็นแม่ ฉันภูมิใจที่ได้ปกป้องลูกของแก แล้วฉันก็มีความสุขที่เห็นพวกเค้าปลอดภัย”
จิตสุภางค์เหวอ
“หมายความว่าแกยังยืนยันคำเดิมเรื่องที่จะมีลูก”
ประกายดาวพยักหน้าหนักแน่น
“ฉันมั่นใจว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด นับตั้งแต่ฉันเกิดมา”
จิตสุภางค์อึ้ง ทันใดนั้นเสียงกดออดก็ดังขึ้น จิตสุภางค์ไปชะเง้อดูที่หน้าประตู
“มิลินทร์มาทันเวลาพอดี จะได้มีแนวร่วม”
ประกายดาวดึงรูปตัวเองพร้อมเอกสารประวัติของเธอออกมาจากซอง มิลินทร์นั่งอยู่กับจิตสุภางค์
“ชั้นได้มาจาก บก. ข่าวบันเทิง ในซองมีทั้งรูปแกหน้าตรง ด้านข้าง ด้านหลังชัดเป๊ะๆ พร้อมกับประวัติของแก และบัตรที่พิมพ์มาว่าแกเป็นเมียน้อยของศิวะ...ลูกเขยคุณหญิงอินทุอร” มิลินทร์อธิบาย
ประกายดาวโมโหมาก เธอเงยหน้ามองลินทร์ “ฝีมือยัยอรอุมา เมียศิวะแน่ๆ”
“ชัวร์อย่างไม่ต้องสงสัย ยัยนี่คงโมโหแกมาก ที่แกมีเรื่องกับมันวันก่อนที่มูลนิธิเด็ก”
“นังเมียนี่ท่าจะบ้า คิดว่าฉันจะกลับไปหานายศิวะ รอให้เป็ดออกลูกเป็นเต่าก่อนเหอะ” ประกายดาวว่า
มิลินทร์พูดต่อ “เชื่อขนมกินได้เลยว่าเดือนนี้ทั้งเดือน ข่างแวดวงไฮโซจะต้องตีข่าวเรื่องแกกับนายศิวะ และพากันเห็นใจยัยอรอุมาแน่นอน”
“เป็นไฮโซนี่มันวุ่นวายจริงๆ” จิตสุภางค์ว่า
เชาเดินทำท่าตื่นเต้นเข้ามา
“เปิดดูทีวีช่องเคเบิลซิ เห็นดาวกับลูกเราด้วย”
“งานเข้าแล้วไง” มิลินทร์ว่า
จิตสุภางค์งง “ทำไมออกอากาศเร็วนักละ”
จิตสุภางค์พูดขณะเดินตามเพื่อนๆ ไปที่จอทีวีในห้องรับแขก ภาพในจอทีวีเป็นรายการข่าวซุบซิบไฮโซ
“อรอุมาลูกสาวคุณหญิงอินทุอร ให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตากับสื่อมวลชน เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ว่างานนี้ไม่ขอโทษใครทั้งนั้น นอกจากตัวเองที่ดูแลสามีไม่ดีพอ”
จิตสุภางค์ของขึ้นแทนเพื่อน “ตอแหลที่สุด!”
ประกายดาวร้อนใจมาก “ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องให้สัมภาษณ์บ้าง”
“อย่าเชียว เพราะข่าวแบบนี้ มันขายได้ ไม่มีใครอยากให้จบง่ายๆ สิ่งที่แกต้องทำตอนนี้ก็คือ เงียบเข้าไว้ อย่าตีโพยตีพาย เพราะมันจะเหมือนแกยอมรับ รอให้ผ่านไปซักพัก แล้วฉันจะหาทางเคลียร์ให้แกเอง” มิลินทร์แนะนำ
ประกายดาวพยักหน้าพลางถอนหายใจ เชามองทีวีแล้วมองสาวๆ
“เสียดายไม่ได้ดูตอนแรก ลูกเราขึ้นกล้องมาก เออ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นเล่าให้ฟังหน่อยซิ เผื่อลูกถาม”
จิตสุภางค์รีบบอก
“เฮียขึ้นไปดูเด็กๆ ดีกว่านะ เพราะงานหลักของเฮียอยู่นั่น ไม่ใช่ตรงนี้”
เช้าวันถัดมา เสียงเคาะประตูห้องประกายดาวดังปังๆๆ พร้อมกับเสียงแดนดินที่แผดเข้ามาดังลั่น
“ไอ้ดาว…..ว”
ประกายดาวในชุดนอนเดินออกมา
“เปิดประตูมาคุยกันเดี๋ยวนี้!! ไอ้ดาว ไอ้ตัวแสบ”
ประกายดาวเปิดประตูออกมาเจอแดนดินกำลังจะเคาะประตู แดนดินยั้งมือไว้ได้ทัน ประกายดาวเห็นหนังสือพิมพ์ในมือพี่ชายก็รู้ทันทีว่าเรื่องอะไร
แดนดินโยนหนังสือพิมพ์ที่มีภาพประกายดาว ศิวะ กับอรอุมาไปตรงหน้าประกายดาวที่ยืนอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ข่าวนี่มันหมายความว่ายังไง?”
“ไม่มีอะไร เค้านั่งเทียนเขียนกัน” ประกายดาวไม่สนใจ
“แล้วทำไมมีรูปแก แล้วไอ้ศิวะมันก็แฟนเก่าแกไม่ใช่เหรอ?”
“ฟังนะพี่ดิน...ดาวไม่ได้ทำ ถามจริงเหอะพี่ดิน พี่คิดว่าคนอย่างดาวจะโง่ทำให้ตัวเองเน่าได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
แดนดินตอบเสียงอ่อย “ไม่คิด”
“ไม่คิด แล้วพี่มาด่าดาวทำไมเนี่ย?”
แดนดินอึกอัก “ฉันไม่ได้ด่า...ฉัน...ฉันเป็นห่วงแก”
ประกายดาวอมยิ้ม “หายโกรธดาวแล้วใช่ป่ะ”
แดนดินทำฟอร์ม “ไม่เคยโกรธ แค่เคืองนิดหน่อย”
ประกายดาวยิ้มขำก่อนจะเข้ามากอดแขนแดนดินทำท่าออเซาะทำเอาแดนดินเขินจึงรีบผละออกห่าง
“ไม่ใช่เด็กแล้วไม่ต้องมากอด” แดนดินว่า
“ดาวมีพี่ชายอยู่คนเดียว ขอกอดหน่อยเห๊อะ” ประกายดาวกอดหมับ
แดนดินยิ้มสบายใจแล้วก็ดึงประกายดาวออกมา “ว่าแต่ใครทำ ทำทำไม เค้าเกลียดแค้นชิงชังอะไรแกนักหนา”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้พี่ดินไม่ต้องห่วง ดาวรับมือได้”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก ประกายดาวเดินไปเปิดประตูเห็นแม่บ้านยืนทำหน้าตาตื่น
“คุณดาวแย่แล้วค่ะ ตอนนี้นักข่าวแห่กันมาเต็มหน้าคอนโดเลยค่ะ”
ประกายดาวกับแดนดินอึ้ง
“ฉันว่าแกคงรับมือคนเดียวไม่ไหวแล้วล่ะ”
ประกายดาวมองหน้าแดนดินแล้วครุ่นคิด
แดนดินโผล่หน้าออกมาที่ด้านล่างคอนโด ก็เห็นนักข่าวยืนออกันเต็มไปหมด โดยมีรปภ.ยืนคุม แดนดินหันไปทางประกายดาวกับแม่บ้านแล้วก็พยักหน้า แม่บ้านเข็นรถเข็นอุปกรณ์ทำความสะอาดเดินออกมา ประกายดาวกับแดนดินย่อตัวหลบหลังรถเข็นอุปกรณ์ แล้วรีบเดินออกไปทางหลังคอนโด โดยที่นักข่าวไม่เห็น
ประกายดาวยืนอยู่พร้อมกระเป๋าเดินทางตรงข้ามนภาวัลย์ที่ยืนอยู่ข้างแดนดิน
“อยู่ได้ตามสบายเลยนะน้องดาว จะอยู่ตลอดชีวิตเลยก็ได้” นภาวัลย์บอก
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ รอให้ข่าวซาก่อน ดาวคงกลับไปอยู่คอนโด”
นภาวัลย์พยักหน้ารับแล้วหันไปทางแดนดิน “วัลย์ขอไปดูยัยฟ้าก่อนนะคะ น่าจะใกล้ตื่นแล้ว”
แดนดินพยักหน้า นภาวัลย์เดินออกไป แดนดินหันมาพูดกับประกายดาว
“มาคุยกันหน่อยสิไอ้ดาว”
ประกายดาวงง “คุยไรอีกอ่ะพี่ดิน”
“ฉันกับแกยังไม่ได้เคลียร์เรื่องนั้น” แดนดินบอก ประกายดาวนิ่วหน้า “ตกลงเอาแน่แล้วใช่มั้ย”
ประกายดาวตอบสั้นๆ “ค่ะ”
แดนดินถอนหายใจ “แล้วแกจะไปหาสเปิร์มจากที่ไหน?”
“จากธนาคารสเปิร์ม อาจจะต้องไปต่างประเทศ”
“แล้วแกจะแน่ใจได้ยังไงว่าสเปิร์มนั่นเป็นของคนที่อยู่ในข้อมูลจริง แล้วแกจะรู้ได้ยังไงว่าเค้านิสัยดีจริงรึเปล่า นิสัยคนมันต้องดูกันนานๆ ไม่ใช่เชื่อจากที่เค้ากรอกข้อมูลทั้งหมด อีกอย่างแกจะให้ลูกแกเป็นลูกครึ่งฝรั่งตาน้ำข้าวงั้นเหรอ”
ประกายดาวคิดตาม “นั่นสินะ” ประกายดาวคิดต่อ “งั้นต้องหาจากคนไทย แต่ขอหน้าตาดีดีหน่อย”
แดนดินตบบ่าประกายดาวหน้าเครียด “คิดดีๆ นะ มีไปแล้วเอาคืนไม่ได้ด้วย” ประกายดาวเงียบ “แล้วฉันขอเตือนแกอีกอย่าง..แกบอกว่าแกรักเด็ก แต่ซักวันเด็กมันก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ คิดให้ดีว่าวันนั้นแกยังจะรักเค้าอยู่รึเปล่า”
ประกายดาวตอบทันที “เค้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของดาว ไม่มีแม่คนไหน ไม่รักลูกตัวเองหรอกพี่ดิน”
แดนดินพยักหน้าแล้วก็ถอนหายใจออกมา
“ไม่ว่ายังไง ฉันคงห้ามความตั้งใจของแกไม่ได้ใช่มั้ย” ประกายดาวพยักหน้า “ถ้างั้นก็ดูดีดี ดูให้นานนาน”
ประกายดาวยิ้มสบายใจ “ดาวไม่รีบ ยังมีเวลาอีกตั้งสองปี”
“สองปีอะไร?”
“ท้องไง ตอนนี้ดาวอายุ 32 อีกสามปีก็ 35 เกินกว่า 35 ก็เสี่ยงว่าลูกดาวจะไม่สมบูรณ์เพราะฉะนั้นดาวต้องท้องให้ได้ภายในสองปีนี่แหละ ยังไงมันก็ต้องมีพ่อพันธุ์ดีดีเหลือไว้ให้ดาวบ้าง”
แดนดินถอนหายใจ ประกายดาวแสดงสีหน้ามีความหวังสุดๆ
สาวๆ ออกกำลังกายตามเครื่องเล่นต่างๆ ในฟิตเนส สาวๆ จำนวนหนึ่งที่กำลังวิ่งบนสายพานพยักเพยิดกัน ให้มองดู จันทรภานุที่กำลังเล่นเวทอยู่บนชั้นลอย
นันทินีในชุดวอร์มออกกำลังกายเดินออกมามองจันทรภานุ นันทินีรูดซิปเสื้อวอร์มแล้วถอดออกก่อนจะแขวนไว้ที่เครื่องเล่น เพื่อโชว์ชุดออกกำลังกายที่จัดเต็ม เธอเดินไปหาจันทรภานุ
“คุณชายจันทร์!!” นันทินีเรียก จันทรภานุเห็นนันทินีก็อึ้ง “บังเอิญจังเลยค่ะที่เจอคุณชายจันทร์ที่นี่”
“ใช่ครับ บังเอิญจนน่าแปลกใจ”
“นันก็แปลกใจค่ะ นันเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ยังทำอะไรไม่เป็น คุณชายสอนนันหน่อยได้มั้ยคะว่าไอ้นี่” นันทินีเดินมาตรงเครื่องออกกำลังแขน “เล่นยังไง”
“ที่นี่เค้ามีเทรนเนอร์คอยสอนให้ คุณนันไปบอกตรงเคาน์เตอร์ข้างหน้าได้เลย”
“นันอยากให้คุณชายเป็นเทรนเนอร์มากกว่า ได้มั้ยคะ”
ฟากประกายดาวกับจิตสุภางค์เปิดไอแพดเล่นอยู่
“แล้วแกจะไปหาพ่อพันธุ์จากที่ไหน?” จิตสุภางค์ถาม “นึกไม่ออก ถามกูก็ได้”
ประกายดาวหันขวับ “แก...?”
จิตสุภางค์พูดต่อ “กู...เกิ้ล!”
ประกายดาวตาโต เธอเปิดกูเกิ้ลแล้วหันไปทางจิตสุภางค์
“เซิร์ช คำว่าไรดี?”
จิตสุภางค์คิด “....หล่อ”
ประกายดาวพิมพ์คำว่า “หล่อ” ลงไปในช่อง แล้วกด enter
“มีแต่รูปดาราเกาหลี หล่ออย่างเดียวไม่พอจริงๆ”
ประกายดาวคิด “ต้องหล่อ และ การศึกษาดี” ประกายดาวรีบพิมพ์ลงไปแล้วกด enter
ประกายดาวกับจิตสุภางค์จ้องที่หน้าจอไม่นานก็มีข้อมูลขึ้นมา
“10 หมอหล่อ” จิตสุภางค์หันไปทางประกายดาวด้วยตาเป็นประกาย “น่าสนใจนะแก”
“ไม่ไหวอ่ะ ถ้าได้พ่อเป็นหมอ ท่าทางลูกฉันจะเครียด”
“อีนี่...เรื่องมากจริง” จิตสุภางค์ว่า
ประกายดาวครุ่นคิด “หล่อ การศึกษาดี” ประกายดาวคิดแล้วก็นึกออกจึงพิมพ์คำเพิ่มลงไปอีก
จิตสุภางค์อ่าน “หล่อ การศึกษาดี ใจบุญ รวย”
ประกายดาวกด Enter แล้วก็นั่งลุ้นกับจิตสุภางค์ ไม่นานข้อมูลขึ้นมา ทำให้ประกายดาวกับจิตสุภางค์ตกใจสุดขีด เมื่อเห็นภาพในจอไอแพดที่ปรากฏต่อหน้า
“เฮ้ย!” สองสาวร้องพร้อมๆ กัน
อ่านต่อตอนที่ 2