สาปพระเพ็ง ตอนที่ 2
บริเวณสวนดอกไม้แสนสวยนั้น ติสสากอดมรันมาไว้แนบแน่น มือสองมือประสานกัน
"น้องน้อย...อย่าปฏิเสธสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แห่งศรีพิสยา"
ขณะเดียวกันแสงวาบขึ้นที่สองมือของสถบดีกับรัดเกล้าที่ประสานกัน พุ่งวาบแสงแรง จนเธอเจ็บจี๊ดที่หน้าอก ต้องผละมือออกก่อนแตะลงที่หน้าอก ตัวงอ ทรุดลงไปกองกับพื้น
สถบดีเซห่างมา เห็นรัดเกล้าลงไปกองกับพื้น ก่อนพุ่งเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง
"คุณ เป็นไงบ้าง"
รัดเกล้าเงยขึ้นมอง ทั้งสองสายตาประสานกันระยะแค่คืบ เขาถามด้วยเสียงห่วงใยมาก
"คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า"
สายตาของรัดเกล้ามองสถบดี เห็นเป็นใบหน้าของติสสา
"น้องน้อย เป็นอะไรมากหรือเปล่า"
รัดเกล้าตกใจ
"พี่ชาย"
รัดเกล้าตกใจ กะพริบตาถี่ มองอีกที เห็นสถบดียื่นมือมาจับแขน
รัดเกล้าปัดมือเขา ลุกขึ้นอย่างเร็วบอก
"อย่า อย่ามาแตะตัวฉัน"
"นี่คุณ ..ผมไม่ใช่พวกหื่น ผมจะดูว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางคุณเจ็บหน้าอก"
"ไอ้พวกฉวยโอกาส ทะลึ่ง ลามก โรคจิต วิปริต อุบาทว์ ชาติชั่ว ไม่กลัวบาป"
"เอ้า... เวรล่ะ ไอ้ไผ่ ชีวิตแกจะเละไปกว่านี้อีกมั้ยเนี่ยะ"
เขามองเธอด้วยรอยยิ้มกวนๆ
"คุณเป็นผู้หญิงคนแรกนะ ที่ด่าเอาด่าเอา ปกติคนอื่นๆเค้ามีแต่วิ่งใส่ วิ่งตามผม"
"เพราะฉันไม่ได้หลงผู้ชายห่วยแตกน่ะสิ ไม่ต้องมาใกล้ฉัน เจอคุณทีไร ฉันต้องรีบไปรดน้ำมนต์"
"พูดยังกับผมเจอคุณแล้วผมถูกหวย... คราวก่อนก็รถชน คราวนี้ก้อ...เจ็บตัว ประหลาด เจ็บแว๊บเข้าไปใน... นี้" สถบดีพูดพลางเอานิ้วชี้ที่หัวใจ
ทั้งคู่สบตากัน รู้สึกได้ถึงเรื่องอาการแปลกๆ เวลาเจอกัน
พัทธยายิ้ม เปิดประตูให้คทารัตน์เดินออกจากห้องไปก่อน พอประตูเปิด วิวรรธน์ที่ชะเง้อพิงประตู ก็เสียหลัก
"ไอ้วิว"
คทารัตน์ผงะถอยหลังหนี จนเซไปด้านหลัง ชนเข้าในอกพัทธยาพอดี เขารวบร่างเธอก่อนจะล้ม เธอในอ้อมกอดเขา ส่งสายตาปลื้มวิ้งๆ วิวรรธน์ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ
พัทธยารีบดันเธอให้ยืน แต่เธอกฌไม่วายยิ้มแล้วทิ้งสายตาให้อีก
"ขอบคุณเหลือเกินค่ะ ที่เป็นหลักให้วิกกี้...ไม่ล้ม"
เธอยิ้มหวานฉ่ำให้เขา ก่อนหันไปทางวิวรรธน์
"ตายแล้ว วิวจ๊ะ ยังไม่ลงไปรับของจากน้องสาวพี่อีกเหรอ"
"นั่นแหละครับ ที่ผมจะถาม น้องสาวพี่หน้าตา ท่าทางยังไง ..ผมไม่รู้จัก"
คทารัตน์คว้าแขนวิวรรธน์ แอบจิกเล็บลงบนต้นแขน แล้วลากตัวออกห่าง ขณะที่สายตายังคงทิ้งไว้ที่พัทธยาอย่างยาวนาน
รัดเกล้าเดินเร็วเข้ามาในตึกสำนักงานสืบสวนพิเศษ สถบดีเดินตามหลังมาไม่ห่าง
"คุณ... ทำงานที่นี่เหรอ"
"ฉันไม่ตอบคำถามคนแปลกหน้า"
"ไม่แปลกแล้ว นอนก็นอนเฝ้ามาแล้ว"
รัดเกล้าหันขวับ ประกายตาติดไฟพรึ่บ เขาเห็นแววตานั้นก็ยิ่งยั่ว ยิ้มกวน
"คุณกับผมบังเอิญเจอกันสองครั้ง ถ้าบังเอิญมีครั้งที่สาม ...เนื้อคู่ ..ชัวร์ !"
พอสถบดีพูดจบ รัดเกล้าก็เจ็บอกวาบขึ้นทันที จนเธอแตะหน้าอก เขามองอย่างตกใจ
"เป็นไรเนี่ยะ ไหวมั้ย"
เธอถอยห่างจากเขาทันที
"จะทนไม่ไหวก็เพราะคุณนั่นแหละ มาใกล้ฉัน"
"โอเค โอเค ผมอยู่ห่างคุณแล้วนะ เป็นอะไร หรือว่าเจอผมแล้วควบคุมหัวใจตัวเองไม่ไหว"
"ใช่ ใจมันหวิว รู้สึก... อยากจะฆ่าให้ตายคามือ"
"โห... เจ็บแล้วยังโหดได้อีก"
รัดเกล้ามองหาคนที่จะมารับของ
"มองหาใครน่ะคุณ"
ครั้นเธอมองไม่เจอใครก็ตัดสินใจหันหลังกลับ
"อ้าวๆ .. คุยกันก่อนสิ เอะอะก็เดินหนี วิ่งหนี ทำตัวเป็นนางเอก"
รัดเกล้าหาทางหนีสถบดี บริเวณนั้น เธอมองเห็นคนเดินมากันหลายคน รัดเกล้าตะโกนขึ้น
"โอ๊ย ... ไอ้โรคจิต ไอ้หื่นกาม"
คนพากันมองสถบดี เขาหันไปยิ้มๆ
"แฟนผม เวลาอารมณ์รักเค้าจี๊ดขึ้นหัวใจเมื่อไหร่ เค้าชอบเรียกผมหวานๆ อย่างนี้เองครับ"
เขาหันมาอีกที เธอวิ่งหนีไปทางหน้าประตูแล้ว เขาได้แต่ยิ้มขำพูดอย่างไม่คิดอะไร
"หนีได้หนีไป หนีตามกันมาแต่ชาติไหนวะ ดูสิชาตินี้จะหนีพ้นมั้ย"
รัดเกล้าวิ่งออกมา แล้วคุยมือถือ
"พี่วิกกี้อยู่ไหน เกล้ารออยู่ด้านนอกนะคะ เกล้าไม่อยากเข้าไปในตึก"
ภายในสำนักงานฯ คทารัตน์คุยมือถือ แต่สายตาจ้องวิวรรธน์ที่ยืนข้างๆ คลำต้นแขนที่โดนหยิกเมื่อครู่
"อะไรของแกอีก ยายเกล้า เรื่องเยอะจริง...เออ...เออ กลับไปเลย ..เดี๋ยวคืนนี้มีเคลียร์ที่บ้าน"
คทารัตน์วางสายหันมาทางวิวรรธน์
"ส่วนแก... เคลียร์ตรงนี้ เดี๋ยวนี้"
"โอเค เจ๊ รู้ว่าเดือดมากพร้อมระเบิด แล้วฟังผมสักแป๊บ ผมจะบอกว่าผู้กองอีกคนที่จะมาช่วยคดีส.ส. กำลังมา"
"หา! ใครจะมาอีก ผู้กองที่ไหน"
วิวรรธน์กำลังจะอ้าปากบอก สถบดีก็เดินเข้ามาทางด้านหลัง วิกกี้ไม่ฟังวิวรรธน์ ใส่ต่อเป็นชุด
"ตำรวจสั่วๆ ประเภทแป๊กมาจากที่อื่นหรือเปล่า เค้าถึงเด้งมาแช่แข็งที่นี่ สงสัยประวัติงามหน้ายาวเหยียด พวกตั้งด่านรับส่วย ช่วยบ่อน ขนของเถื่อน หรือค้าผู้หญิง แหม ฉันล่ะอยากเห็นหน้า"
คทารัตน์หันไป เจอสถบดียืนอยู่ เขาได้ยินทุกคำพูดแต่ยังยิ้ม เธอยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
พัทธยามองเห็นเพื่อนตำรวจก็ทัก...
"ไผ่... ทางนี้"
สถบดีมองคทารัตน์แล้วบอก
"โทษนะครับ หลีกทางหน่อย พวกคุณกำลังตั้งวงเมาท์เผาขนขวางทางคนอื่น"
วิวรรธน์หลบ แต่คทารัตน์ชักสีหน้า สถบดีเดินผ่านไป ในขณะที่พัทธยาเดินเข้ามาหา
"ใคร"
สถบดีมายืนข้างพัทธยา เขาแนะนำเพื่อนกับทุกคน
"ผู้กองสถบดีครับ เค้าจะมาช่วยคดีนี้ด้วยอีกคน"
"เรียกว่าไผ่ก็ได้ครับ กันเอง สบายๆ"
อรนุช ศิริธร ดวงตาวิววับกับเป้าหมายใหม่ทันที ตรงข้ามกับคทารัตน์ที่จ้องเขา วิวรรธน์ทำหน้าสยอง แบบเอาล่ะสิเจ๊
"มีผู้กองพัทธ์ หล่อเข้ม แล้วก็ยังมีผู้กองไผ่ หล่อล่ำ" อรนุชบอก
สาวๆยิ้มดี๊ด๊าชอบใจ ผู้กองหนุ่มยิ้มขี้เล่น
"หล่อระห่ำในบางเวลาด้วยครับ"
พัทธ์ยาหันไปบอกเพื่อน
"นั่นคุณวิกกี้ เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานของคดีนี้"
สถบดีจ้องหน้า
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณวิกกี้ ดูรวมๆแล้วคงเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโส ใช่มั้ยครับเนี่ยะ"
เขาตั้งใจอัดกลับ คทารัตน์ยิ้ม ตาดุ ไม่ยิ้มตอบด้วย เสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ไร้อารมณ์ทันที
"ค่ะ ดิฉันอาวุโสด้านประสบการณ์ทำงาน ดีใจมากค่ะที่จะได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ ที่เต็มไปด้วยฝีมือ ไม่ใช่ฝีปาก"
"แน่นอนครับ ถึงผมจะไม่เคย ตั้งด่านรับส่วย ช่วยบ่อน ..ขนของเถื่อน ค้าผู้หญิง ผมก็มั่นใจในฝีมือตัวเอง ประวัติอาจจะไม่เด่นไม่ดัง แต่รับประกันได้ พวกค้ายาบ้า พอได้ยินชื่อ รายไหนรายนั้น อยากจะฆ่าตัวตายก่อนเจอหน้าผมทุกคน"
สาวๆส่งเสียงวู้วว้าว สถบดีจ้องเหยียดยิ้มสู้ ไม่หลบสายตาอีกฝ่าย พัทธยามองเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีก็พูดขึ้น
"เราเริ่มประชุมกันเลยมั้ยครับ ไหนๆก็มาครบแล้ว"
"ห้องประชุม ทางนี้ค่ะ" ศิริธรบอก
ศิริธร อรนุชเดินนำ ทุกคนเดินตามไป คทารัตน์เชิดเดินปาดหน้าสถบดีไปข้างพัทธยา สถบดีมองตาม วิวรรธน์เดินมาใกล้สถบดี
"ในที่สุดเจ๊วิกกี้แกก็ได้เจอเนื้อคู่ปากคมสมองไวอย่างผู้กอง ผม..วิวรรธน์... วิวครับ" วิวรรธน์พูดแนะนำตัว
"ฉันเดาว่านายต้องโดนเจ๊วิกกี้นั่น ขย้ำเน้นๆ บ่อยๆ เลยใช่มั้ย วิว"
"ทุกรูปแบบครับ ทั้งขบ ขยี้ขยำ กัดจมเขี้ยวนี่ของว่างของเจ๊เค้าเลย"
"ก็ถือว่าเปลืองตัว เพื่อความสุขของหญิงอาวุโสแล้วกัน ... กุศลแรง"
วิวรรธน์หัวเราะชอบใจ สถบดียิ้มมองอย่างถูกชะตากันตั้งแต่วันแรก
ภายในห้องประชุม พัทธยากำลังยืนอธิบายการทำงาน ทุกคนตั้งใจฟังและจด
"สำหรับคดี.ส.ส.อภิมุข ผมจะแบ่งทีมทำงานเป็นสามทีม ทีมแรกเก็บหลักฐานเพิ่มเติมจากที่เกิดเหตุ อีกทีมจะสอบปากคำทุกคนในบ้านใหม่ ก็จะมีผมกับผู้กองไผ่"
สถบดีนั่งหลับ ผงกหน้าปะหลกๆ คทารัตน์มองจ้อง เขาตื่นมาเห็นสายตาวิกกี้ ก็ยิ้มให้กวนๆ
เธอปรายตามองอย่างรังเกียจชัดเจน แล้วหันกลับไปทำหน้าตั้งใจฟังพัทธยาอย่างเต็มที่
"อีกทีมจะเป็นทีมสนับสนุน หาหลักฐาน พยานภายนอกเพิ่มเติม ทีมนี้สำคัญมาก มีคุณวิกกี้เป็นหัวหน้า"
คทารัตน์หน้าเชิดยิ้มปลื้ม ปรายตามองไปทางสถบดีอีกครั้ง แต่เห็นเขาสัปหงกต่ออย่างไม่สนใจฟังเพื่อนเลย
ในมหาวิทยาลัยเวลาเย็น รัดเกล้าสีหน้าประหลาดใจ นั่งลงข้างๆ ยอดชายที่กำลังเปิดเว็บหาข้อมูลเพื่อทำรายงาน
"ฉันเจอนักรบคนนั้นอีกแล้ว ไอ้ยอด .. คราวนี้พอแตะมือกัน ฉันเจ็บหน้าอกจี๊ด เจ็บเหมือนโดนแทงด้วยดาบเล่มโตๆ"
"พอส พอส พอสก่อน ๆ ขอย้อนกลับไปเมื่อกี้ ตรงที่แตะมือกัน"
"แล้วไง... ก็มือแตะกันแค่นั้น"
"แกสปาร์คกับเค้า มันเป็นปฏิกิริยาทางร่างกายของผู้ชายกับผู้หญิงขี้เหร่อย่างแก"
รัดเกล้าสีหน้าซีเรียสตั้งใจฟังยอดชายที่อธิบายด้วยหลักการ
"ที่มีแรงดึงดูดเข้าหากัน พอแตะเนื้อต้องตัวกันปุ๊บ ประจุไฟฟ้าในตัว เคมีในตัว มันก็ซิงค์กัน ก็คนนี้ใช่มั้ยล่ะ ที่ผ่านประตูแห่งกาลเวลามารอเจอ"
ยอดชายเก๊กอยู่ได้สองวิก็หัวเราะพรึ่ดออกมา รัดเกล้าเสียหน้า ตีเพื่อนอย่างแรง
"ไอ้บ้า เห็นความทุกข์เพื่อนเป็นเรื่องตลก"
ยอดชายหันไปเล่นคอมฯต่อ รัดเกล้ารำพึงออกมาเหมือนปรับทุกข์กับตัวเอง
"ฉันสงสัยจริงๆนะ ทำไมฉันถึงฝันซ้ำๆเห็นแต่อดีต โดยเฉพาะอดีตที่มีแต่ผู้ชายคนนั้น"
เวลาเย็นต่อเนื่อง สถบดีเดินตามพัทธยาเข้ามาในห้องทำงาน แล้วปิดประตูลง
"มันไม่ใช่ครั้งแรกนะโว๊ย ทุกครั้งที่ถูกเนื้อต้องตัวเค้า ฉันก็เจ็บเหมือนถูกถีบ"
พัทธยาวางแฟ้มคดีที่เพิ่งประชุมเสร็จแล้วมองหน้าเพื่อน
"แล้วแกจะให้ฉันสรุปคดีของแกกับผู้หญิงคนนี้ว่ายังไง"
"ไอ้นี่ อะไรๆก็เห็นเป็นคดีไปหมด"
"ไอ้เวร...หยุดคิดเรื่องหญิง เอาเรื่องคดีส.ส.อภิมุขก่อน"
"อันนั้นมันก็ตามหลักฐานอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้สิ เรื่องฉันกับผู้หญิงคนนั้นมันไม่มีอะไรพิสูจน์ ฉันว่ามันแปลกมากๆ"
"ก็รอเจอเค้าอีกครั้ง เผื่อคราวหน้าแกจะชักตาตั้ง ลงไปกองกับพื้น"
"ไม่มีฉัน แกต้องทำคดียากๆคดีนี้คนเดียวนะเว้ย"
"ใครบอกว่าคนเดียว มีวิกกี้ช่วยฉันอยู่ทั้งคน"
พัทธยายิ้มๆ ไม่คิดอะไร เปิดแฟ้มมอง แต่สถบดีจ้อง
"อย่าบอกนะว่า เจ๊วิกกี้ได้ใจแกไปแล้ว"
พัทธยายิ้มขณะเงยหน้ามองเพื่อน
ในสำนักงานสืบฯ เวลากลางคืน คทารัตน์ยืนอ้อยอิ่งอ่านแฟ้มอยู่ที่โต๊ะ ไม่มีคนทำงานเหลืออยู่แล้ว
พัทธยากับสถบดีเดินออกมา เธอเหลือบเห็น แต่ทำเฉยๆ เอื้อมไปหยิบแฟ้มมาอ่าน
"คุณวิกกี้ ยังไม่กลับบ้านเหรอครับ"
"อ๋อ ...ยังค่ะ กำลังรวบรวมแฟ้มคำให้การไปนั่งอ่านคืนนี้อีกสักรอบ คิดว่าต้องเจออะไรที่หลุดไปแน่ๆค่ะ"
"สงสารจัง พยานคดีมีตั้ง 200 กว่าปาก คุณวิก เมื่อยปากแย่" สถบดีแดกดัน
คทารัตน์ยิ้มบอก
"อ่านเฉพาะปากสำคัญๆน่ะค่ะ ปากไหนพล่อยๆ ไม่น่าสนใจ ปราดตามองปร๊าดเดียวก็คัดทิ้งได้ จะเสียเวลาทำไม"
"แสดงว่าสายตาของคุณวิกนี่เฉียบขั้นเทพ มองทะลุปรุโปร่งเข้าไปในสารพัดปาก"
เสียงหัวเราะดังพรึ่ดมาจากหลังตู้เอกสาร ทุกคนหันไปมอง เห็นวิวรรธน์โผล่หน้ามาพร้อมหอบแฟ้มในมือ
"สำลักน้ำลายในปากเหรอจ๊ะ น้องวิว"
"ผมกำลังหาแฟ้มคดีเทียบเคียงเรื่องมือที่ยิงตัวตายน่ะครับ"
คทารัตน์อารมณ์ขึ้นมาทันที
"นี่นายจะหักล้างข้อสันนิษฐานของชั้นให้ได้เลยใช่มั้ย วิว"
"ผมไม่อยากให้เราหน้าแตกยกทีม แล้วก็ไม่หลงทาง เสียเวลาสอบสวนน่ะครับเจ๊"
คทารัตน์สีหน้าเริ่มเรียบเย็นแฝงพลังอำมหิต
"แต่ที่ประชุมก็สรุปแล้วว่า เราจะไม่ตัดประเด็นมือที่ยิงตัวตาย ทำไมนายต้องทำตัวขวางมือ ขวางเท้า... ขวางโลก จงใจแย้งฉัน"
"มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ คุณ ถ้าเราจะหักล้างกันเองก่อน เพื่อให้ได้ผลการสอบสวนที่ไม่มีใครคัดค้านได้ วิวเค้าก็ทำหน้าที่ของเค้าดีแล้วนะ" สถบดีว่า
"เสียเวลา เปลืองความตั้งใจ"
"แต่ถ้าเป็นผม ผมจะใจกว้างรับฟังพวกรุ่นใหม่ไฟแรง ไม่เชื่อสิ่งที่คนรุ่นเก่าคิด ก็เหมือนเราที่ต้องมารื้อคดีที่คนเก่าทำไว้ เพราะเห็นข้อผิดพลาดของมัน"
"ขอบคุณครับ ผู้กองไผ่... ผู้กองได้ใจผมไปเต็มร้อยเลยครับ"
คทารัตน์กำลังจะใส่กลับให้ยับกันไป แต่พัทธยารีบประนีประนอม
"วิกกี้ครับ ผมว่าเราเป็นดรีมทีมเลยนะครับ ทุกคนให้ใจกับงานนี้เกินร้อย ช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างงี้ เราปิดคดีนี้ได้เร็วแน่"
พัทธยายิ้มอยู่คนเดียว ท่ามกลางบรรยากาศอาฆาตของคทารัตน์ที่จ้องมองสถบดีและวิวรรธน์อย่างเอาเรื่อง
ภายในบ้าน เวลากลางคืนต่อเนื่องมา รัดเกล้าที่นั่งพิมพ์งานในคอมฯอยู่ คทารัตน์ทิ้งแฟ้มลงทั้งตั้ง
"มันจะปิดคดีไม่ได้มากกว่า ถ้าไอ้วิวกับไอ้ผู้กองไผ่มันทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง รวมหัวกันขัดแข้งขัดขาฉันอยู่อย่างงี้"
"พี่วิกกี้อยากกินข้าวขาหมูมั้ยคะ"
"แกถามอะไรให้สร้างสรรค์กว่านี้หน่อยได้มั้ย ยายเกล้า เห็นหรือเปล่าว่าฉันกำลังควันออกหู"
"คากิเป็นก้อนก็ช่วยดับควันได้นะคะ เกล้าเห็นเวลาพี่วิกกี้โกรธ ต้องเรียกหาข้าวขาหมู"
"มีหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีก็รีบไปเวฟมา ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องออกไปซื้อเลยนะ เดี๋ยวแกจะเจอไอ้ผู้กองไผ่อีก"
"นั่นไง ... พี่วิกกี้ผู้มีความจำเป็นเลิศ"
"ฉันจำแน่ โดยเฉพาะคนที่มันเป็นศัตรูของฉัน ฉันจะจำยิ่งกว่าวันตาย จำแล้วก็ตามพวกมันไปถึงปรโลก"
รัดเกล้าตกใจ รีบห้ามขึ้นทันที
"พี่วิกกี้ อย่าพูดแบบนั้นค่ะ คำว่าปรโลกมันรุนแรง ...มันเหมือนเราอาฆาต"
"โอ๊ย ! พวกจิตอ่อน ฉันเปรียบเทียบย่ะ ใครจะตามล้างตามแค้นไปถึงปรโลก อย่างฉันมันต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน ชาติเดียว รู้เรื่อง .. จบ"
คทารัตน์พูดอย่างคนเด็ดขาด ต่างจากรัดเกล้าที่มองด้วยความเกรงในอารมณ์รุนแรงของพี่แบบเด็กหัวอ่อนกว่า
ภายในคอนดดฯ สถบดีวางมือบนโต๊ะต่อหน้าพัทธ์ที่กำลังอ่านแฟ้มคดีอยู่
"จบเห่แน่ๆ" สถบดีบอก
"เออว่ะ แกกับวิกกี้ทำงานด้วยกัน คดีนี้จบเห่แน่ๆ"
"แกก็เห็น เค้าเหม็นหน้าฉัน"
"ไผ่ เราทำงาน ทำไมแกไม่เอางานเป็นตัวตั้ง แกไปกวนเค้าเพราะอยากยั่วโมโหเค้า"
"ฉันเห็นด้วยกับวิว ยายเจ๊วิกกี้มั่นใจตัวเองเกินไป"
"ถ้าวิกกี้ไม่เก่งจริง เธอคงไม่หาหลักฐานมางัดจนคดีต้องถูกรื้อ ฉันว่าเสือสองตัวอย่างแกกับวิกกี้ ควรจะสงบศึกกันชั่วคราว แล้วก็เอาความเก่งมาช่วยกันหาฆาตกร"
"ฆาตกรตัวจริงมันจะใครที่ไหน ก็ต้องอยู่ในบ้านนั่นแหละ "
พัทธยามองเพื่อนที่พูดอย่างมั่นใจ
"แกว่าใครจะฝ่าด่านรปภ.เป็นสิบเข้าไปยิงส.ส.อภิมุขได้ ถ้าคนในบ้านไม่รู้เห็นเป็นใจ"
ภายในบ้านอภิมุข เช้าวันใหม่ เพชรดามองสถบดี พัทธยา และคทารัตน์ที่นั่งฝั่งตรงข้าม สายตาเพชรดามองจ้องสองตำรวจหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
คทารัตน์ยิ้มนำ แต่เพชรดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่มีความเป็นกันเอง สายตามองจ้องชายแปลกหน้าทั้ง 2 คน
"ใครคะ"
"ผู้กองพัทธ์กับผู้กองไผ่ค่ะ ถูกส่งมาช่วยคดีนี้"
" จะทำได้เหรอคะ ตำรวจชุดก่อนที่ทำคดีนี้ก็ระดับผู้การทั้งนั้น สอบสวนกันเป็นปี ก็ยังจับตัวฆาตกรไม่ได้"
สถบดีสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน อยากจะตอบ แต่พัทธยาสบตาปรามเพื่อน แล้วตอบเสียเอง
"ถึงต้องอาศัยมุมมองใหม่ๆ ความคิดนอกกรอบเดิมๆ มาช่วยรื้อคดีไงครับ ผมจะขอเริ่มจากสอบปากคำทุกคนในบ้าน... อีกครั้ง"
"สอบไปเป็นร้อยๆรอบ ผมก็ตอบเหมือนเดิมครับ ว่าพี่ชายผมยิงตัวตาย ผม... อภิวัฒน์ เจ้าของบ้านหลังนี้"
ทุกคนหันไปมอง เห็นอภิวัฒน์ท่าทางภูมิฐาน สีหน้าสบายๆ เดินเข้ามา
"ผมไม่เข้าใจว่าพวกคุณไปเชื่อยายเพชรทำไม แกน่ะเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน แกคิดว่าคดีนี้ต้องมีฆาตกรเหรอ ใคร ... ฉันล่ะสิที่วางแผนลงมือฆ่าพี่ชายตัวเอง"
"อาจจะไม่ใช่คุณก็ได้นี่ครับ" พัทธยาว่า
สถบดีพูดเน้นคำอย่างจงใจ
"เพราะบ้านนี้ก็ยังมีคนอื่นๆอยู่ด้วย"
อภิวัฒน์มองจ้องทั้งสามคนด้วยสายตาวูบไหวขึ้นมาทันที
ในห้องรับแขกหรูหราของบ้านอภิวัฒน์ ซึ่งที่อยู่ในบริเวณเดียวกับอภิมุข มาริษา หญิงสาวสวย มีสง่า ท่าทางเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว เดินออกมามองทีมสอบสวนทุกคนด้วยสายตาเย็นชา
"ฉันเคยให้การไปแล้วว่า ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังโน้น แล้วฉันก็วิ่งไปพร้อมคุณอภิวัฒน์ สามี... ไปถึงก็เห็นศพคุณอภิมุข"
"คุณได้ยินเสียงปืน ตอนอยู่ตรงไหนครับ" พัทธ์ถาม
"ห้องนอนค่ะ ฉันหลับอยู่"
"คุณอภิวัฒน์เคยให้การว่า เข้าไปปลุกคุณในห้องนอน ทันทีที่ได้ยินเสียงปืน แสดงว่าตอนนั้นคุณตื่นแล้ว ตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงปืน"
"ค่ะ ก็ตื่น พอดีกับที่คุณอภิวัฒน์เข้ามาบอก"
"ตามเวลาที่แพทย์ได้ชันสูตรศพ คาดว่าคุณอภิมุขตายเวลา ... ตีสาม" คทารัตน์บอก
"คุณอภิวัฒน์ทำอะไรอยู่ในห้องนั่งเล่นคนเดียวครับ ตอนตีสาม"
"อ่านหนังสือ" อภิวัฒน์บอก
"คุณอภิวัฒน์ชอบอ่านหนังสือคนเดียวเหรอคะ คุณมาริษา"
มาริษามองอภิวัฒน์แต่ยังไม่ทันตอบ อภิวัฒน์ก็หัวเราะขึ้น
"นี่คุณคิดว่าผมวิ่งไปยิงพี่ชาย แล้วก็วิ่งกลับมาปลุกเมีย แล้วก็วิ่งกลับไปยืนมองศพพี่ชาย"
"ยังไม่มีใครสรุปอย่างนั้นนะคะ แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ ตรงที่ว่าไม่มีการวิ่งกลับไปกลับมา"
"ระวังหน่อย ผมฟ้องคุณได้ ถ้าคุณพูดมั่วว่าผมเป็นคนยิงพี่ดำ"
"คุณวิกกี้เธอกำลังจะบอกว่า เราต้องการพยานยืนยันว่าคุณสองคนอยู่ในบ้านหลังนี้จริงๆ ตอนที่คุณอภิมุขถูกยิง พอจะมีใครยืนยันที่อยู่ของคุณได้มั้ยครับ คนที่ไม่ใช่คุณสองคน... ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน"
มาริษาหน้านิ่งลงทันที อภิวัฒน์มองพัทธยากับคทารัตน์ด้วยความคุกรุ่นที่ซ่อนไว้ในใบหน้าท่าทางภูมิฐาน
สถบดีอยู่นอกบ้านอภิรัตน์ กำลังแหงนมองไปที่หน้าต่างบ้านอภิมุข
"กำลังมองเหรอ ว่ามือปืนอาจจะโดดลงมาจากหน้าต่างบานนั้น"
สถบดีหันไปเห็นสิริรัตน์ในชุดลำลองขาสั้น อวดขาขาวเดินโปรยยิ้ม ตรงเข้ามา
"มันสูงนะครับ ถ้าเป็นคุณ..คุณก็คงไม่กล้าโดด"
"ใช่สิ เป็นใครก็ไม่กล้าโดดลงมาหรอก ตกลงมา ก็คอหักตาย"
เขามองสิริรัตน์ หรือ "แก้ว" น้องเมียคนสวยของอภิมุข ที่กำลังเดินนวยนาดเข้ามาหา
"รื้อคดีขึ้นมาทำไม เดือดร้อนกันไปหมด คุณเป็นตำรวจชุดที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ มาคอยถามโน่นถามนี่ ตรวจบ้านนี้ทุกซอกทุกมุม น่าเบื่อ"
"พวกผมทำตามหน้าที่ คุณสิริรัตน์อย่าเพิ่งเบื่อเลยครับ"
สิริรัตน์มาหยุดมองเขาในระยะประชิด
"สิริรัตน์ก็คงไม่เบื่อเท่าไหร่ ถ้ามีตำรวจหล่อๆฉลาดๆอย่างคุณมาบ่อยๆ"
เธอโปรยยิ้มหวานให้ เขายิ้มๆตอบ
"หรือถ้าเบื่อมากๆ ทำไมคุณไม่ย้ายออกไปล่ะครับ"
"ก็สิริรัตน์เป็นน้องเมียพี่ดำนี่คะ น้องเมียที่ต้องทนอยู่ในบ้านบ้าๆนี่ บ้านที่มีแต่คนตาย ตายมันตั้งแต่รุ่นพ่อยันลูก แถมยังมีคนบ้าๆ... นังบ้านั่น"
เพชรดายืนจ้องมาที่สิริรัตน์ เธอยังไม่รู้ตัว ครู่หนึ่ง เพชรดาก็เดินเข้าบ้านไป เขามองตาม
"ถ้ามีที่ไป สิริรัตน์ก็ไม่ทนอยู่หรอก"
สิริรัตน์ยิ้มหวานเยิ้ม ทอดทั้งสายตาและคำพูดเชิญชวน
"ผู้กองว่ามั้ย ... แบบสิริรัตน์ยังสาวยังสวย ถ้ามีที่ไป... สิริรัตน์ก็ต้องเลือกอะไรๆ ที่ดูดี มีอนาคต"
เพชรดาเดินเข้าบ้านมา ก็ชะงักที่เห็นพัทธยากับคทารัตน์ยืนรออยู่
"เราคงต้องมารบกวนอีกนะคะ คุณเพชรดา ยังมีอะไรที่เราต้องคุยกับทุกคนอีก"
"บ้านนี้ไม่มีใครให้คุยแล้ว"
มีเสียงดังตึงตังเหมือนฝีเท้าคนดังจากชั้นบน พัทธยากับคทารัตน์มองไปทันที
"ใครอยู่ข้างบน" พัทธยาถาม
เพชรดาลุกขึ้นบอก
"ไม่มี"
"แต่เสียงนั่น เหมือนคนวิ่งอยู่ชั้นบน" คทารัตน์บอก
เพชรดายืนยัน
"ไม่มี เชิญพวกคุณกลับได้แล้ว"
เสียงตึงตังเงียบไป พัทธยากับคทารัตน์สบตากัน
" เราคงได้เจอกันอีกแน่ๆครับ คุณเพชรดา"
พัทธยาจ้องเพชรดาเขม็ง
สถบดี คทารัตน์ พัทธยา กลับจากบ้านอภิมุขมาที่สำนักงานสืบฯ
"คุณเพชรดากำลังปกปิดอะไรเราอยู่" พัทธยาบอก
"ตามหลักฐานทางการเงิน คุณอภิวัฒน์ น้องชาย มีหนี้ที่เกี่ยวกับธุรกิจมากกว่าร้อยล้าน แต่เมีย คุณมาริษา ก็ยังเป็นลูกค้าประจำร้านเพชร งานรวมไฮโซเซเลบดังๆ เธอไม่เคยพลาด" คทารัตน์ว่า
"คุณสิริรัตน์ น้องเมียก็ดูเข้ากับใครไม่ได้ แล้วก็ไม่ชอบหน้าคุณเพชรดามากๆ ถึงกับเรียกว่า นังบ้า" สถบดีว่า
ทั้งสามคนมองหน้ากัน
ภายในบ้านอภิมุข สิริรัตน์พุ่งเข้ามาหาเพชรดา
"เพราะแกคนเดียว นังเพชร บ้านนี้ลุกเป็นไฟเพราะนังบ้าอย่างแก"
เพชรดานั่งบีบมือตัวเอง อภิวัฒน์ที่ยืนอยู่ ตรงเข้ากระชากแขนเพชรดาด้วยท่าทางกราดเกรี้ยวต่างกับตอนอยู่หน้าตำรวจ
"แกยังดื้อด้านคิดว่าฉันยิงพี่ดำใช่มั้ย เพชร ... ถึงไม่ยอมจบเรื่องนี้"
"เพชรไม่ได้โทษใคร เพชรอยากให้จับตัวคนฆ่าพี่ดำจริงๆได้สักที"
"ก็ฉันพูดอยู่นี่ไง ตำรวจเค้าก็สรุปไปแล้วว่าพี่ดำฆ่าตัวตาย แกหูแตกหรือไง เพชร"
อภิวัฒน์ระเบิดโทสะ เหวี่ยงเพชรดากลิ้งไปกับพื้น
"จงรักภักดีอะไรนักหนา หรือแกอยากตายตามพี่ดำ"
เพชรดามองอภิวัฒน์ ด้วยสายตาเสียใจ สิริรัตน์หัวเราะกรีดใจ
"ตายไปเร็วๆก็ดีนะ เพชร ... พ่อก็ตายหาศพไม่เจอมาแล้วคนนึง แล้วก็มาลูกชาย ทีนี้ก็คงถึงคราวลูกสาว... นอกไส้"
"สิริรัตน์ ! อย่าลามปามพ่อแม่ฉัน"
"ก็อยากจะฟังต่อนะ ประวัติครอบครัวเศรษฐีที่ไต่เต้ามาจากยาจก หาเช้ากินค่ำ แต่พอดีฉันมีนัดกับร้านทำเล็บ" มาริษาบอก
"มาริษา จะพูดอะไรก็ให้เห็นแก่หน้าผัวเธอมั่ง"
"ฉันเลิกนับว่าคุณเป็นสามีมาตั้งนานแล้ว จำหน่อยสิ ... อภิวัฒน์"
อภิวัฒน์หันขวับมองมาริษาที่เหยียดยิ้มท้าทาย มองอภิวัฒน์กับสิริรัตน์อยู่
"ที่ต้องทนอยู่ ทนรับรู้เรื่องประพฤติบาปในบ้านหลังนี้ เพราะสินสมรสที่ฉันควรจะได้หลังเปิดพินัยกรรม รู้แล้วก็ควรตอบแทนความดีของฉันที่อยู่เป็นเกียรติ ยกระดับให้ตระกูลพ่อค้าของคุณมาตั้งหลายปี เซ็นเช็คไว้ให้ฉันด้วย ... ห้าล้าน"
มาริษาสะบัดหน้าเดินออกไปอย่างทะนงตัว
"ห้าล้าน โถ.. นังไฮโซ ค่าสึกหรอของแกน่ะ ห้าพันก็พอแล้ว" สิริรัตน์บอก
"สิริรัตน์ หุบปาก รู้ฐานะตัวเองซะบ้าง !"
"ทำไม ทำไม... อีสิริรัตน์มันไม่ใช่..."
อภิวัฒน์จ้องหน้าสิริรัตน์เขม็ง ที่เธอกำลังจะพูดคำว่าเมียออกมา
อ่านต่อหน้า 2
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ไม่เฉพาะแต่อภิวัฒน์ที่ส่งสายตาดุ แม้แต่เพชรดาก็จ้องเธอเขม็งเหมือนกัน สิริรัตน์กรี๊ดระบายออกมาอีกที
"ไม่อยากอยู่แล้วโว้ย ไอ้บ้านผีสิงเนี่ยะ"
สิริรัตน์จิ้มนิ้วไปที่หน้าเพชรดา
"เพราะแก นังเพชร อยากได้หน้าว่ารักพี่ ทำไม! พี่ดำเค้าเป็นผัวแกหรือไง ถึงรักจนวันตายอย่างงี้ อีนังบ้า"
สิริรัตน์จะโผเข้าหาอภิวัฒน์ แต่เขากลับจับแขนเธอเหวี่ยงห่างออกจากเพชรดา
"อย่ามาทำตัวต่ำๆ เหมือนที่ๆเธอเคยอยู่ สอนกี่ครั้งแล้ว บ้านนี้บ้านผู้ดี"
"เออ ฉันมันต่ำ แล้วไอ้พวกผู้ดีน่ะ อย่ามูมมาม ตะกละตะกรามมากินของต่ำๆ ก็แล้วกัน คอยดูต้องมีคนตาย บ้านนี้มันต้องมีคนตายอีก เพราะผู้หญิงบ้าอย่างแก นังเพชร"
สิริรัตน์สะบัดหน้าเดินปัดออกไปจากบ้าน เหลือแค่อภิวัฒน์กับเพชรดาที่ยืนนิ่ง สีหน้ากดดันเต็มที่ จนอภิวัฒน์มองแล้วหงุดหงิด
"หยุดความคิดเรื่องพี่ดำถูกฆ่าได้แล้ว ครอบครัวเรารับเลี้ยงลูกเมียคนงานอย่างแกก็บุญกะลาหัวแค่ไหน ยังจะมาทำให้บ้านนี้ลุกเป็นไฟอีก ฉันเตือนแล้วนะ เพชร... ฉันเตือนแล้ว ถ้าแกไม่หยุด ระวังตัวไว้ แกจะได้ตามไปรับใช้พี่ดำ"
อภิวัฒน์เดินออกไปอีกคน เพชรดาบีบมือตัวเองแน่น ร่างทั้งเกร็ง ตัวสั่นระริกก่อนน้ำตาร่วงลงมาด้วยแรงกดดันที่ถูกรุมประฌามจากคนทั้งบ้าน
ภายในสำนักงานสืบฯ เวลาต่อเนื่องมา พัทธยาหน้าเครียด ตรงข้ามกับสถบดีที่พูดขึ้น
"แค่วันแรกก็สนุกแล้วว่ะ พัทธ์ ผู้ต้องสงสัยเพียบ แกว่ามั้ย"
"เราจะกลับไปที่นั่นอีก จนกว่าจะเอาความจริงมาให้ได้ ว่าใครคือคนยิง"
"ผู้กองไผ่คงมั่นใจฝีมือสอบสวนมากนะคะ เห็นคุยกับน้องเมียคุณอภิวัฒน์ตั้งนาน ได้เรื่องหรือได้เบอร์มาล่ะคะ"
สถบดียิ้มกว้าง
"ทั้งสองอย่างเลยครับ ปกติของผมอยู่แล้ว สาวๆคนไหนน่าค้นหาก็ต้องขอเบอร์ไว้ แต่คนไหน... มองแล้วชวนวังเวงใจจนอยากบวชหนี" เขาทำท่าขยับออกห่างจากคทารัตน์แล้วพูดต่อ
"... ก็ต้องอยู่ห่างๆ" ว่าแล้วก็โอบไหล่ดึงพัทธยาออกห่างตัวเธอด้วย
"เพื่อความปลอดภัยของชีวิตหนุ่ม" ก่อนหันไปทำตาหวานใส่พัทธยา "เนอะ ... ตัวเองเนอะ"
คทารัตน์เห็นสถบดีโอบพัทธยาออกห่างจากตัวเอง ก็จ้องแบบแทบจะฉีกอกให้ตายลงไปตรงนั้น
วิวรรธน์เปิดประตูเข้ามาพอดี คทารัตน์อารมณ์ค้าง หันไปดุปรี๊ดทันที
"หัวหน้าคุยกันอยู่ ไม่มีมารยาทเลย วิว"
"ขอโทษครับ ผมจะมาเตือนเจ๊วิกกี้ว่า นักศึกษาฝึกงานกำลังจะมารายงานตัว"
บริเวณหน้าลิฟท์ รัดเกล้าในชุดนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนกดลิฟท์รอ ยอดชายยืนข้างๆ รัดเกล้าหันมายิ้มกับเพื่อน เมื่อลิฟท์เปิด รัดเกล้ากับยอดชายกำลังจะเข้าไป มุรธาสาวเปรี้ยว นุ่งสั้นรัดติ้ว วิ่งมาพอดี เธอเอามือกั้นลิฟท์ไว้ รัดเกล้ากับยอดชายมองเพื่อนที่มาสาย อดตื่นตะลึงในชุดนักศึกษาฝึกงานที่เน้นรูปร่างไปทั้งตัวไม่ได้
สถบดีเดินออกมาจากห้องประชุม วิวรรธน์เดินตามมาทางด้านหลังถาม
"ไม่รอดูนักศึกษาฝึกงานเหรอครับ"
"รอทำไม ยังไงก็ได้แต่ดู"
คทารัตน์เดินตามมาได้ยิน ก็หมั่นไส้
"ดีแล้วค่ะ ผู้หญิง เพศแม่ของคุณไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ของว่าง ของฆ่าเวลา"
สถบดีกับวิวรรธน์หันมามอง
"เดี๋ยวนะเจ๊วิกกี้" สถบดีเรียก
"เจ้าแม่เก๋โก๊ะก็ได้ครับ"
"วิว !"
"ประทานโทษนะครับ เจ้าแม่เก๋โก๊ะ ผมกับวิวกำลังคุยกัน เราไม่ได้มีเจตนาดูถูกผู้หญิงอย่างที่คุณยัดเยียดให้ นี่ถ้าไม่บอก ผมคงนึกว่าลูกสาวเจ้าแม่มาฝึกงานถึงได้ทำตัวเป็น จงอางหวงไข่"
สถบดีหัวเราะในคอ วิวรรธน์ยิ้มรับลูกต่อ
"ผู้กองคงไม่ได้หมายถึงเรื่องเจ๊หาแฟนไม่ได้"
"ไอ้วิว"
"ไม่ ไม่ วิวครับ ต้องเตือนตัวเองไว้ เรื่องหาแฟนทำสามีไม่ได้นี่เค้าห้ามพูดกับผู้หญิงสูงวัยนะ ฟังแล้วมันจุก"
คทารัตน์หน้าบึ้งตึงอยากจะฆ่าทั้งคู่ที่รับลูกกัน สถบดีเดินออกไปก่อน พอเธอหันมาเจอกับพันธยาเท่านั้นแหละ ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน
"อย่าอยู่ตรงนี้เลยค่ะ ผู้กอง ...มีแต่คำพูดเลอะเทอะ เกรียนๆกากๆ ไปรอนักศึกษาฝึกงานกันดีกว่า"
สถบดีกำลังเดินมาหน้าลิฟท์ เมื่อลิฟท์เปิดออก มุรธาเดินออกมาคนแรก
"สำนักงานสืบคดีพิเศษชั้นนี้หรือเปล่าคะ"
"ครับ ชั้นนี้"
สถบดีขยับ มุรธาเดินออกมา ก็เห็นยอดชาย รัดเกล้าเดินตามออกมา
"คุณ"
รัดเกล้าพอเห็นสถบดีก็ตกใจ รีบไปยืนข้างยอดชาย
"พวกเราเป็นนักศึกษาฝึกงานค่ะ" มุรธาบอก
สถบดีมองรัดเกล้าแล้วยิ้มอย่างดีใจ แต่เธอกลับหน้าเสียไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่อีก
ในเวลาต่อมา รัดเกล้า ยอดชาย มุรธายืนอยู่ตรงหน้าคนอื่นๆ มุรธาแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มหวาน
"มุนะคะ มุรธา สุวรรณสายพันธ์ค่ะ มีความสามารถพิเศษ บัลเล่ต์ ร้องเพลง"
สถบดีแซว
"มาสมัครดิไอดอลหรือเปล่าน้อง ตามพี่มารับบัตรคิวได้เลย"
คทารัตน์มองไปที่สถบดีด้วยสายตาสุดจะเกลียด เขาเอาแต่ยิ้มมองรัดเกล้า จนคทารัตน์สังเกตเห็น "ชายยอดยิ่งครับ ถนัดทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์"
"รัดเกล้าค่ะ รัดเกล้า ลิขิตศิริ"
"นามสกุลเจ๊วิกกี้" วิวรรธน์บอก
"ใช่ !! น้องสาวฉันเอง"
"ไหนเจ๊เคยบอกว่าเป็นลูกคนเดียว" ดนัยถาม
"ก็ฉันเป็นลูกคนเดียวของแม่ แต่พ่อฉันมีเมียสองคน ใครมีปัญหาอะไรอึดอัดในใจ อยากสอดรู้สอดเห็นอีกหรือเปล่าคะ" คทารัตน์พูดแกมแขวะ
"พี่น้องคนละแบบกันเลย น้องรัดเกล้าดูเรียบร้อย" สถบดีบอก
"สนิทเร็วไปมั้ยคะ ผู้กองไผ่ รัดเกล้าไม่มีพี่ชา เรียกรัดเกล้าเฉยๆ ก็พอ" คทารัตน์ว่า
"งั้นผมขอให้รัดเกล้ามาช่วยเรื่องเอกสารคดีส.ส.อภิมุข"
"ไม่ต้อง อรนุช ... เอารัดเกล้าไปช่วยเรื่องประสานงาน" คทารัตน์สั่ง
คทารัตน์ขวางสุดตัว รัดเกล้ามองสถบดีแล้วหลบตา ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย
"มุละคะ มุช่วยงานใครดี ให้มุช่วยผู้กองพัทธ์ก็ได้" มุรธาพูดพลางหันไปทางพัทธยาทันที
"สำหรับน้อง เดี๋ยวพี่จัดการให้ค่ะ น้องอะไรนะ มุมานะ ใช่มั้ยคะ"
ทุกคนมองคทารัตน์ที่ยิ้มหวานผิดปกติ
สถบดีกอดอกยิ้มมองตรงมาแต่รัดเกล้าที่พยายามเลี่ยงหลบ
ด้านหน้าสนง. สืบฯ คทารัตน์มองวิวรรธน์ซึ่งกำลังวางแฟ้มให้มุรธาที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้า ทางด้านหลังพวกดนัย ศิริธร อรนุชมองและเมาท์ว่า มุรธาจะเจออะไร
"ให้มุเป็นธุรการ"
"ค่ะ น้องมุดูเฟรนลี่ ขี้เมาท์ เฝ้าระวัง ก็คอยรับส่งเอกสาร เจอคนที่มาติดต่อ" คทารัตน์พูดแล้วก็เดินจากไป
มุรธามองอย่างไม่พอใจนัก พัทธยาเดินถือแฟ้มออกมา กลุ่มเมาท์กระจายตัว สาวฝึกงานไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นเดินปาดหน้าคทารัตน์ไปทางพัทธยา
"พี่พัทธ์ทานกาแฟมั้ยคะ มุชงกาแฟอร่อยนะคะ อืม.. มุขอเรียกพี่พัทธ์ได้มั้ยคะ เรียกผู้กองดูแก่ไป"
"ตามสบายครับ"
"คุณวิกกี้ให้มุทำงานตำแหน่งแม่บ้านสำนักงานน่ะค่ะ งานจุกจิก คอยดูแลทุกคน มุชอบนะคะ ชอบมากเลย น้องมุชอบเทคแคร์ทุกคนอยู่แล้วค่ะ"
วิวรรธน์ทำเป็นเปิดแฟ้มอ่าน แต่พูดให้ได้ยินสองคน
"เจอหน้าใหม่มาแรงซะแล้ว เจ๊"
คทารัตน์ยิ้มมั่นใจ
"แน่ใจนะว่าแรงพอ เพราะไม่งั้น ..จะตายคาสนาม"
พัทธยามอง คทารัตน์รีบยิ้มกลบ
"เดี๋ยววิกกี้เข้าไปสรุปงานในห้องใช่มั้ยคะ"
"ครับ ผมขอข้อมูลประวัติครอบครัวคุณอภิมุขทุกคนด้วย"
"ได้เลยค่ะ วิกกี้เตรียมไว้หมดแล้ว"
พัทธยาเดินกลับไปที่ห้อง คทารัตน์หันไปสั่งมุรธาเสียงดังให้ได้ยินกันทุกคน
"หนู ... ลาเต้คาราเมลของคุณวิกกี้ด้วยนะ"
ทุกคนมอง มุรธาถือแก้วกาแฟค้าง คทารัตน์เหยียดยิ้มหยัน สายตาข่ม
"อ้อ .. แล้วอย่าเรียกพี่เป็นอันขาด เรายังไม่สนิทสนมกันมากถึงขนาดนั้น มาใหม่หัดมีสัมมาคารวะ รู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อย หนูต้องเรียกคุณวิกกี้ทุกครั้งนะคะ"
คทารัตน์ยิ้มให้มุรธาที่ยืนนิ่งเหมือนถูกสาปด้วยสายตาและคำพูด คทารัตน์ปรายตามองวิวรรธน์แบบ 'ไงล่ะ' แล้วเดินเชิดเข้าห้องตามพัทธยาไปอย่างผู้ชนะ
ห้องเก็บแฟ้มคดีในสนง.สืบฯ ที่ตู้แฟ้มคดีสูง รัดเกล้ากำลังเขย่งหยิบแฟ้มที่ด้านบน สถบดีเดินซ้อนหลังมาช่วยหยิบแฟ้มลงมาให้ พอเธอเจอเขาเท่านั้นแหละ ก็ถอยหลังจนติดตู้
"ทีนี้หนีไม่รอด"
"อย่านะ"
สถบดียิ้ม
"ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก รัดเกล้า... ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น"
เธอจะเดินหลบ แต่เชาขยับตามมาขวาง
"ไม่นึกเลยว่า คุณจะเป็นน้องเจ๊วิกกี้"
สถบดีก้มลงมาใกล้ เสียงอ่อนลง
"ชื่อเพราะจัง ...รัดเกล้า...รัดเกล้า"
รัดเกล้าหลับตา ในหัวได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนเรียก
"น้องน้อย"
"รัดเกล้า"
"น้องน้อยของพี่ชาย"
รัดเกล้าหัวหมุนติ้ว ได้ยินเสียงสองเสียงที่เรียกสลับกัน น้ำเสียงมีแต่ความอ่อนโยน
"ไม่..."
รัดเกล้าผลักอกสถบดีสุดแรง เขาตกใจรีบรวบตัวไว้เธอไว้
"รัดเกล้า เป็นอะไร"
แฟ้มในมือรัดเกล้าหล่นพื้น รัดเกล้าเอามือยันอกเขาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ตัว สองสายตาประสานกัน เขาดึงเธอเข้ามาใกล้
รัดเกล้าเจ็บแน่นที่หน้าอก เหมือนหายใจไม่ออกกับสัมผัสของเขา
"อย่า...อย่าเข้ามาใกล้... ฉันเจ็บ"
รัดเกล้าพูดได้แค่นั้นก็วูบ หมดสติ เขาประคองเธอไว้ในอกทันที
"รัดเกล้า"
แสงวาบขึ้นส่องเข้าตาสถบดี
ตลาดเมืองศรีพิสยา กระจกที่สะท้อนแสงอาทิตย์ ส่องวาบเข้าตารัดเกล้า รัดเกล้าฟุบอยู่กับพื้นดิน
ในมือพ่อค้าถือกระจกส่องหน้ากวัดแกว่ง สะท้อนกับแสงอาทิตย์
"งานฉลองพระเพ็ง จันทร์เต็มดวง ขึ้น 15 ค่ำ ชายหญิงศรีพิสยาเตรียมบูชาเพ็ง"
รัดเกล้ามองเห็นชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมาก็รีบลุกขึ้น เธอมองเห็นบรรยากาศในตลาดเมืองศรีพิสยา ที่เต็มไปด้วยชาวบ้านที่แต่งกายประดับประดาสวยงามด้วยลูกปัด ขนนก ทุกคนยิ้มแย้ม เหมือนเมืองในฝัน เด็กๆพากันถือว่าวกระดาษรูปทรงสัตว์ เธอเดินมองไปรอบๆ ได้ยินเสียงชาวบ้านพูดคุยกันผ่านไป
ชาวบ้านคนที่ 1ว่า
"งานฉลองพระเพ็ง ต้องแต่งตัวให้สวยที่สุด"
"ใช่ พระเพ็งจะได้ประทานความสุขให้เรา" ชาวบ้าน 2 บอก
"งานฉลองพระเพ็ง" รัดเกล้าพึมพำกับตัวเอง
กลางตลาดใหญ่เต็มไปด้วยพ่อค้า แม่ค้าที่ขายสินค้ามากมาย ทั้งเครื่องเทศ เกลือ ขมิ้น สมุนไพร ลูกปัด ชาวบ้านที่เลี้ยงสัตว์ก็อุ้มไก่มาร้องเรียกขาย อีกด้านก็ขายพืชผัก ผลไม้ ร้านหนึ่งขายลูกจันทน์เหลืองสุกเหมือนสีพระจันทร์ ชาวบ้านพากันซื้อ
"เอาไว้บูชาพระเพ็ง"
รัดเกล้าเดินผ่าน มองเห็นพ่อค้าขายกริช ผู้ชายพากันมุงดู ถือจับลองให้ถนัดมือ ถัดมาคือร้านที่แม่ค้ากำลังขายเครื่องประทินผิวจากเปลือกไม้สีสันต่างๆให้กับสาวรุ่นศรีพิสยา รัดเกล้ามองเห็นชาวบ้านที่พากันยิ้มแย้ม แต่งกายสวยงาม เด็กๆวิ่งเล่น มีความสุข ขณะที่กำลังตื่นตา พอเธอหันมาอีกที ก็เห็นมรันมาในระยะประชิด เธอตกใจแทบสิ้นสติ จะหลบก็ไม่ทัน
"มรันมา" รัดเกล้าเรียก
พลันแสงประหลาดก็วาบขึ้นระหว่างสองร่างที่กำลังเดินผ่านกัน เสมือนชั่วขณะเวลาที่โลกแห่งอดีตและปัจจุบันบรรจบเข้าหากันด้วยอดีตชาติจากมรันมาสู่รัดเกล้า
รัดเกล้ายื่นมือไป แต่ไม่อาจสัมผัสมรันมาได้ เหมือนกับมรันมาที่ได้ยินเสียงเรียกประหลาด
"มรันมา"
มรันมาเหลียวกลับไปมองตามเสียงเรียก
"เหลียวซ้ายเหลียวขวาอะไร มรันมา"
มรันมามองไม่เห็นรัดเกล้าที่ยืนอยู่ตรงหน้า เสียงเรียกของอุตลา ดึงมรันมาให้หันกลับมา
รัดเกล้าได้แต่มองมรันมาที่กำลังเดินห่างไปกับพวกอุตลา
"เดินร็วๆสิ ชักช้า กลับเกินเวลา เดี๋ยวจะโดนแส้เจ้านาง" อุตลาว่า
"เอาแต่เร่ง แล้วจะให้ออกมาทำไม อุตลา" กาหลงว่า
"ทำไมนังกาหลง ที่ออกมาคือออกมาดู แล้วรีบไปรายงานเจ้านางว่าชาวบ้าน เตรียมบูชาเพ็งกันไปถึงไหนแล้ว"
อุตลาตวัดสายตามองมรันมา
"แล้วก็ให้มาถือของ ไม่ใช่ให้มาเดินชมนกชมไม้ เดินเร็วๆ รีบกลับตำหนัก"
มรันมาแกล้งเดินเร็วผ่านร้านค้าต่างๆ จนอุตลาต้องวิ่งตาม กาหลง น้ำค้างมองแล้วหัวเราะกันคิกคัก
"หัวเราะอะไร น้ำค้าง" อุตลาถาม
"คนเดินช้าน่ะสิ เดินไม่ทันมรันมา"
อุตลาจะฟาด กาหลง น้ำค้างพากันหลบ แล้วรีบเดินเร็วไปข้างมรันมา
บริเวณหลังร้านขายหม้อปั้นดินเผา รัดเกล้ามองตามมรันมา เห็นสีหสาที่ปลอมเป็นพ่อค้าขายหม้อดิน มองจ้องตามกลุ่มมรันมา
รัดเกล้าจำสีหสาได้ว่าเป็นคนที่ฆ่าทหารมินโลอย่างดุเดือด เธออยากจะเรียกเตือน แต่รัดเกล้ากลับไม่มีเสียง สีหสาเดินตามหลังมรันมามาติดๆ จนเธอรู้สึกแปลกๆ แต่เมื่อมรันมาหันไปกลับไม่เห็นใคร
"มองหาใคร มรันมา" กาหลงถาม
"เปล่าจ้ะ ... กาหลง แค่รู้สึกเหมือนมีคนมอง"
"อ๋อ ก้อผู้ชายที่ร้านผ้านั่นไง... แล้วก็พ่อค้าที่ร้านเครื่องเทศนั่นอีก"
กาหลงกับน้ำค้างยิ้มล้อๆ
"ใครๆก็มองมรันมาคนสวยทั้งนั้นแหละ" น้ำค้างบอก
มรันมายิ้มอายที่โดนกระเซ้า อุตลาได้ยินความริษยาพุ่งขึ้นทันที
"มานี่ ข้าจะฟ้องเจ้านางว่าเจ้าชักช้า เพราะมัวแต่ระริก ทิ้งสายตาให้ผู้ชายทั้งตลาด"
อุตลากระชากมือมรันมาแสดงอำนาจ แต่มรันมาสะบัดไม่ยอม
"อย่าเอานิสัยตัวเองมาด่าคนอื่น อุตลา"
"ก็ข้าเห็นเจ้ามองหาผู้ชาย มานี่ ข้าจะฟ้องให้เจ้านางเฆี่ยนเจ้า มรันมา"
อุตลากระชากแรง มรันมาปัดแรงให้อุตลากระเด็นจนล้มกลางตลาด ชาวบ้านต่างหัวเราะ อุตลาลุกขึ้นจะเอาเรื่อง แต่มรันมา วิ่งเร็วออกไปพร้อมกาหลงกับน้ำค้าง
อุตลาที่วิ่งผ่านสีหสาที่มองตามไป
ในวิหารปุระอมร องค์นรสิงห์ยืนอยู่ คชาเป็นองครักษ์ สีหสาก้าวเข้ามาเอ่ยขึ้นกับนรสิงห์
"เราควรจะโจมตี ตอนที่พวกศรีพิสยากำลังหลงระเริงไปกับงานเฉลิมฉลอง ความสุขจะทำให้พวกมันประมาท และนั่นคือฤกษ์ดีที่จะบุกทำลายศรีพิสยาในคืนบูชาเพ็ง"
สุเลวินปราม
"หลั่งเลือดในคืนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เด็ดขาด ! พระเพ็งเป็นเทพีผู้ประทานความร่มเย็น ไม่ใช่เทพีแห่งสงคราม ถ้าแสงแห่งคืนเพ็ญถูกบดบังในวันฟ้าเปิด พระเพ็งจะพิโรธ เมื่อนั้น .... บาปเคราะห์จะรุนแรงทวีคูณ"
"นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ ศรีพิสยาต้องย่อยยับ" สีหสาบอก
"หาใช่ ศรีพิสยา ... ความพินาศจะเป็นของผู้กระทำการลบหลู่"
"อย่าบังอาจปากพล่อยให้ระคายบาทกษัตริย์แห่งเรา องค์นรสิงห์โดนเมืองเล็กศรีพิสยาแข็งข้อ เท่ากับท้าทายพระบารมี อีกหน่อยเมืองเล็กๆมันจะรวมหัวกันเอาศรีพิสยาเป็นตัวอย่าง"
นรสิงห์หันมามองสีหสากับสุเลวินด้วยสายตามีอำนาจ
"แล้วพวกเจ้าก็มีปัญญา แค่ยืนอวดเก่ง เถียงกันให้ข้าเสียเวลา ออกไปไปให้พ้นหน้าข้า .. ทั้งคู่"
สีหสากับสุเลวินรีบถอยออกไปทันที นรสิงห์สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะที่อยากจะทำลายศรีพิสยาลงให้ได้เร็วที่สุด
สีหสาที่เดินเร็วผ่านลานฝึกอาวุธ วาเรกำลังซ้อมการต่อสู้กับเหล่าทหารของปุระอมรอย่างดุเดือด
สุเลวินเดินเร็วตามมา
"หากไม่นับว่าเจ้าเป็นโหรขององค์นรสิงห์"
"คงจะฆ่าเราทิ้งเยี่ยงสัตว์" สุเลวินหัวเราะเบาๆในลำคอ แล้วพูดต่อ
"ท่านจะทำลายศรีพิสยาเมื่อไหร่ก็ได้ ยกเว้นคืนบูชาเพ็ง"
"ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้า ในเมื่อทุกครั้งที่ออกรบ ข้าคือแม่ทัพ ข้าคือคนนำชัยชนะมาวางแทบเท้าองค์นรสิงห์"
"ความทะนงตัวของเจ้า จะทำให้องค์นรสิงห์ทนทุกข์ทรมานชั่วกัปป์ชั่วกัลล์"
"ความอ่อนแอ กลัวแม้กระทั่งแสงดวงดาวบนฟ้าของเจ้าต่างหาก สุเลวินที่ขัดขวางความเป็นใหญ่ขององค์นรสิงห์"
สีหสาจ้องสุเลวิน
"กองทัพแข็งแกร่งของข้าไม่เคยพ่ายแพ้ ทหารของข้าไม่เคยขี้ขลาดตาขาวเพราะเห็นแก่พระเพ็งดวงเดียว สำหรับข้าพระเพ็งไม่ใช่เทพีศักดิ์สิทธิ์ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในโลกนี้อยู่ที่ดาบของข้า"
สีหสาดึงดาบออกมา ทหารทุกคนด้านหลังชูมือโห่ร้อง แสดงความฮึกเหิมให้กับสีหสาแม่ทัพ สุเลวินได้ยินเสียงของทหารแล้วนิ่ง รู้ว่าการทัดทานสีหสาไม่เป็นผล
ในห้องอาบน้ำตำหนักอินยา เจ้านางอินยาที่กำลังอาบน้ำมันดอกจันทน์กะพ้อ ข้าหลวงทั้ง 6 นั่งอยู่รายรอบ มรันมาเป็นคนเติมน้ำมันดอกจันทน์กะพ้อ น้ำค้างเป็นคนลูบไล้อาบให้ทั่วแผ่นหลังเจ้านางอินยา
"อาบน้ำมันดอกจันทน์กะพ้ออีก 7 วันข้างหน้า ข้าต้องการดอกจันทน์กะพ้อที่บานในคืนบูชาเพ็งเท่านั้น ให้คนไปเก็บมาทุกดอกทั่วศรีพิสยา"
น้ำค้างก้มหน้ารับคำสั่ง
ปันแสงเดินเข้ามา นางข้าหลวงทุกคนก้มหน้า มรันมาก้มหน้า ไม่อยากสบตากับปันแสง
"งานฉลองคราวนี้ ปรันมาเตรียมเหรียญดินปั้นรูปพระเพ็งไว้แจกชาวเมือง"
"แค่นั้นเองหรือ"
อินยายิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
"ดินจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ผ่านพิธีที่หอขวัญเมือง เป็นของมงคลที่ชาวบ้านอยากได้"
"จริงหรือ มรันมา"
"ข้าได้ยินชาวเมืองพูดกันว่าจะมารอรับของขวัญจากมือเจ้าศรีพิสยา"
อินยามองลูกชาย
"ชาวบ้านคงอยากชื่นชมพระบารมีของเจ้าศรีพิสยาหนุ่มเหลือเกิน"
อินยาสบตากับปันแสง มรันมาฟังแล้วใจคอไม่ดีกับน้ำเสียงเลือดเย็นของเจ้านาง
ในสวนดอกไม้ เวลากลางคืน มรันมาเดินเร็วๆมา และเห็นเงาร่างสูงผ่านมาด้านหลัง ก็นึกระแวง พยายามวิ่งเร็วเพื่อจะหนี เพราะกลัวว่าจะเป็นปันแสง เงาของร่างสูงวิ่งตามไม่ลดละ
มรันมาไม่ทันระวังจนสะดุดก้อนหิน ขณะที่กำลังจะล้ม ร่างสูงพุ่งเข้ามาโอบประคองร่างมรันมาไว้
"ปล่อยข้า"
มรันมามองหน้าเห็นเป็นติสสา
"พี่ชาย"
ติสสายิ้ม มรันมาทุบลงในอกเขาเบาๆ
"พี่ชายชอบแกล้งน้องน้อย"
"ออกมาทำไมดึกๆ หรือว่ามีคนรังแก"
"เปล่าจ้ะ น้องน้อยมีเรื่องไม่ค่อยดี อยากรีบมาบอกพี่ชาย"
ติสสามองมรันมาด้วยสีหน้าสงสัย
บริเวณทางเดินแสงเทียน วับไหว ริมสระน้ำในวัง ทั้งคู่เดินมาด้วยกัน ติสสาไม่สบายใจเมื่อได้ยินว่าเจ้านางอินยาพูดถึงเจ้าปรันมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
"เจ้านางอินยาไม่เคยชื่นชมใคร โดยเฉพาะเจ้าปรันมา หัวใจนางมีแต่ความชิงชัง ริษยาทุกคนที่ดีกว่าเจ้าปันแสง"
"น้องน้อยกลัวว่าเจ้านางจะทำเรื่องไม่ดี"
"ไม่ต้องห่วง น้องน้อย หน้าที่ถวายชีวิต ปกป้องเจ้าปรันมาเป็นของพี่ ขอบใจน้องน้อยมากที่เอาคำพูดของเจ้านางมาบอกพี่ชาย"
"พี่ชายระวังตัวด้วยนะจ๊ะ"
"เจ้าต่างหาก น้องน้อยของพี่ ต้องระวังตัวมากๆ"
ติสสาขยับมาใกล้ มรันมายิ้มหวาน แววตาสุกใสแข่งกับแสงดาว
"น้องน้อยมีพี่ชาย น้องน้อยไม่เคยกลัว"
ติสสาอดใจไม่ไหว โอบร่างบางเข้ามาใกล้ ดึงใบหน้ามรันมาแนบลงที่อก
"พี่จะดูแลน้องน้อยของพี่ด้วยชีวิต หากน้องน้อยเจ็บ พี่ชายจะเจ็บยิ่งกว่าหลายเท่านัก"
มรันมาที่แนบอกติสสา เงยหน้ามองด้วยสายตาบูชา ติสสายิ้ม
"พี่ชายขอสัญญา สัญญาด้วยชีวิตและวิญญาณ พี่ชายจะไม่มีวันทำให้น้องน้อยเสียใจ"
ทั้งคู่สบตาด้วยความผูกพัน เขาโอบกอดเธอไว้อย่างแผ่วเบาในแสงจันทร์แรมคืนนั้น
เช้าวันใหม่ ในตลาดเมืองศรีพิสยา ติสสา เมฆา มารุตและทหาร 4 คนเดินกันมา
"เมฆา มารุต ตรวจดูรอบๆให้แน่ใจ สำหรับการเสด็จของเจ้าปรันมาพรุ่งนี้" ติสสาสั่ง
ทหารแยกไปดูรอบๆ เสียงกลองดังมาแต่ไกลๆ
"เสียงกลองขบวนแห่น่ะ ท่านแม่ทัพ" เมฆาบอก
"ขบวนของใคร ทำไมเราไม่รู้มาก่อน" มารุตว่า
ติสสาสงสัย รีบเดินผ่านชาวบ้านมาที่ถนนตัดผ่านใจกลางตลาด ทั้งสามยืนมองเห็นขบวนของเจ้านางอินยานั่งบนเสลี่ยงที่มีทหารแบก มีม่านพลิ้วไหว ด้านหลังคือเสลี่ยงของเจ้าปันแสง
มรันมา อุตลากับนางข้าหลวงเดินข้างๆเสลี่ยงเจ้านางอินยา อสุนีและทหารเดินขนาบข้างเสลี่ยงเจ้าปันแสง ชาวบ้านพากันชะเง้อมองเพื่อดูความงามของเจ้านางอินยา
ติสสาพึมพำอย่างแปลกใจ
"เจ้านางอินยา"
ชาวบ้านคน 1ชื่นชมบอก
"งาม งามเหลือเกิน เจ้านางอินยา"
ชาวบ้านมองปลาบปลื้มพากันเรียกชื่อ เจ้านางเปิดม่านออกมายิ้มให้กับชาวเมือง ขบวนเจ้านางหยุด อุตลาประกาศ
"เจ้านางอินยา เจ้าปันแสงแห่งศรีพิสยาทรงมาแจกน้ำมันดอกจันทน์กะพ้อ"
ชาวบ้านคน 1บอก
"ดอกจันทน์กะพ้อ ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดอกไม้ของศรีพิสยา"
"ในงานบูชาพระเพ็งปีนี้ เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงขอมอบสิ่งมงคลให้แก่ประชาชนที่รักของท่าน" อุตลาว่า
ชาวบ้านเฮ พากันเรียงแถวเข้ามา
เจ้านางอินยาหยิบขวดแก้วสีสวยที่ใส่น้ำมันหอมยื่นให้ประชาชน ที่พากันเข้ามารับจากมือ ชาวบ้านหลายคนเอามือเจ้านางอินยาแตะหัว แสดงความเคารพสูงสุด หลายคนไปรับจากมือเจ้าปันแสง เจ้าปันแสงแย้มยิ้มอ่อนโยน ดูมีเมตตา
ที่ถนนห่างขบวน ติสสา เมฆา มารุต มองดูอยู่
"มันผิดประเพณีนะ แม่ทัพ ต้องให้เจ้าปรันมาแจกก่อนสิ เจ้านางอินยามาตัดหน้าได้ยังไง" มารุตถามขึ้น
ขบวนของเจ้านางอินยา และเจ้าปันแสงเคลื่อนผ่านแถวประชาชน ติสสามองเห็นมรันมาก็เรียก
"น้องน้อย"
มรันมาหันมาสีหน้าไม่ดี ติสสาอาศัยจังหวะที่คนเดินตามขบวนหนาแน่น ดึงแขนมรันมาออกจากขบวนอย่างเร็ว
ขบวนเสลี่ยงของเจ้านางอินยาและเจ้าปันแสงที่เคลื่อนไป ชาวบ้านที่ถือน้ำมันหอมดอกจันทน์กะพ้อพากันเดินตาม ในกลุ่มชาวบ้านนั้น สีหสา วาเรแต่งตัวเป็นชาวบ้านปะปนอยู่ด้วย ทั้งคู่มีผ้าคลุมหัวไว้ค่อยปิดบังหน้า มองขบวนที่เคลื่อนผ่านไป
"ทำไมไม่เป็นขบวนของเจ้าปรันมา" สีหสาว่า
ตรอกแห่งหนึ่งในตลาดติสสาดึงมรันมาเข้ามาหลบคุยกัน
"เจ้านางอินยาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ วันนี้ควรจะเป็นขบวนเจ้าศรีพิสยา ไม่ใช่ของเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสง"
"น้องน้อยโดนเจ้านางหลอก เจ้านางรู้ว่าน้องน้อยต้องเอามาบอกพี่ชาย น้องน้อยขอโทษ"
"ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของน้องน้อย พี่เองที่ไม่เฉลียวใจว่าเจ้านางอินยาจะมีเล่ห์เหลี่ยม...ไป พี่จะพาเจ้ากลับเข้าขบวน"
ติสสาจูงมือมรันมาเดินกลับไป แต่สายตาติสสามองไปเห็นวาเรกำลังเดินเร็วตัดไปอีกด้าน
"วาเร นักรบปุระอมร"
"คะ ใครคะ"
"น้องน้อย รีบกลับตำหนัก กลับไปให้เร็วที่สุด อย่าอยู่ที่นี่"
ติสสาผละจากมรันมา วิ่งตามวาเรไปทันที มรันมากำลังจะเดินไปอีกทาง สีหสาก้าวออกมาจากตรอก มรันมาจะเดินหลบ แต่สีหสาตามไปดักหน้า
"เจ้าเป็นคนรักของติสสา"
มรันมาจะหนีไม่ยอมพูดด้วย สีหสากระชากข้อมือไว้ทันที มรันมาสีหน้าตกใจมาก
อ่านต่อหน้า 3
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 2 (ต่อ)
อีกด้านในตลาด ติสสาวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ผ่านชาวเมืองที่พากันถือขวดแก้วใส่น้ำมันดอกจันทน์กะพ้อซึ่งได้รับมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ วาเรเดินเร็ว ติสสาเกรงว่า จะตามไม่ทันก็เลี้ยวไปอีกทาง เพื่อดักหน้า
ทางด้านมรันมาพยายามดิ้นดึงมือสีหสาออก เธอพยายามมองใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมหน้าผืนนั้น
"ปล่อยข้า"
"คนรักของติสสา สวยนัก... มิน่า"
มรันมาตะโกนร้อง
"ช่วยด้วย ช่วยด้วย"
ชาวบ้านชาย 2-3 คนเดินมาเห็นก็เอะอะโวย
ชาวบ้าน 1 บอก
"ปล่อยผู้หญิง"
ชาวบ้านชายคนหนึ่งคว้าหม้อดินเผาที่วางอยู่ฟาดเข้าหลังสีหสาจนเธอผงะ ปล่อยมือ มรันมาวิ่งหนีทันที สีหสาหันมาถีบเข้ากลางอก จนชาวบ้านชายเลือดกระอัก ที่เหลือ 2 คนรีบมาพยุง
สีหสาวิ่งตามมรันมาไปอย่างเร็ว
ด้านหลังตลาดศรีพิสยา วาเรเดินเร็วมา เพื่อจะไปขึ้นม้าที่ผูกอยู่
"จะมางานฉลองบูชาพระเพ็งของศรีพิสยา"
วาเรชะงัก
"ทำไมไม่บอกล่วงหน้าให้เราต้อนรับล่ะ วาเร"
วาเรเลื่อนมีดที่เหน็บเอวเตรียมพร้อม ติสสาใกล้เข้ามาจากด้านหลังแล้วพุ่งตัวเข้ามา วาเรชักมีดสู้ ติสสาหลบมีดได้ไว วาเรแทงซ้ำ ติสสาเตะข้อมือ จนมีดอีกฝ่ายหล่นหลุดมือ วาเรถีบติสสา ติสสาตั้งหลักได้ก็พุ่งเข้ามาอีก ทั้งคู่สู้กันด้วยมือเปล่า แม่ทัพหนุ่มแห่งศรีพิสยาอาศัยความแข็งแกร่ง เสยร่างวาเรขึ้น คว่ำลงกับพื้นแล้วกดคอ
มรันมาวิ่งมาจากอีกด้าน สีหสาวิ่งตามมา เห็นลูกน้องกำลังเพลี่ยงพล้ำพอดี
"ช่วยด้วย ช่วยด้วย"
ติสสารีบหันไปทันที สีหสาได้โอกาสกระโดดถีบติสสาหงาย ผงะหลุดจากวาเร
"พี่ชาย"
สีหสาวิ่งไปหยิบดาบคู่ออกจากถุงที่ซ่อนข้างอานม้าเตรียมรี่เข้าใส่ติสสา วาเรพุ่งมาทางมรันมา " น้องน้อย"
มรันมาก้มต่ำ ติสสายิงธนูเร็ว ผ่านหัวมรันมา ปักเข้าไหล่วาเรจนกระดอนไป มรันมาตะโกนเพราะเห็นสีหสาเข้ามาทางด้านหลังติสสา
"พี่ชาย"
ติสสาหงายตัวหลบดาบคู่ของสีหสาไปได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด เมฆา มารุตวิ่งมา สกัดวาเรที่กำลังจะเข้าไปทางมรันมา ติสสาหันมาชักดาบสู้กับสีหสา
ทหารของติสสากรูเข้ามาล้อม
"สู้อย่างคนกล้าสิ สีหสา"
สีหสามองเห็นทหารกรูเข้ามา วาเรก็โดนเมฆากับมารุตรุม ติสสาพุ่งเข้าหา จะจับตัวสีหสาให้ได้ แต่สีหสาไม่ต้องการโดนจับในดินแดนศรีพิสยา จึงดึงผ้าปิดหน้า โดดพลิ้ว ขึ้นควบม้า ฝ่าออกไปได้
วาเรเห็นสีหสาควบม้าไปแล้วก็ตีลังกาเร็ว พ้นดาบเมฆากับมารุตที่พุ่งเข้าหาร่างไปได้อย่างฉิวเฉียด เขาวิ่งสวนกับชาวบ้านที่กำลังวิ่งมามุง ฝ่าผุ้คนหนีหายไป มารุตกับอานนตามไม่ทัน
ติสสาหันไปมองทางมรันมา
"น้องน้อย"
ติสสาเข้าประคองมรันมาให้ลุกขึ้น แต่แผลยาวเลือดซิบที่น่องขวาทำให้เธอเจ็บ
"โอ๊ย"
"น้องน้อยโดนหินบาด"
"เดินไหวจ๊ะ"
ติสสาอุ้มมรันมาขึ้นแนบอกทันที
"เมฆา มารุต ม้าของเรา"
มารุตรีบวิ่งออกไปเอาม้า ติสสาอุ้มแล้วปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
"ทนหน่อยนะ น้องน้อย"
ด้านหน้าตลาดศรีพิสยาขบวนแห่เจ้านางอินยาที่หน้าตาแช่มชื่นกำลังจะกลับ ปันแสงมองไปที่ขบวนข้าหลวง
"มรันมา มรันมาหายไปไหน"
ปันแสงเปิดม่านออกมาถาม
"มรันมาอยู่ไหน"
ข้าหลวงในขบวนต่างมองหน้ากัน เจ้านางอินยาได้ยินเสียงก็เปิดม่านมองถาม
"มีอะไรกัน อุตลา"
"มรันมา เจ้านาง มรันมาหายไป"
ยังไม่ทันขาดคำอุตลา ทุกคนมองไปเห็นติสสาควบม้ามีมรันมานั่งอยู่แนบชิดกำลังผ่านไป
ปันแสงชะเง้อจ้องมองด้วยสีหน้าโกรธแค้นที่สุด ฝ่ายเจ้านางอินยาก็ขยำผ้าด้วยความอิจฉาไม่รู้ตัว
ในบ้านนักรบหนุ่มแห่งศรีพิสยา ติสสาอุ้มร่างมรันมาเข้ามา นันทวดีออกมาจากด้านใน มองเห็นก็ตกใจ
"อะไรกันติสสา เกิดอะไรขึ้น ทำไมมรันมาเป็นแบบนี้"
"แม่จ๋า แม่ช่วยน้องน้อยด้วย"
ติสสาวางร่างมรันมาลง นันทวดีเห็นเลือดที่น่องขวาของมรันมา ก็หันไปสั่งบัวเงิน ข้าหลวงสาว
"ไปเชิญหมอหลวงมาที่นี่"
บัวเงินรีบออกไป ติสสาบอกแม่
"ข้าต้องไปหาเจ้าปรันมา"
"ไปเถอะ ติสสา ไม่ต้องห่วง แม่จะดูมรันมาให้เอง"
ติสสามองมรันมาด้วยสายตาห่วงใยมาก
"ไม่ต้องห่วงน้องน้อย รีบไปเถอะจ้ะพี่ชาย"
ติสสาลุกออกไปอย่างเร็ว นันทวดีมองถาม
"เกิดอะไรขึ้น มรันมา"
"วันนี้มีเรื่องที่ตลาดจ้ะ น้านันทวดี"
สีหสาเดินเร็วเข้ามาในวิหารปุระอมร วาเรตามหลัง แม่ทัพสาวขยำผ้าปิดหน้า แล้วปาทิ้งด้วยความโมโห สุเลวินยืนอยู่เหนือบันไดทางขึ้น สีหสาเงยมอง
"ถ้าไปอย่างแม่ทัพ วันนี้ติสสาคงจะเจ็บหนัก"
"ข้าก็ยังดีกว่าเต่าหัวหด มุดอยู่ในวังแบบเจ้า สุเลวิน"
"เพราะหน้าที่ข้าไม่เหมือนท่าน สีหสา ความสามารถของข้าฆ่าคนได้ โดยไม่ต้องเปลืองแรงตัวเอง"
สีหสาวิ่งพุ่งเข้าหา กางมือจะบีบคอ สุเลวินที่ยืนนิ่ง
"ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้เข้ามารับใช้องค์นรสิงห์"
สีหสาชะงักมือ สุเลวินคลี่ยิ้มหัวเราะเบาๆ แต่ดังเสียดแทงใจสีหสายิ่ง โหราหนุ่มเดินหันหลังกลับเข้าไป สีหสาได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
ติสสาเดินเร็วเข้ามาหาปรันมาในพระราชฐานชั้นใน เมฆา มารุตยืนอยู่ด้านหลัง
"ข้าสั่งไปแล้วให้ทหารเวรยามจับตาดูคนแปลกหน้าที่เข้าเมืองทั้งหมด"
"ช่วงงานฉลอง คนต่างเมืองต่างแคว้นมาที่นี่กันมาก สีหสามันเลยฉวยโอกาสได้ ยังไงเราจะไม่ให้พวกนรสิงห์ทำลายพิธีบูชาพระเพ็ง งานเฉลิมฉลองจะต้องมีต่อไป อย่าให้ชาวเมืองตกใจกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้"
"แล้วเรื่องขบวนของเจ้านางอินยา กับเจ้าปันแสงที่ทำผิดประเพณี"
"เรารู้แล้ว ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก ติสสา"
"เป็นเพราะข้าห้ามท่านไม่ให้ไปวันนี้"
"ถ้าไป เราก็คงโดนสีหสาลอบฆ่าเหมือนกัน"
ปรันมายิ้มเมตตามองติสสา
"เรื่องขบวนของเจ้านางอินยา เราจะไม่ถือว่าเป็นการท้าทาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยให้แตกความสามัคคี มันเป็นเวลาของการฉลองความสุข ความดีงามที่พระเพ็งประทานให้กับศรีพิสยา"
ติสสาเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความดีของปรันมา
ในตำหนัก เจ้านางอินยาระบายความโกรธด้วยการเฆี่ยนแส้ลงหลังอุตลาที่ร้องครวญคราง เสียงกรีดร้องดังระงม ปันแสงเข้ามาดึงมือแม่
"พอแล้ว อุตลามันกำลังจะตาย"
"ก็ให้มันตายไป"
"คืนนี้เวรอุตลารับใช้ข้า"
อินยาโมโห ทิ้งแส้ลงกับพื้น อุตลากับข้าหลวงรีบคลานออกไปทั้งหมด เหลือแค่เจ้านางอินยากับปันแสง
"เจ้ามัวแต่บ้าผู้หญิง ปรันมาถึงได้ครองบัลลังก์ศรีพิสยา"
"ปรันมามันแย่งบัลลังก์ไปจากข้าต่างหาก ข้าถึงต้องมีชีวิตแค่ในตำหนักนี้"
"ปันแสง เจ้าต้องออกไปทำให้ตัวเองดูสง่าเหมาะแก่การเป็นเจ้าศรีพิสยา"
"ด้วยวิธียืมปากมรันมาไปหลอกติสสา เพื่อแจกของเอาใจชาวเมือง ตัดหน้าปรันมา"
"ข้าทำเพื่อเจ้านะ ปันแสง"
"แต่ชาวเมืองก็รู้ว่าข้าไม่ใช่เจ้าศรีพิสยาของพวกมัน ยังไงก็ไม่ใช่ คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ต่างหาก ที่พวกมันยกย่อง"
ปันแสงเสียงแข็งด้วยความโมโหเหมือนกัน
"ปรันมามันฉลาด อีกหน่อยถ้าเอาตัวมรันมาออกไปจากที่นี่ได้... ความรักของน้องนางนอกบัลลังก์กับแม่ทัพคู่ใจ จะกลายเป็นเสาค้ำบัลลังก์ ติสสามันก็จะได้ร่วมวงศ์ศรีพิสยา แล้วเราสองคนล่ะ เราสองคนจะยิ่งกว่าหมาหัวเน่า"
ปันแสงหันหลังเดินออกไปด้วยความโมโห อินยาสุดจะทน ร้องถามเสียงดัง
"อุตลา... นังมรันมาอยู่ไหน"
ในบ้านติสสา มรันมาลุกขึ้นยืน ติสสาเดินเข้ามาประคอง
"จะไปไหน นั่งก่อนน้องน้อย หมอบอกว่าเป็นยังไงบ้าง"
นันทวดีเดินถือห่อยาออกมา
"ไม่เป็นไรหรอกติสสา ทำแผลแล้ว หมั่นสมานแผลด้วยสมุนไพรบ่อยๆ สองสามวันก็หาย วิ่งได้เหมือนเดิม"
"แม่พูดเหมือนน้องน้อยเป็นเด็กๆ"
นันทวดียิ้มกับมรันมา
"น้าเห็นเจ้าเป็นเด็กเสมอนะ มรันมา เหมือนตอนเล็กๆที่เจ้าเคยมาวิ่งเล่นที่นี่ กับติสสา"
มรันมาก้มลงกราบบนตักของนันทวดี
"น้านันทวดีกับพี่ชายคอยช่วยเหลือข้ามาตลอดตั้งแต่ข้าจำความได้"
"อเลยา แม่เจ้าเป็นคนดี... ไม่เคยเห่อเหิมว่า เป็นคนโปรดของเจ้าศรีพิสยาองค์ก่อน น่าสงสาร ..บุญน้อยนัก เห็นเจ้า น้าก็อดคิดไม่ได้ อยากมีลูกสาวน่ารักๆอย่างเจ้าสักคน"
"มรันมาเป็นน้องน้อยของข้า ก็เท่ากับเป็นลูกสาวแม่" ติสสาบอก
มรันมายิ้มสดใส นันทวดีลูบผมด้วยความเอ็นดู ติสสามองภาพนั้นด้วยความดีใจ เสียงอุตลามาแต่ไกล...
"มรันมา"
บรรยากาศความสุขถูกทำลายลงทันที ทุกคนหันไปมอง อุตลาวิ่งมาทั้งๆที่ยังเจ็บแผลที่หลัง ติสสาลุกขึ้น
"ข้ารู้ว่าเจ้ามาทำไม อุตลา"
"เจ้านางอินยาบอกว่า..."
"ข้าบอกว่ารู้แล้ว"
อุตลาหยุด มรันมาหน้าเศร้าลง แม่ทัพหนุ่มหันไปมองด้วยความสงสาร
"ให้น้องน้อยกลับไปเถอะ พี่ชาย"
ติสสาหันกลับมา อย่างจำใจเต็มที
"ไปบอกเจ้านางอินยา... ข้าจะพามรันมาไปส่งเอง"
อุตลารีบถอยกลับออกไป ติสสาพูดทั้งที่ไม่อยากทำอย่างที่พูดเลย
ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพันธุ์ ผีเสื้อบินวนเวียนที่ดอกไม้หอม ติสสาคอยประคองมรันมาให้เดินไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทั้งคู่เดินคุยกันไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เจ้านางอินยาก้าวออกมาจากด้านในของตำหนักมองมาที่มรันมากับติสสาที่ยืนเคียงกัน เจ้านางเดินมาใกล้ติสสาด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้ม มรันมาขยับถอยห่างติสสา
"ดูแลคนของข้าดีเหลือเกินนะ ติสสา สมกับเป็นแม่ทัพ...ผู้หาญกล้าปกป้องคนทั้งศรีพิสยา"
"มรันมาบาดเจ็บ ข้าคิดว่านางควรจะพักผ่อน"
"ก็รีบเข้าไปพักซะสิ มรันมา พักจนกว่าจะหายดี ยังไม่ต้องมารับใช้ข้า "
มรันมาไม่แน่ใจท่าทีของอินยานัก
"ไปสิ อย่าให้แม่ทัพติสสาต้องมาห่วงหน้า พะวงหลังเพราะทาสอย่างเจ้าเพียงคนเดียว"
มรันมาย่อตัวขอบคุณ แล้วรีบเดินเข้าไป ติสสามองตาม เจ้านางอินยาเห็นมรันมาเดินห่างออกไปก็ถามขึ้น
"ข้าทำให้เจ้าพอใจหรือยัง ติสสา"
อินยายิ้มเสน่ห์เดินมาใกล้ติสสา
"ข้าดีกับมรันมาพอหรือยัง เจ้าจะได้เลิกมองข้าว่าเป็นเจ้านางผู้โหดร้าย"
"ข้าไม่มีสิทธิ์คิดเช่นนั้นกับเจ้านาง"
"แล้วถ้าข้าให้สิทธิ์กับเจ้า"
อินยายิ้มท้าทาย กระตุ้นหัวใจชาย
"สิทธิ์พิเศษเหนือทุกคน ... สิทธิ์ที่จะเจ้าได้รู้จักข้าอย่างลึกซึ้งมากกว่าคนอื่นๆ"
ติสสาเห็นสายตาและรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งของเจ้านางก็ตอบด้วยความระวังตัวเต็มที่
"ข้าซาบซึ้งและขอรับความเมตตาจากเจ้านางไว้ ด้วยการถวายชีวิตรับใช้ ในฐานะทหารที่จะคุ้มภัยแก่ราชวงศ์ศรีพิสยาทุกพระองค์"
อินยามองติสสาด้วยสายตาไม่พอใจที่ติสสาปฏิเสธไมตรีที่ทอดไปให้
"และข้าจะยิ่งสรรเสริญชื่อของเจ้านางอินยา เชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ให้คนทั้งแผ่นดินรับรู้ หากเจ้านางจะเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับมรันมาด้วย"
ติสสาก้มหัวถอยออกไป อินยายิ้มมองตาม
"ได้สิ ติสสา ข้าจะเมตตามรันมา... จนลมหายใจสุดท้ายของมัน"
มรันมาที่ถูกอุตลาผลักคะมำทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าเจ้านางอินยา อุตลานั่งลงด้านหลัง
"หายเจ็บหรือยัง มรันมา"
"เจ้านางต้องการสิ่งใด"
"ข้าจะแจกจ่ายน้ำมันดอกจันทน์กะพ้อศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ชาวเมืองที่รักของข้าอีก ในงานฉลองคืนบูชาพระเพ็งที่กำลังจะถึง... ดอกจันทน์กะพ้อในวังหลวงคงไม่พอ เจ้าออกไปเก็บมาหน่อยที่เนินเขานอกเมือง
เก็บดอกที่บานตอนในวันพรุ่งนี้เท่านั้น เพราะมันตรงกับวันเกิดของข้า เลือกเฉพาะดอกที่บานตอนเช้ามืด แต่ยังไม่โดนน้ำค้าง กลิ่นถึงจะหอมอย่างที่ข้าต้องการ ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะให้คนพาเจ้าไปคืนนี้ ค้างคืนซะที่นอกเมือง เพื่อรออรุณรุ่ง รีบไปทำให้ข้า"
มรันมาก้มหัวรับคำ เจ้านางอินยามองอย่างสมใจ
เจ้าปันแสงลุกขึ้นใส่เสื้อ ไม่สนใจอุตลาที่นอนอยู่บนเตียง
"เจ้านางจะฆ่ามรันมา"
ด้านหลังเขตพระราชฐานชั้นใน เวลากลางคืน มรันมาเดินถือห่อผ้า ทหารอินยาหน้าตาเหี้ยมเกรียม รออยู่แล้ว เธอมองไปรอบๆ
"จะไปยังไง"
"เดิน"
มรันมาฟังแล้วใจไม่ดี ห่วงขาที่ยังเจ็บ ทหารเดินนำ มรันมาจำฝืนเจ็บ ต้องเดินตามออกไป
ในห้องนอนเจ้านาง เจ้านางในชุดนอน กำลังให้กาหลงหวีผมยาวสลวย ปันแสงผลักประตูเข้ามา กาหลงกับน้ำค้างรีบออกไป
"เจ้านางฆ่ามรันมาไม่ได้"
อินยาแตะน้ำหอมดอกจันทน์กะพ้อจากขวดแก้วสวยที่ซอกคอ ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ทำไม"
"มรันมายังไม่เป็นของข้า"
"หัดมีเกียรติในตัวเองซะบ้าง ปันแสง เจ้าจะรอรับของเหลือจากติสสาทำไม"
"มรันมาไม่ใช่ของติสสา"
"เจ้ารู้ได้ยังไง ติสสาห่วงใยมรันมามาตั้งแต่เด็ก คิดว่ามันหวังอะไร ก็คงไม่ต่างจากเจ้าหรอก"
อินยาลุกขึ้นมองปันแสง
"กลับไป"
"แต่ข้าต้องได้มรันมา"
"ไม่ทันแล้วล่ะ ปันแสง ข้าส่งมรันมาไปตายนอกวังแล้ว"
ปันแสงโมโห แต่ทำอะไรไม่ได้ อินยาหัวเราะด้วยความสะใจ
เหตุการณ์ในป่า มรันมาเดินตามหลังทหารมาห่างๆ ทหารอินยาหันมาเร่ง
"เดินเร็วๆ"
"ขอพักสักเดี๋ยว ข้าเจ็บขา"
"เจ็บก็ต้องเดิน"
ทหารจ้อง มรันมาจำใจ ฝืนเจ็บเดินต่อไป
ปันแสงเดินไปเดินมา วุ่นวายใจอยู่ในห้อง อุตลาเข้ามาถอดเสื้อคลุมให้ เขาปัดมือ อารมณ์ขุ่นเคือง
"มรันมา... ทำไมต้องมาตายก่อนบูชาเพ็งด้วย ข้าจะเรียกเจ้ามาหาคืนนี้อยู่แล้วเชียว"
อุตลาทอดสายตายั่วยวน ปลดเสื้อของตัวเอง ปันแสงตรงเข้ามาผลักอุตลาลงบนเตียง แล้วตามลงไป
หน้าตำหนักเจ้านาง เช้าวันใหม่ เมฆาถือห่อยามา อุตลาเดินออกมาพอดี เมฆาเรียกไว้
"อุตลา"
"มีอะไร มารุต"
"สมุนไพรรักษาแผล แม่ทัพติสสาฝากให้มรันมา"
"มันไม่ต้องใช้แล้วล่ะ"
อุตลารับห่อยามาแล้วโยนห่อยาทิ้ง
"อุตลา อย่านิสัยชั่ว ทิ้งห่อยาทำไม"
"ก็ข้าบอกอยู่นี่ไง ว่ามรันมาไม่ต้องใช้แล้ว"
"เจ้าหมายความว่าอะไร อุตลา"
"ก็หมายความอย่างที่พูด"
อุตลากรีดเสียงหัวเราะสะใจ เดินลอยหน้าเข้าตำหนัก เมฆามองอย่างสงสัย
บริเวณหน้าบ้าน ติสสาเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย เมฆายืนอยู่ใกล้ๆ มารุตวิ่งกระหืดกระหอบมารายงาน
"ได้เรื่องแล้ว"
"พูดมาเร็วๆ เมฆา... แม่ทัพใจจะหลุดจากอกแล้ว" เมฆาบอก
"กาหลง ข้าหลวงเรือนเจ้านางอินยาที่ข้าไปจีบไว้ บอกว่ามรันมาออกไปกับทหารของเจ้านางตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว"
"ไปไหน"
"ไปเก็บดอกจันทน์กะพ้อให้เจ้านางอินยาที่นอกเมือง"
ติสสาพุ่งโดดขึ้นม้าทันที
"ให้ข้าไปด้วย" เมฆาบอก
"ไม่ต้อง เจ้าสองคนอยู่ที่นี่คอยคุ้มกันเจ้าปรันมา ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด"
ติสสาควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว มารุตกับเมฆามองตาม
ฝ่ายมรันมาเดินอย่างเหนื่อยอ่อนมาจนถึงเนินเขา แสงอาทิตย์กำลังสาดส่อง ทหารที่ตามหลังมองเห็นเป็นที่เวิ้งว้าง ไม่มีผู้คนก็หยิบดาบยาวที่เอวออกมา
ขณะเดียวกันเจ้านางอินยาแช่น้ำนมในอ่างที่ตำหนัก แสงอาทิตย์ไล้ผ่านกระจกเข้ามา ส่องใบหน้าเจ้านางอินยาที่ยิ้มพรายมีความสุข อุตลาดูแลการเทน้ำนมของข้าหลวง ยิ้มพลางเอ่ยถาม
"แม่ทัพติสสาเอาห่อยามาฝากให้มรันมา"
อินยาชะงัก นิ่งคิด
"คงไม่มียาขนานใด รักษาชีวิตนังมรันมาไว้ได้อีกแล้ว"
อินยายิ้มอย่างมีความสุขระบายเต็มใบหน้า เมื่อนึกถึงความตายที่นางกำลังหยิบยื่นให้มรันมา
อ่านต่อหน้า 4
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 2 (ต่อ)
มรันมาหยุดมองไปรอบๆ ตัว เห็นความสวยงามของธรรมชาติ...เนินเขาเวิ้งว้าง ไกลสุดลูกหูลูกตา แสงอาทิตย์อ่อนๆ อาบไล้ใบหน้ามรันมาให้สวยงามในแสงสีทองนั้น
ทหารอินยาถือดาบใกล้เข้ามาจากด้านหลัง เธอเหลือบเห็นเงาดำของทหารบนพื้นกำลังจะเงื้อดาบฟันลงมาที่ตัวเอง ก็เอี้ยวหลบอย่างว่องไว
ขณะเดียวกันติสสาเร่งควบม้าห้อตะบึงมาตามทาง
ด้านมรันมาถอยแล้วจะวิ่งหนี แต่ทหารคว้าตัวไว้ เธอสะบัดอย่างรุนแรง ทหารผลักเธอล้มลงกับพื้น ทหารอินยาฟันดาบใส่ มรันมากลิ้งหลบ ทหารพุ่งเข้ามาจับขาลาก เธอดิ้นสุดแรง เห็นเงาของดาบที่ส่องสะท้อนแสงอาทิตย์และกำลังจะฟันลงที่ร่างมรันมา
ติสสาพุ่งมาจากด้านหลัง ฟันเข้าที่กลางหลัง แล้วแทงซ้ำเข้าจนมิดร่าง ทหารอินยาล้มลงขาดใจตาย
"พี่ชาย"
ติสสาพุ่งไปช้อนร่างกอดมรันมาไว้แนบแน่น เธอกอดเขาไว้ น้ำตาเปียกด้วยความกลัว เขาบรรจงเช็ดให้แผ่วเบา
"พี่ชายอยู่ตรงนี้แล้ว น้องน้อย ไม่ต้องกลัว พี่ชายจะปกป้องน้องน้อยจนชั่วชีวิต"
ติสสาจูบซับน้ำตามรันมาที่สะอื้นเสียขวัญอยู่ แล้วโอบกอดไว้แน่น ทั้งคู่กอดกันบนเนินเขาสวย ท่ามกลางแสงงามยามเช้างามตา
ภายในห้องทำพิธีของสุเลวิน ควันกำยานลอยอ้อยอิ่งในแสงสลัวของห้อง สุเลวินกำลังเพ่งลงลึกไปในฌาณ องค์นรสิงห์มองจ้องรอคอยคำตอบ
"ข้าเห็นความรัก... ความรักอันเกี่ยวร้อยหัวใจหาญกล้า หัวใจที่บูชาแผ่นดิน"
องค์นรสิงห์มองด้วยความสงสัย
แสงงามลอดผ่านใบไม้ในป่า ติสสาสวมกอดมรันมาที่หลับไว้แนบอก ม้าเหยาะย่างผ่านแดดสวยไปอย่างช้าๆ เขามองทอดสายตาอ่อนโยน
ที่โคนต้นไม้ใหญ่ มรันมาลืมตาตื่นขึ้นมา ติสสาจูบลงแผ่วเบาที่หน้าผากเธอ มรันมาซุกลงในอกติสสาด้วยความอุ่นใจ เขากอดกระชับร่างที่หวงแหนยิ่งกว่าดวงใจไว้แนบอก
องค์นรสิงห์ขยับมองผ่านควันกำยาน แล้วเอ่ยถาม
"ความรักจะทำให้เราชนะเมืองศรีพิสยาได้ยังไง"
"ความรักบริสุทธิ์ ไม่อาจแบ่งแยก ไม่อาจกีดกัน"
"บอกสิ สุเลวิน ความรักของใครที่คุ้มครองศรีพิสยา"
องค์นรสิงห์คาดคั้นด้วยความอยากรู้
ติสสากุมมือมรันมาก้าวมายืนหน้าตำหนัก เจ้านางอินยาเดินออกมาจากตำหนักอย่างเร็ว อุตลากับข้าหลวงที่เหลือพากันเดินตามอย่างเร็วเช่นกัน
อินยาพอเห็นมรันมาแนบชิดติสสา ก็แทบจะพุ่งเข้าไปฆ่าด้วยความโกรธถึงขีดสุด
"กลับมาทำไม ในเมื่อเจ้าไม่มีดอกจันทน์กะพ้อมาเช่นที่ข้าสั่ง"
"ข้าพามรันมากลับมา เพื่อบอกเจ้านาง"
อินยามองไปยังทั้งคู่ที่กุมมือกันไว้แน่น
"มรันมาจะเป็นเจ้าสาวของข้า"
"ไม่ได้ ปล่อยมือจากนางทาสของข้า ข้าไม่อนุญาต"
"ข้าไม่ได้มาขออนุญาต คนที่จะอนุญาตได้คือเจ้าปรันมา"
"มรันมาเป็นทาสของข้า"
"แต่ท่านก็เป็นข้าของเจ้าศรีพิสยาเหมือนกัน"
เจ้านางอินยาตัวสั่น สีหน้าพร้อมระเบิดอารมณ์เต็มที่
"เราทุกคนคือข้ารองบาทของเจ้าศรีพิสยา เจ้าเหนือชีวิตที่ไม่เคยทำร้ายคนของตนเอง ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะโหดเหี้ยมผิดมนุษย์กับทุกคนที่อยู่ในความดูแล ... ไม่เคยเลยที่คิดจะเอาชีวิตคนในปกครอง"
อินยาประสานสายตากับติสสา
"ข้ามาเพื่อบอกท่าน เจ้านางอินยา... ข้าติสสา จะทำทุกวิถีทางที่จะพามรันมา เจ้าสาวของข้าออกไปจากตำหนักท่านให้ได้"
อินยาจ้องติสสา ความโกรธความเกลียดมรันมาพุ่งขึ้นรุนแรงในดวงตา
"โอหัง ทหารรับใช้เยี่ยงเจ้า อย่าบังอาจเอ่ยวาจาโอหังสามหาว"
ติสสาพูดย้ำ
"ข้าจะทำทุกวิถีทางที่จะได้ดูแลมรันมา เจ้าสาวของข้า ให้พ้นจากมนุษย์ทุกคนที่มีจิตใจเหี้ยมโหด หยาบช้า ไร้ความปรานี"
ติสสากุมมือมรันมาแน่น ประกาศต่อหน้าเจ้านางอินยา เขาไม่ยินยอมให้เธอตกอยู่ในอันตรายอีกแล้ว
สุเลวินใบหน้าคลี่ยิ้มแย้มพอใจในสิ่งที่ตัวเองเห็น ต่อหน้าองค์นรสิงห์
"ความริษยา... ความริษยาเป็นอารมณ์เดียวที่รุนแรงพอที่จะทำลายศรีพิสยาให้แหลกสลาย"
องค์นรสิงห์ยิ้มดีใจ
"ความริษยาของใคร"
"หญิงแห่งศรีพิสยา ริษยาของหญิงสองนางจะทำลายศรีพิสยา"
องค์นรสิงห์ยินดีในคำตอบ เสียงหัวเราะดังก้อง ฟังเหมือนเสียงคำรามแห่งราชสีห์
เจ้านางอินยาตัวสั่นเทาด้วยความโกรธเกลียดริษยามรันมา นางระบายอารมณ์แค้นด้วยการฟาดแส้แรงลงที่หลังนางข้าหลวงหน้าใหม่สองคนอย่างไม่ปรานี เลือดกระเซ็นบนเนื้อขาวที่ปริแยกของแผ่นหลัง
เสียงกรีดร้อง สีหน้าเจ็บปวดของข้าหลวงดัง
อินยาตีแรงจนแส้หลุดมือ อุตลารีบส่งแส้ให้อินยาเฆี่ยนต่อ พร้อมรอยยิ้มเยาะนางข้าหลวงหน้าใหม่ที่รับกรรม
"นังมรันมา แกไม่มีวันไปจากตำหนักนี้ แกต้องตายที่นี่"
บริเวณอุทยานหิน ยามเย็น ติสสาดึงมรันมาเข้ามาใกล้
"อดทนนะน้องน้อย พี่ชายจะรีบมารับน้องน้อย"
"น้องน้อยจะอดทน"
"ใจพี่ชายอยากจะพาน้องน้อยไปเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อยากให้อยู่ในตำหนักเจ้านางอินยาต่อเลยสักนาที"
เขามองดวงหน้ามรันมาแล้วยิ่งเป็นห่วง
"แต่พี่ชายต้องทำให้ถูกต้อง เจ้านางอินยาจะตามไปทำร้ายน้องน้อยของพี่ชายไม่ได้อีก"
ติสสาดึงร่างมรันมามากอดไว้
"หัวใจพี่ชายเกิดมาเพื่อเป็นของน้องน้อย... ไม่ว่าอีกนานแค่ไหน ความรักของพี่ชายจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
ทั้งคู่กอดกันด้วยความรักและผูกพัน ติสสาประทับจูบบนหน้าผากมรันมาเนิ่นนาน
ภายในห้องเก็บแฟ้ม เวลากลางคืน รัดเกล้าสะดุ้งเฮือกขึ้นมา สถบดี พัทธยา และคทารัตน์ ต่างรุมล้อมมองอยู่
"ยายเกล้า"
"น้องรัดเกล้า"
คทารัตน์หันขวับมาจ้องสถบดีที่กำลังจะเข้ามาใกล้น้อง
"หยุด หยุดมือของผู้กองไว้ตรงนั้น เอามันกลับไปซุกกระเป๋า อย่าคิดจะแตะน้องชั้น"
คทารัตน์หันมาประคองรัดเกล้า พัทธยาเอ่ยขึ้น
"ไปเช็คที่โรงพยาบาลหน่อยมั้ยครับ"
"ดีเหมือนกันค่ะ ไปรถผู้กองได้มั้ยคะ"
"ครับ ไปเลยครับ"
"ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร เกล้าอยากกลับบ้าน"
"กลับไม่ได้นะ รัดเกล้า เธอเป็นลมบ่อยไปแล้ว" สถบดีบอก
"เอ๊ะ ผู้กองไผ่ มารู้ยังไงว่าน้องฉันเป็นลมบ่อย"
สถบดีกับพัทธยาสบตากันอย่างอึดอัด
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ... เกล้าคงโรคกระเพาะกำเริบ"
รัดเกล้ารีบตอบให้ทุกอย่างผ่านไป ผู้กองทั้งสองมองด้วยความเป็นห่วงรัดเกล้า แต่สายตาคทารัตน์ไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์
ภายในบ้านเวลากลางคืน คทารัตน์วางแก้วนมลงตรงหน้ารัดเกล้า
"แกโกหกเรื่องโรคกระเพาะ เห็นว่าฉันกินหญ้าแทนข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่"
"เกล้าไม่อยากพูดต่อหน้าคนอื่น ... เกล้าเห็น... เห็นภาพอดีตอีกแล้วค่ะ พี่วิกกี้"
"ฉันจะพาแกไปเช็คประสาท ตรวจเอ็มอาร์ไอ"
"เกล้าไม่ได้ป่วยนะคะ ไม่ได้ป่วย ไม่ได้บ้า เกล้าเห็นจริงๆค่ะ เกล้าเห็นตัวเองด้วย ปราสาทหิน นักรบ เมืองงามในอดีต"
"งั้นคราวหน้าแกต้องพาชั้นไปด้วย ชั้นอยากช็อปแบรนด์เนมในอดีต"
รัดเกล้าอ่อนใจ
"เกล้าพาใครไปไม่ได้"
"เอ๊ะ แล้วแกจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง ไหนแกทะลุมิติไปยังไง บอกชั้นสิ"
"ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากค่ะ... เวลา...เวลา"
รัดเกล้าเกรงๆ คทารัตน์จ้องอย่างอยากรู้เต็มที่
"เวลาที่ผู้กองไผ่โดนตัวเกล้า"
"อะไรนะ นี่ไอ้ผู้กองไผ่ มันลวนลามแก"
ภายในบ้าน สถบดีกุมขมับ เดินไปเดินมา พัทธยามองเพื่อน
"โอ๊ย...ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ลวนลาม แต่ทุกครั้งที่ร่างกายเราสัมผัสกัน เค้าก็บอกว่าเจ็บแล้วก็วูบ"
"หรือว่าสมองกระทบกระเทือน มีเลือดคั่งตั้งแต่รถชน"
"เลือดคั่งหรือเปล่า ไม่รู้ รู้แต่พอฉันขับรถชนเค้า ฟื้นขึ้นมา รัดเกล้าก็ฝังใจ จิตใต้สำนึกมันสั่งให้เค้าเกลียดฉัน"
"เดี๋ยวๆ ไอ้ไผ่ แกเป็นตำรวจ ไม่ใช่นักจิตวิทยา หรือ หมอ อย่าเพิ่งสรุปมั่วๆ"
"ไม่มั่ว นี่แหละข้อสรุป รัดเกล้าเกลียดฉัน"
"พี่สาวเค้าก็เกลียดแก"
"เออ...รู้แล้ว เจ๊วิกกี้เกลียดฉันน่ะดีแล้ว ฉันถือว่าปลอดภัยกับชีวิตโสดของตัวเอง แต่รัดเกล้า .. ฉันไม่อยากให้เค้าเป็นแบบนี้ ฉันเป็นต้นเหตุให้เค้ามีอาการประหลาดๆ ฉันต้องรับผิดชอบ"
สถบดีสีหน้าห่วงใยรัดเกล้ามาก
รัดเกล้าใส่ชุดนอนเอนตัวลงนอน คทารัตน์ห่มผ้าให้
"พรุ่งนี้ไม่ต้องไปฝึกงาน รีบไปหาหมอซะ ตรวจให้แน่ใจว่าเป็นอะไร"
เธอลูบใบหน้ารัดเกล้า
"หลับซะ ยายเกล้า ไม่ต้องคิดอะไรอีก"
รัดเกล้าหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง คทารัตน์ปิดไฟ มองน้องอีกครั้งก่อนเดินออกไป
พอเสียงประตูปิด รัดเกล้าก็ลืมตา เสียงติสสาดังเข้ามาในหัว
"มรันมาจะเป็นเจ้าสาวของข้า"
เธอปิดหู ส่ายหน้า
"ไม่... ฉันไม่ใช่มรันมา"
"พี่ชายขอสัญญา สัญญาด้วยชีวิตและวิญญาณ พี่ชายจะไม่มีวันทำให้น้องน้อยเสียใจ"
รัดเกล้าได้ยินเสียงติสสา เธอดิ้นอึกอัก เหงื่อเต็มหน้า...เธอดิ่งไปกับความฝัน
ติสสากอดมรันมาไว้แน่นอยู่ในวิหารปุระอมร องค์นรสิงห์ยกดาบแทงลงที่อกติสสา ทะลุอกมรันมา ก่อนจะดึงร่างดาบออก ทั้งคู่ทรุดลง เลือดไหลทะลักออก สองร่างกอดกันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต สีหน้าองค์หน้านรสิงห์เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เสียงหัวเราะดังกังวาน บาดลึกเหมือนเสียงแห่งปีศาจ
รัดเกล้าตื่จากฝันร้ายลุกพรวดขึ้น เหงื่อแตกเต็มหน้าด้วยความหวาดหวั่นในจิตใจเต็มไปด้วยความกลัวกับภาพที่เห็น
"ไม่..."
ในสนง.สืบฯ เช้าวันใหม่ พัทธยากับสถบดียืนประชุมทีม รัดเกล้ายืนหน้าเซียวๆ ด้านข้างเป็นยอดชาย สถบดีมองอย่างเป็นห่วง คทารัตน์จ้องมองสถบดี
"วันนี้เราจะไปบ้านคุณอภิมุข หาให้เจอว่ายังมีอะไรที่ทุกคนในบ้านพยายามปิดบังเราอยู่" พันธยาบอก
"ให้เกล้าไปด้วยนะคะ"
"ไม่เป็นไร รัดเกล้าพักอยู่ที่กองนี่แหละ คอยช่วยอรนุชเรื่องเอกสาร"
รัดเกล้ามองพัทธยาอย่างขอร้อง
"เกล้าเป็นน้องพี่วิกกี้... พี่วิกกี้สอนเกล้าให้เข้มแข็ง รับรองค่ะว่าเกล้าจะไม่เป็นภาระคนอื่น"
คทารัตน์ยิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้ม รีบหันไปทางพัทธยา
"ให้ยายเกล้าไปด้วยเถอะค่ะ น้องวิกกี้ทนทาน ทนมือทนไม้ ใช้ประโยชน์ได้แน่นอนค่ะ"
"งั้นให้มุไปด้วยนะคะ จะได้ไปช่วยเพื่อนทำงาน" มุรธาบอก
คทารัตน์พูดขัดขึ้นทันที
"อยู่ชงกาแฟดีกว่า หนู"
มุรธารีบหันไปอ้อนพัทธยา
"นะคะ พี่พัทธ์ ให้มุไปด้วยนะคะ"
คทารัตน์มัวจ้องมุรธาที่ส่งสายตาปริบๆให้พัทธยา เลยไม่เห็นว่าสถบดีขยับมาใกล้รัดเกล้า
"อย่าไปเลยนะ... รัดเกล้า"
เสียงสถบดีบอกอย่างห่วงใยมาก รัดเกล้าตอบด้วยสายตาดื้อเงียบ
ในเวลาต่อเนื่องมา พัทธยานำทีมเดินเข้ามาในบ้านอภิมุข อภิวัฒน์ก้าวลงมาจากด้านบน
"บ้านผมเป็นที่ส่วนตัว พาคนมามากมายทำไม"
"เราขอตรวจค้นเพิ่มเติมครับ" พัทธยาบอก
"หมายศาลล่ะ"
พัทธยากับทีมหันไปมองเพชรดาที่เดินออกมาจากด้านใน
"ถ้าไม่มีหมายศาล ก็เชิญกลับไปได้"
"เราเป็นทีมที่ได้รับอนุญาตให้รื้อคดีนี้"
"พวกคุณอยากจะดูห้องที่พี่ดำถูกฆ่าใช่มั้ย" เพชรดาถาม
"เพชร... ห้องนั้นเราปิดตายไปแล้ว" อภิวัฒน์บอก
"นี่ค่ะกุญแจ"
เพชรดาชูกุญแจให้ทุกคนเห็น
"ต่อให้มีกุญแจ ก็เข้าไปไม่ได้"
อภิวัฒน์เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับพัทธยา
"หมายศาลอย่างเดียว ผมถึงจะอนุญาตให้พวกคุณเข้าไป"
พัทธยากับทีมที่ยืนหน้าเครียด
"วิกกี้โทรสั่งอรนุชให้ขอหมายศาลแล้วค่ะ"
"ฉันว่าเราแยกกันดีกว่า พัทธ์แกอยู่ที่นี่ ระหว่างรอหมายศาล คุยกับคุณเพชรดาเผื่อได้อะไรเพิ่มเติม ยังไงเธอก็อยากให้เราทำคดีนี้อยู่แล้ว ไม่เหมือนคุณอภิวัฒน์ พี่ชาย" สถบดีบอก
"ตกลง งั้นแกพาทีมไปดูรอบๆ"
"มุช่วยพี่พัทธ์ที่นี่นะคะ มุจดเล็คเชอร์เร็ว"
"วิวไปกับฉัน" สถบดีบอก
"รัดเกล้าอยากออกไปลุยกับเรามั้ย"
รัดเกล้ามองวิวรรธน์ อยากไปแต่เจอสายตาคทารัตน์ สถบดีเห็นแล้วรีบพูดขึ้น
"คุณวิกกี้กับรัดเกล้า ไปทีมผมมั้ย... ทิ้งไอ้พัทธ์ ยอดชาย น้องมุไว้ที่นี่ คุณอภิวัฒน์ แกจะได้ไม่กดดันว่าพวกเรามารุมถึงบ้าน ทีมผมต้องการคนตาเหยี่ยว ช่างสังเกต รอบรู้...คุณวิกกี้เก่งอยู่แล้ว"
"ฉันถือว่าเป็นคำชม ฉันต้องไปอยู่แล้วเพราะผู้กองพัทธ์ให้ฉันเป็นหัวหน้าทีม ตรวจหาพยานแวดล้อม รับรองว่าวิกกี้ต้องได้ข้อมูลมาช่วยผู้กองแน่ๆค่ะ"
คทารัตน์สีหน้ายืนยัน แต่สถบดีกับวิวรรธน์สบตากันว่า สำเร็จล่ะ
คทารัตน์เดินนำทุกคนมาอีกด้านหนึ่งของบ้านอภิมุข สถบดีเดินใกล้รัดเกล้า แต่เธอเดินหนี
สิริรัตน์ในชุดนอนวาบหวิวเดินออกมาเห็นก็ตรงมาหา
"แห่กันมาอีกแล้วเหรอ"
สิริรัตน์มองผ่านคทารัตน์ ไปหยุดสายตาที่สถบดีกับวิวรรธน์
"มาแค่คนสองคนก็พอ" สิริรัตน์บอก
"ไม่พอหรอกค่ะ ที่นี่เงื่อนงำเยอะ" คทารัตน์บอก
"คิดว่าจะได้อะไรกลับไปล่ะสิ"
สิริรัตน์เดินวนมาใกล้ชายทั้งสอง
"ตำรวจชุดที่แล้วมาค้นจนพรุน ทุกซอกทุกมุมก็ยังมือเปล่ากลับไป"
สถบดียิ้มหล่อบอก
"ผมไม่ใช่ตำรวจชุดที่แล้ว ผมน่าจะโชคดีกว่าครับ"
คทารัตน์เห็นรอยยิ้มในสายตาที่สถบดีส่งตอบให้สิริรัตน์อย่างหยาดเยิ้ม แล้วเมินหน้าด้วยความรังเกียจ
"จะไปกันหรือยัง หรือว่าต้องขอตรวจที่เกิดเหตุทุกซอกทุกมุมซะก่อน ผู้กองไผ่"
"เราไปก่อนก็ได้ค่ะ พี่วิกกี้" รัดเกล้าบอก
สถบดีเห็นรัดเกล้าเดินไปกับวิกกี้ ก็ขยับออกห่างจากสิริรัตน์
"เดี๋ยวผมกลับมานะครับ ... หวังว่าคุณสิริรัตน์จะไม่รีบไหน"
"ไม่รีบค่ะ... สิริรัตน์จะรอผู้กอง"
สถบดียิ้มให้แล้วเดินไป สิริรัตน์มองตาม พอวิวรรธน์เดินผ่าน สิริรัตน์ก็ยิ้มให้ วิวรรธน์ยิ้มตอบแล้วรีบจ้ำหนี
สิริรัตน์ยิ้มมองตามสถบดี ตั้งใจหว่านเสน่ห์เต็มที่
พัทธยายืนอยู่ในบ้าน ตรงข้ามเพชรดากับอภิวัฒน์ มุรธา ยอดชายยืนเรียบร้อยด้านหลังพัทธยา
"พวกคุณรออะไร คิดจะจับตัวฆาตกรจากคนในบ้านให้ได้ วันนี้เลยงั้นสิ" อภิวัฒน์ถาม
"เราจะเริ่มต้นจากที่เกิดเหตุครับ ไม่ว่าจะเกี่ยวพัน เกี่ยวข้องไปถึงใคร เราก็จะสอบสวนให้หมด" พัทธยาบอก
เสียงดังตึงตังดังมาจากบนห้อง เพชรดามองไปคนแรกพร้อมๆกับพัทธยา
"ผมขอขึ้นไปชั้นบน"
"ไม่ได้" เพชรดาโพล่งขึ้นทันที
"มีอะไรที่ผมไม่ควรจะเห็นหรือเปล่าครับ คุณเพชร"
"ขึ้นไปสิ" อภิวัฒน์บอก
"พี่วัฒน์"
อภิวัฒน์คลี่ยิ้ม จงใจเอาคืนเพชรดาบ้าง
"ถ้าผู้กองอยากขึ้นไปดู ผมอนุญาต"
พัทธยาเดินเร็วจะขึ้นไป เพชรดาก้าวไปยืนขวางที่บันไดทันที จ้องมองดุอย่างเอาจริง
"อย่าขัดขวางการทำงานของผม ถอยครับ คุณเพชรดา"
หน้าบ้านนรสิงห์ คทารัตน์เดินมากับรัดเกล้า สถบดีกับวิวรรธน์ตามมาติดๆ
"แดดร้อน... รัดเกล้าเป็นไงบ้าง" สถบดีหันไปถามรัดเกล้า
คทารัตน์หยุดเดินหันขวับ
"น้องฉันแข็งแรงแล้ว ไม่ต้องมาทำน้ำเสียงเป็นพี่ชายที่แสนดี"
"โธ่ เจ๊ แดดร้อนก็ร้อนนะเนี่ยะ จะมายืนเถียงกันทำไม"วิวรรธน์บอก
ทั้ง 4 คนยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง
อยู่ๆประตูก็เปิดออก รัดเกล้ามองเห็นก่อน สถบดีมองตามสายตารัดเกล้า คทารัตน์ชะเง้อมองเข้าไป
"ถามบ้านหลังนี้ก่อนก็ได้ อยู่ใกล้บ้านส.ส.อภิมุขที่สุด เค้าต้องรู้จัก เคยคุยกันบ้าง"
คทารัตน์ตะโกนถาม
"ใครอยู่ในบ้าน ออกมาเปิดประตูหน่อยค่ะ"
ประตูบ้านเปิดกว้างขึ้น คทารัตน์ผลักเข้าไป
" เห็นมั้ย ประตูยังเปิดรับฉัน... ตามมา"
คทารัตน์เดินนำเข้าไป วิวรรธน์เดินตาม รัดเกล้ากับไผ่จะเดินเข้าประตูไปพร้อมกัน แต่รัดเกล้าหยุด เหมือนไม่อยากเดินไปกับสถบดี
เขาถามให้ได้ยินสองคน
"หายดีหรือยัง"
รัดเกล้าไม่ตอบรีบเดินหนี เขาเดินตามไปทันที
ทางด้านพัทธ์วิ่งขึ้นมาบนบ้าน เพชรดาวิ่งตามหลังมาติดๆ
"หยุดนะ... ออกไป... ออกไปจากบ้านฉัน"
พัทธยาไม่ฟัง รีบมองหา เพชรดาวิ่งมาใกล้ ดึงแขนเขา แต่เขาไม่ขยับ เธอผลักแรง แต่พัทธยาแค่เซ
"บนนี้ไม่มีอะไร"
เสียงตึงตังดังจากในห้อง พัทธยาหันขวับ ก่อนวิ่งไปทางประตูห้องหนึ่ง เพชรดาพุ่งมาขวางประตู
"คุณซ่อนใครไว้"
"ไม่มี"
"จะไม่มีได้ยังไง เสียงดังขนาดนั้น ทำไม หรือกลัวว่าผมจะเจอ ... ฆาตกรตัวจริง" พัทธยาจ้องเค้น
"ตรงนี้ไม่มีฆาตกร"
"งั้นคุณก็ต้องให้ผมเข้าไปดู อย่ากลัว ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ปกปิดอะไรอยู่"
พัทธยาจะเปิดประตู แต่เพชรดาขยับขวาง เขาผลักแต่เธอไม่หลบ เขาตัดสินใจกระชากแขน เหวี่ยงเธอออกห่าง แล้วผลักประตูเข้าไปทันที
ภายในห้องเห็นอภิชาติ ลูกชายพิการทางสมองวัย 8 ขวบของอภิมุข เนื้อตัวเลอะเทอะน้ำหวาน เค้ก วิ่งไปซุกที่มุมห้องเพราะเห็นคนแปลกหน้า
เพชรดาวิ่งเข้ามา กระแทกพัทธยาพ้นทาง แล้วรีบเข้าไปโอบกอดหลานที่ตัวสั่นเทา เขามองอึ้ง นึกไม่ถึงว่า คนที่เจอจะเป็นเพียงเด็กพิการทางสมอง
"ออกไป ... อย่ามายุ่งกับหลานชั้น"
เพชรดาเสียงเข้มกว่าทุกครั้ง แววตาหวงแหน ปกป้องหลานชายไว้ในอ้อมกอดไว้แน่น
คทารัตน์เดินนำเข้ามาในบ้านที่มีต้นไม้หนาทึบ รูปทรงแปลก คดโค้งกิ่งงอ บ้านเงียบ มีซอกมุม ดูลึกลับ วิวรรธน์เดินตามหลังวิกกี้
"มีคนอยู่มั้ยคะ"
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
รัดเกล้าเดินตามมาหยุดมองไปในบ้าน สถบดีเดินมาซ้อนหลัง
"ฮัลโหล... ถ้ามีคนอยู่ ตอบหน่อยค่ะ" คทารัตน์เรียกอีก
ร่างสูงเข้ามาจากด้านหลังของทุกคน ทั้งรัดเกล้ากับสถบดีรู้สึกว่า มีคนอยู่ด้านหลัง จึงหันไปมองพร้อมๆ กัน
นรสิงห์ ชายวัยกลางคน ร่างสูงสง่า ทรงอำนาจ ยืนอยู่กลางแดด
รัดเกล้าตกใจแทบสิ้นสติ คทารัตน์ขยับมามอง เธอมองเหมือนเคยคุ้น รู้สึกไกลๆ เมื่อนานมาแล้ว
วิวรรธน์เห็นคทารัตน์ยืนนิ่ง เขาเห็นนรสิงห์ชัดๆ สายตาของนรสิงห์สะกดคทารัตน์กับวิวรรธน์ให้หยุดอยู่ตรงนั้น คทารัตน์บอกตัวเองไม่ถูกว่า ทำไมถึงเผลอยิ้มออกมา
นรสิงห์เลื่อนสายตาเร้นลับไปที่สถบดีกับรัดเกล้า
รัดเกล้ายืนเนื้อตัวสั่น ความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจเมื่อเห็นหน้านรสิงห์ สถบดีจ้องนรสิงห์ ความรู้สึกเกลียดชังพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
นรสิงห์มีอำนาจสะกดทุกสิ่งตรงนั้นให้หยุดนิ่งชั่วขณะ
อ่านต่อตอนที่ 3