นางร้ายสายลับ ตอนที่ 11
จ่ายมขับรถพาทุกคนหนีออกมาจนถึงถนนใหญ่ อัศวินนั่งคู่จ่ายมหันมองกระจกมองหลังตลอดเวลา เห็นรถของบอดี้การ์ดริชาร์ดกำลังขับตามมาติดๆ
“เร็วอีกจ่า พวกมันตามมาทันแล้ว”
นฤเบศในสภาพบาดเจ็บเอนตัวซบอยู่กับไหล่สุรีกานต์อยู่ที่เบาะหลัง สุรีกานต์ตบแก้มเรียกเบาๆ
“คุณ...คุณ...คุณได้ยินฉันมั้ย คุณ”
นฤเบศค่อยๆหมดสติไป สุรีกานต์ตกใจ
“สลบไปแล้ว รีบพาเขาไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ”
“ไม่มีเวลาแล้วครับคุณโซ่ ตอนนี้เราต้องหนีไปตั้งหลักก่อนครับ” จ่ายมบอก
สุรีกานต์โวย
“แล้วเราจะปล่อยเขาไว้แบบนี้เหรอ”
“สารวัตรไม่เป็นอะไรหรอกครับ เชื่อผมเถอะครับ” อัศวินบอกจ่ายม “เร็วจ่า...เหยียบมิดเลย”
จ่ายมเร่งความเร็วรถ ตีโค้งเลี้ยวเข้าทางแยกหน้าอย่างรวดเร็ว รถบอดี้การ์ดริชาร์ดขับบี้ตามมาอย่างไม่ลดละ พร้อมยิงกระสุนสาดมาไม่ยั้งมือ ทุกคนในรถทีมเดอะซันก้มลงหมอบหลบกระสุน สุรีกานต์หลุดกรี๊ดเสียงดังออกมาด้วยความขวัญเสีย ประเสริฐกับปรีติที่กระบะหลังหันมองหาจังหวะยิงตอบโต้กลับไป จนสามารถยิงล้อหน้าทั้งสองล้อของรถฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ รถคันนั้นเสียหลักขับตามต่อไม่ได้จนต้องหยุดจอดข้างทาง บอดี้การ์ดริชาร์ดมองตามรถทีมเดอะซันที่ขับหนีไปได้อย่างแค้นใจสุดๆ
รถทีมเดอะซันแล่นปราดเข้ามาจอดหน้าบ้านไม้หลังเก่ากลางสวน ปรีติกับประเสริฐลงจากรถ เดินแยกกันไปสำรวจดูรอบๆ บริเวณบ้าน อัศวินมองผ่านกระจกหน้าต่างรถออกไป
“ผมเกือบลืมที่นี่ไปแล้วนะเนี่ย”
สุรีกานต์มองตาม
“ที่นี่คือ...”
จ่ายมหันมาบอก
“เซฟเฮ้าส์ลับอีกแห่งของเราครับคุณโซ่ ถึงจะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ มากนัก แต่รับรองว่าปลอดภัย ไม่มีใครตามมาได้แน่นอน”
“งั้นรีบพาสารวัตรของพวกคุณเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
อัศวินกับจ่ายมรีบลงจากรถไปหิ้วปีกนฤเบศลงมาอย่างทุลักทุกเลโดยมีสุรีกานต์ตามติดไม่ห่าง ประเสริฐกับปรีติรีบเดินรั้งท้ายตามเข้าบ้านไป
ประตูบ้านถูกผลักเข้ามาพร้อมไฟฉายเล็กๆ ในมือปรีติ บรรยากาศภายในบ้านเป็นแบบโล่งๆ มีข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็น ตรงมุมหนึ่งมีฟูกนอนเก่าๆ วางอยู่ จ่ายมกับอัศวินเดินพาร่างนฤเบศไปวางลงบนฟูกโดยมีสุรีกานต์ช่วยประคองไม่ห่าง จ่ายมรีบจุดตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่บริเวณนั้นเพื่อให้ความสว่างขึ้นมา ประเสริฐกับปรีติแยกตัวไปเดินสำรวจภายในบ้านคนละมุม อัศวินมองรอบๆ
“แล้วคนเฝ้าบ้านหลังนี้ล่ะจ่า”
“ลุงแกป่วยตายไปตั้งแต่ต้นปีแล้วครับผู้กอง เมียแกเลยย้ายไปอยู่กับลูกสาวบ้านหลังนี้เลยถูกทิ้งร้างจนฝุ่นเขรอะแบบนี้”
สุรีกานต์มองบรรยากาศที่ทั้งมืด ทั้งเงียบ วังเวง ด้วยความหวาดกลัวเล็กๆ แต่ก็พยายามทำใจแข็งเอาไว้
“แล้วเราจะเอายังไงกันต่อล่ะคะ”
อัศวินกับจ่ายมยังไม่ทันตอบอะไร ประเสริฐกับปรีติก็เดินกลับมาจากการสำรวจพอดี ประเสริฐเข้ามาบอก
“ที่นี่ยังพอมีข้าวของเครื่องใช้อยู่บ้าง อาหารแห้งในครัวก็ยังพอมีเหลือ เราน่าจะหลบอยู่ที่นี่ได้อีกประมาณ 2-3 วัน”
ปรีติเสริม
“ส่วนในตู้ยาก็มีทั้งยาสามัญประจำบ้านและอุปกรณ์ทำแผล น่าจะเหลืออยู่ตั้งแต่ตอนที่เรามาเก็บตัวครั้งก่อน”
ทุกคนมีรอยยิ้มแห่งความหวังขึ้นมาทันที รีบเตรียมเครื่องมือมาทำแผล อัศวินครุ่นคิด ปรีติสังเกตเห็นก็ถามขึ้น
“มีอะไรรึเปล่าผู้กอง”
อัศวินครุ่นคิด
“ผมกำลังสงสัยว่าคนที่คุณโซ่เล่าให้ฟังว่าออกไปพบต้องเป็นคนใกล้ๆ ตัวพวกเราแน่ๆ”
จ่ายมโผล่งออกมา
“สารวัตรมังกร”
อัศวินพยักหน้า
“ก็น่าคิดนะ พักหลังมานี้เหมือนไอ้ริชาร์ดมันรู้ความเคลื่อนไหวของเราเกือบทุกอย่าง เป็นไปได้ว่าน่าจะมีตำรวจด้วยกันเองนี่แหละที่คอยส่งข่าวให้มันอยู่”
เสียงนาฬิกาข้อมือสายลับของปรีติก็ดังติ๊ดๆ ขึ้นมาในตอนนั้นเอง
“ระบบความปลอดภัยของเซฟเฮ้าส์ เตือนว่าขณะนี้กำลังมีคนบุกรุก”
“ต้องเป็นพวกไอ้ริชาร์ดย้อนกลับไปค้นหาหลักฐานอะไรที่เซฟเฮ้าส์ของเราแน่ๆ” ประเสริฐบอก
อัศวินหน้าเครียด
“เราคงหลบอยู่ที่นี่กันไม่ได้แล้วล่ะ ไม่งั้นทุกอย่างที่ทำมาพังหมดแน่”
จ่ายมขัดขึ้น
“แล้วคุณโซ่กับสารวัตรที่บาดเจ็บอยู่ล่ะครับ”
สุรีกานต์หน้าสลดลง
“เรื่องนี้ยังไงฉันก็มีส่วนผิด ฉันจะดูแลเขาให้เอง พวกคุณไปเถอะ ไม่ต้องห่วง”
ทีมเดอะซันรีบแยกย้ายกันออกไป สุรีกานต์มองนฤเบศด้วยความเป็นห่วง
สุรีกานต์เดินถือตะเกียงเข้ามาในครัว มองรอบๆ ห้องอย่างตรวจตรา ความสว่างเพียงสลัวๆ ทำให้เธอรู้สึกหลอนๆ ยิ่งได้ยินเสียงหมาหอนแว่วมาไกลๆ ก็ยิ่งใจคอไม่ดี สุรีกานต์ค่อยๆ ก้าวขาช้าๆ ไปหยิบกะละมังใบเล็กมาตักน้ำในตุ่มตรงมุมห้องครัวขึ้นมา
สุรีกานต์วางกะละมังใส่น้ำใบเล็กลงข้างฟูกนอน เธอนั่งลงแล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้กับนฤเบศ เธอเห็นเสื้อยืดสีขาวตัวในของเขาเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ก็มองอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจถอดแจ๊กเก็ตตัวนอกออกไป สุรีกานต์สูดลมหายใจลึกๆ
“เอาไงเอากัน บทยังนี้เราก็เคยเล่นมาแล้วนี่”
สุรีกานต์พยายามถอดเสื้อเปื้อนเลือดตัวในออกอย่างทุลักทุเล จนสำเร็จแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองร่างเปลือยอกของเขาอย่างเขินๆ...สุรีกานต์เช็ดเลือดที่หน้าเสร็จก็เลยมาที่แผงอกกว้าง เห็นรอยช้ำจากรอยแผลก็ทายาให้ ระหว่างนั้นเธอก็เผลอมองหน้าเขาอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรก
“หลับนานเกินไปแล้วนะคุณสารวัตร เจ็บแค่นี้ทำเป็นใจเสาะไปได้”
สุรีกานต์ทำแผลเสร็จแล้วก็พยายามขยับให้เขานอนในท่าที่สบายๆ โทรศัพท์มือถือของนฤเบศหล่นออกจากกระเป๋ากางเกง มีข้อความจากว๊อทแอ๊บจากแพรไหมส่งเข้ามาพอดี สุรีกานต์ลังเลก่อนจะอ่านข้อความ
“พรุ่งนี้วันแข่งแล้ว พี่เบศอย่าลืมมาเชียร์ไหมตามสัญญานะคะ”
สุรีกานต์มองค้อนนฤเบศ แอบหึงไม่รู้ตัว
แพรไหมมองโทรศัพท์มือถือในมือ ยิ้มหวานอย่างมีความหวัง องุ่นเดินเข้ามาในครัว
“ตายจริง ยังไม่นอนอีกเหรอคะคุณไหม พรุ่งนี้ต้องตื่นไปแข่งแต่เช้านะคะ”
“ฉันอยากฝึกทำเค้กที่จะแข่งให้คล่องน่ะ พรุ่งนี้จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดยังไงล่ะ”
องุ่นมองเค้กที่อบเสร็จแล้ว ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ องุ่นตื่นเต้น
“โอ้โห เค้กคุณไหมสวยจังเลยนะคะ”
แพรไหมยิ้ม
“นี่เป็นเค้กเพื่อสุขภาพ ทานแล้วไม่อ้วน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานหวานโดยเฉพาะ”
องุ่นล้อๆ
“เอ คุณไหมตั้งใจคิดเค้กสูตรนี้ขึ้นมา เพื่อใครเป็นพิเศษหรือเปล่าคะเนี่ย”
แพรไหมยิ้มเขินคิดไปถึงนฤเบศ
ปรีติกับประเสริฐมาที่สำนักงานตำรวจ เข้าไปในห้องทำงาน ปรีติรีบตรงไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เปิดเครื่อง รอหน้าจอแสดงผลแล้วก็รีบกดแป้นพิมพ์รหัสสำคัญบางอย่างลงไป ประเสริฐตามมาหยุดยืนข้างหลัง มองดูหน้าจออย่างลุ้นๆ ไปด้วย
“เป็นไงบ้าง ข้อมูลลับยังปลอดภัยดีมั้ย”
ปรีติยิ้มโล่งใจ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี พวกนั้นโง่มากที่ใช้มือแฮกเกอร์กระจอกๆ มาทำงาน ตอนนี้ระบบทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ในเซฟเฮ้าส์ถูกผมบล็อกจากเครื่องแม่ตัวนี้ไว้หมดแล้ว”
ประเสริฐยิ้มพอใจ
“เยี่ยม”
เสียงโทรศัพท์มือถือของประเสริฐดังขึ้น เขารีบกดรับทันที
“ครับผู้กอง ทางนี้เรียบร้อยครับดีครับ แล้วสถานการณ์ที่นั่นเป็นไงบ้าง”
อัศวินกำลังคุยโทรศัพท์อยู่หน้าเซฟเฮ้าส์ทีมเดอะซันที่ถูกถล่ม ซึ่งในตอนนี้มีการกั้นเป็นเขตห้ามเข้า มีกองกำลังตำรวจประมาณ 10 นายกระจายกำลังอยู่รอบบริเวณ
“ทางนี้เรียบร้อยดี ผมวางกำลังปิดล้อมทางเข้าออก ห้ามคนนอกเข้ามาที่นี่เรียบร้อยแล้ว ยังไงแล้วเจอกันหมวด”
อัศวินวางสาย จ่ายมปลีกตัวจากกลุ่มตำรวจเดินมาหา
“พวกไอ้ริชาร์ดมันล่าถอยไปแบบนี้แล้ว งั้นเราก็กลับไปรับสารวัตรกับคุณโซ่ได้แล้วสิครับผู้กอง”
อัศวินหน้านิ่ง
“ยังจ่า ผมเชื่อว่ามันยังจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่”
บริเวณถนนมุมมืดบริเวณนั้น บอดี้การ์ดริชาร์ด 2 คนกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกับเซฟเฮ้าส์อยู่ในรถติดฟิล์มดำ คนหนึ่งกำลังยกมือถือขึ้นรายงานบุคคลที่อยู่ปลายสาย
“ที่รังพวกมันมีตำรวจแห่กันมาเต็มไปหมดเลยครับหัวหน้า ส่วนมือแฮกเกอร์ที่ส่งเข้าไปหาข้อมูลสำคัญในเซฟเฮ้าส์ก็ทำงานไม่ได้เรื่อง ที่สำคัญ ทีมไล่ล่าที่เราส่งไปตามลากคอนังดาราตัวแสบกับไอ้สารวัตรเดนตายนั่นก็ยังหาตัวมันไม่พบครับ”
ริชาร์ดมีผ้าพันแผลที่แขนเดินเข้ามาในห้องโถงกว้างของโกดังท่าทางโมโหจัด บอดี้การ์ดยืนเรียงแถวเป็นแนวยาว ก้มหน้า ก้มตา หวาดกลัวความผิด
“งานง่ายๆ แค่นี้ยังทำพลาด รู้มั้ยว่าโทษของพวกแกคืออะไร”
บอดี้การ์ดทุกคนลนลานก้มหน้าหวาดกลัว ริชาร์ดชักปืนออกมาหน้าเหี้ยม
“ตายสถานเดียวเท่านั้น”
ริชาร์ดระบายโทสะด้วยการยิงแขนบอดี้การ์ดคนหนึ่งไปหนึ่งนัด บอดี้การ์ดคนอื่นๆมองคนที่ถูกยิงตาเหลือกหวาดกลัว
“ใครทำงานไม่ได้เรื่อง มันจะไม่มีโอกาสได้มีเงาหัวอยู่บนโลกนี้อีก”
ริชาร์ดยิงบอดี้การ์ดอีกคนที่ขาจนล้มฟุบไป บอดี้การ์ดที่เหลือหันมองตาเหลือกหวาดกลัว ริชาร์ดเล็งปืนไปตรงหน้าบอร์ดอีกคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์หวาดกลัวอย่างสุดขีด ทำท่าจะเหนี่ยวไกหัวหน้าบอดี้การ์ดรีบเข้ามาห้ามไว้
“ใจเย็นก่อนครับท่าน ถึงฆ่าพวกมันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกครับ”
ริชาร์ดชะงักมือ หรี่ตามองหัวหน้าบอดี้การ์ดหน้านิ่ง ริชาร์ดยิ้มเหี้ยม
“แล้วรู้มั้ยว่าสิ่งมีประโยชน์ที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้คืออะไร”
หัวหน้าบอดี้การ์ดริชาร์ด พยักหน้า
“งั้นก็รีบไสหัวไปเซ่ ไปตามลากตัวพวกมันมาให้ได้ ไป”
เหล่าบรรดาบอดี้การ์ดโค้งคำนับรับคำสั่ง แล้วรีบแยกย้ายกันออกไปทันที พ่อเลี้ยงกำธร พร้อมลูกน้อง 2 คนเดินสวนทางเข้ามา พ่อเลี้ยงกำธรหน้าตาตื่น
“พวกมันหนีไปได้เหรอครับ”
“ใช่ เจ็บใจจริงๆ เลย คอยดูนะ ไอ้ตำรวจเวรพวกนี้มันไม่ได้ตายดีแน่ “
“คุณริชาร์ดจะจัดการยังไงต่อไปเหรอครับ”
ริชาร์ดแค้น
“ฆ่ามัน...โดยเฉพาะไอ้สารวัตรนฤเบศกับนังดารานั่น ผมต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”
พ่อเลี้ยงกำธรครุ่นคิด
“เรื่องนี้ผมคิดว่าสารวัตรมังกรน่าจะช่วยเราได้”
ริชาร์ดยิ้มพอใจ
“ดี...งั้นพ่อเลี้ยงก็รีบจัดการด้วยก็แล้วกัน รู้แหล่งกบดานของพวกมันเราเท่าไหร่” ริชาร์ดยิ้มอำมหิต แววตาโหดเหี้ยม “ก็ยิ่งจัดการพวกมันได้เร็วเท่านั้น”
เช้าวันใหม่...นฤเบศค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่อาการบาดเจ็บยังทำให้รู้สึกปวดระบมไปหมดทั้งตัว เขากวาดตามองรอบๆ บ้านแล้วเริ่มจำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
“ที่นี่มัน...”
นฤเบศเหลือบไปเห็นสุรีกานต์ที่นั่งกอดเข่า พิงผนังฟุบหลับอยู่ข้างๆ
“คุณ”
สุรีกานต์ในสภาพมอมแมม ได้ยินเสียงเรียกค่อยๆ เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ดีใจมากที่เห็นเขาฟื้นแล้ว จึงรีบกระโจนเข้าไปหา
“คุณฟื้นแล้ว คุณเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
นฤเบศมองสุรีกานต์ด้วยสายตาเย็นชา พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนก้มดูสภาพเปลือยครึ่งตัวของตัวเองอย่างแปลกใจนิดๆ
“ทำไมผมอยู่ในสภาพนี้”
สุรีกานต์หน้าแดง
“ก็ เมื่อคืนคุณบาดเจ็บมาก แถมเสื้อคุณก็เปื้อนเลือดเต็มไปหมด ฉันก็เลย…”
“คุณทำอะไรผม” นฤเบศหน้าตื่นทำท่าทำทางเหมือนเสียตัว
สุรีกานต์ตาลุกทันที
“นี่คุณหาว่าฉัน โห…กล้าคิด ฉันไม่โรคจิตทำอะไรทุเรศๆ แบบนั้นหรอกน่า ฟื้นขึ้นมาได้ก็ปากเสียเลยนะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ขนาดเสื้อผ้าผมคุณยังกล้าถอด แล้วผมจะไปรู้ได้ไงว่ามากกว่านี้คุณจะไม่กล้าทำ”
สุรีกานต์ฉุนมาก
“ทำบุญกับคนปากเสียอย่างคุณนี่มันไม่ขึ้นเอาเลยนะ นอกจากจะไม่ได้บุญแล้วยังอาจจะได้บาปติดตัวมาอีกด้วย”
“ทำไม คุณจะฆ่าปิดปากผมเรื่องเมื่อคืนใช่มั้ย”
“ใช่...ฉันจะฆ่าคนปากเสียอย่างคุณ ไม่ให้มีโอกาสได้พูดอีกเลยตลอดชีวิต”
สุรีกานต์จู่โจมเข้าไปหาด้วยความโมโห นฤเบศพยายามป้องกันตัวด้วยการรวบข้อมือของเธอเอาไว้ สุรีกานต์พยายามขัดขืน ยื้อยุดกันไปมา จนกระทั่งเธอเสียหลักล้มเซลงไปบนตัวเขา นฤเบศร้องโอ๊ยเพราะเจ็บแผล จมูกของเธอชนลงบนแก้มของเขาแบบเต็มๆ โดยไม่ตั้งใจ
“เมื่อกี้เจ็บแผลพอคุณจุ๊บผมหายเจ็บเลยเนี่ย”
สุรีกานต์กัดฟันกรอด
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวฉันหาอะไรให้กิน”
“ฉุดผมขึ้นมาหน่อย”
สุรีกานต์ยื่นมือให้ เขากระชากอย่างแรงจนเธอร้องกรี๊ด ล้มลงข้างตัวเขา ต่างคนต่างเขินเพราะใบหน้าใกล้กันนิดเดียว
“จะแตะอั๋งผมอีกเหรอ”
สุรีกานต์ซัดนฤเบศอย่างแรงจนร้องโอ๊ย
“ว่าแต่นี่ลูกน้องผมหายไปไหนกันหมด”
นฤเบศมองหา
นฤเบศกับสุรีกานต์ยืนคุยกันอยู่ที่ระเบียงบ้าน
“สรุปคือผมกับคุณต้องหลบอยู่ที่นี่ก่อน เพราะเรากำลังถูกตามล่า ส่วนลูกน้องผมต้องกลับไปเคลียร์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสร็จเรื่องแล้วถึงจะกลับมารับเรากลับไป”
“ถูกต้อง”
“หวังว่าคุณคงไม่ลำบากใจนะที่ต้องอยู่กับผมที่นี่ แทนที่จะได้กลับไปส่งข่าวให้กับ คนของคุณ ได้รู้ความเคลื่อนไหวของทีมเดอะซัน”
สุรีกานต์หน้าตึงทันที
“คนของฉันเหรอ ไหนบอกว่าคุณเชื่อใจฉันแล้วไง สรุปที่ฉันเล่าให้คุณฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พยายามอธิบายตัวเองว่าทำไมฉันถึงออกไปจากเซฟเฮ้าส์จนเกิดเรื่องขึ้นมา ฉันก็ยังเป็นจำเลยในสายตาคุณอยู่ดีใช่มั้ย”
“ผมเชื่อในสิ่งที่เห็นมากกว่า เพราะคำพูดมันไม่สำคัญเท่ากับการกระทำหรอก”
สุรีกานต์สาวเท้าเดินไปหยุดยืนตรงหน้าเขา จ้องตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันยอมรับว่าฉันผิดที่ทำให้ริชาร์ดรู้แผนการของคุณหมดทุกอย่าง แต่คุณไม่นึกบ้างเหรอไงว่าฉันเองก็เสียใจมากที่เป็นต้นเหตุให้เรื่องมันเป็นแบบนี้”
“นี่ไงล่ะที่ผมเคยบอกคุณว่าถ้าเราประมาท คนที่เราตามล่าก็อาจจะย้อนรอยมาตามล่าเราได้เหมือนกัน”
สุรีกานต์หน้าสลดลง
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันทำไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ”
นฤเบศตัดบท
“เอาเถอะ ถึงคนที่คุณออกไปพบจะเป็นนายกวินที่ส่งข้อความหา หรือว่าสารวัตรมังกรที่ลูกน้องผมสันนิษฐานว่าเป็นไส้ศึก แต่ยังไงความไว้ใจที่ผมมีให้คุณมันก็ได้ถูกทำลายไปแล้วล่ะ…ตอนนี้ผมอดคิดไม่ได้จริงๆว่าคุณยืนอยู่ข้างใครกันแน่ ระหว่างทีมเดอะซันกับคนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของริชาร์ดอย่างนายกวิน”
สุรีกานต์ชักฉุนปนน้อยใจ
“สรุปที่ฉันพูดไปทั้งหมดนี่เปลืองน้ำลายเปล่าใช่มั้ยเนี่ย คุณนี่มันงี่เง่าจริงๆ เลย”
สุรีกานต์เดินตึงตังโมโหกลับเข้าบ้านไป นฤเบศมองตาม ถอนหายใจออกมาอย่างกลุ้มใจ
โต๊ะรับประทานอาหารบ้านกวิน...กอบแก้วนั่งอยู่ก่อนแล้ว กวินเดินมานั่งลงตรงที่นั่งของเขา
มือก็พยายามกดโทรศัพท์ติดต่อสุรีกานต์ไปด้วย แต่ไม่มีสัญญาณ กวินเลยพิมพ์ไลท์เข้าไป
“ช่วยโทรกลับหาผมหน่อยครับคุณโซ่”
กอบแก้วหันมาถาม
“ติดต่องานอยู่เหรอลูก”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับคุณแม่”
“แม่นึกว่าลูกออกไปถ่ายละครแล้วเสียอีก”
“วันนี้ผมมีถ่ายช่วงบ่ายนะครับ”
“อย่างนี้ช่วงเช้าก็ว่างน่ะสิ”
“ครับ”
“ดีเลยงั้นไปร่วมงานค้นหาเค้กสุดพิเศษสำหรับวันวาเลนไทน์แทนแม่ทีสิ วันนี้แม่รู้สึกเหมือนจะไม่สบายยังไงไม่รู้ แล้วรอบตัดสินเค้าเชิญให้วินเป็นกรรมการด้วยนะเพราะแม่เคยบอกคนจัดงานเขาว่าวินเป็นคนชอบทานเค้กมาก”
กวินหน้าตื่น
“โห กรรมการเลยเหรอครับแม่”
“ไม่รู้แหละยังไงวันนี้วินไปแทนแม่ก่อนละกัน แม่ไม่อยากเสียคนอุตส่าห์รับปากเขาไว้ดิบดีแล้ว นะลูก”
กวินพยักหน้าจำใจ ในใจก็นึกถึงแต่สุรีกานต์ที่ติดต่อไม่ได้เลย
งานประกวดพาทิซิเย่จัดขึ้นกลางสวนสวย บรรยากาศแบบสบายๆ ไม่เป็นทางการ ป้ายบนเวทีเขียนว่า “การประกวดเค้กสุดพิเศษต้อนรับวันวาเลนไทน์รอบคัดเลือก” แพรไหมยืนอยู่หลังเวทีหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาส่งไลท์ไปให้นฤเบศ
“พี่เบศมาให้กำลังใจไหมด้วยนะคะ”
เสียงพิธีกรเรียกผู้เข้าร่วมการแข่งขันขึ้นไปบนเวทีดังขึ้น
“เชิญผู้เข้าแข่งขันทั้ง 20 ท่านขึ้นมาบนเวทีได้เลยค่ะ”
“สู้ๆ ค่ะคุณไหม”
แพรไหมยิ้มให้องุ่นที่เดินมาจับมือให้กำลังใจ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเดินขึ้นเวทีไปเป็นคนสุดท้าย บนเวทีผู้เข้าแข่งขันทั้ง 20 คนยืนเรียงกันจนครบแล้ว
“และต่อไปนี้ ขอเชิญเชฟหมายเลข 1 ออกมาแนะนำเค้กสุดพิเศษสูตรเฉพาะของตัวเอง สำหรับวันวาเลนไทน์นี้ได้เลยค่ะ”
เชฟร่างอ้วนเดินออกมา ทีมงานนำเค้กชื่อ ‘ช็อกโกแล็ต สวีท’ วางลงบนโต๊ะ เชฟอ้วนเริ่มบรรยาย แพรไหมพยายามชะเง้อมองหานฤเบศในกลุ่มคนดูแต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของเขาจึงหน้าเศร้าลง
เวลาผ่านไป บนเวทีเชฟสาวประเภทสองบรรยายจบ ได้รับเสียงปรบมือสนั่น ก่อนเดินถอยออกไป
“เอาล่ะคะ ต่อไปไปฟังผู้เข้าแข่งขันคนสุดท้ายพูดถึงเค้กของเธอในวันนี้กันดีกว่าค่ะ”
แพรไหมเดินออกมายืนที่ไมโครโฟน ‘ไวท์เค้ก’ ของเธอถูกนำมาวางลงบนโต๊ะ กวินเดินเข้ามาในงาน เห็นแพรไหมบนเวทีก็ยกมือทักทาย ส่งยิ้มให้ แพรไหมถึงกับดีใจยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นกวินมาให้กำลังใจ แพรไหมบรรยาย
“สำหรับ คุณสมบัติพิเศษของไวท์เค้กสูตรนี้ อยู่ที่เนื้อแป้งที่นุ่มลิ้น ซึ่งเปรียบได้กับความห่วงใย กลิ่นวานิลาที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อเค้กบ่งบอกได้ถึงความคิดถึง ที่จะทำให้คนทานนึกถึงเค้กชิ้นนี้ตลอดไป ส่วนครีมขาวหวานน้อยที่ห่อหุ้มเนื้อเค้กเอาไว้ ก็คือความใส่ใจในสุขภาพและความรักที่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ให้ไวท์เค้กเป็นตัวเลือกหนึ่งในการส่งความรักให้กับคนรักของคุณในวาเลนไทน์นี้นะคะ”
เสียงปรบมือดังลั่น แพรไหมยิ้มอย่างมีความสุข หันไปมองกวิน เขายิ้มปรบมือให้เธอ
กวินกับแพรไหมเดินเคียงคู่กันมา บริเวณสวนที่จัดงานประกวดพาทิซิเย่ ในมือแพรไหมถือกล่องเค้กที่ทำประกวดวันนี้มาด้วย
“ขอบคุณคุณวินมากเลยนะคะ ที่มาเชียร์ไหม”
กวินยิ้มกว้าง
“ครับ อืม ยังไงวันนี้ดีใจด้วยนะครับที่ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายมาได้ แถมคะแนนยังดีซะด้วย รับรองว่ารอบตัดสิน คุณไหมจะต้องได้รับข่าวดีแน่นอนครับ”
แพรไหมยิ้มแต่ตาแอบเศร้า
“ไม่รู้ว่าพอถึงวันจริง ไวท์เค้กของไหมจะชนะใจกรรมการหรือเปล่าน่ะสิคะ”
“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิครับ ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามของเราหรอก…ไม่แน่วันนั้นอาจมีเซอร์ไพรซ์ก็ได้นะครับ”
แพรไหมขำๆ
“ทำไมคะ คุณวินจะมาเป็นกรรมการตัดสินด้วยเหรอไง”
กวินยิ้มมีเลศนัย
“ก็ไม่แน่นะครับ”
แพรไหมหัวเราะเบาๆ เพราะนึกว่ากวินแค่แกล้งรับมุขไปอย่างนั้นเอง สองคนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ม้านั่ง แพรไหมยื่นเค้กให้
“งั้นคุณวินช่วยชิมหน่อยได้มั้ยคะว่าไวท์เค้กยังขาดอะไรอีกบ้าง”
กวินรับกล่องเค้กไปเปิดตักเค้กชิม หน้าตาดูดื่มด่ำกับความหอมหวานของไวท์เค้กที่ทานไป
“ไวท์เค้กมีทุกอย่างครบแล้วครับ ขาดแค่อย่างเดียวเท่านั่นเอง”
“อะไรเหรอคะ”
“ก็ความสดใสยังไงล่ะครับ”
แพรไหมงงๆ
“ถึงไวท์เค้ก จะมีครบทั้งความห่วงใย ความคิดถึง และความรักที่บริสุทธิ์ แต่ถ้าเพิ่มความสดใสลงไปอีกนิด ไวท์เค้กของคุณไหมก็จะเป็นเค้กที่น่าหลงใหลที่สุดในวาเลนไทน์นี้เลยล่ะครับ”
แพรไหมคิดตาม
“ความสดใสเหรอคะ”
“บอกผมได้มั้ยครับว่าวันนี้ ความสดใสของคุณไหมหายไปไหนหมดแล้ว”
คำพูดของกวินแทงใจดำของเธอจนยิ้มไม่ออก
สุรีกานต์เดินไปเดินมา อย่างตัดสินใจบางอย่าง ยกมือถือในมือขึ้นดูอีกครั้งอย่างร้อนใจเมื่อเห็น miscall จากวุ้นกรอบถึง 5 สาย และ miscall ของกวินอีก 8 สาย สุรีกานต์เปิดดูไลน์ข้อความใหม่จากกวินที่ส่งมา
‘คุณโซ่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมรู้ว่าคุณโซ่กำลังเครียดเรื่องข่าว แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังเป็นห่วงคุณโซ่มาก ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ยังไงติดต่อกลับมาหาผมด้วยนะครับ’
โทรศัพท์มือถือถูกดึงไปจากมือสุรีกานต์
“ผมว่าคุณปิดเครื่องไปเลยดีกว่า”
สุรีกานต์หน้าตึง
“งั้นก็ช่วยจัดการกับมือถือของตัวเองด้วยนะ เผื่อใครจะส่งข้อความมาทวงสัญญา”
นฤเบศหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาโชว์ให้ดูปิดเครื่องแล้ว
“พอดีผมแยกแยะออก ว่าเวลาไหนควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ว่าแต่คุณเถอะเช็คมือถือผมในฐานะอะไรเหรอ…หรือว่า …”
สุรีกานต์หน้าเหวอ
“บ้า…ฉันก็แค่คิดว่าลูกน้องคุณติดต่อกลับมา ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะถึงยังไงตอนนี้ฉันก็จะขอส่งข่าวบอกเพื่อนหน่อยว่าฉันสบายดี ไม่ต้องห่วง”
สุรีกานต์จะแย่งมือถือคืนแต่นฤเบศกลับชูมือถือหนี
“ไม่ได้...จะเพื่อนหรือแฟน ตอนนี้คุณก็ไม่มีสิทธ์ติดต่อใครทั้งนั้น”
“เผด็จการ วางอำนาจ นิสัยแบบนี้นี่เป็นมาตั้งแต่เกิดเลยใช่มั้ย”
“แล้วนิสัยดื้อเหมือนเด็กของคุณล่ะ โตแล้วทำไมถึงยังไม่หายอีก”
สุรีกานต์อ้าปากจะด่าเอาคืน แต่นฤเบศก็ชิงพูดตัดหน้าขึ้นเสียก่อน
“นี่คุณดารา ตอนนี้เรากำลังถูกตามล่านะ อยากให้พวกไอ้ริชาร์ดมันจับสัญณาณโทรศัพท์แล้วตามมาหักคอคุณถึงที่นี่ได้แบบสบายๆ ใช่มั้ย”
นฤเบศกดปิดมือถือของสุรีกานต์แล้วโยนคืนกลับให้จนแทบรับไว้ไม่ทัน ก่อนเดินลงบันไดบ้านไป สุรีกานต์ฉุน
“ทำแบบนี้กับฉันแล้วคิดจะเดินหนีไปง่ายๆ งั้นเหรอ”
เธอรีบตามไป
นฤเบศเดินมองวิวทิวทัศน์อยู่ที่ริมคลองหน้าของเขาดูเคร่งเครียด สุรีกานต์กวดเท้าตามหลังมาติดๆ จนเดินทัน
“เอาล่ะ ในเมื่อคุณไม่มีจิตสำนึกที่จะง้อฉัน ฉันจะเสียสละถามคุณเองก็ได้ว่าคุณมีอะไรอยากจะให้ฉันอธิบายตัวเองเพิ่มอีกมั้ย”
นฤเบศไม่ตอบอะไร สุรีกานต์เริ่มขัดใจ
“เอาอย่างนี้ก็ได้ เรามาเปิดอกคุยกันไปเลย”
“ก็เอาสิ คุณถอดก่อนเลย”
“ต่ำตม...ในหัวมีแต่เรื่องลามกใช่มั้ยเนี่ย”
นฤเบศหัวเราะแต่หน้าเครียด สุรีกานต์มองดูก็รู้ว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจ
“ถ้าอยากจะสารภาพบาปก็ว่ามา ผมจะรอฟัง”
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีทางทรยศพวกคุณ แล้วคุณยังจะพูดแบบนี้กับฉันอีก”
“ใครบอกว่าผมรู้…จิตใจที่แท้จริงของคนอื่นเราไม่มีทางรู้ได้หรอก ดีสุดเราก็ทำได้แค่คาดเดาว่าเขาจะคิดอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แต่เราไม่สามารถรู้คำตอบที่แท้จริงได้เลยว่าสิ่งที่เราคาดเดามันคือความจริงหรือเปล่า”
“แล้วความรู้สึกที่เรามีต่อคนๆ นั้นล่ะ ไม่สามารถทำให้เราเชื่อใจเขาได้เลยเหรอ”
“แล้วไอ้ความรู้สึกที่ว่านั้นมันแบบไหนล่ะ”
สุรีกานต์ถึงกับนิ่งตอบคำถามไม่ได้ แม้รู้คำตอบนั้นแก่ใจดีก็ตาม นฤเบศตัดบท
“ไปเถอะ กลับบ้านกันดีกว่า”
นฤเบศหันหลังกลับเดินนำลิ่วไปก่อน สุรีกานต์มองตามหลัง รีบตะโกนถาม
“บอกมาก่อน ว่าคุณเลิกสงสัยฉันหรือยัง”
นฤเบศหยุดยืนแต่ไม่หันกลับมา
“เอาเป็นว่าผมจะเชื่อใจและไว้ใจคุณอีกครั้งก็แล้วกัน”
สุรีกานต์ยิ้มอย่างดีใจ
พลอยนิลนอนซมอยู่บนเตียงนอน ร้องไห้จนตาบวม
“นังเพื่อนทรยศ ไอ้แฟนไม่รักดี พวกแกกล้าทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง”
พลอยนิลน้ำตาริน พี่บีเปิดประตูเข้ามามองด้วยความเป็นห่วง พลอยนิลรู้สึกตัวแต่ไม่หันไปมอง
“นอนซมแบบนี้มา 2 วันแล้วนะคะน้องนิล ลุกขึ้นมาสู้ แล้วเดินหน้าต่อไปดีกว่าค่ะ น้องนิลไม่ใช่คนอ่อนแอแบบนี้นะคะ”
“แต่วันนี้นิลเข้มแข็งต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะพี่บี นิลถูกคนที่นิลรักและไว้ใจถึงสองคนทรยศหักหลังแบบพร้อมๆ กัน นิลเจ็บจนจะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วค่ะ นิลอยากไปไหนไกลๆ สักพัก”
“พี่รู้ว่าน้องนิลกำลังเสียใจ แต่งานของน้องนิลล่ะคะ ทุกคนกำลังรอน้องนิลอยู่นะ”
“ยกเลิกคิวงานทั้งหมดของนิลไปให้หมดเลยค่ะ แล้วพี่บีก็ช่วยเก็บกระเป๋าให้นิลด้วย นิลจะบินไปพักผ่อนที่ปารีสอย่างไม่มีกำหนดกลับ”
พี่บีตกใจ
“ไม่ได้นะน้องนิลน้องนิลมีงานอยู่เป็นหางว่าวเลย น้องนิลจะปล่อยให้ผู้ชายคนเดียวทำลายชีวิตเราแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“พี่บีอย่าพูดถึงผู้ชายคนนี้ให้นิลได้ยินอีกเข้าใจมั้ยค่ะ นิลไม่อยากฟัง”
“ก็ได้ๆ คืนนี้นิลนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เราไปช้อปปิ้งใช้เงินกันให้มันเวิ่นเว้อหายเบื่อไปเลย ดีกว่ามาอุดอู้อยู่ในนี้ ดีมั้ยน้องนิล”
พลอยนิลพยักหน้า
อ่านต่อหน้าที่ 2
นางร้ายสายลับ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในฉากละคร กวินกับแก้วดารากำลังยืนสบตากันอย่างหวานซึ้ง
“ฉันรักคุณค่ะ ตะวันฉาย”
“ผมก็รักคุณครับ คุณหญิงรุ้ง”
แก้วดาราโผเข้าไปกอดกวินไว้อย่างแนบแน่น ซุกไซ้แนบชิดจนกวินรู้สึกได้ว่าแก้วดารากำลังเล่นเกินบท อายอดตะโกนลั่น
“คัท...เอาใหม่ๆ เดี๋ยวแก้วไม่ต้องกอดแน่นขนาดนั้นก็ได้นะ เข้าใจมั้ย”
แก้วดาราแกล้งแบ๊ว
“อ๋อ ได้ค่ะอา...ขอโทษด้วยนะคะพี่วินที่ทำให้ต้องเทคอีกแล้ว พอดีแก้วไม่ค่อยถนัดกอดผู้ชายน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราเอาใหม่ก็ได้”
วุ้นกรอบกับพายไก่ที่ยืนมองอยู่มุมหนึ่ง แบะปาก หมั่นไส้ แก้วดาราแบบสุดๆ
“ชิ ไม่ถนัดกอด ถนัดแต่ถอดน่ะสิ” วุ้นกรอบแดกดัน
พายไก่เบ้หน้ามองเหยียด
“ฉันว่ารุ่นเนี๊ย ไม่ถอดอย่างเดียวหรอกมั้ง รอจับผู้ชายหล่อรวยดีมีฐานะอย่างคุณวินติดมือได้ก่อนเถอะ นางคงจะทั้งปอกทั้งลอกเลยล่ะ”
กวินกับแก้วดาราถ่ายซ่อมฉากเดิมอีกครั้ง แก้วดาราโผกอดกวินอย่างหวานซึ้ง
“โอเค คัทๆ คราวนี้ ดีมาก เลิกกองได้” อายอดก้มหน้าเช็คภาพที่มอนิเตอร์
กวินยกมือขึ้นดูนาฬิกา รีบเดินออกมา ท่าทางเร่งรีบ แก้วดารารีบเดินตามไปเกาะแขนไว้
“เลิกกองแล้ว เราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันดีมั้ยคะพี่วิน”
กวินพยายามจะปฏิเสธอย่างสุภาพ
“เอ่อ คือว่าผม …”
วุ้นกรอบกับพายไก่รีบโผล่เข้ามาขัดจังหวะได้ทันเวลา วุ้นกรอบพูดกับกวินแต่ตามองแก้วดารา
“วันนี้คุณวินบอกว่ามีธุระต้องรีบกลับไม่ใช่เหรอคะ เสร็จงานแล้วงั้นรีบกลับกันเถอะค่ะ เดี๋ยววุ้นเดินไปส่งที่รถเอง จะได้ปลอดภัยจากพวกชอบขอส่วนบุญแถวนี้ ไปค่ะ”
วุ้นกรอบเดินเบียดแก้วดาราอย่างตั้งใจ แก้วดาราส่งสายตาพิฆาตใส่วุ้นกรอบด้วยความโกรธจัด ดึงแขนกวินกลับไปควงตามเดิม
“ตายจริง วันนี้พี่วินมีนัดเหรอคะ อยากรู้จริงๆ ว่าแอบหนีไปฉลองกับใคร ใช่เจ้าของสุนัขจรจัดสองตัวแถวนี้เหรอเปล่านะ ที่ขนาดเจ้านายไม่อยู่ก็ยังตามมาหวงก้างให้อีก”
กวินทำหน้าไม่ถูก รู้ดีว่ากำลังจะมีการเปิดศึกใหญ่ขึ้นมาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เกี๊ยวกุ้งโผล่เข้ามาผสมโรงอีกคน
“อย่าได้แคร์ค่ะน้องแก้วขา คนขี้อิจฉาพวกนี้มันนิสัยเสียค่ะเห็นนางเอกอย่างน้องแก้วมีเสน่ห์ล้นเหลือจนพระเอกในจอ อยากตามไปอินต่อนอกจอก็เลยทนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกากันใหญ่ โอ๊ะๆ น่าสงสารจริงๆ”
กวินใช้จังหวะที่สองฝ่ายตั้งท่าจะห้ำหั่นกันเดินหลบออกไปเงียบๆ พายไก่สวน
“แหม พวกผู้ชายก็แบบนี้แหละจ้า ชอบตีสนิททดสอบไปเรื่อยแหละว่าผู้หญิงคนไหนติดไฟง่ายบ้าง”
เกี๊ยวกุ้งโกรธ
“นี่หาว่าน้องแก้วของฉันเป็นพวกจุดปุ๊บติดปั๊บงั้นเหรอนังพายไก่ขึ้นรา”
วุ้นกรอบมองเย้ย
“พูดเองเออเองนะเนี่ย”
เกี๊ยวกุ้งรีบหุบปาก แก้วมองตาเขียว วุ้นกรอบยิ้มเหยียด
“จะบอกอะไรให้นะคะคุณน้องแก้วขา ผู้ชายดีๆ น่ะเขาดูออกค่ะว่ารถคันไหนเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วกี่มือ ไอ้ประเภทขึ้นเขาลงห้วยมาไม่รู้กี่ร้อยแห่ง เหมาะกับผู้ชายที่อยากใช้รถสมบุกสมบันเท่านั้นแหละค่ะ”
พายไก่เสริม
“ถูก เพราะเวลาเสียหายเป็นอะไรขึ้นมา จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบซ่อมแซมให้เสียเวลา สมัยนี้เงินทองหายากค่า ไม่มีใครอยากเอาเงินมาลงทุนกับรถหลายมือหรอกค่ะ”
แก้วดาราโกรธจัด
“อ๊าย...แก อีบ้า พี่วินขา ดูคนพวกนี้สิคะ หยาบคายจริงๆ เลย”
แก้วดาราหันมาพบว่ากวินหายไปแล้ว แก้วดาราก็ยิ่งหน้าแตกรู้สึกอับอายเข้าไปใหญ่ วุ้นกรอบกับพายไก่หัวเราะผสมโรงกันอย่างสะใจ เนธานที่นั่งท่องบทอยู่บริเวณนั้นมองไปที่แก้วดาราแล้วแอบส่ายหน้าระอาใจกึ่งสมเพช
แก้วดาราเดินกระฟัดกระเฟียดอารมณ์เสียมา เนธานเดินมายืนดักหน้า แก้วดาราเหวี่ยงใส่
“หลีกไป...แก้วกำลังอารมณ์ไม่ดี”
เนธานมองหน้า
“เลิกยุ่งกับคนที่เขาไม่สนใจ แล้วหันมามองคนที่เขาเห็นค่าคุณดีกว่าน่า ตามตื๊อเขาไปวันๆ แบบนั้น ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมา”
แก้วดาราหงุดหงิด
“ถ้าไม่อยากได้กระแสคู่จิ้น คู่ขวัญ ไว้โปรโมทละคร แก้วก็ไม่ตามให้เหนื่อยหรอก ผู้ชายบ้าอะไรก็ไม่รู้ ใจแข็งยังกับหิน คอยดูนะ แก้วได้เป็นซุปตาร์ขึ้นมาเมื่อไหร่จะเดินชูคอไม่เห็นหัวใครเลย”
“แล้วผมล่ะ ถึงตอนนั้นแล้ว ยังพอจะอยู่ในสายตาคุณบ้างรึเปล่า”
“รอเรื่องหน้าธานได้เป็นพระเอกก่อนก็แล้วกันนะคะ แล้วแก้วจะคิดดูอีกที”
เนธานยิ้มอย่างไม่เต็มหน้า รู้สึกหมั่นไส้แก้วดาราขึ้นมาที่ไม่เห็นความสำคัญของเขาเลย ในตอนนั้นเกี๊ยวกุ้งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาแก้วดาราที่เดินทิ้งห่างเนธานออกมาแล้ว
“น้องแก้วขาดูนี่สิคะ เร็วเข้า”
เกี๊ยวกุ้งรีบยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้แก้วดาราดู หน้าจอเป็นรูปกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงจากอินสตาร์แกรมของพลอยนิล แก้วดาราเห็นแล้วถึงกับรับไม่ได้ด้วยความอิจฉาอย่างแรง
“นี่มันกระเป๋าที่แก้วอยากได้นี่คะ”
“แต่ตอนนี้มันถูกฉกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ดูสิคะรูปนี้เพิ่งโพสเมื่อ 10 นาทีที่แล้วนี่เอง แถมคนยังแห่ไปกดไลค์กันเต็มเลย”
แก้วดารายิ่งมองก็ยิ่งแค้น อิจฉาตาร้อน ยอมไม่ได้
“แก้วจะไปถอยกระเป๋าสีนี้ แบบนี้ เดี๋ยวนี้ค่ะพี่เกี๊ยว ไปค่ะ”
เกี๊ยวกุ้งชะงัก
“เอ่อ แล้วน้องแก้วมีเงินเหรอคะ”
“ก็เงินในบัญชีแก้วไงคะ มีเท่าไหร่ แก้วทุ่มไม่อั้น”
เกี๊ยวกุ้งอึกอัก
“เอ่อ เงินในบัญชี ที่มีน้อยกว่ากว่าราคากระเป๋าใบนี้ซะอีกนะเหรอคะ”
“พี่เกี๊ยว”
“ก็เมื่อเดือนก่อนตอนที่เราบินไปเกาหลีด้วยกันมา น้องแก้วลืมไปแล้วเหรอไงคะว่าทุกเข็มที่จิ้มลงไปบนหน้าน้องแก้วน่ะหลักแสนทั้งนั้น แล้วไหนจะค่าช็อปปิ้ง กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องสำอางที่พี่เกี๊ยวต้องช่วยแบกกลับมาอีกล่ะ แค่ทริปนี้ทริปเดียวน้องแก้วก็ใช้เงินไปครึ่งบัญชีแล้วล่ะค่า”
แก้วดาราหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ
“โอ๊ย แก้วไม่ฟัง ยังไงแก้วก็ต้องมีทุกอย่างเทียบเท่ามันให้ได้ แก้วไม่มีทางยอมแพ้นังนั่นแน่”
เกี๊ยวกุ้งถอนใจ
“ไม่ยอมแล้วจะทำยังไงได้ล่ะคะ”
“นั่นมันหน้าที่พี่เกี๊ยวที่ต้องคิดค่ะ พี่เกี๊ยวต้องหาทางช่วยแก้วให้ได้ เข้าใจมั้ยคะ”
“ค่ะค่ะ เข้าใจค่ะ”
เกี๊ยวกุ้งรับปากแล้วแอบหันไปทำหน้าเอือม
พลอยนิลเดินออกมาจากร้านกระเป๋าแบรนด์เนม สะพายกระเป๋าใบเดียวกับที่ลงรูปในอินสตาแกรมออกมาด้วย โดยมีพี่บีเดินตามหลังออกมาติดๆ
“ช่วงนี้น้องนิลใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วนะคะ”
“นิลเครียดนี่คะ ก็ต้องหาอะไรทำแก้เครียดหน่อย”
“โดยการตัดสินใจซื้อกระเป๋าใบนี้ทันทีที่รู้ว่าแก้วดารากำลังอยากได้อย่างนั้นเหรอคะ ทำแบบนี้เดี๋ยวก็มีเรื่องกันอีกหรอกค่ะ”
“แล้วนิลจำเป็นต้องกลัวด้วยเหรอคะ ของแบบนี้ ใครดีใครได้อยู่แล้ว”
พี่บีอ่อนใจ
“น้องนิล”
“เลิกบ่นซะทีเถอะน่าพี่บี นิลอุตส่าห์ยกเลิกไม่ไปเที่ยวปารีสตามที่พี่บีขอร้องแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก ตอนนี้นิลกำลังเครียดเรื่องข่าว ไหนจะยังเจ็บใจไม่หายเรื่องที่ถูกเพื่อนไม่รักดีกับไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นหักหลัง เพราะฉะนั้น ถ้านิลจะใช้เงินซื้อความสุขให้กับตัวเองบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ อย่าลืมสิพี่บีชวนนิลเองนะ”
พูดจบพลอยนิลก็รีบสาวเท้าเดินหนี ไม่อยากคุยด้วยแล้ว พี่บีรีบเดินตาม
“เดี๋ยวค่ะน้องนิล พี่ยังพูดไม่จบ”
พลอยนิลหยุดเดิน แต่ไม่หันกลับไปมอง หน้าตาเซ็งๆ
“มีอะไรอีกล่ะคะ”
“งานเซ็นสัญญาพรีเซ็นเตอร์เครื่องสำอางดาเลีย พรุ่งนี้ เป็นงานที่สำคัญมากเพราะฉะนั้น น้องนิลห้ามสาย ห้ามเบี้ยวเด็ดขาดนะคะ ถือว่าพี่ขอร้อง”
พลอยนิลรับปากส่งๆ
“นิลรู้แล้วน่า”
พลอยนิลรีบเดินไป พี่บีมองตามหลัง ส่ายหน้าอ่อนใจ
บรรยากาศคึกคักในผับยามค่ำคืน แสงไฟวิบวับ เสียงเพลงดังอึกกะทึก หนุ่มสาวกำลังโยกย้ายส่ายสะโพกกันอยู่อย่างสนุกสนาน เนธานนั่งดื่มเหล้าเข้าปากด้วยความเซ็งอยู่กับกลุ่มเพื่อนนายแบบกลุ่มใหญ่ที่โต๊ะด้านในสุด เพื่อนร่วมวงกำลังพูดคุยกันเฮฮา ไม่มีใครสนใจเนธานที่นั่งสร้างโลกส่วนตัวอยู่คนเดียว เนธานนึกถึงตอนที่เขาเทลาะกับพลอยนิล
“คุณจะให้ผมทำยังไงคุณถึงจะเชื่อ ว่าระหว่างผมกับโซ่เราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ”
“คุณไม่ต้องทำอะไรหรอก ฉันเคยพูดว่าคนอย่างคุณไม่มีวันไปจากฉันได้ แต่วันนี้ฉันให้อิสระคุณแล้ว เชิญไปเสวยสุขกับนังตอแหลนั่นให้สมใจเถอะ ส่วนรถที่ฉันซื้อให้จะถือว่าทำทานล้างซวยก็แล้วกัน”
เนธานนึกถึงคำพูดของพลอยนิลที่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
“ระหว่างนิลกับโซ่ ก็แค่ปัญหาส่วนตัวระหว่างเพื่อน ไม่ใช่เรื่องนี้แน่นอน”
“แสดงว่าคุณนิลกับเนธานไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เนธานเดินเข้ามาในงานแถลงข่าว นักข่าวฮือฮาให้ความสนใจ เนธานยืนนิ่ง พลอยนิลจ้องหน้าเนธาน
“ค่ะ เราเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น ถ้านิลเป็นแฟนเนธานจริง วันนี้คงได้เห็นนิลในข่าวอาชญากรรมซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จริงมั้ยคะ” พลอยนิลแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน
เนธานกรอกเหล้าเข้าปากอย่างเจ็บใจ
“เลิกก็เลิก คิดว่าถ้าไม่มีเธอแล้วฉันจะหาที่เกาะใหม่ไม่ได้เหรอไง” เขาแสยะยิ้ม “เรื่องแค่นี้ ไม่สะเทือนหรอกเว้ย”
เนธานเหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง จึงลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะสังสรรค์
แก้วดาราในชุดนอนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยืนส่องกระจกอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างอารมณ์ดี เสียงกริ่งดังขึ้น เธอแปลกใจว่าใครมา รีบเดินออกไปจากห้องนอน...แก้วดาราเปิดประตูออกมาเห็นเนธานยืนอยู่หน้าประตู ก็ตกใจมาก รีบมองว่ามีใครเห็นหรือเปล่าก่อนรีบดึงแขนเขาเข้ามาในห้องทันที
“ธาน มาทำไมที่นี่”
“ก็ผมคิดถึงแก้วนี่ ทำไม หรือว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว” เนธานมองหา
“จะบ้าเหรอ แก้วไม่ได้ง่ายกับทุกคนนะ”
เนธานเข้าไปกอดแก้วดารา เอียงจมูกหอมแก้มฟอดใหญ่
“แต่ก็ไม่ยากสำหรับผมนี่…ตอนนี้ผมเป็นอิสระแล้วนะ”
แก้วดาราตาโต
“หมายความว่าธานเลิกกับยัยแม่มดนั่นแล้วเหรอคะ”
เนธานพยักหน้า แก้วดาราสะใจกับความพ่ายแพ้ของพลอยนิล จนถึงกับยิ้มร้ายออกมาแววตาสะใจ
“รู้สึกผิดจังเลยนะคะ ที่ทำให้คู่รักเขาต้องเลิกกันแบบนี้”
“งั้นแก้วก็รับผิดชอบโดยการมาคบกับผมแทนสิ”
“รู้สึกเราจะคุยเรื่องนี้กันแล้วนะคะธาน ระหว่างเรา เจอกันได้ แต่อย่าผูกมัดอะไรกันเลยค่ะ”
“ผมรู้แล้วน่า ไม่ลืมหรอก แต่ตอนนี้ ในเมื่อเรามาเจอกันแล้ว เราก็…”
แก้วดารายิ้มพอใจเปิดทางให้เนธานซุกไซ้จนทั้งคู่ล้มลงไปบนโซฟา แก้วดาราหลับตาพริ้ม เนธานยิ้มร้ายได้จังหวะแอบหยิบมือถือขึ้นมากดปุ่มบันทึกวีดีโอแล้ววางเสียบลงไปในแจกันดอกไม้ที่อยู่บนโต๊ะข้างโซฟา โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพลีลารักของเนธานกับแก้วดาราที่กำลังดำเนินไป
บรรยากาศยามค่ำคืนของบ้านไม้กลางสวน มีพระจันทร์ดวงโตลอยเด่นบนท้องฟ้า นฤเบศอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาเอาชุดของลุงมาใส่ เดินออกมายืนสูดอากาศที่ริมระเบียง สุรีกานต์ใส่คอกระเช้า กับผ้าซิ่นซึ่งเป็นของป้าเดินออกมาหยุดยืนข้างๆ เขา นฤเบศเหลียวมองอย่างแปลกตา สีหน้าขำๆ
“ก็มันไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนเลยนี่นา”
นฤเบศยิ้มๆ
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เสื้อผ้าพวกนี้ก็น่ารักดีออก ถึงจะไม่อินเทรนด์ เก๋ไก๋ เหมือนที่คุณเคยใส่ แต่ชุดไทยๆ แบบนี้แหละโดนใจผมยิ่งกว่าอีก”
สุรีกานต์ชะงัก
“เมื่อกี้คุณว่าไงนะ”
นฤเบศรีบส่ายหัว
“เปล่า ว่าอะไร ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
สุรีกานต์เบ้ปากหมั่นไส้คนชอบทำไก๋ ในตอนนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นดาวตกพอดี
“คุณ ดาวตก รีบอธิษฐานเร็ว”
สุรีกานต์รีบยกมือประสานไว้ตรงหน้าอกหลับตาอธิษฐาน นฤเบศไม่ได้ทำตาม แต่กลับแอบมองหน้าของหญิงสาวอย่างตั้งใจ จนเธอลืมตาขึ้นมา แล้วหันไปหาเขาก็สบตาเขาเข้าอย่างจัง ทั้งคู่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเสมองไปคนละทางด้วยความเขิน
“บอกฉันได้มั้ยว่าเมื่อกี้คุณอธิษฐานว่าอะไร”
“ชั่วโมงนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาอธิษฐานอะไรเหมือนคุณหรอก มีแต่เรื่องสำคัญให้คิดจนรกหัวสมองไปหมด…แต่รู้สึกเรื่องไร้สาระทุกเรื่องนี่คุณถนัดหมดเลยนะ”
“คุณก็อย่าจริงจังกับชีวิตให้มันมากนักซี่ เท่านี้หน้าตาก็เลยอายุไปไกลแล้วนะเอาน่า ฉันรู้ว่าคุณกำลังกลุ้มใจเรื่องงาน แต่ถึงยังไงคุณก็ปิดคดีนี้ได้อยู่แล้วแหละเชื่อฉันสิ”
“คุณมีณานวิเศษหรือไง ถึงมั่นใจขนาดนั้น”
“เปล่า…แต่เมื่อกี้ฉันอธิษฐานเผื่อคุณแล้ว รับรองคุณสมหวังแน่นอน”
นฤเบศยิ้มขำ
“มัวแต่อธิษฐานให้คนอื่น แล้วเมื่อกี้คุณอธิษฐานอะไรให้ตัวเองบ้าง”
“ฉันก็ขอให้ได้อยู่ในที่สงบๆ แบบนี้ไปนานๆ ไม่ต้องกลับไปรับรู้ข่าวสารความวุ่นวายทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตอีกต่อไป และขอให้ฉันได้อยู่ในที่ที่เหมือนเป็นโลกอีกใบที่มีแต่ฉันกับ…”
สุรีกานต์ชะงัก รู้ตัวทันก่อนจะเผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่รู้ตัว นฤเบศมองตาเธอ หน้านิ่งเหมือนกำลังรอฟัง สุรีกานต์แกล้งหาว
“ว้า ง่วงจัง ฉันไปนอนดีกว่า”
สุรีกานต์รีบเดินกลับเข้าบ้านไปทันที นฤเบศมองตามหลัง เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ยัยบ๊องเอ้ย”
วันใหม่...วุ้นกรอบนั่งจัดเครื่องสำอางที่วางอยู่อย่างระเกะระกะบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทาง พายไก่กำลังเลือกชุดจากราวผ้าออกมาจัดเตรียมสำหรับฉากต่อไปให้นักแสดงอยู่ใกล้ๆ กัน พายไก่หันมาถามวุ้นกรอบ
“ตกลงแกติดต่อเจ๊โซ่ได้เหรอยังวุ้น ลางานนานขนาดนี้ชักเป็นห่วงขึ้นมาแล้วสิ”
“เมื่อกี้โทรไปเหมือนจะปิดเครื่องไปแล้ว เฮ้อ เจ๊นะเจ๊ หายหน้าหายตาไปแล้วยังไม่ยอมติดต่อใครอีก สงสัยคงช้ำใจเรื่องเพื่อนรักมากจนอยากหลบไปพักใจที่ไหนไกลๆ สักที่แน่นอน”
กวินเดินเข้ามาพอดี ทำท่าเหมือนมองหาใคร วุ้นกรอบเห็นแล้วรีบปรี่ไปควงแขนทำเป็นอ้อนกวินทันที
“คุณวินมาแล้ว แฮปปี้วาเลนไทน์เดย์ค่ะ” วุ้นกรอบทำเป็นมองหา “ไหนล่ะคะกุหลาบแดงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกกับชอกโกแล็ตกล่องใหญ่ ของขวัญเพื่อแสดงถึงความรักระหว่างเราสองคน” วุ้นกรอบกระพริบตาปริบๆ
กวินไม่ได้สนใจฟัง มัวแต่มองหาสุรีกานต์
“วันนี้คุณโซ่ยังไม่มาทำงานอีกเหรอครับ”
วุ้นกรอบหน้าเหวอ พายไก่มองวุ้นกรอบแล้วเอามือปิดปากอยากปล่อยก๊ากเต็มทน วุ้นกรอบเสียฟอร์มถลึงตาใส่
มุมหนึ่ง กองละครตะวันสีรุ้ง...กวินในชุดเตรียมเข้าฉาก ยกมือถือขึ้นกดเบอร์โทรหาสุรีกานต์ด้วยความเป็นห่วง
“ปิดเครื่อง...นี่คุณหายไป จนผมเริ่มเป็นห่วงแล้วนะครับคุณโซ่”
แก้วดาราในชุดเตรียมเข้าฉากปลีกตัวจากเกี๊ยวกุ้งที่คอยพัดวีให้ระหว่างรอเซ็ตฉากใหม่เดินมาหากวินแสร้งทำน้ำเสียงห่วงใย
“ยังติดต่อพี่โซ่ไม่ได้เหรอคะพี่วิน”
“ครับ ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“โถ น่าสงสารพี่โซ่จังเลยนะคะ ถูกกระหน่ำโจมตีด้วยข่าวฉาวซะขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องเซจนตั้งหลักไม่ทันเหมือนกันแหละค่ะ ไม่เข้าใจจริงๆ เลยนะคะว่าข่าวเสียๆ หายๆ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแบบนี้มันถูกตีแผ่ออกมาได้ยังไง”
กวินครุ่นคิด
“เป็นไปได้มั้ยครับ ที่อาจจะมีใครสักคนพยายามกลั่นแกล้งคุณโซ่อยู่”
แก้วดาราหน้าเจื่อน
“แต่ข่าวพี่โซ่ก็มีรูปเป็นหลักฐานชัดเจนเลยนะคะพี่วิน ถ้าจะมีคนกลั่นแกล้งจริง แล้วรูปพวกนั้นมันคืออะไรล่ะคะ ความจริงเรื่องนี้มันก็ใช่ว่าจะไม่มีมูลซะทีเดียวหรอกนะคะ”
กวินมองแก้วดาราอย่างค้นหาคำตอบ แก้วดารารีบใส่ไฟ
“คือ…แก้วเคยได้ยินมาน่ะค่ะว่า พี่โซ่ พี่นิล แล้วก็เนธานเคยเป็นเพื่อนแก็งเดียวกันมาก่อนน่ะค่ะ สามคนนี้เคยสนิทสนมกันมาก แต่พอมีภาพหลุดพี่โซ่กับพี่ธานออกมา พี่นิลก็ถึงกับมาอาละวาทพี่โซ่ถึงกองถ่าย ทะเลาะเบาะแว้งกันจนถึงขั้นตบตี ถ้าให้แก้วเดา…ข่าวพี่นิลแตกหักกับพี่โซ่ก็อาจมาจากเรื่องเนธานก็ได้นะคะ”
แก้วดาราลอบมองสีหน้าของกวินที่ดูสับสนกับคำพูดของเธอ ก็แอบยิ้มกริ่มอย่างพอใจ
มังกรนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้นองอาจเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มสีดำวางแฟ้มลงบนโต๊ะทำงาน
“รายละเอียดเกี่ยวกับเซฟเฮ้าส์ลับทั้งหมดของทีมเดอะซันอยู่ในนี้หมดแล้วครับสารวัตร”
มังกรยิ้มร้าย
“ดีมาก...เดี๋ยวฉันจะเอาข้อมูลกระจอกๆ พวกนี้แหละไปแลกกับเงินก้อนโต”
ในห้องรับแขก บ้านพ่อเลี้ยงกำธร มังกรเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าพ่อเลี้ยงกำธรที่มีลูกน้องยืนประดับบารมีอยู่ด้านหลัง
“เป็นไงสารวัตร งานที่ผมวานให้ช่วยเรียบร้อยดีมั้ย”
มังกรยื่นแฟ้มในมือให้
“คราวนี้ก็อยู่ที่พ่อเลี้ยงแล้วล่ะว่าจะตามไปเด็ดหัวมันได้รึเปล่า”
“ผมไม่ผิดหวังจริงๆ ที่เลือกมีมิตรอย่างคุณเอาไว้”
พ่อเลี้ยงกำธรยืนมือไปรับ แต่มังกรกลับดึงแฟ้มกลับ พ่อเลี้ยงกำธรมองอย่างแปลกใจมังกรยิ้มเจ้าเล่ห์
“เหมือนพ่อเลี้ยงจะลืมอะไรไปรึเปล่า”
พ่อเลี้ยงกำธรยิ้มร้าย
“รับรองว่าค่าเหนื่อยของสารวัตรจะถูกโอนเข้าบัญชีที่ผมคุ้นเคยทันทีหลังจากที่งานใหญ่จบลง เราทำงานกันมานานแล้วน่า สารวัตรไว้ใจผมได้”
“ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจพ่อเลี้ยงหรอกนะ แต่จำนวนเงินที่พ่อเลี้ยงต้องจ่ายในครั้งนี้ มันมากจนผมเกรงว่า…”
พ่อเลี้ยงกำธรจ้องหน้า
“ผมก็คนจริงเหมือนกันนะสารวัตร ไม่ทำลายศักดิ์ศรีตัวเองเพราะเงินแค่ 20 ล้านหรอก เพราะต่อให้มากกว่านี้ ถ้าสารวัตรต้องการ ผมก็มีให้”
มังกรยิ้มพอใจ แววตาเจ้าเล่ห์ ยื่นแฟ้มเอกสารให้พ่อเลี้ยงกำธรแต่โดยดี
“งั้นถ้ามีอะไรให้ช่วยอีก พ่อเลี้ยงก็บอกผมได้”
มังกรเดินจากไป พ่อเลี้ยงกำธรก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรรายงานริชาร์ด
“ผมได้แหล่งกบดานของพวกมันมาแล้วครับคุณริชาร์ด”
ค่ำนั้น สุรีกานต์อาบน้ำเสร็จแล้วที่หัวยังสวมหมวกอาบน้ำพลาสติกเอาไว้หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า เช็ดตัว แล้วหยิบผ้าถุงมานุ่งกระโจมอกอย่างไม่ค่อยถนัดนัก...นฤเบศเดินไปเดินมาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ได้ยินเสียงสุรีกานต์เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำก็หันไปมองอย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็ทำหน้าตกตะลึงอึ้งๆ ออกมา สุรีกานต์มองนฤเบศอย่างไม่ไว้ใจระแวง
“มองอะไร ทำไมมองแปลกๆ”
“ก็…”
สายตาของเขาจ้องอยู่แถวๆ หน้าอกของเธอ เขาเห็นแมงมุมที่เกาะอยู่บนผ้าถุงแถวหน้าอก สุรีกานต์ตกอกตกใจ
“หรือว่า...คุณเห็นฉันแล้วเกิดอดใจไม่ไหวขึ้นมา ไม่นะ…ฉันไม่มีวันยอมคุณแน่ ถ้าเข้ามาละก็…”
นฤเบศสั่งเสียงเข้ม
“หุบปาก แล้วอยู่นิ่งๆ ตอนนี้มีอะไรบางอย่างเกาะอยู่บนผ้าถุงของคุณ”
สุรีกานต์ตกใจ ขยับตัวพยายามก้มมองหา จนทำให้แมงมุมคลานเปลี่ยนที่เกาะลงไปที่หน้าท้อง สุรีกานต์เห็นแล้วถึงกับร้องกรี๊ดออกมาดังลั่น กระโดดโหยงเหยง พยายามสลัด สะบัด จนสุดท้ายถึงกับกระโดดขึ้นเอวนฤเบศ แล้วกอดเขาเอาไว้แน่น
“เอาออกไป เอาออกไปที อี๋”
“โอ้ยคุณ หนักนะ กระดูกผมจะหักมั้ยเนี่ย”
นฤเบศรับร่างสุรีกานต์ไว้อย่างทุลักทุเล
“ก็ฉันกลัวนี่ แมงมุมแม่ม่ายดำมีพิษรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ผมว่าคุณอย่างจินตนาการมากนักเลย แค่เสียงกรี๊ดคุณ แมงมุมมันก็หนีไปไกลถึงขั้วโลกเหนือแล้วล่ะ ลงมาได้แล้วผมหนัก”
สุรีกานต์กระโดดลงตามคำสั่ง แต่พอวางเท้าบนพื้นแล้วเหยียบลงบนแมงมุมตัวนั้นอีก ก็รีบกระโดดเหยงร้องกรี๊ดอีกรอบ ปรี่เข้าไปขี่หลังเขาไว้อีกหนทันที
“แมงมุมมันตายแล้ว คุณไม่ต้องกลัวแล้ว”
นฤเบศก้มหน้าลง สุรีกานต์เงยหน้าขึ้น ทั้งคู่เผลอสบตากัน ตกอยู่ในภวังค์หวานซึ้งจนค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากค่อยๆ ยื่นเข้าไปใกล้ อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะแตะกันอยู่แล้ว แต่สุรีกานต์ก็เอียงหลบเสียก่อนด้วยความเขินจัด นฤเบศรีบแก้เขิน
“อยู่กับคุณนี่ผมเปลืองตัวชะมัดเลย”
สุรีกานต์ตาลุก
“ตาบ้า”
ในตอนนั้น จู่ๆ เสียงปืน ปัง ปัง ก็ดังขึ้นสองนัด สองคนมองหน้ากันอย่างตกใจ ตาตื่น...ทีมบอดี้การ์ดกำลังวิ่งปรี่ ยิงกราดเข้าไปในบ้านอย่างไม่ยั้งมือ อีกส่วนที่เพิ่งลงมาจากรถตู้กับรถกระบะที่จอดอยู่หน้าบ้านรีบแยกกระจายกันไปล้อมบ้านกลางสวนเอาไว้ หัวหน้าบอดี้การ์ดออกมาจากรถเป็นคนสุดท้าย ออกคำสั่งเสียงดังลั่น
“หาให้ทั่ว จับเป็นไม่ได้ จับตาย”
นฤเบศวิ่งพาสุรีกานต์ที่ยังอยู่ในชุดนุ่งกระโจมอก ใส่หมวกอาบน้ำไปหลบหลังพุ่มไม้ใกล้ๆ กับบริเวณที่รถตู้กับรถกระบะของพวกบอดี้การ์ดริชาร์ดจอดอยู่ สุรีกานต์หายใจหอบด้วยความเหนื่อย ทั้งยังต้องคอยพะวงกับผ้าถุงที่ทำท่าจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ เธอพยายามขยับผ้ากระโจมอกให้กระชับขึ้น
“ทำไมพวกมันต้องแห่กันมาตอนนี้ด้วยนะ รอให้แต่งตัวเสร็จก่อนไม่ได้เหรอไง” สุรีกานต์บ่นเบาๆ
“เอาน่าคุณ บ่นอยู่นั่นแหละ”
“ก็ผ้าถุงฉันกำลังจะหลุดอยู่แล้วเนี่ย คุณไม่เห็นเหรอไง”
นฤเบศหน้าตื่น
“เฮ้ย...อย่ามาโป๊เรี่ยราดแถวนี้นะ ผมไม่อยากเป็นตากุ้งยิง”
สุรีกานต์อ้าปากทำท่าจะด่า แต่นฤเบศก็รีบเอามือปิดปากเธอเอาไว้ได้ทัน
“กลืนมันลงไปคุณ เก็บไว้ด่า ไว้กรี๊ดทีหลังนะ ตอนนี้เราต้องหนีตายก่อน”
สุรีกานต์สลัดมือเขาออกไป หน้าตายังแค้นไม่หาย
“แล้วเราจะหนีไปได้ยังไงล่ะ พวกมันเล่นวางกำลังเอาไว้หมดแล้วแบบนี้”
“มันต้องมีทางสิน่า…”
นฤเบศมองไปรอบๆ จนไปสะดุดตาเข้ากับรถตู้กับรถกระบะของเหล่าร้ายที่จอดอยู่ เขาเห็นกุญแจรถทั้งสองคันยังเสียบทิ้งไว้
“นึกออกแล้ว เดี๋ยวผมจะลอบไปจัดการไอ้ 2 คนนั้น”
นฤเบศมองไปที่บอดี้การ์ด 2 คนที่ยืนเฝ้ารถ
“แล้วคุณ ก็รีบย่องไปขโมยกุญแจรถตู้มาให้ได้ เข้าใจมั้ย”
สุรีกานต์มองไปยังรถตู้ที่จอดอยู่อย่างไม่มั่นใจว่าจะทำตามที่เขาบอกได้หรือเปล่า
“ได้”
อ่านต่อหน้าที่ 3
นางร้ายสายลับ ตอนที่ 11 (ต่อ)
นฤเบศมองออกว่าเธอไม่มั่นใจ
“คุณมั่นใจมั้ยเนี่ย”
“ไม่มั่นใจแล้วมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะ”
“ไม่มี”
“ก็นั่นไง”
“เอาล่ะ เราแยกกันจัดการตามแผนเลยแล้วกัน ดูแลตัวเองด้วยนะ ผมไปล่ะ”
นฤเบศย่องออกไปจากพุ่มไม้ ตรงเข้าไปล็อกคอบอดี้การ์ดคนหนึ่งได้แล้วก็จัดการจนสลบเหมือด บอดี้การ์ดอีกคนหันมาเห็น รีบชักปืนขึ้นมาจะยิง แต่นฤเบศก็ใช้ความเร็วกระโดดเตะปืนจากมือคนร้ายได้ทัน แล้วเข้าไปจัดการบอดี้การ์ดคนนั้นจนสลบเหมือดไปอีกคน สุรีกานต์เห็นทางโล่งแล้วก็รีบย่องไปเปิดประตูรถตู้ แล้วดึงกุญแจรถออกมาอย่างดีใจแต่พอหันหน้ากลับมาแล้วก็ต้องตกใจมาก เมื่อมีบอดี้การ์ดคนหนึ่ง กำลังยืนยิ้มเหี้ยมอยู่ตรงหน้า นฤเบศเดินย่องเงียบมาหยุดยืนด้านหลังบอดี้การ์ด แล้วล็อคคอไว้ก่อนจัดการจนสลบไปอีกคน นฤเบศกับสุรีกานต์มองหน้ายิ้มให้กันอย่างโล่งใจ
“ไป”
นฤเบศคว้ามือสุรีกานต์วิ่งพาไปที่รถกระบะซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ กัน กลุ่มบอดี้การ์ด 4-5 คนพร้อมหัวหน้าที่กำลังเดินตรงมาที่รถ เห็นนฤเบศกับสุรีกานต์แล้วก็รีบวิ่งตามยิงสกัด
“พวกมันอยู่นั่น รีบไปจับมันให้ได้ เร็ว”
นฤเบศวิ่งพาสุรีกานต์หลบกระสุนปืนที่กราดยิงมาไม่ยั้ง พร้อมกับต้องคอยหาจังหวะยิงโต้ตอบกลับไปแต่ก็ไม่ถนัดนัก เพราะต้องคอยคุ้มกันสุรีกานต์ที่หลุดร้องกรี๊ดเสียงดังตลอดเวลาไปด้วย กลุ่มบอดี้การ์ดวิ่งไล่บี้มาเกือบทัน นฤเบศกับสุรีกานต์ก็ถึงรถพอดี ทั้งสองรีบขึ้นรถกระบะ ซึ่งมีกุญแจเสียบคาอยู่ นฤเบศเร่งสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่กลับไม่ติด สุรีกานต์ร้อนใจ
“เร็วสิคุณ พวกมันตามมากันแล้ว”
กลุ่มบอดี้การ์ดวิ่งตามมาจนถึงรถ สาดกระสุนปืนใส่ดังสนั่น
“คุณ หมอบ เร็ว”
สุรีกานต์ก้มหมอบลงตามคำสั่ง นฤเบศสตาร์ทเครื่องรถติดพอดี รีบขับรถแล่นฉิวออกไปทันที กลุ่มบอดี้การ์ดยิงไล่หลังตามไป
“ตามพวกมันไปเร็ว”
บอดี้การ์ดทุกคนรีบกลับไปขึ้นรถตู้ตามคำสั่ง แต่พอขึ้นไปนั่ง คนที่ทำหน้าที่ขับก็รีบรายงานทันที
“กุญแจหายไปแล้วครับหัวหน้า”
หัวหน้าเจ็บใจ
“โธ่เว้ย...ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
สุรีกานต์ยังนั่งตัวสั่น ก้มหัวหลบกระสุนอย่างหวาดกลัวไม่เลิก นฤเบศเหลือบมองแล้วแอบยิ้มขำ
“เงยหน้าขึ้นมาได้แล้วคุณ เราหนีมาไกลจนพวกมันตามไม่ทันแล้วล่ะ”
สุรีกานต์ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
“แต่ฉันยังหวาดเสียวอยู่เลยนี่”
“แต่ถ้าคุณยังไม่ยอมลุกขึ้นมาตอนนี้ คนที่หวาดเสียวกว่าคุณ น่าจะเป็นผมมากว่านะ”
สุรีกานต์เริ่มนึกออกว่าตัวเองฟุบหน้าอยู่เกือบถึงตักของเขาก็หน้าเหวอ ตาโต ตกใจอายมาก
“บ้า ลามก คิดอะไรทะลึ่งอยู่ใช่มั้ยเนี่ย”
นฤเบศไม่พูด ได้แต่ยิ้มขำๆ ออกมา สุรีกานต์เห็นแล้วยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“นี่...หยุดยิ้มแบบนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันหักคอคุณทิ้งป่าละเมาะข้างทางแน่”
นฤเบศหันมาอมยิ้ม
“ถ้าทำลง ก็ทำเลย”
จากกำลังโกรธสุรีกานต์กลับเปลี่ยนเป็นกลั้นยิ้มแทนด้วยความเขินจัด รีบเมินหน้าหนี เปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“จริงสิ แล้วนี่เราจะเอาไงกันต่อไปดีเนี่ย”
“เราคงต้องหนีไปหาที่ตั้งหลักใหม่ เพราะไอ้ริชาร์ดมันต้องส่งคนมาตามล่าเราแบบกัดไม่ปล่อยแน่”
“หนีอีกแล้วเหรอ แล้วเราจะหนีไปที่ไหนล่ะ”
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ขอขับไปเรื่อยๆ ก่อน เดี๋ยวคงนึกออก”
“หึ รอคุณนึกออก พวกมันได้ตามมาทันก่อน”
สุรีกานต์หน้านิ่ง ครุ่นคิด จู่ๆ เหมือนนึกอะไรได้ ก็ยิ้มดีใจออกมา
“นึกออกแล้ว จอดรถ เดี๋ยวฉันจะขับเอง”
นฤเบศงงๆ นึกไม่ออกว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร
“นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นสนุกนะ คุณกำลังคิดจะทำอะไร”
“ฉันก็จะพาคุณไปในที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเราในตอนนี้ไง”
นฤเบศมองอย่างไม่ไว้ใจ สุรีกานต์ทำหน้ากวนใส่
“อ้าวคุณ จอดสิ …ไม่ให้ฉันขับ แล้วคุณรู้ทางเหรอ”
ในสำนักงานตำรวจ...ปรีติกับอัศวินกำลังนั่งวิเคราะห์หลักฐานบางอย่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ท่าทางเคร่งเครียด จ่ายมกับประเสริฐผลักประตูเข้ามาในห้องอย่างร้อนใจมาก
“แย่แล้ว บ้านกลางสวนถูกถล่ม”
อัศวินกับปรีติตกใจ
“อะไรนะ...ถูกถล่ม”
“แล้วสารวัตรกับคุณโซ่ล่ะจ่า” ปรีติกังวล
“สารวัตรกับคุณโซ่หายตัวไป ยังติดต่อไม่ได้”
ประเสริฐเอาโทรศัพท์มือถือของนฤเบศ กับสุรีกานต์วางลงบนโต๊ะ
“เราเจอแต่มือถือของทั้งคู่ในที่เกิดเหตุ”
อัศวินหน้าเครียด
“หรือว่า…สารวัตรกับคุณโซ่จะถูกพวกไอ้ริชาร์ดมันจับตัวไป”
อัศวิน ปรีติ ประเสริฐ มองหน้ากันอย่างกังวลใจ เป็นห่วงความปลอดภัยของนฤเบศกับสุรีกานต์
“แต่ผมมั่นใจว่าคนเก่งอย่างสารวัตร และคนฉลาดอย่างคุณโซ่จะต้องเอาตัวรอดได้ อีกไม่นานพวกเขาจะต้องติดต่อกลับมาแน่ๆ เชื่อจ่ายมคนนี้สิ”
จ่ายมพูดอย่างมั่นใจ ดวงตามีประกายแห่งความหวัง
สุรีกานต์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านพักสีขาว หลังเดี่ยวติดริมชายหาดอันเงียบสงบ เธอมองบ้านพักตากอากาศตรงหน้าด้วยความคิดถึง ดีใจที่ได้กลับมาอีกครั้ง นฤเบศมองอย่างแปลกใจ
“ถึงแล้วเหรอแล้วนี่คุณพาผมมาบ้านใครเนี่ย”
“บ้านฉันเอง”
“บ้านคุณ”
สุรีกานต์พยักหน้า นฤเบศขัดใจ
“โธ่เอ้ยคุณดารา รู้มั้ยเนี่ยว่าคุณทำอะไรลงไป”
“ฉันก็พาคุณมาหลบซ่อนตัว ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเราไง”
“แต่คุณทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าริชาร์ดมันสืบรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ แล้วส่งคนตามมาจัดการเราอีก ครอบครัวคุณจะเดือดร้อนไปด้วยนะ”
สุรีกานต์ได้ฟังถึงกับหัวเราะขำออกมา
“ฉันไม่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านหรอกน่า ที่นี่เป็นแค่บ้านหลังเก่าของครอบครัวฉันก่อนเราจะย้ายเข้าไปอยู่ในจังหวัด ที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้วก็ไม่มีใครรู้จักที่นี่ด้วย คุณสบายใจได้”
สุรีกานต์ลงจากรถ สุนัขพันธุ์โกลเด้นตัวหนึ่งวิ่งกระดิกหาง เห่าเสียงดังมาแต่ไกล สุรีกานต์เห็นสุนัขตัวนั้นแล้วก็ถึงกับดีใจ แปลกใจ
“เจมส์บอนด์...แกมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย”
ซันวิ่งตาม เจมส์บอนด์ออกมาจากทางหลังบ้าน เห็นสุรีกานต์แล้วก็ดีใจมาก รีบวิ่งไปหา
“อาโซ่”
“ซัน”
ซันวิ่งเข้าไปกอดสุรีกานต์ด้วยความคิดถึง สุรีกานต์ก็กอดซันไว้แน่นด้วยความคิดถึงเช่นกัน ประตูบ้านสุรีกานต์เปิดออกมา...กสิณ สายทิพย์ ดิ่ง คะนึงนิจ เดินออกมาจากบ้าน ทุกคนทั้งอึ้งทั้งแปลกใจที่เห็นสุรีกานต์กลับมาแบบเซอร์ไพรซ์ โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งยังอยู่ในสภาพนุ่งผ้าถุงกระโจมอกและพกผู้ชายแปลกหน้ามาด้วยอีกคน
“โซ่” ทุกคนตะลึง
สุรีกานต์หน้าเหวอตกใจไม่แพ้กัน ที่เห็นทุกคนในบ้านมารวมตัวกันอยู่ที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“พ่อ แม่ พี่ดิ่ง พี่นิจ ทำไมมาอยู่นี่กันครบเลยล่ะคะ”
นฤเบศทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ฉีกยิ้มกว้างให้กับทุกคน
สุรีกานต์กับสารวัตรนฤเบศนั่งหน้าเจี๋ยมเจี้ยมต่อหน้าทุกคนที่มุมโซฟาในห้องรับแขก สุรีกานต์แนะนำ
“นี่พี่เบ็ตตี้ ผู้จัดการส่วนตัวของโซ่เองค่ะ”
นฤเบศกระซิบ
“เบ็ตตี้อีกแล้วเหรอ”
สุรีกานต์กระซิบ
“เถอะน่า แล้วจะให้ฉันแนะนำคุณว่าไงล่ะ”
นฤเบศเถียงไม่ออก หันกลับมาฉีกยิ้มทักทายทุกคนตามมารยาท ยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
สายทิพย์หันมาถาม
“คุณคือคนที่เคยเป็นข่าวกับยัยโซ่ใช่มั้ยคะ”
“อ๋อ ใช่ครับ”
“งั้นคุณก็เป็น…”
สุรีกานต์รีบแทรก
“ตามข่าวเลยค่ะแม่ พี่เบ็ตตี้เป็นพี่สาวสุดเลิฟของโซ่ค่ะ”
กสิณมองดูลักษณะท่าทางของนฤเบศที่ดูบุคลิกมาดแมน ตรงข้ามกับสิ่งที่ลูกสาวบอกอย่างสิ้นเชิงก็รู้ทันทีว่าลูกสาวกำลังโกหก
“แล้วนี่ไปไงมาไง ถึงพากันมาที่นี่ได้”
สุรีกานต์ลุกไปนั่งข้างพ่อ กอดแขนอ้อน แสร้งทำเสียงน่าสงสาร
“พอดีโซ่หนีนักข่าวมาน่ะค่ะพ่อ วันนี้มีนักข่าวตามไปเฝ้าโซ่ที่กองถ่ายเพื่อขอสัมภาษณ์เรื่องนิลเต็มไปหมดเลย ได้ยินว่าวันนี้ถ้าไม่ได้ข่าวก็จะตามไปเฝ้าที่คอนโดด้วยนะคะ โซ่ไม่อยากตอบคำถามงี่เง่าพวกนั้น ก็เลยให้พี่เบ็ตตี้ขับรถพาหนีมาตั้งหลักที่นี่ก่อนน่ะค่ะ”
ดิ่งมองตาสุรีกานต์อย่างจับผิดสุดๆ
“ทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดอาบน้ำแบบนี้เนี่ยนะ”
สุรีกานต์ถึงกับชะงัก ไปต่อไม่ถูก แต่ในที่สุดก็พยายามนึกหาคำพูดเพื่อเอาตัวรอดจนได้
“ก็นี่เป็นชุดสุดท้ายที่โซ่ใส่เข้าฉากวันนี้นี่นาพี่ดิ่ง เลิกกองปุ๊บ โซ่ก็ต้องรีบออกมาทั้งแบบนี้แหละ ขืนช้าแค่นาทีเดียว มีหวังโดนนักข่าวรุมตายเลย” สุรีกานต์รีบเปลี่ยนเรื่อง “จริงสิ แล้วนี่ทำไมทุกคนถึงมาอยู่ที่นี่กันหมดเลยล่ะคะ”
คะนึงนิจพูดขึ้น
“บ้านเรากำลังต่อเติมใหม่น่ะโซ่ เลยย้ายมาอยู่ที่นี่กันก่อนชั่วคราว พี่กำลังจะโทรไปบอกโซ่อยู่พอดีเลย”
สุรีกานต์เผลอตัว
“แหม เสียดายจังเลยนะคะ ถ้าโซ่รู้ก่อนว่า…” สุรีกานต์รีบหยุดพูด
ซันแทรกขึ้น
“ว่าคุณปู่กับคุณย่าจะพาซันมาเที่ยวปิดเทอมที่นี่ อาโซ่จะได้ซื้อของเล่นมาฝากซันด้วยใช่มั้ยฮะ”
สุรีกานต์ยิ้มแย้ม
“อ๋อ ใช่จ้ะ แบบนี้ คราวหลังอาคงต้องโทรมาเช็กก่อนซะแล้ว จะได้ไม่พลาดอีก”
สายทิพย์ตัดบท
“แม่ว่าเดินทางกันมาเหนื่อยๆ โซ่พาคุณเบ็ตตี้ไปพักผ่อน อาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อสบายตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะได้มาทานข้าวเย็นกัน...เชิญตามสบายเลยนะคะคุณเบ็ตตี้”
สายทิพย์กับคะนึงนิจยิ้มต้อนรับนฤเบศอย่างมีไมตรี นฤเบศยิ้มตอบอย่างอัธยาศัยดี แต่พอเลื่อนสายตาไปเจอกสิณกับดิ่งที่กำลังจ้องมองมาตาดุๆก็ถึงกับค่อยๆ หุบยิ้มลงอย่างอัตโนมัติ สุรีกานต์เห็นปฏิกิริยาของพ่อกับพี่ชายแล้วได้แต่แอบถอนหายใจ พอจะนึกรู้ว่าทั้งสองคนกำลังคิดอะไรอยู่
เค้กมากมายถูกนำมาจัดไว้ตามซุ้มของหวานอย่างสวยงาม...ผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้ายกำลังทำเค้กอยู่บนเวที แพรไหมทำเค้กไปด้วยมองหานฤเบศในกลุ่มผู้ร่วมงานไปด้วย
“หายไปไหนเนี่ยพี่เบศ อุตส่าห์ทำเค้กวันนี้เพื่อพี่เบศแท้ๆ เลย ใจร้าย”
แพรไหมใจลอยจนเผลอเทน้ำตาลลงไปในภาชนะตีแป้งเค้กจนหมดถ้วย...เค้กห้าสูตร จากผู้เข้ารอบการแข่งขัน 5 คนที่ทำเสร็จแล้วบนเวที พิธีกรประกาศ
“และนี่ก็คือเค้กสูตรพิเศษจาก 5 พาทิซิเย่ ในวันนี้ค่า”
เสียงปรบมือดังสนั่น
“แต่เค้กสูตรไหนจะเหมาะกับวันแห่งความรักวันนี้มากที่สุด เราให้กรรม 4 ท่าน รวมถึง
ดาราเซเลบคนดังของเราร่วมลงคะแนนตัดสินกันเลยดีกว่าค่ะ” พิธีกรมองโต๊ะกรรมการเห็นกวินยังไม่มาก็ยิ้มแหะๆ “เอ่อ แค่กรรมการ 4 ท่านก่อนก็แล้วกันค่ะ”
ทีมงานนำเค้กทั้ง 5 สูตรไปเสิร์ฟให้กรรมการทั้ง 4 ท่านชิมรสชาติ กรรมการ 4 คนชูป้ายคะแนนให้เค้กที่เลือกเพียงสูตรเดียว ซึ่งคะแนนที่ออกมาคือมีกรรมการ 2 คนชูป้ายให้ช็อกโกแลต สวีท ส่วนกรรมการอีก 2 คนชูป้ายให้ไวท์เค้กของแพรไหม
“จากผลคะแนนที่ออกมา ทำให้ไวท์เค้กกับช็อกโกแลต สวีท มีคะแนนสูงสุดเท่ากัน เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราต้องการคะแนนอีกแค่คะแนนเดียวเท่านั้นค่ะ เพื่อตัดสินว่า ใครจะเป็นแชมป์พาทิซิเย่ เจ้าของผลงานเค้กสุดพิเศษต้อนรับวันแห่งความรักในวันนี้ค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงกวินดังขึ้น
“ขอโทษนะครับที่มาช้า แต่หวังว่าผมคงมาทันลงคะแนนสุดท้ายนะครับ”
ทุกคนหันไปมองตามเสียง กวินกำลังเดินตรงมาที่หน้าเวที แพรไหมตกใจและแปลกใจที่เห็นเขามาร่วมงานในฐานะกรรมการตัดสิน
“คุณวิน”
กวินยิ้มให้แพรไหม เดินตรงไปที่โต๊ะกรรมการหน้าเวที นักข่าวที่มาทำข่าวถ่ายภาพกวินกันใหญ่
แพรไหมกับองุ่นช่วยกันเก็บของเตรียมกลับบ้านอยู่หลังเวที
“เสียดายจังเลยนะคะคุณไหม อีกแค่คะแนนเดียวเท่านั้นเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถึงจะได้แค่ที่สอง ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ”
“เพราะคุณกวินแท้ๆ เลยนะคะเนี่ยที่ทำให้คุณไหมไม่ได้แชมป์”
“ตายแล้วองุ่น ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
“หรือว่าไม่จริงคะ คุณกวินน่ะใจร้าย ทำไมไม่ยอมยกคะแนนสุดท้ายให้คุณไหมก็ไม่รู้ เสียแรงที่องุ่นอุตส่าห์แอบปลื้ม”
กวินเดินมาหยุดยืนข้างหลังแพรไหม องุ่นเห็นแล้วหน้าเหวอหุบปากแทบไม่ทัน แต่แพรไหมยังไม่เห็น
“แต่ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณวินนะ เพราะถ้าฉันต้องชนะเพราะรู้จักกับกรรมการ ไม่ใช่เพราะไวท์เค้กของฉันเหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์จริงๆ ฉันก็ไม่ภูมิใจหรอก”
“ขอบคุณนะครับคุณไหม ที่เข้าใจผม”
แพรไหมตกใจรีบหันไปมองข้างหลัง
“คุณวิน”
กวินกับแพรไหมเดินคุยกันบริเวณงาน
“ที่แท้ เพราะเค้กของไหมหวานผิดคอนเซ็ปเค้กเพื่อสุขภาพที่ตัวเองโฆษณาไว้นี่เอง เลยทำให้เสียคะแนนจากคุณวินไป”
“ความจริงถ้าไม่เคยชิมไวท์เค้กรอบคัดเลือกมาก่อน ผมอาจจะไม่รู้สึกแปลกกับรสชาติใหม่ของไวท์เค้กในวันนี้ก็ได้ครับ”
“ไหมนี่แย่จริงๆ เลยนะคะ เรื่องง่ายๆแค่นี้ ทำพลาดได้ไงก็ไม่รู้”
“อย่าเพิ่งท้อนะครับคุณไหม ยังมีโอกาสหน้าให้แสดงฝีมือ เชื่อผมนะครับ”
แพรไหมยิ้ม
“ไหมไม่คิดมากหรอกค่ะ แค่อดเจ็บใจตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า เราไปหาหนังดูกันดีกว่ามั้ยครับ”
แพรไหมมองกวินเหวอๆ แอบเขิน ไม่คิดว่าเขาจะชวน
“เอ่อ คือ ถือว่าเป็นการปลอบใจเรื่องผลการตัดสินวันนี้จากผมไงครับ”
“งั้นคุณวินก็…” แพรไหมยื่นถุงใส่กล่องเค้กให้ “รับนี่ไว้แทนคำขอบคุณของไหมด้วยก็แล้วกันนะคะ”
กวินยิ้มรับกล่องเค้กไป
“ขอบนะคุณครับ”
กวินกับแพรไหมเผลอสบตากัน ยิ้มเขิน
สุรีกานต์กับนฤเบศอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วออกมาเดินเล่นคุยกันริมชายหาดยามเย็น
“ฉันว่าพ่อกับพี่ดิ่งต้องไม่เชื่อแน่ๆ เลยว่าคุณเป็นเกย์” สุรีกานต์เครียดๆ
“ถ้าพวกเขารู้ว่าผมเป็นผู้ชายจริงๆ แล้วมันจะเป็นไงเหรอ”
“ถามได้ ฉันก็จะซวยน่ะสิ คุณไม่รู้หรอกว่าพ่อกับพี่ชายฉันเป็นยังไง”
“ทำไม พวกเขาหวงคุณมากเลยเหรอ”
“อย่าเรียกว่ามากเลย เรียกว่ามากดีกว่า คิดดูเอาเองแล้วกันว่าตั้งแต่โตมาฉันยังไม่เคยพาผู้ชายคนไหนเข้าบ้านมาก่อนเลย”
“แม้แต่แฟนคุณงั้นเหรอ”
สุรีกานต์เผลอ
“แฟนเฟินที่ไหนกันล่ะ ฉันยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน”
สุรีกานต์รู้ตัวว่าหลุดถึงกับรีบหุบปากแทบไม่ทัน นฤเบศเผลออมยิ้มออกมา เมื่อได้ยินว่าเธอยังไม่เคยมีแฟน เขาแกล้งแซว
“โตจนป่านนี้แล้วเนี่ยนะ”
สุรีกานต์เหวอ เจ็บใจ
“เท่าที่รู้ คุณก็ยังไม่เคยมีเหมือนกันนี่ ชิ อายุก็ตั้งปูนนี้แล้ว”
“โอเคๆ เรื่องนี้ถือว่าเราเสมอกัน”
สุรีกานต์ประชด
“แล้วเราก็ช่างมาเจอกันจริงจริ๊ง”
“สงสัยจะเพราะโลกกลมมั้ง” นฤเบศยิ้มขำๆ
“ดูคุณอารมณ์ดีจังเลยนะ ช่วยมาเป็นทุกข์เป็นร้อนกับฉันก่อนได้มั้ย ว่าเราควรจะเอายังไงกันต่อไปดี”
“ไม่เห็นยากนี่ ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ เราสองคนก็แยกทางกัน แค่นี้ก็จบ”
สุรีกานต์ชะงัก
“แยกทาง...พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“หมายความว่าคุณก็อยู่กับครอบครัวของคุณต่อไป ผมดูแล้วที่นี่ปลอดภัยสำหรับคุณจริงๆ ส่วนผมก็จะกลับกรุงเทพ พรุ่งนี้เลย”
“แต่ริชาร์ดมันกำลังตามล่าคุณอยู่นะ ฉันว่าคุณอย่าเพิ่งกลับไปตอนนี้เลยดีกว่า มันอันตราย”
“ลืมไปแล้วเหรอไงว่าผมเป็นตำรวจ การที่เราหนีมาแบบนี้ มันเป็นแค่การหนีมาตั้งหลักเพื่อกลับไปสู้ใหม่ ไม่ใช่การหนีตลอดไปสักหน่อย”
“ฉันรู้...แต่ฉันเป็นห่วงคุณนี่ เหตุผลแค่นี้ พอจะฟังขึ้นมั้ยล่ะ”
นฤเบศถึงกับพูดไม่ออก สัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจของสุรีกานต์ ที่ส่งผ่านมาทางสายตา
กสิณยืนแอบมองนฤเบศกับสุรีกานต์ที่เดินเล่นกันอยู่ริมหาดตรงหน้าต่าง ดิ่งเดินมาหยุดยืนข้างพ่อแล้วมองตามออกไป
“พ่อกำลังคิดเหมือนผมใช่มั้ยครับ”
“แล้วแกกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ”
“ผมกำลังคิดว่าสองคนนั้น ต้องมีเรื่องปิดบังเราอยู่แน่ๆ น่ะสิครับ”
“งั้นเราก็กำลังคิดเรื่องเดียวกันอยู่”
ทันใดนั้นเสียงซันดังขึ้น
“คุณปู่กับคุณพ่อ กำลังคิดอะไรกันอยู่เหรอฮะ”
ซันโผล่เข้ามายืนแทรกกลางระหว่างพ่อกับปู่ เงยหน้ามองอย่างสงสัย กสิณกับดิ่งถึงกับทำหน้าไม่ถูก
สายทิพย์กับคะนึงนิจที่กำลังช่วยกันจัดโต๊ะอาหารเย็นอยู่บริเวณนั้น สายทิพย์มองไปที่กสิณกับดิ่งแล้วถึงกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอาออกมา
“ดูพ่อลูกคู่นั้นสิ ขนาดกับเกเก้อย่างคุณเบ็ตตี้ก็ยังไม่เว้นอีก”
คะนึงนิจมองตามสายทิพย์แล้วยิ้มขำออกมา
“แหม ก็ลูกสาวคุณแม่ทั้งสวยทั้งน่ารักซะขนาดนั้นนี่คะ จะชายแท้ชายเทียมที่ไหนก็ต้องหวงไว้ก่อนเป็นธรรมดา”
“เพราะผู้ชายบ้านนี้ เป็นกันซะอย่างนี้ไง ยัยโซ่ถึงยังไม่มีแฟนกับใครเขาเสียที”
คะนึงนิจยิ้มกริ่ม
“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ ตอนนี้อาจจะมีแล้วก็ได้”
สายทิพย์มองคะนึงนิจด้วยความสงสัย ว่าหมายความว่าไง คะนึงนิจส่งสายตาบอกสายทิพย์ว่าเธอคิดว่านฤเบศไม่ใช่เกย์ สายทิพย์ครุ่นคิดตาม
กสิณกับดิ่งเห็นนฤเบศกับสุรีกานต์เดินกลับเข้ามาในบ้าน ก็รีบสลายตัวไปนั่งที่โซฟาแล้วแสร้งทำเป็นคุยปรึกษาเรื่องงานกันทันที ซันหันไปเห็นสุรีกานต์รีบวิ่งเข้าไปหา
“อาโซ่ไปเดินเล่นมา สนุกมั้ยฮะ”
สุรีกานต์ยิ้มให้หลาน
“สนุกมากจ้ะ ที่นี่อากาศดีสุดๆ ไปเลย”
ซันเหล่มองนฤเบศ แล้วเข้าไปเบียดแทรกกลางเพื่อไม่ให้เขายืนใกล้สุรีกานต์
“คราวหลังถ้าอาโซ่จะไปเดินเล่นอีก ให้ซันไปด้วยนะฮะ ซันไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า”
นฤเบศกับสุรีกานต์มองหน้ากัน ขำซันที่ออกอาการหวงอาเหมือนพ่อกับปู่ไม่มีผิด จังหวะนั้น ดิ่งก็ทำเป็นพูดเสียงดังๆ ขึ้นมา
“ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ไปสนามยิงปืนกันเลยนะครับพ่อ”
กสิณเหล่มองนฤเบศ กระตุกยิ้มเหี้ยมมุมปาก
“นั่นสิ ว่างๆ น่าจะหาเวลาไปซ้อมมือกันซะหน่อย เผื่อมีเรื่องให้ต้องทดสอบความแม่นยำ”
นฤเบศกับสุรีกานต์มองหน้ากัน คราวนี้ต่างคนต่างขำไม่ออก
ค่ำนั้น ทุกคนนั่งรับประทานอาหารร่วมกันสายทิพย์หันมาถามนฤเบศ
“เป็นไงบ้างคะคุณเบ็ตตี้ อาหารถูกปากรึเปล่า”
สุรีกานต์กำลังตั้งหน้าตั้งตากิน ตักนั่นตักนี่ใส่จานไม่หยุดอยากกินให้เสร็จจะได้ไปจากตรงนี้เร็วๆขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังไปด้วย
“อร่อยมากครับ เห็นทีผมคงต้องขอสูตรไปทำตามบ้างแล้ว”
คะนึงนิจแปลกใจ
“ปกติคุณเบ็ตตี้ทำอาหารทานเองด้วยเหรอคะเนี่ย”
“แค่พอทำได้น่ะครับ ไม่ได้เก่งอะไร”
ดิ่งมองน้องสาวที่กินเอากินเอา
“เป็นอะไรของแกยัยโซ่ รีบกินเดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
สุรีกานต์ชะงักรู้ตัวว่าโดนจับตามองอยู่
“ก็โซ่คิดถึงอาหารฝีมือแม่นี่”
กสิณตีหน้าขรึม วางท่าน่าเกรงขาม หันไปซัก นฤเบศเสียงเข้ม
“คุณมาทำงานกับลูกสาวผมนานแล้วเหรอ”
สุรีกานต์ถึงกับหยุดตักข้าวเข้าปาก ลอบหันไปสบตากับ นฤเบศที่แอบส่งสายตามองมา
“ก็…ไม่นานเท่าไหร่ครับ”
“แล้วปกติคุณกับลูกสาวผมต้องไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”
“ครับ ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว ผมต้องคอยดูแลเธอทุกอย่าง”
“แล้วคิดว่าคุณจะทำงานกับลูกสาวผมไปอีกนานแค่ไหน”
“อันนี้ผมก็…” นฤเบศอึกอักตอบไม่ถูก
สุรีกานต์เห็นท่าไม่ดีรีบแทรกขัดจังหวะขึ้นทันที
“พอดีพี่เบ็ตตี้เขาพูดไม่เก่งน่ะค่ะ มีอะไรเดี๋ยวโซ่ตอบแทนเอง”
ดิ่งมองจับผิด
“เป็นอะไรของแกฮึยัยโซ่ เจ้าตัวเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ แล้วแกจะมาตอบคำถามแทนเขาทำไม มีอะไรคุณเบ็ตตี้เขาก็ยินดีตอบอยู่แล้ว จริงมั้ยครับ”
“ครับ ผมยินดีตอบทุกคำถาม”
สายทิพย์ขัดขึ้น
“แต่แม่ว่าเราอย่าเพิ่งมาถามตอบอะไรกันตอนนี้เลยดีกว่า มัวแต่คุยกันเดี๋ยวอาหารก็เย็นซะหมดพอดี”
อ่านต่อหน้าที่ 4
นางร้ายสายลับ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในตอนนั้น จู่ๆ สุรีกานต์ก็รู้สึกผะอืดผะอมจนต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเหมือนอยากจะอาเจียนออกมา
“เอ่อ โซ่ขอตัวก่อนนะคะ”
สุรีกานต์ รีบลุกพรวดจากที่นั่งวิ่งไปเข้าห้องน้ำ นฤเบศที่นั่งอยู่ข้างๆ ตกใจรีบลุกตามไป
“เดี๋ยวผมไปดูเธอเองครับ” นฤเบศตะโกนตามหลังสุรีกานต์ “คุณ เป็นอะไรรึเปล่า”
กสิณ ดิ่ง สายทิพย์ คะนึงนิจ เห็นอาการสุรีกานต์แล้วต่างหันมามองหน้ากันอย่างช็อกๆ
สุรีกานต์อาเจียนอยู่ที่อ่างล้างหน้า นฤเบศคอยยืนลูบหลังให้
“เป็นไงบ้างคุณ ค่อยยังชั่วรึยัง”
สุรีกานต์เงยหน้าขึ้นมา อาการค่อยยังชั่วแล้ว
“อือ ฉันโอเคแล้วล่ะ”
“จู่ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ”
“สงสัยรีบกินไปหน่อย มันเลยจุกจนขย้อนออกมา”
“ทีหลังก็ค่อยๆ กินรู้มั้ย จะได้ไม่เป็นแบบนี้อีก”
สุรีกานต์พยักหน้าหงึกหงักรับคำ นฤเบศกับสุรีกานต์เดินออกมาจากห้องน้ำ กสิณ สายทิพย์ ดิ่ง ซัน มายืนรออยู่หน้าห้องน้ำ ทุกคนมองสุรีกานต์ด้วยความเป็นห่วงและคลางแคลงใจ
“โซ่ เป็นยังบ้างลูก” สายทิพย์ถามอย่างเป็นห่วง
“โซ่ไม่เป็นไรแล้วค่ะแม่ ขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ทำให้ตกใจ พอดีว่าโซ่…”
กสิณเหลือบมองนฤเบศตาขวาง
“มีอะไรก็บอกพ่อมาตรงๆ ได้เลยนะ ไม่ต้องปิดบัง พ่อพร้อมที่จะรับฟังแกเสมอ”
ดิ่งมองหน้าสุรีกานต์
“ใช่ แกมีอะไรก็พูดออกมาให้หมดเลย ทุกคนที่นี่พร้อมจะให้อภัยแกได้ทุกเรื่อง”
คะนึงนิจยิ้มให้กำลังใจ
“พี่เองก็เป็นกำลังใจให้โซ่นะ มีอะไรโซ่ปรึกษาพี่ได้ตลอดเลย”
สุรีกานต์งงๆ
“เอ่อ นี่ทุกคนกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่เหรอคะ งงค่ะ”
สุรีกานต์ กสิณ ดิ่ง นั่งคุยกัน บรรยากาศเคร่งเครียดที่โต๊ะนั่งตรงระเบียงบ้าน กสิณถามตรงๆ
“แกกำลังท้องใช่มั้ย บอกมาซะดีๆ”
ในห้องรับแขก นฤเบศ สายทิพย์ คะนึงนิจ นั่งคุยกันบรรยากาศเคร่งเครียด
“ผมยืนยันได้ครับว่าคุณสุรีกานต์ไม่ได้ท้องจริงๆ”
สายทิพย์ไม่ค่อยเชื่อ
“แล้วทำไมยัยโซ่ถึงมีอาการเหมือนคนแพ้ท้องแบบนั้นล่ะคะ คุณเบ็ตตี้รู้ความลับอะไรของยัยโซ่ ก็บอกพวกเรามาเถอะค่ะ”
โต๊ะนั่งตรงระเบียง...สุรีกานต์ตอบคำถามพ่อกับพี่ชาย
“โซ่ไม่มีความลับอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ แล้วที่โซ่เป็นแบบนี้ ก็แค่จุกเพราะกินเร็วไปหน่อยเท่านั้นเอง”
ดิ่งมองหน้าน้องสาวอย่างคาดคั้น
“แน่ใจนะว่ากำลังพูดความจริง”
นฤเบศตอบคำถามน้ำเสียงหนักแน่น
“แน่ใจครับ แล้วอีกอย่าง ยืนยันได้เลยว่าผมกับคุณโซ่เราไม่ได้มีอะไรกันทั้งนั้น ก็อย่างที่ทุกคนรู้” เขากลั้นใจพูด “ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง”
คะนึงนิจคิดๆ
“แสดงว่าทั้งหมดก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดอย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
สุรีกานต์ตอบอย่างหนักแน่น มั่นใจ
“ใช่ค่ะ ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด สรุปก็คือว่าโซ่ไม่ได้ท้อง แล้วพี่เบ็ตตี้ก็ไม่ได้เป็นพ่อของเด็ก เพราะเราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน พ่อกับพี่ดิ่งสบายใจได้เลยค่ะ”
ดิ่งกับกสิณลอบมองตากัน ยังรู้สึกคลางแคลงใจในตัวสุรีกานต์ไม่เลิกอยู่ดี
สุรีกานต์เอาหมอนกับผ้าห่มมาให้นฤเบศที่โซฟาห้องรับแขก
“ฉันเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้”
นฤเบศรับหมอนกับผ้าห่มไปจากมือของเธอ สุรีกานต์นั่งลงข้างๆ พูดกันเบาๆ
“ทุกคนหลับกันหมดแล้วเหรอ”
“เข้านอนกันหมดแล้ว แต่จะนอนกันหลับรึเปล่ายังไม่รู้”
“ผมว่าผมเปลี่ยนใจกลับกรุงเทพ พรุ่งนี้เลยดีกว่าเดี๋ยวคุณจะเดือดร้อนไปกว่านี้”
“ไม่ได้นะคุณ รับปากแล้วห้ามคืนคำ ยังไงคุณก็ต้องหลบอยู่ที่นี่ก่อนเพื่อความปลอดภัย แล้วถ้าคุณอยากให้อะไรๆ มันดีขึ้นกว่านี้ ก็ลองพยายามทำตัวเป็นพี่เบ็ตตี้ให้มันเนียนๆ หน่อยสิ ทุกคนจะได้เลิกสงสัย”
“แค่ต้องยอมรับว่าชื่อเบ็ตตี้ ผมคิดว่ามันก็มากเกินไปแล้วนะ”
“เอาน่าคุณขำๆ เป็นพี่เบ็ตตี้ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน น่ารักออกจะตายไป” สุรีกานต์ทำท่าตุ๊ด “ใช่มั้ยฮ้า”
“ทะลึ่งใหญ่แล้วนะ ผมขอเป็นสารวัตรนฤเบศคนเดิมต่อไปดีกว่า”
มีเสียงกสิณดังแว่วมาดักคอการสนทนา
“เอ้าๆ นอนกันได้แล้วเว๊ย ดึกแล้ว มีอะไรคุยกันตอนเช้า”
สุรีกานต์กับนฤเบศมองหน้ากันขำๆ
ริชาร์ดกับพ่อเลี้ยงกำธรนั่งคุยกันอย่างเครียดๆ
“ขนาดรู้ที่อยู่ของพวกมันแล้วแท้ๆ ไอ้พวกลูกน้องเฮงซวยยังตามจับตัวพวกมันมาไม่ได้ เจ็บใจจริงๆ เลย” ริชาร์ดบ่นอย่างหัวเสีย
“แบบนี้แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะครับ ขนาดคราวก่อน ไอ้พวกตำรวจมันยังแกะรอยตามไปจนถึงโกดังของเราได้ ดีที่สามารถย้ายสินค้าออกไปได้ทัน คราวนี้ ผมเกรงว่าเราอาจจะไม่โชคดีเหมือนคราวนั้นก็ได้”
ริชาร์ดหงุดหงิด
“เรื่องนั้นผมกำลังจัดการอยู่น่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก”
“แล้วเรื่องสินค้าของเราล่ะครับ”
“ผมจะย้ายเข้าโกดังใหญ่ ก่อนที่พวกตำรวจมันจะเดินทันเกมเราอีก”
“โกดังใหญ่ หมายถึงโกดังสนามกอล์ฟเดอะเค ซิตี้ เหรอครับ”
“ใช่...” ริชาร์ดยิ้มร้าย “สิ้นเดือนนี้ยังไงเราก็ต้องส่งสินค้าตามออเดอร์ให้บริษัทของนายกวินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น โกดังของมันนั่นแหละคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับสินค้าของเราในเวลานี้”
“แต่มันยังไม่ถึงกำหนดส่งของ เราส่งไปก่อนอย่างงี้ มันจะไม่น่าสงสัยเหรอครับ”
ริชาร์ดยิ้มร้าย แววตาฉายประกายความเจ้าเล่ห์ออกมา
กวินกับมงคลนั่งอยู่ด้วยกันในห้องทำงาน มงคลยื่นเอกสารการรับมอบสินค้าให้กับกวิน
“นี่เป็นเอกสารอีกใบที่วินยังไม่ได้เซ็นให้อา สงสัยว่าคงจะลืม”
กวินรับเอกสารไปดูคร่าวๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมา
“อ๋อ ไม่ลืมหรอกครับ แต่พอดีมีข้อข้องใจหลายจุด ผมเลยอยากรอถามคุณอาดูใหม่ให้แน่ใจก่อน”
มงคลมีพิรุธนิดๆ
“ทำไม กวินมีปัญหาอะไรเหรอ”
“ผมสงสัยเรื่องยอดจำนวนออเดอร์สินค้าในเอกสารฉบับนี้น่ะครับ รู้สึกเหมือนว่ามันมียอดออเดอร์เกินมา แถมวันรับมอบสินค้าที่ระบุไว้ก็ยังไม่ตรงกับตัวสัญญาฉบับเดิมด้วย คุณอาลองดูสิครับ”
มงคลแสร้งรับเอกสารไปอ่านดู แอบขัดใจที่กวินไม่ได้โง่อย่างที่คิด
“ไม่มีอะไรหรอกน่า โปรเจกนี้อาดูแลมาตั้งแต่ต้น กวินวางใจได้ ส่วนยอดออเดอร์สินค้าที่เกินมา อาเป็นคนสั่งเพิ่มเอง เพราะเห็นว่าบริษัทของเรากำลังจะเติบโต การขยายงานก็น่าจะต้องขยับตามไปด้วย”
“แต่ผมคิดว่า…”
“อารับรองว่าสิ่งที่เราต้องจ่าย คุ้มค่ากับสิ่งที่เราจะได้รับกลับมาอย่างแน่นอน หรือว่ากวินไม่เชื่อมั่นในตัวอาซะแล้ว”
“เปล่าครับ ผมเชื่อมั่นในตัวคุณอาเสมอ”
“งั้นก็เซ็นเลยสิ นี่ก็ดึกมากแล้ววินจะได้กลับไปพักผ่อน”
กวินลังเลนิดหน่อย แต่ก็เซ็นเอกสารให้มงคลแต่โดยดี มงคลแอบยิ้มร้ายอย่างพอใจ
พ่อเลี้ยงกำธรเดินมาส่งริชาร์ดที่หน้าบ้านโดยมีบอดี้การ์ดริชาร์ด 2 คนเดินตามหลัง ริชาร์ดกำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถือออกมา
“ถึงแล้วเหรอ โอเค อีกประมาณ 15 นาทีเราเจอกัน”
ริชาร์ดวางสาย ยิ้มอย่างพอใจ
“มีนัดต่อเหรอครับ” พ่อเลี้ยงกำธรถาม
“ใช่ พอดีผมนัดเพื่อนเก่าคนหนึ่งเอาไว้น่ะ”
ริชาร์ดขึ้นรถ แล้วรถของริชาร์ดก็ขับออกไป
ค่ำนั้น อุษณะคุยกับริชาร์ดอยู่ห้องส่วนตัวในไนท์คลับแห่งหนึ่ง...อุษณะโกรธจัด
“คุณกำลังขู่ผมเหรอริชาร์ด”
ริชาร์ดตีหน้าตาย
“ใครบอก ผมกำลังขอความช่วยเหลือจากคุณอยู่ต่างหากล่ะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
อุษณะแค้นจัด แต่ไม่รู้จะทำไง
“เมื่อไหร่ผมจะหนีคุณพ้นซะที อ้ะ มีอะไรก็ว่ามา”
“ก็แค่ช่วยเซ็นชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ของผมก็เท่านั้นเอง”
อุษณะชะงัก
“เซ็นชื่อเป็นผู้ถือหุ้น”
“หลังกระจายสินค้าล็อตแรกออกไปทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว ปีหน้าผมมีโครงการที่จะเข้ามาเปิดโรงงานผลิตที่นี่อย่างเป็นทางการ ฉะนั้น เพื่อตัดปัญหาด้านการนำเข้าสินค้า ผมจึงอยากให้ธุรกิจที่มีเบื้องหน้าเป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์กีฬากอล์ฟธรรมดาๆ มีหุ้นส่วนใหญ่เป็นบุคคลมีชื่อเสียงอย่างคุณยังไงล่ะ”
“ที่แท้ คุณก็แค่อยากจะใช้ชื่อเสียงของผมเป็นเกราะกำบังความผิดจากธุรกิจผิดกฎหมายนี่เอง”
“ฉลาดนี่ ถ้าโรงงานผลิตแห่งนี้มีชื่อของคุณเป็นหนึ่งในเจ้าของ จากธุรกิจมืด มันก็จะกลายเป็นธุรกิจสะอาดที่ไม่อยู่ในความสนใจของตำรวจทันที งานของผมก็จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น แล้วคุณก็จะได้รับผลประโยชน์จากมันอย่างคุ้มค่าแน่นอน โอ.เค.มั้ยล่ะ”
อุษณะหงุดหงิด
“แล้วถ้าผมไมตกลงล่ะ”
“คุณคงไม่ตัดสินใจแบบนั้นหรอกอุษณะ เชื่อผมสิ”
ริชาร์ดยิ้มร้ายๆ ก่อนจะหยิบกล่องของขวัญมาวางต่อหน้าอุษณะ แล้วลุกเดินออกไปจากโต๊ะ อุษณะมองตามหลังริชาร์ดไปอย่างคิดหนัก ก้มลงมองกล่องของขวัญตรงหน้าแล้วหยิบขึ้นมาเปิดดู ในกล่องเป็นลูกกอล์ฟของชำร่วยที่มีรหัส 015422
แก้วดาราเดินบ่นอย่างอารมณ์เสียมากับเกี๊ยวกุ้งตามทางเดิน ไนต์คลับหรู
“คราวหลังถ้าพี่เกี๊ยวนัดให้มากินข้าวกับเสี่ยกระจอกๆ แล้วได้เงินค่าเสียเวลามาแค่นี้ แก้วไม่มาอีกแล้วนะคะ”
“ก็ไหนน้องแก้วบอกว่าอยากได้เงินด่วนไปซื้อกระเป๋าเหมือนพลอยนิลไงคะ พี่ก็จัดงานพิเศษให้แล้วไง แล้วอีกอย่าง เงินที่ได้วันนี้ ก็ซื้อกระเป๋าได้เลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก็แค่พอซื้อกระเป๋า อย่างแก้วต้องได้มากกว่านี้ค่ะ”
“สมัยก่อนเข้าวงการ เห็นได้น้อยกว่านี้ก็เคยทำ ตอนนี้จะมาบ่นทำไมคะ”
แก้วดาราวีนแตกที่ถูกตอกย้ำอดีต
“แต่ตอนนี้แก้วเป็นนางเอกดาวรุ่งที่กำลังจะดังค่ะพี่เกี๊ยวชัดมั้ยคะ ส่วนค่านายหน้าห้าหมื่นที่พี่เกี๊ยวได้จากไอ้เสี่ยนั่นมา ก็คืนแก้วมาให้หมดเลยนะคะ”
“น้องแก้ว”
“อ้อ แล้วต่อไปถ้าไม่ใช่เศรษฐีใหญ่ หรือเจ้าของธุรกิจพันล้าน พี่เกี๊ยวไม่ต้องหางานแบบนี้ให้แก้วอีกนะคะ เสียเวลา”
เกี๊ยวกุ้งแอบเจ็บใจในความเยอะของแก้วดารา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ระหว่างเดินมาแก้วดาราก็หันไปเห็นริชาร์ดที่เดินสวนมา ก็สะดุดตารู้สึกคุ้นๆหน้า
“ผู้ชายคนนี้มัน …”
แก้วดารานึกถึงอดีตที่เธอเห็นริชาร์ดโอบเอวสุรีกานต์เดินมาท่าทางสนิทสนม บอดี้การ์ดของริชาร์ดเปิดประตูรถให้ ทั้งสองคนขึ้นรถแล้วรถลีมูซีนของริชาร์ดแล่นออกไปจากลานจอดรถ แก้วดาราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป...แก้วดาราและเกี๊ยวกุ้งขับรถตามมาถ่ายรูปรถริชาร์ดที่พาสุรีกานต์มาถึงคอนโด ริชาร์ดลงจากรถแล้วโอบเอวสุรีกานต์เดินเข้าไปในคอนโดท่าทางสนิทสนม แก้วดารายิ้มอย่างสะใจ
แก้วดารานึกออก ก็ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา มองไปที่ริชาร์ดที่ท่าทางดูดี รวยมาก อย่างพอใจ เกี๊ยวกุ้งมองตามแก้วดาราว่ามองใครอยู่ แต่เป็นจังหวะที่ริชาร์ดหันหน้าไปทางอื่นพอดีเลยจำไม่ได้
“ใครเหรอคะน้องแก้ว”
แก้วดารายิ้มเจ้าเล่ห์
“แก้วก็อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าเขาเป็นใคร แล้วแก้วก็จะต้องรู้จักเข้าให้ได้ด้วย ยังไงเราแยกกันตรงนี้เลยแล้วกันนะคะพี่เกี๊ยว”
แก้วดาราบอกแล้วเธอก็รีบเดินตรงไปแกล้งชนริชาร์ดจนเกือบจะเสียหลักล้ม แต่ริชาร์ดประคองไว้ได้ทัน
“ขอโทษครับ คุณเป็นไรรึเปล่า”
แก้วดารามองหยาดเยิ้ม
“ฉันต่างหากล่ะคะที่ต้องขอโทษคุณ”
ริชาร์ดปิ๊งความสวยของแก้วดารา มองตาเชื่อม
ริชาร์ดกับแก้วดารานั่งอยู่ด้วยกันในมุมที่ดูเป็นส่วนตัวของไนท์คลับหรู ริชาร์ดชูแก้ว
“ถือเป็นการขอโทษจากผม ที่เมื่อกี้ทำให้คุณเจ็บครับ”
แก้วดารายกแก้วชนตอบ
“แก้วบอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ”
“แล้วนี่คุณแก้วดารามาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ”
“ค่ะ แล้วคุณริชาร์ดล่ะคะ ไม่ทราบว่านัดใครไว้หรือเปล่า”
“ผมมาคนเดียวเหมือนกันครับ”
แก้วดารายิ้มยั่ว
“งั้นแก้วก็มีเพื่อนคุยแล้วสิคะเนี่ย”
ริชาร์ดกับแก้วดาราสบตากันอย่างมีเลศนัย
“เอ คิดว่าผมต้องเคยเจอคุณแก้วดาราที่ไหนมาก่อนแน่ๆ เลยครับ ถึงได้รู้สึกคุ้นตาจัง”
“สงสัยจะเป็นหน้าจอทีวี หรือไม่ก็ตามปกนิตยสารต่างๆ มั้งคะ”
“คุณแก้วเป็นดาราเหรอครับ”
“สงสัยชื่อเสียงของแก้วยังดังไม่เท่าโซ่ สุรีกานต์นางร้ายชื่อดังแน่ๆ เลย คุณริชาร์ดถึงไม่รู้จักแก้ว”
ริชาร์ดแปลกใจ
“นี่คุณแก้วดารารู้จักคุณสุรีกานต์ด้วยเหรอครับ”
แก้วดาราแอบยิ้มเจ้าเล่ห์เข้าทาง
“ค่ะ แก้วกับพี่โซ่เราสนิทกันมาก ว่าแต่แล้วคุณริชาร์ดรู้จักพี่โซ่เป็นการส่วนตัวด้วยเหรอคะ”
“พอดีว่าผมกับคุณสุรีกานต์เราเป็นเพื่อนกันนะครับ แต่ช่วงนี้ผมติดต่อเธอไม่ได้เลย ไม่รู้เธอหายไปไหน”
“ไม่ใช่แค่คุณริชาร์ดหรอกค่ะที่ติดต่อพี่โซ่ไม่ได้ ช่วงนี้ใครก็ติดต่อพี่โซ่ไม่ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
“เพราะอะไรเหรอครับ”
“เพราะพี่โซ่ต้องหลบนักข่าว เรื่องข่าวฉาวน่ะสิคะ ป่านนี้ไม่รู้ไปหลบพักกายพักใจอยู่ที่ไหน แก้วล่ะสงสารจริงๆ เลยค่ะ”
“แปลว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้เลยเหรอครับว่าสุรีกานต์อยู่ไหน”
แก้วดาราจับสังเกตได้ว่าริชาร์ดดูสนใจอยากรู้มากว่า ตอนนี้สุรีกานต์อยู่ที่ไหน
“คุณริชาร์ดดูเป็นห่วงพี่โซ่จังเลยนะคะ”
“ก็ตามประสาเพื่อนน่ะครับ เห็นคุณสุรีกานต์หายตัวไป ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“เอาเป็นว่าถ้าแก้วรู้ข่าวคราวความคืบหน้าเรื่องพี่โซ่เมื่อไหร่ แล้วแก้วจะรีบบอกคุณริชาร์ดทันทีเลยนะคะ”
ริชาร์ดยิ้มพอใจมาก
“ดีเลยครับคุณแก้ว แบบนี้เห็นทีเราสองคนคงต้องเจอกันบ่อยๆ แล้วสิครับ”
ริชาร์ดกับแก้วดาราสบตายิ้มให้กันอย่างมีเลศนัย
วันใหม่...พลอยนิลนอนหลับอยู่บนเตียง เสียงออดประตูดังขึ้น เธอลืมตาตื่น หยิบนาฬิกาบนหัวเตียงมาดู หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงตรง พลอยนิลสะดุดตากับเวลาเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดประตู พี่บีสีหน้าโมโหมากเดินตามเข้ามาในห้อง แต่พลอยนิลกลับแสดงอาการไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น
“น้องนิลทำแบบนี้ได้ยังไงกันคะลืมแล้วเหรอไงว่าวันนี้น้องนิลต้องไปร่วมงานเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ของเครื่องสำอางดาเลีย”
“เมื่อคืนนิลออกไปเที่ยวกับเพื่อนมา กลับดึกไปหน่อย ก็เลยตื่นสาย นิลไม่ตั้งใจค่ะ”
“แต่พี่ย้ำแล้วย้ำอีกนะคะว่างานนี้สำคัญมาก น้องนิลเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่ของดาเลีย มาตั้ง 7 ปี ถ้าน้องนิลทำแบบนี้ แล้วเราจะมีอะไรให้เขาเชื่อถือได้อีก”
พลอยนิลหงุดหงิด
“นิลก็ขอโทษแล้วไงคะ จะเอายังไงอีก”
“พูดแบบนี้หมายความว่าน้องนิลจะไม่ไปร่วมงานเซ็นสัญญาอย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
“เวลางานเลทมาตั้งชั่วโมงแล้ว พี่บีจะให้นิลไปทำไมอีกล่ะคะ แล้วอีกอย่างถึงยังไงเครื่องสำอางอันดับหนึ่งอย่างดาเลีย ก็ต้องเลือกนิลเป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่แล้วค่ะ เพราะถ้าไม่ใช่เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงอย่างนิล ในประเทศนี้ก็ไม่มีใครเหมาะสมแล้วล่ะค่ะ”
พี่บีจ้องหน้า
“แน่ใจเหรอค่ะว่าทุกอย่างที่น้องนิลคิดคือสิ่งที่ถูกต้อง”
พลอยนิลชะงัก
“พี่บีพูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“ตอนนี้แก้วดารา กำลังถูกทาบทามให้เป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่” พี่บีถอนใจหนักๆ สุดเซ็ง “เจ้าหญิง กำลังจะตกบัลลังก์แล้ว”
พลอยนิลตกใจสุดๆที่แก้วดารากำลังจะสอยตน
บรรยากาศงาน เป็นไปอย่างคึกคัก มีเหล่าเซเลบคนดัง ดารานางแบบ รวมทั้ง กองทัพนักข่าวมากมายมาร่วมงาน นักข่าวกลุ่มใหญ่กำลังรุ่มล้อมสัมภาษณ์แก้วดาราอยู่ แก้วดาราแอ๊บใสซื่อ
“แก้วรู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ ที่ได้รับเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของดาเลีย ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยนะคะว่าแก้วจะได้รับความไว้วางใจจากทางผู้ใหญ่ให้มารับหน้าที่สำคัญแบบนี้ได้ ที่สำคัญ ถือเป็นความภูมิใจของแก้วจริงๆ ค่ะที่ได้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าแบรนด์เดียวกับพี่พลอยนิลไอดอลของแก้ว อุ๊ยตายแล้ว ไม่ใช้สิ ตอนนี้พี่นิลถูกถอดจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของดาเลีย แล้วนี่นา ต้องใช้คำว่าเคยเป็นถึงจะถูกใช่มั้ยคะ”
“การทีน้องแก้วถูกเลือกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่แทนพลอยนิลที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ของดาเลีย มาถึง 7 ปี น้องแก้วไม่กลัวมีปัญหากับรุ่นพี่อย่างพลอยนิลเหรอคะ”
แก้วดาราแอ๊บใสซื่อ
“ความจริงแก้วก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งน่ะคะ โอกาสที่ได้มาในครั้งนี้ก็เป็นเพราะมีผู้ใหญ่เอ็นดูเมตตา แก้วเชื่อค่ะ ว่าพี่นิลจะต้องเข้าใจแก้ว”
ทันใดนั้นเสียงพลอยนิลดังขึ้น
“นังตอแหล”
แก้วดาราหน้าช็อกนิดๆ เมื่อเห็นพลอยนิลกำลังเดินตรงเข้ามา หน้าตาเหวี่ยงวีนสุดๆ นักข่าวที่สัมภาษณ์แก้วดาราอยู่วงแตก รีบหันกล้องมาจับภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวพลอยนิลกันใหญ่ พี่บีเดินตามมาถึงตัวพลอยนิล พยายามรั้งแขนห้ามไว้ แต่พลอยนิลก็ไม่ฟัง
“ไปนอนกับผู้บริหารคนไหนมาล่ะ แกถึงขโมยงานนี้ไปจากฉันได้”
นักข่าวฮือฮา ส่งเสียงอื้ออึงกันใหญ่ แก้วดารารีบบีบน้ำตา ทำแอ๊บไร้เดียงสา น่าสงสาร
“ทำไมพี่นิลต้องว่าแก้วแบบนั้นด้วยล่ะคะ แก้วไม่เคยทำอะไรอย่างที่นิลพูดเลย”
“ไม่ได้ทำงั้นเหรอ เลิกแอ๊บสร้างภาพซะทีเถอะน่า มันน่าคลื่นไส้ อยากให้ฉันแฉแกตรงนี้มั้ยล่ะ ว่าก่อนเข้าวงการ แกเคยเร่ขายอะไรที่ไหนมาบ้าง”
พี่บีพยายามดึงแขนพลอยนิลให้ถอยออกมา แต่พลอยนิลสติหลุดไปแล้ว ทำยังไงก็ไม่ยอมฟัง
“น้องนิลพอเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้ เรากลับกันเถอะนะ”
พลอยนิลสะลัดแขนพี่บีออกไป เดินหน้าจะฉะแก้วดาราต่อ แก้วดาราร้องไห้
“ทำไมพี่นิลต้องปรักปรำแก้วแบบนี้ด้วยคะ พี่นิลที่แสนดีของแก้วหายไปไหนแล้ว นี่ไม่ใช้พี่นิลที่แก้วเคยรู้จักเลยสักนิด”
พลอยนิลทนความตอแหลเสแสร้งของแก้วดาราต่อไปไม่ไหว จู่โจมเข้าไปกระชากแก้วดารามาตบหน้าหัน จนเซลงไปกองกับพื้น นักข่าวรัวถ่ายภาพกันไม่หยุด เกี๊ยวกุ้งถลาเข้าไปประคองแก้วดารา
“น้องแก้ว น้องแก้วเป็นไงบ้างคะ”
“เป็นไง คราวนี้รู้จักฉันดีขึ้นรึยัง หรือถ้าเธอยังไม่รู้จักฉันดีพอ จะลองอีกทีก็ได้”
พลอยนิลจะจู่โจมเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้พี่บีรวบคว้าร่างไว้ได้ทัน พลอยนิลพยายามดิ้นรนให้ปล่อย
“หยุดได้แล้วค่ะน้องนิล กลับบ้านกับพี่เดี๋ยวนี้”
“ปล่อยนิลค่ะพี่บี วันนี้นิลจะปิดบัญชีแค้นกับมันให้จบๆ ซะทีค่ะ”
แก้วดาราก้มหน้าร้องไห้เอาฟันกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดไหล เธอหันมาเลือดกลบปากนักข่าวฮือฮาเกี๊ยวกุ้งเนียนแสร้งทำปลอบใจ
“แก้วไม่สู้พี่นิลหรอกค่ะ ถ้าพี่นิลจะตบแก้วอีก ก็ตบเลยค่ะ แก้วผิดเอง ที่มาร่วมงานวันนี้ตรงเวลา จนทำให้ผู้ใหญ่มองเห็นว่าแก้วเหมาะสมที่จะทำงานกับดาเลีย ต่อไป แก้วเข้าใจค่ะว่าที่ตรงนี้เป็นที่ของพี่นิลมาก่อน พี่นิลก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ในส่วนของแก้ว เรื่องนี้แก้วบริสุทธิ์ใจจริงๆ นะคะ”
พลอยนิลปรี๊ดแตก ที่ถูกแก้วดาราแอ๊บใสหลอกด่า สลัดตัวหลุดจากพี่บีถลาเข้าไปรัวตบแก้วดาราทันที แก้วดาราจงใจแสดงเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ตอบโต้ จึงถูกฝามือพลอยนิลฟาดเป็นรอยแดง เลือดยิ่งไหล ทุกคนรีบเข้าไปช่วยกันจับแยก จนเกิดความชุลมุนวุ่นวายไปหมด แต่ในที่สุดทุกคนก็แยกสองสาวออกจากกันได้สำเร็จ เกี๊ยวกุ้งรีบถลาไปหาแก้วดารา
“ตายแล้วน้องแก้วขา เป็นไงบ้างเนี่ย น่าสงสารน้องแก้วจังจริงมั้ยคะพี่นักข่าว น้องถูกกระทำอย่างไร้ความยุติธรรมที่สุด”
บรรดานักข่าวทั้งหลาย ต่างเอนเอียงเห็นใจแก้วดารากันหมด เพราะดูเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
“ขอกระเป๋าหน่อยค่ะพี่เกี๊ยว แก้วจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือด”
เกี๊ยวกุ้งกับแก้วดาราแอบสบตาร้ายๆ แบบรู้กัน เกี๊ยวกุ้งเอากระเป๋าของแก้วดาราซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่โพสในอินสตแกรมของพลอยนิลมายื่นให้ แก้วดาราจงใจถือโชว์ขึ้นมาให้พลอยนิลเห็นเต็มๆ ตา ทำหน้าแบ๊วไร้เดียงสา นักข่าวเห็นกระเป๋าก็ฮือฮา รีบถ่ายรูปกันใหญ่ แก้วดาราแอบยิ้มสะใจ พลอยนิลเห็นความร้ายกาจของแก้วดาราแล้วแทบคลั่ง จะเข้าไปตบอีกรอบแต่กลับถูกพี่บีลากออกไป นักข่าวส่วนหนึ่งรีบวิ่งตามพลอยนิลกับพี่บีออกไปเพื่อทำข่าวต่อ เกี๊ยวกุ้งช่วยพยุงแก้วดาราลุกขึ้นยืน เธอมองความวุ่นวายที่ตามหลังพลอยนิลไปอย่างสะใจสุดๆ
ทีมเดอะซันเดินคุยกันอย่างเครียดๆ จ่ายมเป็นห่วงนฤเบศกับสุรีกานต์
“ป่านนี้สารวัตรกับคุณโซ่จะเป็นยังไงบ้างนะ”
ปรีติหันมามองหน้า
“ไหนจ่าบอกเองว่าสารวัตรกับคุณโซ่จะต้องปลอดภัยไง”
“มันก็ใช่ แต่สารวัตรกับคุณโซ่เล่นหายเงียบ ไม่ยอมติดต่อกลับมาซะทีแบบนี้ ผมก็เริ่มชักใจคอไม่ดีขึ้นมาแล้วน่ะสิ”
“ถึงยังไง คนดีก็ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้อยู่แล้วครับ” ประเสริฐมั่นใจ
อัศวินคิดๆ
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมว่าเรารอไปอีกสักวัน ถ้าสารวัตรกับคุณโซ่ยังไม่ติดต่อกลับมาจริงๆ เราก็คงต้องทำอะไรกันสักอย่างแล้วล่ะ”
มังกรกับองอาจเดินสวนทางมาได้ยินพอดี จงใจพูดเยาะเย้ยขึ้นมา
“จะทำอะไร ก็รีบๆทำกันหน่อยนะ ก่อนที่หัวหน้าทีมเดอะซันคนเก่งจะถูกพวกแก๊งค้ายาเก็บตายไปซะก่อน”
มังกรยิ้มร้าย หัวเราะหึๆ ในลำคอ องอาจผสมโรงยิ้มตามเจ้านาย แล้วเดินจากไป ทีมเดอะซันมองตามหลังมังกรกับองอาจที่เดินจากไปด้วยความเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ปรีติฉุกคิดขึ้น พูดเบาๆกับตัวเอง
“แปลก ทำไมสารวัตรมังกรถึงรู้เรื่องที่สารวัตรนฤเบศหายตัวไป แถมมันยังรู้อีกว่าพวกที่ตามเราอยู่เป็นพวกแก๊งค้ายา”
ประเสริฐคิดตาม
“หรือว่าเรื่องที่เราสงสัยกันอยู่จะเป็นความจริง”
ทุกคนมองหน้ากัน
นฤเบศเดินหันซ้ายหันขวาอย่างมองหาใครบางคนมาตามทาง ก้มลงมองกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่อยู่ในมืออีกครั้ง ในกระดาษเขียนด้วยลายมือแบบเด็กๆ ว่า ออกมาเจอกันหลังบ้าน มีเรื่องต้องเคลีย
“อยู่ไหนเนี่ยคุณดารา ชอบเล่นอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่เรื่อยเลย”
นฤเบศส่ายหัว หันหลังจะเดินกลับเมื่อไม่เจอสุรีกานต์ แต่กลับเจอซันที่มายืนดักหน้า ถือปืนของเล่นสีฉูดฉาด วางมาดน่าเกรงขาม
“หยุดนะ นี่คือตำรวจ”
นฤเบศงงๆ ไม่เข้าใจว่าซันกำลังเล่นอะไรอยู่
“เจมส์บอนด์รีบไปคุมตัวคนร้ายไว้เร็วเข้า”
เจมส์บอนด์รีบวิ่งมาหาซันตามคำสั่ง เห่าโฮ่งๆ ใส่ นฤเบศยกสองมือขึ้นยอมแพ้
“โอเคๆ ยอมแล้ว”
“อากำลังคิดอะไรกับอาโซ่อยู่ สารภาพความจริงมาซะดีๆ”
นฤเบศชะงัก
“เอ่อ อาเปล่านะ”
ซันยกปืนของเล่นขู่
“โกหก งั้นคงต้องคุมตัวไปสอบสวนเดี๋ยวนี้”
ซันเข้าไปประชิดตัวนฤเบศแล้วเอากุญแจมือของเล่นมาล็อกมือเขาเอาไว้
“อย่าขยับนะ ไม่งั้นผมยิงแน่”
“ตำรวจไม่ได้ยิงใครง่ายๆ หรอกหนุ่มน้อย”
“แต่ถ้าเจอคนไม่ดี ตำรวจก็ต้องยิงไม่ใช่เหรอ”
“ตำรวจจะยิงคนร้ายต่อเมื่อถูกโต้ตอบกลับเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ถ้าเลี่ยงการปะทะได้เราก็จะทำทันที”
กสิณกับดิ่งที่ยืนแอบมองสังเกตการณ์อยู่มุมหนึ่งในบริเวณนั้น กสิณกระซิบดิ่ง
“พูดจายังกับเป็นตำรวจ”
“นั่นน่ะสิครับ ท่าทางก็เหมือนถ้าหมอนี่เป็นตำรวจจริงๆ แล้วไปเกี่ยวกับยัยโซ่ของเราได้ยังไงครับพ่อ”
จบตอนที่ 11