xs
xsm
sm
md
lg

กุหลาบไฟ ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กุหลาบไฟ ตอนที่ 3 
นาถสุดาอายๆ
“ชิตเป็นคนที่ค่อนข้างมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ขยัน แล้วเราก็เข้ากันได้ดีค่ะ”
นาถสุดาหยิบทิชชู่ขึ้นมาซับหน้าให้ชูชิตอย่างอ่อนหวาน นักข่าวพยักหน้าซุบซิบกันถึงความน่าอิจฉาของคู่รักคู่ใหม่ ทั้งคู่สบตากับชูชิตอย่างพอใจในผลงาน สุทธิพงษ์ค่อยๆ แฝงมาในกลุ่มนักข่าว แต่นาถสุดากับชูชิตไม่ทันสังเกตเห็น

ธีรธรเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องวงทอง พร้อมถุงของกินของบำรุงมากมาย
“หายไปไหนมาตั้งนานคะพี่ธี นิ่มต้องโทรตามตั้งหลายรอบ” นิ่มนวลหันมาถาม
“พี่ก็ออกไปหาซื้อของบำรุงให้คุณแม่ไง”
วงทองได้ยินเสียงลูกชายก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
“พ่อธี...มาแล้วเหรอลูก”
ธีรธรเดินเข้าไปหาแม่
“ผมไปหาซื้อของอร่อยๆ มาให้คุณแม่ทานครับ กลัวคุณแม่ตื่นขึ้นมาแล้วจะหิว”
“แม่ฝันร้าย...ฝันว่ามีผู้ชายตัวโตกำลังทำร้ายลูก”
ธีรธรอึ้งที่แม่ มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำมาก
“แค่ความฝันน่ะครับคุณแม่ ผมอยู่ตรงนี้แล้วไงครับ”
วงทองเอามือลูบหน้าลูกชายด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ
“พ่อธี อย่าเป็นอะไรไปก่อนแม่นะลูก แม่รู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน พ่อธีอย่าให้แม่ต้องใจสลายก่อนตายอีกครั้งเลยนะลูกนะ”
ธีรธรจับมือแม่มาหอมแล้วเอามากุมไว้
“อย่าคิดมากสิครับคุณแม่ ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกครับ”
ธีรธรกับแม่กอดกันอย่างซาบซึ้ง นิ่มนวลมองแม่ลูกกอดกันแล้วอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

ชูชิตยืนกอดกับนาถสุดาให้นักข่าวรุมถ่ายรูปอย่างเต็มที่
“หวานกันขนาดนี้จะมีข่าวดีเมื่อไหร่ครับ”
“คงอีกพักใหญ่ๆ เลยค่ะ ถ้ามีข่าวดีเมื่อไหร่ นาถคงต้องรบกวนเชิญพี่ๆ ทุกคนอีกครั้งนะคะ”
“แล้วจริงหรือเปล่าครับที่ว่าคุณชูชิตยังไม่เลิกกับแฟนเก่า ที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม”
ชูชิตกับนาถสุดาถึงกับตะลึงกับเสียงที่ถามขึ้น นักข่าวทั้งหมดหันมาซุบซิบกันเสียงเซ็งแซ่
“ไอ้พงษ์” ชูชิตพูดเบาๆ
นาถสุดาหันไปส่งสายตาให้เทพอย่างรู้กัน
“ทำไมไม่ตอบล่ะครับคุณชูชิต หรือว่าต้องให้ผมเอ่ยชื่อถึงจะนึกออก”
เทพค่อยๆ หลบฉากหายไปจากข้างเวที ชูชิตอึกอัก นักข่าวทั้งหมดเริ่มฮือฮา ก่อนที่ชูชิตจะตอบ เทพก็เข้ามาล็อคตัวสุทธิพงษ์จากข้างหลัง
“เฮ้ย อะไรวะ ปล่อยนะ”
เทพเอาปืนจี้หลังสุทธิพงษ์ไว้
“ถ้าแกพูดอีกคำเดียว หลังเป็นรูแน่”
กลุ่มนักข่าวแตกฮือที่เห็นเทพ ใช้กำลังล็อคตัวสุทธิพงษ์ดึงออกไป
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ น้องชายผมสติไม่ค่อยดี”
สุทธิพงษ์ตัวแข็งนิ่งไม่กล้าโวยวายอะไรต่อ เทพดึงสุทธิพงษ์ออกจากวงนักข่าวไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคน

จ่านิดนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอฟังอาการไศลากับดารณี แทนธีรธรที่หน้าห้องฉุกเฉิน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
“คุณหมอยังไม่ออกมาเลยครับผู้กอง”
หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพอดี
“คุณหมอออกมาแล้วครับผู้กอง แค่นี้ก่อนนะครับผม”
“ญาติคุณดารณี ศรีเวียงวังครับ” หมอร้องถาม
“ผมเองครับคุณหมอ” จ่านิดเดินเข้าไปหา
ผู้ช่วยพยาบาลเข็นเตียงดารณีที่คลุมหน้าออกมา
“หมอต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว”
จ่านิดสลด
“แล้วคุณไศลาล่ะครับ”
หมอหนักใจ
“ตอนนี้อาการยังน่าเป็นห่วงอยู่นะครับ”

กลางป่าใหญ่...ไศลานั่งสมาธิอยู่ตรงหน้านักพรตเมฆขาว ไม่นานนักเธอก็ลืมตาขึ้น แล้วถอนหายใจ ไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้ จึงลุกขึ้น แต่นักพรตเมฆขาวยกไม้เท้าขึ้นมากดที่บ่าของไศลา
“ใจที่ไม่สงบ ไปแห่งใดก็ไม่สงบ”
“ไหนหลวงปู่บอกว่าจะสอนวิชาให้ไศไงคะ”
“ข้าก็กำลังสอนให้อยู่นี่ไง”
“แต่ไศหมายถึงวิชาต่อสู้เหมือนครั้งก่อนๆ ที่หลวงปู่เคยสอนไงคะ”
“ไศลา การเรียนรู้วิชา มันต้องใช้เวลา”
“แต่หลวงปู่บอกไศคือผู้ที่ถูกเลือก”
“เอมา...ผู้ที่ถูกเลือก ไม่ใช่ผู้ที่เป็นเลิศ เจ้ามีเพียงคุณสมบัติ แต่ยังไม่มีวิชา และก่อนที่เจ้าจะมีวิชาเจ้าต้องมีการเรียนรู้”
“แล้วไศจะเริ่มเรียนได้เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อใจเจ้าหมดความอาฆาต หมดความพยาบาท”
“ไศจะไม่มีทางลืมว่าพวกมันทำอะไร กับไศและดาไว้บ้าง”
“เอมา...ตาต่อตา ฟันต่อฟันไม่ใช่ทางจบปัญหา ถ้าเจ้าคิดแบบนั้น เจ้าก็จะวนเวียนฆ่ากันอยู่ไม่รู้จบสิ้น เจ้าก็จะต้องเจอความสูญเสียไปทุกชาติ เจ้าอยากเสียใจแบบนี้ไปทุกชาติหรือ”
ไศลาอึ้งไป

เทพเดินเอาปืนจี้หลังสุทธิพงษ์มาจนถึงรถตู้ สุทธิพงษ์ทำเป็นจะขึ้นรถตู้แต่หันหลังมาถีบเทพ แล้วออกตัววิ่งหนี เทพวิ่งตาม คว้าไหล่ของสุทธิพงษ์ไว้ได้ทันแล้วกระชากให้หันหลังมาก่อนจะซัดด้วยกำปั้นเต็มเหนี่ยว สุทธิพงษ์ล้มเซไปตามแรงหมัด แต่ยังลุกขึ้นมาวิ่งหนีได้ต่อแล้วไปซุ่มแอบอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน
สุทธิพงษ์หยิบไม้มารอดักตีเทพที่กำลังจะผ่านมา เทพวิ่งมาถึงเห็นเงาที่พื้น ทำให้สามารถป้องกันการซุ่มตีของสุทธิพงษ์ได้ จึงสวนเข้าอีกหมัดจนสุทธิพงษ์ปลิวไปโดนเก้าอี้ที่ร้านเรียงเก็บไว้ แต่ก็คว้าเก้าอี้ขึ้นมาเงื้อจะฟาดใส่ เทพเอามือมารับเก้าอี้จากสุทธิพงษ์ได้แบบหมูๆ ก่อนจะใช้เก้าอี้ตัวนั้นกระแทกสุทธิพงษ์ให้ล้มลงไปกับพื้น แล้วจะฟาดซ้ำ เสียงชูชิตดังขึ้น
“พอได้แล้วเทพ”
เทพหันไปมองต้นเสียงเห็นเป็นชูชิตกับนาถสุดาเดินมา ก็โยนเก้าอี้ลงกับพื้น เฉียดสุทธิพงษ์ที่นอนอยู่นิดเดียว นาถสุดาเดินเอาส้นรองเท้าส้นสูงเหยียบลงไปที่ตัวของสุทธิพงษ์อย่างเลือดเย็น สุทธิพงษ์ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
“บอกฉันมาซิว่าอะไรทำให้แกกล้ามาทำกับฉันแบบนี้”
ชูชิตเข้าไปดึงตัวนาถสุดาออก
“นาถสุดา เรื่องนี้ขอผมจัดการเองดีกว่า”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าไอ้เด็กนี่เป็นน้องเมียของนาย พูดตรงๆ นะชูชิต นายต้องหัดดูแลคนของนายให้ดีกว่านี้”
“พูดแบบนี้มันไม่ถือว่าล้ำเส้นกันไปหน่อยเหรอ”
“เทพ”
เทพเอาโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายคลิปเก็บไว้ให้ชูชิตดู เป็นคลิปที่ถ่ายตอนเทพซ้อมสุทธิพงษ์อย่างหนักเพื่อเค้นเอาคำตอบว่าทำไมถึงกล้าทำแบบนี้ สุทธิพงษ์ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอย่างสาหัสก่อนจะยอมสารภาพออกมา
“โอ๊ย...พี่อรจ้างผมมา อย่าทำผมเลย ผมยอมแล้ว โอ๊ย”
ชูชิตดูคลิปเสร็จแล้วถึงกับพูดไม่ออก
“แบบนี้ต่างหากที่ควรจะเรียกว่าล้ำเส้น” นาถสุดามองชูชิตอย่างหงุดหงิด

กลางป่าใหญ่...ในที่สุดไศลาก็สงบใจนั่งสมาธิได้สำเร็จ ในนิมิตเธอเห็นพ่อ แม่ ดารณียืนกอดกันส่งยิ้มมาให้ไศลาอย่างมีความสุข ไศลานั่งสมาธิน้ำตาอาบแก้มอย่างเป็นสุข
“เอมา...ได้เวลากลับสู่โลกความเป็นจริงของเจ้าแล้ว”
ไศลาตื่นสะดุ้งพรวดขึ้นมาที่บนเตียง เหมือนจะอยู่ในโรงพยาบาล แต่พอเธอมองไปรอบๆ มันยังคงเป็นป่าอยู่ เตียงโรงพยาบาลตั้งอยู่ในป่า ชุดที่เธอใส่ ก็เป็นชุดของโรงพยาบาล ไศลาสับสน เธอมึนงง ตามลำพัง ว่านี่เธออยู่ระหว่างโลกของความฝันหรือความจริงกันแน่

ในห้องพักวงทอง ธีรธรอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อย่างหงุดหงิดกังวลใจ ขณะที่นิ่มนวลนั่งปอกผลไม้อย่างสบายใจ ครู่หนึ่งธีรธรรับโทรศัพท์เครื่องที่เปิดสั่นไว้
“ไศลา ปลอดภัย ปลอดภัยแล้วเหรอจ่า ขอบคุณมากนะที่ส่งข่าว”
ธีรธรวางสายแล้วอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ สีหน้าดีขึ้นจนนิ่มนวลที่เหลือบมองแปลกใจ

ชูชิตกลับมาบ้านด้วยอาการโมโห อรชรดีใจ รีบเอาน้ำส้มออกมาต้อนรับ
“พี่ชิตกลับมาแล้ว อรคั้นน้ำส้มแช่เย็นเจี๊ยบไว้ให้ ดื่มหน่อย นะคะจะได้ชื่นใจ”
ชูชิตปัดแก้วน้ำส้มกระเด็นแตกกระจาย
“อะไรกันพี่ชิต ทำไมต้องทำกันแบบนี้ด้วย”
ชูชิตขึ้นเสียง
“ยังจะกล้าถามอีกเหรอ วันนี้เธอไปก่อเรื่องอะไรไว้”
อรชรทำหน้าตาย
“พี่ชิตพูดอะไร อรไม่รู้เรื่อง”
เทพเดินประคองสุทธิพงษ์เข้ามาในบ้าน แล้วเดินออกไป อรชรตะลึงเมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมของน้องชาย
“เธอให้พงษ์ไปป่วนงานแถลงข่าววันนี้ใช่มั้ย”
“ไม่จริง อรไม่รู้เรื่อง”
ชูชิตเดินเข้าไปตบหน้าอรชรฉาดใหญ่
“นี่พี่ชิตกล้าตบอรเหรอ” อรชรตกใจน้ำตาคลอ
“มากกว่านี้ฉันก็ทำได้ ฉันจะบอกเป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้าจะอยู่ที่นี่ อย่าเรื่องมาก อย่าสร้างปัญหา ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ ก็ขนของออกไปได้เลย”
อรชรเข้ามากอดชูชิตแล้วร้องไห้
“อรขอโทษ ต่อไปอรจะไม่ทำให้พี่ชิตไม่สบายใจอีก พี่ชิตยกโทษให้อรนะคะ”
ชูชิตผลักอรชรออกแล้วเดินขึ้นไปข้างบน อรชรหยุดร้องไห้แล้วหันมาเอานิ้วชี้ที่หน้าผากของสุทธิพงษ์
“ฉันไม่น่าไว้ใจน้องโง่ๆ อย่างแกเลย”
อรชรเดินสะบัดขึ้นไปข้างบนอย่างไม่สนใจสุทธิพงษ์ ที่ยังนอนโอดโอยอยู่ที่พื้น

เช้าวันใหม่...ธีรธรมาเยี่ยมไศลาพร้อมอาหารและผลไม้หลายอย่าง จ่านิดนอนหลับเฝ้าอยู่ ไศลาก็ยังไม่ตื่น
“จ่า...จ่า...” ธีรธรเข้าไปปลุก
จ่านิดงัวเงียลุกขึ้นมายืนตรงทำความเคารพ ธีรธรจุ๊ปาก
“ไม่ต้องก็ได้จ่า เบาๆ หน่อย เดี๋ยวไศลาตื่น”
ธีรธรยื่นถุงโจ๊กให้
“ผมซื้อโจ๊กมาฝาก จ่ากลับบ้านไปพักเถอะ เดี๋ยวต้องไปทำงานอีก เลิกงานแล้วค่อยมาก็ได้”
“แล้วผู้กองจะไหวเหรอครับ กลางคืนก็ต้องเฝ้าคุณแม่”
“ผมไม่เป็นไรหรอก แล้วอาการไศลาเป็นไงบ้าง”
“หมอบอกว่าฟื้นตัวไวมากจนน่าตกใจ แผลที่ช้ำในก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ”
ธีรธรพยักหน้าโล่งใจ
“ผมขอตัวก่อนนะครับผู้กอง”
ธีรธรตบไหล่จ่านิด
“ขอบใจมากนะจ่า”
จ่านิดเดินออกจากห้องไป ธีรธรเดินไปที่เตียง เอามือลูบหัวไศลาด้วยความเห็นใจและสงสาร
พยาบาลเคาะประตูเอาอาหารเช้าและยาหลังอาหารมาให้ แล้วออกไป ไศลาเริ่มรู้สึกตัว ลืมตาตื่นขึ้นมา...
“ตื่นแล้วเหรอคุณ เป็นไงบ้าง” ธีรธรยิ้มให้
ตาไศลามองไปรอบๆ ห้องอย่างงงๆ
“นี่กลับมาที่โรงพยาบาลแล้วเหรอ” ไศลาเสียงแห้ง
“อะไรนะคุณ”
“หิวน้ำ ขอน้ำกินหน่อย”
ธีรธรรีบกุลีกุจอเทน้ำใส่แก้วใส่หลอดป้อนให้ ไศลารับน้ำไปดื่มนิดเดียวก็วาง
“หิวมั้ยคุณ ข้าวมาแล้วนะ หรือจะทานโจ๊ก ผมซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยมาฝาก ยังร้อนๆ อยู่เลย”
ไศลาส่ายหน้าเศร้าๆ
“ยังไงก็ต้องทานสักหน่อย คุณมียาหลังอาหารด้วยนะ เอาเป็นโจ๊กละกันเนอะ”
ธีรธรลุกขึ้นไปเตรียมเทโจ๊กใส่ถุง จัดปาท่องโก๋ใส่จาน
“ตอนนี้ดาอยู่ที่ไหน”
ธีรธรชะงักไป ไม่รู้จะบอกไศลาว่ายังไงดี เขายกโจ๊กมาเสิร์ฟ
“ผมว่าคุณรีบทานโจ๊กก่อนดีกว่า เดี๋ยวมันจะเย็นซะหมด”
ไศลาน้ำตาไหล
“คุณไม่ต้องพยายามช่วยฉันหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่าตอนนี้...ศพดาอยู่ที่ไหน”

เสริมพงษ์ ธีรธร และจ่านิดนั่งคุยกันอย่างเคร่งเครียด
“เหลือเชื่อจริงๆ นะครับ พี่น้องท้องเดียวกันแท้ๆ แยกออกเป็นสองฝ่ายเพราะผู้ชายคนเดียว” จ่านิดว่า
เสริมพงษ์ส่งสายตาปรามๆ จ่านิดรู้ตัวจ๋อยลงไป
“แล้วเรื่องสืบคนร้ายที่ยิงดารณีไปถึงไหนแล้ว”
“สายรายงานว่าสองคนที่เหลือชื่อเทพกับคง เป็นบอดี้การ์ดที่อยู่กับนายชูชิตตลอดเวลา” ธีรธรรายงาน
“ถ้าอย่างนั้นผู้กองกับจ่าไปหาหลักฐานมา ถ้าหลักฐานพร้อม จะได้เข้าจับกุมกันเลย”
“ครับผม” ธีรธรกับจ่านิด รับคำ
“ดูหนังสือพิมพ์วันนี้กันหรือยัง”
ธีรธรสงสัย
“ยังไม่ได้อ่านเลยครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เสริมพงษ์หยิบหนังสือพิมพ์ ยื่นให้ทั้งคู่อ่าน
“เปิดตัวคู่รักข้าวใหม่ปลามัน นาถสุดา ชิดชนก นางเอกซุปตาร์กับหนุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ชูชิต เชิดชัยชาญ...”

นาถสุดาแต่งหน้ารอเข้าฉากอยู่ในกองถ่าย บุ้งกี๋ ช่างแต่งหน้าที่แต่งหน้าให้เสร็จ ดูความเรียบร้อยให้ชวนคุยไปด้วย
“ตั้งแต่คุณน้องนาถเปิดตัวคุณแฟนไปเนี่ย ผิวพรรณคุณน้องดูจะเปล่งเด้งปั๋งขึ้นมาอีกนะคะ”
“แหม พี่บุ้งกี๋ก็ มันก็ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ” พูดไปอย่างนั้น แต่นาถสุดาก็ยิ้มพอใจกับคำชม
“โอ๊ย...ใครเขาก็เมาท์กันว่าคุณแฟนของน้องแซ่บเว่อร์”
เด็กกองถือดอกลิลลี่ขาวช่อโตเดินตรงมาหานาถสุดา
“ดอกไม้ของคุณนาถครับ”
บุ้งกี๋กรี๊ดด้วยความอิจฉา นาถสุดาหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน แต่โดนบุ้งกี๋แย่งไปอ่านเสียงดัง
“คิดถึงนะครับ จาก ผู้ชายของคุณ...หวานได้อีกนะคะ”

อรชรอ่านหนังสือพิมพ์แล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยความโกรธ
“ไหนว่าแค่สร้างภาพให้ดูดีขึ้น ทำไมมันต้องออกมาหวานขนาดนี้ด้วย”
ชูชิตฟังแล้วอ่อนใจ กดรีโมทปิดทีวีแล้วลุกขึ้น
“แล้วนี่พี่ชิตจะไปไหน อรจะไปด้วย”
“ขอร้องล่ะอร พี่อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง” ชูชิตเซ็ง
“แล้วเวลาที่อยู่กับอรมันไม่ส่วนตัวตรงไหน”
ชูชิตส่ายหัวอย่างสุดหน่าย เร่งเท้าเดินหนีไป อรชรจะตามเซ้าซี้แต่พอดีโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์
“พี่ไศลา”
อรชรตกใจ แต่จำใจรับสาย
“พี่ไศลามีอะไร”
“อร ดาเสียแล้วนะ”
อรชรช็อคเข่าอ่อนค่อยๆ ทรุดกองลงไปกับพื้น

นาถสุดาไปที่คอนโดหรูกลางกรุงแห่งหนึ่ง...เมื่อเข้าไปที่ห้องหนึ่ง พบว่าในห้องถูกตกแต่งด้วยดอกลิลลี่ขาวเต็มไปหมด ผู้ชายคนหนึ่งใส่สูทยืนหันหลังมองวิวยอดตึกกรุงเทพในยามราตรี เธอเดินเข้าไปกอดชายคนนั้นจากด้านหลัง ชายคนนั้นหันมาคือ...ดุลยศักดิ์ ทั้งคู่ควงแขนดุลยศักดิ์ไปที่โต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้พร้อมแล้ว
“ฉันให้เขาทำแต่ของที่เธอชอบทั้งนั้นเลยนะ”
นาถสุดาหอมแก้มดุลยศักดิ์แทนคำขอบคุณ เขาเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งอย่างสุภาพบุรุษ
“แล้วที่เรียกนาถมาวันนี้ มีอะไรอยากให้นาถช่วยหรือเปล่าคะ”
ดุลยศักดิ์ยกแก้วไวน์ ชนกับแก้วไวน์ของนาถสุดา
“แค่อยากเลี้ยงขอบคุณที่เธออุตส่าห์เอาชื่อเสียงตัวเองมาช่วยชูชิตไว้”
นาถสุดาส่งสายตาหวาน
“มากกว่านี้นาถก็ทำให้ได้ค่ะ นาถไม่เคยลืมว่าที่นาถมีวันนี้ได้...เพราะท่าน”
“ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ติดอยู่เรื่องเดียว...”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“ตำรวจกันตัวนังไศลาไว้เป็นพยาน ทำให้เข้าไปจัดการมันได้ยาก เธอมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้มั้ย”
นาถสุดาจิบไวน์อย่างใช้ความคิด
“เข้าไปหาไม่ได้ ก็บีบให้มันออกมาหาเราสิคะ”

งานศพคืนแรกของดารณี คนมาร่วมงานที่วัดบางตามาก เสริมพงษ์ซึ่งรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน เดินเข้ามาหาไศลาที่ยืนรับแขกอยู่
“เสียใจด้วยนะคุณไศลา ทางเรากำลังพยายามจับตัวคนร้าย มาให้ได้เร็วที่สุดนะ”
ไศลาไหว้
“ขอบพระคุณค่ะ แต่ไศทำใจแล้วว่าคนพวกนี้กฎหมายทำอะไรมันไม่ได้หรอกค่ะ”
“อย่าพูดอย่างนั้น เราต้องศรัทธาในความถูกต้อง”
“แต่ก่อนไศก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่กับเศษมนุษย์พวกนี้ วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันอาจจะเหมาะมากกว่าก็ได้”
“คุณเลือกเป็นพยานให้เรา เพราะคุณไม่ต้องการให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีกไม่ใช่เหรอ ผมอยากให้คุณเชื่อมั่นในความดีอย่างที่คุณเคยเชื่อ ความดีเท่านั้นที่จะคุ้มครองคุณได้”
ไศลายกมือไหว้ขอบคุณเสริมพงษ์ แต่แววตายังคงกร้าวไปด้วยไฟแห่งความแค้น

อรชรกับสุทธิพงษ์ขับรถเข้ามาจอดในวัด สุทธิพงษ์หันไปเห็นธีรธรที่กำลังยืนคุยกับจ่านิดอยู่หน้าศาลา เขาจึงดึงแขนพี่สาวที่กำลังจะลงจากรถไว้
“พี่อร อย่าเข้าไปเลย เรากลับกันเถอะ”
“นี่แกจะบ้าหรือเปล่าพงษ์ มาจนถึงนี่แล้ว จะไม่เข้าไปได้ยังไง”
“ก็ค่อยมาอีกทีพรุ่งนี้ก็ได้ ยังไงๆ วันนี้พงษ์ไม่ยอมเข้าไปแน่”
“มีอะไรอีกล่ะ”
สุทธิพงษ์ชี้ไปที่ธีรธร
“คนนั้นเป็นตำรวจ เคยจับพงษ์ได้ทีนึงตอนไปซื้อยาหน้าปากซอย แล้ววันก่อนยังไปดักรอที่บ้านอีก ขืนพงษ์เข้าไปก็โดนจับน่ะสิ”
อรชรมองธีรธรอย่างคุ้นตา
“นึกออกแล้ว นั่นมันแฟนใหม่พี่ไศลานี่”
“ยังไงพงษ์ก็ไม่เข้าไปหรอก พี่อรจะเข้าก็เข้าไปคนเดียว”
“ไม่เอา ฉันก็ไม่อยากเข้าไปเจอพี่ไศลาคนเดียวเหมือนกัน”
อรชรตัดสินใจถอยรถแล้วขับออกไปจากวัด

ไศลานั่งฟังพระสวดอยู่ มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ โทรเข้า เธอจึงกดรับ...
“สวัสดีค่ะคุณไศลา ฉันนาถนะคะ เป็นแฟนของชูชิต”
ไศลาอึ้งไป แต่พยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไร ถ้าจะมาถามเรื่องชูชิตล่ะก็ ฉันไม่มีอะไรจะคุยด้วย”
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะบอกว่าการที่ชิตต้องมาเลี้ยงดูน้องแท้ๆ ของเธอตั้งสองคนแบบนี้ ฉันไม่โอเค”
“แล้วจะเอายังไง”
“เอาเป็นว่าถ้าเธอยังอยากได้น้องกลับไปแบบที่ยังมีลมหายใจอยู่ พรุ่งนี้เช้าก็มาหาฉันที่บ้านชูชิต แต่ถ้าไม่มา ฉันจะช่วยหั่นน้องเธอให้เป็นชิ้นๆ แล้วไปส่งให้ถึงหน้าบ้านเลยดีมั้ย”
นาถสุดาหัวเราะสะใจ ไศลาวางสายโกรธจัด

ธีรธรขับรถมาส่งไศลาที่บ้านของเขา แล้วบอกอย่างเป็นห่วง...
“เดี๋ยวผมต้องกลับไปเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาล คุณอยู่บ้านคนเดียว ระวังตัวด้วยนะ”
“ขอบคุณมากนะคะ คุณไม่น่าต้องมาเหนื่อยเพราะฉันแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมเต็มใจทำ”
ธีรธรกับไศลามองตากันด้วยความซึ้งใจ แรงดึงดูดของทั้งคู่ดึงดูดตัวของทั้งคู่เข้าหากันเรื่อยๆ อีกครั้ง ธีรธรตั้งสติได้ แยกตัวออกทันธีรธร
“คุณก็รีบเข้านอนนะ เหนื่อยมามากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
ไศลาพยักหน้าแล้วจะลงจากรถ ธีรธรโน้มตัวไปใกล้
“เดี๋ยวก่อน ไศลา”
ไศลาหันมาหาธีรธรโดยที่ไม่รู้ว่าเขาโน้มตัวมา จมูกของทั้งคู่เฉี่ยวกันโดยบังเอิญ ต่างคนต่างเขิน
“ผมสั่งหนังสือมาให้คุณ คิดว่าคุณคงจะสนใจ”
ธีรธรหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากเบาะหลังยื่นให้ หน้าปกหนังสือเขียนว่า “พลังจักระที่ 6” ไศลาอ่านชื่อเล่มแล้วยิ้มออก
“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ ที่คุณไม่คิดว่าฉันเป็นบ้า”
“ผมพร้อมที่จะเข้าใจคุณทุกเรื่องนะ”
ทั้งคู่จ้องตากันอย่างอ่อนหวาน
“ขับรถดีๆ นะคะ”
“พรุ่งนี้เจอกันครับ”
ไศลาลงจากรถแล้วยืนมองส่งธีรธรขับรถออกไป

ชูชิตนั่งกินเหล้ากึ่มอยู่คนเดียวที่บาร์แห่งหนึ่ง บรรยากาศในร้านเงียบๆ เพลงอกหักเปิดคลอเบาๆ
เขาถอนใจอย่างเศร้าๆ หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดูรูปคู่ของตัวเองกับไศลาที่ถ่ายด้วยกันตอนหวานชื่น
ชูชิตเอานิ้วลูบที่ใบหน้าของไศลาในรูปด้วยความคิดถึง แล้วร้องเพลงคลอตามเบาๆ
“ฉันเคยบอกกับเธอหรือยัง...ว่าเธอมีความหมายเพียงใด กับคนที่ใจมันด้านชา”
ชูชิตยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมดไล่ความเศร้า
“น้อง ต่ออีกแก้ว”
“ขอโทษครับ ตีสองร้านปิดแล้วครับพี่”
ชูชิตถอนใจเฮือกอย่างเซ็งจัด

ชูชิตเดินออกจากร้าน เดินเซๆ มาที่รถที่จอดไว้ ทันใดรถตู้คันหนึ่งมาจอดเทียบ มีชายสองคนลงมาพยายามจับตัวเขาขึ้นรถ ชูชิตไม่ยอมพยายามขัดขืนเต็มที่ ชกต่อยกับคนที่เข้ามาจับตัวจนสะบักสะบอมกันทั้งสองฝ่าย เขาซัดคนที่จะมาจับตัวจนหมอบได้สำเร็จ
“โธ่เอ๊ย นึกว่าจะแน่แค่ไหน”
ชูชิตเปิดประตูจะขึ้นรถ ไม้ฟาดเข้าที่ท้ายทอยชูชิตอย่างแรงจนเขาสลบไป เทพยืนมองชูชิตที่นอนสลบกองอยู่ที่พื้น
“เมาแล้วยังเก่งเหมือนกันนะไอ้นี่”
เทพหิ้วชูชิตขึ้นรถตู้ ในรถตู้มีอรชรกับสุทธิพงษ์ที่นอนสลบอยู่ก่อนแล้วที่เบาะข้างหลัง

นาถสุดารับโทรศัพท์จากเทพ...
“เรียบร้อยทุกอย่างแล้วใช่มั้ย โอเค ดีมาก”
นาถสุดาวางสายโทรศัพท์แล้วล้มตัวลงกอดดุลยศักดิ์ที่นอนรออยู่บนเตียง
“เป็นโชคดีของฉันจริงๆ ที่ได้มาเจอเธอ”
“เป็นโชคดีของนาถต่างหากค่ะ”
ดุลยศักดิ์กอดจูบนาถสุดาอย่างมีความสุข

เช้าวันใหม่...ไศลารีบอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะออกจากบ้าน เธอหยิบปืนใส่กระเป๋าเตรียมพร้อม ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากประตูบ้าน เสียงจิ้งจกร้องทักขึ้น เธอมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจก มองหน้าผากตัวเอง แล้วก็ลูบบริเวณที่เคยเป็นดวงตาที่สาม
“มันจะจริงหรือจะฝัน วันนึงฉันจะต้องรู้ให้ได้”
ไศลาสูดลมหายใจเต็มที่ อย่างให้กำลังใจตัวเอง แล้วเดินออกไปจากบ้าน

ธีรธรซึ่งนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลมาตลอดทั้งคืน ตื่นเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวจะกลับบ้านมาหาไศลา นิ่มนวลตื่นตามลุกมาคุยด้วย
“วันนี้คุณป้าตื่นสายกว่าเดิมนะคะ”
“ดีแล้ว ท่านจะได้พักผ่อนเยอะๆ”
ธีรธรเตรียมตัวเรียบร้อย เดินเข้าไปหาวงทองที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณแม่ครับ ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
ธีรธรจับมือแม่ เริ่มรู้สึกแปลกๆ เขารีบจับตัว ขยับให้ตื่น
“คุณแม่ คุณแม่ครับ เช้าแล้วครับคุณแม่”
นิ่มนวลเข้ามาช่วยเรียก
“คุณป้าคะ ตื่นเถอะค่ะ ได้เวลาไปนั่งรถเล่นกันแล้วนะคะ”
วงทองนิ่งสนิท ธีรธรจับชีพจร
“ชีพจรอ่อนมาก”
ธีรธรกดปุ่มเรียกพยาบาลทันที

ธีรธรกับนิ่มนวลนั่งรอหมออยู่หน้าห้องไอซียู
“นิ่มใจไม่ดีเลยพี่ธี คุณป้าไม่เคยเป็นแบบนี้เลย” นิ่มนวลร้องไห้
ธีรธรโอบนิ่มนวลไว้
“ใจเย็นๆ นะนิ่ม คุณแม่ต้องไม่เป็นไร”

ไศลามาถึงบ้านชูชิต พบนาถสุดาในห้องรับแขก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณไศลา”
ไศลาหยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่นาถสุดา
“อรชรกับสุทธิพงษ์อยู่ที่ไหน”

บ้านริมทะเลยามเช้า...ชูชิต อรชร นอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ส่วนสุทธิพงษ์นอนอยู่บนพื้นไม่ไกลกัน
ชูชิตค่อยๆ ลืมตาตื่นเพราะแสงแดดยามเช้าแยงตา และได้ยินเสียงคลื่น เขาเริ่มตาสว่าง ตกใจเมื่อเห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไป บนโต๊ะรับแขกมีถาดผลไม้วางอยู่พร้อมการ์ดหนึ่งใบ เขาหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
“เหนื่อยมามาก พักผ่อนให้เต็มที่ ถึงเวลาจะให้เรือไปรับกลับ จาก ดุลยศักดิ์”
ชูชิตพับการ์ดเก็บอย่างสงสัยว่า ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ลุกไปปลุกอรชนกับสุทธิพงษ์
“อรตื่นได้แล้ว พงษ์ตื่นๆ”
อรชรกับสุทธิพงษ์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ สุทธิพงษ์งัวเงียลุกเดินไปหน้าบ้าน เห็นทะเลอยู่ตรงหน้า บรรยากาศดีมาก
“โห...สุดยอดเลยอ่ะ”
สุทธิพงษ์วิ่งลงทะเลไปอย่างเริงร่า
“พี่ชิต พี่อรมาเล่นน้ำกันเร็ว”
อรชรดึงชูชิตวิ่งตามสุทธิพงษ์ไป ชูชิตยังไม่ไว้ใจอะไรทั้งสิ้น

อ่านต่อหน้าที่ 2


กุหลาบไฟ ตอนที่ 3 (ต่อ)

ไศลาเห็นภาพชูชิต อรชร สุทธิพงษ์กำลังเริงร่าอยู่ที่ทะเลผ่านทางจอโปรเจคเตอร์
“รู้สึกดีขึ้นมั้ย ที่ได้เห็นน้องๆ และแฟนเก่าปลอดภัย”
“ฉันไม่ได้มาแค่เรื่องของอรกับพงษ์”
ไศลายิงเปรี้ยงเข้าที่หน้าอกของนาถสุดาจนถอนผงะไป นาถสุดาก้มลงดูหน้าอกตัวเองที่ตอนนี้เป็นรอยรูกระสุนเจาะเสื้อเกราะ เทพพุ่งเข้ามาชาร์จปืนจากไศลาแล้วล็อคตัวเธอไว้
นาถสุดาเดินตรงเข้ามาตบไศลาจนหน้าหัน
“ถ้าเธอไม่แส่มาวุ่นวาย ป่านนี้เธอก็คงยังมีความสุขอยู่บนกองเงินกองทองของชูชิตแล้ว”
“เก็บเงินสกปรกของพวกแกไว้ใช้ในนรกเถอะ”
นาถสุดาตบไศลาอีกฉาดแล้วบีบคางไศลาให้หันกลับมาฟังตัวเองพูด
“ปากดีนักนะ ฉันจะสอนให้รู้ว่าการเป็นคนใจร้อนที่โง่และชอบแส่หาเรื่องแบบเธอ จะเจออะไรบ้าง”
ไศลากระโดดขาคู่ขึ้นถีบนาถสุดาจนหงายหลังไป นาถสุดาโกรธจัดต่อยเข้าท้องน้อยของไศลาจนจุกตัวงอ แล้วดึงผมไศลาขึ้นมาจนหน้าหงาย
“เก่งนักนะแก”
จู่ๆ แสงตาที่สามของไศลาสว่างวาบขึ้น นาถสุดาตกใจคิดว่าตัวเองตาฝาดไป ตาที่สามของไศลาเปิดขึ้นและมีแสงสว่างส่องออกมาเข้าตานาถสุดาเต็มๆ
นาถสุดาและเทพต่างผงะถอยเพราะแสบตามองอะไรไม่เห็น ไศลาอาศัยจังหวะนั้นชิงปืนคืนมาจากเทพ จ่อปืนเข้าที่หัวเทพ
“บอกฉันมาใครเป็นคนยิงดารณี“
เทพพยายามจับข้อมือไศลาแล้วบีบจนสุดแรงให้ปล่อยปืน แต่แรงของไศลามีมากเกินกว่าที่เทพจะต้านได้ นาถสุดาเข้าข้างหลังไศลาจะมาช่วยอีกแรง แต่ไศลากลับใช้เท้าถีบกระเด็นออกไปได้แบบไม่ต้องหันไปมอง ไศลากดปืนลงไปที่ขมับของเทพจนเป็นรอยบุ๋ม
“ใครเป็นคนยิงดารณี”
เสียงคงยียวนดังขึ้น
“ฉันเอง...ที่ฆ่าน้องเธอทั้งสองรอบ”
คงถือปืนเล็งมาที่ไศลาเดินเข้ามาในห้อง
“ส่งปืนมาเดี๋ยวนี้”
ไศลาทำทีเป็นจะส่งปืนให้ แต่เปลี่ยนเป็นยกปืนขึ้นมาจะยิงคง เทพได้ทีลุกขึ้นมาต่อยเข้าที่ตาที่สาม ไศลาทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด แสงของตาที่สามของไศลาดับไปอีกครั้ง
“ได้เวลาส่งเธอไปอยู่กับน้องแล้วสินะ”
คงยิงไศลาในระยะประชิด 3 นัดซ้อน ไศลาทรุดลงไปนอนที่พื้นด้วยความเจ็บปวด

หมอเดินออกมาจากห้องไอซียู ธีรธรกับนิ่มนวลรีบลุกเดินเข้าไปหา
“ตอนนี้คนไข้อ่อนแรงมากนะครับ คงต้องอยู่ไอซียูไปก่อน”
“พอมีทางช่วยคุณแม่ผมมั้ยครับหมอ”
หมอหนักใจ
“ญาติทำใจไว้บ้างนะครับ คนไข้อายุมากแล้ว ร่างกายอาจจะสู้ไม่ไหว”
ธีรธรน้ำตาคลอกอดนิ่มนวล ที่ร้องไห้โฮ โผเข้ากอดเขาอย่างเศร้าๆ

โลกหลังความตาย...ไศลาเดินมาหยุดที่ปากทางเข้าอุโมงค์แห่งหนึ่ง เธอเห็นดารณียืนโบกมือเรียกที่ทางออกอุโมงค์อีกด้าน ไศลารีบเดินเข้าอุโมงค์ไป ในอุโมงค์ไศลาเห็นแต่รูปของเรื่องราวตัวเองตั้งแต่เด็กจนโต เธอเดินดูเรื่องราวของตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างตื่นตาตื่นใจจนจะสุดปลายทางอุโมงค์
“เอมา...ไศลา...”
ไศลาหันดูตามเสียงเรียก เห็นนักพรตเมฆขาวมายืนเรียกอยู่ที่ปากทางเข้าอุโมงค์
“ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องผ่านเข้าไป”
จู่ๆ ไศลาก็รู้สึกโลกหมุน เวียนหัวรุนแรงอย่างบอกไม่ถูก

ธีรธรโทรศัพท์หาไศลาแต่ปิดเครื่อง ลองโทรอีกเบอร์ก็ยังติดต่อไม่ได้ เขาจึงโทรเข้าเบอร์บ้านตัวเอง ครู่หนึ่งสาวใช้มารับสาย
“สวัสดีค่ะ บ้านสุริยาฉายค่ะ”
“นี่ฉันธีนะ คุณไศลาตื่นหรือยัง”
“คุณไศลาไม่อยู่ค่ะ ออกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วยังไม่กลับเข้ามาเลยค่ะ”
ธีรธรอึ้งเมื่อได้ฟังอย่างนั้น

บริเวณป่าใหญ่...เทพกับคงช่วยกันแบกร่างของไศลาที่ห่อผ้าขาว ขึ้นมาวางบนภูเขาที่มีหน้าผา
“ตัวแค่นี้ ทำไมหนักจังวะ” คงนั่งลงพักเหนื่อย
“ช่วยกันโยนลงหน้าผาเร็วๆ เถอะ ข้าไม่อยากออกจากป่าค่ำว่ะ วันนี้ใจคอไม่ค่อยดีแปลกๆ”
เทพกับคงช่วยกันยกร่างของไศลาจะโยนลงหน้าผา ไศลาเหมือนจะมีลมหายใจแผ่วๆ ทั้งคู่ตกใจ ผลักร่างไศลาลงไป ร่างลอยลิ่วตกจากหน้าผาสูงอย่างรวดเร็ว

นาถสุดานั่งใส่แว่นดำ เพราะยังแสบตาจากแสงของไศลาอยู่ ขณะที่ชูชิต อรชร และสุทธิพงษ์เดินเข้ามาในบ้าน
“เวลคัมโฮมนะทุกคน” นาถสุดาทักทาย
อรชรเบะหน้าแล้วเดินหนีขึ้นชั้นบน สุทธิพงษ์เดินแยกไปห้องตัวเอง ชูชิตถามทันที
“คุณทำอะไรระหว่างที่ผมไม่อยู่”
“ฉลาดนักก็คิดเอาเองสิ...สำหรับคุณ คงไม่ยากเกินไปนะ”
นาถสุดาเดินเชิดขึ้นไปข้างบนอย่างไม่แคร์ ชูชิตมองตามอย่างไม่พอใจ

ร่างของไศลาลอยลิ่วตกลงมาจากหน้าผาสูงอย่างรวดเร็ว จนมาถึงกลางทางของเหวลึก จึงค่อยๆ ลดความเร็วลงเรื่อยๆ ผ้าห่อร่างค่อยๆ หลุดออกไปปูรอที่พื้นตรงหน้าของนักพรตเมฆขาว แล้วร่างไศลาค่อยๆ ลอยลงมาอยู่นอนบนผ้าที่ปูรอไว้
ไศลาใบหน้าช้ำบวมเป่ง ตามตัวมีแต่รอยเลือดจากกระสุขของคง นักพรตเมฆขาวเอาหัวไม้เท้ายื่นไปแตะที่หัวของเธอ ไม้เท้าเป็นสื่อกลางปล่อยแสงสว่างสีขาว ไหลออกมาจากตัวนักพรตเมฆขาวเข้าสู่ตัวไศลา
ใบหน้าไศลาค่อยๆ ดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ นักพรตเมฆขาวทำแบบเดียวกันที่ลำตัวของไศลา ที่เลือดค่อยๆจางหายไป ไศลาลืมตาขึ้นมา แล้วสำรวจร่างกายตัวเองอย่างมหัศจรรย์ใจ
“เอมา...ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”
ไศลาลุกขึ้นมากราบที่เท้าของนักพรตเมฆขาวทันที

คงกับเทพขับรถออกจากป่าใหญ่ เห็นสภาพอากาศมีหมอกหนาทึบ
“ทำไมวันนี้หมอกมันเยอะจังวะ”
“ไอ้คง ปิดแอร์ได้มั้ย ทำไมมันเย็นขนาดนี้เนี่ย”
“ก็ปิดไปตั้งนานแล้วไม่เห็นหรือไง”
เทพมองที่สวิตช์แอร์เห็นว่าปิดแล้วจริงๆ เทพเคยหน้าขึ้นมาเห็นนักพรตเมฆขาวยืนขวางอยู่กลางถนน
“เฮ้ย...ไอ้คง คนๆ อยู่กลางถนน”
คงไม่สนใจแม้แต่จะชะลอความเร็ว
“อ้าวเฮ้ย...ทำไมไม่เบรกวะ”
“คนดีๆ ที่ไหนจะมายืนขวางทางอยู่กลางป่าแบบนี้ เป็นไปเป็นกันวะ”
คงกระชับพวงมาลัยขับรถพุ่งตรงเข้าหานักพรตเมฆขาว เทพลุ้นอยู่เบาะหน้าด้วยความหวาดเสียว ทันใดรถของคงกับเทพขับผ่านตัวนักพรตเมฆขาวไปได้เหมือนล่องหน
“เฮ้ย...หายไปแล้ว หรือว่าเราสองคนจะตาฝาดไป” เทพงง
“นั่นดิ วันนี้ทำไมมันรู้สึกแปลกๆ จังวะ”
คงกับเทพขับรถต่อไปอีกสักพัก เทพเริ่มมองข้างทางอย่างงงๆ
“คง แกรู้สึกว่าเราขับรถวนอยู่ที่เดิมมั้ย”
“ไม่มั้ง ป่ามันก็เหมือนๆ กัน เดี๋ยวก็ถึงถนนใหญ่”
“แต่เราผ่านต้นสักนี่มาสามครั้งแล้วนะ” เทพบอกอย่างมั่นใจ

หน้าผาในป่าใหญ่...นักพรตเมฆขาวนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ ไศลานั่งพับเพียบกับพื้นอยู่ตรงหน้า...
“เอมา คือ ผู้ถูกเลือก มีหน้าที่ปกป้องความดี ทำให้คนรู้จักบาปบุญคุณโทษ แต่ไม่สามารถเอาวิชาที่มีอยู่ไปทำร้ายผู้อื่นได้ตามใจ แม้ว่าคนที่ถูกทำร้ายนั้น จะเป็นคนชั่วหรือไม่ก็ตาม”
“ถ้าอย่างนั้น เราจะปกป้องคุ้มครองคนดีได้ยังไงล่ะคะ”
“การคุ้มครองคนดี ไม่จำเป็นต้องทำร้ายคนไม่ดี ผู้ถูกเลือกมีกฎที่ต้องรักษาอย่างเด็ดขาดอยู่สองข้อ กฎข้อแรก คือ ห้ามฆ่าคน ไม่ใช่แค่การกระทำนะ หมายถึงห้ามเจตนาด้วย...เอมา...การฆ่าไม่ใช่การแก้ปัญหา เราฆ่าคนไม่ดีในโลกนี้ได้ไม่หมด แต่ถ้าเราทำให้เขามีสำนึกผิดชอบชั่วดีได้ เจ้าจะได้คนดีเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องทำร้ายใคร”
ไศลาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

คงและเทพยังคงขับรถวนต้นสักต้นเดิมเป็นรอบที่เท่าไหร่ ทั้งคู่ก็ไม่อยากจะนับแล้ว คงตัดสินใจจอดรถด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้คง จอดรถทำไมวะ”
เทพมองไปรอบๆ ตัวด้วยความหวาดระแวง คงหยิบปืนแล้วเปิดประตูลงรถลงไปยืนกลางถนน
คงยิงปืนขึ้นฟ้าสามนัดติดกันอย่างท้าทาย
“ผีตัวไหนวะที่กล้าบังทาง ออกมาเจอกันเลยดีกว่า อย่าคิดว่าจะกลัวนะเว้ย ถ้าเจ๋งจริงก็ต้องออกมาเจอกันสิวะ นี่มันไม่แน่จริงนี่หว่า”
คงยืนรอสักพักแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงเดินกลับมาขึ้นรถแล้วขับต่อไป
“ไปท้าทายแบบนั้นจะดีเหรอวะคง”
“อย่าปอดแหกนักเลยไอ้เทพ ฆ่าคนมาเป็นร้อยแล้ว จะมากลัวอะไรกับผี”
เทพหันมาหาคงแล้วต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นนักพรตเมฆขาวมองอยู่ข้างกระจกฝั่งคง ทั้งๆ
ที่รถยังวิ่งอยู่ด้วยความเร็วสูง
“ไอ้คง...มันมาอยู่ข้างๆ กระจกแกแล้ว” เทพโวยวายเอามือปิดตา
คงหันไปเห็นเหมือนที่เทพเห็น ก็ตกใจแทบสิ้นสติ พยายามเร่งความเร็ว แต่นักพรตเมฆขาวก็ยังลอยตามมาได้ตลอด คงเบรกรถดังเอี๊ยด แล้วหันไปมองกระจก นักพรตเมฆขาวหายไปแล้ว คงถอนหายใจอย่างโล่งออก สะกิดเทพ
“ไอ้เทพ หันมาดูดีๆ มันไปแล้ว”
เทพค่อยๆ หรี่ตาดูไม่เห็นนักพรตเมฆขาวแล้วก็โล่งใจ
“รีบๆ ไปเร็ว เดี๋ยวมันตามมาอีก”
คงใส่เกียร์เตรียมจะออกตัวรถอีกครั้ง แล้วเห็นนักพรตเมฆขาวอยู่เบาะหลังก็ตกใจอ้าปากค้าง เทพเห็นอาการคงผิดปกติ ก็หันไปมองตามสายตาของคงก็เห็นนักพรตเมฆขาวนั่งอยู่เหมือนกัน ทั้งคงและเทพเปิดประตูลงจากรถวิ่งหนีกันป่าราบ

นักพรตเมฆขาวนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ ไศลายังคงนั่งพับเพียบกับพื้นรอฟังคำสอน...
“กฎข้อที่สองของผู้ถูกเลือก คือห้ามประพฤติผิดในกาม”
ไศลาโล่งใจที่กฎข้อสองไม่น่าห่วงเท่าไหร่
“อย่าประมาทกิเลศตัณหาของมนุษย์”
“แล้วถ้าผู้ถูกเลือกละเมิดกฎ อะไรจะเกิดขึ้นบ้างคะ”
“วิชาและพลังพิเศษที่ผู้ถูกเลือกมี จักต้องสูญสลายไป”
“มันไม่ยุติธรรมเลย ทำไมผู้ถูกเลือกถึงไม่มีสิทธิฆ่าพวกคนชั่วให้หมดไป”
“เอมา...ไศลา ภารกิจของผู้ถูกเลือก คือทำให้โลกสงบสุข ด้วยการทำให้คนชั่วสำนึกถึงความผิดชอบชั่วดี”

นพรัชมาเยี่ยมวงทองที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง ธีรธรยืนกุมมือแม่อย่างเศร้าอยู่ข้างเตียง นิ่มนวลคอยนวดแขนขาให้ทองอยู่ไม่ห่าง
“ฉันคุยกับอาจารย์หมอให้แล้วนะ รอให้คุณแม่แข็งแรงกว่านี้อีกหน่อย ค่อยย้ายไป โรงพยาบาลฉัน”
“ขอบใจมากนะหมอ”
นิ่มนวลไหว้ขอบคุณ นพรัชรับไหว้แล้วบีบไหล่ให้กำลังใจธีรธร
“เพื่อนกัน อย่าคิดมาก แม่แกก็เหมือนแม่ฉันนั่นล่ะ”

คงกับเทพวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงตามกันมาบนถนนในป่าใหญ่ ทั้งสองหยุดยืนหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย
“มาไกลขนาดนี้ มันคงไม่ตามมาแล้วมั้ง” คงพูดแล้วหอบต่อ
เทพหันไปเห็นบางอย่างแล้วตกใจหน้าเสียชี้นิ้ว
“ไอ้คง ดูนั่น”
คงหันไปมองตามนิ้วของเทพก็ต้องตะลึงสุดตัว เมื่อเห็นรถตัวเองจอดอยู่บนถนน คงโมโห
“อะไรวะ วิ่งตั้งนาน...มาที่เดิม”
ทันใดนั้นเสียงนักพรตเมฆขาวดังขึ้น
“เรามาดี...ไม่ได้มาร้าย”
คงกับเทพสะดุ้งสุดตัวหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ก็เห็นนักพรตเมฆขาวยืนอยู่ในระยะประชิด ที่ร่างของนักพรตเมฆขาวเหมือนมีแสงสว่างเป็นออร่าเปล่งประกายออกมาอยู่ตลอดเวลา เทพหน้าตื่น
“เอาไงดีวะคง”
คงควักปืนออกมายิงใส่จนหมดแม็ก นักพรตเมฆขาวควงไม้เท้าเป็นเกราะกันกระสุนจากปืนของคง กระสุนกองอยู่ที่พื้นตรงหน้านักพรตเมฆขาวอย่างหมดความหมาย
“หยุดก่อเวรก่อกรรมกันเสียเถิด การมุ่งร้ายหมายฆ่าผู้อื่น ถือเป็นบาปหนัก”
คงไม่สนใจฟัง หันไปหยิบปืนจากเอวของเทพมายิงใส่อีกจนหมดแม็ก นักพรตเมฆขาวยกไม้เท้าขึ้นโบก กระสุนทั้งหมดเลี้ยวกลับไปกองอยู่ตรงหน้าคง เทพตื่นกลัว
“ไอ้คง ไปเหอะ แบบนี้มันไม่ใช่คนแล้ว”
คงเลือดขึ้นหน้าวิ่งอย่างเร็วเข้าไปจะต่อยนักพรตเมฆขาวชุดใหญ่ แต่ทุกครั้งที่คงออกหมัด นักพรตเมฆขาวจะหายตัวไปยืนข้างหลังแล้วเอาไม้เท้าเคาะหัวคงได้ทุกครั้ง เทพวิ่งเข้าไปช่วยคง แต่ไม่ว่าจะพยายามดักทางยังไง นักพรตเมฆขาวก็หลบหมัดของเทพได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะหันหน้าหรือหันหลังให้
“กลับตัวกลับใจเสียเถิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
คงทรุดลงกับพื้นด้วยความโกรธจนแทบคลั่ง เทพเข้าไปฉุดแขนคงแล้วพากันวิ่งหนีอีกครั้ง....เทพพาคงวิ่งมาจนถึงตรงกลางที่เป็นทางแยก แล้วหยุดยืน ลังเลว่าจะใช้ทางไหนต่อดี เขาเห็นนักพรตเมฆขาวแยกร่างยืนดักอยู่ทุกทางแยก เทพตัดสินใจดับเครื่องชนเข้าใส่ นักพรตเมฆขาวทุกร่างเริ่มเปล่งเสียงสวดมนต์พร้อมๆ กัน ทั้งคู่เทพกับคงได้ยินเสียงสวดมนต์แล้วรู้สึกเจ็บปวดจนถึงกับเข่าทรุดลงไปกองที่พื้น ทั้งสองเห็นวิญญาณทั้งหลายที่เคยโดนตัวเองทำร้ายปรากฏตัวขึ้นแล้วแห่เข้ามาหวังจะแก้แค้นเอาคืน
“อย่า...อย่าเข้ามา ช่วยด้วย ช่วยด้วย”เทพร้องลั่น
คงเสียสติพยายามต่อสู้กับวิญญาณ ที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
“นี่เป็นเพียงส่วนน้อยจากเจ้ากรรมนายเวรที่เจ้าก่อไว้ ถ้าเจ้าไม่กลับตัวกลับใจตอนนี้...อีกกี่ชาติเจ้าถึงจะตามชดใช้หนี้กรรมเขาได้หมดสิ้น” นักพรตเมฆขาวเตือนสติ
เทพกับคงกรีดร้องเหมือนโดนทำร้าย ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่แสนไพเราะและพร้อมเพรียง ของร่างแยกของนักพรตเมฆขาว

เช้ามืดวันใหม่...พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา นักพรตเมฆขาวกับไศลายืนนิ่งหลับตาอยู่ข้างกัน
“ปล่อยใจให้ว่าง สูดลมหายใจลึกๆ รับพลังธรรมชาติเข้าไปชำระกายและใจให้สะอาด”
ไศลาทำตามที่นักพรตเมฆขาวบอก แสงของพระอาทิตย์เหมือนฉาบสีทองลงมาที่ตัว เธอรู้สึกสดชื่น เบา สบาย สว่าง

อรชรนั่งเคลียร์เอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศชูชิต นาถสุดาเดินพาตากล้องและนักข่าวเข้ามาในออฟฟิศ
“นี่เป็นส่วนออฟฟิศของคุณชูชิตนะคะ ข้างล่างเป็นที่ทำงานพวกธุรการทั่วไป ห้องทำงานของคุณชูชิตอยู่ชั้นบน เราจะขึ้นไปกันเลยมั้ยคะ หรือว่าจะถ่ายเก็บชั้นนี้ก่อน”
“จู่ๆ พาคนอื่นเข้ามาในออฟฟิศ ขออนุญาตใครไม่ทราบ” อรชรพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
นาถสุดาอึ้งไม่คิดว่าอรชรจะมามุกนี้ เธอหันมายิ้มหวานใส่นักข่าวกับตากล้องที่ยืนงงอยู่
“ปกติคุณชิตต้องการความเป็นส่วนตัวเวลาทำงานค่ะ ก็เลยต้องสั่งเด็กไว้ว่าไม่ให้คนนอกเข้ามาถ้าไม่ได้รับอนุญาต”
นาถสุดาหันมาจิกสายตาใส่อรชร แต่ทำเป็นพูดเสียงหวานด้วย
“วันนี้พี่นาถขออนุญาตคุณชิตแล้ว น้องไม่ต้องกลัวคุณชิตดุนะจ๊ะ”
นาถสุดาหันมาหานักข่าวกับตากล้อง
“เดี๋ยวเราขึ้นไปดูห้องทำงานคุณชิตกันเลยดีกว่านะคะ”
นาถสุดา เดินพาตากล้อง นักข่าวเดินขึ้นบันไดไปห้องทำงานของชูชิต อรชรมองตามอย่างมีแผน

บนยอดเขา ในป่าใหญ่...นักพรตเมฆขาวยืนอยู่ใต้ต้นลูกไม้ต้นหนึ่ง ไศลายืนอยู่ข้างๆ นักพรตเมฆขาวเอาไม้เท้ากระแทกต้นลูกไม้ ลูกไม้หล่นลงพื้นเกลื่อนกลาด ขณะเดียวกันนั้นนักพรตเมฆขาวก็ยื่นไม้เท้าเสกผ้าปิดตาไศลา
“เก็บลูกไม้ให้หมดก่อนที่จะตกถึงพื้น”
นักพรตเมฆขาวเอาไม้เท้ากระแทกต้นลูกไม้ครั้งแรก ไศลาทำไม่ได้เลย ครั้งที่สองตาที่สามของเธอสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย เธอทำได้ดีขึ้น แต่ก็เก็บได้ไม่หมด
“เจ้าจะควบคุมตรีเนตรได้เมื่อจิตเป็นสมาธิและแน่วแน่”
ไศลายืนนิ่งทำสมาธิ ไม่นานตาที่สามของเธอก็เปิดขึ้น ไศลาทำสำเร็จการเคลื่อนไหวที่ไวและแม่นยำเหนือมนุษย์

นาถสุดาเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานชูชิต ก็ต้องตะลึงเมื่อเปิดประตูไปเห็นรูปใหญ่สุดที่ติดผนัง เป็นรูปถ่ายคู่ระหว่างชูชิตกับอรชร ที่ดูยังไงก็ไม่มีทางจะเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง และทุกรูปในห้องเป็นรูปคู่ชูชิตกับอรชรทั้งหมด นาถสุดารีบปิดประตูหันไปหานักข่าวและตากล้อง นักข่าวและตากล้องชะงักงงๆ
“เอ่อ...นาถขอเลื่อนคิวถ่ายห้องทำงานคุณชิตเป็นอีกครั้งได้มั้ยคะ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณนาถ”
“อย่างที่บอกนะคะว่าคุณชิตหวงห้องทำงานมาก เพื่อความสบายใจ รอคุณชิตมาถ่ายด้วยกันดีกว่านะคะ”
“แหม...กว่าจะได้คิวคุณนาถ ขอถ่ายเก็บไว้ก่อนได้มั้ยคะ”
“เอางี้มั้ยคะ ถ่ายคราวหน้า นาถสัญญาว่าจะลัดคิวให้แล้วก็จะไม่ยอมให้ใครมาสัมภาษณ์ที่นี่อีก ให้พิเศษเฉพาะของพี่เล่มเดียว ตกลงมั้ยคะ”
นักข่าวกับตากล้องมองหน้ากันอย่างพอใจ แล้วพยักหน้าตกลง
“ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันนะคะ นาถให้เด็กเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว”
นักข่าวกับตากล้องเดินลงบันไดไป นาถสุดาเปลี่ยนสีหน้าเป็นโกรธจัด

เสริมพงษ์นั่งทำงานอยู่ในห้องที่กองปราบ...เสียงเคาะประตูดังขึ้น ธีรธรเดินเปิดประตูเข้ามาทำความเคารพ
“อ้าว...ผู้กอง คุณแม่เป็นยังไงบ้าง”
ธีรธรหนักใจ
“อาการดีขึ้นแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ”
“ผมเอาใจช่วยนะ นี่ก็ตั้งใจจะไปเยี่ยม แต่ยังไม่ว่างสักที”
“ผมต้องกราบขอโทษท่านด้วยนะครับ ที่ช่วงนี้ทำงานไม่ได้เต็มที่”
“ไม่เป็นไรเลยผู้กอง ดูแลคุณแม่ให้เต็มที่ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
“ขอบพระคุณท่านมากครับ เอ่อ...ท่านครับ ไม่ทราบว่าท่านได้ข่าวของไศลาบ้างมั้ยครับ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จ่านิดเดินเปิดประตูเข้ามาทำความเคารพ
“ผู้กองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ ผมว่าจะโทรหาอยู่พอดี”
“มีอะไรหรือจ่า”
“สายรายงานมาว่าตอนนี้ไอ้เทพกับไอ้คง สมุนคู่ใจของนายชูชิตหายตัวไปหลายวันแล้วครับ ครั้งสุดท้ายที่เห็นเป็นวันเดียวกับที่คุณไศลาเข้าไปในบ้านครับ”
ธีรธรฟังจ่านิดแล้วรู้สึกห่วงไศลาขึ้นมาจับใจ

เย็นนั้น ชูชิตเดินผิวปากลงมากินข้าวอย่างอารมณ์ดี ที่โต๊ะกินข้าวมีนาถสุดากับอรชรนั่งรออยู่แล้ว
“ว้าว...วันนี้กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลย”
อรชรลุกไปตักข้าวให้ทุกคน แอบกระแทกทัพพีใส่จานนาถสุดาเล็กน้อย
“วันนี้เด็กของคุณหาเรื่องฉันอีกแล้วนะ” นาถสุดาฟ้อง
“หาเรื่องอะไร อย่ามาใส่ความกันหน่อยเลย” อรชรเถียง
“ก็ที่วันนี้เธอตั้งใจแกล้งฉัน เอารูป...”
ชูชิตตักข้าวกำลังจะเข้าปากก็เกิดอาการเซ็งขึ้นมาทันที เขาขึ้นเสียง
“พอสักทีได้มั้ย คนกำลังอารมณ์ดีๆ จะกินข้าว พาเสียบรรยากาศหมด”
อรชรกับนาถสุดาเงียบลง เสียงโทรศัพท์มือถือชูชิตดังขึ้นแทน เขากดรับสาย
“สวัสดีครับ ผมชูชิตพูดครับ ใช่ครับ นายเทพกับนายคงเป็นลูกน้องของผมเองครับ” ชูชิตตกใจ “ฮะ...ว่าไงนะครับ”

บนยอดเขา ในป่าใหญ่ยามค่ำคืน...ไศลาล้มตัวลงนอนเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาดู
“คืนนี้ฟ้าสวยจังเลย”
ไศลานึกย้อนไปคืนที่เธอกับธีรธร ออกมาเดินเล่นดูดาวด้วยกันที่หน้าบ้าน
“คุณก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอคะ”
“ผมนั่งทำงานอยู่ เห็นว่าคืนนี้พระจันทร์สวย ก็เลยเดินออกมาดู”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างคุณจะชอบชมจันทร์ ชมดาวเหมือนกัน”
“คุณไม่รู้อะไร ถ้าผมไม่เป็นตำรวจนะ ป่านนี้ก็คงเป็นนักดาราศาสตร์ไปแล้ว”
“หมายถึงเป็นหมอดูเหรอคะ”
“นั่นโหราศาสตร์ แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงนอนไม่หลับ”
ไศลานอนอมยิ้มเมื่อนึกถึงรอยยิ้มของธีรธร
“ไศลา คนเราต้องอยู่ได้ด้วยความหวังนะ”
ไศลาน้ำตาคลอ
“คนที่เจอแต่เรื่องดีๆ ในชีวิตอย่างคุณ ไม่แปลกหรอกค่ะ ที่จะมองว่าโลกนี้สวยงาม”
“ใครบอกว่าผมเจอแต่เรื่องดีๆ ผมเลือกจำแต่เรื่องดีๆ ต่างหาก”
“คุณอย่ามาเสียเวลาปลอบใจฉันเลย ฉันอยู่ลึกเกินกว่าที่คุณจะดึงไหว”
“จะไหวหรือไม่ไหว ผมสิ...ต้องเป็นคนกำหนด”
“ฉันรู้นะคะว่าคุณคิดยังไงกับฉัน เชื่อฉันเถอะ อย่าเสียเวลากับฉันเลย”
“ไศลา คุณจะไม่ให้โอกาสผมพิสูจน์หน่อยเหรอ”ฃ
ไศลามองท้องฟ้า อย่างอยากสื่อความรู้สึกไปถึงธีรธร
“ถ้าฉันให้โอกาสคุณ คุณจะไม่ทำให้ฉันเสียใจอีกใช่มั้ย”

ในห้องพักวงทอง ที่โรงพยาบาล...ธีรธรนอนไม่หลับ ออกมายืนดูดาวที่ระเบียง
“ไศลา ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนกันนะ”
นิ่มนวลเดินออกมาดู
“นอนไม่หลับเหรอคะพี่ธี”
“จ้ะ นิ่มก็นอนไม่หลับเหรอ”
“พอดีนิ่มลุกมาเข้าห้องน้ำ แล้วเห็นพี่ธีหายไปก็เลยออกมาดูค่ะ”
นิ่มนวลเดินมายืนมองฟ้าข้างๆเขา
“คืนนี้ท้องฟ้าสวยจังเลยนะคะ”
“ใช่ คืนนี้ฟ้าสวยมาก”
“พี่ธีชอบดูดาวมั้ยคะ”
“อืม...เฉยๆ นะ ไม่โดนเท่าไหร่”
“แหม...นิ่มอุตส่าห์ดีใจ นึกว่าพี่ธีจะแอบโรแมนติค”
ธีรธรหัวเราะเบาๆ
“พี่ง่วงแล้วล่ะ ไปนอนดีกว่า”
นิ่มนวลพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องไป ธีรธรเดินตามไป แต่หันมามองท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง
“ผมคิดถึงคุณนะไศลา”

เช้าวันใหม่...นักพรตเมฆขาวสอนไศลาเรื่องพลังตรีเนตร
“ในกายคนมีสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างพลังธรรมชาติ จิตวิญญาณและพลังเหนือธรรมชาติเข้าด้วยกัน ทั้งหมดนี้สามารถควบคุมได้ด้วยสมาธิ เจ้าจะต้องหมั่นฝึกลมปราณ ทำสมาธิเพื่อควบคุมพลังพิเศษที่เจ้ามี”
ไศลาเดินหลับตาจงกรมเพื่อฝึกลมปราณและสมาธิอย่างเคร่งครัด ตาที่สามของเธอเปิดออกเป็นแสงสีขาวสว่างบริสุทธิ์ นักพรตเมฆขาวมองการฝึกฝนของไศลาด้วยความพอใจ

ชูชิตเดินตามตำรวจไปห้องขังในโรงพัก
“ชาวบ้านไปเจออยู่ในป่าครับ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ก็เลยพามาส่งที่นี่ ตอนแรกก็ให้อยู่ข้างนอก แต่อาละวาดหนักทั้งคู่ก็เลยต้องมาอยู่ในนี้”
ชูชิตเห็นคงกับเทพนั่งกันอยู่คนละมุมในห้องขัง เทพนั่งขดตัวกอดเข่า ตัวสั่นครางฮือๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา คงเดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็ร้องไห้ โวยวายตีอกชกลมตลอดเวลา ตำรวจไขกุญแจเปิดประตูห้องขังให้ ชูชิตเดินเข้าไปหาลูกน้องทั้งสอง
“เทพ”
เทพค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาเห็นชูชิตก็ร้องโวยวาย
“ไม่ๆ ออกไปๆ อย่าเข้ามาๆ”
คงเห็นเทพโวยวายก็เกิดอาการตื่นตระหนกตาม พุ่งเข้ามาบีบคอชูชิต
“ฉันจะฆ่าแก...ฉันจะฆ่าแก”
ชูชิตพยายามเอาแกะมือคงออกจากคอ ตำรวจรีบเข้ามาช่วยแยกชูชิตออกจากคงแล้วพาออกนอกห้องขัง ชูชิตออกมายืนนอกห้องขัง มองไปที่ลูกน้องทั้งสองอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

หน้าโรงพยาบาลของนพรัช...รถโรงพยาบาลขับเข้ามาจอด พยาบาลและผู้ช่วยเข็นเตียงไปรับผู้ป่วยลงจากรถ นิ่มนวลลงมาจากรถพยาบาลเดินประกบเตียงวงทองมาด้วย ธีรธรเดินตามเข้ามาสมทบ นพรัชเดินเข้ามาตรวจความเรียบร้อยสั่งพยาบาล
“เดี๋ยววัดไข้ วัดความดันตามปกติแล้วรีบพาคนไข้ขึ้นห้องพักเลยนะ ผมไม่อยากให้คนไข้เหนื่อยมากเกินไป”
พยาบาลรับคำสั่งแล้วเดินไป ธีรธรเดินเข้ามาหา
“เป็นไงบ้างวะหมอ”
“ถามถึงใครล่ะ คุณแม่หรือฉัน”
“ทั้งสองคน”
“คุณแม่โอเค การเคลื่อนย้ายไม่มีปัญหาอะไร ปลอดภัยดี ส่วนฉัน...มีข้อสงสัยที่อยากจะถามแกนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส”
“อะไรเหรอ”
นพรัชมองซ้ายมองขวาอย่างระแวง แล้วดึงธีรธรมาถามในมุมแอบ
“คุณไศลาไปไหนวะ ทำไมฉันไม่เจอเลย”

นักพรตเมฆขาวกับไศลา หลับตานั่งสมาธิประจันหน้ากัน และพูดคุยกันผ่านกระแสจิต
“เจ้าอยากรู้มั้ยว่าก่อนหน้านี้ เวลาที่พลังตรีเนตรถูกเปิดออก เจ้าเป็นยังไง”
“อยากรู้ค่ะ”
นักพรตเมฆขาวมีแสงสายสีขาวพุ่งออกมาจากหน้าผาก แล้ววิ่งตรงไปที่หน้าผากของไศลา
“ทำไมไศถึงไม่รู้สึกตัว และจำอะไรไม่ได้เลยล่ะคะ”
“เพราะเจ้ายังไม่ได้ฝึกควบคุมพลังตรีเนตร เมื่อเจ้าเปิด พลังจะปิดและเมื่อพลังเปิด เจ้าจึงต้องปิด”
“แล้วหลังจากนี้ล่ะคะ”
“มาลองดูกัน โอม...ไศลา จงเปิดพลังตรีเนตร”
ตาที่สามของไศลาเปิดออกตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ไศลาลืมตาปกติขึ้นมาอย่างยินดี

ดุลยศักดิ์กับนาถสุดานอนนวดตัวเตียงคู่กันอย่างมีความสุข ในห้องของสปา เสียงโทรศัพท์ของดุลยศักดิ์ดังขึ้น บอดี้การ์ดเอาโทรศัพท์มายื่นให้
“นายชูชิตโทรมาครับนาย”
ดุลยศักดิ์ลุกขึ้นรับสาย
“มีอะไรชูชิต...”
ดุลยศักดิ์แปลกใจ เมื่อฟังสิ่งที่ชูชิตบอก
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน พาพวกมันไปโรงพยาบาลเลย แล้วส่งข่าวด้วยนะ”
ดุลยศักดิ์ยื่นโทรศัพท์ให้บอดี้การ์ด แล้วนิ่งไปพักใหญ่จนนาถสุดาผิดสังเกต
“มีอะไรหรือเปล่าคะนาย”
“ไอ้เทพกับไอ้คงโดนอะไรไม่รู้จากในป่าเล่นงาน ตอนนี้สติแตก ชูชิตกำลังไปรับพาไปโรงพยาบาล”
นาถสุดาตกใจหน้าเจื่อน กังวลใจมาก เธอรำพึงในใจ
‘อย่าเป็นอะไรนะเทพ’

เย็นนั้น ธีรธรกดเงินอยู่ที่ตู้แถวหน้าโรงพยาบาลของนพรัช จ่านิดเดินถือกระเช้ารังนกเข้ามาเจอพอดี
“สวัสดีครับผู้กอง”
“อ้าว...จ่า มาเยี่ยมใครเหรอ”
จ่านิดยื่นกระเช้ารังนกให้
“มาเยี่ยมแม่ผู้กองนั่นล่ะครับ ตั้งแต่ท่านเข้าโรงพยาบาลมาผมยังไม่เคยมาเยี่ยมอย่างเป็นทางการสักครั้ง”
ธีรธรหัวเราะ
“ไม่เป็นไรหรอกจ่า เราคนกันเอง”
ธีรธรเห็นรถตู้คันหนึ่งขับเข้ามาจอด มีรถชูชิตขับตามมา
“จ่า...นั่นใช่นายชูชิตหรือเปล่า”
จ่านิดหันไปมองตาม
“ใช่เลยครับผู้กอง ว่าแต่นายชูชิตมาทำอะไรที่นี่”
ธีรธรเห็นลูกน้องชูชิตช่วยกันประคองเทพกับคงลงมาจากรถ
“นั่นมันไอ้เทพ ไอ้คงนี่”
จ่านิดครุ่นคิด
“แต่ดูท่าทางมันแปลกๆ ผิดปกตินะครับ”
ลูกน้องชูชิตเดินประคองเทพกับคง ตรงมาทางที่ธีรธรกับจ่านิดยืนอยู่ ชูชิตเดินตามมาห่างมาก
ธีรธรดึงจ่านิดไปแอบดูในมุมอับ มองพวกชูชิตเดินผ่านไป
“เดี๋ยวจ่ากลับไปรายงานให้ผู้การทราบ แล้วขอกำลังนอกเครื่องแบบมาซุ่มอยู่ที่นี่สัก 4 นาย”
“รับทราบ ปฏิบัติครับผม” จ่านิดแยกไปทันที

อ่านต่อหน้าที่ 3

กุหลาบไฟ ตอนที่ 3 (ต่อ)

ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงสีแดงก่ำ ไศลานั่งมองกองไฟอยู่อย่างเหงาๆ เงาในดวงตาของเธอสะท้อนภาพกองไฟที่ลุกโชน นักพรตเมฆขาวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“เอมา...ไศลา บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่เจ้าจะได้ทำพิธีเบิกตรีเนตร และรับหน้าที่ของผู้ถูกเลือก จงลุกขึ้นยืน”
ไศลาลุกขึ้นงงๆ นักพรตเมฆขาวเริ่มสวดมนต์ทำพิธี พระจันทร์ถูกเมฆบดบังจนหมดสิ้น เสียงหมาป่าโหยหวน ตามมาด้วยเสียงร้องของสัตว์อื่นๆ จนเสียงแน่นคับป่าไปหมด นักพรตเมฆขาวยื่นหัวไม้เท้าไปสัมผัสที่บริเวณตาที่สามของไศลา แล้วสวดมนต์ภาวนาชุดใหญ่
“เอมา...ไศลา เจ้าคือผู้ที่ถูกเลือกแล้วเพื่อทำหน้าที่ปกป้องความดี ทำให้คนชั่วรู้จักบาปบุญคุณโทษ เจ้ายินดีรับหน้าที่นี้ใช่หรือไม่”
ไศลาพนมมือ
“ยินดีค่ะ”
ตาที่สามของไศลาเปิดออกกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็น ประกายสีขาวเจิดจรัสส่องออกมาจากตาที่สามอย่างสวยงาม เมฆคลายออกจากดวงจันทร์ครึ่งดวง พระจันทร์ยังสีแดงก่ำอยู่ นักพรตเมฆขาวยื่นหัวไม้เท้าไปวางไว้บนบ่าซ้ายของไศลา
“เอมา...ไศลา เจ้าจะให้สัจจะในการพิทักษ์กฎข้อที่หนึ่งของผู้ที่ถูกเลือก คือ ห้ามฆ่าคนอย่างเด็ดขาดได้หรือไม่”
“ได้ค่ะ”
ตาที่สามของไศลาเปิดออกกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็น ประกายสีเงินเจิดจรัสส่องออกมาจากตาที่สามอย่างสวยงาม เมฆคลายออกจากดวงจันทร์เต็มดวง พระจันทร์ยังสีแดงก่ำอยู่ นักพรตเมฆขาวยื่นหัวไม้เท้าไปวางไว้บนบ่าขวาของไศลา
“เอมา...ไศลา เจ้าจะให้สัจจะในการพิทักษ์กฎข้อที่สองของ ผู้ที่ถูกเลือก คือ ห้ามประพฤติผิดในกามอย่างเด็ดขาดได้หรือไม่”
“ได้ค่ะ”
ตาที่สามของไศลาเปิดออกกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็น ประกายสีทองเจิดจรัสส่องออกมาจากตาที่สามอย่างสวยงาม พระจันทร์ยังสีแดงก่ำกลายเป็นสีทองกระจ่างสวยงามที่สุด
“เอมา...ไศลา ข้าขอให้เจ้าจงรับและรักษาหน้าที่และพลังพิเศษของผู้ที่ถูกเลือกไว้ให้ดี ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเจ้าเองและเพื่อนร่วมโลกให้มากที่สุดนับตั้งแต่นี้ต่อไปเถิด จงหลับตาแล้วพนมมือ”
นักพรตเมฆขาวเอาหัวไม้เท้าจรดที่ตาที่สามวนลงมาที่ตาขวาแล้ววนไปที่ตาซ้ายสามรอบ พร้อมกับสวดมนต์ไปด้วย ไศลาหน้าแดงก่ำ รู้สึกร้อนวูบลงมาจากกลางศีรษะจนถึงปลายเท้า นักพรตเมฆขาวเป่าดับไฟจากตาที่สามของไศลาที่ลุกติดหัวไม้เท้ามาด้วย
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าได้ถ่ายทอดพลังวิชาเนตรอัคคีให้เจ้าแล้ว หลังจากนี้หากเจ้าใช้ตาเพ่งไปที่ของสิ่งใด ของสิ่งนั้นจะมอดไหม้เป็นจุลในทันที ต่อจากนี้เจ้าจงฝึกควบคุมวิชาเนตรอัคคีนี้ไว้ใช้ในยามคับขันเถิด”
ไศลากราบลงที่เท้าของนักพรตเมฆขาว ด้วยความเคารพยิ่ง

เช้าวันใหม่...นาถสุดาปลอมตัวใส่แว่นใส่ผ้าคลุมหน้าขับรถเข้ามาในโรงพยาบาล พยายามเดินก้มหน้าก้มตาไปทางแผนกจิตเวช แล้เวมายืนเศร้าน้ำตาคลอมองเทพที่เหม่อลอยอยู่ในห้องพักผ่านกระจก
ที่เทพจู่ๆ หันมามองกระจกแล้วเดินมาหา
“เทพ เทพจำนาถได้มั้ยคะ”
เทพมองด้วยสายตาว่างเปล่า นาถสุดาน้ำตาไหล เทพมองแล้วทำท่าเอานิ้วมาเช็ดน้ำตาให้สายตาของเขายังอ่อนโยนแต่ว่างเปล่า นาถสุดาเจ็บปวดจนต้องทุบกระจกด้วยความสะเทือนใจ เทพยกมือตัวเองมาทาบกระจกทำเหมือนจะกุมมือของเธอไว้ ทั้งสองทาบมือเข้าหากันผ่านกำแพงกระจกกั้น นาถสุดาพยายามยิ้มให้เทพที่ยืนจ้องหน้าเธออย่างงงๆ ตำรวจนอกเครื่องแบบแอบถ่ายคลิปวิดีโอด้วยมือถือเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ได้จากมุมหนึ่ง

ไศลาสนุกกับการฝึกใช้พลังเนตรอัคคี เธอชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกันแล้วยกขึ้นมาชี้ที่ระดับปลายคิ้วแล้วเพ่งกระแสจิตไปที่หินที่เรียงกันเป็นแถว หินระเบิดทีละลูก จากนั้นฝึกเล็งต้นไม้ที่มีใบหญ้าแห้งๆ แล้วจัดการเพ่งแล้วดูผลงานความแม่นของตัวเองอย่างพอใจ นักพรตเมฆขาวเดินออกจากศาลามายืนดูแล้วอดส่ายหัวไม่ได้
“เอมา...ไศลา การใช้พลังเนตรอัคคีจะตัดทอนพลังในร่างกายของเจ้า หากใช้พร่ำเพรื่อไม่ระวัง ร่างกายจะหมดแรง และต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวได้”
“ขอโทษค่ะหลวงปู่ ไศสนุกไปหน่อย”
“พลังพิเศษที่เจ้าได้ไปยังใช้ประโยชน์ได้อีกหลายทาง ทั้งรักษาโรคร้ายหรือบาดแผล”
“แล้วมีวิธีใช้ยังไงบ้างคะหลวงปู่”
“ไม่ว่าเจ้าต้องการจะทำอะไร ขอแค่เพียงตั้งสมาธิ ตั้งจิตอธิษฐานแล้วเพ่งไปที่สิ่งที่เจ้าต้องการ พลังตรีเนตรจะบันดาลให้เจ้าสมหวังได้ทุกสิ่ง”
ไศลาตื่นเต้น
“ทุกสิ่งเลยเหรอคะ”
นักพรตเมฆขาวพยักหน้า
“แต่ต้องไม่ใช่เรื่องที่มีเจตนาร้าย หรือไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนนะ”
ไศลากราบที่เท้านักพรตเมฆขาวอีกครั้ง
“ไศกราบขอบคุณหลวงปู่มากๆ อีกครั้งนะคะ”
“อย่าลืมนะไศลา อย่าละเมิดกฎทั้งสองข้อเด็ดขาด”
“ทุกคำสอนของหลวงปู่ ไศลาจะไม่ลืมและจะปฏิบัติตามที่หลวงปู่บอกอย่างเคร่งครัดค่ะ”
“เอาล่ะ ถึงเวลากลับไปปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้ว”
ไศลาพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ

ชูชิตนั่งดูทีวีอยู่กับอรชรอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน ชูชิตชะเง้อคอดูที่ประตู กระสับกระส่าย ผุดลุกผุดนั่งรอใครบางคนตลอดเวลา อรชรมองอย่างสงสัย
“พี่ชิตเป็นอะไรไป อรดูทีวีไม่รู้เรื่องแล้วนะ”
“รอนาถสุดาอยู่”
อรชรหยิกที่แขนเข้าชูชิตเต็มแรงจนร้องโอ๊ย
“จะไปรอมันทำไม คิดถึงมันมากใช่มั้ย”
“ใช่ที่ไหนเล่า พี่มีเรื่องจะต้องถามเขาต่างหาก อย่าไร้สาระนะอร”
เสียงรถขับเข้ามาในบ้านอรชรค้อน
“นั่นไง แฟนนางเอกของพี่มาแล้ว คุยกันให้ฉ่ำใจไปเลยนะ...เบื่อ”
อรชรทำเป็นงอนเดินขึ้นชั้นบน แต่จริงๆ ไปแอบฟังอยู่ตรงบันไดข้างบน นาถสุดาเดินเข้ามาใบบ้านด้วยท่าทีหงอยๆ
“คุณไปไหนมา”
นาถสุดาทำเป็นไม่ได้ยิน จะเดินหนีขึ้นชั้นบนไปอีกคน ชูชิตเดินเข้ามาขวางไว้
“เดี๋ยวก่อน ผมถามว่าคุณไปไหนมา”
“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณด้วย หลบเดี๋ยวนี้ ฉันไม่มีอารมณ์จะมามีเรื่องด้วย”
“คุณไปเยี่ยมไอ้เทพ ไอ้คงมาใช่มั้ย”
นาถสุดาชะงัก
“นั่นไง คุณไปเยี่ยมพวกมันมาจริงๆ ด้วย”
“แล้วไง ฉันจะไปเยี่ยมลูกน้องของฉัน มันไปหนักส่วนไหนของใครไม่ทราบ”
ชูชิตเดินเข้าไปจ้องหน้าจนนาถสุดาต้องถอยหลังหนี
“มันจะไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย ถ้าคุณตอบผมมาว่าคุณให้ ไอ้สองคนนั้นเข้าไปทำอะไรในป่า”
นาถสุดาอึกอัก
“ทำอะไร ป่าที่ไหน ฉันไม่รู้เรื่อง”
ชูชิตตบนาถสุดฉาดใหญ่
“ไอ้ชูชิต นี่แกกล้าตบฉันเหรอ”

นาถสุดาควักปืนในกระเป๋าสายขึ้นมา แต่ช้ากว่าชูชิตที่เอาปืนจ่อหัวเธอไว้แล้ว
“บอกไว้ก่อนนะว่าวันนี้ฉันเอาจริง”
นาถสุดาเห็นสายตาที่แข็งกร้าวของเขาแล้วตัดสินใจเก็บปืนไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม ชูชิตถอนปืนออกจากหัวแต่ยังไม่ยอมเก็บปืน
“ตอบมา คุณใช้ไอ้สองคนนั่นไปทำอะไรในป่า”
“ฉันไม่รู้ ทำไมแกไม่ไปถามนายดูล่ะ นายอาจจะเป็นคนสั่งก็ได้”
“ถ้าต้องทำถึงขนาดเอาฉันไปปล่อยเกาะไว้ขนาดนั้น มันต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่พวกแกต้องสมรู้ร่วมคิดกันแน่”
ชูชิตยื่นจมูกเข้าไปจนแทบจะชิดกับแก้มของนาถสุดา กระซิบข้างหู
“ฉันชักไม่อยากเป็นแฟนกับเธอแค่ในนามแล้วล่ะสิ เรามาอัพเกรดความสัมพันธ์กันวันนี้เลยดีมั้ยจ๊ะที่รัก”
นาถสุดารังเกียจชูชิตสุดๆ อรชรโกรธมากแทบจะกระโดดลงมาแสดงตัวตน นาถสุดาผลักอกชูชิตให้ออกห่างจากตัวเอง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...ฉันจะอ้วก บอกให้ก็ได้ว่านายสั่งให้คงกับเทพเก็บเมียเก่าของแกเรียบร้อยแล้ว และที่สองคนนั้นต้องเข้าป่า ก็เพื่อเอาศพเมียเก่าของแกไปทิ้งไงล่ะ”
นาถสุดาหัวเราะด้วยความสะใจ ชูชิตตกตะลึงไม่คาดคิดมาก่อน อรชรเอามือปิดปากด้วยความตกใจ ชูชิตเข้ามากระชากคอนาถสุดาตะโกนเสียงดังอย่างโกรธจัด
“นี่พวกแกฆ่าไศลาเหรอ ไม่จริง...ฉันไม่เชื่อ”
นาถสุดาหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดรูปถ่ายศพไศลาที่โดนยิงให้ดู ชูชิตดูรูปไศลานอนตายจมกองเลือดแล้วก็หมดสภาพเข่าอ่อน หน้าซีดเผือดน้ำตาไหล
“ไศลาตายแล้ว...”
นาถสุดากระชากโทรศัพท์มือถือคืนมาจากชูชิต เอาเท้าเขี่ยเขาให้พ้นทาง แล้วเดินจะขึ้นข้างบน แต่เปลี่ยนใจเป็นกลับออกไปข้างนอกบ้านใหม่ ชูชิตนั่งหมดสภาพร้องไห้ถึงไศลาอยู่ที่เดิม

นิ่มนวลเช็ดตัว นวดตัวให้วงทองอยู่ เสียงเตือนจากเครื่องแสดงชีพจรดังขึ้น ธีรธรรีบลุกขึ้นมากดเรียกพยาบาล พยาบาลวิ่งเข้ามาในห้อง
“คลื่นหัวใจและชีพจรตกผิดปกติ ต้องพาคนไข้เข้าไอซียูด่วนนะคะ”
พยาบาลกดเรียกเตียงมารับวงทองไปไอซียู ผู้ช่วยพยาบาลเข็นเตียงเข้ามาย้ายวงทองไปห้องไอซียู นิ่มนวลเริ่มร้องไห้โผเข้ากอดธีรธรที่มองเหตุการณ์ตรงหน้า ที่เกิดขึ้นเร็วมากอย่างอึ้งๆ

อรชรรอจนเห็นว่านาถสุดาออกไปแล้วก็รีบวิ่งลงมาหาชูชิต เธอตกใจเพราะไม่เคยเห็นสภาพของชูชิตแบบนี้มาก่อน
“นี่พี่ชิตรักพี่ไศมากขนาดนี้เลยเหรอ”
ชูชิตหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดูรูปถ่ายคู่ไศลากับตัวเองที่ซ่อนเอาไว้ เป็นรูปถ่ายตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมด้วยกัน
“ไศลา ชิตผิดเอง ชิตขอโทษ...ชิตขอโทษที่ให้ไศต้องเป็นแบบนี้” ชูชิตดูรูปแล้วก็ร้องไห้
อรชรเข้าไปกอดปลอบด้วยน้ำตา
“ไม่เป็นไรนะพี่ชิต พี่ไศเขาไม่โกรธพี่ชิตหรอก ต่อไปนี้...อรจะอยู่ดูแลพี่ชิตเองนะ”

เทพนั่งกอดเข่าหงอยเหงาอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ดวงตาไร้แววอยู่เหมือนเดิม ไศลาปลอมเป็นนางพยาบาลเข้าไปหาทำเป็นเข้าไปวัดไข้ วัดความดัน เธอจับข้อมือเทพก็เห็นนิมิตความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างเทพกับนาถสุดา
ไศลาตกใจเผลอปล่อยข้อมือกะทันหัน เทพเงยหน้ามาเห็นไศลาก็เหมือนถูกปลุกจากภวังค์ เขาปรี่เข้ามาจะบีบคอ ไศลาจับข้อมือเทพแล้วจับบิดจนเขาต้องยอมปล่อย เทพจะตบหน้า ไศลาหลบได้ เทพพยายามโจมตีในรูปแบบต่างๆ แต่โดนไศลาดักได้หมดทุกทาง แถมการเคลื่อนไหวของไศลายังรวดเร็วอย่างที่เทพตามไม่ทัน
“เทพ กลับตัวกลับใจซะเถอะ”
เทพไม่สนใจฟังยังคงตั้งหน้าเอาชนะไศลาให้ได้
“ฉันรู้นะว่าจริงๆ แล้วนายไม่ใช่คนเลว อย่างน้อยนายก็มีความรัก”
เทพถึงกับชะงัก และเปลี่ยนเป็นโกรธมากขึ้นอีก
“แกจะมาแส่รู้เรื่องของฉันได้ยังไง”
เทพตั้งใจโจมตีที่ตาที่สามของไศลา แต่คราวนี้เธอไม่พลาดอีกแล้ว ในที่สุดไศลาตัดสินใจใช้พลังพิเศษจากพลังเนตรอัคคีชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกันแล้วยกขึ้นมาชี้ที่ระดับปลายคิ้ว แล้วเพ่งกระแสจิตจ้องตาเทพ มีแสงสีเทาพุ่งตรงจากสายตาของเธอเข้าสู่ตาเขา เทพพยายามจะหลับตาหรือหันหน้าหนี แต่ทำไม่ได้ เขาเห็นเรื่องความเลวที่ตัวเองทำในอดีตว่ามันส่งผลร้ายถึงคนอื่นแค่ไหน การฆ่าคนที่เทพคิดว่าก็แค่ชีวิตเดียว มันนำมาซึ่งความเสียใจและความหายนะของบุคคลรอบข้างคนเหล่านั้นนับไม่ถ้วน ภาพเหยื่อที่เทพเคยไปดักฆ่าแว่บเข้ามา หลังจากเหยื่อตายแล้ว เมียเหยื่อก็ต้องทำงานหนักขึ้น ลูกก็ต้องไปขายพวงมาลัย ไปเช็ดกระจกตามสี่แยกจนถูกรถชนตาย เมียก็ตรอมใจตายในที่สุด พ่อแม่ของเหยื่อที่หวังจะฝากผีฝากไข้ ก็ต้องอยู่กันลำพังอย่างอนาถจนตาย เทพรู้สึกหดหู่กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
“นายไม่ใช่คนเลวโดยกำเนิด...ฉันรู้”
เทพน้ำตาไหล
“แล้วฉันจะชดเชยสิ่งที่ฉันทำไว้ได้ยังไง”

คงถูกมัดอยู่ที่เตียงในห้องพักผู้ป่วย เพราะคงยังมีอารมณ์โมโหและฉุนเฉียว ไศลาปลอมเป็นนางพยาบาลเข้าไปหาทำเป็นเข้าไปวัดไข้ วัดความดัน คงเห็นเป็นไศลาก็เลือดขึ้นหน้า พยายามจะลุกจากที่นอน ไศลาจ้องตาคง มีแสงสีเทาพุ่งตรงจากสายตาของเธอเข้าสู่ตาของเขา คงเห็นเรื่องความเลวที่ตัวเองทำในอดีตว่ามันส่งผลร้ายถึงคนอื่นแค่ไหน การฆ่าคนที่คงเห็นเป็นเรื่องสนุกมันนำมาซึ่งความเสียใจและความหายนะของบุคคลรอบข้างคนเหล่านั้นนับไม่ถ้วน ภาพนักดนตรีที่คงเคยไปซ้อมจนน่วมจนแขนเขาหักแว่บเข้ามา หลังจากที่โดนซ้อมปรากฏว่าแขนของนักดนตรีคนนั้นไม่สามารถกลับมาเล่นดนตรีได้อีก เขาเสียใจมาก กลับมาบ้านด้วยความเครียด สุดท้ายกลับไปบ้านไปยิงเมียและลูก ก่อนจะฆ่าตัวเองตายตาม คงนิ่งไป ไศลาคิดว่าคงสำนึกแล้ว ก็แกะผ้าที่ผูกกับเตียงออกให้ คงลุกขึ้นมาอาละวาดใส่ไศลาไม่ยั้ง แต่เธอโต้ตอบได้ทุกกระบวนท่า คงจัดหนักยกเตียงนอนขึ้นทุ่มใส่แต่ไศลาหลบทัน เธอโกรธมาก ใช้พลังพิเศษสองนิ้วจิ้มคิ้วเพ่งไปที่เตียงจนไฟลุก คงตกใจมาก
“ผะ ผะ ผี ผีหลอก”
คงพยายามหาทางออกจากห้อง แต่ก็โดนไศลาขวางไว้ได้ทุกที่
“ยอมรับความจริงแล้วกลับตัวกลับใจซะเถอะคง”
คงเริ่มสติแตก
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก แกจะหลอกฉันไปฆ่าใช่มั้ย”
ไศลาเริ่มเดินรุกเข้าไป คงเริ่มถอยหลังจนมุมไปเรื่อยๆ
“เชื่อฉันเถอะ ฉันอโหสิกรรมให้นายแล้ว นายยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่นะ”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ แกจะมาช่วยคนที่ฆ่าน้องแกได้ยังไง”
คงตัดสินใจกระโดดทะลุกระจกหน้าต่างหนีไป
“นายคง อย่านะ”
ไศลาตกใจวิ่งไปชะโงกดูเห็นร่างของคงกระแทกพื้นเสียชีวิตแล้ว

นพรัชเดินออกมาจากห้องไอซียูด้วยหน้าตาเคร่งเครียด ธีรธรกับนิ่มนวลรีบเข้าไปถาม
“หมอ แม่ฉันเป็นไงบ้าง”
“หัวใจกับอวัยวะภายในทำงานอ่อนแรงลงเรื่อยๆ”
“แล้วมีทางช่วยได้มั้ยคะ”
“ตอนนี้ผมก็ทดลองให้ยาตัวใหม่อยู่นะครับ คงต้องรอดูผลการรักษากันอีกที แต่ตอนนี้ถือว่าปลอดภัยแล้ว”
นพรัชตบไหล่ให้กำลังใจธีรธร
“แกไม่ต้องห่วงนะ ฉันต้องพยายามทำให้ดีที่สุด”
ขณะเดียวกันนั้น รปภ. วิ่งหน้าตื่นมาหานพรัช
“ผอ. ครับ คนไข้แผนกจิตเวชกระโดดตึกตายครับ”
นพรัชตะลึง
“รีบพาผมไปที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้เลย”
“หมอ ฉันไปด้วย” ธีรธรหันมาหานิ่มนวล “นิ่ม รออยู่ที่นี่ก่อนนะเดี๋ยวพี่มา”

ค่ำนั้น ไศลาพาเทพมาอยู่ที่บ้านตัวเองก่อน
“คุณคิดว่าที่นี่จะปลอดภัยเหรอ” เทพถามอย่างแปลกใจ
“ตอนนี้คงไม่มีใครคิดว่าฉันจะกล้าพาคุณมาอยู่ที่นี่ อีกอย่าง เราคงอยู่ที่นี่กันไม่นาน ฉันจะรีบส่งคุณให้ตำรวจกันเป็นพยานในคดี”
“ขอบคุณมากนะไศลา”
“คุณต้องขอบคุณตัวเองมากกว่าที่เลือกทางนี้” ไศลายิ้มให้อย่างเป็นมิตร

ดุลยศักดิ์กับนาถสุดานั่งกินมื้อเย็นกันไปดูทีวีไป ทีวีตัดเป็นรายงานข่าวด่วน ดุลยศักดิ์โมโหจะกดเปลี่ยนช่อง
“ต่อไปเป็นรายงานข่าวด่วน มีผู้ป่วยทางจิตเวชตกตึกในโรงพยาบาลเสียชีวิต”
ดุลยศักดิ์ชะงัก นาถสุดาหันไปตั้งใจฟัง
“ผู้เสียชีวิตคือนายคง ประสบโชค เป็นผู้ป่วยทางจิตเวชของโรงพยาบาลประชานิยม ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากจะมีผู้เสียชีวิตแล้ว ยังมีผู้ป่วยทางจิตเวชอีกคนหนึ่งหลบหนีไปด้วย ชื่อนายเทพ บุญสังสรรค์ และยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นการก่อเหตุฆาตกรรมแล้วหนีหรือไม่”
ดุลยศักดิ์กดรีโมทปิดทีวี นาถสุดาวางช้อน กินข้าวไม่ลง
“นายคิดว่าเทพจะเป็นคนทำคงมั้ยคะ”
ดุลยศักดิ์ยกไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
“ฉันเลี้ยงไอ้สองคนนี้มาด้วยกันตั้งแต่เล็ก คนที่ตายแทนกันได้มันไม่ฆ่ากันเองหรอก”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใครก็ตาม เท่ากับว่าเราเสียคนฝีมือดีไป ถึงสองคนพร้อมกัน ช่วงนี้จะทำอะไรคงต้องระวังกันหน่อยนะ”
“แล้วเรื่องนายชูชิต”
“เธอก็อยู่ที่บ้านชูชิตไปก่อน ตอนนี้เท่ากับเหลือมันเป็นกำลังหลักของเราคนเดียว อีกไม่นานก็จะถึงงวดส่งสินค้าล็อตใหญ่แล้ว ฉันไม่อยากให้มีอะไรติดขัดอีก”
“นายจะให้นาถส่งคนออกตามหาเทพมั้ยคะ”
“ไม่ต้อง คนอย่างไอ้เทพ ถ้ามันยังอยู่ มันต้องหาทางกลับมาเองได้แน่” ดุลยศักดิ์มั่นใจ

ธีรธร จ่านิด นพรัชประชุมกันเคร่งเครียดในห้องทำงานนพรัชที่โรงพยาบาล
“โคตรซวยเลยที่มาเจอเรื่องแบบนี้ โรงพยาบาลฉัน เลยถูกสงสัยว่าดูแลคนไข้ไม่ได้มาตรฐาน มีหน่วยนั้นหน่วยนี้มาขอตรวจสอบกันใหญ่เลย” นพรัชหัวเสีย
ธีรธรหันมาหาจ่านิด
“จ่า แล้วนายชูชิตติดต่อเรื่องรับศพมาบ้างหรือยัง”
“ในใบส่งตัวของนายเทพกับนายคง ญาติที่ให้ติดต่อไม่มีครับ เราเลยไม่มีหลักฐานที่จะต่อเรื่องไปถึงนายชูชิต”
“แล้วพยานหรือภาพจากกล้องวงจรปิดมันไม่มีบ้างเหรอ”
“พยานก็มีแค่ผมกับผู้กองครับ ส่วนภาพจากกล้อง เอ่อ...กล้องทางโรงพยาบาลมี แต่ไม่ได้เปิดไว้ครับ มีไว้ให้เห็นว่ามีเฉยๆ”
จ่านิดพูดแล้วต้องหลบตานพรัช
“อ้าว...ไอ้หมอ แล้วแกจะติดกล้องไว้ทำป้าอะไรวะเนี่ย” ธีรธรหันไปโวย
นพรัชเสียงอ่อย
“ก็ค่าดูแลมันแพงนี่หว่า”
เสียงเตือนมือถือของจ่านิดดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“อ๊ะ...มาแล้วครับ คลิปวิดีโอจากหน่วยนอกเครื่องแบบของเรา”
นพรัชหน้าตื่น
“เฮ้ย...นี่แกให้คนของแกมาซุ่มอยู่ในโรงพยาบาลฉัน โดยที่ไม่บอกฉันก่อนเนี่ยนะ”
“จะโวยทำไมวะ ไม่เบิกเบี้ยเลี้ยงก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“อันนี้เป็นคลิปของเช้าวันนี้นะครับ”
จ่านิดเปิดคลิปของนาถสุดาตั้งแต่ต้นจนจบให้ดู นพรัชยิ้มๆ
“ท่าทางผู้หญิงคนนี้จะรักนายเทพมากนะ อิจฉาว่ะ”
ธีรธรกับจ่านิดสบตากันอย่างเซ็งๆ
“แต่ฉันว่าผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นตามากเลยนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่ช่างเหอะ เปิดอันต่อไปเลยจ่า”
จ่านิดมองหน้าธีรธร
“ผู้กองพร้อมแล้วใช่มั้ยครับ”
“อ้าว...ก็พร้อมสิ เปิดเลย”
จ่านิดเปิดคลิปมาเห็นเป็นไศลาเดินผ่านเข้าไปในแผนกจิตเวชแล้วจบ นพรัชตกใจ
“คุณไศลา จ่า คลิปนี้ถ่ายตอนกี่โมง แล้วทำไมมันสั้นแค่นี้เนี่ย”
จ่านิดงงที่ดูเหมือนนพรัชจะมีอาการมากกว่าธีรธร
“เมื่อเย็นนี้เองครับ และที่สั้นเพราะว่ามันเย็นแล้ว แบตเลยหมด”
นพรัชสุดเซ็ง ธีรธรลุกขึ้นจริงๆ แล้วแอบรู้สึกไม่ดีที่เห็นนพรัชกระดี๊กระด๊าเรื่องไศลามาก
“อ้าว...จะไปไหนวะธี เรายังคุยกันไม่จบเลย”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรแล้วนี่ กลับไปนอนดีกว่า”
ธีรธรเปิดประตูออกไป จ่านิดกับนพรัชมองหน้ากันงงๆ

อรชรประคองชูชิตมานั่งที่ตะกินข้าว มีสุทธิพงษ์นั่งรออยู่แล้ว
“พี่ชิตทานเยอะๆ นะคะวันนี้ อรทำแต่ของที่พี่ชอบทั้งนั้นเลย”
อรชรตักข้าวให้ชูชิตกับตัวเอง สุทธิพงษ์ตักข้าวเอง ชูชิตหันไปถามสุทธิพษ์
“พงษ์ รู้เรื่องพี่ไศลาแล้วใช่มั้ย”
“รู้แล้วครับ”
ชูชิตพยักหน้าเศร้าๆ แล้ววางช้อน
“พี่ขอโทษนะอร พี่กินไม่ลงจริงๆ”
ชูชิตลุกขึ้นเดินไปข้างบน อรชรมองตามอย่างน้อยใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าพี่ชิตเขาจะรักพี่ไศลามากขนาดนี้” สุทธิพษ์เปรยๆ
อรชรเบ้หน้า
“รักมากแล้วไง ยังไงคนก็ตายไปแล้ว”
“นี่พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่พี่ไศลาตาย หรือว่า...มัวแต่จะหึงพี่ชิต”
“จะรู้สึกไม่รู้สึกอะไรมันก็เรื่องของฉัน แกจะมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“แค่อยากจะบอกว่าอย่าไปเสียเวลาหึงพี่ไศลาเลย ยังไงพี่ชิตก็รักพี่ไศลามากกว่าพี่อรอยู่ดี”
อรชรโมโหลุกขึ้นคว้าจานข้าวสุทธิพงษ์คืน
“ปากอย่างนี้ไปหากินเอาเองละกัน”
สุทธิพงษ์เห็นอรชรโกรธจริงก็ไม่กล้า ต้องลุกออกไปจากโต๊ะจริงๆ ทิ้งให้อรชรนั่งโมโหคนเดียว

ธีรธรเดินกลับไปที่ห้องพัก รู้สึกว่ามีคนเดินตามอยู่ตลอดเวลา เขาหันไปมองก็ไม่เจอใคร...ธีรธรเดินถึงมุมตึก มีคนร้ายใส่หมวกโผล่ออกมาต่อย เขาหลบทันดึงแขนคนร้ายไว้ คนร้ายใช้อีกมือชกเข้าที่ท้อง ธีรธรจุกจนต้องปล่อยมือของคนร้ายออกคนร้ายจะซ้ำ
“นี่คุณต่อยผมจริงๆ เลยเหรอไศลา”
ไศลาถอดหมวกออกอย่างงงๆ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”
ธีรธรหยิบหมวกไศลามาใส่อย่างยียวนชี้ที่หัวอย่างภูมิใจ
“มันสำคัญตรงนี้”
ไศลาอดขำไม่ได้
“คุณหายไปไหนมา ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
“นึกว่าไม่มีฉันแล้วคุณจะสบายซะอีก”
“ไม่จริงหรอก ไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงคุณ”
ทั้งสองคนสบตากัน ไศลาเขินหลบสายตา
“ฉันมีเรื่องสำคัญมาบอกคุณ ฉันได้นายเทพมาเป็นพยานให้คุณอีกคนแล้วนะ”
“ไศลา นี่คุณเกี่ยวข้องกับเรื่องวันนี้เหรอ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้”
“นี่คุณไม่ดีใจเลยเหรอที่ได้นายเทพมาเป็นพยานเพิ่ม”
“ก็ดีใจ แต่ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า มันอันตรายมากนะ”
“คุณธี ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย คุณมาช่วยฉันคิดต่อดีกว่าว่าเราจะเอายังไงกันต่อ”
โทรศัพท์มือถือธีรธรดังขึ้น เขากดรับสาย
“ฮัลโหลนิ่ม มีอะไรหรือเปล่า...คุณแม่โคม่าอีกแล้วเหรอแล้วนิ่มตามพี่หมอหรือยัง โอเค พี่จะรีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้”
ธีรธรหันพูดกับไศลา
“คุณแม่ผมอยู่ไอซียู ตอนนี้อาการหนักมาก เราต้องรีบไปหาท่านก่อน”
ธีรธรจูงมือพาไศลาวิ่งไปที่ห้องไอซียูทันที

นาถสุดาขับรถกลับเข้ามาที่บ้านชูชิต เธอลงจากรถ เห็นอรชรยืนกอดอกรออยู่หน้าบ้าน นาถสุดาไม่อยากสนใจ เดินผ่านไปทำเป็นไม่เห็น
“เดี๋ยวก่อน ไม่เห็นเหรอว่าฉันยืนรอเธออยู่ตรงนี้ ตาบอดหรือไงแม่ดาราใหญ่”
“อ๋อ...ขอโทษที พอดีไม่อยู่ในสายตา มีธุระกับฉันเหรอ มีอะไรก็ว่ามา ฉันให้เวลาสองนาที”
“ไปไหนมา กลับซะดึกป่านนี้”
“ถ้าจะถามแค่นี้ หมดเวลาสองนาทีของเธอแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อน ฉันอยากรู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะย้ายออกไปจากที่นี่ซะที”
“ทำไมฉันจะต้องย้ายออกไปจากที่นี่ด้วย ในเมื่อที่นี่มันเป็นบ้านว่าที่สามีของฉัน”
“หน้าด้าน...พี่ชิตเขาเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น”
“ทางพฤตินัยฉันไม่ถือ รอดูทางนิตินัยก็แล้วกัน”
อรชรเงื้อรองเท้าส้นสูงที่เตรียมไว้แล้วจะตบ นาถสุดาจับข้อมือไว้ได้แล้วผลักจนอรชรเซลงไปนั่งกับพื้น อรชรลุกขึ้นมาโผเข้าหาทั้งตัวจนล้มไปด้วยกัน อรชนขึ้นค่อมแล้วตบไม่เลี้ยง นาถสุดาเสียท่าพยายามปัดป้องแต่ไม่ถนัด เธอเอามือคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาตบเข้าไปที่หัวของอรชนจนมึนเซล้มลงจากตัว นาถสุดาลุกขึ้นจิกหัวอรชรจับโขกกระแทกพื้นสามทีติดจนหัวแตกเลือดอาบ
“ถือว่าแกยังโชคดีนะที่วันนี้ฉันเหนื่อยมามากแล้ว”
นาถสุดาปล่อยมือออกจากอรชร แล้วหยิบกระเป๋าเดินกลับหลังจะเข้าบ้าน อรชรไม่ยอม ฮึดยันตัวลุกขึ้นมาจับขาไว้ นาถสุดาเตะเสยคางของอรชรหลับกลางอากาศนอนกองอยู่ที่หน้าบ้าน นาถสุดาก้มลงไปพูด
“เรายังห่างกันอีกไกลนะน้อง ขอบคุณที่ให้พี่ได้ระบาย สบายใจขึ้นเยอะ”
นาถสุดาเดินสวยๆ เข้าไปในบ้าน

นิ่มนวลนั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องไอซียู พอเห็นธีรธรก็วิ่งเข้ามากอด ธีรธรปล่อยมือไศลาไปกอดนิ่มนวล ไศลาแอบรู้สึกนิดๆว่าท่าทีของนิ่มนวลดูแปลกๆ
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างนิ่ม”
“คุณป้าความดันตกอีกแล้วค่ะ พี่หมอบอกว่ายาที่ให้ไปไม่ได้ผล”
ไศลาเห็นธีรธรกอดนิ่มนวลก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน เลยเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าห้องไอซียู เงียบๆ
ที่ประตูห้องเปิดออก นพรัชเดินออกมา
“หมอ คุณแม่...” ธีรธรเข้าไปหาน้ำตาคลอ
“ธี แกทำใจดีๆ ไว้นะ ตอนนี้อาการคุณแม่...ถือว่าห้าสิบห้าสิบ”
นิ่มนวลร้องไห้โฮ
“หมอ แกต้องช่วยคุณแม่นะ จะเสียอะไร จะเสียเท่าไหร่ ฉันจ่ายเต็มที่”
“ธี...แกก็รู้ว่าฉันเต็มที่อยู่แล้ว เรื่องบางอย่างเงินมันซื้อไม่ได้นะเพื่อน”
ธีรธรน้ำตาไหล ไศลาขัดขึ้น
“ขอไศเข้าไปดูคุณป้าหน่อยได้มั้ยคะ”
นพรัชกับนิ่มนวลต้องตะลึงที่ได้เจอไศลาอีกครั้ง

ธีรธร นิ่มนวล และนพรัชยืนมองวงทองที่นอนอยู่ในห้องไอซียู ผ่านกระจกหน้าห้องมองพยาบาลเดินนำไศลาเข้าไปหาวงทอง ไศลาเดินไปยืนทำสมาธิที่ข้างเตียง
“ไอ้ธี ไหนแกบอกว่าติดต่อคุณไศลาไม่ได้ไง ทำไมแกต้องโกหกฉันด้วยวะ” นพรัชหันมาต่อว่า
“ฉันไม่ได้โกหก ตอนนั้นฉันติดต่อเขาไม่ได้จริงๆ แล้วจู่ๆ เขาก็มาหาฉันที่นี่”
นิ่มนวลไม่ค่อยพอใจนัก
“ผู้หญิงคนนี้ดูแปลกๆ นิ่มไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ธีถึงกล้าปล่อยให้เข้าไปหาคุณป้าแบบนี้”
“พี่กล้ารับรองว่าไศลาไม่มีทางทำร้ายคุณแม่แน่ๆ นิ่มสบายใจได้” ธีรธรยืนยัน
ไศลาทำสมาธิเสร็จแล้วหันไปบอกพยาบาลให้เดินมาปิดม่าน ไม่ให้คนนอกมองเห็นในห้องได้ พยาบาลเดินมาปิดม่านเสร็จเรียบร้อย หันมาถาม
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
พยาบาลเดินออกไป ไศลาเดินไปที่หัวเตียง หลับตาสวดมนต์แล้วเอามือวางบนหน้าผากวังทอง ขณะเดียวกันนั้นมีแสงสีขาวไหลออกมาจากมือไศลาแผ่ลงไปที่ศีรษะของวงทอง เธอลากมือไล่ลงมาที่จมูก ปาก คอ หน้าอกจนมาหยุดที่ท้องของวงทอง แสงสีขาวยังไหลออกจากฝ่ามือไม่หยุด เข็มความดันและการเต้นของหัวใจของวงทองตัวเลขเริ่มกระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ ไศลายังคงหลับตาสวดไม่หยุด แสงสีขาวกระจายตัวไปคลุมร่างวงทองไว้ทั้งหมด

เช้ามืด...นาฬิกาปลุกดังขึ้น เข็มนาฬิกาบอกเวลาตี 5 ชูชิตยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง
“อรจ๋า กดนาฬิกาปลุกให้พี่หน่อย พี่ขออีก 5 นาที”
เสียงนาฬิกาปลุกยังดังอยู่
“อร กดนาฬิกาให้หน่อย”
ชูชิตลุกขึ้นมากดนาฬิกาปลุกด้วยความโมโห แล้วหันมาหาอรชร แล้วเขาก็ชะงักเมื่อเห็นว่าที่นอนของอรชรว่างเปล่า เขาลุกไปเปิดห้องน้ำดูก็ไม่เจอ เขาเริ่มใจคอไม่ค่อยดีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“ฮัลโหล พงษ์อยู่กับพี่อรหรือเปล่า”

ไศลาเดินออกมาจากห้องไอซียู ท่าทางอิดโรยเซจะล้ม ธีรธรรีบเข้าไปประคอง แล้วเธอก็เป็นลมหมดสติไป

ชูชิตวิ่งลงมาจากข้างบน เห็นอรชรนอนกองอยู่ที่หน้าบ้านก็วิ่งเข้าไปปลุก
“อร...อร ตื่นได้แล้ว ไปเมาที่ไหนมาเนี่ย”
ชูชิตตกใจที่เห็นคราบเลือดที่หัวของอรชร

ไศลานอนหลับอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นนักพรตเมฆขาวยืนอยู่ข้างเตียง
“หลวงปู่”
“เอมา...จิตของเจ้ายังไม่แข็งพอ เมื่อใช้พลังเกินตัวไปจึงเป็นเช่นนี้”
นักพรตเมฆขาวยกหัวไม้เท้ามาแตะที่ตาที่สามของไศลา พลังงานสีขาวไหลออกจากไม้เท้าเข้าสู่ตัว ไศลาสีหน้าค่อยๆ ดีขึ้น

อ่านต่อหน้าที่ 4


กุหลาบไฟ ตอนที่ 3 (ต่อ)

นพรัชเดินยิ้มออกมาจากห้องไอซียู ไปหาธีรธรกับนิ่มนวลที่นั่งรออยู่
“ข่าวดีมาก คุณแม่รู้สึกตัวแล้ว และอาการก็ดีขึ้นมาก”
นิ่มนวลโผเข้ากอดธีรธรด้วยความดีใจ
“ถ้าบ่ายนี้ไม่มีอะไรผิดคาด ฉันก็จะย้ายคุณป้ากลับไปห้องพิเศษได้เลย”
“จริงเหรอวะหมอ นี่มันปาฏิหาริย์มากเลยนะ” ธีรธรดีใจ
นพรัชพยักหน้า
“ตอนนี้ความดันกับการเต้นของหัวใจ กลับมาทำงานปกติดีทุกอย่าง แถมคุณแม่ยังรู้สึกตัว พูดคุยได้ปกติอีกด้วย”
“ขอนิ่มเข้าไปเยี่ยมคุณป้าบ้างได้มั้ยคะ”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งเลยครับ รอตอนย้ายเข้าห้องพิเศษทีเดียวดีกว่าเพื่อความชัวร์”
ธีรธรเข้าไปกอดนพรัช
“ขอบใจมากนะหมอ ฉันไม่รู้จะตอบแทนแกยังไงจริงๆ”
นพรัชกระซิบ
“ฉันคิดว่าคุณไศลาน่าจะเป็นเจ้าของปาฏิหาริย์ตัวจริง”

ชูชิตเดินประคองอรชรที่มีผ้าก๊อซพันหัวอยู่เดินเข้ามาในบ้าน สุทธิพงษ์เดินถือของตามเข้ามาด้วย ชูชิตพาอรชรไปนั่งที่โซฟารับแขก อรชรเอามือจับแผล หน้าตาบอกว่ายังเจ็บอยู่
“บอกให้นอนโรงพยาบาลดูก่อนก็ไม่เชื่อ มาอยู่บ้านแบบนี้จะไหวมั้ยเนี่ย”
“ก็อรไม่ชอบนอนโรงพยาบาลนี่ แล้วผลแสกนมันก็ออกมาแล้วว่าไม่เป็นไร”
ชูชิตบ่นงึมงำ
“พี่น้องนี่ดื้อเหมือนกันไม่มีผิด”
อรชรชะงัก
“พี่ชิตว่าอะไรนะคะ”
“พี่ว่าอรขึ้นไปพักบนห้องเลยดีกว่า”
ชูชิตหันไปบอกสุทธิพงษ์
“เดี๋ยวพงษ์ไปย้ายของมานอนบ้านนี้ชั่วคราวนะ จะได้ช่วยดูแลพี่อรจนกว่าจะหาย ไปตอนนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ดูแลพี่อรเอง”
สุทธิพงษ์รับปากแล้วเดินออกไป ชูชิตลุกขึ้นประคองอรชรเดินขึ้นบันไดไปข้างบน
“โอ๊ย...หวังว่าพี่ชิตคงไม่ให้อรเจ็บตัวฟรีหรอกนะคะ”

ดุลยศักดิ์นั่งคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โต๊ะทำงาน โน้ตบุ๊คตั้งอยู่ตรงหน้า
“คราวนี้ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ เหรอครับ ผมแค่อยากได้ลูกน้องคืน ให้รอผลสืบสวน ไม่รู้ชาตินี้จะได้หรือเปล่า”
หน้าจอโน้ตบุ๊คของดุลยศักดิ์มีเสียงเตือนว่ามีอีเมลเข้า เขาคลิกเปิดอ่านอีเมลฉบับนั้น หน้าจอโน้ตบุ๊คเปลี่ยนเป็นรูปถ่ายธีรธรในชุดเครื่องแบบเห็นหน้าชัดเจน
“คนนี้เหรอครับที่ทำคดีเทพกับคง ยังหนุ่มอยู่เลยนะครับ”
ดุลยศักดิ์แววตาเป็นประกาย คิดอะไรบางอย่างได้

นพรัชหอบของเยี่ยมพะรุงพะรังมาเยี่ยมไศลาที่ห้อง แต่ไม่เจอก็ตกใจ ไศลาเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี นพรัชรีบวางของเยี่ยมแล้วปรี่ไปช่วยประคอง
“จะเข้าห้องน้ำทำไมไม่กดเรียกพยาบาลมาช่วยล่ะครับ คุณไศลา”
“ไศลาไม่เป็นไรแล้วค่ะคุณนพ แค่เพลียไปหน่อยเท่านั้นเอง ตอนนี้เดินเองได้สบายมาก”
ยังไม่ทันที่นพรัชจะปล่อยมือออกจากตัวไศลา ธีรธรก็เข้ามาพอดีมีของมาเยี่ยมเหมือนกัน ธีรธรเห็นนพรัชประคองไศลาอย่างแนบชิดก็เกิดอาการไม่พอใจ อารมณ์ไม่ค่อยจะดี
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะครับ”
ไศลาหน้าจ๋อย นพรัชสัมผัสอาการไม่พอใจของธีรธรได้
“ขัดจังหวะอะไรกันวะ ฉันแค่ช่วยประคองคุณไศลาเดินออกจากห้องน้ำ กลัวเธอจะล้มก็แค่นั้นเอง”
ธีรธรสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย แต่ยังฟอร์มอยู่
“ผมซื้อก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่คุณชอบมาให้ กลัวจะเบื่ออาหารโรงพยาบาล”
ไศลาดีใจ
“ขอบคุณค่ะ ฉันกำลังหิวอยู่พอดีเลย”
นพรัชรีบบอก
“ดีเลยครับ ผมก็เตรียมมาเยอะแยะเลย มีทั้งไก่ดำตุ๋น โจ๊กเป๋าฮื้อ ซูชิ พอร์คช็อปสเต็ก”
ธีรธรหน้าเหวอ
“ไอ้หมอ แกไปขนอะไรมามากมาย นี่มันแค่มื้อเที่ยงนะ”
“ก็ฉันยังไม่รู้ว่าคุณไศลาชอบทานแบบไหนไทย จีน ยุโรป ฉันก็เลยเอามาเผื่อให้เลือก”
ธีรธรส่ายหัวกับการพยายามทำคะแนนของเพื่อน
“เป็นหน้าที่ของเธอแล้วไศลา ว่าจะเลือกของใคร”
ไศลามองธีรธรกับนพรัช ที่กำลังกดดันทางสายตากับเธออยู่แล้วถอนใจ
“ไศกินข้าวโรงพยาบาลแล้วกันค่ะ สะอาด ปลอดภัย ไร้กังวล”
นพรัชกับธีรธรหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“ไอ้ธี ทำไมแกจะต้องให้คุณไศลาเลือกวะ ในเมื่อของมันเยอะขนาดนี้ ฉันว่าเราทุกคนมากินด้วยกันดีกว่า กินหลายๆ คนสนุกดี”
“ไอ้หมอ...วันนี้ความคิดแกเข้าท่ามาก เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ฉันหิวแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวไศเอาอาหารไปจัดใส่จานให้นะคะ”
ธีรธรรีบห้าม
“คุณเป็นคนป่วยไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวผมกับไอ้หมอจัดการเอง”
สองหนุ่มเดินไปจัดการเทอาหารใส่จาน นพรัชกระซิบ
“แล้วน้องนิ่มไม่มากินด้วยกันเหรอ”
“ชวนแล้วเขาไม่ยอมมา ฉันเลยพาไปกินเรียบร้อยแล้วถึงได้มานี่...ไม่งั้นไม่ช้ากว่าแกหรอก”
ไศลามองสองหนุ่ม ที่กุลีกุจอช่วยกันจัดอาหารอย่างอารมณ์ดี

นาถสุดาแต่งหน้าเตรียมออกไปทำงาน โทรศัพท์มือถือส่งเสียงข้อความเข้า เธอหยิบขึ้นมาอ่านข้อความ
“เจอกันเย็นนี้ที่บ้าน”
นาถสุดาเบ้หน้าอย่างเบื่อหน่ายไม่อยากไป เสียงเคาะประตูห้องดังรัวขึ้น
“นั่นใคร”
“ฉันเอง เจ้าของบ้าน”
นาถสุดาเดินไปเปิดประตูห้อง ชูชิตเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู
“รู้เรื่องแล้วสินะ” นาถสุดาถามเรียบๆ
“ทำไมถึงต้องทำร้ายอรชรขนาดนั้น”
“แล้วทำไมไม่ถามมันดูล่ะ”
ชูชิตโกรธเข้ามาจับไหล่นาถสุดา
“เธอไม่มีสิทธิทำร้ายคนในบ้านนี้เข้าใจมั้ย”
นาถสุดากระชากตัวเองออกจากมือเขา
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหานะ ถ้ามันไม่แส่วิ่งมาหาเรื่องฉันก่อน”
“ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอมีปัญหากับคนในบ้านฉันอีก ก็ขนของกลับไปได้เลย อย่าคิดว่าฉันจะกลัวเธอนะ ไอ้เทพ ไอ้คงมันก็ไม่มาคอยอยู่ช่วยแล้วแบบนี้ ยิ่งง่ายใหญ่”
นาถสุดาได้ยินชูชิตพูดถึงเทพก็โมโห
“นายคิดว่าฉันอยากอยู่ที่นี่นักเหรอ ก็ดีนะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าฉันไปบอกนายว่าขอย้ายออกเพราะนายไล่ ใครมันจะเดือดร้อนมากกว่ากัน”
ชูชิตยิ้มหยัน
“แล้วถ้านายใหญ่รู้เรื่องของเธอกับไอ้เทพล่ะ ใครมันจะเดือดร้อนมากกว่ากัน”
ชูชิตหัวเราะด้วยความสะใจ นาถสุดาอึ้งไป

ไศลา ธีรธร นพรัชนั่งกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย
“อาการคุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ” ไศลาเอ่ยถาม
“ดีขึ้นมากเลยครับ เดี๋ยวบ่ายนี้ก็คงย้ายเข้าห้องพิเศษได้แล้ว” นพรัชยิ้มแย้มบอก
ไศลาดีใจมาก
“ยินดีด้วยนะคะคุณธี”
“ขอบคุณมากครับ”
ธีรธรสบตากับไศลาอย่างสื่อความรู้สึกดีๆ ถึงกัน นพรัชแปลกใจ
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณไศลาทำยังไงครับ คุณป้าถึงได้ อาการดีขึ้นแบบนี้”
“ไม่ได้ทำอะไรนี่คะ ไศลาแค่สวดมนต์ นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรคุณป้าเท่านั้นเอง”
นพรัชจะถามต่อ ก็พอดีมีเสียงประกาศในโรงพยาบาลดังขึ้น
“นายแพทย์นพรัช เชิญที่แผนกผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยค่ะ...นายแพทย์นพรัช เชิญที่แผนกผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยค่ะ”
“งานเข้าซะงั้น ผมขอตัวก่อนนะครับคุณไศลา ธี ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน”
นพรัชยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วรีบออกจากห้องไป
“ผมอยากให้คุณเล่าให้ผมฟังว่าคุณหายไปไหนมา เอาตั้งแต่วันที่ออกจากบ้านผมไปเลยนะ” ธีรธรถามขึ้น เมื่อยู่กันตามลำพัง
“เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกันนะคะ ตอนนี้ที่คุณต้องรู้คือนายเทพอยู่ที่บ้านฉัน และยินดียอมเป็นพยานให้เรา คุณต้องรีบพานายไปเทพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนที่พวกชูชิตจะรู้”
ธีรธรรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“จ่านิดเหรอ ตอนนี้อยู่ไหน”

เย็นนั้น ดุลยศักดิ์นั่งรอที่โต๊ะอาหารที่จัดไว้พร้อมแล้ว จิบไวน์อย่างใจเย็น นาถสุดารีบเข้ามา
“ขอโทษด้วยค่ะนาย ที่นาถมาช้า งานเพิ่งจะเสร็จ”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่าทำงาน นั่งสิ”
นาถสุดานั่งลง
“นายเรียกนาถมาวันนี้มีธุระอะไรเหรอคะ”
“ไม่กินข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุยเหรอ”
“ช่วงนี้กำลังลดน้ำหนักค่ะนาย”
ดุลยศักดิ์ส่ายหัว
“ไม่เห็นจะอ้วนตรงไหน พวกผู้หญิงนี่ห่วงสวยมากกว่าปากท้องจริงอีกนะ”
ดุลยศักดิ์หยิบมือถือขึ้นมาส่งรูปเข้ามือถือของนาถสุดา มือถือของเธอส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า เธอหยิบมือถือขึ้นมากดดู รูปธีรธรปรากฏขึ้นมา
“นี่คือ ร้อยตำรวจเอกธีรธร สุริยาฉาย เป็นคนดูแลคดีที่เทพหายตัวไป เป็นไง หล่อมั้ย”
นาถสุดาแอบสะเทือนใจที่ได้ยินชื่อเทพ
“ก็หน้าตาดีนะคะ แต่นายดูดีกว่าเยอะค่ะ”
ดุลยศักดิ์หัวเราะพอใจ
“หน้าที่ของเธอคือหาทางเข้าหาไอ้หน้าอ่อนนี่ แล้วสืบความคืบหน้าของคดีเทพให้ฉันรู้”
“ได้เลยค่ะนาย นาถจะไม่ทำให้นายผิดหวัง”
ดุลยศักดิ์พยักหน้าด้วยความพอใจ นาถสุดามีความหวังขึ้นมาว่าเทพจะหายเป็นปกติ

ค่ำนั้น เทพเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังจะแต่งตัว ก็ได้ยินเสียงคนแก่ข้างบ้านร้องขอความช่วยเหลือ เขาตั้งใจฟังจนแน่ใจแล้วก็รีบหยิบปืนแล้วรีบวิ่งออกไปช่วย
นักเลงโต๊ะบอล 2 คนกำลังรื้อของในบ้านกระจุยกระจาย นักเลงคนหนึ่งยกปืนจ่อไปที่ตัวลุงแก่เจ้าของบ้านที่หมอบตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ที่พื้น เทพแอบเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ แอบดูเหตุการณ์อยู่ที่หน้าต่าง
“อะไรวะ บ้านออกใหญ่โต ทำไมไม่มีของมีค่าอะไรเลยวะเนี่ย”
นักเลง เข้าไปกระชากคอลุงเจ้าของบ้านที่โดนซ้อมตาบวมปูด เลือดกบปากขึ้นมาจากพื้น
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าซ่อนเงินกับทองไว้ที่ไหน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มี ตั้งแต่ลูกข้าไปเข้าแก๊งกับพวกเอ็ง มันก็เอาของในบ้านไปขาย เอา เงินไปเล่นบอลลงบ่อนของพวกเอ็งหมดแล้ว ยังจะมาเอาอะไรกับข้าอีก”
“โกหก ก็ลูกชายแกยังบอกอยู่ว่ายังมีอยู่ในเซฟอีกเป็นล้าน บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเอาไว้ที่ไหน”
ลุงไม่ยอมตอบ เทพแอบหาทางเข้าไปในบ้าน นักเลงคนหนึ่งจับลุงล็อคไว้ อีกคนเข้ามาต่อยที่หน้าลุงชุดใหญ่จนตัวงอ กระอักเลือด
“ทำเป็นหัวหมอส่งลูกหนีไปเมืองนอก คิดเหรอว่าทุกอย่างมันจะจบ”
นักเลงพยักหน้าให้เพื่อนต่อยเข้าที่หน้าของลุงอีกชุดใหญ่จนหน้าบวมปูดไปหมด ปากแตกเลือดไหลย้อย แต่ยังไม่ยอมพูดอะไร เทพเข้าไปชาร์จตัวนักเลงแล้วแย่งปืนมาได้
“ปืนปลอมนี่หว่า ไอ้พวกกระจอกเอ๊ย”
เทพเอาด้ามปืนฟาดเข้าที่หน้าของนักเลงไปมาจนมันมึนทรุดลงไปกองที่พื้น นักเลงอีกคน กระโดดเข้ามาล็อคคอจากข้าง เทพเอาหลังกระแทกกำแพงจนมันร่วงลงมาที่พื้น นักเลงคนแรกลุกขึ้นหยิบแจกันจะฟาดที่หลัง เทพหลบอย่างเร็ว นักเลงคนนั้นเลยไปทุ่มแจกันใส่เพื่อนจนสลบเหมือด นักเลงเห็นเพื่อนสลบแล้วจึงเปลี่ยนใจวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว เทพวิ่งตามออกไป...นักเลงวิ่งหนีออกไปทางหน้าบ้านจับถังขยะหน้าบ้านใส่เทพเพื่อประวิงเวลาหนี เทพกระโดดหลบได้แล้วรีบวิ่งตามต่อจนถึงหน้าบ้านไศลา จ่านิดขับรถมาจอดหน้าบ้านพอดี
จ่านิดลงจากรถพุ่งตัวมาชาร์จเทพที่วิ่งอยู่จนล้มนอนไปกับพื้นด้วยกัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเทพ ไหนว่ากลับตัวเป็นคนดี”
“จับผมทำไมล่ะคุณตำรวจ ตามไอ้นั่นไปเร็ว มันเป็นคนร้าย” เทพโวยวาย

ค่ำนั้น ธีรธรเดินผ่านร้านหนังสือ ในมือของเขาถือถุงของชำมาด้วย เขาหยุดเลือกหยิบดูหนังสือพิมพ์ มีวัยรุ่นยืนอยู่ข้างๆ ขณะที่ร่างเป็นกลุ่มควันของโยคีศิลาดำ น้องชายของนักพรตเมฆขาว ซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน มีวิชาอาคมที่แก่กล้าไม่ต่างกัน แต่เลือกที่จะเดินคนละเส้นทาง โดยเลือกที่จะมาทำงานให้กับดุลยศักดิ์ ยืนมองธีรธรอยู่ในมุมมืดไม่ไกลออกไปนัก
ธีรธรหยิบกระเป๋าสตางค์ ออกมาจะจ่ายค่าหนังสือพิมพ์ วัยรุ่นชำเลืองมองดูสตางค์ในกระเป๋าเห็นธีรธรเอากระเป๋าสตางค์เหน็บใส่กระเป๋าหลังกางเกงแบบหลวมๆ แล้วเดินไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ริมถนนหน้าร้านหนังสือ วัยรุ่นเดินตามไป ขณะที่ธีรธรหันหลังเปิดกระโปรงรถเก็บของ วัยรุ่นคนนั้นกลายเป็นคนร้ายทันทีเขาเข้ามาเดินชนแล้วดึงกระเป๋าออกไปจากด้านหลังกางเกง ธีรธรสู้สึกตัว จับกระเป๋าสตางค์ด้านหลัง เขาหันไปเรียกเด็กวัยรุ่นที่ทำเป็นเดินเฉย
“ไอ้น้อง”
คนร้ายหันมาเห็นว่าธีรธรรู้ตัวแล้ว เขาวิ่งหนี ธีรธรวิ่งตามไปทันที...คนร้ายวิ่งหนีสุดชีวิต เลี้ยวเข้าไปในตรอกสุดซอย เขาหาทางไปต่อไม่ได้ จะวิ่งย้อนกลับมาที่เดิมก็พบว่าโยคีศิลาดำเดินนิ่งเข้ามาขวางทางเข้าไว้
“พี่เป็นใคร เกี่ยวอะไร”

โยคีศิลาดำเปิดหน้าให้เห็นชัดเจน คนร้ายวิ่งเข้าไปต่อย แต่ปรากฏว่าวืดไป โยคีศิลาดำหายไปอยู่ด้านหลัง มันหันไปจะต่อยอีก แต่โยคีศิลาดำนิ่งมองส่ายหน้าแบบเอือมระอา คนร้ายรู้แล้วว่าเจอคนไม่ธรรมดา มันจะวิ่งหนีก็ปรากฏว่าโยคีศิลาดำ ดักหน้าไว้แล้วเข้ามาจ้องตาคนร้ายร่างของมันก็ทรุดลงไปกอง ก่อนที่จะสลายกลายเป็นฝุ่นไป โยคีศิลาดำรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้น เขากลายร่างเป็นคนร้ายแทน ธีรธรวิ่งเลี้ยวเข้ามาพลางหอบ
“อยู่นี่เอง วิ่งหาซะ...”
คนร้ายนิ่งมองธีรธร ตาแดงกล่ำ ต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ
“เอากระเป๋าคืนมาเหอะ บัตรเพียบเลย ขี้เกียจแจ้งหาย” เขามองคนร้ายรู้สึกว่าเปลี่ยนไป จึงเลิกชายเสื้อให้เห็นกุญแจมือ “พี่ออกเวรอยู่ จะรีบกลับไปโรงพยาบาล”
คนร้ายเดินรี่เข้ามาท่าทางเอาเรื่อง
“เสียอนาคตเปล่าๆ...”
ธีธรพูดยังไม่ทันขาดคำ เขาก็โดนคนร้ายพุ่งเข้ากระแทก จนกุญแจมือหลุดลงพื้น
“ไอ้น้อง...”
ธีรธรเข้าไปจะเล่นงานแต่ปรากฏว่า เขาไม่สามารถทำอะไรได้ คนร้ายมีเรี่ยวแรงมหาศาล เหวี่ยงเขาปลิวไป แล้วพุ่งเข้าไปต่อยท้อง คนร้ายก้มเก็บกุญแจมือที่หล่นอยู่ ธีรธรเข้าไปล็อคเอวมันจากด้านหลัง แว่บนึงร่างคนร้ายในอ้อมแขนกลายเป็นโยคีศิลาดำ ธีรธรตกใจ ยกร่างมันทุ่มหงายท้องคอมันกระแทกพื้นดังกร๊อบ ร่างนั้นมองเห็นเป็นคนร้ายอีกครั้ง ธีรธรหอบแฮ่ก ขยี้ตาตัวเอง
“เมื่อกี๊มันอะไรวะ”
ธีรธรหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกด ร่างคนร้ายที่นอนนิ่งอยู่ด้านหลังเริ่มขยับตัว เขายังไม่เห็น
“จ่านิดเหรอ มารับตัวผู้ต้องหาไปสอบที...ผมต้องรีบกลับไปโรงพยาบาลอีก”
แล้วสัญญาณโทรศัพท์ก็ติดๆขัดๆ เมื่อร่างคนร้ายลุกขึ้นมายืนด้านเหลังธีรธร คอวัยรุ่นเอียงพับ
“แค่นี้ก่อนจ่า เดี๋ยวโทรกลับ”
ธีรธรหันกลับไป เห็นสภาพคนร้าย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะลุกขึ้นยืนได้อีก
“ไอ้น้อง...”
คนร้ายเสียงเป็นโยคีศิลาดำ
“เราต้องได้เจอกันอีกแน่”
“เรื่องอะไรวะ”
คนร้ายไม่ตอบร่างชักกระตุกสั่นงั่กๆ แล้วก็ล้มลงแน่นิ่งไป ธีรธรได้แต่ยืนงง กลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ดุลยศักดิ์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้อง รอการมาของใครคนหนึ่งอยู่ แล้วนาถสุดาก็เดินเข้ามา
“เรียกมาด่วนแบบนี้ คงมีเรื่องแน่ๆ”
“ฉันอยากให้เธอไปรับคนๆนึง...เขาจะมาช่วยงาน”
“สำคัญยังไง ถึงขนาดต้องไปรับ”
“เขามาเองก็ได้ แต่มันจะเป็นการไม่ให้เกียรติเขา”
นาถสุดานิ่งฟัง
“กายทิพย์ของเขามาถึงแล้ว เธอช่วยไปรับกายหยาบเขามาที”
นาถสุดาพอจะรู้แล้ว
“หรือว่า...”
ดุลยศักดิ์พยักหน้า
“อาจารย์ของเธอไง”
นาถสุดาหวั่นๆ
“โยคีศิลาดำ”
“เราไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว”
นาถสุดามีแววหวั่นใจ อย่างลูกศิษย์กลัวอาจารย์...

ในห้องคนไข้ นพรัชตรวจอาการของวงทอง โดยมีธีรธร และนิ่มนวลรอฟังผล
“อาการของคุณแม่ดีขึ้นมากเลยนะครับ ตอนนี้ไม่พบความผิดปกติอะไรแล้ว”
“ให้แม่กลับบ้านได้หรือยังลูก แม่อยากกลับบ้าน” วงทองถามอย่างอยากกลับบ้านเต็มที่
นพรัชจับมือของวงทองอย่างอ่อนโยน
“ถ้าอีกสองวันคุณแม่อาการยังดีขนาดนี้ ผมให้คุณแม่กลับบ้านได้เลยครับ”
วงทองยิ้มด้วยความดีใจที่ได้กลับบ้าน ธีรธรถือจานผลไม้เข้ามาให้แม่
“ทานผลไม้ซะหน่อยนะครับคุณแม่”
ธีรธรป้อนผลไม้ให้แม่อย่างมีความสุข

ตำรวจ 2 นายคุมตัวนักเลงสองคนขึ้นรถที่จอดอยู่ เทพกับจ่านิดช่วยกันประคองลุงข้างบ้านขึ้นรถพยาบาล
“ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม ที่ช่วยชีวิตลุงไว้” ลุงมองเทพอย่างซึ้งใจ
“ไม่เป็นไรครับลุง ขอให้ลุงหายไวๆ นะครับ”
ลุงพูดกับจ่านิด
“คุณตำรวจอย่าจับพ่อหนุ่มนะครับ คนร้ายจริงๆ คือไอ้สองคนนั้น ถ้ามีอะไร ติดต่อผมได้เลยนะครับ”
จ่านิดตะเบ๊ะ
“ขอบคุณมากครับ”
รถพยาบาลขับพาลุงออกไป
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อว่านายเทพจะกลับตัวได้จริง แต่พอมาเจอแบบนี้แล้ว...ดีใจด้วยนะ”
จ่านิดตบบ่าให้กำลังใจเทพ

กำลังโหลดความคิดเห็น