กุหลาบไฟ ตอนที่ 10
ธีรธรเอารถเข้าในบ้าน สังเกตเห็นไฟในบ้านแม่ปิดทุกดวง บ้านดูมืดกว่าปกติ เขาเริ่มรู้สึกผิดสังเกต จึงลงจากรถเพื่อไปดู ธีรธรมองเห็นกระจกหน้าต่างบานหนึ่งแตก เขาหยิบปืนมาเตรียมพร้อมทันทีค่อยๆย่องเข้าไปในบ้าน...ธีรธรย่องในความมืดเข้ามาในบ้าน ชูชิตในหมวกโม่งลงมาจากฉันบน สมุนที่สวมโม่งเข้ามาบอก
“พี่...ผมเห็นรถคนเข้ามาจอด ไอ้ตำรวจนั่นอาจกลับมาแล้วก็ได้”
“เออ งั้นรีบออกไปเถอะ”
ธีรธรเผยตัวออกมาเอาปืนจ่อทั้ง 4 คนเวียนไปมา
“พวกแกเป็นใคร...เข้ามาทำอะไรในบ้านฉัน”
วงทองฟื้นขึ้นจากสลบพอดี
“ตาธีช่วยแม่ด้วย”
“แม่...”
ชูชิตรีบประกบวงทองพร้อมชักปืนมาจ่อทันที
“ทิ้งปืนซะ”
“โอเค”
ธีรธรค่อยๆวางปืนลงบนพื้นอย่างมีสติ สมุนคนหนึ่งเดินมาเอาเท้าเตะปืนไปให้ห่างจากธีรธร
“ฉันมือเปล่าแล้ว ปล่อยแม่ฉันสิ”
“จับมันมัดไว้”
สมุนสามคนในชุดโม่งจะเข้ามาจับตัวธีรธรแต่เขาก็ใช้ความว่องไวของทักษะการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาจัดการกับสมุน ทั้ง 3 ได้อย่างคล่องแคล่ว จนสมุนทั้ง 3 ลงไปกอง ชูชิตยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการขู่ ธีรธรชะงัก ตกใจหันไปดู เห็นวงทองยังปลอดภัย
“อย่าทำอะไรแม่ฉันนะ แม่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“แกน่ะระวังตัวให้ดีเถอะ เที่ยวไปยุ่งเรื่องของคนอื่นนักไม่งั้นคราวหน้าไม่โดนแค่นี้แน่”
ชูชิตผลักวงทองใส่ธีรธร แล้วก็วิ่งหนีไป ธีรธรรับแม่มาห่วงใย
“แม่เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“แม่ไม่เป็นอะไร แต่ยายนิ่มสิ ยายนิ่มหายไปไหน”
ธีรธรหันไปมองสมุนคนอื่นเห็นสลบอยู่
“แม่ขึ้นไปบนห้องแล้วล็อคประตูนะครับ เดี๋ยวผมจะไปจัดการมันก่อน”
ธีรธรวิ่งออกไป
“ตาธี อย่าไปเลยลูก...ตาธี”
วงทองเห็นลูกไม่ฟังตนแล้ว มองที่สมุนก็เกรงๆ จึงรีบออกไปที่ห้องตัวเองทันที
ชูชิตในชุดโม่งวิ่งหนีออกมา เห็นธีรธรตามมาเลยวิ่งไปหลบที่พุ่มไม้บริเวณสวน ธีรธรออกมามองไม่เห็นใคร เขามองที่ประตูมันยังไม่ถูกเปิดเขาเลยมองหาภายในบ้าน เพราะคิดว่ายังไม่ได้ออกไปแน่ๆ ธีรธรมองไปที่พุ่มไม้ เห็นเงาของชูชิตโผล่ออกมาเล็กน้อย เขาจึงพอเดาได้จึงทำเดินไปหาทางอื่น ชูชิตเห็นว่าธีรธรไปแล้ว จึงออกมาจากที่ซ่อนตัว มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร ชูชิตโล่งอก แต่แล้วธีรธรก็ปรากฏตัวด้านหลังของเขา พร้อมอัดหมัดเข้าเต็มหน้า จนชูชิตหงาย ล้มลง ธีรธรขึ้นคร่อมรัวหมัดไม่ยั้ง
“แกเอาน้องสาวฉันไปไว้ไหน”
“ก็อยู่ในบ้านนั่นแหละ”
“แกทำอะไรน้องสาวฉัน”
“เปล่า...ไม่เชื่อก็ไปถามน้องแกสิ”
“ฉันอยากจะรู้จริงๆใครส่งแกมา”
ธีรธรจะเปิดหมวกไอ้โม่ง แต่ชูชิตคว้าพลั่วที่วางอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมาได้ ฟาดไปที่หัวธีรธรเต็มแรง ธีรธรมึนไป ชูชิตได้ทีเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมและอัดธีรธรไม่ยั้งบ้าง
“จำไว้ อย่ามายุ่งกับงานของฉันและคนของฉัน”
ธีรธรมึนนอนแน่นิ่ง ชูชิตยืนมองอย่างสะใจ
วงทองเปิดประตูเข้ามาในห้อง นิ่มนวลผวา นึกว่าเป็นชูชิตอีก พอเห็นว่าเป็นงทอง นิ่มนวลก็โผไปกอดทันที
“ยายนิ่ม เป็นอะไรรึเปล่า พวกมันทำอะไรรึเปล่าลูก”
นิ่มนวลสับสน
“เปล่าค่ะ พอดีนิ่มหาที่ซ่อนทันค่ะ แล้วคุณป้าละคะ”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก พอดีตาธีมาช่วยไว้ทัน”
“พี่ธีมาแล้วเหรอคะ”
ธีรธรเปิดประตูเข้ามา
“มีใครเป็นอะไรมั้ยครับ”
“แม่กับยายนิ่มปลอดภัยดี แล้วพวกมันล่ะลูก”
นิ่มนวลหลบตาธีรธรไม่กล้าสบตา
“หนีไปหมดแล้วครับ ผมพลาดเอง”
“พวกมันเป็นใครมาจากไหน ลูกมีศัตรูที่ไหนรึเปล่า”
“เป็นตำรวจก็มีศัตรูเต็มไปหมดแหละครับ ผมก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน”
“แม่ว่าต้องเป็นพวกมีอิทธิพล ที่ลูกไปขวางทางมันแน่ๆ มันถึงกล้าขนาดส่งคนมาทำร้ายตำรวจถึงบ้านได้จะว่าเป็นโจรผู้ร้ายมาปล้นก็คงไม่ใช่ เพราะข้าวของเรามันก็ไม่ได้เอาอะไรไปเลย”
ธีรธรนิ่งคิดตามคำของแม่ วงทองสังเกตเห็นเลือดที่ไหล่ของธีรธร
“ตายแล้วตาธี หัวไปโดนอะไรมา”
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แค่แตกนิดหน่อย”
นิ่มนวลก็ห่วงธีรธรแต่เธอก็รู้สึกแย่กับตัวเอง จึงไม่เข้าไปใกล้เขา ธีรธรสังเกตท่าทีที่แปลกไปของนิ่มนวล
“นิ่ม...ไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“แน่ค่ะ ไม่ต้องห่วงนิ่มหรอกค่ะ”
วงทองรีบบอกอย่างเป็นห่วง
“ไปทำแผลเถอะลูก”
ในห้องสืบสวนยามค่ำคืน...ธีรธรกุมขมับปวดหัวอยู่บนโต๊ะประชุม
“แล้วผู้กองคิดว่าใครเป็นคนทำล่ะครับ” จ่านิดถาม
“ตอนนี้ผมก็จับเรื่องค้ายาอยู่เรื่องเดียว มันก็มีแนวโน้มมากที่สุด ที่จะเป็นพวกมัน”
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวผู้กองจัดเจ้าหน้าที่ไปดูแลที่บ้านไว้สักระยะก็แล้วกันจนกว่าเรื่องนี้จะจบ” เสริมพงษ์แนะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับผู้การ เพราะว่ามันแค่มาขู่ให้ผมถอนตัว มันคงไม่ได้มาทำบ่อยแน่ๆ”
“ก็ตามใจคุณก็แล้วกัน”
จ่านิดมองธีรธรอย่างเห็นใจ
“นี่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผู้กองก็ยังจะมาทำงานอีกนะครับ ทีแรกผมนึกว่าจะมาลงบันทึกไว้ แล้วเอาคนไปคุ้มกันซะอีก”
“ได้ไง ผมนัดจ่ากับผู้การไว้แล้วว่าจะคุยเรื่องงานหมั้นวันอาทิตย์นี้แล้ว ผมเบี้ยวไม่ได้หรอก”
“งานหมั้นนี่ก็งานใหญ่เลยสินะมันยอมลงทุนเพื่อใช้คนจำนวนมากเป็นตัวประกัน” เสริมพงษ์ออกความเห็น
“เราจะจับกุมเลยมั้ยครับคราวนี้” จ่านิดถาม
ธีรธรขัดขึ้น
“มันก็อันตรายมากนะครับอย่างที่ผู้การบอกว่ามันมีตัวประกันจำนวนมาก”
เสริมพงษ์มองหน้าธีรธร
“แต่มันก็เป็นโอกาสที่เหมาะมากที่เราจะลงมือ”
จ่านิดหนักใจ
“ผมว่าคุณไศลาจะเสี่ยงกว่างานที่แล้วอีกนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไศลาเขาไม่ธรรมดา เขาน่าจะเอาตัวรอดได้”
จ่านิดยิ้มแซวๆ
“แน่ใจเหรอครับ ว่าตัวผู้กองจะไม่ห่วงได้จริงๆ”
ธีรธรปรามๆ
“จ่า...”
“ใครมีแผนว่ายังไงบ้าง” เสริมพงษ์ถาม
ธีรธรเหมือนกับไม่มีสมาธิอยู่ตรงนั้น
โยคีศิลาดำนั่งสมาธิฝึกจิตอยู่ในห้องของตน อยู่ๆเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขาจึงลืมตาขึ้นมาก็พบกับไศลายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“เจ้า”
“ใช่ ฉันเอง เอาของที่แกเอาไปคืนฉันมา”
โยคีศิลาดำไม่เข้าใจ
“เจ้าหมายถึงอะไร”
“กล่องไม้โบราณของฉัน คืนฉันมาเดี๋ยวนี้”
โยคีศิลาดำงงๆ
“กล่องไม้อะไร มีเหตุอะไรที่ข้าต้องเอาไปจากเจ้า”
“แกไปค้นห้องฉัน...จะเป็นใครไปได้”
“มันคงเป็นของสำคัญสำหรับเจ้ามากเลยสินะ”
ไศลาเสียงเข้ม
“เอาคืนมา”
โยคีศิลาดำหัวเราะ
“ของสิ่งนั้นมันจำเป็นจนทำให้ข้าสงสัยซะแล้ว”
ไศลาใช้วิชาเทควันโด้ของตน แต่มันกลับทำอะไรโยคีศิลาดำไม่ได้เลย โยคีศิลาดำหัวเราะการกระทำนั้น เขาแค่ใช้จิตใจควบคุม ไศลาก็ลอยกลางอากาศ
“การต่อสู้กับคนธรรมดานี่ มันน่าเบื่อเสียจริง”
ไศลาร่วงกองกับพื้น
“ไง...ความบ้าบอของเจ้าทำให้เป็นไงล่ะไศลา นี่น่ะเหรอลูกศิษย์ของพี่เมฆา”
“เอาของๆฉันคืนมา”
“ตาที่สามเจ้าหายไปไหนแล้วล่ะไศลา”
“เอาของๆฉันคืนมา”
“ฉันชักอยากจะรู้แล้วสิ ไอ้กล่องไม้ที่เจ้าว่ามันมีอะไรข้างใน”
โยคีศิลาดำใช้พลังใส่ไศลากระแทกผนังฝั่งโน้นที ฝั่งนี้ที ไม่มีท่าทีว่าเธอจะสู้ได้เลย ไศลาเริ่มไม่ไหวเพราะจากบาดแผลเดิมและแรงกระแทกอันใหม่ แต่แล้วเธอก็เห็นรอยเท้าคนเดินเข้ามาก่อนเธอจะสลบไป
“นี่เกิดอะไรขึ้น พวกแกมาทำอะไรในบ้านฉัน”
โยคีศิลาดำมองดุลยศักดิ์ ไม่อยากมีเรื่อง
“เห็นบ้านฉันเป็นค่ายมวยรึไง”
ดุลยศักดิ์พยักหน้าให้สมุนพาไศลาออกไป
“ถ้าฉันไม่มีคนทำงานให้ แกต้องรับผิดชอบ”
ดุลยศักดิ์เดินออกไป โยคีศิลาดำมองไม่ค่อยพอใจนัก
“อย่าให้ฉันได้ตำรามา...ฉันจะไม่อยู่ใต้อำนาจแกอีก”
พอพูดถึงตำราก็นึกได้
“ตำรา...หรือสิ่งที่นางไศลาตามหาคือตำราหน้าสุดท้าย มันถึงได้เอาชีวิตเข้าแลกขนาดนี้”
โยคีศิลาดำครุ่นคิดหนัก
นิ่มนวลร้องไห้อยู่บนเตียง คร่ำครวญกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอง แล้วเธอก็นึกขึ้นได้เกี่ยวกับแหวน เธอค้นในกระเป๋าเสื้อ กางเกง ก็ไม่มี เธอเดินหาตามพื้นในห้องก็ไม่มี นิ่มนวลยิ่งเครียดกว่าเดิม
“แหวน แหวนหายไปไหน”
ไศลาเดินเข้ามาในป่าตอนกลางดึก เสียงสุนัขป่าหอนโหยหวน อาจารย์นั่งสงบนิ่งที่โขดหินริมน้ำตก ไศลารีบเดินเข้าไปหา
“ฉันรู้ว่าฉันรับปากว่าจะดูแลสิ่งนั้นเป็นอย่างดี แต่...”
“มันอยู่ที่นั่น...”
อาจารย์ยื่นมือมาจับที่หัว ไศลาเห็นภาพกล่องที่วางอยู่ในห้องที่โรงแรมแห่งหนึ่งมีภาพโรงแรมด้านนอกภาพเลขห้อง และนาถสุดาที่จับกล่องไม้โบราณ เข้ามาในหัวของไศลาอย่างรวดเร็วตีกันซับซ้อน
“นาถสุดาเองเหรอ แต่ทำไมนาถสุดาก็ยังมาถามถึงตำราหน้าสุดท้าย มาทวงจะเอาให้ได้จากฉันอยู่เลย”
“คนเรามักจะไม่ค่อยรู้ว่ามีของมีค่าอยู่กับตัวเองหรอกเหมือนกับที่เจ้าก็ปล่อยมันหลุดมือไป”
“ของมีค่า...ที่หลุดมือไป” ไศลาคิดถึงธีรธรขึ้นมา “บางอย่างเราก็ไม่ได้อยากปล่อยไปนะคะอาจารย์”
“เอาเถอะ...ไปตามกลับมาให้ทันเวลาก็แล้วกัน”
“เวลา... เวลาอะไรคะ”
“แล้วเจ้าก็จะรู้เอง”
“แต่ตอนนี้...ฉันไม่มีพลังมากพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้แน่ๆ”
“ขอให้เจ้าไปตามตำรากลับมา เจ้าจะรู้เองว่าควรทำยังไงต่อไป”
อาจารย์ถอนมือออกจากหัวไศลา ภาพทุกอย่างค่อยๆเบลอไป
สายวันใหม่... ไศลาลืมตื่นขึ้นมาบนเตียง เธอมองซ้ายมองขวา ลำดับความคิดว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไศลานึกถึงความฝันเมื่อครู่
“โรงแรม อาจารย์บอกว่าต้องไปที่โรงแรมนั่น”
ไศลาลุกจากเตียงด้วยร่างที่ระบมไปทั้งตัว แต่เธอก็ต้องพยายามลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของเธอให้ได้
ไศลาเดินผ่านห้องรับแขก ดุลยศักดิ์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ถามขึ้น
“ลุกไหวแล้วรึไง”
“ค่ะ”
“ก็ดี...ไม่มัวแต่สำออย”
“ฉันได้ข่าวเรื่องงานหมั้น”
“ฉันอยากจะคุยกับเธอเรื่องนี้พอดี”
“คุณจะให้ฉันเป็นคนส่งยาอีกเหรอ...”
ดุลยศักดิ์หัวเราะ
“กลัวจะเหมือนคราวก่อนรึไง”
“ไม่ได้กลัวค่ะ ฉันจะได้เตรียมรับมือ”
“ดี ฉันชอบ... คราวนี้เธอไม่ต้องเสี่ยงเท่าคราวก่อน ฉันแค่อยากให้เธอดูแลแขกคนสำคัญก็เท่านั้น”
“ได้ค่ะ ขอแค่คุณไว้ใจฉัน”
ไศลามองดุลยศักดิ์อย่างวางเชิง ดุลยศักดิ์เองก็มองอย่างเจ้าเล่ห์
ไศลานั่งอยู่ในรถแท็กซี่ ท่าทางเธอหวั่นใจ หนักใจ คนขับแท็กซี่มองไศลาอย่างไม่คิดอะไร ไศลารู้สึกไม่ไว้วางใจ เธอยังมีอาการเจ็บตัวจากการสู้กับโยคีศิลาดำอยู่...ไศลาลงจากแท็กซี่เงยหน้ามองที่โรงแรม
“ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ”
ไศลามอง แล้วเดินเข้าไป
นาถสุดานั่งคุยกับร่างของเทพที่แช่แข็งไว้อยู่ในห้อง
“วันนี้นาถจะไปหาอาจารย์ของนางไศลามันในป่า ถ้านาถได้ตำรามาทำให้เทพฟื้นเมื่อไหร่ เราก็จะไปจากที่นี่ด้วยกันนาถไม่สนใครทั้งนั้น ไม่ว่าชื่อเสียงหรือเงินทอง”
นาถสุดาใช้มือลูบไปตามตัวเทพราวกับเขายังมีชีวิตอยู่ แม้จะเริ่มส่งกลิ่นเหม็น แต่นาถก็ไม่รังเกียจ
ไศลายืนอยู่หน้าห้อง หลับตานึกถึงภาพหน้าห้องนี้ แล้วเธอก็ลืมตาดูที่หน้าห้อง และเคาะประตู...เสียงเคาะประตูดังขึ้น นาถสุดาตกใจ หันไปมอง
“นั่นใครน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา นาถสุดาเริ่มสงสัย เสียงเคาะประตูยังดังต่อไป นาถสุดารีบเอาผ้ามาคลุมโลงตู้เย็นที่แช่เทพไว้ ก่อนลุกไปเปิดประตู...ไศลายังเคาะประตูต่อไป ไศลามองเห็นเงาบางอย่างผ่านตาแมวของประตู
นาถสุดาเดินมามองผ่านตาแมวที่ประตู เปิดประตูออกไปดูไม่เห็นใครที่หน้าประตู นอกจากแม่บ้าน
“อ้าวคุณคะ ฉันจะถามว่าจะให้ทำความสะอาดห้องมั้ย”
“ไม่ต้องมายุ่งกับห้องฉัน”
นาถสุดาปิดประตูปัง เลขห้องของนาถสุดาเขียน 507 เหมือนห้องที่ไศลาหาอยู่
ประตูห้องที่ไศลาเคาะเปิดออกมา เป็นชายแก่คนหนึ่ง
“มีอะไรเหรอหนู”
ไศลาตกใจ
“เปล่าค่ะ ฉันคงจำห้องผิดเอง ขอโทษนะคะ”
ไศลาเดินจากมา ก้มหน้าจ๋อยๆ
“เราอาจจะมาผิดที่”
ไศลดารีบเดินออกไปจากโรงแรมนั้นทันที
ไศลายืนอยู่ริมถนน เธอหลับตาใช้สมาธิ แล้วเธอก็เห็นภาพของอีกโรงแรมหนึ่ง ในภาพแม่บ้านกำลังเคาะประตู สักครู่ห้องเปิดออกมาเป็นนาถสุดา ไศลาลืมตาขึ้น แล้วโบกเรียกแท็กซี่ทันที
นาถสุดายืนอยู่หน้ากระจกมองกล่องไม้โบราณ หยิบมันมาเพื่อเปิด แต่เปิดเท่าไหร่ก็ไม่ออก จนเธอหงุดหงิด
“กล่องบ้าอะไรเนี่ย โอ๊ย...” นาถสุดาโยนทิ้งไว้หน้ากระจก “คอยดูนะฉันจะต้องได้ตำรามาทำให้เทพฟื้นขึ้นมาให้ได้จะต้องฆ่าใคร ฉันก็จะทำ...มันอยู่ที่ไหนนะ ไอ้ตำราอะไรนั่น”
นาถสุดาจ้องตาตัวเองในกระจก มุ่งมั่น ไม่แคร์สิ่งใด
ธิดารัตน์หลับอยู่บนเตียง ไม่มีใครอยู่ด้วยภายในห้อง สุทธิพงษ์นั่งรถเข็นมาเยี่ยม ในมือมีดอกไม้มาด้วย เขาค่อยๆวางดอกไม้ไว้ข้างๆโดยไม่ปลุกให้เธอตื่น แล้วมองดูด้วยรอยยิ้ม ธิดารัตน์หลับตาพูดขึ้น
“กว่าจะมาเยี่ยมได้”
สุทธิพงษ์ตกใจ เพราะคิดว่าเธอหลับ ธิดารัตน์ลืมตาส่งยิ้มให้
“นึกว่าหลับอยู่”
“เจ็บตรงไหนบ้าง”
“ห่วงตัวเองก่อนมั้ย”
“ตัวเรา เรารู้ว่าทนได้ไง ไก่น้อยเป็นห่วงพงษ์มากกว่า”
สุทธิพงษ์รู้สึกดีมากกับคำพูดของธิดารัตน์ ชีวิตนี้เขาไม่เคยมีใครมาห่วงใยกับเขาแบบนี้
“ทำไมไก่น้อยถึงดีกับเราจัง เรายิ่งรู้สึกแย่ลงที่เป็นตัวการทำให้ไก่น้อยเป็นแบบนี้”
“ไม่ใช่พงษ์สักหน่อย ไก่น้อยเลือกจะไปเองต่างหากอย่าโทษตัวเองสิ ทำด้วยกันก็ต้องรับผิดชอบด้วยกัน”
สุทธิพงษ์ยิ้ม
“แต่ถ้าไก่น้อยว่าเราสักนิด เราจะรู้สึกดีกว่านี้แน่ๆ”
“ว่า…ว่าทำไมมาเยี่ยมช้าจัง ถ้ามาเยี่ยมเร็วกว่านี้ก็หายตั้งนานแล้ว”
กมลาเดินบ่นมากับพันธ์พงษ์ที่ทางเดินในโรงพยาบาล
“ดีนะที่เมื่อคืนเราไม่ได้อยู่ตอนที่ไอ้พวกโจรเข้ามาบุก”
“ดียังไง แม่คุณก็โดนมันซ้อมน่ะ”
“ก็ดีที่พวกเราไม่เป็นอะไร อยากให้เป็นอะไรกันทั้งหมดรึไง”
พันธ์พงษ์ถอนหายใจระอา
“ฉันนะห่วงสร้อยเพชรที่ทิ้งไว้ที่บ้านมาก ดีนะไม่หายนี่ถ้ายายไก่น้อยหายเมื่อไหร่ ฉันว่าเรารีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดเลย”
พันธ์พงษ์ถอนใจ
“ก็แล้วแต่คุณเถอะ”
“คงไม่มีเรื่องอะไรมาให้ฉันปวดหัวอีกนะ”
กมลากับพันธ์พงษ์เดินมาถึงหน้าห้องธิดารัตน์พอดี
สุทธิพงษ์ป้อนข้าวต้มธิดารัตน์แล้วหกเลอะเสื้อ เขาจึงรีบเช็ดให้
“ขอโทษนะเลอะหมดเลย”
กมลากับพันธ์พงษ์เปิดประตูเข้ามาพอดี กมลาตกใจที่เห็นสุทธิพงษ์มาอยู่ในห้องและทำท่าเหมือนจะลวนลามลูกสาวตน
“แกเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในห้องลูกสาวฉัน”
สุทธิพงษ์กับธิดารัตน์ต่างก็ตกใจ
“คือ ผม...”
“นี่เพื่อนไก่น้อยเองค่ะแม่”
กมลาแว๊ดใส่
“นอนโรงพยาบาลไม่กี่วัน มีเพื่อนเป็นคนไข้แล้วรึไง”
“เขาชื่อพงษ์ค่ะ เรารู้จักกันก่อนหน้านี้แล้ว”
กมลามองหน้าสุทธิพงษ์
“พงษ์...อ๋อ ไอ้พงษ์คนนี้น่ะเหรอที่ละเมอเพ้อหาตลอดเนี่ยคือแกเอง ใช่มั้ยที่พาลูกสาวหนีออกจากบ้านไปเที่ยวกลางคืนพาไปมั่วยาเนี่ยห๊า ฉันอยากเจอแกมานานละ ไอ้เด็กนรกนี่เอง”
กมลาถลาเข้าไปตีสุทธิพงษ์ไม่หยุด สุทธิพงษ์ได้แต่ปัดป้องตัวเอง ธิดารัตน์เองก็พยายามห้าม
“แม่หยุดค่ะ พอเถอะค่ะ”
พันธ์พงษ์เข้ามาลากกมลาให้ห่างจากสุทธิพงษ์
“คุณเห็นมั้ย เด็กมันบาดเจ็บ ยังนั่งบนรถเข็นอยู่เลย”
“มันก็สมควรแล้ว มันควรจะเจ็บหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“แม่คะ...พอเถอะค่ะ พงษ์เขาก็แค่มาเยี่ยม”
“แต่ฉันเห็นแกลวนลามลูกสาวฉัน”
สุทธิพงษ์หน้าตื่น
“ผมเปล่า”
ธิดารัตน์รีบบอก
“พงษ์แค่พยายามจะเช็ดข้าวต้มที่หกก็แค่นั้น”
กมลาไม่ฟัง
“แกจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันคิดอะไรอยู่ แกมันโง่ไก่น้อยโง่เหมือนพ่อแก”
พันธ์พงษ์ชักโมโห
“พอสักทีเถอะคุณ”
“ไม่พอ” กมลาชี้หน้าสุทธิพงษ์ “คอยดูนะ ฉันจะลากคอแกเข้าตารางโทษฐานที่ล่อลวงลูกสาวฉันฉันไม่ปล่อยให้เด็กเลวๆอย่างแกลอยนวลอย่างงี้แน่”
พันธ์พงษ์บอกสุทธิพงษ์
“กลับไปก่อนเถอะ ไม่งั้นไม่จบแน่”
สุทธิพงษ์พยักหน้ารับ
“ครับ”
สุทธิพงษ์เข็นรถออกไป กมลายังโวยวายไม่เลิก
“ฉันไม่จบแค่นี้แน่”
พันธ์พงษ์ปราม
“พอได้แล้วคุณ นี่มันโรงพยาบาลนะ อยากให้ใครมาด่ารึไง”
กมลาหันไปดุลูกสาว
“อย่าให้ฉันเห็นว่ามันมาเยี่ยมอีกนะ”
ธิดารัตน์มองตามสุทธิพงษ์ไปอย่างเป็นห่วง พันธ์พงษ์เหนื่อยใจ กมลาเองมองตามสุทธิพงษ์ด้วยความโกรธ
อ่านต่อหน้าที่ 2
กุหลาบไฟ ตอนที่ 10 (ต่อ)
สุทธิพงษ์ออกมาจากห้องด้วยความอาย ทำอะไรไม่ถูกเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเขาแย่ไม่คู่ควรกับธิดารัตน์เอาซะเลย
ไศลาลงจากแท็กซี่ มองที่ตึกของโรงแรม ด้วยพลังบางอย่าง ที่แผ่ออกมาก เธอก็รู้ทันทีว่าใช่ที่นี่แน่ๆ ไศลาเดินเข้าไป...ทางด้านนาถสุดาเดินออกมาจากห้อง แล้วเข้าไปในลิฟท์ กดปิด
ไศลากดลิฟต์ยืนรอ สักพักลิฟต์เปิดแต่ลิฟต์ที่เปิดมาไม่มีใคร ไศลาเข้าไปกดลิฟต์ขึ้นไป พอลิฟต์ที่ตัวไศลาขึ้นปิด ตัวที่นาถสุดาลงก็เปิดออกเธอเดินออกมา
ลิฟต์ชั้น 5 เปิดออก ไศลาเดินออกมามองป้าย แล้วเดินไปที่ห้อง 507 ทันที ไศลายืนอยู่หน้าห้องรวบรวมความกล้า เธอสูดหายใจเข้าปอด ลองเอามือค่อยๆบิดลูกบิดก็พบว่ามันล็อค ไศลาไม่รู้จะทำยังไง
มองเห็นรถเข็นของทำความสะอาดของแม่บ้าน ด้านข้างมีพวงกุญแจของทุกห้องแขวนอยู่ เธอค่อยๆแอบเดินไปใกล้ๆ แล้วขโมยกุญแจทั้งพวงของแม่บ้านมา ขณะที่แม่บ้านทำความสะอาดห้องอยู่ ไศลารีบหาลูกกุญแจที่ถูกจากกุญแจพวงใหญ่มากมายไขเสร็จเธอรีบจะเอาไปคืน แม่บ้านออกมาเห็นพอดี
“ทำอะไรน่ะ”
ไศลาชะงัก
“อ๋อ คือหนูเห็นว่ากุญแจมันตก หนูเลยเก็บให้น่ะค่ะ”
“เหรอ ขอบใจนะแม่หนู”
ไศลายิ้มรับในที แม่บ้านหายเข้าไปในห้องเพื่อทำความสะอาด ไศลาค่อยๆคว้ามือกับลูกบิดประตู เปิดเข้าไป แค่ก้าวเข้ามาในห้องไศลาก็ได้กลิ่นสาบสางที่บอกไม่ถูก เธอถึงกับเบ้หน้า ไศลามองตรงที่ที่ควรเป็นเตียงนอน แต่มันถูกแทนที่ด้วยโลงศพตู้เย็นวางอยู่ เธอเห็นก็ตกใจ เดินไปดูใกล้ๆไม่แน่ใจว่าหลับแล้วหรือตาย หน้าของเทพซีดเผือด ไศลาเอื้อมมือไปสัมผัส เธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบร่างที่เย็นยะเยือก
“เทพ ขอให้คุณไปสู่สุขคตินะ”
ไศลามองหน้าเทพด้วยใจที่สงบ แล้วลุกขึ้นมาเดินมองหาของในห้อง แต่มีโทรศัพท์และกระเป๋าเงินอยู่บนห้อง
นาถสุดากำลังจะออกรถแล้วเธอก็นึกขึ้นได้ เธอหันไปหยิบกระเป๋ามาค้นก็พบว่าลืมโทรศัพท์กับกระเป๋าเงิน จึงสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่ และก้าวลงจากรถทันที
ไศลาสอดส่ายสายตามองหากล่องไม้โบราณ แต่ก็ยังไม่เห็น เธอรื้อค้นตามมุม ตามซอกต่างๆ
นาถสุดาเดินมาตามทาง จนถึงหน้าลิฟต์กดลิฟต์ และเมื่อลิฟต์มาถึงเธอก็ขึ้นไป ไศลาค้นตามมุมต่างๆเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนมองที่หน้ากระจกก็ยิ้มออกเพราะเห็นกล่องไม้วางเด่นเป็นสง่าอยู่
“อยู่ที่นี่จริงๆด้วย”
ยังไม่ทันที่ไศลาจะหยิบ เสียงไขประตูก็ดังเข้ามา เธอรีบซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าทันที นาถสุดาดินเข้ามาในห้องมาหยิบของ ซึ่งเปลี่ยนจากจุดที่เคยมาวางหน้ากระจก นาถสุดาค่อยๆมองไปทั่วห้อง ไศลาพยายามแอบให้มิดชิด นาถสุดาพูดลอยๆ
“ดูสิ ใครมาย้ายของของนาถนะ หรือว่าจะเป็นเทพนะ เทพคุณคงจำได้”
ไศลาตะลึงรำพึงในใจ
“นาถสุดาเธอคุยกับศพ เธอบ้าไปแล้ว”
นาถสุดาสะพายกระเป๋าออกไปจากห้อง ก่อนจะออกหันมาพูดกับเทพ
“เทพฝากดูแลห้องเราด้วยนะ อย่าให้ใครมาขโมยอะไรไป”
นาถสุดาเปิดประตูออกไป ได้ยินเสียงเดินที่จากไปไกล ไศลาค่อยๆโผล่จากที่ซ่อน ถอนหายใจโล่งอกรีบไปหยิบกล่องไม้ เธอมองกล่องไม้โล่งใจ แล้วมองที่เทพ
“ฉันจะหาคนมาช่วยคุณทำพิธีให้มันเรียบร้อยนะ”
ไศลาเปิดประตูจะออกไป เธอก็พบนาถสุดายืนดักรออยู่ นาถสุดาเดินไล่ไศลาถอยเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“มาถึงที่นี่ ก็ต้องมีธุระกับเจ้าของห้องสิจริงมั้ยฉันยืนรอเธอ ตั้งนานแน่ะไศลา”
ไศลาถอยเข้าเรื่อยๆจนติดกับโลกศพเทพ
“แกทำอะไรทิ้งไว้ที่นี่...แล้วจะแกก็จะเปิดหนีไปง่ายๆเหรอ”
“ฉันทำอะไร”
“ยังมีหน้ามาถามอีกว่าทำอะไร”
“นาถ...ฉันว่าเธอควรไปหาหมอนะ”
นาถสุดาโกรธ
“นี่แกว่าฉันบ้าเหรอ ฉันไม่ได้บ้า แต่ถ้าแกเคยรักใครสักคนมากๆ...แต่ฉันจะพูดไปทำไมล่ะ ในเมื่อคนใจอย่างโหดเหี้ยมอย่างแก คงไม่มีวันรู้จักความรัก นี่คงมาเพื่อจะเยาะเย้ยฉันละสิ แต่ก็ดี...ฉันจะบอกต่อหน้าเทพตรงนี้เลยว่าฉันจะเอาตำรามาช่วยเทพให้ได้ แล้วคนที่ตายก็ต้องเป็นแก แกต้องชดเชยเทพด้วยชีวิตของแกเท่านั้น”
“ฉันไม่ได้ฆ่าเทพ”
“อย่าโกหกในที่ของฉัน”
นาถสุดาใช้พลังฝ่ามือผลักไศลากระเด็นติดกำแพง กล่องไม้ในมือไศลาสว่างวูบขึ้นมาอีกครั้ง ไศลามองมันอย่างไม่เข้าใจนัก นาถสุดาเข้าบีบคอไศลาด้วยความแค้น
“แกมาที่นี่ทำไม”
“ฉันจะมาบอกเธอว่าฉันไม่ได้ฆ่าเทพ”
“แกไม่ได้มาหาฉัน เพราะถ้าแกมาหาฉัน แกจะแอบฉันทำไมแกจะมาฆ่าฉันอีกคนใช่มั้ย”
“เปล่า”
“แกจะมาฆ่าฉันก่อนที่ฉันจะฆ่าแก”
นาถสุดาเหวี่ยงไศลากระเด็นไป กล่องไม้เริ่มสว่างวาบอีกครั้ง ไศลาเอากล่องไม้ใส่กระเป๋ากางเกง ไม่ให้นาถสุดาเห็น นาถสุดาขึ้นคร่อมบีบคอ
“แกเอาตำราหน้าสุดท้ายไว้ไหน”
“ฉันไม่รู้”
นาถสุดาตบฉาด
“อย่ามาโกหกฉัน”
“ถ้าคิดว่าฉันจะโกหก ก็ไม่ต้องมาคาดคั้นหรอก”
“ปากดีนักเหรอ”
นาถสุดาบีบคอไศลาหนักกว่าเดิม แต่อยู่ๆก็มีแสงวาบไปทั่วตัวไศลา แล้วนาถสุดาก็ร้อนมือจนต้องปล่อย
“นี่มันอะไร ทำไมร้อนแบบนี้”
ไศลารีบลุกนั่ง ยังสำลักกับการถูกบีบคอ
“ไม่ต้องถามอะไรฉันหรอก ฉันตอบเธอไม่ได้สักอย่างนั่นแหละ แต่ถ้าเธอทำทุกอย่างเพื่อให้เทพกลับมามีชีวิตอีกครั้งฉันว่ามันไม่ถูก เธอต้องยอมรับว่าเขาตายไปแล้ว”
“ยอมรับเหรอ”
นาถสุดาใช้พลังทำฝ่ามือบีบไศลาจนรวดร้าวไปทั้งตัว แต่สุดท้ายพลังจากกล่องไม้ก็สะท้อนออกไป ทำเอานาถสุดากระเด็นไปเช่นกัน
“นี่มันวิชาอะไรของแก...แต่ไม่ว่าแกจะมีวิชาแค่ไหนถ้าฉันหาตำรา ได้เมื่อไหร่ ฉันก็จะฆ่าแกให้ได้ด้วยมือของฉัน”
นาถสุดาปล่อยพลังมาใส่ไศลาอีกด้วยความโกรธ แต่มันก็สะท้อนกลับทำเธอกระเด็นไป ไศลารีบถือโอกาสนี้วิ่งหนีไป
“ฉันขอโทษนะ”
ไศลาวิ่งออกจากห้องไป ทิ้งนาถสุดาไว้
“หยุดนะ อย่าหนีไปไหน”
นาถสุดาจะลุกตามไป แต่เธอก็ไม่มีแรงพอ ได้แต่เจ็บใจ
“ฉันไม่ยอมหรอก” นาถสุดาหันไปมองเทพ “ฉันไม่ยอม”
ไศลาหนีออกมาจากโรงแรม เธอโล่งใจว่าเธอจะต้องปลอดภัยแล้วเธอหยิบกล่องไม้มาดูแสงสว่างมันวูบดับไป แต่สิ่งที่ทำให้เธอช็อคว่าเดิมคือ โยคีศิลาดำ ที่ยืนรอดูเธออยู่ที่หน้าโรงแรม ไศลาตกใจ
“ฉันคิดไม่ผิดที่สะกดรอยตามเธอมา”
“แก”
“ในมือเจ้านั่นใช่มั้ย กล่องเก็บตำราหน้าสุดท้าย”
“ไม่ใช่...ไม่ใช่นะ”
“อย่ามาหลอกข้า ข้าไม่ใช่เด็กอมมือเหมือนคนอื่นๆส่งมันมาให้ข้าซะดีๆ”
“ไม่มีทาง”
ไศลาวิ่งหนีเข้าไปในสวนที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น
ไศลาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแต่สุดท้าย โยคีศิลาดำก็มาดักหน้าอยู่
“เจ้าช่างโง่ ที่วิ่งหนีคนอย่างข้า”
โยคีศิลาดำฟาดพลังใส่ไศลาอีกจนกระเด็น แต่ไศลาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากกล่อง เริ่มมีแสดงสว่างออกมาจากมัน โยคีศิลาดำพ่นไฟบรรลัยกรรใส่ ไศลาพยายามหลบและมันมาเป็นชุดเมื่อลูกไฟลูกหนึ่งจะถึงตัว เธอก็มีรัศมีออร่าปกป้องตัวเองทันที ลูกไฟจึงสะท้อนกลับไปหาโยคีศิลาดำ ทำเอาเขาล้มลงเช่นกัน โยคีศิลาดำหน้าตื่น
“พลังนั่น...หรือมันอยู่ในตำรา นังนี่มันฝึกแล้วเหรอ”
โยคีศิลาดำยังไม่หยุดเพื่อจะได้คำภีร์มา เขาใช้พลังจับไศลาลอยคว้างในอากาศและเหวี่ยงไปชนต้นไม้ ซึ่งกล่องไม้ก็ตกจากมือไศลา โยคีศิลาดำยิ้มใช้พลังตนยกกล่องไม้ให้ค่อยๆลอยมาหาตนช้าๆ
“อะไรที่มันเป็นของข้า มันต้องเป็นของข้า”
แต่พอโยคีจับเท่านั้นแหละก็ร้อนราวไฟ โยคีศิลาดำไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นพยายามจะจับอีก แต่มันก็ร้อนสำหรับเขาเกินจะทนได้จริงๆ โยคีศิลาดำจึงใช้ให้ไศลาเปิด
“เปิดมันให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”
“ไม่มีทาง”
โยคีศิลาดำใช้พลังควบคุมให้กล่องไม้ ไปกระแทกต้นไม้ต้นโน้นต้นนี้ มันก็ไม่เปิดออก และก็ร่วงลงแทบเท้าของไศลา โยคีศิลาดำโมโหมากให้พลังสูงสุดระเบิดมาที่กล้องไม้ ไศลาตกใจกลัวกล่องไม้ถูกทำลาย เอาตัวมาบัง พลังทั้งหมดสะท้อนกลับไปที่โยคีศิลาดำจนควันขโมง ไศลารีบพากล่องไม้หนีไปทันที
ไศลาวิ่งกระเซอะกระเซิงมาริมถนน เธอมองกล่องไม้ในมือ
“ถ้าไว้ที่เราแบบนี้ไม่ปลอดภัยแน่ ต้องหาที่ปลอดภัยเก็บไว้”
ไศลาใช้ความคิด มีแท็กซี่ผ่านมาพอดี ไศลาโบกแล้วขึ้นไป
ธีรธรจอดรถที่ ลานจอดรถโรงพยาบาล แล้วอยู่ดีๆเขาก็นึกถึงไศลาขึ้นมา
“ทำไมอยู่ๆก็นึกถึงขึ้นมาได้ อาการหนักแล้วนะเราเนี่ย”
ธีรธรพยายามจะไม่คิดถึง แต่เหมือนเขาก็เอาไศลาออกจากหัวไม่ได้
ชูชิตหน้าตาสะบักสะบอม ที่ไปต่อยกับธีรธรมา เดินมาตามทางเดินของโรงพยาบาล ชูชิตบ่นงึมงำ
“นี่นาถสุดาไปไหนเนี่ย จนป่านนี้ยังติดต่อไม่ได้”
ใครเดินผ่านชูชิตก็ต่างยิ้มๆกับท่าทีของชูชิตที่เหมือนโดนซ้อม แต่ในมือก็ซื้อของมาฝากไศลาเต็มไปหมด...ชูชิตเดินเข้ามาในห้องพักฟื้นของไศลา
“ไศ...ผมชื้อของมาฝากคุณเต็มเลย”
ปรากฏว่าในห้องโล่งไม่มีใคร พยาบาลกำลังจัดแจงห้องให้สะอาด
“คนที่พักห้องนี้ไปไหนแล้ว”
“เขาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะเดี๋ยวจะมีคนไข้อื่นมาแอดมิท”
ชูชิตถอนหายใจ เขาหยิบแหวนจากเสื้อที่ได้จากนิ่มนวลขึ้นมาดู
ธีรธรยืนมองห้องไศลาจากระยะไกล เป็นห่วงไศลา พยาบาลที่เพิ่งออกมาจากห้องไศลาเดินมา ธีรธรวิ่งรี่เข้าไปถาม
“คุณพยาบาลครับ คนไข้ห้องนั้น...”
“เขาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ ทำไมไม่มีใครรู้เลยคะเนี่ย”
ธีรธรชะงัก
“ไปแล้ว แล้วหายดีแล้วเหรอครับ”
“ฉันไม่รู้หรอกค่ะ รู้จักกันลองโทรถามกันสิคะ”
ธีรธรไม่กล้าซักไซ้ต่อ ชูชิตเดินออกมาจากห้องไศลา เขาหันมาเห็นธีรธรพอดี จึงเดินรี่มาหา ชูชิตมองหน้าตาที่สะบักสะบอมของธีรธรที่เกิดจากฝีมือเขา ธีรธรก็มองชูชิตอย่างสงสัย
“หน้าไปทำอะไรมาเหรอ อย่างกับโดนใครต่อยมาอย่างหนัก”
“ก็คงเหมือนหน้าแกละมั้ง ไปทำอะไรมาล่ะ”
“ฟัดกับหมามานิดหน่อย หมาลอบกัดซะด้วย”
ชูชิตและธีรธรต่างจ้องหน้ากัน ต่างคนต่างรู้ในใจ
“อีกไม่กี่วันเราคงได้รู้กัน”
“ดี...ฉันก็รอเวลานี้มานานแล้ว”
ธีรธรเปิดประตูเข้ามาในห้องพักไข้ของธิดารัตน์ ทักทายหลานสาว
“เป็นไง ไก่น้อยหลานอา ดีขึ้นรึยัง”
ธิดารัตน์ยิ้มแย้ม
“ค่ะ”
กมลาที่รอธีรธรอยู่ก็รีบใส่ทันที
“ธี ต้องจัดการไอ้เด็กนั่นนะ”
“เด็กไหนครับ”
“ก็ไอ้เด็กที่ทำให้ไก่น้อยเป็นแบบนี้ไง”
ธิดารัตน์หน้าเสีย
“แม่คะ...”
ธิดารัตน์จะขอร้องแม่ แต่กมลาตวาดสวน
“เงียบไป เธอทำฉันอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหนละ”
ธีรธรมองหน้าพี่สาว
“ถ้าหมายถึงพงษ์ละก็ เขารับปากกับผมแล้วว่าเขาจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“แล้วเธอก็เชื่อมันงั้นเหรอ เธอไม่เห็นสภาพไก่น้อยเหรอว่าต้องทรมานแค่ไหน สิ่งที่มันทำไว้ยังไงก็ต้องชดใช้จะเอาเข้าคุก เข้าสถานพินิจอะไรก็ได้ข้อหาล่อลวงอะไรก็ได้”
ธิดารัตน์แทรกขึ้นทันที
“พงษ์ไม่ได้ล่อลวงหนูนะคะ หนูเป็นคนขอร้องให้พงษ์พาหนูไปเอง เพราะหนูอยากรู้ว่าเป็นยังไง อย่าจับพงษ์นะคะน้าธี”
กมลาโกรธ
“ไก่น้อย...ทำไมเป็นเด็กแบบนี้เนี่ย”
“หนูก็แค่อยากรู้ มันผิดมากเลยเหรอคะ หนูถามแม่แม่ก็แค่บอกว่ามันไม่ดี แต่ก็ไม่เคยให้เหตุผลว่าไม่ดียังไง แล้วหนูอยากไปเห็นกับตา มันผิดเหรอคะ”
“ตั้งแต่รู้จักไอ้เด็กนั่น แกเถียงฉันฉอดๆ แบบนี้เลยเหรอ”
“หนูไม่ได้เถียง หนูแค่อธิบายเหตุผลให้แม่ฟัง”
พันธ์พงษ์ห้าม
“พอแล้วคุณ”
กมลาโกรธมาก
“คอยดูนะ ถ้าหายเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องอยู่แล้วกรุงเทพน่ะ กลับบ้านแล้วระหว่างนี้อย่าให้เห็นว่าแอบไปคุยกับมันอีกนะ”
ธีรธรตัดบท
“พอแล้วครับ...เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผมจะจัดการให้เอง”
พันธ์พงษ์ดึงกมลา
“คุณออกไปข้างนอกกับผมก่อนเถอะ”
กมลาไม่ยอม ธีรธรขอร้อง
“ไปก่อนเถอะครับพี่แก้ว ผมขอร้อง”
กมลายอมออกไปข้างนอกกับพันธ์พงษ์ ทิ้งให้ธีรธรกับธิดารัตน์อยู่ด้วยกัน
“น้าธีจะจับพงษ์เหรอคะ เราควรให้โอกาสคนอื่นไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่หรอก ไก่น้อยสบายใจได้น้าอยากให้แม่ไก่น้อยใจเย็นลงก่อน ไก่น้อยไม่ต้องห่วงนะ น้าจะพยายามช่วยหนู”
“ขอบคุณนะคะน้าธี”
ธีรธรกอดหลานอย่างเอ็นดู
วงทองอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องรับแขก แววเดินถือไม้ขนไก่มาปัดฝุ่นตามโต๊ะ
“นี่นิ่มนวลไปไหนเนี่ย”
“คุณนิ่มอยู่บนห้องตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ข้าวก็ไม่ยอมลงมากิน”
“ไม่สบายรึเปล่า”
“แววก็ไม่แน่ใจค่ะ”
วงทองชักจะห่วงนิ่มนวลขึ้นมา
นิ่มนวลนั่งเครียดอยู่ในห้อง ไม่อยากพบเจอใคร เสียงเคาะประตูดังขึ้น นิ่มนวลผวา เสียงวงทองดังเข้ามา
“แม่นิ่ม...นี่ป้าเอง”
นิ่มนวลกังวล แต่ก็เดินไปเปิดประตู เพราะไม่อยากให้มีพิรุธ วงทองเดินเข้ามา
“แม่นิ่มไม่สบายรึเปล่า ยังไม่หายตกใจเหรอ”
“นิ่มแค่ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ ก็เลยนอนพัก”
“ก็ดีแล้ว ป้าก็นึกว่าเป็นอะไรมาก”
“คุณป้ามีอะไรรึเปล่าคะ”
“ป้าน่ะลองไปเช็คพวกเครื่องเพชรดู ว่าพวกมันอะไรไปบ้างรึเปล่า”
นิ่มนวลหน้าเสียหนักกว่าเดิม
“แล้ว...มันเอาอะไรไปรึเปล่าคะ”
“ก็เช็คดูคร่าวๆ ก็ยังอยู่ครบ”
นิ่มนวลโล่งอก
“ค่ะ”
“ของแม่นิ่มมีอะไรเสียหายมั้ย”
นิ่มนวลชะงักไปนิด
“ไม่...ไม่มีค่ะ”
“พวกมันคงตั้งใจขู่จริงๆ ไม่ใช่โจรขโมยธรรมดา”
“ค่ะ”
“นี่ดูสีหน้าเราไม่ดีเลยนะ จะไปหาหมอมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นอนพักก็คงจะดีขึ้น”
“อืม...งั้นป้าไม่กวนละ”
วงทองเดินออกจากห้องไป นิ่มนวลรีบหาแหวนของคุณนายอีกที ตามพื้น ใต้โต๊ะ ใต้เตียง แต่ก็ไม่พบ เธอไม่สบายใจมาก
ธีรธรขับรถออกจากลานจอดรถ แล้วก็ต้องเบรกกะทันหันเพราะคนที่มายืนขวางหน้ารถเขาคือ ไศลา เธอเดินเปิดประตูเข้ามาในรถของเขา
“ฉันรู้ว่าเราไม่ควรเจอกันบ่อยนัก แต่ฉันมีเรื่องให้คุณช่วย”
“นี่คุณไปทำอะไรมา ทำไมสภาพคุณเป็นแบบนี้”
“รับปากฉันก่อนว่าจะช่วย”
“ถ้าเป็นคุณผมยินดีช่วยทุกเรื่อง คุณไม่ต้องถามผมหรอก”
“คุณเป็นคนเดียวที่ฉันพอจะไว้ใจได้ตอนนี้ฉันอยากให้คุณดูแลสิ่งนี้” ไศลายื่นกล่องไม้ให้ธีรธร “ให้ดีเท่าชีวิตคุณ”
ธีรธรงงๆ
“มันคืออะไร”
“มันคือของสำคัญบางอย่าง ที่มีคนต้องการมันมากฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน คุณต้องเก็บมันเป็นความลับระหว่างเรา ได้มั้ย”
“ได้สิ ผมจะไม่บอกใครและจะดูแลมันอย่างดี”
“ฉันขอคุณแค่นี้”
ไศลาจะลงจากรถ ธีรธรคว้ามือของเธอไว้
“คุณขอผมตั้งเยอะจะไม่มีข้อแลกเปลี่ยนให้บ้างเหรอเดี๋ยววันอาทิตย์ คุณก็ไปเสี่ยงอีก งานของเราจะมีวันพรุ่งนี้อีกแค่ไหนก็ไม่รู้ผมขอคุณแค่อย่างเดียวเอง คุณจะให้ผมได้มั้ย”
“อะไรคะ”
“ผมขอความสุขจากคุณแค่...วันเดียวที่เราจะอยู่ด้วยกันไม่มีเรื่องคนอื่นแล้วพอหมดวันผมจะปล่อยคุณไปอยู่ในโลกของคุณที่มี...คนอื่น”
“แค่วันเดียว...แล้ว ฉันต้องทำอะไรบ้างคะ”
ธีรธรดีใจที่ไศลารับปาก
นาถสุดาสภาพโทรมมากเดินเข้ามาในป่า เธอมองซ้ายมองขวาไม่รู้ทิศรู้ทาง เสียงสัตว์ป่าส่งเสียงชวนให้คนที่ไม่เคยเดินป่าหวาดผวา นาถสุดาเดินไปตามทางที่พอจะเห็นร่องรอยของคนเดินเข้ามา
“เมฆา...เมฆา...เมฆา”
ไม่มีเสียงตอบรับจากใคร มีแต่เสียงสะท้อนของนาถสุดาเองที่ดังกลับมา นาถสุดาเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงคล้ายๆน้ำตก
“นั่นเสียงน้ำตกนี่”
นาถสุดาเดินเข้าไปตามเสียง แต่ก็ยังระแวงกับสิ่งต่างๆรอบตัว
นาถสุดาเดินมาที่ริมน้ำตก หันมองไปทั่ว
“เมฆา...เมฆาอยู่ที่นี่รึเปล่า เมฆาฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
นักพรตเมฆขาวปรากฏตัว ประชิดด้านหลังของนาถสุดาอย่างไม่ทันรู้ตัว
“เจ้ามีธุระอะไรกับข้า”
นาถสุดาตกใจกับเสียงที่อยู่ด้านหลัง หันมาเจอนักพรตเมฆขาวยืนประชิดตัวก็ยิ่งผงะถอยไป
“ท่านคือเมฆา เคลื่อนไหวเบาประดุจเมฆสินะ”
“เจ้ารู้จักข้า”
“อาจารย์ของฉันเคยเล่าเรื่องท่านให้ฟัง”
“อาจารย์ของเจ้า...”
“ท่านจำฉันไม่ได้เหรอ...ฉันคือลูกศิษย์คนเดียวของอาจารย์โยคีศิลาดำ”
“ลูกศิษย์น้องศิลา”
“ใช่”
“เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้า”
“ฉันต้องการตำราหน้าสุดท้ายที่อาจารย์ของท่านทั้งสองซ่อนไว้”
“น้องศิลาส่งเจ้ามาสินะ”
“เปล่าไม่มีใครส่งฉันมาทั้งนั้น ฉันมาของฉันเองฉันมีความจำเป็นต้องใช้มัน”
“ความจำเป็นของเจ้าดูเหมือนจะเป็นความรัก”
อ่านต่อหน้าที่ 3
กุหลาบไฟ ตอนที่ 10 (ต่อ)
นาถสุดาชะงัก
“ท่านรู้ได้ยังไง”
“ทั้งแววตา ทั้งพลังงานที่ส่งออกมา ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น”
“ใช่...ฉันจะทำให้คนรักของฉันมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง”
“เจ้ามีความตั้งใจจะฝืนกฎธรรมชาติงั้นเหรอ”
“ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายกับใคร แต่ใครขวางฉันก็ไม่ไว้ชีวิตเหมือนกัน”
“เจ้ายอมให้คนอื่นสังเวยชีวิตเพื่อคนรักของเจ้า”
“ใช่”
“งั้นเจ้าอาจต้องใช้ชีวิตข้าเป็นเครื่องบรรณาการนั้นด้วย เพราะข้าไม่ยอมให้ตำรานั้นตกไปอยู่กับคนที่ใช้มันในทางที่ไม่ถูกหรอก”
“ฉันก็จะไม่ยอมเหมือนกัน”
นักพรตเมฆขาวแบมือ มีม้วนกระดาษวางบนนั้นดั่งนิมิต
“ถ้าเจ้าอยากได้ มีทางเดียวคือฆ่าข้าซะ”
“ย่อมได้”
นาถสุดาไม่กลัวลุยเข้าไปปล่อยพลังใส่ แต่ร่างนักพรตเมฆขาวก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา พร้อมจู่โจมเธอ โดยที่เธอก็ไม่เห็นตัว นาถสุดาเสียหลักหันไปอีกทีนักพรตเมฆขาวไปปรากฏตัวอยู่บนโขดหิน นาถสุดาปล่อยลูกไฟออกไป ร่างนักพรตเมฆขาวก็หายตัวไปอีก นาถสุดาตามไปสู้กับนักพรตเมฆขาวไม่ว่าจะย้ายไปทางไหน จนสุดท้ายเธอก็ใช้ความว่องไว ปล่อยลูกไฟใส่ตัวนักพรตเมฆขาวได้ นักพรตเมฆขาวตกใจตัวเริ่มไหม้
นาถสุดาปล่อยลูกไฟโดนนักพรตเมฆขาว ตัวนักพรตค่อยๆไหม้
“เอาตำราหน้าสุดท้ายมา เอามาให้ฉัน” นาถสุดาดีใจ
ร่างของนักพรตเมฆขาว ค่อยๆจางหายไปกลายเป็นว่าสิ่งที่ไหม้คือม้วนกระดาษที่นาถสุดาคิดว่าเป็นตำรา นาถสุดาตกใจรีบวิ่งเข้าไปดับ แต่ก็เหลือแต่ขี้เถ้า
“ไม่จริง...ไม่จริงนะ ไม่”
นาถสุดากอบขี้เถ้าขึ้นมาน้ำตาไหล นักพรตเมฆขาว มาปรากฏตัวด้านหลังของเธอ
“ทุกอย่างบนโลกนี้ เมื่อถึงเวลาของมัน มันก็ต้องสลายไป ไม่มีอะไรอยู่ยืนยงหรอก”
นาถสุดาหันมาหา
“ท่านเอาตำราคืนมาเดี๋ยวนี้นะ เสกให้มันกลับมาสิ มีอำนาจวิเศษไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีอะไรมีอยู่จริงหรอก ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมติทั้งนั้นแหละ”
นาถสุดาชะงัก
“หมายความว่ายังไง”
“ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า...คนรักของเจ้าน่ะ เขาหมดเวลาของเขา อย่าไปฝืนอะไรที่มันต้องเป็นไปสุดท้ายยังไงทุกอย่างก็ต้องสูญสลาย”
“ไม่ต้องมาธรรมะกับฉัน ฉันอยากได้ตำราคืน เอาอันใหม่มาสิ”
“ไม่มี”
“ไม่จริง ของมีค่าขนาดนี้ไหม้ไปทำไมท่านไม่เดือดร้อนล่ะ มันต้องมีอีกใช่มั๊ย”
“ทุกอย่างไม่มีอยู่จริงอยู่แล้ว แค่สิ่งสมมติ”
“คืออะไร”
“ข้าไม่มีตำราที่เจ้าตามหาตั้งแต่แรก เจ้าคิดเองทั้งนั้นว่าข้ามี เจ้าคิดเองทั้งนั้นกว่ากระดาษนั่นสำคัญเจ้าคิดเองทั้งนั้นว่าสิ่งที่เจ้ากอดเจ้ายึดครองด้วยความรักมันยังมีตัวตน”
“ไม่มีตำรา...แล้วมันอยู่ไหน”
“ข้าก็ไม่รู้ อาจารย์ของข้าไม่เคยบอกข้าแม้สักคำ”
นาถสุดาร้องไห้
“แล้วที่ฉันเสียเวลามาที่นี่ล่ะ ที่เสียแรงสู้กับท่าน ฉันไม่ได้อะไรมาเลยได้ยังไง”
“เจ้าเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเปล่า เจ้าก็ควรกลับออกไปตัวเปล่า”
ร่างนักพรตเมฆขาว หายไปอีกครั้ง นาถสุดานั่งร้องไห้ผิดหวังที่เธอไม่ได้ตำราไปช่วยเทพ
ค่ำนั้น นาถสุดากลับมาที่โรงแรม...เธอเข้ามาในห้องทิ้งตัวลงข้างๆศพเทพด้วยความเศร้า ร้องไห้เสียใจ พูดปลอบเทพ
“เทพอย่าเพิ่งท้อนะ นาถยังไม่ยอมแพ้หรอกมันต้องมี นางไศลาอาจจะซ่อนมันไว้ นาถต้องหาให้เจอให้ได้ เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน”
นาถสุดาหันไปมองเทพรู้สึกว่าเขายิ้มให้ตน เธอยิ้มกลับไปราวกับเป็นการปลอบตัวเอง
ในสาธารณะวันใหม่...ธีรธรกับไศลานัดกันมาเจอกัน ไศลาในชุดกระโปรง ดูเป็นผู้หญิงหวาน
“คุณสวยเป็นพิเศษเลยนะวันนี้”
“ก็แค่วันนี้วันเดียวที่เราจะได้ทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
ไศลาส่งยิ้มหวานให้ ธีรธรหอบเศษขนมปังถุงใหญ่มาหา แล้วจูงมือเธอไปที่ริมสระแล้วให้อาหารปลากัน ธีรธรเองกินเองไปด้วย ให้อาหารปลาไปด้วย ไศลาเห็นแล้วก็ขำ พอธีรธรเผลอเธอแอบมองเขาแล้วอมยิ้ม แต่ตอนที่ไศลาเผลอธีรธรก็แอบมองเธอแล้วอมยิ้มเช่นกัน
ไศลากับธีรธรช่วยกันปั่นเรือถีบกัน หยอกๆแกล้งกันตามประสา ทั้งคู่ยิ้มมีความสุข
ธีรธรเดินยิ้มกับไศลามีความสุข ผ่านดอกลีลาวดีที่ร่วงกราวอยู่กับพื้น ไศลาก้มลงเก็บมันมาดมอย่างมีความสุข
“ชอบเหรอ”
“มีผู้หญิงที่ไหนไม่ชอบดอกไม้บ้าง”
“คุณที่เป็นแบบนี้ดูน่ารักกว่าฉบับโหดตั้งเยอะนะ”
“ฉันจะถือว่านี่เป็นคำชมนะคะ...ฉันว่าไม่จำเป็นต้องเป็นดอกไม้แพงๆตามร้านหรอก ขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้ ไม่ว่าจะร่วงอยู่ข้างถนน หรือขายช่อละเป็นพัน มันสวยเท่ากัน”
“ผมมีวิธีทำให้มันสวยกว่าตอนนี้ด้วยนะ อยากรู้รึเปล่า”
“ยังไงคะ”
ธีรธรหยิบดอกลีลาวดีมาทัดหูให้ไศลาอย่างอ่อนโยน
“นี่ไง สวยขึ้นอีกเยอะเลย”
ไศลายิ้มเขินๆ เธอเอาดอกไม้ในมือเธอทัดหูให้เขาด้วยเช่นกัน
“แบบนี้ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน”
“หล่อมั้ย”
ไศลาพยักหน้ายิ้มๆ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
ธีรธรซื้อไอติมโคนมา 2 อัน ยื่นให้อันหนึ่ง ไศลารับไอติมมา
“นี่คือความสุขเหรอคะ มาให้อาหารปลา มากินไอติม”
“คุณไม่ชอบเหรอ ผมว่าดีกว่าเดินห้าง แล้วก็ดินเนอร์ร้านหรูๆอีกนะ”
“ก็น่ารักดีค่ะ”
“เวลาผมมีเรื่องไม่สบายใจ ผมก็จะมาทำแบบนี้แหละ”
ไศลาพยักหน้ารับ ยิ้มๆ
“แล้วเวลาคุณไม่สบายใจล่ะ คุณทำอะไร” ธีรธรถาม
“อยากรู้จริงๆเหรอคะ”
ธีรธรพยักหน้ารับ
ไศลายืนมองบ้านตัวเองอย่างคิดถึง ธีรธรถือถุงข้าวของจำนวนมากมาหา
“เราเข้าไปกันเลยมั้ย”
ทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้าน
ไศลาทำกับข้าวโดยมีธีรธรเป็นลูกมือ เขาทำอะไรไม่เป็นเธอต้องคอยสอน
“ถั่วฝักยาวคุณต้องหั่นเฉียงๆแบบนี้” เธอหั่นให้เขาดู “เข้าใจมั้ย”
ธีรธรลองหั่นแล้วก็แกล้งว่าไม่เข้าใจ ไศลาจึงจับมือเขาแล้วสอนหั่น
“แบบนี้...เข้าใจรึยัง”
“ไหนขออีกทีซิ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
ไศลามองหน้าแบบรู้ทัน
ไศลาทำกับข้าว ป้อนธีรธรให้ชิม...ธีรธรพยายามจะทอดปลา แต่ก็เก้ๆกังๆ ไศลายืนดูแล้วก็หัวเราะชอบใจ
ไศลากับธีรธรนั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร ไศลาดูมีความสุขมาก
“ผมไม่เคยเห็นคุณมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย คุณคงชอบทำสิ่งนี้มากสินะ”
“ตอนเด็กๆแม่สอนฉันทำกับข้าว ทุกครั้งที่ฉันได้ทำกับข้าวให้น้องๆกินพร้อมหน้าฉันจะรู้สึกเหมือนมีแม่มาอยู่ด้วย”
ธีรธรยิ้ม
“ผมขอชิมฝีมือคุณนะ”
ไศลาพยักหน้ารับ ธีรธรชิม
“ผมว่าคุณอย่ามัวแต่มาทำอาชีพอะไรเสี่ยงๆแบบที่ทำอยู่เลย”
ไศลาแปลกใจ
“ทำไมละคะ”
“คุณไปเปิดร้านอาหารเถอะ”
“จริงเหรอคะ คุณจะหุ้นกับฉันใช่มั้ย”
“อย่าพูดเล่นนะ”
“พูดเล่นค่ะ”
ธีรธรทำหน้าบึ้งใส่ ไศลาตักอาหารอย่างอื่นให้ ธีรธรก็ตักอาหารให้เธอเช่นกัน ทั้งคู่มีความสุข
ค่ำนั้น ธีรธรกับไศลาดูดาวกันที่ระเบียง ไศลาแหงนมองดูดาวบนท้องฟ้า ธีรธรเอาแต่มองไศลาไม่วางตา
“ที่ฉันชอบดูดาวเพราะฉันรู้สึกว่ามันเป็นเวลาเดียวที่ฉันจะได้สบตากับแม่พ่อ แล้วก็ดา น้องสาวของฉันบนฟ้านั่น...พวกเขาคงมีความสุขคุณว่ามั้ย”
“ใครได้เห็นคุณก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ”
ไศลามองธีรธรเขินๆ
“รู้มั้ยตอนที่คุณทำกับข้าว ผมคิดอะไรอยู่”
“คะ”
“คิดว่า...ผมอยากเป็นผู้ช่วยคุณทำอาหารไปตลอดชีวิตตอนที่ผมกินข้าว ผมก็รู้สึกว่า ผมอยากกินอาหารฝีคุณคนเดียว”
ไศลายิ้มเศร้าๆ
“แต่มันคงเป็นแค่วันนี้”
“ครับ...ผมรู้ โลกของความจริงมันน่าเศร้าตรงนั้นแหละ”
“พอผ่านวันนี้ไป เราก็ควรจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้น แล้วก็ต่างใช้ชีวิตนะคะ”
“ผมจะขอบคุณมากถ้าไม่ย้ำขนาดนั้น”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้ดื่มดีกว่านะคะ อากาศมันอบอ้าวไป”
ธีรธรดึงไศลาเข้ามากอดไว้ มันเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นจนไศลาปฏิเสธไม่ได้ เธอเองก็กอดเขาไปเช่นกัน
“ถ้าพ่อแม่แล้วก็น้องสาวของคุณมองอยู่ ผมอยากจะบอกว่า คุณอาจจะมองว่าคืนนี้เป็นความฝัน แต่สำหรับผม...มันจริงที่สุดแล้ว แล้วผมจะไม่มีวันลืมคืนนี้เลย”
ธีรธรผละไศลาออกจากอ้อมกอดของเขา ทั้งคู่สบตากัน ธีรธรค่อยๆบรรจงจูบไศลาอย่างโรแมนติก ไศลาเองก็รับจูบนั้นด้วยความเต็มใจ แต่แล้วเธอก็นึกถึงคำที่อาจารย์บอกว่า ห้ามผิดประเวณีผู้อื่น และนึกถึงแหวนที่นิ่มนวลใส่มาหาเธอแล้วกล่าวว่าทั้งคู่หมั้นกันแล้ว ไศลาผลักธีรธรออกทันที ธีรธรเองก็งงๆกับอารมณ์ของไศลา
“กลับเถอะค่ะ หมดเวลาแล้ว”
ธีรธรมองไศลาเศร้าๆ
“คุณอย่าลืมข้อแลกเปลี่ยนของเรา ดูแลกล่องไม้นั่นแทนฉันด้วย ถ้าฉันพร้อมเมื่อไหร่ ฉันจะมาเอาคืนไปเอง”
ธีรธรพยักหน้ารับเศร้าๆ
“เราหายกันแล้วสินะ”
“พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม”
ไศลาเองก็ปวดใจไม่แพ้ธีรธรเลย
ไศลายืนส่งธีรธรหน้าบ้าน ต่างคนต่างเศร้า
“คุณอยากติดรถผมไป...”
“ไม่หรอกค่ะ คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่ น่าจะปลอดภัยกว่า”
“คุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมมั้ย ให้ผมไปซื้อ...”
ไศลาขัดขึ้น
“คุณธี...จะซื้อเวลาแค่ไหน เราก็ต้องจากกันอยู่ดีค่ะจากกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า”
ธีรธรถอนหายใจ
“ฉันขอร้องอีกอย่างนะคะ...อย่าพูดถึงคืนนี้อีก ทำซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ตกลงนะคะ”
ธีรธรลำบากใจ ไม่รับปาก ได้แต่ยิ้มนิ่งๆ แล้วขึ้นรถขับออกไป ไศลายืนหน้าเศร้า ส่งธีรธรอยากจะส่งจนรถลับตาไป...ธีรธรขับรถออกไปมองกระจกหลังเห็นไศลายืนโบกมือ เขาดูเงาสะท้อนเธอจนลับตา...ไศลาเดินเข้ามาในบ้าน อยู่ๆเธอก็น้ำตาไหลออกมาจากความอึดอัดที่เธอแบกรับ
ธีรธรจอดรถที่สำนักงานตำรวจกำลังจะลง เขาหันไปมองกล่องไม้โบราณที่ไม่รู้ว่าคืออะไร เขาถอนหายใจเศร้าหยิบมันเก็บใส่กระเป๋าแจ็คเก็ต...ธีรธรเดินเข้ามาในห้องสืบสวนหน้าเครียด จ่านิดกับนายตำรวจคนอื่นๆรออยู่
“นัดประชุมซะดึกเลยนะครับผู้กอง”
“ทำงานดึกๆน่ะดี จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน...ไหนแผนผังที่ผมขอไว้ได้มารึยัง”
“นี่ครับ”
จ่านิดเปิดในคอมพิวเตอร์ ภาพฉายบนผนัง เป็นแผนผังห้องของโรงแรม
“พิธีหมั้นจัดในห้องแกรนด์แต่ที่สืบข้อมูลจากโรงแรมมาเนี่ยได้จองห้องด้านข้างสำหรับผู้บริหารพักผ่อน ผมคิดว่าต้องเป็นห้องนี้แน่ๆครับ”
“เช็คจำนวนกล้องวงจรปิดทั้งหมดรึยัง”
“เรียบร้อยครับ มีค่อนข้างถี่ ไม่มีมุมอับเลยครับ”
“จัดการเรื่องเครื่องดักฟังด้วยละกัน”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“คราวนี้เราจะลุย...กลางงานหมั้นนั่นแหละผมไม่อยากให้คุณไศลาต้องเสี่ยงคนเดียวอีกแล้ว”
“แล้วผู้กองบอกผู้การเสริมพงษ์รึยังครับ”
“เดี๋ยวผมคุยกับผู้การเอง เชื่อว่าเขาต้องเห็นด้วยแน่ๆ”
“ถ้างั้นก็เริ่มงานได้เลยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ ผมอยากได้ตำรวจ 20 นายที่แฝงตัวปนกับแขกที่มางาน และพร้อมปฏิบัติการได้ตลอดเวลา”
“ครับผม”
“จัดการตอนนี้เลย เดี๋ยวผมจะโทรหาผู้การเอง”
“ครับ ตอนนี้ก็ตอนนี้”
ธีรธรเดินถือโทรศัพท์ออกไป
ดุลยศักดิ์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ไศลาเดินผ่านเข้ามาพอดี
“ใช่...ท่าเรือ...ตามที่ตกลงกันไว้ อย่าไปสนใจจดหมายเชิญนั่น ตามนั้น”
ดุลยศักดิ์เห็นไศลารีบวางหู ไศลาพูดขึ้น
“ฉันจะถามว่าเรื่องงานหมั้น ตกลงฉันต้องทำอะไรบ้างคะ”
ดุลยศักดิ์เหล่มอง
“ใส่ใจงานดีนี่...เธอคอยรับแขกพิเศษของฉันก็แล้วกัน”
ไศลาชะงัก
“แขกพิเศษ”
“ใช่...มิสเตอร์ลี”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวฉันจะเอาข้อมูลของมิสเตอร์ลีให้เธอไปศึกษา จะได้เอาใจเขาถูก”
“ได้ค่ะ”
“หวังว่าคงจะไม่มีปัญหาตามมาเหมือนคราวที่แล้วนะ”
“ค่ะ”
ดุลยศักดิ์มองไศลาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์เหมือนเคย
งานหมั้นจัดขึ้นที่โรงแรมหรู...ไศลายืนดูรูปมิสเตอร์ลีในมือตน
“มิสเตอร์ลี”
หูของไศลามีหูฟังเล็กๆเสียบอยู่เพื่อติดต่อกับเหล่าตำรวจ
ในรถตู้โอบีมีภาพจากกล้องมากมายในงาน ธีรธรใส่แจ๊คเก็ตที่ใส่กล่องไม้ไว้ด้วยคอยจับตาดูแต่ไศลาในจอ
“มิสเตอร์ลีเป็นผู้ค้ายาข้ามชาติรายใหญ่ เชื่อว่ามีแบ็คอัพเป็นนักการเมืองในหลายๆประเทศ เลยไม่มีใครกล้ายุ่ง”
“แล้วเรายุ่งจะไหวเหรอครับเนี่ย” จ่านิดถามอย่างหนักใจ
“ถ้าเรามัวแต่คิดเหมือนคนอื่น ก็จะไม่มีใครทำอะไรให้ประเทศนี้ดีขึ้น”
“โห พระเอกสุดๆ”
ไศลาฟังสิ่งที่ธีรธรพูดก็อมยิ้ม...ดุลยศักดิ์เดินเข้ามากับโยคีศิลาดำ ดุลยศักดิ์หยุดพูดคุยกับไศลา
“ถ้ามิสเตอร์ลีมาแล้ว ให้คนของฉันไปแจ้งฉันด้วย”
“ค่ะ”
โยคีศิลาดำจ้องไศลาตาไม่กระพริบ ไศลามองแววตาไม่เป็นมิตรนั้น พยายามจะไม่สนใจ
นาถสุดานั่งแต่งหน้าอย่างเหม่อลอย
“คุณนาถชอบปากสีนี้มั้ยคะ” ช่างแต่งหน้าถาม
นาถสุดาไม่ได้ยิน ไม่ได้ตอบ ช่างแต่งหน้าเสียงดังขึ้น
“คุณนาถคะ”
“ห๊ะ”
“คุณนาถชอบปากสีไหนคะ”
ช่างแต่งหน้าหยิบลิปสติกให้เลือกสี
“สีอะไรก็ทาๆมาเถอะ จะได้เสร็จๆซะที”
ช่างแต่งหน้าทำหน้างง เหล่ตาดูคนอื่นว่ามีใครได้ยินมั้ย อยากจะเม้าท์ ชูชิตที่แต่งตัวอยู่ตะโกนมา
“ทำตัวซังกะตายไปได้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้วน่า”
นาถสุดาหันมามองค้อนชูชิต
“ไศลาไปไหนล่ะ ฉันไม่เห็นเห็นเลย”
“จะถามถึงเขาทำไม”
“ฉันก็มีธุระจะคุยกับเขามั่งไม่ได้รึไง”
ชูชิตเดินมากระซิบข้างหูนาถสุดา
“อย่าคิดจะก่อเรื่องอะไรล่ะถ้าฉันเดือดร้อนไปด้วยฉันเอาเธอตายแน่”
นาถสุดามองหน้า
“สุดท้ายก็ห่วงแค่กลัวตัวเองจะโดนเล่นงาน”
“นี่...”
ออแกไนเซอร์เปิดประตูเข้ามาตามพาดี
“ใกล้ถึงฤกษ์แล้ว เสร็จกันรึยังคะ”
ชูชิตกับนาถสุดาต่างก็เมินกัน หันไปให้ช่างแต่หน้าและแต่งตัวตนให้เสร็จ
อรชรเดินอยู่ในงานหน้าเซ็งมาก เธอมองเห็นไศลาก็มองอย่างแค้นใจ แต่เธอเห็นไศลาท่าทีแปลกๆ กับชายที่แฝงตัวเป็นตำรวจในงาน มีพยักหน้างึกงักแบบคนรู้กัน อรชรเริ่มสงสัยบางอย่าง
ไศลาออกมายืนแผนกต้อนรับ มิสเตอร์ลีเดินเข้ามาพร้อมบอดี้การ์ดมากมาย แต่เขาใส่หมวกทำให้มุมกล้องวงจรปิดมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก ไศลาหยิบรูปในมือมาดู เพื่อให้แน่ใจว่าใช่มิสเตอร์ลีแน่ๆ เธอเข้าไปต้อนรับทันที หันไปบอกสมุนดุลยศักดิ์
“ไปบอกนายด้วยว่ามิสเตอร์ลีมาแล้ว”
สมุนพยักหน้ารับ ไศลายิ้มแย้มให้มิสเตอร์ลี
“คุณดุลยศักดิ์กำลังรออยู่เลยค่ะ”
มิสเตอร์ลีพยักหน้า ไศลาเดินนำมิสเตอร์ลีออกไปที่ห้องพิเศษ ก่อนไปไศลามองตำรวจนอกเครื่องแบบพยักหน้าเข้าใจกัน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอรชรได้แอบมอง อรชรมองไศลาเริ่มมั่นใจว่าไศลาต้องเป็นหนอนบ่อนไส้ เป็นสายให้ตำรวจแน่ เธอยิ้มสะใจ และเดิมตามไศลาไป นักข่าวต่างออกมาเรียกพวกพ้อง
“พิธีจะเริ่มแล้ว เข้าไปกันเร็ว”
เหล่านักข่าวกรูกันเข้าไปในห้องจัดงาน
ไศลาเดินออกมาจากห้องพิเศษ พูดใส่ไมค์เพื่อติดต่อธีรธรบนรถ
“มิสเตอร์ลีเข้าไปในห้องแล้ว ตามหมายกำหนดการทุกอย่าง อีกไม่นานดุลยศักดิ์คงตามเข้าไปแล้วเริ่มเจรจา ฉันจะยืนรออยู่ตรงหน้าห้องพิธี ตอนนี้พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว”
อรชรแอบมองไศลาอยู่...ธีรธรดูไศลาจากจอและฟังสิ่งที่ไศลาพูด
“ผมเห็นจากกล้องละแต่ไม่มีกล้องตัวไหนเห็นหน้ามิสเตอร์ลีชัดสักตัว...ตอนนี้แขกทั้งหมดเข้าไปอยู่ในห้องจัดงานผมกำลังจะนำกองกำลังเข้าไป คุณระวังตัวด้วย”
อยู่ๆธีรธร จ่านิด และคนคุมเครื่องก็ได้ยินเสียงซ่าของเครื่องดังมาก จนแสบแก้วหู จ่านิดโวยวาย
“โอ๊ย เสียงอะไรกันเนี่ย แสบแก้วหูชะมัด”
ธีรธรเองพอได้ยินก็เป็นห่วงไศลาขึ้นทันที
“คุณไศ...คุณไศยังอยู่มั้ย...คุณไศ”
อุปกรณ์ช่วยฟังและติดต่อถูกอรชรกระชากออกมาแล้วเหยียบขยี้กับพื้น โดยที่ไศลายังไม่ทันตั้งตัว
ไศลาตกใจหันไปเจออรชร
“ฉันกะแล้วเชียวแกต้องเป็นสายให้ตำรวจแน่ แกมันไว้ใจไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ไศลาอึ้ง
“อร”
“ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกนาย รับรองคราวนี้แกตายแน่”
อรชรจะเดินเข้าไปในห้อง ไศลาคว้าแขนไว้
“อย่ามาห้าม แกไม่ใช่พี่ฉันอีกแล้ว”
“ตำรวจกำลังจะมา ถ้าอรเข้าไปในนั้น อรจะถูกถือว่าเป็นพวกมัน”
“ไม่…อรเป็นพวกใครก็ได้ ที่ไม่ใช่พวกของพี่ไศ”
อรชรดื้อดึงจะเข้าไปข้างใน ไศลาเป็นห่วงน้อง ไม่รู้จะทำยังไง
“อรพี่ขอโทษนะ”
ไศลาใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ตนมีซัดอรชรทีเดียวสลบ แล้วลากเข้าไปในห้องน้ำทันที
อยู่ๆกล้องวงจรปิดแต่ละตัวก็ดับลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ธีรธร จ่านิด และคนคุมเสียงต่างตกใจ
“นั่นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ทำไมกล้องดับไปหมดแบบนี้”
“เราติดต่อคุณไศลาไม่ได้เลยครับ”
“ผมจะบุกเข้าไปเลย” ธีรธรหยิบวอขึ้นมา “ทุกหน่วยเตรียมพร้อม เราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
ธีรธรเดินออกจากรถตู้ทันที
ไศลาลากอรชรมาขังไว้ในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องน้ำ เอาแม่กุญแจคล้องสายยูจากด้านนอกไว้แต่ไม่ได้ล็อค แค่กันไม่ให้เธอออกไปขัดใครเท่านั้น
“พี่ขอโทษนะอร เดี๋ยวพี่จะมาพาเธอออกไปเอง”
ไศลาออกมาด้านนอก
ชูชิตกับนาถสุดานั่งพร้อมจะทำพิธี มีญาติผู้ใหญ่หลอกๆมานั่ง นาถสุดาหน้าตาไม่มีความสุขเอาซะเลย ชูชิตมองแล้วกระซิบ
“ช่วยทำหน้าให้มันเต็มใจมางานนี้หน่อยได้มั้ย”
“ก็ฉันไม่มีความสุขจะทำไม”
“เธอเป็นนักแสดง”
“ชีวิตจริงฉันไม่อยากแสดงอีก”
ชูชิตสีหนักใจกับนาถสุดา
“เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“ใช่...”
ญาติผู้ใหญ่พูดขึ้น
“ชูชิตเริ่มเลยจ้ะ”
“ครับ”
ชูชิตหยิบแหวนออกมาจะสวมให้ นาถสุดาเหลือบเห็นใครบางคนเดินเข้ามามาหาเธอด้วยหางตาขณะที่เธอกำลังจะสวมแหวน นาถสุดาหันไปดูเห็นเป็น เทพที่เดินมาหาเธอด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง นาถสุดาผวาชักมือออก เทพที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็หายไป ชูชิตมองนาถสุดาดุๆ
“นี่เธอเป็นอะไรของเธอเนี่ย”
นาถสุดาพยายามคุมอาการของตัวเอง ชูชิตจะสวมแหวนให้อีกครั้ง นาถสุดาหันไปเห็นภาพหลอนของเทพอีก พยายามจะชักมือออก ชูชิตดึงไว้ ทำหันไปยิ้มให้สื่อที่รอถ่ายรูป แต่มองนาถสุดาดุๆ
“ฉันลงทุนขนาดนี้ ฉันไม่ยอมให้งานล่มเพราะเธอแน่ๆ เธออยากโดนนายฆ่าตายรึไง”
นาถสุดาพยายามคุมอาการตัวเองอีกครั้ง จนชูชิตสวมแหวนหมั้นจนได้ ระหว่างนั้นไศลาเดินเข้ามาดูภายในงาน ชูชิตมองเห็นไศลารีบปล่อยมือนาถสุดาบ้าง นาถสุดารู้สึกได้หันไปมองเห็นไศลา เธอจ้องไศลาเขม็ง
อ่านต่อหน้าที่ 4
กุหลาบไฟ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ธีรธรพากำลังพล ทั้งหน่อยสวาทเข้าด้านใน ธีรธรพูดกับวิทยุสื่อสารกับตำรวจนอกเครื่องแบบในงาน
“คุณคุมคนอย่าให้ออกมาเพ่นพ่านนะ ไม่อยากให้มีการจับตัวประกัน”
ธีรธรไม่รอช้า ใช้กำลังบุกทันที
ไศลาเดินออกมารอธีรธรหน้าห้อง ชะเง้อมอง ธีรธรยังไม่เข้ามา ชูชิตเดินเข้ามาจับบ่า ไศลาดีใจหันไป คิดว่าธีรธร แต่ไม่ใช่
“ไศอย่าเข้าใจผิดนะเรื่องหมั้นน่ะ ไศก็รู้ว่านายสั่งอะไรก็ต้องทำ”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรมากหรอก”
ไศลามองไปที่ทางออก กลัวว่าธีรธรจะพาคนเข้ามาตอนนี้
“ไศโกรธรึเปล่า ท่าทางไศดูแปลกๆ”
“เปล่านี่ ไศว่าชิตรีบกลับเข้าไปในงานดีกว่า”
“ถ้าไศไม่โกรธ ไศก็เข้าไปด้วยกันสิ”
“เอ่อ...ไม่ดีกว่า คนมันเยอะ ชิตไปรับแขกเถอะ”
“ผมอยากให้ไศเข้าไปด้วยกัน...ผมไม่อยากทิ้งคุณไว้คนเดียว”
ไศลาลังเล กลัวธีรธรเข้ามา
“ก็ได้ค่ะ”
แต่ยังไม่ทันที่ไศลาจะพาชูชิตเข้าไป เหล่าตำรวจมากมายก็บุกเข้ามาพอดี ไศลาเหลือบไปเห็น รีบดึงชูชิตเข้ามุมอับทันที
“อะไรน่ะไศลา”
ไศลามองไปเห็นตำรวจค่อยๆย่องเข้ามา ไศลาไม่รู้จะทำยังไงกลัวชูชิตเห็น เธอจึงดึงชูชิตเข้ามาจูบ ธีรธรบุกเข้ามาพอดี เห็นภาพนั้นก็ถึงกับค้างไป แต่ด้วยงานเขาจึงต้องละจากตรงนั้นไป ไม่ว่าจะปวดใจแค่ไหนก็ตาม พอตำรวจผ่านไป ไศลาก็ผละชูชิตออก
“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
ชูชิตยิ้มพอใจที่ไศลาทำ โดยไม่สงสัยอะไร ไศลารู้สึกไม่ดีทีทำแบบนั้น
ธีรธรยังช็อคกับภาพที่เจอ เบลอๆมาที่หน้าห้องพิเศษตามผังที่วางไว้ ธีรธรก็ต้องงงหนักเมื่อนักข่าวอาชญากรรมจากสนพ.ทุกหัวมารอทำข่าวอยู่เต็มไปหมด ธีรธรอึ้ง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“มีคนส่งเมล์ไปแจ้งพวกเราว่า วันนี้จะมีการบุกจับผู้ค้ายารายใหญ่ที่นี่”
ธีรธรพูดกับวิทยุสื่อสาร
“ใครแจ้งนักข่าวไป”
เสียงจ่านิดตอบกลับมา
“ไม่มีนะครับ ทางเราเก็บเป็นความลับที่สุด”
“นักข่าวมาเต็มไปหมด มาได้ไง”
นักข่าวเข้ามาถาม
“ตกลงจะมีการบุกจับจริงๆใช่มั้ยครับ”
ธีรธรพูดไม่ออก มองนักข่าวต่างๆ
“ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน”
ธีรธรยังงงว่านักข่าวมาตรงนี้ได้ยังไง ทั้งหมดตื่นเต้นกับการที่จะได้เข้าไปพร้อมตำรวจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย...มีแต่อะไรผิดปกติไปหมด”
ธีรธรทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาถาม
“เข้าไปเลยมั้ยครับ”
ธีรธรนิ่งคิด มองหน้านักข่าวที่รออยู่ ตัดสินใจ
ไศลารีบเดินออกจากงาน มองซ้ายมองขวากลัวคนสังเกตเห็น เธอชะเง้อห่วงธีรธร จะรีบไปหา แต่ยังไม่ทันไปไหน โยคีศิลาดำล็อคตัวเธอไว้
“มานี่เลย”
ไศลาดิ้นสุดแรงแต่ไม่พ้นมือโยคีศิลาดำ
ไศลาถูกโยคีศิลาดำลากมาในห้องเก็บของ เธอพยายามดิ้นให้หลุด แต่โยคีศิลาดำใช้ฝ่ามือไฟนาบที่ตัวเธอจนเป็นรอยแดง แล้วจึงปล่อย
“ส่งตำราหน้าสุดท้ายของอาจารย์มาให้ข้า”
“ไม่ได้อยู่ที่ฉัน”
“อย่ามาโกหก”
โยคีศิลาดำใช้พลังอัดไศลากระแทกกับกำแพงร่วงลง
“ถ้าวันนี้เธอไม่ส่งตำรามาให้ฉัน เธอก็ได้ตายไปกับมันแน่”
“ฉันไม่มี”
“ฉันก็อยากจะรู้ว่าเธอจะทนความทรมานได้แค่ไหน”
โยคีศิลาดำใช้พลังทำให้ไศลาลอยกลางอากาศ แค่เขาเกร็งมือค่อยๆบีบ ไศลาก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกราวกับถูกแขวนคอ ไศลาดิ้นทุรนทุราย ใบหน้าโยคีศิลาดำไม่มีความปราณีอยู่เลย
“จะยอมส่งตำราให้ฉันได้รึยัง”
ไศลาดิ้นทุรนทุราย
ธีรธรบุกเข้ามาในห้องพิเศษที่กำลังแลกเปลี่ยนของกันอยู่พอดี มิสเตอร์ลีหันหลังให้ธีรธรอยู่ นักข่าวถ่ายรูปยิงแฟลชกันใหญ่
“หยุดนะ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
เจ้าหน้าที่กรูเข้าไปหาของกลางที่กำลังแลกเปลี่ยนกันอยู่ ซึ่งเป็นของกลางลักษณะผงสีขาวเป็นซองๆ มิสเตอร์ลีโวยวาย
“นี่มาจับผมทำไมเนี่ย...ผมทำอะไรผิด”
ตำรวจชี้ของกลาง
“นี่ไง ของกลางเต็มๆเลย”
ธีรธรเดินมาหามิสเตอร์ลี
“คิดว่าไม่มีใครกล้าจับคุณรึไงมิสเตอร์ลี”
มิสเตอร์ลีหันมาหา ธีรธรเห็นหน้ามิสเตอร์ลีก็ตกใจ นักข่าวเองก็ฮือฮาถ่ายรูปกันใหญ่
“นี่มันไม่ใช่มิสเตอร์ลีนี่”
ตำรวจนายหนึ่งเจาะถุงพิสูจน์ของกลาง ปรากฏว่าเป็นน้ำตาลไอซิ่งธรรมดา
“ผู้หมวดครับ เป็นแค่น้ำตาลครับ”
ธีรธรตกใจ ตำรวจทุกคนหน้าเสียโดยเฉพาะธีรธร นักข่าวยิงคำถาม
“ไหนละครับพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ผู้กอง”
นักข่าวถ่ายรูปธีรธร และเหตุการณ์ใหญ่ ตั้งใจตีข่าวด่าเต็มที่ ธีรธรและตำรวจต่างอับอายไม่มีชิ้นดี
ดุลยศักดิ์ยืนหัวเราะสะใจอยู่กับสมุนอยู่ที่ท่าเรือ
“ฉันอยากจะเห็นหน้าไอ้พวกคนที่คิดว่าฉันโง่ แล้วคิดจะหักหลังฉันซะจริงๆ โดยเฉพาะหน้าไอ้ผู้กองธีรธรนั่น...แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เห็นจากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับสินะ”
สมุนยื่นโทรศัพท์ให้ดุลยศักดิ์
“มิสเตอร์ลีโทรมาครับนาย”
ดุลยศักดิ์รับโทรศัพท์มาคุย
“ครับผมดุลยศักดิ์พูด...ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ ทางโล่งมาก...ผมเตรียมของล็อตใหญ่ไว้ที่ท่าเรือที่เรานัดกันแล้วครับ...ได้ครับ”
ดุลยศักดิ์วางหูยิ้มสะใจ
ไศลาโดนโยคีศิลาดำใช้พลังบีบคอจนแทบจะตายไปอยู่แล้ว แต่อยู่ๆก็มีพลังบางอย่างมาสกัดพลังของโยคีศิลาดำช่วยให้ไศลาร่วงลงมาจากการถูกบีบคอ โยคีศิลาดำหันขวับไปดู นาถสุดานั่นเอง นาถสุดายืนมองอาจารย์ของตนไม่ยอมเช่นกัน
“ท่านฆ่าไศลาไม่ได้”
“เจ้าก็แค่ลูกศิษย์ทรยศ คิดว่าข้าจะสนใจคำพูดเจ้างั้นเหรอ”
“ฉันไม่ยอมให้ไศลาตายหรอก จนกว่าจะได้ตำราหน้าสุดท้าย”
“ก็ลองดู...ว่าเจ้ากับข้าใครจะเหนือกว่ากัน”
การต่อสู้ระหว่างนาถสุดากับโยคีศิลาดำจึงเริ่มต้นขึ้น โยคีศิลาดำใช้พลังสู้ทั้งนาถสุดาและทำร้ายไศลาด้วย ส่วนนาถสุดาก็พยายามปกป้องไศลาเพราะไม่อยากให้ไศลาตายก่อนที่เธอจะได้ตำรา การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด
ธีรธรเดินออกมาจากห้องด้วยความเครียด นักข่าวกรูตามธีรธรมาสัมภาษณ์ใหญ่
“นี่ถือเป็นการผิดพลาดครั้งใหญ่ ขององค์การตำรวจได้มั้ยคะ”
ธีรธรพูดไม่ออก
“ได้ข่าวว่าเตรียมการการจับกุมครั้งนี้มานานด้วย”
“แบบนี้ถือเป็นความล้มเหลว ของกรมตำรวจได้รึเปล่าครับ”
ธีรธรได้แต่เงียบ ตอบอะไรไม่ได้ จ่านิดแทรกวงนักข่าวมาลากตัวธีรธรออกไป
“ขอตัวนะครับ เดี๋ยวผู้กองต้องไปเคลียร์คดีอื่นอีก”
จ่านิดพาธีรธรออกไปจากตรงนั้น
จ่านิดพาธีรธรขึ้นมาบนรถตู้ ธีรธรหน้าเครียด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับผู้กอง”
“ว่าแล้วกลิ่นมันแปลกๆ ที่อยู่ๆกล้องวงจรปิดก็ดับหมดนักข่าวมาจากไหนเต็มไปหมด”
“หมายความว่าไงครับ”
“ก็หมายความว่าเราโดนหักหลังน่ะสิ”
จ่านิดชะงักสงสัย
“โดนหักหลัง...ใครกันครับที่ทำแบบนั้น”
ธีรธรนึกภาพที่ไศลาจูบกับชูชิต เขาเจ็บใจขึ้นมาทันที
“ฉันมันโง่เองล่ะ”
“ตกลงใครครับนาย”
ธีรธรไม่ตอบจ่านิด เจ็บใจอยู่ลึกๆ
“แล้วนี่คุณไศลาไปไหนละครับ”
“อย่าพูดถึงชื่อผู้หญิงคนนี้ให้ผมได้ยินอีก”
จ่านิดงงๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
นาถสุดายังคงต่อสู้กับโยคีศิลาดำไม่หยุด
“พวกเจ้าก็แค่พวกหน้าโง่ให้ไอ้ดุลยศักดิ์มันหลอกใช้”
นาถสุดาชะงัก
“หมายความว่ายังไง”
“จนป่านนี้เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าไอ้งานหมั้นกำมะลอนี่มันก็แค่จัดฉากแหกตาตำรวจว่าส่งยาเท่านั้นแหละ”
ไศลาที่นอนซมกับพื้นได้ยินสิ่งที่โยคีศิลาดำพูด ก็ยิ่งสงสัย
“หมายความว่ายังไง”
“ก็งานนี้ไม่มีการส่งยาน่ะสิ มันไปส่งที่ท่าเรือโน่น นี่ก็แค่เป็นกับดักล่อตำรวจให้มาตกหลุม ให้ไอ้พวกคนหักหลังมันเผยตัวออกมาก็เท่านั้น พวกเจ้าก็แค่เป็นแผนหนึ่งของมันก็เท่านั้นป่านนี้มันคงขำพวกเจ้าจนท้องแข็ง”
นาถสุดาเจ็บใจ ไศลาพึมพำ
“คุณธี...ท่าเรือ...”
นาถสุดาต่อสู้กับโยคีศิลาดำด้วยความโกรธที่ถูกหลอก แต่โยคีศิลาดำก็เป็นต่อเธอไม่น้อย ไศลาค่อยๆแอบหนีขณะที่ทั้งคู่เผลอ
ไศลาเปิดประตูเข้ามาในห้องพิเศษ ไม่มีใครอยู่แล้ว เธอมองหาชูชิตก็ไม่เห็น
ไศลาเข้ามาในห้องจัดงาน เห็นชูชิตรับแขกอยู่คนเดียว ชะเง้อหานาถสุดา ไศลาเดินเข้ามาหาธีรธรแต่ก็ไม่เห็น เธอร้อนใจเป็นห่วงเขาขึ้นมาเดินออกจากห้องไป
ไศลาเดินมาหน้าห้องจัดงาน ผ่านคนกำลังคุยกันอยู่พอดี เธอหยุดฟัง
“นี่เพื่อนฉันบอกว่าข้างนอกเมื่อกี้น่ะ ตำรวจบุกเข้ามาจับแก๊งค้ายานะ”
“ตายแล้ว แล้วมียิงกันมั้ย”
“ยิงอะไรล่ะ หน้าแหกกลับไปสิไม่ว่า”
“ทำไมล่ะ”
“ก็มาจับผิดคนน่ะสิ”
“ว๊าย...ไปจ้างสายสืบที่ไหนทำงานน่ะ ข่าวไม่กรองงี้”
“คอยดูเถอะ พรุ่งนี้หน้าหนึ่งทุกฉบับแน่”
แขกเช็คมือถือ
“จริงด้วย คนพูดกันเต็มเฟซบุ๊คไปหมด”
ไศลาได้ยินก็หน้าเสีย เป็นห่วงธีรธรขึ้นมาทันที ไศลาเดินมาคว้ามือถือจากแขกมาดู แขกตกใจ
“นี่มันอะไรเนี่ย”
“ฉันขอยืมโทรศัพท์หน่อย โทรศัพท์ฉันหายค่ะ แค่จะลองโทรเข้า”
ไศลากดเบอร์หาธีรธรทันที
ธีรธรหน้าเครียด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาไม่หันไปสนใจ จ่านิดหยิบโทรศัพท์ของธีรธรยื่นให้
“ไม่รับเหรอผู้กอง”
ธีรธรมองเป็นเบอร์แปลก
“ไม่”
“เผื่อเป็นข่าวสำคัญนะครับ”
“มันไม่มีอะไรสำคัญกว่าสิ่งที่เราเจอตอนนี้หรอก”
“รับหน่อยเถอะนาย ผมสังหรณ์ใจว่าเป็นเรื่องดีนะ”
ธีรธรคิดตามจ่านิดแล้วถอนหายใจ หยิบมากดรับ
“ฮัลโหล”
ไศลาดีใจที่ได้ยินเสียงธีรธรอีก
“คุณธีเป็นยังไงบ้าง”
“นี่เธอ... ยังจะกล้ามาถามอีกเหรอ”
“เอ่อ... คือฉันได้ยินว่ามันไปส่งของที่ท่าเรือ”
“หยุดพูดสักทีแค่นี้ เธอยังทำให้ฉันอายไม่พออีกรึไงสะใจเธอแล้วสินะที่ได้หลอกคนโง่ๆอย่างฉันบอกเลยนะว่าไม่มีวันที่ฉันจะโง่เป็นครั้งที่สอง”
ธีรธรวางหูใส่ไม่แคร์
“คุณธี...คุณธีฟังฉันก่อน...คุณธี”
ไศลาไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากโทรศัพท์ เธอก็รู้ทันทีว่าธีรธรโกรธเธอ ไศลาร้อนใจรีบคืนโทรศัพท์แล้วจะออกไปหาธีรธรทันที
“คุณธี...ฉันไม่ใช่คนทำนะ”
ไศลารีบวิ่งออกไปจากที่นั่น
นาถสุดาตกกระแทกพื้นเลือดออกปาก แทบจะหมดแรง เธอหันไปหาไศลา ปรากฏว่าไศลาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
“แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอไศลา”
“เป็นไงล่ะ เจ้าช่วยชีวิตมันไว้ แล้วมันทำกับเจ้ายังไงล่ะ” โยคีศิลาดำเย้ยหยัน
นาถสุดาปาดเลือดที่ปากของตน
“ฉันไม่ปล่อยมันไปง่ายๆหรอก”
“เจ้าผ่านข้าไปไม่ได้หรอกนาถสุดา”
นาถสุดาแทบจะหมดแรง ตาเบลอ เธอเห็นเทพยืนอยู่ด้านหลังของโยคีศิลาดำ
“นาถ...นาถช่วยผมด้วย นาถช่วยผมด้วย”
“เทพ...นาถจะไม่ยอมเป็นอะไร เราจะอยู่ด้วยกัน”
โยคีศิลาดำมีดวงไฟล้อมรอบมือ เขากะฆ่าให้นาถสุดาตายคามือ
“ข้าไม่จำเป็นต้องมีลูกศิษย์อีกต่อไป”
นาถสุดาเหลือบไปเห็นกระจกปานใหญ่ในห้อง เธอคิดบางอย่างได้ ขณะที่โยคีศิลาดำจะปล่อยลูกไฟมาใส่เธอ นาถสุดาก็รวบรวมพลังทั้งหมดที่เธอมีปล่อยพลังไปตาม จุดต่างๆจนควันเต็มห้องไปหมด โยคีศิลาดำมองเห็นนาถสุดาล้มทรุดกับพื้น
“อย่าพยายามเลย หมดเวลาของเจ้าแล้ว”
โยคีศิลาดำปล่อยลูกไฟใส่นาถสุดา เสียงกระจกแตกดังเพล้ง มองแทบไม่เห็นอะไร น้ำดับเพลิงบนเพดานถูกฉีดลงมา พอควันค่อยๆจาง โยคีศิลาดำมองผ่านไป ไม่เห็นนาถสุดาอยู่ตรงนั้นมีแต่เศษกระจกที่แตก โยคีศิลาดำชะงักอึ้ง
“หรือว่า...”
นาถสุดาใช้กระจกสะท้อนเป็นเงาตัวที่แฝงอยู่ในควันจนแยกไม่ออก โยคีศิลาดำเจ็บใจ
“ร้ายนัก”
โยคีศิลาดำรีบวิ่งตามนาถสุดาออกไป
อรชรฟื้นจากสลบก็เริ่มโวยวายที่ตนถูกขังที่ห้องเก็บของในน้ำ
“พี่ไศ ทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
อรชรเริ่มทุบห้องเสียงดังโวยวาย
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...ช่วยฉันที...อย่าให้ฉันออกไปได้นะนางไศลา ฉันจะฆ่าแกเอง คอยดู ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
โยคีศิลาดำผ่านมาได้ยินเสียงตะโกนโวยวายออกมาจากห้องน้ำ เขาลองหลับตาฟัง
“อรชร”
พอรู้ว่าเป็นเสียงอรชร โยคีศิลาดำรีบรุดเข้าไปในห้องน้ำทันที
อรชรทุบประตูส่งเสียงดังปึ้งๆ ด้วยความโกรธแค้นไศลา
“ช่วยด้วย...นังไศลา อย่าปล่อยให้ฉันออกไปได้นะ ฉันจะฆ่าแก ฉันไม่มีวันเรียกแกว่าพี่อีก”
ประตูอยู่ๆก็เปิดออก อรชรค่อยๆดู คนหลังประตูคือโยคีศิลาดำนั่นเอง
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่”
“ไศลาไปไหนฉันจะฆ่ามันตัวเองน่ะเลวแท้ๆ มาเป็นสายเอาข้อมูลนายไปบอกตำรวจ ฉันจะฟ้องนายหมดทุกเรื่องเลยคอยดู มันไม่ตายดีแน่”
“มันหนีไปแล้ว”
“เก่งแต่มุดหัวน่ะสิ”
“รู้รึเปล่าล่ะว่าจะไปตามหาตัวมันได้ที่ไหน”
“จะไปตามหาทำไม ฉันมีวิธีทำให้มันซมซานมาหาเองโดยไม่ต้องเหนื่อย”
“แบบนั้นก็ดีสิ”
ไศลาเดินหารถโอบีที่เคยจอดอยู่ ไม่มีรถจอดอยู่ตรงนั้น
“คุณธีอยู่ไหน ฉันต้องไปที่ท่าเรือ มันจะส่งของกันแล้ว”
นาถสุดาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของไศลาที่กำลังเหนื่อยหอบ
“แกไปไหนไม่ได้ง่ายหรอกไศลา”
ไศลาหันไปตามเสียงเห็นนาถสุดา แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท
มิสเตอร์ลีเปิดดูของล็อตใหญ่ที่บรรจุอยู่เต็มลำเรือ อย่างพึงพอใจ
“ผมเร่งสายพานการผลิต เพื่อคุณลีเท่านั้นเลยนะครับ”
“ดีๆ ซื้อของกับลื้อนี่ไม่เคยมีปัญหานะ ทางสะดวกตลอด”
ดุลยศักดิ์ยิ้ม
“ผมมีคนดูแลเรื่องนี้อย่างดีครับ”
“ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆเลยใช่มั้ย”
“ก็ใหญ่พอจะจัดการไม่ให้ตำรวจหน้าไหน มาวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ได้”
มิสเตอร์ลียิ้มชื่นชม
“ไม่เบาเลย แบบนี้สิถึงจะรุ่ง”
“คุณลีก็มีแบ็คอัพใหญ่โต จะห่วงอะไรกับเรื่องพวกนี้ครับ”
“ของแบบนี้มันเรื่องของเงินถึงเท่านั้นแหละแต่ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่าแบ็คอัพของคุณเป็นใคร”
“เป็นคนที่ไม่มีใครคิดถึงหรอกครับ”
“แบบนี้ยิ่งดีใหญ่เลยสินะ”
“ถ้าคุณลีสนใจเรื่องสนุกๆลองเปิดดูหนังสือพิมพ์ฉบับพรุ่งนี้สิครับ”
ดุลยศักดิ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ มีความสุข
หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวข่าว ตำรวจไทยบุกงานหมั้นหวังทลายแก๊งค้ายา แต่หน้าแหก...เสริมพงษ์คุยกับธีรธรหน้าเครียด
“ผู้กองเข้าใจใช่มั้ย”
“เข้าใจครับ”
“คุณขนตำรวจไปยกหน่วยแต่คว้าน้ำเหลวกลับมา มันเป็นเรื่องฉาวของ ตำรวจไปทั้งกรม ผมจำต้องสั่งพักงานคุณจริงๆ”
“ครับ”
“ผมเชื่อใจคุณมาตลอด...คุณโทรมาขอผมเรื่องนี้ ผมก็อนุมัติโดยแทบไม่ต้องคิด แต่พอเรื่องมันลงเอยแบบนี้ คนอื่นอาจเข้าใจได้ว่าผมไม่ตรวจสอบการทำงานของคนใต้บัญชาให้รอบคอบ”
“แต่เรื่องนี้ผมโง่เองครับที่ไว้ใจคนผิด ผมไม่น่าพาไศลามาตั้งแต่ต้น ผมจะเคลียร์เรื่องนี้เองครับ”
“คุณอย่าเพิ่งพูดลอยๆโดยไม่มีหลักฐานเลย”
“ครับ แล้วผมจะหาหลักฐานทุกอย่างมาให้ผมจะเป็นคนจับเขาเข้าคุกเอง”
“เลิกคิดเรื่องพวกนี้สักพักเถอะ เรื่องคดีต่างๆที่คุณถืออยู่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมให้คนของผมมาจัดการเอง”
“ครับผู้การ...”
ธีรธรจ๋อย หยิบตราตำรวจและปืนคืนให้ เสริมพงษ์มองหน้าธีรธรระอาใจ
ธีรธรยกแฟ้มต่างๆของคดีสารพัดมาวางบนโต๊ะจ่านิดเงียบๆ
“ผู้กอง”
ธีรธรเดินออกจากสถานีตำรวจเศร้าๆ
ไศลาค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เธอถูกกุญแจมือล็อคอยู่กับเตียง เธอได้กลิ่นเหม็นเน่ามาแตะจมูกหันไปมองเห็นนาถสุดากำลังป้อนข้าวให้เทพที่นอนเป็นศพ ไศลารู้สึกสยดสยองไม่น้อย
“เทพทานข้าวหน่อยนะ เทพ...เทพ”
“เธอบ้าไปแล้วนาถสุดา”
นาถสุดาหันมองไศลาตาขวาง
“ตื่นมาก็พูดมากเลยนะ”
“เทพตายไปตั้งนานแล้ว”
“ไม่จริง เทพยังอยู่ เทพยังคุยกับฉันอยู่”
“อย่าโกหกตัวเองเลย เธอก็เห็น เขาตายไปแล้ว”
“เพราะเธอที่เป็นคนฆ่า”
“ฉันไม่ได้ฆ่าเขา”
“เธอไม่ได้ฆ่าแล้วใครฆ่า หลักฐานมันบอกว่าเธอ”
ไศลาเหนื่อยใจ
“ฉันไม่รู้ เธอว่าเทพยังอยู่ก็ถามเทพสิ”
“อย่ามากวนประสาทฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอ”
“ถ้าเธอพาฉันมาที่นี่เพราะต้องการตำราหน้าสุดท้ายละก็...”
“ก็จะบอกว่ามันไม่มีสินะ...ฉันเบื่อคำโกหกนี้เต็มทนแล้ว”
“เธอก็น่าจะค้นตัวฉันหมดแล้วนี่ แล้วเจอมั้ยล่ะ”
“ฉันถึงอยากจะรู้ว่าเธอเก็บมันไว้ที่ไหน”
“เก็บไว้...”
ไศลาชะงักนึกถึงตอนที่เธอฝากกล่องไม้โบราณกับธีรธรให้เขาดูแลมันอย่างดี และธีรธรก็รับปาก
“เก็บไว้ที่ไหน”
“เธอไม่มีวันได้มาหรอก...”
นาถสุดาตบหน้าไศลาฉาดใหญ่
“ฉันทำขนาดนี้ อย่ามาบอกฉันว่าไม่มีวัน”
นาถสุดาจ้องไศลาเขม็ง
วงทองคุยกับกมลาและนิ่มนวลเกี่ยวกับเรื่องของธีรธร โดยมีรูปที่ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ และยังมีรูปชูชิตกับนาถสุดาในงานหมั้น นิ่มนวลเห็นหน้าเสีย เพราะจำชูชิตได้แม่น
“ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าเป็นตำรวจ ดูสิ หาเรื่องใส่ตัวชัดๆเลย” กมลาบ่น
วงทองหน้าเครียดเป็นห่วงลูกชาย
“สงสารพ่อธี คงเครียด”
นิ่มนวลเหม่อๆไม่มีความเห็นใดๆ กมลาสังเกตเห็นท่าทีแปลกๆของนิ่มนวล
“เป็นอะไรไปแม่นิ่ม เอาแต่นั่งเงียบ”
นิ่มนวลอึกอัก
“เอ่อ...นิ่มห่วงพี่ธีน่ะค่ะ”
“เธอนี่ก็แสนดีซะจริงๆ” กมลาหันไปหาคุณนายวงทอง “เมื่อไหร่แม่จะตกจะแต่งแม่นิ่มกับตาธีให้มันเรียบร้อยสักทีคะเนี่ยผู้หญิงดีๆแบบนี้หาไม่ได้ง่ายนะคะ”
นิ่มนวลได้แต่ยิ้มแห้งๆ วงทองไม่ออกความเห็นใดๆ แววเอาของว่างมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ นิ่มนวลได้กลิ่นอาหารก็คลื่นไส้ขึ้นมา
“นิ่มขอตัวก่อนนะคะ”
นิ่มนวลรีบวิ่งออกไป วงทองงงๆ
“อ้าวแม่นิ่ม นั่นเป็นอะไรน่ะ”
“สงสัยเครียดลงกระเพาะน่ะค่ะ คงห่วงตาธีมาก”
กมลากับวงทองมองตามนิ่มนวลห่วงๆ
นิ่มนวลอาเจียนเสร็จก็ล้างหน้าล้างตา เธอเริ่มกังวลเกี่ยวกับอาการของตัวเอง
จ่านิดเดินเข้ามาค้นแฟ้มเอกสารในห้องเอกสารอย่างตั้งใจ
“เรื่องนี้มันแปลกๆ”
จ่านิดพึมพำหลังจากการค้นแฟ้มเอกสาร เสริมพงษ์ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งถามขึ้น
“แปลกยังไง”
จ่านิดสะดุ้ง
“อ้าวผู้การ มาทำอะไรในนี้ครับ”
“มาตรวจแฟ้มคดีน่ะสิ”
“จริงด้วย ผมก็ถามอะไรโง่ๆ”
“จ่ายังไม่ตอบเลย ว่าเรื่องอะไรมี่มันแปลกๆ”
“อ๋อ คือเรื่องคนหักหลังผู้กองธีรธรน่ะครับ ผู้กองธีรธรบอกว่าเป็นคุณไศลา แต่ผมว่าไม่ใช่”
“แล้วจ่าคิดว่าเป็นใครล่ะ”
“ผมก็ยังไม่แน่ใจครับ ยังไม่อยากพูดไปโดยไม่มีหลักฐาน”
“ก็ดีแล้ว”
“ผู้การเห็นแฟ้มคดีของผู้กองธีรธรบ้างมั้ยครับ”
เสริมพงษ์ชูมันขึ้นในมือ จ่านิดยิ้ม
“อ้อ...”
“ฉันต้องกระจายงานไปให้คนอื่นทำ หวังว่าจ่าคงเข้าใจ”
“ครับ”
จ่านิดเดินออกจากห้อง ไม่กล้าหืออืออะไร
จบตอนที่ 10