สุดสายป่าน ตอนที่ 10
กานดามณีแค้นใจ พุ่งมาหาวสันต์ถึงที่บ้านอิ่มใจ ซึ่งเวลานั้นไปทำงานแล้ว
“แกใช่มั้ยที่รวมหัวกับพวกอีแก่ในวังที่จะเปิดโปงฉันพรุ่งนี้”
วสันต์หัวเราะไม่แยแส “ถ้าใช่ แล้วไงล่ะ”
กานดามณีปราดเข้าไปทุบตีวสันต์อย่างเจ็บใจ
“แกยอมรับแล้วใช่มั้ย...ไอ้คนทรยศ ไอ้นกสองหัว แกหักหลังฉันไปอยู่กับพวกนังกานดาวสีได้ยังไงฮะ”
วสันต์จับมือกานดามณียั้งไว้ หัวเราะเย้ย เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“เรื่องผลประโยชน์ใครๆเค้าก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้น ของอะไรที่คนยิ่งต้องการ ราคามันก็ยิ่งถีบตัวสูงขึ้น...” ชายโฉดเน้นคำต่อมา “เรื่อยๆ”
กานดามณีด่าอย่างรุนแรง “ไอ้วสันต์ แกนี่มันเลวจริงๆ”
วสันต์ย้อนเอา “ก็ไม่มากไปกว่าเธอหรอก กานดามณี คนที่ทำร้ายผู้หญิงที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แถมยังเป็นพี่สาวในไส้ของตัวเองได้ลงอย่างเธอ คำว่าเลวอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ”
กานดามณีโกรธวสันต์จนสั่นไปหมด
“แกต้องการอะไรจากฉัน”
วสันต์มองกานดามณีอย่างถือไพ่เหนือกว่า สีหน้าเย้ยหยัน สุ้มเสียงดูแคลน
“เธอยังเหลืออะไรให้ฉันอีกล่ะ...ทั้งเงินทั้งตัวฉันก็ได้มาหมดแล้ว และทางโน้นเค้าก็เสนอมามากกว่าเธอไม่รู้กี่เท่า” ถึงตรงนี้วสันต์เปลี่ยนสีหน้าเป็นเจ้าเล่ห์ พูดเป็นนัย “ไม่แน่นะ บางทีฉันอาจจะได้เมียคนใหม่เป็นหม่อมก็ได้...ใครจะไปรู้”
วสันต์หัวเราะอย่างเบิกบานใจ ขณะกานดามณียิ่งเจ็บแค้นใจแทบอยากจะฆ่าวสันต์ให้ตาย
เช้าเดียวกัน กานดาวสีเดินถือแฟ้มเข้ามาที่โต๊ะทำงาน ฐิติยืนกอดอกมองกานดาวสีนิ่งๆ
“ท่านย่าบอกคุณแล้วใช่มั้ยเรื่องที่นายวสันต์จะมาชี้ตัวผู้หญิงของเค้า”
“ค่ะ” กานดาวสีบอกเสียงเรียบ
ฐิติชำเลืองมองกานดาวสีอย่างพยายามจับผิด
“ถ้านายนั่นพูดไม่ตรงกับเมื่อวานนี้ ผมจะรู้ได้ยังว่าอะไรคือเรื่องจริง”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไปจากสูรยกานต์”
“หมายความว่ายังไง คุณจะไปไหน ไปอยู่กับมันงั้นสิ”
“ฉันเคยรับปากท่านย่าว่า จะอยู่ที่นั่นจนกว่าคุณพ่อจะหายป่วย...นี่ท่านก็ดีขึ้นมากจนกลับบ้านได้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะเป็นอิสระซะที”
ฐิติพาลพาโล “อยากจะไปก็เชิญ แล้วอย่ากลับมาอีกนะ”
กานดาวสีมองหน้าฐิติอย่างตัดใจ พูดด้วยน้ำเสียงอันมั่นคง
“ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่กลับมาให้คุณเห็นหน้าอีก และถ้าวันนึงคุณรู้ว่าความจริงเป็นยังไง คุณจะเสียใจที่เคยเข้าใจฉันผิด”
วิเศษกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในห้องนอนที่ชั้นล่างของบ้านกิริเนศวร อุไรถือถาดใส่ข้าวต้มเดินเข้ามาข้างเตียง ที่วิเศษนั่งเอนอยู่
“ทานข้าวกลางวันหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะได้ทานยา”
วิเศษเมินไปทางอื่น ทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน
อุไรนึกว่าวิเศษไม่ได้ยินจริงๆ ก็ยกชามข้าวต้มมานั่งข้างๆ เตียง ตักข้าวต้มมาเป่าป้อนให้
“ดิฉันป้อนนะคะ
วิเศษเบือนหน้าหนี ไม่ยอมหันหน้ากลับมา
“เป็นอะไรอีกล่ะคะ ยังไม่หายโกรธฉันเหรอ หรือว่าจะรอแม่กานดาวสี...เดี๋ยวหลังเลิกงานเค้าก็มาเองล่ะค่ะ” อุไรพยายามจะป้อน “ทานสิคะ
วิเศษพยายามขยับตัวออกห่าง
อุไรชักเริ่มหงุดหงิด “จะเขยิบไปไหนอีกล่ะคะ เดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก คราวนี้คงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแน่ๆ”
วิเศษไม่สนใจ กิริยาท่าทางรังเกียจ ไม่อยากมองหน้าอย่างเห็นได้ชัด อุไรวางชามข้าวต้มอย่างกระแทกกระทั้น
“ไม่ทานก็ไม่ต้องทาน รอลูกสาวคนโปรดมาป้อนกันเอาเองก็แล้วกัน”
อุไรเดินออกไป วิเศษมองตาม โกรธจนไม่อยากเห็นหน้า
นารีรัตน์กำลังปอกผลไม้ เตรียมให้วิเศษ อยู่ในครัว อุไรเดินบ่นกระปอดกระแปดเข้ามา
“พ่อแกไม่รู้จะโกรธอะไรฉันนักหนา เข้าไปในห้องทีไรก็ไม่ยอมพูดยอมจา ทำท่ารังเกียจยังกับฉันเป็นกิ้งกือไส้เดือน”
“ก็คุณแม่เล่นผลาญสมบัติขนาดนี้ คุณพ่อคงจะหายโกรธง่ายๆหรอก”
“คนมันก็ต้องมีพลาดบ้าง บ้านก็ได้คืนมาแล้ว ไม่รู้จะโกรธอะไรอีก”
“คุณพ่ออาจจะโกรธที่คุณแม่ใส่ร้ายพี่กานก็ได้”
“จะบ้าเหรอ นอนไม่มีสติอยู่ยังงั้นพ่อแกเค้าจะไปรู้ได้ยังไง...”
เสียงออดดังขัดขึ้น อุไรรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว ไปดูซิใครมา”
ครู่ต่อมา วิเศษนั่งรถเข็นคุยกับวิสูตรและไขนภาอยู่ในสวนสวย นารีรัตน์อยู่ด้วย
“แล้วคุณกานดามณีมาเยี่ยมคุณอาวิเศษบ้างหรือยังคะ”
“ตั้งแต่ผมรู้สึกตัว ผมยังไม่เจอหน้ายัยณีเลยครับ” วิเศษยังพูดแบบคนป่วย
“ผมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่ายัยณีเป็นลูกคุณวิเศษ...นี่คือเรื่องที่คุณพยายามจะบอกผมตอนนั้นใช่มั้ยครับ”
วิเศษพยักหน้า “ครับ ผมต้องขอบคุณที่คุณวิสูตรดูแลกานดามณีกับกาญจนาแทนผม”
วิสูตรเสียงเศร้า “ผมสิครับต้องขอโทษคุณวิเศษ เป็นความผิดของผมเองที่เลี้ยงลูกไม่ดีแกถึงได้กลับมาทำร้ายหนูกานดาวสี”
วิเศษตกใจ “ลูกณีทำอะไรลูกกานครับ”
วิสูตรตกใจหันไปมองหน้าไขนภา อย่างรู้สึกผิด
“นี่คุณวิเศษยังไม่รู้เรื่องเหรอครับ”
นารีรัตน์ประคองให้วิเศษนั่งเอนๆ อยู่บนเตียง ทั้งวิเศษและวิสูตรท่าทางสะเทือนใจด้วยกันทั้งคู่
พูดแล้ววิสูตรรู้สึกผิด และเสียใจมาก “ผมไม่น่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย
“ดีแล้วล่ะครับ ผมเป็นพ่อ ผมควรจะรู้ความจริง” วิเศษบอก
นารีรัตน์นึกได้ พูดปลงๆ “มิน่าล่ะ ตอนนั้นพี่กานถึงได้บอกว่ามีคนมาทักผิดบ่อยๆ”
วิเศษพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่คุณวิเศษไม่ต้องห่วงนะคะ พรุ่งนี้เรื่องทุกอย่างก็จะจบลงด้วยดี ดิฉันมีพยานปากเอกที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณกานดาวสีได้ และเธอก็จะพ้นมลทินทุกอย่าง” ราชนิกุลผู้แสนดีบอก
“ผมก็ไม่ได้อยากให้เรื่องจบอย่างนี้ แต่ผมไม่รู้จะช่วยลูกได้ยังไงจริงๆ” วิสูตรบอก
“ผมก็รักเค้าไม่น้อยกว่าที่รักลูกกาน แต่คนผิดก็ต้องยอมรับกรรมในสิ่งที่ตนทำ”
อุไรที่ยืนแอบฟังอยู่หน้าห้อง หน้าตาตื่น
“ตายแล้ว นังกานดามณีกำลังจะโดนแฉ ทำไงดีล่ะ ฉันยังได้จากมันไม่หนำใจเลย”
กานดามณีอยู่ที่บ้านวิไลวรรณ สีหน้าท่าทางเครียดหนักที่ถูกชายโฉดหักหลัง
“ฉันจะทำยังไงดี ไอ้วสันต์มันจะหักหลังฉัน ถ้ามันพูดความจริงชีวิตฉันพังแน่ ๆ”
“แกก็เอาเงินอุดปากไปก็เท่านั้น”
“ฉันจะเอามาจากไหน แก้วแหวนเงินทองฉันก็ให้มันไปหมดแล้ว”
กานดามณีมองหน้าวิไลวรรณ
“ไม่ต้องมองหน้าฉันเลยยัยณี ฉันไม่มีเงินให้แกหรอกนะ”
กานดามณีเครียดหนัก “ฉันไม่น่าไว้ใจคนอย่างมันเลย”
“แต่แกก็ต้องหาทางออกให้ได้ ไม่งั้นชีวิตแกได้พังจริงๆแน่ เงินก็ไม่มี ผัวก็ไม่มี...ทีนี้คงได้ขายตัวแลกเงินกันแน่แก”
กานดามณีตาวาวโรจน์อย่างคนไม่ยอมแพ้
ขณะที่วิเศษนั่งชมวิวอยู่ในรถเข็นตรงข้างหน้าต่าง โดยมีนารีรัตน์กำลังป้อนผลไม้ให้ อุไรถือกระเป๋าเดินผ่านห้องวิเศษจะออกจากบ้าน นารีรัตน์หันไปเห็น รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา
“คุณแม่จะไปไหนคะ”
อุไรไม่ตอบรีบเดินไป นารีรัตน์วิ่งตามออกมาจากห้อง มาดึงแขนอุไรไว้
“คุณแม่ บอกรัตน์มาก่อนว่าจะไปไหน”
“ฉันก็จะรีบไปเอาเงินจากนังกานดามณีน่ะสิ แกก็ได้ยินไม่ใช่เหรอว่าพรุ่งนี้มันก็จะตกสวรรค์แล้ว”
นารีรัตน์ไม่ได้นะคะ รัตน์ไม่ยอมให้คุณแม่ไป
อุไรปัดมือนารีรัตน์ออก
“เอ๊ะ แกนี่ยังไงนะ ไม่ต้องมาห้ามฉันเลย จะเป็นตายร้ายดียังไงฉันก็ต้องไป อีกหน่อยจะไปกอบโกยจากใครล่ะ...ปล่อยฉัน”
“แต่รัตน์เป็นห่วงคุณแม่นะคะ คุณแม่ก็รู้ว่ากานดามณีเป็นคนยังไง เค้าทำได้ทุกอย่างเพื่อตัวเอง คุณแม่เลิกยุ่งกับเค้าเถอะค่ะ”
อุไรไม่ฟัง ผลักนารีรัตน์ล้ม แล้วรีบเดินออกไป วิเศษเคลื่อนรถมาที่ประตูห้อง นารีรัตน์ไม่ยอมดึงแม่ไว้อีก อุไรสะบัดเต็มแรง
“ปล่อยฉัน”
“คุณอุไร อย่าไป”
อุไรหันมามองสามี แล้วหันกลับไปอย่างไม่สนใจ
เย็นนั้น กานดามณีเดินหันหน้าหันหลังขึ้นมาที่ชั้นบนตำหนักวังสูรยกานต์ อย่างระวัง จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น
กานดามณีปราดไปดูตามชั้น ตู้โชว์ต่างๆ พยายามมองหาของมีค่าที่พอจะหยิบไปขายได้ แต่ต้องหงุดหงิด “วังใหญ่โตขนาดนี้ ไม่เห็นมีของมีค่าอะไรซักอย่าง...”
กานดามณีพยายามจะเปิดประตูเข้าไปในห้องอื่นๆ แต่ห้องล็อกไว้หมด เลยเครียด อับจนปัญญา
“กลุ้มใจโว้ย จะไปเอาเงินจากไหนดีวะ”
กานดามณีมองซ้ายมองขวาแล้วไปสะดุดที่กรอบรูปวันแต่งงานของฐิติและกานดาวสีที่ตั้งโชว์ในห้อง กานดามณีปราดเข้าไปคว้าขึ้นมาอย่างเจ็บใจ
“นังกานดาวสี ฉันไม่ยอมแพ้แกแน่ๆ”
กานดามณีชะงัก ตาเบิกกว้าง เหมือนนึกอะไรออก จดสายตาจ้องที่ชุดสร้อยเพชรที่กานดาวสีใส่ในวันแต่งงานเขม็ง
“สร้อยเพชร!”
ไม่นานต่อมากานดามณีด้อมๆมองๆ อยู่หน้าเรือนรับรองที่พักกานดาวสี จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน รีบเปิดประตูผลุบหายเข้าไปข้างใน กานดามณีเปิดลิ้นชัดนู้นลิ้นชักนี้ค้นหาของอยู่วุ่นวาย
“เก็บไว้ที่ไหนนะ มันก็ยังไม่ได้ไปไหนนี่นา...หรือว่า...”
กานดามณีนึกได้
ฟากอุไรเดินวางสง่าเข้ามาในห้องรับแขก สาวใช้วิ่งมาต้อนรับ
“คุณอุไรมาหาคุณกานดาวสีหรือคะ”
“เปล่า ฉันมาหาคุณกานดามณี เธอไปตามเค้ามาพบฉันหน่อยซิ บอกเค้าว่าฉันมีธุระจะพูดด้วย”
อุไรเดินไปนั่งรอที่ชุดรับแขกหรู ด้วยท่าทางเป็นคนสำคัญ
ด้านกานดามณีค้นตามตู้ ตามลิ้นชักในห้อง รื้อค้นข้าวของออกมาวางไว้ระเกะระกะ
“มันต้องอยู่ในห้องนี่ล่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้น ตามด้วยเสียงสาวใช้
“คุณกานดามณีคะ คุณอุไรให้มาเชิญคุณลงไปพบค่ะ”
กานดามณีง่วนหาของอยู่ ยังหาไม่เจอ หงุดหงิด ชะงักนิดหนึ่งที่ได้ยินชื่ออุไร
กานดามณีพูดกับตัวเอง “มันมาทำไมนะ” จึงตะโกนบอกกับสาวใช้ “บอกเค้าว่าฉันไม่สบาย ไม่รับแขก”
กานดามณีไม่สนใจอีก เปิดตู้เสื้อผ้าด้านของฐิติ เปิดลิ้นชักดูทุกจุด ในที่สุดก็เจอกล่องเครื่องเพชรวางอยู่ในลิ้นชักหนึ่ง กานดามณีตาลุกวาวดีใจสุดขีด หยิบขึ้นมาเปิดดู เห็นเครื่องเพชรชุดที่กานดาวสีใส่ในวันแต่งงานวางอยู่ครบชุด
กานดามณียิ้มอย่างพอใจ
อุไรเดินออกมาจากวังอย่างหงุดหงิด
อุไรบ่นอุบ “ ฉันไม่เชื่อหรอก จะมาป่วยอะไรกันตอนนี้ คิดว่าฉันโง่หรือไง”
ขณะอุไรกำลังยืนมองซ้ายมองขวารอรถ เห็นกานดามณีวิ่งออกมาจากถนนอีกด้านของวังด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ กานดามณีโบกมือเรียกรถรับจ้างที่ผ่านมาแล้วรีบขึ้นรถไป
อุไรมองอย่างสงสัย รีบหลบหลังเสาไฟ ก่อนจนรถกานดามณีผ่านไป อุไรรีบเรียกรถรับจ้างอีกคันที่ผ่านมา
“ขับตามรถคันนั้นไป”
ไม่นานนัก ในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง กานดามณีลงจากรถรับจ้าง เดินเข้ามาหาวสันต์ที่ยืนพิงรถรออยู่ มองมาที่กานดามณีด้วยสายตาของคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
“ที่นัดฉันออกมาตอนนี้ก็แสดงว่าเธอมีข้อเสนอที่ดีกว่า”
กานดามณีหยิบเครื่องเพชรออกมาจากกระเป๋าจะยื่นให้ แต่ก่อนที่วสันต์จะหยิบไป อุไรก็คว้าเครื่องเพชรจากมือกานดามณีไปก่อน
“เอามานี่”
วสันต์กับกานดามณีตกใจหันขวับไปเห็นอุไร มองงงๆ
“แกเป็นใคร”
“ก็ถามนังมณีดูสิ แต่สร้อยเส้นนี้ควรเป็นของฉัน”
วสันต์หันไปมองกานดามณี
“ฝันไปเถอะ ฉันไม่มีวันให้แกหรอก”
กานดามณีผวาจะเข้าไปแย่งคืน อุไรยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
“เอามานี่ อย่าลืมสิว่าฉันกุมความลับของแกอยู่ ถ้าแกไม่ให้...แกก็คงรู้นะว่าฉันจะทำยังไง”
วสันต์งงหนัก “นังนี่มันรู้ความลับของเธอด้วยเหรอ”
อุไรยังปากดีต่อ “ก็ใช่น่ะสิ ที่นังกานดามณีมันเข้าไปลอยหน้าลอยตาอยู่ในวังสูรยกานต์ได้ ก็เพราะฉันนี่ละ”
“ถ้าฉันยอมให้แกครั้งนี้ ฉันก็คงต้องยอมแกทุกครั้งที่แกมาข่มขู่เอาจากฉันน่ะสิ” กานดามณีแค้นจัด
“ใช่ แกก็ฉลาดดีนี่”
“ฉันถึงไม่ยอมให้แกมาปอกลอกฉันอีกไงล่ะ...เอาสร้อยฉันมานี่”
กานดามณีกับอุไรยื้อสร้อยกันจนสร้อยตกขาดกระเด็นตกไปที่พื้น
อุไรผวาไปเก็บสร้อยได้ก่อน รีบตะกรุมตะกรามจะเอามาใส่กระเป๋า จู่ๆ มีท่อนไม้ใหญ่ยาวเหวี่ยงไปที่หัวของอุไรเต็มแรง อุไรล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น ตาเบิกค้างอย่างตกใจและเจ็บปวด ก่อนจะหมดสติไป
วสันต์ตกใจ ตาค้างมองกานดามณีที่ถือท่อนไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือ
“เธอทำอะไรลงไปน่ะ”
กานดามณีอึ้งไป นึกไม่ถึงเช่นกัน ก่อนจะปราดเข้าไปที่อุไร เขย่าตัว
“นังอุไร...นังอุไร ลุกขึ้นมาสิ”
วสันต์ผวาเข้าไปดู แต่อุไรไม่มีท่าทางว่าจะรู้สึกตัวเลย
กานดามณีร้อนรนมาก “เราจะทำไงกันดีล่ะ”
วสันต์รีบผละออกมา
“เรื่องของเธอ อย่ามาลากฉันให้เข้าไปซวยกับเธอหน่อยเลย”
กานดามณีได้สติรีบง้างมืออุไรเอาสร้อยเพชรที่อุไรกำอยู่ออกมาส่งให้วสันต์
“เอาไป แล้วก็ช่วยกันลากนังนี่ไปทิ้งด้วยก่อนที่ใครจะมาเห็น”
“ไม่ เรื่องอะไรฉันจะหาเรื่องใส่ตัว”
วสันต์กำลังจะฉากหลบออกไป แต่เห็นแสงไปหน้ารถคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กานดามณีรีบบอก “มีคนมา”
วสันต์กับกานดามณีรีบหลบวูบเข้าไปในพงไม้แถวนั้น จนรถขับผ่านไป รอจนไฟท้ายรถหายไปในความมืด วสันต์กับกานดามณีก็ปีนป่ายออกมายืนอยู่บนถนน
“ฉันไม่เอาด้วยแล้ว เธอจะทำไงก็เรื่องของเธอ”
วสันต์กำลังจะเดินไปที่รถ แต่เหลือบไปเห็นกานดามณียืนตะลึงอยู่ วสันต์มองตามสายตากานดามณี ร่างอุไรหายไปจากตรงที่นอนสลบอยู่
“นังอุไรมันหายไปแล้ว”
กานดามณีแปลกใจ และร้อนใจมาก
อ่านต่อหน้า 2
สุดสายป่าน ตอนที่ 10 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ ฐิติเคาะประตูห้องพักที่เรือนรับรอง กานดาวสีเปิดประตูออกมา
“คุณพร้อมแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
สองคนเดินไปด้วยกันเงียบๆ ต่างคนต่างหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง ฐิติทำลายความเงียบขึ้น
“คุณคงดีใจล่ะสิ ที่จะได้เป็นอิสระซะที”
“ค่ะ คุณจะนัดวันหย่าเมื่อไหร่ก็บอกฉันมาได้เลย ฉันพร้อมเสมอ”
“จริงๆ แล้วท่านย่าไม่เห็นจำเป็นต้องให้นายวสันต์มายืนยันเลย เพราะยังไงคุณก็ตั้งใจไปจากที่นี่อยู่แล้ว” ฐิติประชด
“มาก็ดีเหมือนกันค่ะ ถ้าคุณวสันต์ยืนยันว่าฉันคือผู้หญิงคนนั้น คุณจะได้สบายใจว่ากานดามณีบริสุทธิ์ผุดผ่อง สมกับที่จะเป็นสะใภ้สูรยกานต์”
กานดาวสีหันมามองฐิติอย่างยอมรับชะตากรรมทุกอย่าง
“แต่ถ้าเค้าบอกว่าเป็นกานดามณี คุณก็คิดซะว่าเค้าโกหกก็แล้วกัน เพราะยังไงฉันก็คือผู้หญิงไม่ดีในสายตาของคุณอยู่แล้ว”
กานดาวสีเดินออกไปทิ้งให้ฐิติยืนใจสลายอยู่คนเดียว
เช้านั้นกานดามณีนั่งกอดเข่าเครียดอยู่บนเตียง เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะ กานดามณีสะดุ้งสุดตัวก่อนจะเดินไปเปิดประตู นมสายกับสาวใช้ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
“ท่านหญิงเชิญที่ห้องรับแขกค่ะ”
กานดามณีกำลังจะเดินออกไป
“คุณกานดามณีจะให้อิฉันช่วยเก็บของมั้ยคะ...” นมสายหันไปพูดกับสาวใช้ “นี่หล่อนมาช่วยคุณกานดามณีเก็บของกันหน่อยซิ เดี๋ยวถึงเวลาจะเก็บไม่ทัน...”
กานดามณีเดินกระแทกนมสายออกไปอย่างแรง
“แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เรือนคนใช้ก็ยังว่างนะคะ”
กานดามณีเครียดจัด เสียงนมสายหัวเราะคิกคักดังตามมา
กานดามณีเดินเข้ามาในห้องรับแขกวังสูรยกานต์ ขณะ ฐิติ กานดาวสี วสันต์ ท่านหญิง พุดตาน นมสาย ไขนภา รำเพย นั่งรอกันอยู่พร้อมหน้า
“แม่กานดามณี เข้ามาสิ มาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วก็ดี ทุกอย่างมันจะได้จบซะที”
ท่านหญิงหันไปที่วสันต์
“เชิญคุณวสันต์ ฉันต้องการฟังความจริงจากปากของคุณ”
วสันต์พยักหน้า หันไปมองกานดาวสีแล้วหันไปมองกานดามณี ก่อนจะเริ่มช้า ๆ
“ประมาณต้นปีผมได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่งที่ไนท์คลับ และคืนนั้นเราก็มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากัน...แต่สุดท้ายเธอก็หนีไปจากผม”
กานดามณีหน้าเสีย กานดาวสีนั่งนิ่งสงบ
กานดามณีโต้ลั่น “ไม่จริง...แกพูดอะไร”
“พูดความจริงไงครับ” วสันต์บอก
กานดามณีเครียด แย้งขึ้น “แต่...”
“แม่กานดามณี...ให้คุณวสันต์พูดต่อให้จบ ฉันต้องการรู้เรื่องทั้งหมด” ท่านหญิงบอกด้วยเสียงทรงอำนาจ นัยน์ตาคมกริบ
กานดามณีอึ้งหันไปมองแฝดพี่ กานดาวสีนิ่งสงบเหมือนเดิม ฐิติขบกรามแน่น วสันต์มองกานดาวสีแล้วหันไปมองกานดามณี ขณะเล่าเรื่องจริงปนเท็จต่อ
“เวลาผ่านไป จนวันหนึ่งผมก็เจอเธอโดยบังเอิญ ผมดีใจมาก” วสันต์เค้นเสียงแกล้งทำเป็นเจ็บปวดสุดประมาณ “แต่เธอกลับขับไล่ไสส่งผมราวกับว่าเราไม่เคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกันมาก่อน...”
วสันต์ทอดถอนใจ ตีบทแตกกระจุย สีหน้าเศร้าขณะเล่า
“และในที่สุดผมก็รู้ว่าเธอได้กลายเป็นภรรยาของหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์ไปซะแล้ว เพราะอย่างนี้เอง เธอถึงทำเป็นไม่รู้จักผม เธอคงไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์เก่าๆระหว่างเราสองคน...”
ฐิติขัดขึ้นอย่างเหลืออด
“พอได้แล้วคุณวสันต์ คุณไม่ต้องบรรยายอะไรอีกแล้ว ผมแค่ต้องการจะรู้ว่าระหว่างผู้หญิงสองคนตรงหน้านี้ ใครกันแน่คือกานดาวสี กิริเนศวรที่มีความสัมพันธ์กับคุณ”
ฐิติมองไปที่กานดาวสีก่อนจะหันไปมองที่กานดามณี วสันต์มองตาม กานดาวสีสีหน้าสงบ ในขณะที่กานดามณีร้อนรนรีบขัดขึ้น
“ติคะ ฉันว่า...”
ฐิติยกมือห้าม สีหน้าเอาจริงเอาจังจนน่ากลัว
“หยุดพูดได้แล้วกานดามณี”
กานดามณีอึ้ง วสันต์มองเขม็ง ก่อนจะหันไปมองกานดาวสีด้วยสายตาลึกซึ้ง
“กานดาวสี กิริเนศวรที่มีความสัมพันธ์กับผมก็คือ...”
ด้านนารีรัตน์ยกอาหารเข้ามาเตรียมให้วิเศษด้วยหน้าตาเป็นกังวล
“คุณพ่อ เราจะทำไงดีคะ คุณแม่ยังไม่กลับบ้านเลย...เมื่อคืนรัตน์โทร.ไปถามที่วังสูรยกานต์ เค้าบอกว่าคุณแม่ไปที่นั่นจริงๆ แต่พี่กานดามณีป่วยก็เลยไม่ได้พบกัน”
วิเศษหน้าเสีย “แล้วเราจะไปตามหาแม่เค้าได้ที่ไหนล่ะ เพื่อนฝูงหรือญาติที่ไหนก็ไม่มี”
“เมื่อกี้หนูก็โทร.ไปที่บ้านคุณราศรี แต่คุณแม่ก็ไม่ได้ไปที่นั่น”
นารีรัตน์เครียด แล้วนึกขึ้นได้
“หรือว่าจะไปบ่อน...” เด็กสาวละล้าละลัง “คุณพ่อรออยู่ที่บ้านนะคะ รัตน์ไปดูคุณแม่แป๊บเดียว”
นารีรัตน์ลุกขึ้นจะเดินออกไปจากห้อง
“อย่าไปเลยลูก มันอันตราย เดี๋ยวแม่เค้าคงกลับมา”
“แต่รัตน์เป็นห่วงคุณแม่ เดี๋ยวรัตน์มาค่ะ”
ส่วนอุไรเดินโซซัดโซเซมาเรื่อยๆ จนฝืนสังขารต่อไปไม่ไหวล้มลง แต่อุไรก็ยังกัดฟันล้มลุกคลุกคลานอย่างมีความหวังไปจนเกือบจะถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว และเห็นนารีรัตน์เปิดประตูรั้วบ้านออกมา
อุไรร้องเรียกอย่างอ่อนแรง “ยัยรัตน์”
นารีรัตน์ได้ยินเสียงแม่ หันขวับไปดู เห็นอุไรเนื้อตัวบอบช้ำก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปหา
“คุณแม่! คุณแม่เป็นอะไรคะ...” นารีรัตน์ตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ “คุณพ่อ ช่วยด้วยค่ะ...คุณแม่ ใครทำอะไรคุณแม่คะ”
นารีรัตน์นั่งลงประคองขึ้นมานอนตัก
อุไรกำลังจะหมดแรง แต่ยังพยายามจะบอก “ก...กาน ดา...”
อุไรพูดได้แค่เพียงนั้นก็หมดสติไป นารีรัตน์ร้องไห้โฮ
“คุณแม่ฟื้นสิคะ คุณแม่อย่าเป็นอะไรนะ...คุณพ่อคะ คุณพ่อ”
นารีรัตน์ร้องไห้ฟูมฟายกอดอุไร วิเศษนั่งรถเข็นเปิดประตูออกมา ตกใจมาก รีบเข้ามาดูอุไร
“ยัยรัตน์ เรียกรถไปโรงพยาบาล..เร็วเข้า”
ขณะเดียวกัน ทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ห้องรับแขก วังสูรยกานต์ ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆ กานดามณีลุกพรวดขึ้น บอกวสันต์ หน้าซีด ปากสั่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ฐิติตกใจหันไปมองกานดามณี กานดาวสีมองน้องอย่างสงสาร วสันต์ลุกขึ้นโมโห
“คุณนั่นแหละหยุด เลิกปกป้องพี่สาวคุณได้แล้ว กานดามณี”
กานดาวสีไม่เข้าใจ “นี่คุณหมายความว่ายังไง”
“เลิกเล่นละครได้แล้วกานดาวสี ผมอาจจะไม่ใช่คนดีนัก แต่ผมก็จะไม่ยอมดึงผู้หญิงดีๆ ให้ลงมาแปดเปื้อน”
กานดาวสีอึ้ง ฐิติหันมามองกานดาวสีอย่างผิดหวังสุดชีวิต
“นี่หมายความว่า...”
วสันต์หันมามองกานดาวสีอย่างจริงจัง
“ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผมก็คือกานดาวสี กิริเนศวรคนนี้”
กานดามณีงงหนัก ไม่คิดว่าวสันต์จะเข้าข้างตน
“อะไรนะ”
“คุณได้ยินไม่ผิดหรอก พี่คุณเป็นเมียผม”
ฐิติอึ้งไปด้วยความผิดหวัง แม้ไม่แน่ใจมาตลอด แต่ก็แอบหวังว่าผู้หญิงที่ยุ่งกับผู้ชายไปทั่วจะไม่ใช่กานดาวสี
ฝ่ายกองหนุนทั้ง ท่านหญิง พุดตาน นมสาย ตกใจ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไขนภา รำเพยก็ตะลึงไม่คิดว่าวสันต์จะหักหลังหน้าด้านๆ ส่วนกานดาวสีนั่งนิ่งยอมรับชะตากรรม วสันต์เล่นละครต่อหยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าส่งให้ไขนภา
“เช็คของคุณครับ ผมคงจะรับไว้ไม่ได้จริงๆ ถึงยังไงผมก็ไม่สามารถจะปรักปรำกานดามณีอย่างที่พวกคุณต้องการได้”
กานดามณีได้สติรีบรับสมอ้าง แกล้งบีบน้ำตาทำหน้าเศร้า เสียใจสุดชีวิต
“นี่หมายความว่าคุณหญิงไขนภาจ้างคนมาใส่ร้ายฉันเหรอคะ” สาวแสบแฝดน้องหันมาทางฐิติ “ฉันไม่คิดเลยว่าครอบครัวของติจะรังเกียจฉันจนต้องทำกันถึงขนาดนี้”
ฐิติมองไขนภา ท่านหญิง พุดตานอย่างผิดหวัง
“ผมว่าคราวนี้ทุกคนทำเกินไปจริงๆ นะครับ ถึงท่านย่ากับแม่จะไม่ชอบกานดามณี แต่ก็ไม่น่าจะใช้วิธีที่น่ารังเกียจแบบนี้”
ฐิติจับมือปลอบและให้กำลังใจกานดามณี
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีใครใส่ร้ายคุณได้หรอก ความจริงมันก็ต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ...และเมื่อความจริงปรากฏ ความชั่วมันก็จะค่อยๆ เปิดเผยตัวตนของมันออกมาเอง”
พลางปรายตามองกานดาวสีประมาณว่าฉันตั้งใจด่าเธอ
ขณะที่กานดาวสีเดินกลับไปที่เรือนรับรอง ฐิติตามมารู้สึกผิดหวังมาก
“กานดาวสี คุณรู้เรื่องที่คุณหญิงไขนภาจ้างนายวสันต์ให้มาปรักปรำกานดามณีใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“คุณรู้แล้วทำไมถึงไม่ห้าม แล้วยังมาตีหน้าซื่อทำเหมือนเป็นผู้เสียสละ นี่ใจคอคุณทำด้วยอะไร คุณถึงกล้าทำร้ายน้องคุณได้ขนาดนี้”
อีกมุมหนึ่ง เห็นกานดามณีแอบมองสองคนแล้วยิ้มอย่างสะใจ
“ในเมื่อเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ดิฉันคิดว่าเราน่าจะหย่ากันให้เร็วที่สุด”
ฐิติตอบรับทันทีอย่างประชดประชัน
“ได้ ในเมื่อคุณอยากจะไปใจจะขาดผมก็ไม่ขัด ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้จดทะเบียนกับกานดามณีทันทีที่เราหย่ากัน”
ฐิติพูดจบก็เดินไปทันที กานดาวสีอัดอั้น ทั้งน้อยใจ ทั้งเสียใจ ฝืนต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลพรากออกมาเต็มตา
อีกมุมหนึ่ง ที่กานดามณีมองมาที่ฐิติและกานดาวสียิ้มย่องอย่างพอใจ
“ในที่สุด ฉันก็กำจัดแกให้พ้นไปทางชีวิตของฉันได้ นังกานดาวสี”
จู่ๆ มือวสันต์มาดึงตัวกานดามณีออกไป กานดามณีหันไปเห็นเป็นวสันต์ก็ตกใจ
“ไอ้วสันต์”
“อย่าเพิ่งดีใจไป เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
วสันต์ลากมณีไปที่มุมลับตาคน
“เอาสร้อยเส้นนั้นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้” วสันต์บอก
“เดี๋ยวนี้ได้ยังไง...ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ยังไงฉันก็ต้องเอาไปให้แกอยู่แล้ว”
วสันต์ยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์
“แล้วก็ไม่ใช่แค่สร้อยนะ เพราะฉันมาคิดดูแล้วว่าถ้าเธอได้เป็นเมียของนายฐิติ ฉันก็ควรจะมีเงินใช้ไปตลอดชีวิตด้วยเหมือนกัน”
กานดามณีเจ็บใจ “ไอ้วสันต์! แกขู่ฉันเหรอ แกมันโลภไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ”
วสันต์บอกอย่างเหนือกว่าทุกขุม “เธอไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ อย่าลืมซิว่าฉันกำความลับของเธออยู่ทั้งเรื่องนังกานดาวสี ทั้งเรื่องนังอุไร ถ้าเธอคิดจะตุกติกกับฉัน ฉันก็สามารถจะทำให้เธอหลุดจากตำแหน่งสะใภ้ของสูรยกานต์เมื่อไหร่ก็ได้”
ฟากวิสูตรเดินไปเดินมาอยู่ในโรงเรียนด้วยความเป็นกังวล สักครู่ไขนภาเดินเข้ามาท่าทางเซ็งๆ ปนหงุดหงิดวิสูตรรีบเดินไปหาไขนภาอย่างร้อนใจ
“คุณหญิงครับ ลูกณีเป็นยังไงบ้าง แล้วแกต้องออกมาจากวังสูรยกานต์เมื่อไหร่ ผมตั้งใจว่าจะไปรับแกกลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกัน”
“คงไม่ต้องแล้วล่ะค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับลูกณีครับ หรือว่าแกจะกลับไปอยู่กับคุณวิเศษ” วิสูตรออกอาการหนักใจ “ผมเป็นห่วงว่าแกจะไปมีปัญหากับคุณอุไรกับนารีรัตน์”
ไขนภาบอกเนือยๆ
“คุณกานดามณีเธอไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นล่ะค่ะ เธอยังอยู่ในวังต่อไปได้อย่างมีความสุข แต่คนที่จะต้องไปคือคุณกานดาวสี”
วิสูตรตกใจ “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะครับ นี่เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่”
ไขนภาถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม ตัดสินใจเล่าเรื่องให้ฟัง
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ท่านหญิงพระทัยร้อนเป็นไฟ นั่งไม่ติดที่ เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด ท่าทางพุดตานกับนมสายเครียดไม่แพ้กัน
“นี่เรื่องมันจะกลับตาละปัดเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
นมสายโวยวายออกมาอย่างผิดหวัง “นี่หมายความว่าคุณกานดาวสีเป็นผู้หญิงมากหน้าหลายชายจริงๆหรือเพคะ...โอ๊ย อิฉันจะเป็นลม”
ท่านหญิงหันมาดุนมสายอย่างจริงๆจังๆ
“นมสาย หล่อนนี่แก่กะโหลกกะลาจริงๆ ใช้สมองคิดซะหน่อยสิ หล่อนจะมาตัดสินคนๆนึงด้วยคำพูดของผู้ชายเลวๆ คนเดียวได้ยังไง”
“ก็ดิฉันสับสนนี่เพคะว่าใครพูดจริงพูดเท็จ”
“แต่ดิฉันกล้ายืนยันนะคะว่ายัยกานถูกปรักปรำ” รำเพยบอก
“แต่เราจะมีหลักฐานอะไรที่จะเอามาใช้ยืนยันเรื่องอย่างนี้ได้ล่ะคะ” พุดตานเครียดอีก
ท่านหญิงมั่นใจ “ฉันว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างแน่”
ฝ่ายกานดามณีอยู่ที่บ้านอิ่มใจ ยื่นสร้อยเพชรให้วสันต์อย่างไม่เต็มใจ กระชากเสียงใส่
“เอาไป”
วสันต์รับสร้อยมามองอย่างพึงพอใจ
“ถ้ามีงานง่ายๆอย่างนี้ก็เรียกฉันอีกนะ”
กานดามณีตัดบท จะเดินกลับออกจากบ้าน
“คงไม่ต้องแล้วล่ะ นังกานดาวสีมันกระเด็นออกจากวังไปแล้ว ฉันก็หมดเสี้ยนหนามแล้ว”
วสันต์ยิ้มอย่างรู้ทันเดินตามออกไปด้วย
อิ่มใจกลับบ้านมาพอดี ได้ยินที่วสันต์คุยกับกานดามณีเลยแอบฟังอยู่หน้าประตูรั้ว
“แหม พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวฉันส่งเลยนะ อย่าลืมสิที่งานนี้สำเร็จได้ก็เพราะฉัน ถ้าฉันไม่ไปใส่ร้ายนังกานดาวสีว่าเป็นเมีย เธอก็คงไม่ได้ลอยหน้าอยู่ในวังสูรยกานต์อีกแน่ๆ”
พอได้ฟังอิ่มใจ ออกอาการตกใจมาก
“หมายความว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่กานดาวสี!”
กานดามณีด่าวสันต์
“นี่แกจะลำเลิกบุญคุณอะไรของแกนักหนา ทั้งเงินทั้งสร้อยฉันก็ให้แกไปหมดแล้ว และแกยังจะเอาอะไรจากฉันอีก”
“คิดให้ดีๆ สิ กานดามณี...ว่าฉันก็น่าจะมีส่วนในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอไม่ใช่เหรอ”
อิ่มใจทำหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“กานดามณี!”
อิ่มใจพลาดไปเหยียบกระป๋อง จนทำให้เกิดเสียง วสันต์หันขวับไปตามเสียงรู้สึกสังหรณ์ขึ้นมาแต่กานดามณีไม่ทันใส่ใจ เพราะกำลังแค้นในสิ่งที่วสันต์พูด
“แกนี่ไม่คิดจะเอาดีทางอื่นนอกจากเกาะผู้หญิงกินหรือไง”
“ก็แน่ล่ะ อะไรที่มันได้มาง่ายๆโดยไม่ต้องลงแรง ใครๆก็ชอบกันทั้งนั้น”
วสันต์มองกานดามณีปรุโปร่ง อย่างไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่
กานดามณีตัดบทรีบเปิดประตูขึ้นรถของวิไลวรรณ
“เธอก็ไม่ได้ต่างอะไรจากฉันหรอกกานดามณี” วสันต์เยาะ
กานดามณีไม่สนใจ ขับรถออกไป วสันต์มองตามอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเปลี่ยนสายตาเป็นหวาดระแวงเดินตรงไปที่อิ่มใจยืนหลบอยู่ แต่กลับไม่เห็นใคร
ที่แท้อิ่มใจหลบออกมาในซอยแล้วกำลังโทรศัพท์
“พี่ทิพย์เหรอคะ อิ่มเองค่ะ อิ่มมีเรื่องสำคัญจะขอพูดกับคุณฐิติ...”
มือวสันต์จับหูโทรศัพท์กระแทกวาง อิ่มใจหันมาเห็นวสันต์ ก็ตกใจ
วสันต์มองอิ่มใจอย่างโกรธเกรี้ยว
กานดามณีเดินปึงปังเข้ามา โยนกุญแจรถลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ชีวิตฉันนี่มันจะได้อะไรมาง่ายๆบ้างมั้ยนะ ทำไมมันต้องมีแต่เรื่องให้เครียดอยู่ไม่จบไม่สิ้น”
วิไลวรรณปรี่เข้าไปหากานดามณี
“เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“ก็ไอ้วสันต์น่ะสิ ได้คืบจะเอาศอก คนอย่างมันไว้ใจได้ซะที่ไหน”
วิไลวรรณเห็นใจ “ก็จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อแกเลือกที่จะขี่หลังเสือแล้ว”
กานดามณีสายตาเป็นประกายวาววับอย่างไม่ยอมแพ้
“ยังไงฉันก็ต้องหาทางกำจัดมันให้ได้ ฉันไม่ยอมให้มันมาเกาะฉันไปจนตายหรอก”
ขณะเดียวกันกานดาวสีกำลังก้มลงกราบท่านหญิงและพุดตาน
“ดิฉันมากราบลาท่านย่ากับคุณแม่ค่ะ”
ท่านหญิงมองกานดาวสีอย่างเชื่อมั่นในตัวกานดาวสี
“ย่าอยากจะขอร้องให้แม่กานดาวสีอยู่ที่นี่ไปก่อน” ท่านหญิงเชยคางขึ้นมา “ไม่ว่านายวสันต์นั่นจะพูดยังไง แต่ย่าก็เชื่อมั่นในตัวหล่อน”
“คุณหญิงไขนภารู้เรื่องแม่กานดามณีมาจากคุณวิสูตร และเธอก็เล่าทุกอย่างให้พวกเราฟังหมดแล้ว” พุดตานว่า
“ไม่ว่าน้องณีจะเป็นยังไง แต่เธอก็เป็นคนที่คุณฐิติรักค่ะ ดิฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป” กานดาวสีบอกจริงจังมาก
ท่านหญิงท้วง “ไม่มีได้ยังไง ในเมื่อหล่อนเป็นเมียของตาติ ทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย”
“แต่เราตกลงกันแล้วว่าจะหย่ากันพรุ่งนี้เพคะ”
ท่านหญิงตกใจ “อะไรนะ! นี่หล่อนกับตาติไปตกลงกันตอนไหน ย่ายังไม่ได้อนุญาตให้เราสองคนหย่ากัน แล้วหล่อนจะย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ยังไง”
“ดิฉันคงต้องขอความกรุณาจากท่านย่าเพคะ ตอนนี้คุณพ่อก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังไงดิฉันต้องกลับไปดูแลท่าน”
พุดตานมองกานดาวสีเหมือนอยากจะรู้เข้าไปในจิตใจ ก่อนจะตัดสินใจถามตรงๆ
“แม่ถามจริงๆ เถอะหนูกานดาวสีไม่ได้รักพ่อติเลยรึ”
กานดาวสีอึ้งไป
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้น นมสายเดินหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณกานดาวสีคะ คุณวิเศษโทร.มาบอกว่าคุณอุไรเสียแล้ว ตอนนี้ศพอยู่ที่วัดค่ะ”
ทางด้านวสันต์เหวี่ยงอิ่มใจไปกระแทกกับผนัง ก่อนจะกระชากเข้ามาตบเปรี้ยง
อิ่มใจร้อง “โอ๊ย” อย่างเจ็บปวด
“บอกมา แกจะเอาเรื่องกานดามณีไปบอกไอ้ฐิติใช่มั้ย”
“เปล่านะ อิ่มไม่ได้บอก”
วสันต์เค้นคอถามอิ่มใจ
“แล้วแกโทร.หามันทำไม”
“วันนี้อิ่มไม่สบายก็ขอลางานครึ่งวัน แต่อิ่มลืมบอกเรื่องงานที่คุณพระสั่งให้บอกคุณฐิติ...ก็เลยโทร.ไป...”
วสันต์ตบตีอิ่มใจไปอีกเต็มแรง
“โกหก แกคิดว่าฉันโง่เหรอ ฉันคิดอยู่แล้วว่าแกต้องเข้ามาแส่เรื่องของฉัน”
อิ่มใจทั้งเสียใจและตกใจ “คุณวสันต์อย่าทำอิ่ม อิ่มไม่ได้บอกจริงๆ”
“งั้นก็จำไว้ใส่หัวแกไว้เลยนะว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่”
วสันต์เหวี่ยงอิ่มใจกระเด็นไปกระแทกกับเสา ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่แยแส อิ่มใจค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง พบว่ามีเลือดไหลซึมออกจากหว่างขา
อิ่มใจหน้าซีด ใจเสีย “เลือด”
เย็นแล้วนารีรัตน์เดินไปเดินมา ชะเง้อมองออกไปนอกศาลาสวดศพอุไรด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม ไม่เป็นสุขวิเศษนั่งอยู่ที่เก้าอี้
“ทำไมพี่กานยังไม่มาซะทีนะ”
“พี่เค้ากำลังคุยธุระกับท่านหญิง อีกประเดี๋ยวก็คงจะมาถึง” วิเศษปลอบลูก
นารีรัตน์ร้อนใจไม่หาย “รัตน์อยากจะคุยกับพี่กานเรื่องคุณแม่ ที่คุณหมอบอกว่าคุณแม่ถูกตีหัวอย่างแรง รัตน์แน่ใจว่า ต้องเป็นฝีมือกานดามณีแน่ๆ”
วิสูตรเดินมาเพื่อร่วมงงาน ได้ยินที่นารีรัตน์พูด ก็อึ้งไปอย่างครุ่นคิด
วิเศษปรามลูก “ไม่เอาน่ายัยรัตน์ พ่อไม่อยากให้ลูกปรักปรำใคร โดยเฉพาะคนๆ นั้นก็เป็นพี่สาวของลูก”
“แต่รัตน์มั่นใจค่ะ...กานดามณีต้องพยายามจะฆ่าปิดปากคุณแม่แน่ๆเค้าคงโกรธที่คุณแม่ไปรีดเงินจากเค้าอีก”
วิเศษชะงัก นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้วอึ้งไป แต่ใจก็ยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้
“เมื่อวานคุณพ่อก็ได้ยินกับหูว่าคุณแม่จะออกไปหาเค้าให้ได้ และก่อนจะตายคุณแม่ก็ยังพยายามจะพูดชื่อ...”
วิเศษรีบขัดขึ้นอย่างโกรธๆ “กานดามณีอาจจะไม่ใช่คนดี แต่พ่อไม่เชื่อว่าพี่เราเค้าจะทำอะไรขนาดนี้ได้”
วิสูตรตัดสินใจเดินเข้ามาหาสองคน
“คุณวิเศษอย่าเพิ่งไปว่านารีรัตน์เลยนะครับ” วิสูตรพูดอย่างหนักใจ “จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากจะพูด แต่คุณวิเศษคงจะไม่รู้จักยัยณีดีเท่ากับผมแน่ๆ”
วิเศษใจหายวับ “คุณวิสูตรหมายความว่า…”
วิสูตรมองหน้าวิเศษอย่างเห็นใจ ตัดสินใจพูดเพราะยังไงวิเศษก็เป็นพ่อแท้ๆของกานดามณี
“ผู้หญิงอย่างยัยณีทำได้ทุกอย่างล่ะครับเพื่อจะให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
วิเศษฟังแล้วเครียด
ขณะเดียวกันสองสาวอยู่ในรถที่แล่นมาตามทางระหว่างทางไปวัดรำเพยเป็นคนขับ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคุณอาอุไรจะจากไปกะทันหันอย่างนี้ แล้วนี่รู้หรือยังว่าเป็นอะไรตาย”
“เมื่อกี้ฉันก็มัวแต่ตกใจเลยยังไม่ได้ถามคุณพ่อ เดี๋ยวก็ว่าจะไปคุยกันที่วัดนี่ละ”
กานดาวสีมองออกริมฟุธบาท แลเห็นอิ่มใจเดินๆ อยู่แล้วฟุบลงไปที่ถนนก็ตกใจ
“รำเพย จอดรถก่อน”
รำเพยเบรคตัวโก่งด้วยความตกใจ
“มีอะไรยัยกาน”
“ดูผู้หญิงคนนั้นสิ เป็นอะไรก็ไม่รู้”
กานดาวสีพูดจบก็เปิดประตูลงจากรถทันที ปราดเข้าไปประคองอิ่มใจ รำเพยวิ่งตามมา
“คุณคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
รำเพยเห็นเลือดตรงกลางตัว “อุ๊ย ดูสิ เลือดออกเต็มเลย”
อิ่มใจกำลังจะหมดสติ แต่พยายามปรือตาขึ้นมามองหน้ากานดาวสีก่อนจะหมดสติไป
“เค้าหมดสติไปแล้ว จะทำยังไงกันดีล่ะยัยกาน”
สองสาวพาอิ่มใจมาส่งโรงพยาบาล เวลานั้นอิ่มใจนอนอยู่บนเตียงที่เจ้าหน้าที่ กำลังเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน รำเพยกับกานดาวสีที่เดินตามมาจนถึงหน้าห้องหยุดยืนมองด้วยความเป็นห่วง
“ขออย่าให้เค้าเป็นอะไรเลยนะ”
รำเพยพยายามปลอบแต่ท่าทางก็ไม่แน่ใจอยู่เหมือนกัน
“ถึงมือหมอแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกน่า”
รำเพยหันมามองกานดาวสีอย่างกังวล
“เธอต้องรีบไปงานศพคุณอาอุไรไม่ใช่เหรอ นี่ก็เย็นมากแล้วนะ รีบไปเถอะ”
กานดาวสีลังเล “แล้วเราจะทิ้งผู้หญิงคนนั้นไปได้ยังไง”
รำเพยตัดสินใจ “เอางี้ เธอไปที่วัดก่อน เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
กานดาวสีคิดๆ ยังลังเลอยู่
“รีบไปเถอะน่า งานจะเริ่มอยู่แล้ว เธอเป็นลูกเลี้ยง ไปไม่ทันน่าเกลียดตาย”
“งั้นฉันฝากด้วยนะ”
กานดาวสีลงจากรถรับจ้าง ขณะฐิติเดินคู่กับกานดามณีผ่านมาพอดี
ฐิติแดกดันเปรยๆ ขึ้น “เป็นเจ้าภาพ แต่มาช้า สงสัยจะไปปรับความเข้าใจกับผัวเก่าอยู่ล่ะสิ”
กานดาวสีไม่สนใจ เดินเข้าไปในวัดทันที ฐิติมองตามอย่างหมั่นไส้ กานดามณีหงุดหงิด แต่พยายามระงับความโกรธ รู้ว่าฐิติจงใจตอแยกานดาวสีไม่เลิก
“เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะติ”
ฐิติกับกานดามณีเดินควงกันเข้าไป
ครู่ต่อมากานดามณีกับฐิติเดินควงคู่กันเข้ามา นารีรัตน์วิ่งปราดเข้าไปหา แล้วด่าทันที
“แกฆ่าแม่ฉันใช่มั้ย อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้”
“อะไรกันคะน้องรัตน์ เข้าใจผิดแล้วล่ะ พี่จะทำอย่างนั้นทำไม” กานดามณีตีหน้าแสนดี
“ก็เพราะแม่ฉันคงจะไปเอาเงินน่ะสิ แกก็เลยฆ่าปิดปาก ฉันรู้นะว่าแกจิตใจโหดเหี้ยมขนาดไหน ต้องเป็นแกแน่ๆ แกฆ่าแม่ฉัน” นารีรัตน์ไม่ยอม
ทุกสายตามองมาที่กานดามณีรวมทั้งวิสูตรที่นั่งรวมอยู่กับแขกคนอื่นๆ ฐิติมองกานดามณีอย่างสงสัย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
นารีรัตน์กำลังจะบอก “ก็...”
“ยัยรัตน์ หยุดพูดเดี๋ยวนี้...”
วิเศษที่ยังไม่ค่อยสบายอยู่พยายามจะห้าม กานดาวสีมาถึงเช่นกันรีบเข้ามาประคองวิเศษพลางบอกน้องต่างมารดา
“ยัยรัตน์พอก่อนเถอะ”
นารีรัตน์อิดออด “แต่มัน...”
กานดาวสีเสียงดัง “ยัยรัตน์พี่บอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”
ทุกสายตามองมาที่กานดามณีอย่างสงสัย แต่สาวแสบแฝดน้องทำท่าเหมือนไม่มีอะไร
สายตาวิสูตรมองกานดามณีอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
กานดามณีพาฐิติมากราบศพ กานดามณีมองจ้องที่รูปหน้าศพ พูดกับอุไรอยู่ในใจ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแก แกผิดเองที่โลภมากคิดจะกอบโกยจากฉัน อโหสิให้ฉันด้วยก็แล้วกัน”
ฐิติกับกานดามณีกราบศพก่อนจะลุกขึ้น จะเดินไปนั่งด้านหลังต่อจากที่แขกผู้ใหญ่นั่ง
ในขณะที่กานดามณีเดินผ่านวิสูตรที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับคณะของท่านหญิง วิสูตรก็เรียกกานดามณีเอาไว้
“ลูกณี พ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
อ่านต่อหน้า 4
สุดสายป่าน ตอนที่ 10 (ต่อ)
สองคนอยู่มุมหนึ่ง นอกศาลาสวดศพในบริเวณวัด วิสูตรเอ่ยขึ้นทันที
“พ่อขอร้อง หยุดทำอะไรเลวๆ ซะที...”
“แกพูดเรื่องอะไร”
วิสูตรมองหน้ากานดามณีอย่างเอาจริงเอาจัง
“ลูกแย่งคุณฐิติมาจากพี่สาวแท้ๆของลูก”
วิสูตรพูดยังไม่ทันจบ กานดามณีก็พูดขัดขึ้น
“ใครแย่งใครกันแน่...แกไม่รู้จริงก็อย่ามาพูดดีกว่า”
“พ่อรู้เรื่องที่ลูกแอบอ้างเอาชื่อหนูกานดาวสีไปใช้แล้ว...แต่มันไม่ใช่แค่นั้น...ถ้าพ่อเดาไม่ผิด ลูกเกี่ยวข้องกับการตายของคุณอุไรด้วย ใช่มั้ย”
กานดามณีตกใจ แต่เอาความโกรธเข้าข่ม
“แกพูดอะไร แกมีหลักฐานอะไรถึงมาปรักปรำฉัน”
“ถึงพ่อจะไม่มีหลักฐาน แต่พ่อก็รู้จักลูกดี...พ่อไม่อยากให้ลูกทำผิดซ้ำซากอีก...โดยเฉพาะไปทำลายชีวิตของคนอื่น”
“ฉันจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของแก นี่มันชีวิตของฉัน เลิกวุ่นวายกับชีวิตฉันซะที”
วิสูตรมองกานดามณีอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้
“สารภาพความจริงเรื่องที่ลูกทำผิดทุกอย่างซะ...ถ้าลูกไม่พูด พ่อจะเป็นคนบอกความจริงทั้งหมดเอง”
กานดามณีโกรธจัด “แกคิดว่าแกเป็นใคร แกไม่มีทางจะขวางฉันได้หรอก”
วิสูตรบอกอย่างมุ่งมั่น “ก็ให้มันรู้ไปว่าจะไม่มีใครเชื่อถือคำพูดของพ่อคนที่เลี้ยงแกมาตั้งแต่แกยังแบเบาะ”
กานดามณีกับวิสูตรมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมกัน อีกมุมหนึ่ง เห็นวิเศษยืนแอบฟังอยู่ด้วยสีหน้าเสียใจและผิดหวังอย่างรุนแรง
คืนนั้นแม่ลูกกลับตากงานศพ นั่งคุยกันอยู่สองคน ฐิติดูไม่แจ่มใส พุดตานมองลูกด้วยสายตาเป็นห่วง
“ลูกคิดดีแล้วรึที่จะหย่ากับแม่กานดาวสี”
“ครับ จริงๆ เรื่องของเราก็น่าจะจบไปตั้งแต่ตอนที่กานดามณีกลับมาแล้ว”
“หมายความว่าลูกรักแม่กานดามณีใช่มั้ย”
“จะรักหรือไม่รัก แต่ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเธอ”
พุดตานเข้าใจทั้งที่อ่อนใจในตัวลูก แต่ยังไม่ยอมแพ้
“แล้วถ้าติไม่ได้รัก ติจะฝืนใจแต่งงานไปทำไม”
“อย่างน้อยกานดามณีเค้าก็รักผม”
พุดตานพยายามครั้งสุดท้าย
“แม่อยากให้ติคิดดูให้ดีๆว่าติรักใครกันแน่ แม่ไม่อยากให้ติแต่งงานเพื่อเพื่อประชดใคร”
“ไม่สำคัญหรอกครับว่าผมจะรักใคร ยังไงผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะจดทะเบียนกับกานดามณีภายในสองสามวันนี้”
ไขนภาบอกข่าวร้ายเรื่องเดียวกันกับวิสูตรที่โรงเรียน ในตอนเช้าของวันต่อมา
“อะไรนะครับ คุณฐิติกับกานดามณีจะจดทะเบียนกันพรุ่งนี้! เมื่อคืน ยัยณีไม่เห็นบอกเรื่องนี้กับผมเลย”
“เธอก็คงไม่อยากให้ครูใหญ่ทราบน่ะค่ะ”
วิสูตรรำพึงออกมา “นี่แสดงว่าลูกไม่ฟังในสิ่งที่พ่อพูดเลยใช่มั้ย”
“ดิฉันว่ามาถึงตอนนี้แล้วคุณกานดามณีคงไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้นล่ะค่ะ ป่วยการเปล่าๆที่เราจะทักท้วงเธอ”
วิสูตรเครียดหนัก
“แต่ยังไงผมก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”
วิเศษตกใจมากพอรู้จากวิสูตรและคุณหญิงไขนภา ที่มาหาถึงบ้านกิริเนศวร
“ผมก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมจะรักลูกกานมากกว่าลูกณี แต่ผมไม่ต้องการให้คุณฐิติหย่ากับลูกกานเพราะความเข้าใจผิด..”
“และคุณกานดามณีก็คือสาเหตุของความเข้าใจผิดทั้งหมด” คุณหญิงบอก
ทั้งวิเศษและวิสูตรอึ้งไป ทุกข์ใจพอกัน
“ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะอยากจะให้แน่ใจ ถ้าคุณวิเศษเห็นด้วยว่าลูกณีไม่สมควรที่จะแต่งงานกับคุณฐิติ ผมก็จะไปพูดกับลูกณีให้รู้เรื่อง”
วิเศษท้วง “อย่าเลยครับ ผมจะไปพูดเรื่องนี้กับแกเอง”
พูดแล้ววิเศษนิ่งไปอย่างไม่แน่ใจนัก
“ในฐานะพ่อ แกก็น่าจะฟังผมบ้าง”
วิสูตรและไขนภามองหน้ากัน ทั้งสามคนต่างก็ไม่มีใครแน่ใจว่ากานดามณีจะฟังวิเศษ
ตอนสายๆ กานดามณีกับวิไลวรรณกำลังจะออกจากบ้าน
กานดามณียิ้มย่องผ่องใสเป็นพิเศษ “พรุ่งนี้แล้วสินะที่ฉันจะได้ในสิ่งที่ฉันเฝ้ารอมานาน”
วิไลวรรณพูดอย่างจริงใจ “ฉันตื่นเต้นแทนแกจริงๆนะยัยณี ทีนี้แกจะได้เป็นสูรยกานต์เต็มตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมายซะที”
เสียงวิเศษดังขึ้น “แต่พ่อคงจะยอมให้เป็นไปอย่างนั้นไม่ได้”
สองสาวหันมาเห็นวิเศษกับวิสูตรกำลังเดินเข้ามา
กานดามณีตกใจ “คุณพ่อ!”
วิเศษมองกานดามณีอย่างตำหนิ กานดามณีหายตกใจ ฮึดสู้ขึ้นมา ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจวิเศษ
“คุณพ่อไม่มีสิทธิ์มาขัดขวางหนู หรือว่ากลัวลูกสาวคนโปรดจะเป็นม่าย”
“พ่อไม่ได้ขัดขวางแต่พ่อทำเพื่อความถูกต้อง”
กานดามณีขัดขึ้นอย่างเจ็บปวด “แล้วที่คุณพ่อทิ้งหนูไปมันถูกต้องแล้วเหรอคะ”
วิเศษอึ้งไป
“ในเมื่อคุณพ่อก็ไม่ได้รักหนู ไม่ต้องการหนู แล้วพ่อเข้ามายุ่งกับชีวิตหนูทำไม พ่อรักแต่นังกานดาวสี พ่ออยากให้มันมีความสุข แล้วหนูล่ะ พ่อลืมแล้วเหรอว่าหนูก็เป็นลูกพ่อเหมือนกัน”
วิเศษพูดไม่ออก เจ็บปวดลึกๆ ด้วยความรู้สึกผิด สงสารกานดามณีก็สงสาร
วิสูตรสุดทน “ยัยณี หยุดก้าวร้าวพ่อบังเกิดเกล้าของลูกเดี๋ยวนี้”
“ไม่หยุด ในเมื่อพ่อเลือกนังกานดาวสี พ่อก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไรจากหนู...หรือว่าพ่อจะยอมทำลายชีวิตลูกคนนี้เพื่อให้ลูกรักของพ่อมีความสุข”
กานดามณีเดินเข้าไปจ้องหน้าวิเศษอย่างสะใจ
“ไม่มีใครห้ามหนูได้หรอก หนูจะทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตนังกานดาวสีมันย่อยยับอย่างที่หนูเคยเป็น”
กานดามณีพูดจบก็เดินออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
วิไลวรรณยืนตะลึง หน้าซีดฟังพ่อลูกปะทะกัน ก่อนจะวิ่งตามไป
“ยัยณี เดี๋ยวก่อน ยัยณี รอฉันด้วย”
วิเศษที่อ่อนแออยู่แล้ว เครียดจนปวดร้าวไปหมดทั้งหัว แล้วล้มโครมลงไปอย่างไม่รู้ตัว
วิสูตรรีบเข้าไปประคอง
“คุณวิเศษ เป็นอะไรหรือเปล่า คุณวิเศษ”
ค่ำคืนนั้นภายในในไนท์คลับแห่งนั้น เสียงดนตรีดังคลอเบาๆ ฐิตินั่งดื่มอยู่กับเพื่อนๆ อาการเหมือนอกหักอย่างรุนแรง ทั้งเจ็บ ทั้งเสียใจหนักกว่าตอนที่กานดามณีหายไป ฐิติกำลังจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก ถูกทวิชดึงแก้วเหล้าออกจากมือก่อน
“พอเหอะ จะกินให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ”
“ฉันจะได้แต่งงานกับคนที่ฉันรักทั้งที มันก็ต้องมีการฉลองกันหน่อย”
อุดรมองฐิติอย่างเป็นห่วง
“ฉลองอะไรวะ แล้วทำไมมันดูเศร้าอย่างเงี้ย ฉันว่าดูเหมือนคนอกหักมากกว่าว่ะ”
“พูดอะไรของแกวะ ใครอกหัก” ฐิติฉุน
“เฮ้ย พูดกันตรงๆดีกว่า แกรักคุณกานดาวสีใช่มั้ยวะ”
“ฉันไม่มีวันรักผู้หญิงปลิ้นปล้อนหลอกลวงพรรณนั้นได้หลอก แต่ฉันเจ็บใจที่ถูกหลอก แกไม่รู้หรอกว่ารสชาติการถูกหลอกมันเป็นยังไง...” คำต่อมาฐิติพูดกับตัวเองอย่างปวดใจ “ปากก็บอกไม่ใช่ แต่สิ่งที่ทำมันค้านกับคำพูด”
เขตต์ ทวิช และอุดร มองท่าทีฐิติอย่างจับผิด ก่อนจะหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
ทวิชบ่นปลงๆ “ไม่ได้รัก แต่ยังเป็นขนาดนี้เนี่ยนะ”
อุดรพิจารณาสภาพฐิติแล้วฟันธง
“เฮ้ย...ไม่ใช่ฉลองแต่งงานแน่ๆว่ะ ฉันว่าดูจากสภาพแล้ว อาการไอ้ติมันหนักยิ่งกว่าตอนที่คุณกานดามณีทิ้งมันไปอีก...พวกแกว่าป่ะ”
รุ่งเช้าวิเศษนอนซมเป็นทุกข์อยู่บนเตียงในห้องนอน กานดาวสีจับมือพ่อไว้อย่างเป็นห่วง
“คุณพ่อไม่น่าไปพูดเรื่องนี้กับน้องณีเลย ยังไงวันนี้ลูกก็ต้องหย่ากับคุณฐิติอยู่ดี”
“พ่อไม่อยากให้คุณฐิติเข้าใจลูกผิด”
“ให้เค้าเข้าใจผิดไปเถอะค่ะ เพราะลูกก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเค้าอยู่แล้ว”
นารีรัตน์ขัดขึ้น
“ในเมื่อพี่กานก็ออกมาจากวังแล้ว ทำไมพี่กานไม่กลับมาอยู่บ้านซะทีล่ะคะ หรือว่าพี่กานยังโกรธรัตน์อยู่”
“พี่ไม่เคยโกรธรัตน์เลย แต่พี่จะกลับมาอยู่ที่นี่ก็ต่อเมื่อ พี่หาเงินไปคืนคุณฐิติให้ครบก่อน”
“งั้นรัตน์กับคุณพ่อก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน”
กานดาวสีอึ้งไปนิดหนึ่ง “ยังไงคุณพ่อก็มีสิทธิ์จะอยู่ที่นี่ ในฐานะพ่อของกานดามณี และรัตน์ก็ต้องอยู่ดูแลคุณพ่อที่นี่แทนพี่”
นารีรัตน์มองกานดาวสีอย่างเข้าใจ จับมือพี่สาวปลอบ
“พี่กานไม่ต้องเป็นห่วง รัตน์จะดูแลคุณพ่อให้ดีที่สุด”
ฐิตินอนซม ทั้งเมาเหล้า เมารัก จนไม่อยากจะตื่นขึ้น กานดามณีเปิดประตูเข้ามา มองฐิติอย่างเซ็งๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นเข้ามากอด ออดอ้อนเสียงหวาน
“ติ อะไรกันคะ นี่ยังนอนไม่ตื่นอีกเหรอ”
ฐิติพยายามจะเบี่ยงตัวออก ทำเป็นจะลุกขึ้นจากเตียง
“ตื่นแล้วล่ะครับ พอดีเมื่อคืนฉลองกันดึกไปหน่อย”
กานดามณีกอดแขนฐิติ ออเซาะ
“ดีใจจังเลยค่ะ ในที่สุดเราก็จะได้แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายซะที”
ฐิติพูดไม่ออก นึกด่าตัวเองอยู่ก็ได้ว่าไม่น่าปล่อยให้เรื่องมาถึงขั้นนี้ได้
“หลังจากจดทะเบียนกันแล้ว ติต้องจัดงานแต่งงานเลยนะคะ”
กานดามณีฝันไปไกล ฐิติไม่สนใจ เดินไปเข้าห้องน้ำ กานดามณีเพ้อฝันต่อ
“งานของเราจะต้องหรูหราที่สุด มีงานเต้นรำทั้งคืน”
พลางกานดามณีทำท่าเต้นรำอยู่คนเดียวหน้ากระจก
“แล้วผู้หญิงทั้งพระนครก็จะต้องอิจฉาที่ฉันได้สามีเป็นถึงหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์”
วิสูตรมาถึงโรงเรียนแต่เช้า จัดการเรื่องเอกสาร แล้วยื่นแฟ้มเอกสารหนึ่งให้คุณหญิงไขนภา
“วันนี้ผมคงต้องรบกวนคุณหญิงให้ไปประชุมที่กระทรวงแทนผมด้วย”
“ได้ค่ะ ครูใหญ่จะไปไหนเหรอคะ”
“ผมมีเรื่องต้องไปสะสางหน่อย”
“เรื่องคุณกานดามณีเหรอคะ”
วิสูตรพยักหน้ารับอย่างหนักใจ
“น่าเห็นใจคุณอาวิเศษนะคะ นั่นก็ลูก นี่ก็ลูก ท่านคงจะสะเทือนใจมากจนรับไม่ไหว”
“แต่ในฐานะที่ผมก็เป็นพ่อยัยณีคนนึง ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ลูกณี ทำลายชีวิตคุณกานดาวสีอีก...ผมจะหยุดเรื่องนี้ด้วยตัวของผมเอง”
เช้านี้ ท่านหญิงลักษมีนั่งหน้าบอกบุญไม่รับเป็นประธานอยู่ในห้องรับแขก พุดตาน นมสาย นั่งอยู่ด้วยหน้าตาทุกข์ใจ
เจ้าหน้าที่จากที่ว่าการอำเภอนั่งอยู่ด้วย ในมือถือแฟ้มเอกสารเตรียมลงนาม
กานดาวสีนั่งนิ่งด้วยสีหน้าสงบ กานดามณีเดินเกาะแขนฐิติเข้ามา
ท่านหญิงปรายตามองฐิติ แล้วหันไปมองที่กานดาวสีอย่างไม่ชอบใจ
“มากันพร้อมแล้วใช่มั้ย ในเมื่อทุกคนก็ตัดสินใจกันไปแล้ว ไม่ยอมฟังย่า ย่าก็ไม่มีอะไรจะพูด...ใครอยากจะหย่า อยากจะทำอะไร ก็เชิญกันตามสบาย”
เจ้าหน้าที่อำเภอหยิบเอกสารจดทะเบียนหย่าขึ้นมาส่งให้ฐิติกับกานดาวสีคนละชุด
“ถ้าทั้งคู่ตัดสินใจกันแน่นอนแล้วก็ลงนามในเอกสารได้เลยครับ”
กานดาวสีก้มหน้าก้มตาเซ็นชื่อในเอกสารอย่างไม่ลังเล ก่อนจะส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ ฐิติมองกานดาวสีอย่างแอบน้อยใจที่ไม่เห็นความอาวรณ์ใดๆ ในท่าทีของหล่อนเลย ฐิติหยิบปากกามาเซ็นชื่ออย่างกระแทกกระทั้น
กานดามณีมองอย่างพอใจ เจ้าหน้าที่รับเอกสารมาตรวจดูความเรียบร้อย ก่อนจะเซ็นลงนามรับรองและส่งเอกสารให้ฐิติและกานดาวสีคนละชุด
“เรียบร้อยแล้วนะครับ”
กานดามณีเกาะแขนฐิติ ถามเสียงหวาน
“คุณเคยบอกว่าจะจดทะเบียนกับฉันทันทีที่หย่ากับพี่กานดาวสี งั้นเราก็จดทะเบียนกันได้เลยใช่มั้ยคะ”
ฐิติพูดไม่ออก ท่านหญิง พุดตาน นมสายแทบจะกลั้นหายใจว่าฐิติจะทำยังไงต่อ
วิสูตรเดินเข้ามา
“กานดามณีจะแต่งงานกับคุณฐิติไม่ได้...”
ทุกคนตกตะลึง
วิสูตรกับท่านหญิง “กระหม่อมต้องขอโทษด้วยที่ต้องเข้ามาขัดจังหวะ แต่กระหม่อมมีเหตุผลที่จะยอมให้กานดามณีแต่งงานกับคุณฐิติไม่ได้กระหม่อม”
ท่านหญิงรีบรวบรัดตัดความทันที “เอาล่ะ ในเมื่อพ่อลูกเค้ายังมีปัญหากันอยู่ ฉันก็ขอยกเลิกเรื่องจดทะเบียนสมรสในวันนี้ไปก่อนก็แล้วกันนะ”
กานดามณีหันขวับไปมองวิสูตรอย่างโกรธแค้น แต่ออกอาการอะไรมากไม่ได้
“คุณมีสิทธิ์อะไร คุณไม่ใช่พ่อของฉัน”
“พ่อมีสิทธิที่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็ก...มากับพ่อเดี๋ยวนี้ ถ้าลูกไม่อยากให้พ่อบอกเหตุผลกับคนอื่น ว่าทำไมพ่อถึงไม่ยอมให้ลูกแต่งงานกับคุณฐิติ”
วิสูตรขู่กลายๆ สำทับด้วยสายตาอันคมกริบ ที่มองกานดามณีอย่างเอาจริง แฝดน้องแค้นแทบกระอัก แต่ต้องเก็บอาการ
อ่านต่อตอนที่ 11