นางมาร ตอนที่ 15
เชตะวันอุ้มเนตรอัปสรกลับมาที่ห้อง อนงค์กับบวรวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณเชต”
อนงค์กับบวรเข้าช่วยดูอาการเนตรอัปสร
“ฉันก็ไม่รู้ พอฉันเอาสร้อยพระใส่คอให้เขา เขาก็ร้องแล้วก็เป็นลมไปแบบนี้แหละ”
อนงค์หน้าตื่น
“ว๊าย...อาการเหมือนคนถูกผีเข้าเลยนะคะคุณเชต”
เชตะวันส่ายหน้าไม่เชื่อ
“พูดอะไรบ้าๆน่านงค์ นี่มันยุคไหนแล้ว แล้วบ้านเราเคยมีผีที่ไหนกัน”
“ไม่เคยมี ก็เพิ่งมีนี่แหละค่ะ เพิ่งมีตอนที่คุณเชตกลับมาจากไปเที่ยวป่าครั้งหลังนี่ล่ะค่ะ”
บวรได้ยินที่อนงค์พูดก็รีบเอามือมาปิดปากทันที เชตะวันไม่พอใจ
“นี่นงค์จะหาว่าผีมันเกาะหลังฉันมาจากในป่า เหมือนอย่างในหนังงั้นเหรอ บ้าแล้วเลิกพูดเรื่องเหลวไหลสักที มาช่วยกันดูคุณเนตรหน่อย เป็นไงมั่ง”
อนงค์จำต้องหยุดพูดแล้วเอายาดมให้เนตรอัปสรดม จนเธอเริ่มรู้สึกตัวขึ้น พอมองเห็นเชตะวัน อนงค์ และบวร รุมดูเธออยู่ เนตรอัปสรก็รีบลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ
“ทำอะไรกันคะเนี่ย”
เชตะวันเซ็งๆ
“ทำอะไรล่ะ ถามได้ ก็คุณเป็นลมนะสิ”
“ฉันเป็นลมที่ไหน ก็ฉันนอนเฝ้าคุณอยู่...” เนตรอัปสรมองรอบๆ “เอ๊ะ...นี่เช้าแล้วเหรอคะ แล้วฉันกลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” หญิงสาวก้มลงมองตัวเอง “แล้วทำไมฉันใส่ชุดนี้”
“คุณเป็นอะไรไปเนี่ย ก็คุณตื่นแต่เช้า แล้วก็ไปนั่งเป็นเพื่อนผมกินข้าวเช้า แล้วคุณก็ตามผมไปที่ห้องนั่งเล่น เราคุยกันอยู่สักพักคุณก็เป็นลมไป”
เนตรอัปสรเถียง
“ไม่ใช่...”
เชตะวันหันไปมองอนงค์และบวร สองคนนั่นช่วยกันสนับสนุนคำพูดของเชตะวัน
“จริงค่ะ นงค์ยังเสิร์ฟน้ำให้คุณพยาบาลที่โต๊ะอาหารเลย”
เนตรอัปสรงง พยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เชตะวันมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
“อย่าบอกนะว่า...ที่ทำไปทั้งหมดเมื่อเช้านี้ คุณไม่รู้เรื่องน่ะ”
เนตรอัปสรส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ
“คุณเป็นโรคละเมอรึเปล่าเนี่ย”
“ฉันปกติดี ไม่ได้เป็นโรคละเมออย่างที่คุณว่าหรอก แต่ฉันจำได้แค่ว่า...ฉันนอนเฝ้าคุณจนหลับไป แล้วก็มาตื่นเอาตอนนี้ละ”
เนตรอัปสรสงสัยเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ส่วนเชตะวัน อนงค์และบวรมองหน้ากันอย่างงุนงง
อนงค์เล่าเรื่องเนตรอัปสรให้คนอื่นๆฟังอยู่ในครัว
“คุณพยาบาลน่ะ ยืนยันเสียงแข็งเลยว่าไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง อาการอย่างงี้ถ้าไม่ใช่โรคละเมออย่างที่คุณเชตสงสัยละก็ มีอย่างเดียว...”
อนงค์ชะงักไม่กล้าพูดต่อนันพูดต่อให้
“ผีเข้า”
อนงค์และคนอื่นๆร้องวี๊ดว๊ายแล้วโผเข้ากอดกันด้วยความกลัว อนงค์ยกพระที่กลัดอยู่กับเสื้อตลอดเวลาเอาขึ้นมาพนมไหว้ตัวสั่นงันงก
“ฮือๆ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองอีนงค์กับคนอื่นในบ้านด้วยเถอะเจ้าค่ะ อย่าให้ผีเข้าใครอีกเลยนะเจ้าคะ นงค์กลัว”
คนอื่นๆพลอยยกมือไหว้พระตามอนงค์ไปด้วย บวรครุ่นคิด
เชตะวันมาส่งเนตรอัปสรที่ห้องพัก เธอหันไปบอกเขา
“คุณไปพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แต่ผมว่าคุณป่วยมากกว่าผมอีกนะ”
เนตรอัปสรค้อนแล้วมือถือของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบมาดูแล้วชำเลืองมองเชตะวันนิดหนึ่งก่อนจะกดรับ
“ค่ะ...หมอ...”
เชตะวันทำท่าล้อเลียนทันที เนตรอัปสรโมโห ลุกเดินหนีไปคุยโทรศัพท์กับหมอก้องที่อื่น เชตะวันเลยแกล้งนั่งอยู่ในห้อง เงี่ยหูฟังเนตรอัปสรพูดโทรศัพท์กับหมอก้องหน้าตาเฉย
หมอก้องวางสายโทรศัพท์ลงอย่างกังวล แล้วหันมาบอกปารมี
“ผมจะไปหานะโมที่บ้านคุณเชตะวัน นะโมไม่สบาย”
“นะโมเป็นอะไรไปคะหมอ”
“หมอก็ยังไม่รู้ครับ ถึงต้องไปดู”
“งั้นปานไปด้วยค่ะ”
“ทิพย์ไปด้วย”
หมอก้องชะงัก
“ไม่ต้องเข้าเวรกันเหรอ”
“เดี๋ยวทิพย์แลกเวรกับคนอื่นก็ได้ค่ะ”
ปารมีพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสามคนลุกเดินออกไปอย่างร้อนใจ
เนตรอัปสรเพิ่งกดวางสายจากหมอก้อง เชตะวันอดประชดไม่ได้
“เป็นลมเข้านิดหน่อย ก็ต้องอ้อนให้แฟนหมอมาดูใจด้วยเหรอ”
เนตรอัปสรจ้องหน้าเขา
“ฉันกับหมอก้องไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“เชื่อตายล่ะ”
“ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ”
สองคนทำท่าเหม็นหน้าใส่กันมีเสียงเคาะประตู แล้วพายัพก็โผล่หน้าเข้ามา
“ขอผมเข้าไปได้มั๊ยครับ”
“เชิญค่ะ”
พายัพเข้ามา เห็นเชตะวัน
“อ้าว นายเชตก็อยู่ด้วย”
เชตะวันแดกดัน
“ก็ยายนี่...เขาเป็นพยาบาลส่วนตัวของผมนี่ เราจะอยู่ไกลกันได้ยังไงกันล่ะ ว่าแต่พี่ยัพเหอะ จะเข้ามาทำไมล่ะ”
พายัพหันมาหาเนตรอัปสร
“ผมได้ยินพวกคนใช้มันพูดกันว่าคุณเนตรไม่สบาย ก็เลยจะแวะเข้ามาดูน่ะครับ คุณเนตรเป็นอะไรหรือครับ”
เนตรอัปสรจะตอบ แต่เชตะวันแย่งพูดตัดหน้าเสียก่อน
“เป็นโรคนอนละเมอ ลุกขึ้นทำอะไรไม่รู้ตัว”
พายัพหน้าตื่น
“จริงเหรอครับ”
เชตะวันประชดประชัน
“โกหกมั๊ง”
พายัพไม่พอใจ
“นี่นายเชต เรื่องป่วยไข้ไม่สบายของคนน่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอามาพูดล้อเล่นนะ ไม่สบายก็ต้องไปหาหมอ”
“พี่ยัพไม่ต้องเป็นห่วงอะไรคุณเนตรเขาหรอก เขามีแฟนเป็นหมอ เดี๋ยวเขาก็จะมาเยี่ยมกันอยู่แล้ว แล้วทีผมป่วยจะเป็นจะตาย ไม่เห็นพี่ยัพจะสนใจอย่างนี้เลย มีแต่จะภาวนาให้ตายๆไปซะได้ก็ดี ละมั๊ง”
เชตะวันจ้องหน้าพายัพอย่างหาเรื่อง เนตรอัปสรเห็นท่าไม่ดี รีบแทรก
“ขอบคุณคุณพายัพที่เป็นห่วงนะคะ ฉันสบายดีแล้วล่ะคะ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณพายัพออกไปก่อนดีกว่านะคะ”
“โอเคครับ ในเมื่อคุณเนตรดีแล้วผมก็หมดห่วง ผมไปก่อนนะครับไปก่อนนะ...นายเชต”
สองพี่น้องจ้องหน้ากันเนตรอัปสรรีบผลักพายัพจนออกไป แล้วหันมาจ้องหน้าเชตะวัน
“พอใจรึยัง”
“พอใจมาก”
เชตะวันยิ้มกวน เนตรอัปสรกลุ้มใจ...พายัพเดินออกมาจากห้องอย่างชิงชังเชตะวัน
“ไอ้เชตตัวมาร เมื่อไหร่แกจะตายๆไปจากชีวิตฉันสักทีนะ”
เสียงมือถือดัง พายัพหยิบมือถือขึ้นมากดรับ
“ว่าไงไอ้พงษ์” พายัพฟังแล้วหน้าเครียด “เออ งั้นเดี๋ยวฉันจะกลับไปที่รีสอร์ต”
พายัพรีบออกไป
ในสถานปฏิบัติธรรม...คุณสรวงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับเฟื่อง
“ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ที่ได้กระทำในวันนี้ให้แก่แม่เฟื่อง ผู้เป็นลูกของข้าพเจ้าในชาติภพที่ผ่านมา ขอให้ลูกเฟื่องจงเป็นสุข...ด้วยเถิด...”
ผีเฟื่องนอนบาดเจ็บ หมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ รอบคอมีรอยไหม้ อันเป็นผลจากการที่สิงร่างเนตรอัปสรแล้วถูกเชตะวันเอาสร้อยพระมาคล้องใส่คอโดยไม่ทันตั้งตัว ผีเฟื่องชะงักเมื่อได้ยินเสียงแม่
“อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจใดๆเลย...”
ผีเฟื่องสีหน้าสดชื่นขึ้นมาทันที มีเรี่ยวมีแรงลุกขึ้นพนมมือรับผลบุญที่แม่อุทิศส่วนกุศลมาให้ รอยไหม้ที่คอค่อยๆจางหายไป ผีเฟื่องยิ้มดีใจ
“แม่จ๋า...ข้าขอบใจแม่เหลือเกินที่เมตตาข้า แต่อย่างไรก็ตามข้าจะไม่มีวันรามือไปจากชุน ชุนจะต้องเป็นของข้า ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ข้าก็จะต้องเอาชุนไปอยู่กับข้าให้ได้”
ผีเฟื่องมุ่งมั่นมาก
หมอก้อง ปารมี และทิพย์ เข้ามาในบ้านเชตะวัน โดยมีอนงค์มาต้อนรับ
“เชิญคะ เชิญเลยนะคะ คุณพยาบาลบอกให้นงค์มาต้อนรับทุกๆท่านน่ะคะ”
ทิพย์ยิ้มแย้ม
“ยินดีคะ”
ทุกคนมองไปรอบๆบ้าน เห็นความใหญ่โตร่ำรวย
“โห...บ้านใหญ่โตจังเลยนะคะ อยู่กันกี่คนคะเนี่ย”
“อยู่กันไม่กี่คนหรอกคะ มีแค่พ่อ พี่ของคุณเชตแค่นั้นและตอนนี้ก็มีคุณเนตรพยาบาลคนสวยเพิ่มมาอีกหนึ่ง”
“บ้านหลังใหญ่แต่อยู่กันแค่เนี่ย แล้วอนงค์ไม่กลัวเหรอจ๊ะ”
ทิพย์มองไปรอบๆ รู้สึกขนลุก
“แต่ก่อนไม่กลัวหรอกคะ อยู่กันปลอดโปร่งโล่งสบาย” อนงค์เข้ามากระซิบ “แต่ตอนนี้น่ากลัวคะ เพราะนงค์เพิ่งเจอผี...อุ๊ป”
อนงค์รีบปิดปาก หมอก้องหันมาถามอย่างสงสัย
“เมื่อกี้คุณบอกว่าเจออะไรนะครับ”
อนงค์อึกอัก
เออ...ปะป่าวคะ คือว่า...”
ทิพย์โพล่งออกมา
“เจอผีเหรอคะ ว่าแล้วต้องมีผี”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงเชตะวันดังขึ้นมาพอดี
“ใครมาอนงค์”
เชตะวันเดินออกมา ทุกคนหันไป มีทิพย์อึ้งในความหล่อ ส่วนอนงค์รีบพูด
“เพื่อนๆของคุณพยาบาลมานะคะ คุณเชต”
“อ๋อ มากันแล้ว” เชตะวันหันมาพูดกับหมอก้อง “มาเร็วเชียวนะครับ คุณหมอ”
เชตะวัน ทำท่ายียวน หมอก้องพอรู้ว่าเชตะวันมาแนวไหน ทั้งสองจ้องหน้ากัน ทุกคนยืนงง
เมื่อทุกคนเข้ามาในห้อง เนตรอัปสรแนะนำเชตะวันให้รู้จักกับคนอื่นๆ
“นี่หมอก้อง คุณเชตรู้จักแล้ว ส่วนนี่...ปารมี กับทิพย์ เพื่อนสนิทของฉันค่ะ เราสามคนเรียนพยาบาลมาด้วยกัน”
ปารมีกับทิพย์ยกมือไหว้เชตะวัน ปารมียิ้มให้
“ยินดีที่รู้จักคุณเชตนะคะ”
“อู๊ย...ทิพย์ได้ยินชื่อเสียงคุณเชตมานานแล้วค่ะ เพิ่งได้รู้จักตัวจริงวันนี้เอ๊ง อิอิ”
“ชื่อเสียงผม...ถ้าคุณได้ยินมาจากคุณเนตร คงจะเป็น ชื่อเสีย ซะมากกว่าละมั๊งครับ”
ทิพย์ทำปากจู๋ พูดอะไรไม่ออกไปเลย เชตะวันยิ้มบางๆ
“เลิกพูดเรื่องผมเถอะครับ หมอมาทั้งทีแล้ว งั้นคุณหมอช่วยตรวจดูอาการคุณเนตรหน่อยสิครับ ผมอยากรู้ว่าเธอเป็นอะไร”
เนตรอัปสรถอนใจ
“เนตรเป็นโรคละเมอหรือคะหมอ”
“จากที่เนตรเล่าให้ผมฟังก่อนหน้านี้ก็อาจเป็นได้นะ แต่ถ้าไม่มีอาการอย่างที่แล้วมาอีก ก็คงไม่รุนแรงอะไร แต่ถ้าเป็นอีก คงต้องรักษาจริงจังละ เพราะเคยมีเคสที่คนเป็นโรคละเมอ ลุกขึ้นทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เป็นอันตรายกับตัวเอง และเป็นอันตรายต่อคนอื่นด้วย นะโมก็ต้องสังเกตดูอาการตัวเองต่อไปนะ”
หมอก้องมองอย่างเป็นห่วง เชตะวันเปรยดังๆ
“เฮ้อ พยาบาลมาเป็นคนป่วยซะเองอย่างนี้ จะทำงานไหวมั๊ยเนี่ย สงสัยผมคงต้องเลิกจ้าง”
ทุกคนตกใจ ทิพย์รีบพูด
“น่าจะเพิ่งมาเป็นนี่แหละคะคุณเชต เพราะทิพย์รู้จักนะโมมาตั้งนาน นะโมไม่เคยเป็นเลยนะคะ”
ปารมีช่วยพูดอีกแรง
“คงไม่มีอาการอย่างที่แล้วมาอีกแน่คะคุณเชต อย่าเพิ่งไล่นะโมออกนะคะ”
เนตรอัปสร ปารมี ทิพย์ และหมอก้อง หน้าเสียไปตามๆกัน เพราะรู้ว่าถ้าเนตรอัปสรถูกเชตะวันไล่ออกต้องตกงาน เธอจะต้องลำบากมากแน่ๆ แล้วเชตะวันก็พูดขึ้น
“ได้”
ปารมีกับทิพย์ดีใจ เนตรอัปสรก็ดีใจด้วย เชตะวันขัดขึ้น
“แต่ต้องมีข้อแม้”
สองสาวหุบยิ้มทันที เนตรอัปสรงง เชตะวันมองเนตรอัปสร
“ผมจะไม่ไล่คุณนะโมอนุโมทนาสาธุนี่ออกก็ได้ ถ้าต่อจากนี้ไป...คุณจะต้องไม่ออกจากบ้านนี้ไปไหนถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผม”
เนตรอัปสรโวยทันที
“โหย...นี่มันยิ่งกว่าคนคุกอีกนะคะคุณ”
“แล้วคุณตกลงมั๊ยล่ะ ถ้าคุณไม่ตกลง ผมก็จะไล่คุณออก โทษฐานที่คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพยาบาลส่วนตัวเพียงพอ แล้วผมก็จะหาพยาบาลส่วนตัวคนใหม่วันนี้เลย”
เนตรอัปสรอึ้ง พูดอะไรไม่ออกเลย
หมอก้องขับรถออกมาจากบ้านเชตะวัน โดยมีปารมีนั่งมาข้างหน้า ทิพย์นั่งมาข้างหลังทั้งสามสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะหมอก้องหน้าเครียด
“ข้อแม้บ้าๆอะไรก็ไม่รู้นะคะหมอ” ปารมีบ่น
ทิพย์ชักมั่นใจ
“ดูรูปการนี้แล้ว ฉันว่า...คุณเชตชอบยายนะโมนะ”
หมอก้องหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“คุณเชตชอบนะโมเหรอ”
แล้วหมอก้องก็เบรกรถอย่างกะทันหัน จนปารมีและทิพย์หัวทิ่มหัวตำ ร้องวี๊ดว๊ายด้วยความตกใจไปตามๆกัน
“ผมจะกลับไปรับนะโม ถ้าเขาจะไล่นะโมออก ก็ออก แต่ผมจะไม่ยอมให้นะโมต้องทำงานกับคนบ้าอำนาจอย่างนั้น หมอก้องทำท่าจะเลี้ยวรถกลับ ทิพย์คว้ามือไว้
“แต่ยายนะโมของเราเขาก็เต็มใจที่จะยอมรับเงื่อนไขนี้นี่คะหมอ” ทิพย์แย้ง
หมอก้องนิ่งไป ปารมีมองหน้าเขา
“และปานก็เชื่อว่าถึงหมอจะกลับไปรับนะโม นะโมก็คงไม่ยอม กลับมากับหมอหรอกค่ะ ปานรู้จักยายนะโมดี ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน นะโมก็จะต้องกัดฟันสู้ต่อ เพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น”
ทิพย์เห็นด้วย
“จริงค่ะหมอ”
หมอก้องนิ่งคิด ไม่รู้จะเอาไงดี
“แต่คุณเชตเขาไม่ได้ห้ามเราโทรศัพท์หายายนะโมนี่คะ เพราะฉะนั้น...ถ้าหมอห่วงยายนะโมมาก ก็คอยโทรถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ่อยๆก็แล้วกันค่ะ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ค่อยมารับยายนะโมกลับตอนนั้นก็คงยังไม่สายหรอกค่ะ จริงไหมคะหมอปารมี” ปารมีแนะ
ทิพย์พยักหน้าเห็นด้วย หมอก้องนิ่งหยุดคิดเห็นจริงตามที่ปารมีพูดทุกอย่าง สุดท้ายเขาจึงเข้าเกียร์แล้วขับรถกลับต่อไป
เนตรอัปสรนั่งมองเชตะวันอยู่อย่างขุ่นเคือง ไม่ชอบใจกับเงื่อนไขที่เขาตั้งขึ้นมา แต่ปฏิเสธไม่ได้ เธอต้องการงาน และต้องการเงิน จึงได้แต่สงบปากนิ่งอยู่ เชตะวันหันมาบอก
“เอ้า...อยากจะไปทำอะไรก็ไปเถอะคุณ แต่อย่าไปไกลนักล่ะ เดี๋ยวเกิดผมอาการกำเริบขึ้นมาบ้าง เดี๋ยวคุณจะช่วยไม่ทัน”
เนตรอัปสรไม่พูดอะไรเลย แต่สะบัดหน้าใส่เขาแล้วจะเดินออกไปไม่อยากอยู่ประจันหน้ากันต่อไป เชตะวันมองตามแล้วยิ้มสะใจที่บังคับให้เธอต้องอยู่ใกล้เขาตลอดเวลาได้อย่างใจที่มุมห้อง ผีเฟื่องยืนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้วยความแค้นใจ
“ชุน...ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้กับข้า เจ้าลืมคำสาบานที่ให้ไว้กับข้าไปจนหมดสิ้นแล้วรึ ไม่ ข้าจะต้องทำให้เจ้าจำอดีตของเจ้าให้ได้ เจ้าจะต้องหันกลับมารักข้า...และเมื่อนั้นเราสองก็จะไปอยู่ด้วยกัน ในที่ที่ไม่มีใครขัดขวางความรักของเราได้อีกต่อไป”
ผีเฟื่องมองเชตะวัน แล้วหันขวับไปทางที่เนตรอัปสรเดินไป ผีเฟื่องตามไป
เนตรอัปสรลงมาเดินคิดอะไรเล่นที่สวน เจอบวรกำลังทำสวนอยู่ เธอเลยเดินเข้าไปทัก
“สวนนี่...น้าบวรดูแลคนเดียวหมดเลยหรือคะ”
บวรพยักหน้ารับและชี้ไปทางเนตรอัปสรว่าสบายดีแล้วเหรอ
“ฉันดีแล้วไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ” หญิงสาวมองไปรอบๆ “สวนที่นี่สวยจัง ร่มรื่น น่าเดินเล่นมากเลยค่ะ คุณเชตลงมาเดินเล่นในสวนนี่บ่อยมั๊ยคะ”
บวรโบกมือบอกไม่เคยเลย เนตรอัปสรแปลกใจ
“อ้าว...น่าเสียดายจริง มีของดีอยู่ใกล้ตัว ไม่ยักเห็น น้าบวรมีอะไรให้ฉันช่วยมั๊ยคะ ฉันอยู่ว่างๆไม่เป็นน่ะค่ะ”
บวรทำท่าไม่เป็นไร ให้เธอไปช่วยในครัวดีกว่า
“เหรอๆ ก็ได้ค่ะ งั้นฉันไปช่วยในครัวก่อนนะคะน้า”
เนตรอัปสรยิ้มให้บวร แล้วเดินไปที่ครัว บวรมองตาม สายตาของเขาเห็นเงาเลือนรางของผีเฟื่องเดินตามหลังเนตรอัปสรไปติดๆ บวรเขม้นตามองให้ชัดๆอีกทีแต่ไม่เห็นอะไรแล้ว บวรแปลกใจว่าตัวเองเห็นอะไรกันแน่
.เนตรอัปสรเดินมาที่ครัวเห็นคนอื่นกำลังทำครัวกันอยู่
“มีอะไรให้ฉันช่วยบ้างคะ”
อนงค์หันมาเห็นเนตรอัปสรก็วิ่งเข้ามาหา เอามืออังหน้าผากเนตรอัปสร
นางมาร ตอนที่15 (ต่อ)
อนงค์หันมาเห็นเนตรอัปสรก็วิ่งเข้ามาหา เอามืออังหน้าผากเนตรอัปสร
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ เมื่อเช้า...ฉันไปนั่งเป็นเพื่อนคุณเชตกินข้าวจริงๆหรือคะ อนงค์”
“จริงค่ะ แต่นงค์ว่าแล้ว...ว่าท่าทางคุณพยาบาลดูแปลกๆยังไงไม่รู้ ตกลงคุณพยาบาลเป็นโรคละเมอจริงๆเหรอคะ”
เนตรอัปสรพยักหน้าเซ็งๆ
“หมอเขาสงสัยอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”
“เอ้อ...บ้านนี้มีแต่คนเป็นโรคแปลกๆ แล้วนี่คุณพยาบาลไม่ต้องอยู่ดูคุณเชตแล้วหรือคะ”
เนตรอัปสรส่ายหน้า
“เขาคงเบื่อหน้าฉันมั๊งคะ เลยไล่ให้ฉันลงมาหาอะไรทำบ้าง นงค์มีอะไรให้ฉันช่วยบ้างมั๊ยคะ”
อนงค์ยิ้มกว้าง แล้วผายมือเชื้อเชิญให้เนตรอัปสรเข้ามาช่วยงานในครัวทันที เนตรอัปสรยิ้มขำแล้วเดินเข้าไปช่วยงานอย่างเต็มใจ ผีเฟื่องยืนอยู่ที่มุมห้อง ได้แต่จ้องมองแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้สักที เพราะเนตรอัปสรใส่พระอยู่ ผีเฟื่องจึงได้แต่เจ็บใจ
เย็นนั้น ดาลัดถามพงษ์อย่างตื่นเต้น
“เดี๋ยวคุณพายัพมาใช่มั๊ย...นายพงษ์...ดีเลย ฉันให้แม่ครัวทำกับข้าวพิเศษไว้ให้คุณพายัพตั้งหลายอย่างเลย”
พงษ์แอบทำหน้าเบื่อความวุ่นวายของดาลัดที่พยายามเอาอกเอาใจพายัพอย่างออกนอกหน้ามาก...ผีเดือนยืนจ้องพงษ์อยู่อย่างประสงค์ร้ายแต่ยังทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ โดยที่พงษ์ไม่รู้ตัวเลย ดาลัด มองพงษ์แล้วทำท่าขนลุก
“อุ๊ย ทำไมมีลมเย็นๆจนขนลุกเลย...นายพงษ์ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
พงษ์ส่ายหน้า
“ไม่นี่ครับคุณดาลัด ผมเฉยๆนะ”
ดาลัดแปลกใจ แล้วมองรอบตัวพงษ์อย่างสงสัยว่าลมเย็นๆนี้มาจากไหน แต่ก็ไม่พบอะไร ไม่เห็นผีเดือนด้วย เสียงรถเข้ามาดาลัดกับพงษ์ชะเง้อมอง
“อุ๊ย...คุณพายัพมาแล้ว”
ทุกคนหันไปมองรถพายัพ ผีเดือนก็หันไปมองด้วยเห็นพายัพขับรถเข้ามาในรีสอร์ต ผีเดือนตาโตด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นว่า ใครมา
“ไอ้พัน”
ผีเดือนมองอย่างเครียดแค้นตาแดงวาบราวกับไฟลุกขึ้นมาทันที
“ไอ้พัน ชาติที่แล้ว พวกมึงก่อกรรมทำเข็ญกับกูไว้สาหัสนัก กูต้องตายอย่างน่าอเนจอนาถ กูไม่อาจไปผุดไปเกิดได้ก็เพราะพวกมึง เมื่อได้พบกันอีกในคราวนี้ กูจะทำให้พวกมึงต้องเจ็บต้องตายอนาถเหมือนอย่างกู”
ผีเดือนพุ่งไปทันที พายัพ เปิดประตูรถออกมาลูกประคำที่เขาแขวนไว้ที่หน้ารถ ส่งแสงวาบออกมา ผีเดือนผงะออกแล้ววูบหายไปทันที พายัพไม่รู้เรื่องอะไร เดินเข้าไปหาพงษ์กับดาลัดที่รีบเข้ามาต้อนรับ
“คุณพายัพมาถึงเหนื่อยๆ หิวมั๊ยคะ ดิฉันเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ คุณพายัพเป็นพิเศษเชียวค่ะ”
พายัพพูดอย่างสุภาพอ่อนโยน
“ผมยังไม่หิวครับคุณดา ขอตรวจงานก่อนที่รีสอร์ตเป็นยังไงบ้างครับ ทุกอย่างเรียบร้อยมั๊ยครับคุณดา”
“เรียบร้อยค่ะ แขกมาพักเต็มทุกห้อง ทุกบังกะโลเลยค่ะ ถ้าคุณพายัพจะสร้างบังกะโลเพิ่มอีก ก็คงจะเต็มอีกล่ะค่ะ”
พายัพยิ้มพอใจ แล้วหันไปสบตากับพงษ์อย่างรู้กัน
“สถาปนิกเอาแบบบ้านบังกะโลที่จะสร้างใหม่มาให้คุณพายัพเลือกแล้วครับ คุณพายัพจะดูเลยไม๊ครับ” พงษ์ทำทีเป็นรายงานเรื่องงาน
“ดูสิ” พายัพหันไปบอกกับดาลัด “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณดา”
“เชิญค๊า...”
พายัพเดินไปกับพงษ์ แล้วขึ้นรถขับออกไป
พายัพขับรถมากับ มาจอดที่ข้างทางเปลี่ยว
“เอ้า...มีอะไรว่ามาไอ้พงษ์”
“มีลูกค้าใหม่ติดต่อมาครับ เขาบอกว่าเป็นกองกำลังจากผั่งโน้นจะข้ามเข้ามาขอซื้อสินค้าเราคืนนี้”
“เชื่อถือได้แค่ไหน”
“ผมไม่แน่ใจ ก็เลยต้องโทรตามคุณพายัพ”
“มันนัดรับของจากเราที่ไหน”
“ใต้สะพาน ริมแม่น้ำครับ”
“งั้นคืนนี้เราไปที่นั่นกัน”
เนตรอัปสรช่วยคนในครัวทำกับข้าวอยู่อย่างขะมักเขม้น อนงค์เข้ามาบอก
“พอเถอะค่ะคุณพยาบาล ล้างไม้ล้างมือแล้วขึ้นไปดูคุณเชตข้างบนเถอะค่ะ คุณหายลงมานานๆอย่างนี้ เดี๋ยวคุณเชตก็ องค์ลงเข้าให้อีกหรอกค่ะ”
“ค่ะๆ งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
เนตรอัปสรล้างมือ เชตะวันแอบดูมาจากบนตึกตั้งนานแล้ว แต่เธอไม่รู้ตัวเลย พอเธอเดินออกมาจากในครัว เขาก็รีบหลบไปไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาแอบดูอยู่
เนตรอัปสรเดินเข้ามาในห้องตั้งใจจะอาบน้ำก่อนไปดูแลเชตะวัน เธอก้มลงจะล้างหน้า ผีเฟื่องเดินผ่านหน้าประตูห้องน้ำไป เนตรอัปสรเห็นอะไรแว๊บๆ ชะโงกหน้าออกไปดูแต่ไม่เห็นใคร ทุกอย่างปกติ เนตรอัปสรกลับเข้าไปล้างหน้า สร้อยพระที่คอตกออกมาจากด้านในคอเสื้อเธอชะงัก
“อ้าว กลับมาอยู่ที่เราได้ไงเนี่ย...”
เนตรอัปสรรีบไปหาเชตะวันทันที
เนตรอัปสรเดินตามหาเชตะวันไปตามห้องต่างๆของบ้านจนพบ เธอเดินปึงๆตรงเข้าไปหา เชตะวันเห็นท่าทางขอเธอก็แกล้งทำท่าเป็นกลัว
“โอ๊ยๆ กลัวแล้วๆ อย่าทำอะไรผมเลย”
“ฉันไม่ขำ”
“คุณนี่ อารมณ์ขันไม่มีเลยเหรอ”
“มี แต่ไม่มีกับคุณ”
แล้วเนตรอัปสรก็ชูสร้อยพระในมือให้เขาดู
“นี่หมายความว่ายังไง”
เชตะวันงงๆ
“หมายความว่ายังไง...อะไร...ผมไม่เข้าใจ”
“ก็สร้อยพระนี่ ฉันใส่ให้คุณด้วยมือฉันเองเลย แล้วมันกลับมาอยู่ที่ฉันได้ไงคะ”
“เมื่อเช้านี้....นี่คุณไม่รู้เรื่องจริงๆเลยใช่มั๊ย ก็ตอนที่คุณเป็นลมน่ะ ผมเอาพระใส่กลับให้คุณ เพราะพระจะได้คุ้มครองคุณบ้างไงล่ะ”
เนตรอัปสรอึ้ง เพราะไม่นึกว่าเขาจะอาทรเธอเหมือนกัน เธอส่งสร้อยพระให้เขาอีก
“งั้นคุณเอาพระกลับไปใส่ไว้เถอะค่ะ เพราะคุณไม่สบายมากกว่าฉันอีก”
“โอ้ย คุณใส่ไว้เหอะ ของๆคุณนี่”
เนตรอัปสรเข้าใจผิด
“ที่คุณไม่อยากใส่ แล้วก็ไม่ยอมใส่นี่ ก็เพราะเห็นว่านี่เป็นสร้อยพระของคนจนๆอย่างฉัน มันไม่คู่ควรกับคุณใช่มั๊ย แต่สำหรับฉัน พระก็คือพระคือสิ่งมงคล ฉันจะเอาวางไว้ให้ตรงนี้ล่ะ คุณจะใส่หรือไม่ใส่ก็ตามใจ”
พูดจบเนตรอัปสรก็เอาสร้อยพระวางไว้บนโต๊ะใกล้ตัวเชตะวัน แล้วก็เดินออกไปเลย
“จะไปไหนน่ะ จะกินข้าวเย็นด้วยกันรึเปล่า”เชตะวันตะโกนตามหลัง
เนตรอัปสรตะโกนตอบโดยไม่หันหน้ามา
“ไม่”
เชตะวันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ที่เขากับเนตรอัปสรไม่เคยได้พูดดีกันเลย สร้อยพระยังวางอยู่ที่เดิม โดยที่เชตะวันไม่ได้หยิบมาใส่ ผีเฟื่องยืนอยู่ข้างหลังเขา ดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่อย่างเงียบๆแล้วยิ้มอย่างพอใจ แล้วหายตัวไป
ค่ำแล้ว เนตรอัปสรเดินกลับมาที่ห้อง หงุดหงิดกับเชตะวันไม่หาย เธอเดินไปก้มตัวล้างหน้า พอเงยหน้าขึ้นมามองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นผีเฟื่องยืนยิ้มร้ายอยู่ข้างหลัง เนตรอัปสรไม่ทันจะร้องออกมา ผีเฟื่องก็พุ่งเข้าสิงร่างเธออย่างรวดเร็ว ร่างของเนตรอัปสรกระตุกเฮือกแล้วดวงตาทั้งสองข้างก็วาววาบขึ้นและกลายเป็นสีแดง
พายัพ พงษ์ และลูกน้องจำนวนหนึ่ง มาซุ่มอยู่ในที่มืด ใต้สะพานริมแม่น้ำ รอเวลานัดพบกับลูกค้ารายใหม่อยู่
“พร้อมมั๊ย” พายัพถามทุกคน
พงษ์และลูกน้องทุกคนเช็คปืนในมือให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งาน
“เดี๋ยวพอได้เวลานัด ไอ้เล็กกับไอ้ชาติ มึงเอาของออกไปเตรียมส่งมอบให้ลูกค้า กูกับไอ้พงษ์จะซุ่มอยู่ตรงนี้ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล พวกกูจะคุ้มกันพวกมึงเอง”
เล็กกับชาติรับคำ
“ครับนาย”
เล็กกับชาติ ถือกระเป๋าใส่ยายืนรอ ลูกค้าอยู่ที่ใต้สะพานริมแม่น้ำ สักครู่กลุ่มตำรวจที่ปลอมตัวมาก็เดินเข้ามา
เล็กกับชาติ ถือกระเป๋าใส่ยายืนรอ ลูกค้าอยู่ที่ใต้สะพานริมแม่น้ำ สักครู่กลุ่มตำรวจที่ปลอมตัวมาก็เดินเข้ามา
“ขอดูของหน่อย”
เล็กกับชาติเปิดกระเป๋าให้ลูกค้าเข้ามาตรวจสอบยา ตำรวจที่ปลอมเป็นลูกค้าเอาปลายมีดสะกิดที่งใส่ยาพอให้ทะลุเป็นรูเล็กๆ แล้วใช้ปลายมีดช้อนยาให้ติดปลายมีดแล้วแตะที่ลิ้นเพื่อชิม พอชิมเสร็จ ก็หันไปพยักหน้าหน้ากับเพื่อน ตำรวจด้วยกัน เป็นเชิงว่าเป็นยาของแท้...พายัพกับพงษ์ที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ในที่มืดตลอดเวลากระชับปืนในมือแน่นอย่างเตรียมพร้อมที่จะยิงได้ทุกเวลา ตำรวจที่ปลอมเป็นลูกค้าหันมายิ้มให้เล็กกับชาติ
“ของดีสมคำร่ำลือจริงๆ”
“แล้วเงินล่ะ”
ตำรวจหันไปส่งสัญญาณให้ ตำรวจที่ปลอมตัวมาอีกคนยกกระเป๋าที่ถือมาขึ้นเปิดให้เล็กกับชาติดูภายในกระเป๋ามีเงินเต็มกระเป๋า เล็กกับชาติยิ้มพอใจ แล้วเล็กก็ยื่นกระเป๋ายาออกไป ตำรวจก็ยื่นกระเป๋าเงินมาให้เล็กเป็นการยื่นหมูยื่นแมวต่อกัน แล้วโดยที่เล็กไม่ทันคาดคิด พอเล็กส่งกระเป๋ายาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตำรวจอีกคนก็โดดเข้าสับกุญแจมือเล็กไว้ เล็กตกใจร้องโวยวาย
“เฮ้ย มันเป็นตำรวจ”
พายัพที่ซุ่มดูอยู่ ตกใจสุดขีด ตำรวจคนอื่นๆกรูกันเข้ามาพยายามกลุ้มรุมเข้ากับเล็กกับชาติ ชาติชักปืนขึ้นยิงสู้กับตำรวจ พายัพกับพงษ์จึงเริ่มยิงใส่ตำรวจ เพื่อช่วยเล็กกับชาติ ตำรวจยิงโต้กลับทุกอย่างเริ่มชุลมุน...ชาติยิงสู้แล้ววิ่งหนี ในขณะที่เล็กถูกตำรวจจับตัวไว้เพราะหนีไม่ได้ถูกใส่กุญแจมืออยู่เล็กเห็นชาติวิ่งหนีไปก็ตะโกนตาม
“เฮ้ย ช่วยกูด้วย”
ชาติไม่สนใจแล้ว กลัวถูกจับมากกว่าเลยวิ่งตรงกลับไปหาพายัพและพงษ์ แต่ยังวิ่งไปไม่ถึงตัวพายัพ ตำรวจที่เหลือก็วิ่งไล่ตามหลังชาติมาติดๆ พงษ์เห็นท่าไม่ดี
“เอาไงดีครับนาย ไอ้เล็กมันถูก ตำรวจจับแล้ว”
พายัพหน้าเหี้ยม ยกปืนขึ้นเล็งไปที่เล็ก แล้วเหนี่ยวไกยิงเปรี้ยง เล็ก ถูกพายัพยิงเข้าที่กลางแสกหน้า เล็กทรุดลงกับพื้น ตายอย่างตายังเบิกโพลงค้างอยู่ โดยไม่ทันได้ร้องเลยสักแอะ ชาติวิ่งมาถึงตัวพายัพกับพงษ์ ทั้ง 3 ยังยิงใส่ตำรวจเพื่อเปิดทางหนีให้ตัวเองอย่างไม่ยั้งและในที่สุดพายัพ พงษ์ และชาติ ก็วิ่งกลับมาถึงรถที่จอดซุ่มอยู่ พายัพสตาร์ทรถแล้วขับหนีไปอย่างรวดเร็ว ตำรวจที่วิ่งตามมายังจะพยายามยิงสกัดเพื่อหยุดรถพายัพให้ได้ จึงระดมยิงใส่รถพายัพกันไม่ยั้ง พายัพถูกกระสุนของตำรวจยิงเฉี่ยวเข้าที่หัวไหล่
“โอ๊ย”
แต่เขาก็กัดฟันขับรถแหวกวงล้อมของตำรวจหนีไปในความมืดได้ในที่สุด ตำรวจพากันเจ็บใจ ที่สกัดรถพายัพเอาไว้ไม่ได้
พายัพขับรถตะบึงมาในความมืด มองกระจกหลังจนแน่ใจแล้วว่าไม่มี ตำรวจตามมาทันแน่แล้ว จึงพุ่งหัวเข้าจอดรถข้างทางที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง พอรถจอดสนิท พงษ์ก็ปิดไฟในรถดู เห็นต้นแขนพายัพเลือดแดงฉาน พงษ์ดูแผลให้
“กระสุนแค่เฉี่ยวไปครับเจ้านาย ไม่ฝังใน”
พายัพพยักหน้ารับ แล้วฉีกชายเสื้อตัวเองเอามามัดที่ต้นแขนเพื่อห้ามเลือด
“แล้วเจ้านายยิงไอ้เล็กมันทิ้งทำไมล่ะครับ ทำไมเจ้านายไม่ช่วยมัน”
พายัพโมโห
“โธ่เว๊ย กูจะช่วยมันได้ยังไง มันถูกใส่กุญแจมืออยู่อย่างนั้น ขืนเข้าไปช่วยมัน ก็มีหวังถูกจับเข้าตารางกันหมดนี่แหละ”
“แล้วทำไมต้องยิงมันด้วยล่ะเจ้านาย”
“ก็ลงมันถูกตำรวจจับอย่างนั้น ตำรวจก็คงต้องสอบเค้นไอ้เล็กจนมันต้องคายบอกตำรวจแหละว่ามันเป็นลูกน้องกู กูจะให้ตำรวจสาวมาถึงตัวกูไม่ได้หรอก แล้วถ้ามึงยังข้องใจอยู่อีก” พายัพเอาปืนจ่อหน้าชาติ “กูก็จะยิงมึงทิ้งตรงนี้อีกคน”
ชาติสงบปากลงทันที
“วันนี้กูต้องเสียทั้งลูกน้อง เสียทั้งยา เจ็บใจจริงโว๊ย”
พายัพแค้นใจมาก
เชตะวันกดรีโมทเปลี่ยนทีวีดูหนังเรื่องโน้นนี้ แต่ไม่มีหนังเรื่องไหนถูกใจเขาเลยสักเรื่อง แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเนตรอัปสรเดินเข้ามาในห้องเขาด้วยชุดนอนบางเบา
“อารมณ์ไหนนี่คุณ”
เนตรอัปสรหน้านิ่งจ้องแต่ เชตะวันส่ายหัว
“คุณนี่...คุ้มดีคุ้มร้ายยังกะคนผีเข้าอย่างงั้นแหละ” เขามองชุดนอนของเธออย่างแปลกใจยิ้มๆ “พร้อมจะนอนเฝ้าผมคืนนี้แล้วใช่มั๊ย”
เนตรอัปสรยิ้มยั่ว
“ไม่ใช่พร้อมแค่นอนเฝ้า...”
เชตะวันมองอย่างแปลกใจในท่าทางและคำพูดอันกำกวมของเธอ และยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อเนตรอัปสรเดินเข้ามาประชิดตัวคล้ายจะยั่วยวน เขาไม่ถอย อยากลองดี
“คืนนี้...ฉันอยากให้คุณได้เห็น อะไรบางอย่าง”
เชตะวันงง แอบดีใจ เข้าใจไปคนละทาง เนตรอัปสรจะให้เขาเห็นอดีต แต่เชตะวันกลับคิดว่าเธอยั่วยวน ทั้งสองประสานหน้าใกล้กันและประสานสายตากัน หน้าเนตรอัปสร ดวงตาวาววับขึ้นมาวูบหนึ่งหน้าเชตะวันเหมือนถูกมนต์สะกดไปในทันที ผีเฟื่องสะกดให้เขาได้เห็นในอดีตชาติ เรื่องราวขอเขาในชาติที่แล้วปรากฏขึ้น...ตั้งแต่ตอนที่ชุน ซึ่งพบกับ เฟื่องตั้งแต่เฟื่องตกน้ำ...เฟื่องกับชุนรักกัน...ชุนถูกเฆี่ยน...เฟื่องพามารักษาตัวที่กระท่อม...เฟื่องกับชุนหนีพระยาอารักษ์และพัน...ชุนกับเฟื่องกราบพระที่วัดร้าง กล่าวคำ
สาบาน...ชุนกับเฟื่องกระโดดหน้าผาด้วยกัน
เชตะวันลืมตาพรวดขึ้น แล้วพบว่าเนตรอัปสรยังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ เขาโวยวายทันที
“นี่คุณสะกดจิตผมเหรอ”
เนตรอัปสรยิ้มไม่ตอบ คาดหวังว่าเชตะวันจะเริ่มจำอดีตชาติจากภาพนิมิตที่เธอทำให้เขาได้เห็น
“คุณต้องสะกดจิตผมแน่ๆเลย เพราะอยู่ๆ...ผมก็เห็น...เห็นว่าผมโดดหน้าผาเพื่อฆ่าตัวตายพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง”
“ผู้หญิงคนที่คุณเคยรักมาก”
“จะบ้าเรอะคุณ ผมจะรักได้ยังไง ผมไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย”
“เจ้าลืมความรักของเราหมดแล้วจริงๆหรือนี่ ชุน”
เชตะวันเห็นเนตรอัปสรท่าทางแปลกๆ เขาเขย่าตัวเธออย่างแรง
“คุณเนตร คุณพูดอะไรของคุณ”
เนตรอัปสรเริ่มทุบตีเชตะวันด้วยความเสียใจ
“เจ้าจะต้องไม่ลืมความรักของเราสิ เจ้าจะต้องไม่ลืม”
เชตะวันพยายามหยุดเนตรอัปสรเขาตัดสินใจรวบมือทั้งสองข้างของเธอไว้ เนตรอัปสรพยายามดิ้นให้หลุดแต่เขาไม่ยอม ยื้อยุดกันไป จนในที่สุดเชตะวันก็ตัดสินใจรวบตัวเธอไว้ เนตรอัปสรดิ้นจนเหนื่อยก็เริ่มหยุดดิ้นน้ำตาซึม พูดด้วยเสียงเศร้าๆ
“เจ้าต้องไม่ลืมความรักของเราสิ...”
ทันใดนั้น แซลลี่ก็เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาเห็นเชตะวันกอดเนตรอัปสรอยู่ แซลลี่พุ่งเข้าไปใส่เนตรอัปสรทันที
“แกกล้ายั่วผู้ชายของฉันเรอะ”
โดยที่เชตะวันกับเนตรอัปสรไม่ทันตั้งตัว แซลลี่ก็กระชากตัวเนตรอัปสรออกมาจากเขาแล้วตบผั๊วะ เนตรอัปสรถึงกับเซถลาไป เชตะวันโกรธจัด พุ่งเข้าไปขวางกลางระหว่างแซลลี่กับเนตรอัปสรทันที
“แซลลี่ นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ”
แต่แซลลี่ไม่สนใจฟัง จะเข้าไปตบเนตรอัปสรอีกหน้าเนตรอัปสรที่ก้มหน้าอยู่กับพื้นอยู่ดวงตาเป็นสีแดงวาบขึ้นมา แต่ไม่มีใครเห็น แล้วเนตรอัปสรก็ลุกขึ้นเอาคืนแซลลี่
“มึงกล้าทำกูเหรอ อีสร้อย”
เนตรอัปสรบีบคอ แซลลี่พยายามดิ้นแต่ไม่หลุดเพราะสู้แรงไม่ได้ จนเธอเริ่มหายใจไม่ออก
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยคะ...เชต”
เชตะวันตกใจเห็นท่าไม่ดีรีบแยกเนตรอัปสรออกจากแซลลี่ ใช้เวลาพอสมควรเพราะแรงของผีเฟื่องในตัวเนตรอัปสรเยอะเหลือเกิน สักพักก็แยกออกได้
“นี่คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ยคุณเนตร ไปแซลลี่ มานี่เลย”
เชตะวันก็ลากตัวแซลลี่ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเป็นเวลาเดียวกันกับที่เนตรอัปสรเงยหน้าขึ้น ตาเป็นสีแดงมองด้วยความโกรธ
เชตะวันลากแซลลี่ออกมาจากห้องนอนของเขา
“คุณบ้าอย่างนี้ กลับบ้านไปเลยนะไป”
“เชตกำลังคิดจะเคลมอีนังพยาบาลคนใหม่นั่นใช่มั๊ย แซลลี่ไม่ยอมนะ เห็นไหมเมื่อกี้มันจะฆ่าแซลลี่ด้วย”
“คุณจะไม่ยอมมันก็เรื่องของคุณ เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ และที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะคุณไปทำเขาก่อน เป็นผม ผมก็ไม่ยอม”
แซลลี่ร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บใจ เชตะวันสั่งเสียงเข้ม
“กลับบ้านไป แซลลี่ ไม่อย่างนั้น คุณกับผม...เราเลิกคบกัน”
แซลลี่ร้องกรี๊ดแล้วกระทืบเท้าปังๆออกไปด้วยความเจ็บใจ เชตะวันมองตามแล้วส่ายหน้า ถอนใจใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจ
เนตรอัปสรเจ็บแค้นใจ
“ทำไมถึงต้องมีผู้หญิงมากมายมาวุ่นวายกับเจ้าไม่รู้จบนะชุน ทั้งชาติก่อน และชาตินี้...”
เนตรอัปสรถอนใจเครียด แล้วหันไปมองดูเงาสะท้อนของตัวเองที่หน้ากระจกซึ่งเป็นหน้าของเฟื่องไม่ใช่เนตรอัปสร ผีเฟื่องพูดกับตัวเอง
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร...เจ้าถึงจะจำเรื่องราวของเราในอดีตได้นะชุน ข้าต้องทำอย่างไร”
ผีเฟื่องนิ่งคิดอยู่สักครู่ก็เริ่มคิดอะไรได้
“แม้วันนี้เจ้าจะยังจำเรื่องราวของเราในอดีตไม่ได้ แต่อย่างน้อย...ข้าก็ยังได้มีโอกาสกลับมาใกล้ชิดกับเจ้าอีกครั้ง...” ผีเฟื่องก้มลงมองตัวเอง “และข้าจะใช้ร่างนี้ นำพาเจ้า ให้กลับไปที่หน้าผาแห่งนั้นให้จงได้”
เนตรอัปสรยืนอยู่ที่หน้ากระจก โดยเงาสะท้อนในกระจกเป็นเฟื่อง
อ่านต่อตอนที่ 16
นางมาร ตอนที่ 16
หน้าบ้านพักในรีสอร์ตของพายัพ ดาลัดมาด้อมๆ มองๆ อยู่นอกบ้านพักหวังจะมาเอาใจเขา
สายตาของเธอเห็นพงษ์ทำแผลที่ต้นแขนให้พายัพเสร็จเรียบร้อยแล้ว พันผ้าพันแผลไว้
“คุณพายัพไปโดนอะไรมาเนี่ย” ดาลัดสงสัย
ขณะเดียวกัน ผีเดือนยืนมองพายัพอยู่ที่มุมห้องด้วยสีหน้าอาฆาตมุ่งร้าย ผีเดือนรู้ว่ามีคนมาแอบดูก็หันขวับมามองด้วยตาแดงวาบ ดาลัดร้องวี๊ดเบาๆแล้วผงะถอยหนีด้วยความตกใจสุดขีด แล้ววิ่งหนีไปทันที พายัพและพงษ์หันขวับไปทางหน้าต่าง แล้วมองหน้ากันหน้าเครียด หวั่นใจว่าจะเป็นตำรวจตามรอยมาถึงที่นี่และโดยไม่ต้องพูดอะไรกันให้มากความ พายัพและพงษ์ก็ถือปืนวิ่งพรวดออกไปจากบ้านทันที
ดาลัดวิ่งหนีมาด้วยความตกใจกลัวผีจนล้มลุกคลุกคลาน พายัพกับพงษ์จึงวิ่งตามมาทัน พงษ์โดดจิกหัวดาลัดไว้
“แกเป็นใคร...มาแอบดูพวกกูทำไม”
พอพงษ์จับตัวดาลัดให้หันมาดูหน้าชัดๆ ทั้งพงษ์และพายัพก็ต้องตกใจ
“คุณดา”
พายัพกับพงษ์รีบเอาปืนซ่อนไม่ให้ดาลัดเห็นทันที พายัพรีบถามอย่างสุภาพ
“คุณดามาทำอะไรที่นี่ครับ พวกผมตกใจหมดเลยนึกว่าเป็นโจร”
ดาลัดยังตกใจกลัวอยู่
“ดาเห็นรถคุณยัพเพิ่งกลับเข้ามา ก็ห่วงว่าจะหิว เลยจะมาดูว่าคุณยัพจะรับอาหารรอบดึกมั๊ยน่ะค่ะ แต่...” ดาลัดมองไปทางบ้านพักของพายัพอย่างหวาดกลัว “บ้านคุณยัพ...มีผี”
พายัพชะงัก
“ผี...คุณดาพูดอะไรครับ ผีมีที่ไหนกัน”
“มีจริงๆนะคะคุณยัพ ผีผู้หญิง ตางี้แดงวาบเชียวค่ะ ฮือ...น่ากลัวที่สุดเลย”
“ผมว่าคุณดาตาฝาดแล้วละครับ บ้านนั้นผมคุมปลูกสร้างเองกับมือ ไม่มีทางมีผีที่ไหนหรอกครับ แต่ถ้าคุณดายังกลัว เดี๋ยวผมจะให้พงษ์เดินไปส่งคุณดาที่บ้านพักนะครับ”
พายัพหันไปพยักหน้า พงษ์เลยพาดาลัดไปส่งบ้าน พายัพมองตาม
“นึกว่าตำรวจตามมา โล่งใจไป...”
พายัพถอนใจโล่งอกแล้วหันเดินกลับไปบ้านพัก โดยเดินผ่านผีเดือนที่มองตามเขาไปด้วยสีหน้าถมึงทึงอย่างไม่รู้ตัว
เชตะวันหงุดหงิดเดินกลับมาที่ห้อง เนตรอัปสรที่ยังโดนผีเดือนสิงเห็นเขาเข้ามา จึงเดินเข้าไปหา แต่เชตะวันยกมือขึ้นห้าม
“พอเถอะคืนนี้ ผมไม่มีอารมณ์เล่นสนุกกับใครแล้ว ผมเหนื่อย ผมอยากนอน”
แล้วเชตะวันก็เดินไปนอนที่เตียง เอาเครื่องช่วยหายใจครอบลงบนหน้า แล้วหลับตาลง เนตรอัปสรได้แต่ยืนมองนิ่งๆ
วันใหม่...เชตะวันค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเนตรอัปสรยังยืนมองเขาอยู่ที่เดิม
“คุณมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ตั้งแต่เมื่อคืน”
“ถึงเช้าเนี่ยนะ”
“ใช่”
“เว่อแล้ว”
“ข้าไม่ได้โกหก”
“อยากให้ผมประทับใจ”
“อยากยิ่งกว่านั้น”
เชตะวันอึ้ง ไม่เคยอึ้ง ไม่เคยจนคำพูดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย เขาจึงเริ่มสนใจเนตรอัปสรอย่างจริงจังมากขึ้น
“ผมหิวแล้ว...”
“อยากกินที่นี่ หรือที่ไหน”
“ไปที่โต๊ะอาหารเถอะ ขอเวลาผมอาบน้ำ แต่งตัวเดี๋ยวเดียว” เขามองเนตรอัปสรทั้งตัว “คุณเองก็ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เถอะ”
เนตรอัปสรยังนิ่ง เชตะวันเลยเข้าไปกระซิบข้างหูแบบจะให้ได้ยินกันแค่สองคน ทั้งๆที่ไม่จำเป็น
“เพราะชุดนี้...มันบาง...รู้มั๊ย”
พูดจบเชตะวันก็เดินเข้าห้องอาบน้ำไป เนตรอัปสรมองตาม
เชตะวันนั่งกินข้าวอยู่โดยมีเนตรอัปสรปรนนิบัติเอาใจ โดยไม่สนใจจะกินอะไรของตัวเองเลย เชตะวันาพอใจ
“คุณกินของคุณเองบ้างเถอะ ผมยังไม่เห็นคุณกินอะไรสักคำ”
“ต้องปรนนิบัติเจ้าก่อน”
“ตามใจ...”
เชตะวันกินต่อไปหน้าตาความสุข ชอบใจที่เนตรอัปสรปรนนิบัติเขาอย่างดี อนงค์กับบวรยืนมองดูเนตรอัปสรปรนนิบัติเชตะวันแบบแทบจะป้อนด้วยสีหน้าพิศวง
“น้า...ว่ามั๊ย วันนี้คุณเนตรดูท่าทางแปลกๆเนอะ”
บวรพยักหน้าใช่ บอกท่าทางไม่เหมือนคุณเนตรอัปสรคนเก่า เนตรอัปสรก็เหมือนมีหูทิพย์หันขวับมามองอนงค์กับบวรด้วยแววตาแข็งกร้าวผิดกับสายตาที่มองเชตะวันคนละเรื่องเลย อนงค์กับบวรหยุดพูดทันที หน้าจ๋อย เนตรอัปสรเห็นสองคนหยุดเม้าแล้วก็หันกลับปรนไปนิบัติเชตะวันต่อ อนงค์กับบวรหันมามองหน้ากันเองยังสงสัยไม่หาย
พงษ์เดินเข้ามาในบ้านพักของพายัพ ดาลัดเดินตามมา ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ผีมากอยู่ ดาลัดล้วงหยิบเอาพระที่ห้อยที่คอขึ้นมาพนมไหว้
“หลวงพ่อเจ้าขา...คุ้มครองลูกช้างด้วยนะเจ้าคะ”
ดาลัดเดินตามพงษ์เข้าไปในบ้าน สบายใจหน่อยว่าเวลานี้เป็นเวลากลางวัน พงษ์โมโหที่ดาลัดเข้ามาในบ้าน ไม่อยากให้เข้าเพราะกลัวรู้ความลับแต่ดาลัดไม่สนใจพงษ์ สนใจแต่พายัพที่นั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะ
“คุณพายัพไม่สบายเหรอคะ เห็นนายพงษ์ไปขอยาแก้ไข้ที่เรือนพยาบาล”
“เป็นไข้นิดหน่อยน่ะครับคุณดาลัด กินยาแล้วนอนพักหน่อย บ่ายๆคงค่อยยังชั่ว แล้วจะได้กลับกรุงเทพได้”
“อุ๊ย...ถ้าไม่สบายก็นอนพักเสียที่นี่ให้เต็มที่เถอะค่ะ หายดีแล้วค่อยกลับกรุงเทพก็ได้ คุณพายัพอยากได้อะไร บอกดิฉันได้เลยนะคะ ดิฉันจะจัดหามาให้คุณพายัพทุกอย่างเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ ขอแค่ยาแก้ไข้ผมก็พอครับ”
พงษ์จ้องหน้าดาลัดนิ่งๆ เป็นเชิงไล่ ดาลัดหน้าเจื่อนหันไปหาพายัพ
“พักเยอะๆนะคะคุณพายัพ แล้วถ้าอยากได้อะไร โทรบอกดิฉันเลยนะคะ ไปล่ะค่ะ”
ดาลัดออกไป พงษ์ถอนใจ
“ยายนี่เอาอกเอาใจเจ้านาย...ยังกับเป็นแม่ยังงั้นละครับ”
“ช่างเถอะ ฉันกลับไปนอนดีกว่า สงสัยที่เป็นไข้เพราะแผลอักเสบน่ะ”
พายัพเดินเข้าห้องนอน ล้มตัวลงนอน ผีเดือนนั่งอยู่บนเตียงข้างๆเขานั่นเอง ผลจากการที่พายัพเป็นไข้ ร่างกายอ่อนแอ จะทำให้ ผีเดือนสามารถทำร้ายเขาได้ แค่รอจังหวะที่จะทำได้เท่านั้น
อนงค์ กับบวร ยืนแอบมองดูเชตะวันและเนตรอัปสร อย่างไม่สบายใจ
“แปลกเนอะน้า ปกติคุณเชตกับคุณพยาบาลเขามักจะเถียงกันอยู่ตลอดเวลา แล้วทำไมจู่ๆ ก็เกิดคุยกันถูกคอแถมคุณพยาบาลก็ดูจะเอาอกเอาใจคุณเชตผิดปกติซะงั้น”
อนงค์กับบวรก็หันกลับไปมองเชตะวันกับเนตรอัปสรต่อ...อนงค์กับบวร เห็นเชตะวันกับเนตรอัปสรกำลังนั่งคุยกันอยู่ ด้วยท่าทางอารมณ์ดีด้วยกันทั้งคู่ บวรเขม้นตามอง เห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ แล้วเขาก็เห็นผีเฟื่องเป็นภาพซ้อนกับร่างของเนตรอัปสรขึ้นมา
“เฮ้ย” บวรสะดุ้ง
อนงค์ตกใจในท่าทางของบวร
“เป็นอะไรไปน้า”
บวรไม่ตอบ แต่เขม้นตามองเนตรอัปสรซ้ำไม่เห็นผีเฟื่องแล้วเห็นเนตรอัปสรเหมือนเดิม เขางง ไม่แน่ใจว่าตัวเองเห็นอะไรกันแน่ อนงค์ที่มองดูบวรอยู่สงสัย
“น้าทำหน้าเหมือนเห็นอะไร”
บวรนิ่ง ไม่ตอบแต่หน้าเครียด อนงค์เริ่มใจเสียถามเสียงสั่น
“น้าทำหน้ายังกะเห็นผียังงั้นแหละ”
อนงค์เห็นบวรยังนิ่งอยู่ แต่หน้าเครียดไม่คลาย
“น้าเห็นผีใช่มั๊ย บอกฉันสิ บอกฉัน”
บวรส่ายหน้า ไม่อยากให้อนงค์กลัว แต่อนงค์ไม่เชื่อ
บวรส่ายหน้า ไม่อยากให้อนงค์กลัว แต่อนงค์ไม่เชื่อ
“หน้าแบบนี้ น้าต้องเห็นผีแน่ๆเลย”
อนงค์หันกลับไปมองที่ เชตะวันกับเนตรอัปสรอีกครั้ง เธอไม่เห็นผีเฟื่องซ้อนทับร่างเนตรอัปสรอย่างที่บวรเห็น อนงค์ หันกลับมามองบวรอีกครั้ง เห็นเขายังทำแปลกๆอยู่ เธอยิ่งหวาดกลัว
ค่ำนั้น...พายัพยังไม่ลืมตาตื่น แต่เริ่มรู้สึกตัวแล้วขมวดคิ้วยุ่งสีหน้าอึดอัดมากเหมือนหายใจไม่ออก แล้วพอเขาลืมตาขึ้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบว่าผีเดือนกำลังนั่งอยู่บนอกเขา แล้วพุ่งหน้าเข้ามาจ้องตากับเขาในระยะประชิด แล้วก็เริ่มบีบคอเขาอย่างแรง พายัพตกใจร้องเสียงดัง...พงษ์ที่อยู่ด้านนอก หันขวับไปมองในบ้านพัก เพราะได้ยินเสียงพายัพร้องแล้วพงษ์ก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านพักทันที
พงษ์เข้ามาในห้อง ไม่เห็นผีเดือน แต่เห็นพายัพกำลังเอามือบีบคอตัวเอง นัยน์ตาเหลือกลาน และดิ้นพราดๆอยู่...พายัพตาเหลือกมองหน้าผีเดือนที่บังคับมือเขาให้บีบคอตัวเองอยู่ พายัพพยายามสู้เพื่อเอาชีวิตรอดสุดชีวิตแต่ก็ดิ้นไม่หลุด พงษ์ มองดูอาการของพายัพอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าพายัพบีบคอตัวเองทำไม แล้วพงษ์ก็เห็นพายัพมองมาที่เขา พูดอย่างยากลำบาก
“ไอ้...พงษ์...ช่วย...กูด้วย...”
พงษ์ รีบวิ่งเข้าไปคว้ามือพายัพที่กำลังบีบคอตัวเองอยู่ พยายามจะดึงออกเพื่อไม่ให้บีบคอตัวเองได้ ผีเดือนหันขวับไปมองพงษ์อย่างโกรธแค้นที่เข้ามาช่วยพายัพ ผีเดือนสะบัดมือใส่หน้าพงษ์ มือพายัพสะบัดใส่หน้าพงษ์กระเด็นออกไปด้วยแรงตบที่มากกว่าคนปกติจะทำได้ พงษ์ล้มหัวไปกระแทกโต๊ะอย่างแรงมึนไปเลย ผีเดือนหันกลับมาบังคับมือพายัพให้บีบคอตัวเองอีกครั้ง เขาตาเหลือก ดิ้นทุรนทุรายหายใจไม่ออก พงษ์ พยายามสะบัดหัวให้หายมึน แล้วมองไปที่พายัพเป็นภาพเบลอๆเห็นผีเดือนนั่งอยู่บนอกพายัพ และกำลังบังคับมือพายัพให้บีบคอตัวเองอยู่การมีสติสัมปชัญญะครึ่งๆ กลางๆ ของพงษ์ ทำให้เขาเห็นผีเดือนได้พงษ์ตกใจสุดขีด
“เฮ้ย”
พงษ์เห็นพายัพพยายามจะเรียกให้เขาเข้าไปช่วย พงษ์กลัวมาก ไม่รู้จะทำยังไงดี อยากช่วยแต่ก็กลัว แล้วในที่สุดเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบวิ่งออกไปนอกบ้านพักทันที พายัพ ตกใจ เข้าใจว่าพงษ์วิ่งหนีไปด้วยความกลัว โดยไม่คิดจะช่วยเหลือเขา
พงษ์วิ่งกลับมาที่รถ ลนลานเปิดประตูรถ แล้วมองหาอะไรบางอย่างภายในรถ เขาเห็นลูกประคำเส้นหนึ่ง คล้องอยู่กับกระจกส่องหลัง พงษ์คว้าลูกประคำนั้น แล้วเอาวิ่งกลับเข้าไปในบ้านพักอย่างรีบร้อน
พงษ์วิ่งกลับเข้ามายังห้องนอนของพายัพพร้อมสร้อยลูกประคำ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นผีเดือนยังนั่งอยู่บนอกพายัพและบังคับมือพายัพให้บีบคอตัวเองอยู่ พายัพนัยน์ตาเหลือกลานใกล้จะหมดลมแล้ว พงษ์กลั้นใจสะกดความกลัวแล้ววิ่งเอาสร้อยประคำนั้นเข้าไปฟาดที่ผีเดือนอย่างรวดเร็ว ผีเดือนสะดุ้งเฮือกสุดตัวร้องเสียงโหยหวน แล้วก็สลายร่างหายไปอย่างรวดเร็ว พายัพปล่อยมือออกจากคอตัวเอง แล้วหายใจพรวด พงษ์เห็นพายัพรอดตายอย่างหวุดหวิดก็หมดแรงขาอ่อน ทรุดลงนั่งที่ข้างเตียงพายัพนั่นเอง
เชตะวันกับเนตรอัปสร กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ริมสระ
“เจ้าเชื่อเรื่อง...ชาติก่อนมั๊ย” เนตรอัปสรหันมาถาม
เชตะวันยักไหล่
“ไม่รู้สิ มันอาจจะมีจริง หรือไม่มีก็ได้ แต่ถึงจะมี แต่เราก็จำอะไรไม่ได้แล้วนี่ เพราะทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว จะไปสนใจมันทำไม สนใจแต่ชาตินี้ดีกว่า...”
เนตรอัปสรน้อยใจ
“ต้องทำอย่างไรนะ...เจ้าถึงจะจำอดีตชาติได้”
“ทำไมจะต้องจำให้ได้” เชตะวันล้อๆ “หรือว่า...ชาติที่แล้ว ผมกับคุณเคยพบกัน”
เนตรอัปสรพยักหน้า หน้าบานด้วยความดีใจ
“ใช่...”
เชตะวันหัวเราะ
“คุณนี่ตลกจริงๆ ไม่เอาละ เลิกพูดเรื่องไร้สาระนี่ซะทีเหอะ แล้วมาหาอะไรสนุกๆทำกันดีกว่า...”
เนตรอัปสรมองหน้าเชตะวันอย่างสงสัยว่าเขาจะทำอะไร แล้วโดยที่เธอไม่ทันจะตั้งตัว เธอก็ถูกเขาฉุดแขนแล้วโดดลงสระไปด้วยกัน เนตรอัปสรร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่เชตะวันหัวเราะชอบใจ สักครู่เธอก็เริ่มตั้งตัวได้ เลยเข้าไปทุบเขา ทั้งคู่เล่นน้ำอยู่ในสระอย่างสนุก
พายัพกับพงษ์เหนื่อยหอบเกือบตายจากผีเดือนอยู่ที่หน้ารีสอร์ต
“เจ้านาย...นี่มันอะไรกันครับเนี่ย”
“กูก็ไม่รู้โว๊ย แต่ที่นี่มันไม่เคยมีผีนี่หว่า มันมาได้ยังไงกันวะ”
พงษ์นิ่งคิด เขานึกถึงตอนที่ ให้ลูกน้องลงไปงมเอายาเสพติดที่โยนทิ้งไว้ในแม่น้ำแล้วกลับพบหม้อดินติดขึ้นมาด้วยคิดว่าเป็นหม้อเก็บสมบัติ แต่พอทุบหม้อดินแตกกลับพบว่าไม่มีอะไรอยู่ในหม้อเลย พงษ์ชักมั่นใจ
“ต้องเป็นไอ้หม้อดินนั่นแน่ๆเลยเจ้านาย สงสัยจะเป็นหม้อที่จับผีถ่วงน้ำแหงๆ”
“แล้วนังผีตัวนั้นมันทำร้ายกูทำไมวะ กูไม่รู้จักกับมันสักหน่อย”
“อาจจะเป็นคราวซวยของเจ้านายละมั๊งครับ เพราะเจ้านายไม่สบาย จิตเลยอ่อน อีผีนั่นมันเลยทำร้ายเจ้านายได้”
“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มาจากไหน กูจะทำให้มันไม่ได้ ไปผุดไปเกิดอีกโทษฐานที่มันคิดจะฆ่ากู ไอ้ผีระยำ”
พายัพแค้นจัด
บวรมาแอบดูเชตะวันกับเนตรอัปสรอย่างเป็นห่วง...เชตะวันกับเนตรอัปสรยังอยู่ในสระเล่นน้ำกันอยู่อย่างร่าเริง แล้วจู่ๆเขาก็หยุดมองเธอนิ่ง เนตรอัปสรเลยหยุดนิ่งไปด้วย
“คุณรู้ตัวมั๊ยว่า...คุณเปลี่ยนไปมาก ยังกับคนละคนเลย ก่อนหน้านี้ คุณชอบเถียงผมไม่มียอมแพ้เลย แต่ตอนนี้...คุณดู...”
เชตะวันไม่พูดต่อ แต่มองหญิงสาวตาแพรวพราว เนตรอัปสรยิ้มพราย
“แล้วเจ้าชอบข้าคนไหนเล่า”
“ไม่รู้สิ”
เนตรอัปสรหน้านิ่งขึ้นมาทันที
“นี่คุณงอนผมเหรอเนี่ย”
เชตะวันหัวเราะ แล้ววักน้ำขึ้นสาดใส่ เนตรอัปสรร้องอุทาน แล้วหันกลับไปวักน้ำสาดใส่เขาบ้าง เกิดเป็นสงครามสาดน้ำกัน แล้วทันใดนั้นเนตรอัปสรก็ชะงักเมื่อเห็น บวรมาแอบดูอยู่ เธอไม่พอใจที่บวรมาแอบดูแต่ไม่พูดอะไรหันไปดึงมือเชตะวันจะชวนให้ขึ้นจากสระ เชตะวันงง
“จะขึ้นแล้วเหรอ”
เนตรอัปสรไม่ตอบ ดึงมือเชตะวันให้ขึ้นจากสระไปจนได้...บวร กลุ้มใจมากชักรู้แล้วว่ามีอะไรผิดปกติกับเนตรอัปสรจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
เชตะวันกับเนตรอัปสรเดินตัวเปียก เสื้อผ้าเปียก กลับเข้ามาในบ้าน
“คุณรีบไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย แล้วเดี๋ยวค่อยเจอกัน”
เชตะวันยิ้มให้ เนตรอัปสรยิ้มตอบ มองตามเขาที่เดินเข้าห้องไป
ในสถานปฏิบัติธรรม...คุณสรวงนั่งสมาธิอยู่ต้องตกใจเมื่อรู้แล้วว่าเนตรอัปสรถูกผีเฟื่องสิงร่างอยู่ คุณสรวงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกทันที
ขณะเดียวกัน ปารมีมองโทรศัพท์ในมือ พลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หมอก้องทำหน้ารู้สึกผิดมาก
“หมอขอโทษ...หมอไม่ได้ตั้งใจจะทำมันตก ปานอย่าโกรธหมอนะ นะๆ”
ทิพย์แทรกขึ้น
“แต่หมอไม่ใช่แค่ทำตกนะคะ หมอเหยียบจนแตกด้วยล่ะ” ทิพย์หันมายุเพื่อน “โกรธไปเลยปาน”
หมอก้องหน้าเหวอ
“อ้าว...แทนที่จะช่วยกัน ไหงยุส่งกันยังงี้ล่ะทิพย์”
ทิพย์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปารมีบอกเสียงอ่อยๆ
“ปานไม่โกรธหมอหรอกค่ะ ปานรู้...มันเป็นอุบัติเหตุ”
“หมอต้องซื้อมือถือใหม่ให้ยายปานด้วย”
ปารมีเกรงใจ
“ไม่ต้องหรอก ส่งไปซ่อมก็คงได้ละมั๊ง”
“เยินอย่างนี้ ซ่อมไม่ไหวหรอกจ้ะยายปาน”
ปารมีทำหน้าจ๋อย หมอก้องปลอบ
“อ้ะๆ หมอซื้อให้ปานใหม่เลยก็แล้วกัน”
ทิพย์ยิ้ม
“แล้วก็ภาวนาว่า...คืนนี้อย่ามีเคสให้ต้องเรียกพยาบาลด่วนล่ะ”
ปารมีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทิพย์หันมาหาหมอก้อง
อ่านต่อพรุ่งนี้ 9.30 น.
นางมาร ตอนที่ 16 (ต่อ)
ปารมีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทิพย์หันมาหาหมอก้อง
“แต่ก่อนที่หมอจะไปซื้อมือถือใหม่ให้ยายปาน คืนนี้หมอต้องแก้ตัวที่ทำมือถือยายปานพัง ด้วยการทำอาหารมื้อดึกให้เราสองคนกินเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
หมอก้องชี้หน้าตัวเอง...เป็นเชิงถามว่า ให้หมอทำกับข้าวอีกเหรอ ทิพย์พยักหน้าหงึกๆ
สรวงกลัดกลุ้มใจ พอรู้แน่ว่าโทรศัพท์มือถือของปารมีปิด เธอก็เลยพูดทิ้งไว้ในวอยซ์เมล์
“ปาน...ติดต่อกลับแม่ด่วน แม่มีเรื่องร้อน”
สรวงค่อยๆวางมือถือลงอย่างหมดหวังที่จะติดต่อปารมีได้แล้วในคืนนี้
“เราต้องหาทางติดต่อยายปานให้ได้ ก่อนที่แม่เฟื่องจะทำอะไรที่เลวร้ายลงไป”
สรวงวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
เนตรอัปสรเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว ใส่ชุดนอนบางเบาเหมือนเมื่อคืนก่อน แต่พอเดินเข้ามาในห้องก็ต้องชะงักเมื่อเชตะวันหลับไปในท่าที่เหมือนยังดู TV ค้างอยู่ แล้วผล็อยหลับไป เนตรอัปสรถอนใจ แล้วเดินตรงไปที่เตียง บรรจงห่มผ้าให้แล้วเอาเครื่องช่วยหายใจค่อยๆใส่ให้ เชตะวันปรือตาขึ้นมองอย่างงัวเงีย เห็นว่าเป็นเนตรอัปสรนั่นเองที่ใส่เครื่องช่วยหายใจให้เขา เชตะวันยิ้ม
“ขอบคุณ...”
เชตะวันผล็อยหลับไปอีกครั้ง เนตรอัปสร ยืนมองเชตะวันนิ่ง
“ชุน...”
วันใหม่...หมอก้องพาปารมีมาซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ปารมีบ่นๆ
“เสียดาย...ยายทิพย์น่าจะมาช่วยเราเลือกด้วยนะคะหมอ”
“ทำไงได้ล่ะปาน คนจะป่วย ใครจะห้ามได้”
ทั้งคู่คุยกัน โดยไม่รู้ว่า ทิพย์นอนกระดิกเท้า ดูทีวีอยู่ที่ห้องพักตามลำพัง พลางหยิบขนมเข้าปากกิน ท่าทางสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทีท่าของคนป่วยเลยแม้แต่น้อย
หมอก้องซื้อโทรศัพท์ใหม่ได้แล้ว ทั้งคู่กำลังลองเครื่องอยู่
“ปานเอาซิมมาใส่ลองเครื่องดูสิ”
ปารมีเอาซิมใส่เครื่อง และทันทีที่เปิดเครื่องเพื่อทดสอบ ก็ปรากฏว่ามีข้อความฝากไว้ในว๊อยซ์เมล์หลายครั้ง
“อุ๊ย...คุณแม่สรวงฝากข้อความไว้ตั้งหลายครั้งแน่ค่ะหมอ ไม่รู้มีธุระอะไรด่วนนะคะ”
ปารมีรีบกดฟังว๊อยซ์เมล์
“ปาน...ติดต่อกับแม่ด่วน แม่มีเรื่องร้อน”
ปารมีตกใจมาก
ทิพย์ยืนรอปารมีกับหมอก้องอยู่ที่หน้าทางเข้าสถานปฏิบัติธรรมอย่างร้อนใจ สักครู่ปารมีกับหมอก้องก็เดินเร็วๆเข้ามามองอย่างแปลกใจ
“อ้าว ทิพย์หายป่วยแล้วเหรอ” หมอก้องถามอย่างสงสัย
“หายทันทีที่ยายปานโทรไปบอกเรื่องคุณแม่สรวงน่ะค่ะ”
หมอก้องหันไปถามปารมี
“คุณแม่สรวงมีอะไรเหรอปาน”
“ไม่รู้เหมือนกัน บอกแต่ว่า...ให้ฉันรีบมาพบโดยเร็วที่สุดน่ะ บอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับยายนะโม”
ทิพย์ตาโต
“เรื่องยายนะโม”
“ฉันถึงได้โทรตามทิพย์ให้มาด้วยกันไง เข้าไปกันเถอะ ฉันร้อนใจอยากรู้ว่าเรื่องอะไรจะแย่แล้ว”
ทั้งสามรีบเข้าในด้านในสถานปฏิบัติธรรมด้วยความร้อนใจ
ปารมี ทิพย์ และหมอก้องตกใจกันถ้วนหน้ากับสิ่งที่คุณสรวงบอก
“ยายนะโมกำลังมีอันตรายหรือคะคุณแม่” ทิพย์ถามเสียงดัง
ปารมีเป็นห่วงเพื่อน
“อันตรายยังไงคะ”
“อันตรายจากนายจ้างของเขารึเปล่าครับ”
หมอก้องกลัวเชตะวันปล้ำเนตรอัปสร คุณสรวงหน้าเครียด
“จาก เจ้ากรรมนายเวร ตั้งแต่ในอดีตชาติของเขา กรรม ชักนำให้ เจ้ากรรมนายเวร จากอดีตชาติ ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง”
ปารมีร้อนใจ
“แล้วเราจะช่วยนะโมได้ยังไงคะคุณแม่”
“พระ อย่าให้พระห่างจากตัวเขา ต้องไปบอกเขาเร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
ปารมี หมอก้อง ทิพย์ มองหน้ากันอย่างวิตก
สร้อยพระที่เนตรอัปสรวางไว้ให้เชตะวันแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ยังวางอยู่ที่เดิม บวรหยิบสร้อยพระนั้นขึ้นมาดูหน้าเครียดๆ
หมอก้องขับรถหน้าตาเคร่งเครียด ปารมีนั่งข้าง ทิพย์นั่งหลังกำลังพยายามโทรหาเนตรอัปสร แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย
โทรศัพท์มือถือของเนตรอัปสรวางอยู่ในห้องอยู่ในโหมดระบบสั่น มันกำลังสั่นอยู่เพราะมีสายเรียกเข้าแต่เธอไม่ได้อยู่ในห้อง โดยทิ้งโทรศัพท์ไว้
ทิพย์หน้าไม่ดี
“นะโมไม่รับสายเลยอ้ะ”
ปารมีเป็นห่วงเพื่อนมาก
“นะโมจะเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย”
หมอก้องไม่พูดอะไรเลยแต่เหยียบกดคันเร่งให้รถทวีความเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
เชตะวันเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ เขามองอย่างตื่นตาตื่นใจแล้วหันกลับมามองเนตรอัปสรอย่างประหลาดใจ
“คุณชอบผ้าโบราณเหรอ ถึงได้ชวนผมมาพิพิธภัณฑ์นี้น่ะ นี่ผมไม่เคยมาที่แบบนี้เลยนะ ไม่เคยรู้ด้วยว่ามี ต้องเสิร์ชหาถึงได้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
“ข้าชอบก็เพราะ...เจ้า”
“ผม”
“เจ้าเคยอยู่กับมัน”
“ผ้าโบราณเนี่ยนะ” เชตะวันส่ายหน้าดิก “คุณจำอะไรผิดรึเปล่า ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะ จะได้ชอบผ้าพวกนี้”
“แต่เจ้าเคยขายมัน”
เชตะวันยื่นหน้าเข้าไปจ้องตาเนตรอัปสรใกล้ๆ ถามเสียงขำๆ
“คุณจำผมสลับกับใครรึเปล่า”
“ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับเจ้า ข้าจำได้...ทุกอย่าง ลองดูนี่สิ”
เนตรอัปสรชี้ไปที่ผ้าโบราณผืนหนึ่ง เชตะวันหันไปมอง แล้วโดยไม่รู้ตัว เนตรอัปสรเป่ามนต์สะกดใส่ เชตะวันตานิ่งอย่างคนที่ตกอยู่ในมนต์สะกด ภาพชุนในชาติที่แล้วอยู่ในร้านผ้าตอนที่พบกับเฟื่อง ปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึก เชตะวันสะบัดหน้ารู้สึกเหมือนตัวเองวูบไปเห็นภาพอะไรบางอย่างนั้นชั่วเสี้ยววินาที เขาหันมามองหน้าเนตรอัปสรอย่างงงๆ เธอยิ้มหวังว่าเขาจะจำอะไรบางอย่างในอดีตชาติได้บ้าง แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเขาพูดขึ้น
“ผมท่าจะต้องไปเช็คสมองซะบ้างแล้ว มึนๆหัวยังไงก็ไม่รู้ ถ้าคุณยังอยากดูผ้าพวกนี้อยู่ ก็ดูไปก่อน ผมจะไปรอที่รถก็แล้วกัน”
เชตะวันเดินออกไปเลย เนตรอัปสรมองตามด้วยอย่างผิดหวัง
บวรเป็นคนเปิดประตูหน้าบ้านรับหมอก้อง ปารมี และทิพย์
“เรามาหานะโม เอ้อ...เนตรอัปสรน่ะค่ะ” ปารมีบอกทันที
บวรพยายามจะตอบว่าเนตรอัปสรไม่อยู่ ออกไปข้างนอกกับเชตะวัน แต่ทั้งสามก็ฟังไม่รู้เรื่อง อนงค์เดินแทรกเข้ามา
“โห...น้าบวร พูดซะเร็วเชียว พวกคุณๆเค้าจะฟังทันไม๊เนี่ย...คุณพยาบาลไม่อยู่หรอกค่ะ”
ทิพย์ร้อนใจ
“ไปไหนคะ”
“ไม่ได้บอกไว้ค่ะ แต่ออกไปกับคุณเชตตั้งแต่บ่ายแล้ว”
“งั้นเราจะรอครับ”
ปารมีกับทิพย์พยักหน้าสนับสนุน อนงค์กับบวรแปลกใจที่เพื่อนทั้งสามของเนตรอัปสรท่าทางจริงจังและเครียดมาก
เนตรอัปสรนั่งมาในรถกับเชตะวัน
“ผมบอกแล้วไงว่า...ถ้าคุณอยากดูผ้าโบราณนั่นต่อ ก็ดูไป ไม่ได้เร่งอะไร ผมรอในรถได้”
“ข้าอยากให้เจ้าดูผ้าพวกนั้น”
“แต่ผมไม่สนใจผ้าโบราณอะไรนั่นนี่” เชตะวันพูดแล้วก็กลัวเนตรอัปสรโกรธ “เอาเถอะๆ เดี๋ยววันหลังผมพาคุณมาใหม่ก็ได้ แต่วันนี้...แวะหาอะไรกินกันก่อนเข้าบ้านนะ ผมหิวแล้ว”
เวลาโพล้เพล้...เพื่อนทั้งสามของเนตรอัปสรกำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยความกังวล ระหว่างที่รอเนตรอัปสรกลับมา อนงค์เดินกลับเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือของเนตรอัปสร
“คุณพยาบาลลืมมือถือเอาไว้ในห้องน่ะค่ะ ไม่ได้เอาไปด้วย”
“มิน่า เราถึงโทรติดต่อนะโมไม่ได้” ปารมีเครียด
ทิพย์นึกได้
“แล้วพระล่ะ นะโมยังใส่ใส่สร้อยพระอยู่มั๊ย”
“เอ่อ...เรื่องนั้นก็ไม่ทราบนะคะว่าเธอใส่รึเปล่า” อนงค์ชักสงสัย “พวกคุณ...มีอะไรกันรึเปล่าคะ”
ทั้งสามมองหน้ากัน ไม่รู้จะบอกยังไง ทิพย์เลยตัดสินใจถามอนงค์
“หลังๆมานี่ มีเรื่องอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับยายนะโมบ้างมั๊ยคะ”
“เรื่องแปลกๆ มีเยอะเลยค่ะ”
หมอก้องรีบถามอย่างร้อนใจ
“มีเรื่องอะไรบ้างครับ”
“ก็คุณพยาบาลน่ะสิคะ ท่าทางแปลกๆ”
ปารมีสงสัย
“แปลกยังไงจ๊ะ”
“บอกไม่ถูกน่ะค่ะ แต่ท่าทางไม่เหมือนคุณพยาบาลคนเดิม เปลี่ยนไปเหมือนกับเป็นคนละคนเลย พวกเราในครัวยังเม้ากันเลยค่ะว่า...ท่าทางคุณพยาบาลเหมือนคนโดนผีเข้า”
ทั้งสามโพล่ออกมาพร้อมกัน
“ผีเข้า”
ค่ำนั้น...เชตะวันพาเนตรอัปสรมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอตักอาหารเอาใจเขา
“คุณนี่ เอาใจคนเก่งเหมือนกันนะ” เชตะวันมองแล้วยิ้ม
“แค่เจ้าคนเดียว”
เชตะวันอึ้ง คิดว่าเนตรอัปสรให้ท่า เขาเลยแกล้งลองใจเธอโดยเอามือ วางทับลงบนมือของเธอ เนตรอัปสรก็ยอมให้เขาจับมือแต่โดยดี ไม่หนี เชตะวันเลยเข้าใจไปเลยว่าเนตรอัปสรมีใจให้กับเขา เชตะวันมองเนตรอัปสรแล้วยิ้มตาเป็นประกาย เธอก็ยิ้มให้เขาในลักษณะเดียวกัน
เพื่อนทั้งสามของเนตรอัปสร เพิ่งฟังเรื่องราวที่อนงค์เล่าให้ฟังจบ ทิพย์หน้าเสีย
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณแม่บ้านเล่าให้เราฟังนะ ยายนะโมของเราท่าทางจะถูกผีเข้าแน่ๆเลยยายปาน”
ปารมีกังวลใจ
“ถ้าจริง เราควรจะทำยังไงกันดีละคะหมอ”
หมอก้องส่ายหน้า
“ผมไม่รู้ ผมเป็นหมอรักษาคนนะ ไม่ใช่หมอผี แล้วเรื่องแบบนี้ มันมีจริงเหรอ ปาน ทิพย์ พวกเราเรียนกันมาทางวิทยาศาสตร์นะ เราไม่ควรเชื่อเรื่องผี”
“แต่ทิพย์เชื่อค่ะหมอ”
“ปานก็เชื่อค่ะ”
“นงค์ก็เชื่อค่ะ”
หมอก้องตัดบท
“เอาเถอะๆ รอให้ยายนะโมกลับมาถึงบ้านก่อน ได้เจอตัวกันก่อนค่อยว่ากัน”
มีเสียงรถมาที่หน้าบ้าน ทุกคนชะเง้อมองไปที่หน้าบ้าน อนงค์หันมาบอก
“คุณเชตกับคุณพยาบาลกลับมาแล้วค่ะ”
ทั้งหมดผุดลุกขึ้นทันที
เชตะวันกับเนตรอัปสรลงมาจากรถ เชตะวันมองดูรถของหมอก้องที่เข้ามาจอดอยู่ก่อนแล้วในบ้านอย่างสงสัย
“เอ๊ะ รถใคร”
บวรเข้ามาส่งภาษาใบ้บอกรถเพื่อนๆคุณพยาบาล เชตะวันหงุดหงิดขึ้นมาทันที รู้สึกไม่ชอบใจเพราะรู้ว่าหมอก้องชอบเนตรอัปสรอยู่ เขาเลยคว้ามือเนตรอัปสร แล้วเดินจูงมือเข้าไปในบ้านคล้ายเป็นแฟนกัน เนตรอัปสรก็ไม่ว่าอะไรยอมให้เขาเดินจูงมือเข้าบ้านไปแต่โดยดี บวรมองตามด้วยสีหน้าไม่สบายใจเลย
เชตะวันเดินจูงมือเนตรอัปสรเข้ามาในบ้าน ทุกคนชะงักมอง หมอก้องหึงปรี๊ดเดินพุ่งเข้าไปดึงมือเนตรอัปสรออกจากมือของเชตะวันทันทีแล้วบอกเสียงเข้ม
“นะโม ไปกับหมอเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องทำแล้ว งานที่นี่น่ะ”
แต่เนตรอัปสรสะบัดมือออกจากหมอก้อง
“ไม่...ข้าจะอยู่ที่นี่”
ปารมีกับทิพย์ตามเข้ามา มองเนตรอัปสรอย่างจับพิรุธ ปารมีค่อยๆตะล่อมถาม
“นะโม เธอ...สบายดี...รึเปล่าจ๊ะ”
เนตรอัปสรตอบเรียบนิ่ง
“สบายดี”
ทิพย์ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
“แต่ท่าทางเธอ...ดูแปลกๆนะ นะโม ถ้ายังไง กลับบ้านกับพวกเราก่อนเถอะนะ”
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ไปไหน ข้าจะอยู่กับชุนที่นี่”
“ชุน...ใครคือชุน”
ปารมีหันไปมองเชตะวันเป็นเชิงถาม แต่เชตะวันส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือ ชุน หมอก้องเลยตัดสินใจ
“ไม่รู้ละ หมอจะต้องพานะโมกลับไปบ้านเดี๋ยวนี้ให้ได้”
พูดจบหมอก้องก็คว้าข้อมือเนตรอัปสรแล้วจะลากออกไป
“ไม่”
เนตรอัปสรสะบัดสุดแรงแล้ววิ่งหนีไป หมอก้องจะตาม แต่เชตะวันพุ่งเข้ามาสกัดหน้าไว้
“อย่ายุ่งกับคุณเนตร เขาบอกว่าไม่กลับ ก็ไม่กลับสิ”
หมอก้องไม่สนใจจะวิ่งตามไปให้ได้ เชตะวันเลยชกหน้าเปรี้ยง พวกผู้หญิงร้องวี๊ดว๊ายด้วยความตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ปารมีตัดสินใจเข้าไปช่วยหมอก้องแต่หมอก้องโมโห ลุกขึ้นพุ่งเข้าไปชกเชตะวันบ้าง สองหนุ่มชกกันนัวเนีย ส่วนทิพย์กับอนงค์ไม่รู้จะทำยังไง แล้วทิพย์ก็ตัดสินใจว่าจะวิ่งตามเนตรอัปสรไป แต่ก็กลัวผีอยู่เลยฉุดมืออนงค์ให้วิ่งไปด้วยกัน
“ว๊าย”
อนงค์กับทิพย์วิ่งหายไป เหลือแค่เชตะวันกับหมอก้องที่ชกกันนัวเนียอยู่ โดยมีปารมีพยายามห้าม
เนตรอัปสรวิ่งกลับมาที่ห้อง แต่พอจะปิดประตูห้อง ทิพย์กับอนงค์ก็วิ่งเข้ามาขวางไว้ ทำให้ปิดประตูไม่ได้ เนตรอัปสรมองทั้งสองตาขวาง เดินตรงเข้าไปหาอย่างประสงค์ร้าย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรัศมีของพระที่อนงค์กลัดไว้กับเสื้อเรืองวาบขึ้นมา เนตรอัปสรผงะถอยหลังทันทีทิพย์กับอนงค์มองปฏิกิริยาของเนตรอัปสรอย่างสงสัย แล้วทั้งสองก็มองดูสิ่งที่เนตรอัปสรกลัวคือพระที่อนงค์กลัดไว้ที่อกเสื้อตัวเอง อนงค์และทิพย์หันมามองหน้ากัน ชักมั่นใจแล้วว่าเนตรอัปสรคงจะถูกผีเข้าจริงๆ
อนงค์ปลดพระออกจากตัวแล้วเดินชูเข้าไปหา เนตรอัปสรถอยหลังหน้าตาหวาดกลัวพระถอยไปจนชนผนังห้อง หนีต่อไม่ได้ เนตรอัปสรโกรธที่ถูกไล่มาจนมุม ตัดสินใจพุ่งเข้าผลักอกทิพย์ ซึ่งไม่ได้ถือพระอย่างอนงค์ ทิพย์เสียหลักไปชนอนงค์ จนล้มไปด้วยกันทั้งสองคน เปิดโอกาสให้เนตรอัปสรมีจังหวะหนี เธอจะวิ่งออกจากห้อง แล้วทันใดนั้นก็ต้องชะงักกึก
เมื่อเห็นใครคนหนึ่ง ยืนขวางทางออกประตูอยู่
อ่านต่อตอนที่ 17