โปรดทราบ : เพื่อให้นิยายจากบทโทรทัศน์เรื่อง "แค้นเสน่หา" เข้าใจง่าย และสะดวกต่อการเรียบเรียง ทีมงานจึงขอสงวน "คำราชาศัพท์" ไว้เฉพาะ ในบทสนทนาของตัวละคร เท่านั้น!
แค้นเสน่หา ตอนที่ 4
อยู่มาวันหนึ่ง สองหนุ่มศักดินากับฉัตต์ยืนคุยกันอยู่ที่บริเวณมุมหนึ่งของโรงเรียน ท่าทางสองหนุ่มเพิ่งมาถึงทั้งคู่ ไม่ไกลจากบริเวณนั้น แลเห็นนักเรียนชายเดินกันไปมา กิริยาเรียบร้อย หลายคนอ่านหนังสือกันบ้าง คุยกันบ้าง
“ริมาอยู่โรงเรียนเป็นหัวโจก เป็นมั้ยครับพี่ฉัตต์” ศักดินาพูดถึงคู่กัดตั้งแต่เล็กจนโต
ฉัตต์หัวเราะเบาๆ “แน่นอน ยังสงสัยอะไรอีก”
“ไม่สงสัยอะไรเลยครับ” ศักดินาหัวเราะด้วย
ฉัตต์คิดถึงรุ้งขึ้นมา
“ไม่เหมือนรุ้ง” ชายเดียวปรารภ
ฉัตต์หน้าเปลี่ยนทันที “ทำไม”
“รุ้งเรียบร้อยไงครับ น่ารัก” ศักดินาพูดด้วยเสียงเรียบเรื่อย
ฉัตต์หันมาเพ่งมอง
“นะครับพี่ฉัตต์ เหมือนผู้หญิงโบราณ” ศักดินาบอกอีก
“เชอะ”
“ทำไมพี่ฉัตต์ไม่ชอบรุ้ง...เป็นน้องเหมือนกันนี่ครับ”
ฉัตต์นิ่งไปนิด เปลี่ยนเรื่อง “ปิดเทอมแล้ว ชายเดียวมีโปรแกรมทำอะไรมั่ง”
เย็นวันนั้น สาลี่ทำกับข้าวบางอย่างอยู่ในครัววังรังสิยา
ผ่องเดินมาเร็วรี่ “พี่สาลี่”
“ไง ยายผ่อง รีบเดินขนาดนี้..ตามควายเรอะ โน่นเห็นมีคนสนตะพายไปโน้น”
“พี่ลี่ล่ะก็พูดเล่นไปได้ ฉันมาสั่งอาหารให้คุณชาย คุณชายกลับจากโรงเรียนแล้วท่านหญิงทรงสั่งเองเชียวนะ” ผ่องบอก
“คุณชายปิดเทอมแล้วใช่มั้ยเนี่ย ดีเลย ต่อไปนี้จะได้ทำอาหารอร่อยให้ท่านทุกวัน”
ทางด้านชายเดียวอยู่ในชุดนักเรียนยืนทอดสายตาไปในน้ำ
ท่านหญิงเดินเข้า “ชาย”
ศักดินาหันกลับมาช้าๆ น้ำตายังกองอยู่บนแก้ม
“ชายร้องไห้ทำไมหรือลูก” ท่านหญิงถามไม่ได้ตกใจ เป็นบุคลิก ที่เก็บความรู้สึก เก็บกิริยาเสมอ
“ไม่ทราบค่ะท่านแม่ ชายรู้สึกเศร้า.. ทุกครั้งที่มายืนตรงนี้” ศักดินามองไปรอบๆ “ไม้รู้เพราะอะไร” เสียงที่พูดบอกกับตัวเองเบาหวิว
“ชายคิดไปเอง... ขึ้นตำหนักเถิด แม่อยากให้ชายเช็ดองค์ให้ท่านพ่อ”
“เช็ดองค์ท่านพ่อ... ชายไม่เคยทำนี่คะท่านแม่”
“นายสนเค้าเช็ดอยู่ทุกวัน เขาก็ไม่เคยทำเหมือนกัน” ท่านหญิงมองหน้า
ศักดินามองแม่ตอบ “ได้ค่ะ ชายจะพยายาม”
ท่านหญิงส่งมือให้ชายเดียววางมือ จับและจูงกันไป
“ชายคงต้องทำอะไรๆ ถวายท่านพ่ออีกหลายอย่าง” เสียงท่านหญิงบอก
สนอยู่ในห้องบรรทมท่านชายรังสิโยภาส และกำลังเช็ดตัวท่านชาย ซึ่งท่านชายยอมให้เช็ดโดยดี ศักดินาเปิดประตูเข้ามา ท่านชายเห็นมีสีหน้าขึงตึงขึ้นมาทันที
“เช็ดองค์ท่านพ่อหรือสน”
“พลิกองค์นะกระหม่อม คุณชายจะลองทำใช่มั้ยครับ”
ศักดินาขยับเข้ามา
“ยัง” ท่านชายมองหน้าชายเดียวเขม็ง ชายเดียวชะงัก
“สองชั่วโมงแล้วกระหม่อม” สนท้วง
“บอกว่ายังไม่พลิก”
“ไม่ได้กระหม่อม หมอสั่งไว้ ให้พลิกองค์ทุกสองชั่วโมงจะได้ไม่เป็นแผลที่หลังกระหม่อม”
ท่านชายเดือดดาลโวยลั่น “โว๊ย..ไอ้สน มึงจะขัดคำสั่งกูเรอะ กูบอกไม่ก็ไม่สิวะ ...ไป๊”
ศักดินาก้าวพรวดออกนอกห้อง สนรีบตามไป
สองคนออกมาหน้าห้องบรรทมอย่างเร็ว มีเสียงของถูกปาดังเปรี้ยง สนปิดประตูแทบไม่ทัน ศักดินายืนหน้าเหยเกมาก
“คุณชายครับ”
“สน...ทำไมท่านพ่อไม่รักฉันเลย” ชายเดียวเสียงเครือ
“ไม่ใช่ครับคุณชายอย่าพูดอย่างนั้น ท่านชายประชวรนะครับ คนเจ็บเป็นอย่างนี้แทบทุกคน ยิ่งประชวรแบบลุกไปไหนไม่ได้ก็ยิ่งพระอารมณ์ไม่ดีนะครับ คุณชาย”
“อย่าพูดเลยสน ฉันรู้ว่าท่านพ่อไม่รักฉัน บอกฉันสิ ทำไม”
“เป็นพ่อรักลูกอยู่แล้วครับคุณชาย” สนว่า
“สน...อย่าพูดปดกับฉัน ฉันโตแล้วนะ หลอกเหมือนฉันเป็นเด็กๆ”
“จริงครับคุณชาย ผมพูดจริงๆ”
ชายเดียวจ้องหน้าสนนิ่งๆ สายตานั้นเป็นผู้ใหญ่เกินวัย
“จำไว้นะสน จำไว้ว่าฉันพูดไม่ผิด ท่านพ่อไม่ทรงรักฉันเลย ฉันไม่รู้ว่าทำไม”
ท่านหญิงแอบฟังอยู่ สงสารคุณชายศักดินามาก
ภายในห้องบรรทมท่านหญิง มือท่านหญิงทอดอยู่บนโต๊ะ นั่งหน้าเครียดจัด สักครู่ ก็ทุบมือข้างนั้นกับโต๊ะเบาๆ อย่างอัดอั้นเต็มที่ สีหน้าที่มีแต่ความทุกข์ทนแผ่ซ่านไปทั่ว แล้วทุบ..ทุบ..แรงขึ้นๆ
ภาพท่านชาย ที่ไม่สนใจชายเดียว และที่ปิดประตูใส่หน้าท่านหญิง ผุดขึ้นในห้วงคิด
ท่านหญิงเปล่งเสียงของความอัดอั้นออกมาเบาๆ
“ท่านหญิงมังคะ” เสียงนางเฟืองดังขึ้น
ท่านหญิงเหลียวไป แล้วจ้องไปตรงที่ที่นางเฟืองอยู่มุมห้อง ท่านหญิงทำหน้าเหมือนจะพูดว่า ให้ไปกับเฟืองหรือ?
ที่มุมห้องปรากฏร่างของปีศาจนางเฟือง จากหันหลังให้ มันค่อยๆ หมุนด้วยกิริยาลอยๆ หันกลับมาทางท่านหญิง จ้องกันสักครู่แล้วก็พยักหน้าให้ตามไป
ประตูห้องบรรทมท่านชายเปิดเข้ามา ใบหน้าท่านหญิงโผล่เข้ามาช้าๆ แต่ไม่ลังเล ไม่ใช่แอบดู ท่านหญิงเดินเข้ามาเหมือนตัวลอยได้ เนื่องเพราะยามนี้ได้ถูกนางเฟืองเข้าสิงร่างแล้ว ส่วนท่านชายหลับสนิท และฝันไป
เวลานั้นทั่วทั้งห้องบรรทมกำลังปั่นป่วนด้วยอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณนางเฟือง ลมแรงพัดอื้ออึง มุ้งปลิวสะบัดไปมา ม่านหน้าต่างปลิวสะบัด เก้าอี้ โต๊ะ เลื่อนไปมา กระดาษ หนังสือปลิวว่อน
ท่านชายตาโต...ตกใจ มองไปมุมห้อง เห็นวิญญาณนางเฟือง ยืนเห็นเป็นเงาลางๆ
“อีเฟือง”
ผีนางเฟืองก้าวออกมาช้าๆ สีหน้าเยาะหยัน แล้วค่อยๆ เปล่งเสียงหัวเราะทีละน้อย..ที่ละน้อยจนดังก้องห้อง
“อีเฟือง กูไม่กลัวมึงหรอกโว๊ย อีผีตายโหง มึงจะเก่งสักแค่ไหน มึงก็แค่สัมภเวสีร่อนเร่ไปทางโน้นทีทางนี้ที”
“ไม่กลัวใช่มั้ยมังคะ...ดีแล้ว ไม่กลัวก็ดีแล้ว”
ลมแรงขึ้น สิ่งของปลิวมากขึ้น
เสียงหัวเราะของนังเฟือง บาดแก้วหูท่านชาย ดังก้องไปก้องมา และจากมุมห้องผีนางเฟืองพรวดเดียวมาถึงร่างท่านชาย หน้าผีเข้ามาเกยอยู่ที่ไหล่ จงใจพูดใส่หูฟังแล้วน่ากลัวมาก
“ทรงจำไว้ อย่าให้ท่านหญิงของหม่อมฉันเสียพระทัยเป็นอันขาด หม่อมฉันเตือนไว้ก่อน” นางเฟืองขู่
“ไม่กลัว ไม่กลัวโว๊ย เข้ามาเลยนางเฟืองมึงเก่งจริงมึงเข้ามา”
ท่านชายพยายามยกมือกวัดไกวไปมา สีหน้าท่านชาย เปล่งเสียงด่าอย่างโกรธจัด ตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงแล้ว เห็นแต่ปากอ้า สายตาลุกวาว
ใบหน้าผีนางเฟือง พรวดเดียวมาเกยองค์ข้างใบหน้าท่านชาย หัวเราะดังกระหึ่ม แล้วเปลี่ยนมาลอยอยู่เหนือร่างท่านชาย ชะโงกหน้าจนชิด หัวเราะดังกึกก้องก้อง
ท่านชายลืมตาอย่างตกใจ เสียงดนตรี เสียงลม เสียงทุกอย่างเงียบสนิทไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ในที่ของมันอย่างเรียบร้อย
ท่านหญิงยืนอยู่หน้าเตียง
ท่านชายสะดุ้งเล็กๆ “หญิงแขไข”
“มีเรื่องเดียวที่หญิงอยากทูลเจ้าพี่”
“ทำไม อีเฟืองมันบอกให้มาพูดรึ ฮะ มันตายไปแล้วเธอยังให้มันครอบงำเธออยู่ไม่เลิกเสียที จนเธอตายใช่มั้ยหญิงแขไข หรือว่าถึงแม้เธอจะตายไป เธอก็จะอยู่เป็นวิญญาณร่อนเร่อย่างนี้เป็นเพื่อนมัน”
“มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่หญิงจะทูล”
“ไม่ฟัง ไม่ต้องมาบอกอะไรฉัน เธอมันไม่ใช่ตัวเธอแล้ว เสียดายมีความรู้มากมาย แต่ต้องมายอมให้นังปีศาจมันครอบงำ ไม่มีสติปัญญาที่จะรู้ว่าอีเฟืองน่ะมันอุบาทว์ชาติชั่วตั้งแต่ยังเป็นๆ ตายไปแล้วแทนที่จะไปผุดไปเกิดมันกลับยิ่งอุบาทว์มากขึ้น เป็นเพราะอะไร เพราะเธอนั่นแหละ ยอมมัน..ไม่รู้เป็นบ้าอะไร ยอมตั้งแต่มันเป็นจนมันตาย”
“เรื่องที่หญิงจะทูล...”
ท่านชายสวนทันที “ไม่ฟัง บอกว่าไม่ฟัง ออกไปได้แล้ว”
“ก็คือ...” ท่านหญิงพยายามจะบอก
ท่านชายใช้สองมือปัดหมอน ปัดผ้าห่ม แต่ก็อ่อนแรงเต็มทน เสียงที่เปล่งออกมาโกรธจัด หายใจหอบแรง
“กูไม่ฟัง ..ไม่ฟัง..ไม่ต้องบอก” ท่านชายแค้นใจจนน้ำตาคลอๆ “อีนังเฟือง...กูจะสาปแช่งมันขอให้มันตกนรกอย่าได้ผุดได้เกิด”
ขณะที่ท่านชายกำลังอารมณ์ถึงขีดสุด หายใจหอบแรง เสียงขาดเป็นห้วงๆ นั้น ท่านหญิงเดินมาช้าๆ เยือกเย็น สีหน้าเหมือนหน้ากาก ไปจนถึงเตียงท่านชาย ยืนก้มลง...จ้อง
ท่านชายที่กำลังอารมณ์แรงๆ เสียงเบาลง กิริยาอ่อนลง พอท่านหญิงถึงเตียงก็หยุดจ้องท่านหญิง สายตาเริ่มหวาดหวั่นแต่มือสองข้างยังพยายามโบก
ท่านหญิงโน้มตัวลง จับมือท่านชายกดลงทั้งสองข้าง ทำให้ต้องก้มลงไปจนอยู่ในท่าเผชิญหน้ากัน
ท่านชายอ้าปากค้าง ตัวเหมือนจะแข็งไปหมด
“ชายเดียว...ศักดินา เป็นลูกชายของเจ้าพี่ เป็นลูกที่เกิดจากนังบุหลันคนที่เจ้าพี่รักยิ่งกว่าใครแม่ของชายเดียวจะตายหรืออยู่ไม่มีใครรู้ แต่ลูกชายของเขาอยู่ ถึงหญิงจะเสียใจในสิ่งที่เจ้าพี่ทรงทำแค่ไหน หญิงก็ไม่ไร้สติที่จะไปเอาเด็กที่ไม่มีเชื้อสายเจ้าพี่มายกย่องเป็นทายาทของราชสกุลรังสิยา หญิงไม่สิ้นคิดแก้แค้นถึงขนาดนั้น”
ท่านหญิงพูดแต่ที่เปล่งออกมากลับเป็นเสียงนางเฟือง
ท่านชายเสียงแหบแห้ง “อีเฟือง อีบ่าวชั่ว”
“เฟืองตายไปแล้วอย่ารับสั่งใส่ร้ายเขา เพราะหญิงจะโกรธเจ้าพี่มากและถ้าหญิงโกรธ” สายตาท่านหญิงแขไขขณะพูดเยือกเย็นยิ่งขึ้น
สองคนจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เฟืองเขาจะโกรธยิ่งกว่าหญิง”
พอท่านหญิงเปิดประตูออกมานอกห้อง ก็กลายเป็นท่านหญิงเอง กิริยาอ่อนระโหย พิงประตูสีหน้าอัดอั้นตันใจ
เสียงท่านชายด่านางเฟืองดังลอดออกมา “มาเลยอีเฟือง อีขี้ข้า อีปีศาจ อีกเลวราด (กะ-เล-วะ-ราด) กูไม่กลัวมึงหรอก”
ท่านหญิงมีสีหน้าเย็นเฉียบ ยืนตัวตรงขึ้น จากมองตรงๆ เหลียวไปนิดๆ เหมือนสบตากับนางเฟือง สีหน้าสะใจนิดหนึ่ง
ท่านหญิงเดินไป กิริยาเหมือนเดินไปกับใครคนหนึ่ง
ส่วนที่ครัวบ้านปัณณธรเช้าวันต่อมา จันทร์กำลังทำซุปให้พจน์ สำลีนั่งมองอย่างสนใจ
“เขาเรียกว่าอะไรเหรอพี่จันทร์” สำลีถาม
“ซุป”
“ซุป เอ๋อ..ชื่อประหลาดดี ซุป...ซุปเหรอพี่ ภาษาไทยเรอะเปล่า”
จันทร์พยักหน้า “คนเจ็บทานแล้วดี”
“อ๋อ.. พี่จันทร์ทำให้คุณพจน์”
สำเนียงแหวใส่ “นังลี...สาระแนล่ะเอ็ง”
“ตรงไหนเหรอแม่” สำลีถาม
“อะไรกงไหน”
“ฉันสาระแนตรงไหนเหรอแม่”
“รู้ได้ไงวะ ว่าทำให้คุณพจน์”
“ก็คุณพจน์ไม่สบายจะบอกให้นะคุณสำเนียงเสียงหวาน”
มะเขือ มะนาว และอะไรขนาดประมาณนั้น ปามาอย่างแม่นยำ ลงกลางกระหม่อมสำลีพอดี
“ทะลึ่งนะมึงนังสำลี”
“แม่” สำลีแผดเสียงเอาเรื่อง “ฉันเจ็บนะ”
ละเมียดเดินเข้ามาหา
“จันทร์ คุณหญิงสั่งให้ไปเช็ดตัวให้คุณพจน์”
ค่ำคืนนั้น โถซุปควันกรุ่นๆ อยู่ในถาดที่สำลีถือเข้ามา สำลีชำเลืองมองจันทร์กำลังเช็ดตัวให้พจน์ ที่เป็นไข้นอนซม หลับอยู่บนเตียง จันทร์ เช็ดตัวนุ่มนวล สีหน้าไม่วอกแวก ตั้งใจทำงาน ก้มหน้าก้มตา พจน์นอนนิ่งเหมือนจะหลับ สำลีย่องออกไป
จันทร์เช็ดตัวเสร็จ เก็บของขยับตัวจะลุกขึ้น
พจน์ลืมตา “จันทร์”
“คะ” จันทร์ยิ้มบางๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
“อะไรหรือ”
“ซุปมะเขือเทศค่ะ คุณพจน์รับประทานเลยนะคะ กำลังร้อนๆ”
“ไว้ตรงนี้” พจน์มองไปที่โต๊ะหัวเตียง “เดี๋ยวฉันทานเอง”
“ค่ะ” จันทร์เอาซุปมาวางลง
“ขอบใจ”
จันทร์เก็บของออกไปเงียบๆ พจน์ มองตาม สายตาพึงพอใจมาก
ที่สนามหน้าตึก วันต่อมา พจน์เพิ่งฟื้นไข้นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น คุณหญิงเพ็งนั่งคุยกับละเมียดเบาๆ ละเมียดนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เก้าอี้
จริมากับรุ้งวิ่งเล่นกันอยู่ จริมานั้นโลดโผนมีการตีลังกา แต่รุ้งเล่นแบบหนีๆ หัวเราะชอบใจเล็กๆ
เสียงจริมาคุยกับรุ้งดังแว่วๆ มา
“อย่างนี้เค้าเรียกว่า ยิมนาสติก” จริมาบอก
“ใครบอกคะ”
“ครูโมทย์บอก ฝรั่งเค้าเก่ง”
“ผู้หญิงทำได้เหรอคะ”
“ผู้หญิง...ทำไม ผู้หญิงทำไม่ได้เหรอตัวเล็ก นี่ไงทำให้ดู”
จันทร์ถือถาดใส่ของกินมาให้พจน์ หยิบวางนุ่มนวล
“อะไรเนี่ย...ของว่างหรือ” คุณหญิงถาม
“เกี๊ยวกุ้งน้ำค่ะ คุณพจน์ยังไม่หายดี ดิฉันทำอาหารอ่อนๆ ให้รับค่ะ” จันทร์ว่า
“นั่นน้ำอะไร” คุณหญิงถามอย่างสนใจ
“น้ำสัปปะรดคั้นค่ะ”
“ขอบใจ... น่าทาน” พจน์ยิ้มน้อยๆ ให้จันทร์
จันทร์เงยหน้ามอง ยิ้มตอบ สองคนสบตากันนิ่งๆ อยู่อึดใจหนึ่ง เหมือนเผลอตัวทั้งคู่
คุณหญิงเพ็งลอบสบตากับละเมียด ส่วนฉัตต์ยืนมองพจน์กับจันทร์ หน้าบึ้งจัด
“ชวนจันทร์ไปทำขนมดีกว่า ตัวเล็กไปเก็บใบตองมาเยอะๆ นะ ห่อขนม” จริมาเอ่ยขึ้น
ฉัตต์ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ได้ยิน
ภายในครัวสำลีเหน็บแม่
“สบายใช่มั้ยแม่”
“สบายอะไร” สำเนียงสับหมูเบาๆ
“ยังจะถาม...ไม่รู้ตัวเชียวเหรอใจคอ”
“พูดออกมา...ไม่ถูกหูข้า” สำเนียงสับหมูเร็วขึ้น “ปังตอเนี่ยจะสับหน้าเอ็ง”
“ไปล่ะ” สำลีจะเดินไป
“เฮ้ย...ไปไม่ได้ พูดมาก่อนข้าสบายเรื่องอะไร”
“ไม่ต้องทำอาหารให้คุณพจน์”
“แน่นอน” สำเนียงรับรู้ท่าทีเฉยๆ
สำลีงง “อ้าว...ว่าไม่เจ็บเลยเหรอเนี่ย”
“เรื่องจริงจะเจ็บทำไม”
“นี่...แม่ ฉันว่านะ คุณพจน์กับพี่จันทร์...”
สำเนียงรีบจุ๊ปากเบาๆ ชำเลืองไปที่รุ้ง
เห็นรุ้งนั่งก้มหน้าก้มตาตัดใบตองเป็นวงกลม โดยเอาถ้วยวาง มีดกรีด มีอ่อนช่วยทำอยู่ด้วย
“ทำใบตองให้คุณริมาห่อขนม”
สำเนียงกระซิบเบาๆ หันหลังไปหยิบของบางอย่าง เรียกสำลีไปช่วย
จังหวะนี้ฉัตต์เดินลอยชายมาใกล้รุ้ง ชำเลืองมองสำเนียง แล้วเดินมาเฉียดรุ้ง มือผลักเบาๆ ตั้งใบตองที่ตัดแล้วกระจายเกลื่อน รุ้งนั่งอึ้ง อ่อนก็เห็น สำเนียงหันมาแต่ไม่ทันเห็น
“ยายเนียง...หิว อยากกินเกี๊ยวกุ้ง” ฉัตต์เอ่ยขึ้น
สำเนียงงง “เกี๊ยวกุ้ง ...ที่ไหนคุณฉัตต์”
“อย่ามาถามที่ไหน คุณพ่อยังรับทานอยู่เลยเมื่อกี้” ฉัตต์ว่า
“มีแค่นั้นล่ะคุณฉัตต์...ให้คุณพ่อทานคนเดียว” สำเนียงบอก
“เอ่อ...” ฉัตต์กระแทกเสียง เตะอะไรตรงนั้นกระเด็นไป อย่าแรงมากจนดูน่าเกลียดเกินไป “อย่าหวังเลย” แล้วเดินพรวดๆ ไป
สำเนียงอ้างปากค้าง งง หันมาทางรุ้งซึ่งกำลังเก็บใบตองที่กระจายอยู่
“อ้าว...นั่น....เอาอีกแล้วคุณฉัตต์ เตะใบตองซะกระจาย”
“คุณฉัตต์ทำใช่มั้ยนังอ่อน” สำลีถาม
อ่อนมองหน้ารุ้ง รู้ว่าต้องตอบยังไง
“ฉันไม่เห็น” อ่อนว่า
“เฮ้ย ตาบอดรึแกเนี่ย กระจายซะขนาดนี้” สำลีบอก
ฉัตต์หันมาดูอย่างสะใจ เดินออกไปอย่างสบายอารมณ์
คืนนั้น จันทร์อยู่ในห้องกำลังเหน็บชายมุ้งเข้าใต้ที่นอน รุ้งนอนมองแม่
“แม่...เกี๊ยวกุ้งอร่อย ทำไมทำให้คุณพจน์ทานคนเดียว ไม่ทำเยอะๆ ล่ะจ๊ะ”
จันทร์อึ้งนิ่งงันไป
ที่วังรังสิยา ภายในห้องบรรทมท่านชายตอนค่ำวันเดียวกัน สนกำลังรินน้ำชาให้
“สน”
“กระหม่อม”
“เอารถเข็นมา เอ็งหาคนมาช่วยกันพาข้าลงไปข้างล่าง”
ไม่นานนักท่านชายรังสิโยภาสประทับเก้าอี้รถเข็นอยู่ในห้องโถง กวาดสายตามองไปจนทั่ว สน มหาดเล็ก คุกเข่าเฝ้าอยู่
“สน”
“กระหม่อม”
“วังของข้า...มันแทบจะไม่ใช่วังของข้าอีกแล้ว”
สนนิ่ง สายตาเห็นใจ
สาลี่ พิกุล ละมัย ผ่อง เดินตุ้บตั้บมาเป็นพรวน มาถึงหมอบกราบ
“ท่านชายมังคะ หม่อมฉันดีใจจริงๆ ท่านชายดำเนินได้แล้วหรือมังคะ”
ท่านชายเอ็ด “นังสาลี่ พูดจาเพ้อเจ้อนะเอ็ง ข้าเป็นอัมพาตจะเดินได้ไงวะ”
“อ้าว นังพิกุล” สาลี่หันไปต่อว่า รวมทั้งละมัย ผ่อง ด้วย รุมต่อว่าพิกุล “มันไปประกาศเสียงดังมังคะว่าท่านชายเด็จลงมาข้างล่างได้แล้ว หม่อมฉันอุตส่าห์ดีใจ”
“เออ...ดีใจเก้อไปเถอะ ข้าน่ะเดินไม่ได้จนตายนั่นแหละ” ท่านชายประชดตัวเอง
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองทันที
“ที่ข้าได้รับเคราะห์อย่างนี้มันมีคนทำ” ท่านชายเสียงเข้ม
ทุกคนเงยหน้ามองท่านชาย
ท่านชายรังสิโยภาสกวาดตามองมา “พวกเอ็งเตรียมตัวไว้ สน เอ็งไปหาหมอผีที่เก่งมากๆ มาคนหนึ่ง ข้าจะให้เขาทำพิธีปัดรังควาญไล่ผี”
ทุกคนมีสีหน้าสมใจในหน้า ยกเว้นผ่อง
“คนมันชั่ว ตายไปมันก็เป็นวิญญาณชั่ว ไม่เกรงกลัวบาปกรรม ต้องเอามันไม่ให้ผุดให้เกิด ให้เขาสะกดวิญญาณชั่วร้ายของมันไปอยู่ในอเวจี” เสียงท่านชายดังกังวานด้วยความแค้นแน่นหัวอก
ผ่องตกใจ ท่านหญิงอยู่ที่หน้าต่าง มองลงมา
ค่ำแล้วผ่องกำลังรายงาน เรื่องที่ได้ยินให้ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสซึ่งอยู่ในห้องบรรทมฟัง ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่า
“ท่านชายให้หาหมอผีมาขับไล่วิญญาณ ท่านว่า พี่เฟืองทำให้ท่าน...” เสียงผ่องแผ่วๆ จางไป
ท่านหญิงและผ่อง อ้อมไปที่มุมห้อง
วิญญาณนางเฟืองยืนจังก้า หน้าก้มนิดๆ แต่นัยน์ตากล้าแข็ง โกรธแค้นอย่างรุนแรง น่ากลัวมาก
จันทร์เปิดประตูออกมา สีหน้ายังอึ้งคำพูดลูกสาว
“จันทร์” ละเมียดทัก
“คะ”
“ฉันรอจะบอกข่าวดี ขึ้นม.7 คุณหญิงจะส่งรุ้งไปเรียนโรงเรียนเดียวกับคุณริมานะ”
จันทร์ดีใจ “จริงหรือคะ” แต่แล้วสีหน้าสลดลง “แต่..ฉันคงรับไม่ได้ มันเกินฐานะของเรา”
“ฉันแนะนำให้ยอมรับ คุณหญิงท่านเมตตา ท่านต้องมีเหตุผล อย่าขัดท่าน”
“มันเกินฐานะ” จันทร์พึมพำเบาๆ
“โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเจ้าโรงเรียนนาย ไม่อยากให้รุ้งเรียนเหรอ” ละเมียดว่าต่อ
จันทร์ตกใจ “คุณเมียดหมายความว่ายังไง โรงเรียนเจ้านายทำไมฉันต้องอยากให้รุ้งเรียน”
ละเมียดหัวเราะเบาๆ “ตกใจทำไม ฉันหมายความแค่รุ้งเป็นลูกจันทร์ เป็นเด็กน่ารัก ถ้ามี
ทางส่งเสริมลูกให้โตอย่างงดงามยิ่งขึ้น...” ละเมียดมองตาสีหน้ามีนัย “ทำไมไม่อยากทำ”
จันทร์นั่งคิดถึงคำละเมียดอยู่ตรงม้านั่งยาวในสนามหลังบ้าน
“โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเจ้าโรงเรียนนาย ไม่อยากให้รุ้งเรียนเหรอ”
“คุณหญิงวิมลโพยมของแม่” จันทร์ครวญคร่ำอยู่ในใจ
เสียงทักของพจน์ดังขึ้น “จันทร์”
จันทร์สะดุ้ง “คุณพจน์”
“นั่งเถอะ ไม่ต้องลุก ขอโทษนะ”
พจน์นั่งลงบนม้ายาวตัวเดียวกัน ด้วยตรงนี้มีม้ายาวอยู่ตัวเดียว จันทร์ขยับนั่งหมิ่นๆ ทำท่านอบน้อม
“จันทร์ ฉันก็ไม่สบายใจเรื่องฉัตต์” พจน์เอ่ยขึ้น
“ดิฉันไม่เคยคิดโกรธคุณฉัตต์เลยค่ะ บุญคุณของท่านกับคุณพจน์มีต่อดิฉันมากมายเหลือเกิน ดิฉันกับลูกเหมือนตายแล้วค่ะ ถ้าไม่มีบ้านนี้เราจะไม่มีชีวิตอยู่ เราต้องตายไปแล้วในแม่น้ำนี้”
เสียงจันทร์ที่เปล่งออกมาเครือๆ เจือสะอื้น พจน์มองอย่างประทับใจ
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนท้องฟ้า แสงจันทร์นวลอาบไล้ใบหน้าของจันทร์ ดูเศร้า ซึ้ง น้ำตาคลอเห็นเป็นเงาๆ พจน์เหลียวไปทางอื่นทันที ใจเต้นแรง
“เป็นความสัตย์จริงค่ะ เธอเสียใจคุณแม่ของเธอ..ต้องสิ้นไป เราก็มาพอดี”
“ฉันขอบอกว่าใจจริงของฉัตต์ เขาไม่ได้รุนแรงอย่างที่แสดงออก”
“หลายปีมาแล้วที่คุณพจน์ให้รุ้งตีคุณฉัตต์ เธอฝากขนมให้รุ้ง เธอทราบว่ารุ้งไม่สบาย” จันทร์เสริม
“นั่นแหละคือฉัตต์ อ่อนในแต่แข็งนอก วันหนึ่งรุ้งต้องชนะใจฉัตต์ ฉันเชื่อ ผู้ชายต้องแพ้ความอ่อนโยนของผู้หญิงเสมอ”
จันทร์มีสีหน้าละมุนละไม เมื่อคิดถึงลูกสาวขึ้นมา พจน์มองเพลินตา
บรรยากาศสงบใต้แสงจันทร์นวล หัวใจลูกผู้ชายอย่างพจน์ก็เริ่มอ่อนไหว จันทร์ขยับตัว สบตาพจน์ แล้วเลยนิ่งงันกันทั้งคู่ จันทร์รู้สึกตัวก่อน ลุกขึ้นอย่างเบาๆ นุ่มนวล ไม่ทำให้พจน์เสียหน้า
“น้ำค้างแรง คุณพจน์จะไข้กลับ พรุ่งนี้ดิฉันจะทำอาหารเช้าเร็วกว่าปกตินะคะ คุณพจน์จะได้ทานก่อนไปกระทรวง”
พจน์ลุกขึ้น “ขอบใจมาก”
จันทร์เดินห่างไป พจน์ ยืนมองตามด้วยสายตาอ่อนโยน
จันทร์เดินก้มหน้าก้มตา แล้วต้องตะลึง เมื่อฉัตต์ยืนขวางทาง จ้องมาด้วยสายตาเข้มจัด จันทร์ใจเต้นแรงเหมือนกัน ไม่รู้จะพูดอะไร
ฉัตต์ยืนนิ่งจ้องอยู่อย่างนั้น จันทร์ก็จ้องแบบเกรงๆ
อ่านต่อหน้า 2
แค้นเสน่หา ตอนที่ 4 (ต่อ)
จันทร์เข้าห้องนอนลืมตามองเพดานมุ้ง สายตาครุ่นคิดไม่ค่อยสบายใจ ที่เห็นสายตาพจน์ และสายตาฉัตต์ตอนค่ำ
จันทร์ถอนใจยาว พลิกตัวนอนตะแคง มองดูรุ้งที่หลับสนิท แล้วคิดถึงท่านชายรังสิโยภาสในวันที่มาลาไปเยี่ยมหม่อมแม่
คิดแล้วน้ำตาคลอเต็มตาจันทร์
เสียงพูดท่านชายที่สั่งเสียก่อนไปว่าถ้าลูกเป็นผู้ชายให้ชื่อว่า คุณชายศักดินา ถ้าเป็นผู้หญิงชื่อคุณหญิงวิมลโพยม ดังก้องในหู
จังหวะนี้รุ้งนอนละเมอ ร้องไห้สะอื้นแรง
“รุ้ง...เป็นอะไรลูก”
รุ้งสะอื้น
“ร้องไห้ทำไม ฝันเหรอลูก”
“สงสาร ...ฮือ..ฮือ สงสารจัง”
จันทร์กระซิบถาม “สงสารใครลูก รุ้งสงสารใคร”
เวลาเดียวกันคุณชายศักดินานอนหลับอยู่ในห้องนอน ส่งเสียงร้องไห้..ฮือ..ฮือ แล้วสะดุ้ง ลุกขึ้นเต็มแรง
“ท่านพ่อ”
ที่แท้สองพี่น้องรับรู้ว่าในยามนั้นท่านพ่อ...ท่านชายรังสิโยภาสกำลังถูกปีศาจนางเฟืองคุกคามอย่างหนักอยู่ในห้องบรรทม โดยสองมือท่านชายไขว่คว้า ขับไล่ ป่ายปัดให้นางเฟืองถอยไป นัยน์ตาตระหนกอกสั่นขวัญแขวนมาก ผีนางเฟืองลอยล่องเข้าหาท่านชาย แรงๆ จวนถึง แล้วผละออกไปเหมือนหยอกล้อ ล่องลอยเวียนวนให้หวาดกลัว
บางจังหวะยังสะบัดตัวเฉียดผ่านหน้า ทำให้ท่านชายต้องหลบวูบ สุดท้าย ท่านชายพยายามล้วงมือเข้าไปในอกเป็นเวลาเดียวกับที่นางเฟืองที่ถอยห่างท่านชายโดยหันหลังให้ เหลียวขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้านางเฟืองซึ่งทีแรกเป็นหน้าดำๆ ธรรมดากลายเป็น ใบหน้าที่น่ากลัวที่สุด ทั้งเน่าเฟะ ทั้งเละ ท่านชายอ้าปากค้าง กำลังช็อก นางเฟืองมุ่งตรงหาท่านชายอย่างเร็วและแรง ท่านชายร้องโหยหวนสุดเสียงคอพับไปทันที มือกำพระที่สายสร้อย
ศักดินาเปิดประตูพรวดเข้ามา ตกใจร้องสุดเสียง
“ท่านพ่อ” สีหน้าศักดินาตกใจสุดขีด
บัดนี้หม่อมเจ้ารังสิโยภาสได้สิ้นชีพด้วยฝีมือการหลอกหลอนของนางปีศาจร้ายแล้ว
วันต่อมา ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส สวยสง่าอยู่ในอาภรณ์สีดำไว้ทุกข์ ท่าทางโกรธสุดขีด
“เคยบอกเฟืองแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำ มันบาปกรรม ทำไมไม่เชื่อ ทำไมถึงต้องทำตัวเองให้ถูกผูกถูกมัดด้วยบาปด้วยกรรมอย่างนี้” เสียงที่เปล่งออกมา กดดันมาก “รู้มั้ย ว่าหญิงเป็นทุกข์นะเฟือง หญิงเป็นทุกข์ที่เห็นเฟืองเป็นอย่างนี้ หญิงไม่อยากเห็น” ท่านหญิงลงนั่งกุมขมับ
“ไม่อยากเลย เฟืองเข้าใจบ้างมั้ย”
จากโกรธจัดพูดเสียงดังอารมณ์ค่อยๆ ลดลง เมื่อเห็นนางเฟืองตอนนี้ อยู่ในสภาพเหมือนก่อนตาย หมอบฟุบอยู่หน้าท่านหญิงเหมือนเข้าเฝ้าตามปกติ มีแต่สีหน้าเท่านั้นที่เย็นชา นัยน์ตาแข็งไม่มีชีวิต
“ครั้งนี้เฟืองทำเกินไป เกินไปจริงๆ ครั้งที่ทำท่านชายเป็นอัมพาตนั่นเฟืองก็ใจร้ายมาก คราวนี้ทำไมเฟืองต้องทำจนท่านสิ้น..ฮึ...ทำไม”
“ท่านจะเอาหมอผีมาไล่หม่อมฉัน”
“ใครจะไล่เฟืองได้ แม้แต่พระภูมิเจ้าที่ท่านยังไล่เฟืองไม่ได้ เพราะท่านเห็นว่าเฟืองอยู่ที่นี่มานาน หญิงก็จุดธูปบอกท่านแล้วว่าให้เฟืองอยู่ได้ เพราะหญิงคิดว่าเฟืองจะไม่ทำร้ายใคร เผื่อว่าวันข้างหน้าเฟืองจะได้ไปเกิดแล้วจะได้...”
ผีนางเฟืองสวนคำ “หม่อมฉันไม่ไป...”
“อย่าขืนโชคชะตาเลย เฟืองจะอยู่อย่างนี้ไปตลอดได้ยังไง หญิงเองวันหนึ่งก็ต้องไป ที่จริงตอนนี้เฟืองไม่ต้องดูแลหญิงแล้วก็ได้ ไม่มีอะไรแล้ว ชายเดียวโตแล้ว หญิงก็พ้นความรับผิดชอบ”
เสียงนางผีร้ายสะท้านคล้ายเสียใจหนัก “ท่านหญิงทรงไล่หม่อมฉันหรือมังคะ ไม่ต้องการหม่อมฉันแล้วหรือมังคะ ถ้ามีใครมาทำร้ายท่านหญิงจะทรงสู้เขาได้หรือ ไม่ทรงรู้หรือว่าหม่อมฉันเป็นห่วง หม่อมฉันให้สัญญากับหม่อมแม่ของท่านไว้”
“แต่เฟืองตายแล้ว...หญิงอยากให้วิญญาณของเฟืองไปเกิดในที่ที่ดี หญิงจะพยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เฟือง...”
นางเฟืองขัดอีก “ไม่...หม่อมฉันไม่ไปไหน หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่อยู่ตลอดไป” ท้ายประโยคนางผีร้ายเสียงแข็ง
ท่านหญิงอัดอั้นตันใจ พูดไม่ออก ลุกเดินไปมากลัดกลุ้ม ถอนใจใหญ่
“เรื่องท่านชาย ท่านหญิงไม่ต้องทรงคิดอะไรเลย ท่านสมควรสิ้นแล้ว”
“ไม่...เฟืองอย่าพูดให้พ้นผิด” ท่านหญิงมีอารมณ์กริ้วอีกแล้ว
“เห็นหม่อมฉันผิดหรือมังคะ”
“เฟืองผิด ต้องยอมรับว่าเฟืองผิดที่ทำจนท่านสิ้น”
“ทำไมเพคะ ท่านชายทรงทำให้ท่านหญิงของหม่อมฉันเจ็บช้ำพระทัย หม่อมฉันไม่เอาไว้หรอก”
“แล้วไม่คิดหรือว่าชายเดียวไม่มีพ่อ”
“ท่านชายเป็นพ่อไม่ได้ บรรทมแบ็บอย่างนั้น ท่านจะเป็นพ่อได้ยังไงมังคะ ท่านหญิงนั่นแหละมังคะ เป็นทั้งพ่อเป็นทั้งแม่ให้คุณชาย แล้วอีกอย่าง ท่านระแวงจนไม่ใยดีคุณชาย ดีแล้ว ท่านสิ้นไปทั้งที่ไม่ทรงรู้ว่าคุณชายเป็นรังสิยาที่แท้จริง วิญญาณไม่มีวันสงบสุขหรอก”
ท่านหญิงย้อนเอา “แล้ววิญญาณเฟืองล่ะ สงบสุขซักแค่ไหน”
ผีบ่าวและนายหญิงเถียงกันเร็วๆ เพราะมีอารมณ์ทั้งคู่
นางเฟืองเงยหน้าขวับมองท่านหญิง สีหน้าใจร้าวรานสุดขีด สบตานิ่ง ท่านหญิงเองก็ใจหาย แม้สีหน้ากิริยาจะเป็นผี แต่แววตานั้นแสดงอย่างชัดเจน ว่าเสียใจ
แล้วนางเฟืองก็หันหน้าไปทางอื่น สะกดกลั้นความเสียใจ นัยน์ตากลับไปกล้าแข็งอย่างเดิมต่อจากนั้น ร่างของผีร้ายก็ค่อยๆ จางลง...จางลง
“เฟือง อย่าเพิ่งไป หญิงขอโทษ อย่าโกรธหญิงเลยนะ หญิงขอโทษ”
ร่างของนางเฟืองจางจนหมดรอย ท่านหญิงเศร้าหมองหนัก
ที่ห้องทำงานของพจน์ คืนนั้น ขณะพจน์กำลังนั่งเขียนหนังสือคำพิพากษาอยู่ เสียงผู้เป็นมารดาดังขึ้นที่ประตู
“พ่อพจน์”
พจน์วางปากกา “เชิญครับคุณแม่”
“จะว่าแม่จุ้นจ้านก็ว่าเถอะนะลูก แต่ขอพูดฐานะเป็นแม่ ฐานะย่าที่ห่วงลูกห่วงหลาน”
“ครับ คุณแม่”
“แม่อยากให้ลูกหลานมีความสุข อยากให้บ้านมีแต่เสียงหัวเราะ ก็ดูเอาเถิด ยายริมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้แกเคยมีปมด้อยว่าแม่ตายกับใครที่ไหน ร่าเริงแจ่มใสน้ำใจดี จันทร์อบรมได้ดี น้ำนมที่เขาเสียสละไม่ได้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาอยู่กับเรานานหลายปีจนไม่มีอะไรต้องพิสูจน์กันอีก หรือพ่อพจน์ว่ายังไง”
“ผมกำลังฟังครับคุณแม่... คุณแม่จะพูดอะไรต่อครับ”
“แม่อยากให้พ่อพจน์ “รับ” เหตุผลของแม่ด้วย แม่รู้ว่าพ่อพจน์ผูกพันกับแม่ราตรีมาก เขาตายไป พ่อพจน์ก็ไม่เคยเหลียวแลหญิงอื่น แม่นับถือน้ำใจพ่อพจน์ แต่แม่อยากให้พ่อพจน์มีความสุขสมบูรณ์” สายตาคุณหญิงบ่งบอกความหมายลึกซึ้ง “เข้าใจมั้ยลูก ความสุขสมบูรณ์ของผู้ชาย” หญิงชรานิ่งมองลูกชายที่หน้าสงบแต่นัยน์ตาหวั่นไหวนิดหน่อย “ยายริมาแกคงเต็มใจรับจันทร์เป็นแม่และรุ้งเป็นน้องจริงๆ”
“ฉัตต์ล่ะครับคุณแม่” นั่นคือความกังวลที่สุดของพจน์
“ฉัตต์ ต้องเห็นใจพ่อ แม่จะพูดกับฉัตต์เอง”
พจน์นิ่ง สีหน้าตรึกตรองลึกซึ้ง
“ตัวพ่อพจน์นั่นแหละจะว่าอย่างไร สำรวจใจตัวเองบ้างหรือไม่ ถ้าไม่มีเยื่อใยอะไรกับเขาเลยแม่จะไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป”
พจน์ตรึกตรองก่อนบอก “ผมจะถามเขา”
คุณหญิงเพ็งได้ฟังก็มีสีหน้ายินดีเต็มที่
“แม่เห็นเขานั่งอยู่ที่ท่าน้ำ” พลางแตะไหล่ลูกชายเบาๆ “แม่ใจร้อน”
คุณหญิงเพ็งเดินออกไปเลย
ทางด้านจันทร์ยืนกอดอกมองสายน้ำอย่างเลื่อนลอย พจน์ยืนเพ่งมองอยู่สักครู่แล้ว นัยน์ตาประทับใจ จันทร์หันกลับมา ชะงัก แล้วยิ้มน้อยๆ ให้พจน์ที่ก้าวเข้ามาหา
“ยังไม่นอนหรือจันทร์”
“กำลังจะไปนอนเดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย”
“ค่ะ” จันทร์ถอยกลับไป ทำทีรอรับฟัง
พจน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ท่าทางลังเล
“เรื่อง...เอ้อ คุณฉัตต์หรือคะ”
ด้านฉัตต์อยู่ในห้องนอนเงยหน้ามองย่า นัยน์ตากล้าแข็ง
“ถ้ามันมาเป็นแม่เลี้ยง ผมก็ไม่อยู่บ้านนี้อีกต่อไป”
“ฉัตต์” คุณหญิงเพ็งตกใจ
“นึกอยู่แล้วเชียว เห็นมันน่ะคอยให้ท่าคุณพ่อ”
คุณหญิงขึ้นเสียง “ฉัตต์ พูดอะไรอย่างนั้น ใครสั่งใครสอน”
“ไม่ต้องมีใครสอนหรอก ผมรู้ว่ามันจะเกาะคุณพ่อ”
“ตายแล้วตาฉัตต์ นี่ไปจำเรื่องอย่างนี้จากไหน ใครบอก”
“ผมรู้เอง ไม่ต้องมีใครบอกหรอกครับไม่งั้นมันจะไปนั่งรอคุณพ่อตอนกลางคืนทุกคืนๆ เหรอ คุณย่าเห็นรึเปล่าครับ”
“เกินไปแล้วตาฉัตต์”
“เรื่องจริงนี่ครับคุณย่า ผมเห็นทุกคืน”
“อย่าพูดอะไรเกินเลย เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก แกควรรู้จักดูคนให้เป็น คนอย่างจันทร์เขาไม่มีวันทำอย่างนั้น แล้วย่าจะบอกให้ถ้าเขาคิดจะทำ แกนึกเหรอว่าผู้พิพากษาพจน์ ปัณณธร พ่อของแกจะโง่ยอมให้ผู้หญิงเกาะ”
ฉัตต์นิ่ง คุณหญิงเพ็งลุกขึ้นจะเดินออก แต่ต้องชะงัก
“แล้วทำไมคุณพ่อถึงจะเอามันเป็นเมีย” เสียงฉัตต์เรียบ นิ่ง แต่ดังกังวานเพราะเจ็บใจ
คุณหญิงมองฉัตต์ ถอนใจยาว “เพราะเขาเป็นคนดี เขาพิสูจน์ตัวเองแล้ว ที่สำคัญที่สุด เพราะย่าเห็นว่าพ่อของแกจำเป็นต้องมีเมีย”
“ทำไม” ฉัตต์ถามเสียงเกือบสะอื้นแล้ว
“แกโตกว่านี้ แล้วจะเข้าใจ” คุณหญิงย่าบอก
สองคนยังอยู่ที่ท่าน้ำ
“ฉันหวังว่าเธอคงเข้าใจเรื่องฉัตต์แล้วนะ เหตุผลสำคัญมากกว่าที่ฉันบอกเธอไปเมื่อกี้ก็คือฉัตต์เป็นคนจิตใจดีเป็นพื้นฐาน ถึงจะเข้าใจอะไรเกินเลยไป แต่รอเขาโตขึ้น”
“ดิฉันเข้าใจค่ะ คุณพจน์อย่าห่วงเลยนะคะ”
“คราวนี้มาถึงเรื่องสำคัญที่ฉันอยากพูดกับเธอ”
“ค่ะ”
ต่างคนต่างมองกัน พจน์ขยับมาใกล้อีกนิด จันทร์ใจเต้นแต่ก็ยืนนิ่ง
“คุณแม่ท่านรักและเอ็นดูเธอกับลูกมาก..มากจนกระทั่ง...”
จันทร์ตั้งใจฟัง
“ท่านอยากให้ฉันแต่งงานกับเธอ”
จันทร์ยังมองพจน์อยู่ แต่ใจเตรียมคำตอบไว้แล้ว
“คุณแม่คิดว่ามันจะเป็นการดีหากเธอและลูกได้ขึ้นมาอยู่บนตึก เด็กสองคนจะได้ใกล้ชิดกัน ริมารักรุ้งมาก แกคงดีใจที่สุดถ้ารุ้งขึ้นมาอยู่ด้วยกันข้างบน คุณแม่เองก็รักเธออยากให้เธอมาอยู่ใกล้ๆ”
จันทร์ยังคงจ้องมองพจน์
“เธอคงอยากถามใช่มั้ยว่าฉันคิดยังไง”
จันทร์ทำนัยน์ตาตอบรับ
“สำหรับฉัน มันคงไม่ยุติธรรมกับเธอนัก หากฉันจะบอกว่า ฉันยังรักภรรยาฉัน และก็คงไม่มีวันที่จะเลิกรักเขาได้แม้ว่าจะแต่งงานใหม่ เธอคงไม่โกรธ
สายตาจันทร์อ่อนโยนขึ้นมากๆ
“เธอจะว่ายังไงหรือจันทร์ โกรธฉันรึเปล่า”
“ได้ยินอย่างนี้ดิฉันมีแต่ความเคารพนับถือคุณพจน์ค่ะ เคยนับถือมากแค่ไหนก็นับถือมากขึ้นในวันนี้ ทั้งนับถือทั้งเคารพ และต้องขอบพระคุณอย่างมาก” จันทร์ไหว้ “ขอบพระคุณคุณหญิงด้วย”
สีหน้าพจน์อ่อนโยน รับไหว้ครึ่งอก
“ดิฉันทราบดีว่า ดิฉันจะมีความสุขถ้าได้แต่งานกับคุณพจน์ แต่ถึงแม้ไม่ได้แต่ง คุณพจน์กับคุณหญิงก็ยังคงเมตตาดิฉันเหมือนเดิม”
พจน์มีสีหน้าพิศวงนิดๆ
“ดิฉันผ่านการแต่งงานมาแล้ว ดิฉันก็คิดเสมอว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของเขา ยิ่งมีลูกด้วยกันก็คิดว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขาจนวันตาย จนวันนี้ดิฉันก็ยังคิดอย่างนั้น”
พจน์นิ่งตะลึงเล็กๆ แต่แล้วรวบรวมความคิดจนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ฉันนับถือน้ำใจเธอ ไม่แต่เป็นคนสวย เป็นคนเก่ง เธอยังเป็นหญิงที่ประเสริฐ ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณแม่จึงชอบเธอนัก แต่เราจะทำอย่างไรดี คุณแม่จึงจะไม่ผิดหวัง และเราทุกคนอยู่กันด้วยความสุข”
สองคนยังยืนประจันหน้ากันอยู่ เหมือนมีเรื่องพูดกันต่อ
จันทร์และพจน์คุยกันต่ออีก เหมือนจะมีข้อตกลงให้กันและกัน พจน์เป็นคนพูด จันทร์ฟัง และโต้ตอบบ้าง ซึ่งจันทร์เป็นคนชี้แจงโดยส่ายหน้า เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องจัดงานใหญ่ จนในที่สุดจันทร์ไหว้พจน์นอบน้อม
อีกวันหนึ่ง พจน์เดินเข้ามุมหนึ่งในบ้านปัณณธร ขณะคุณหญิงเพ็งเดินออกมาเร็วๆ ท่าทีร้อนใจ
“ว่าไงลูก... เรียบร้อยมั้ย”
“ผมกับจันทร์คุยกันอยู่นานแล้วก็ตกงกันได้ในที่สุด ผมบอกเขาตามตรงว่าผมยังรักราตรี ถึงแม้จะแต่งงานใหม่ผมก็รัก เขาเองก็ตอบผมว่า เขาก็ยังซื่อสัตย์ต่อสามีและหัวใจเขาก็มีแต่ลูกเท่านั้น”
สีหน้าคุณหญิงเผือดลงทันที เพราะรูปการไม่เป็นดึงคิด ทำท่าราวกับจะเป็นลม “แล้วไงลูก”
“แล้ว..ก็ไม่มีงานแต่งงานไงล่ะครับ”
“ไม่มี..ไม่มีจริงๆ หรือ” สุ้มเสียงผิดหวังมาก
“ผมทราบดีว่าจันทร์เขาอยากตอบแทนพระคุณ อยากรับใช้ปรนนิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าคุณแม่ยังเมตตาก็รับจันทร์เป็นลูกบุญธรรม ให้ใช้นามสกุลเรา ให้เขาเป็นน้องสาวผม แล้วเราจัดงานต้อนรับเขาหน่อย อย่างนี้ดีไหมครับ...”
ละเมียดซึ่งตามคุณหญิงมาด้วย ถามเร็วๆ “เขาไม่รับไมตรีคุณพจน์หรือคะ”
“คุณแม่ดูคนไม่ผิด เขาเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆซื่อสัตย์ ไม่ฉวยโอกาส เขาสมควรเป็นน้องสาวผู้พิพากษาพจน์ ปัณณธรครับคุณแม่”
ครู่ต่อมาคุณหญิงเดินออกมาอย่างเร็ว สั่งละเมียดเสียงเครียด
“ไปตามแม่จันทร์มาหาฉัน”
“คะ”
“ฉันจะลองเกลี้ยกล่อมเขาอีกที ของอย่างนี้ต้องลองให้ถึงที่สุด”
“เกลี้ยกล่อม...ว่าไงหรือคะท่าน” ละเมียดงง
สามคนอยู่ในสวน คุณหญิงเพ็งเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน
“เธอคิดจะกลับไปคืนดีกับคนเก่าหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ” จันทร์เงยหน้าตอบทันที นัยน์ตาประสานกับคุณหญิง สายตาจริงใจ “ดิฉันไม่
มีวันกลับไปอีกแล้วในชาตินี้”
“โกรธกันมากขนาดนั้นเชียว”
“ไม่เจ้าค่ะ แต่ดิฉันกลับไม่ได้ ลำพังตัวเองดิฉันไม่ห่วงค่ะ ห่วงแต่รุ้ง” จันทร์บอก
คุณหญิงสงสัย “จันทร์ มีใครจะทำร้ายหรือ เธอถึงหนีมา”
จันทร์ไหว้กราบ น้ำตาคลอ “วันหนึ่ง ดิฉันจะกราบเรียนคุณหญิงทุกอย่าง”
คุณหญิงเพ็งพยักหน้าช้าๆ “ฉันผิดหวังมาก คิดอีกทีเถอะนะจันทร์ คิดให้ดีๆ”
“ดิฉันกราบขอประทานโทษค่ะ”
“เอาล่ะต่อไปนี้ มาเป็นลูกสาวฉัน น้องสาวของพ่อพจน์ รุ้งมาเป็นหลานฉัน เป็นน้องสาวของฉัตต์ เป็นเพื่อนริมา ขึ้นมาอยู่ด้วยกันบนตึก เมียดจัดห้องให้ด้วย”
จันทร์กราบเท้า
“หมดทุกข์หมดโศกนะ” คุณหญิงก้มลงลูบผม “ฉันเต็มใจอย่างที่สุดรู้ไว้ด้วย เมียด ทำพิธีรับขวัญปัดเป่าสิ่งอัปมงคลให้จันทร์กับรุ้ง” คุณหญิงลุกยืน
จันทร์ลุกขึ้นยืนด้วยคุณหญิง
“จำไว้นะจันทร์ต่อไปนี้ทำตัวให้สมเป็นลูกสาวและหลานสาวของฉัน”
อีกหลายวันต่อมา เวลายามเช้าวันนี้ ประตูห้องถูกเปิดกว้างด้วยสองมือของจันทร์ ซึ่งแต่งตัวเรียบๆ ตามปกติ จูงรุ้งออกมา ละเมียดเห็นก็ตกใจ
“ตายแล้ว แต่งตัวอะไรอย่างนี้ฮึจันทร์ เข้าห้องไปเลยแต่งใหม่” ละเมียดถือเสื้อจันทร์และรุ้ง
มาด้วย “เอาเสื้อคุณท่านเตรียมไว้ให้”
ฝ่ายคุณหญิงเพ็งเดินลงมารอรับที่หน้าตึกใหญ่พร้อมพจน์กับจริมา ฉัตต์ยืนหน้างออยู่หน้าตึก แต่งชุดนอน
“ฉัตต์ ทำไมยังใส่ชุดนอนอยู่ล่ะลูก” คุณหญิงถามเสียงเขียว
“เพราะฉัตต์กำลังจะไปนอนต่อครับ ยังง่วงอยู่ วันนี้วันหยุดอยากนอนตื่นสายครับ”
พจน์หน้าเฉย มองฉัตต์นัยน์ตาเข้ม
“งั้นไปสิ...รออะไรอยู่ล่ะตาฉัตต์”
“ขอบคุณครับคุณย่า” ฉัตต์จะเดินไป
“ฉัตต์” พจน์เรียกน้ำเสียงกังวาน มีอำนาจ
“ใส่บาตรกับพ่อ”
“ผมง่วงนอนครับ”
“คิดว่าพ่อจะสั่งอะไรโดยไม่มีเหตุผลงั้นรึ”
ฉัตต์นิ่งเงียบ ก้มหน้า ปากเม้ม หน้าบึ้ง
คุณหญิงวางมือบนบ่าฉัตต์ ปลอบด้วยกิริยา แต่ก็มีน้ำหนักเชิงห้ามปราม
ผู้คนในครัว และคนในบ้านเดินมาเป็นพรวนครบครัน แนบ สำเนียง สำลี อ่อน และยอด ทุกคนแต่งตัวหล่อสวย หน้าตาสดชื่นแจ่มใส หัวเราะหัวใคร่กันมา--ฉัตต์ยิ่งโกรธ เดินแรงๆ หนีไปยืนอีกทาง หันหลังให้ คุณหญิงกดน้ำหนักมือให้มากขึ้นอีก
ละเมียดเดินนำไวๆ มาก่อน เลี้ยวพุ่มไม้มา
คุณหญิงทัก “เมียด”
“มาแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้คนคอยดูเต็มที่ ชะเง้อ ชะโงก จ้องจับไปทางเดิน
จันทร์เดินออกมามือจูงรุ้ง สองแม่ลูกสวยงาม อ่อนหวานในชุดหรูแปลกตา ผู้คนฮือฮา สีหน้าทุกคนมองจ้องอย่างชมเชย ละเมียดภูมิใจตัวเองสุดๆ จันทร์ ประหม่านิดๆ มือที่จับรุ้งบีบแน่นขึ้น
พจน์ จ้องมอง สายตาบ่งบอกว่าตะลึง ฉัตต์ลอบมองหน้าพจน์ แล้วยิ่งยัวะขึ้น กิริยาฮึดฮัดขึ้น
พอจันทร์เดินมาถึง ย่อตัวไหว้คุณหญิงเพ็ง ไหว้พจน์
“เรียบร้อยครบถ้วนแล้วนะ ไป...ใส่บาตร”
ทุกคนขยับตัว
ฉัตต์บอกเสียงดัง “ผมไม่ไป”
คนในครัว ร้องอ้าวเบาๆ
พจน์พูดกับฉัตต์ แบบปากไม่เปิด “เหตุผล”
“ไม่มีเหตุผลครับ... ผมไม่ไป”
ทุกคนฮือฮา ซุบซิบกันใหญ่ จันทร์กับรุ้งก็ได้ยิน
“พอแล้ว...ฉัตต์ พ่อไม่ยอมให้ลูกทำอะไรตามใจตัวเองอีกต่อไป” พจน์เสียงดังขึ้น
พจน์กับฉัตต์จ้องหน้ากันนิ่ง ผู้คนกระสับกระส่ายไปตามๆกัน ฉัตต์หันหลังกลับจะเดินออก
พจน์ขยับจะพูด คุณหญิงจับแขนไว้อย่างแรง ห้ามด้วยสายตา พจน์จำต้องนิ่ง
“ฉัตต์” คุณหญิงย่าเรียก
ฉัตต์ยืนนิ่ง
“มาช่วยพยุงย่าไปใส่บาตรหน่อยลูก”
ฉัตต์ยืนอึ้งสักครู่ แล้วเดินไปพยุงย่าทั้งที่หน้าบูดบึ้ง
อ่านต่อหน้า 3
แค้นเสน่หา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ไม่นานหลังจากนั้น จันทร์กำลังใส่บาตรพระ 4 รูป ทุกคนมองด้วยความชื่นชมยินดี พจน์เหมือนมีความเสียดายพุ่งเข้ามาในอก ยอดอยู่ห่างไป มองจันทร์แล้วยิ้มตื้นตัน ยอดเหลียวไปสบตากับฉัตต์ซึ่งจับจ้องเขม็งอยู่แล้ว จนยอดหลบตาวูบอย่างเร็ว
ฉัตต์ยิ้มเยาะในสีหน้า แล้วเบนสายตามาที่รุ้ง วาดหน้าดุเข้มมองรุ้ง อยู่อย่างนั้น
เวลาต่อมาในห้องโถงใหญ่ จันทร์ยกมาลัยดอกพุดที่ร้อยเตรียมมาให้คุณหญิงเพ็ง รุ้งมอบตาม 2 แม่ลูกกราบแทบเท้าประมุขบ้านปัณณธร คุณหญิงเทน้ำอบไทยลงบนหัวจันทร์และรุ้ง เป็นการรับขวัญ
“ขอให้อายุมั่นขวัญยืนอยู่ด้วยกันไปนานๆ”
จันทร์ กับรุ้งกราบอีกที แล้วหันไปไหว้พจน์ จริมาอ้าแขนกอดรุ้ง หัวเราะปากกว้าง ตื้นตันสุดๆ
“เราเป็นพี่น้องกันแล้วนะตัวเล็ก นะจันทร์” จริมาเสียงระรื่น
คุณหญิงย่าบอก “น้าจันทร์”
จริมาเหลียวมาหน้าฉงน “คะ?”
“เรียกน้าจันทร์อย่างที่ย่าบอก”
จริมา หันมาทางจันทร์ สีหน้าเปล่งประกายความรัก
“น้าจันทร์”
จันทร์ สวมกอดจริมาแนบแน่น
“ตัวเล็ก”
“คุณริมา” รุ้งเรียกตอบ
จริมาบอก “ริมาเฉยๆ”
“คุณริมา”
“เอ๊ะ บอกให้เรียกริมาเฉยๆ”
“คุณริมา” รุ้งยืนยันในน้ำเสียง ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“เฮ้อ...ยอมแพ้ คนอะไร ....ดื้อจริ๊ง” จริมายอมให้
ทุกคนหัวเราะกันไปตามๆกัน
ย่อมแน่ว่ามีเพียงฉัตต์ ยืนหน้าบึ้งจัดอยู่คนเดียว
“แต่... ที่โรงเรียนต้องเรียกริมาเฉยๆ จำไว้..อย่าลืมเป็นอันขาด” จริมาบอกเสียงใส
วันรุ่งขึ้น โรงเรียนเปิดเรียนวันแรก จันทร์พาจริมาและรุ้งเดินเข้าในโรงเรียน ผู้ปกครองคนอื่นๆ ล้วนเป็นคนชั้นสูง มาส่งลูกหลาน ส่งเสร็จล่ำลากันแล้วผู้ปกครองเดินกลับ
รถอีกคันแล่นมาจอด คนขับรถมาเปิดประตู ทอแสงรัศมีซึ่งเติบโตเป็นสาวก้าวลงจากรถ ลา หม่อมเจ้าอัปสราภา หรือ ท่านหญิงเล็ก ที่ยังนั่งในรถ ท่าทางสง่างาม
“หญิงทอแสง วันนี้จะกลับเย็นมั้ยลูก”
“ท่านแม่ให้บันลือมาคอยหญิงตามเวลา หญิงอาจจะเร็วหรืออาจจะช้าก็ได้ค่ะ” ทอแสงรัศมีว่า
“บอกเวลาตรงๆ ไม่ได้รึ บันลือเขาต้องไปรับท่านพ่อ...” ท่านหญิงเล็กถาม
“หญิงทูลไม่ได้เพราะหญิงไม่ทราบ”
“ก็ลองกะๆ เอาสิว่า...”
“หญิงไม่ทราบจะกะยังไงค่ะ”
ทอแสงรัศมีเดินไปอย่างสง่างาม ท่านหญิงปวดหัวมองตามอย่างปลดปลด จันทร์ซึ่งส่งสองสาวเรียบร้อยเดินก้มหน้าก้มตาออกมา
ท่านหญิงเล็กขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
จันทร์เองก็ใจหายวาบ ด้วยเห็นเต็มๆ แต่ทำกิริยากลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว เดินไปอย่างปกติ
วันนั้น ยอดพายเรือไปตามลำคลองเรื่อยๆ อดีตหม่อมบุหลันเอ่ยขึ้น
“ท่านหญิงเล็ก กับคุณหญิงลูกท่าน อายุคงเท่าๆ กับรุ้ง เพราะตอนนั้นท่านท้องซักหกเจ็ดเดือนแล้ว ฉันตกใจมาก แต่ท่านอาจจะจำฉันไม่ได้”
ยอดพายเรือมาถึงท่าน้ำ จันทร์นั่งชะเง้อมอง ทว่าบริเวณวังรังสิยาเงียบสงบ
“ไม่เห็นใครเลย ยอด”
“นั่น...มีคนเดินมาครับหม่อม”
จันทร์หันข้างให้ แล้วชำเลืองมอง “พิกุลใช่มั้ยนั่น มาขัดท่าน้ำ… ยังทำเหมือนเดิมสิบกว่าปีแล้ว”
“ผมเห็นคุณชายหลายครั้ง” ยอดบอก
จันทร์หน้าหมองลง
“แปลกนะ ฉันก็มาหลายครั้งแล้ว ไม่เคยเห็นลูกชายเลย”
“หม่อมครับ” ยอดเอ่ยถามขึ้น ขณะเริ่มพายเรือกลับ “หม่อมจะ...เอ้อ กับคุณพจน์”
“ไม่ใช่หรอกยอด คุณพจน์เธอยังรักคุณราตรี ท่านไม่ให้ใครไปแทนหรอก ตัวฉันชีวิตทุกข์ยากยังไง ฉันก็จะไม่ยอมได้ชื่อว่ามีสองผัว” อดีตหม่อมตกยากสบตายอดเต็มแรงขณะบอก “ฉันอายลูก”
“หม่อมไปหาท่านชายสิครับ”
จันทร์หัวเราะแค่นๆ “ยอดคิดว่าคนฆ่าฉันเขาจะปล่อยให้ฉันรอดตายเป็นครั้งที่สองเหรอ”
เรือแล่นเรือยไปตามสายน้ำกลับบ้านปัณณธร
“ฉันคิดถึงท่านเสมอ ทุกวันทุกคืน แต่ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบท่านอีกแล้ว สงสารแต่ลูกจะได้เห็นพักตร์ท่านพ่อมั้ยในชีวิตนี้”
“ต้องเห็นสิครับ คุณหญิงโตขึ้นต้องพบกันสักวัน” ยอดปลอบใจ
สีหน้าจันทร์เศร้านิ่งคิด แล้วสักครู่ก็พยักหน้ากับยอด
“กลับเถอะยอด ฉันต้องจัดของว่างให้คุณหญิง”
ไม่นานนัก จันทร์เดินเร็วๆ เข้ามา ถือถาดใส่เครื่องดื่มและขนมของคุณหญิง
“คุณจันทร์คะ ไปไหนมา” ละเมียดทักถาม
“พี่เมียด เรียกฉันว่าไงนะคะ”
“คุณหญิงท่านสั่ง ฉันเองก็คิดไว้แล้ว”
“แต่ฉันไม่ยอมหรอกค่ะ”
“อย่าขัดเลยคุณจันทร์ ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปหรอก ฉันรักคุณจันทร์ยังไงก็ยังงั้น คุณจันทร์รักฉันยังไงก็ยังงั้นเหมือนกันใช่มั้ย”
จันทร์พยักหน้าช้าๆ ยกมือไหว้ละเมียด “ขอบคุณค่ะ”
“คุณหญิงให้หาคุณจันทร์ว่าจะให้ไปงานสวดศพกับท่าน”
“ศพใครหรือพี่เมียด” จันทร์แปลกใจ
จันทร์กำลังจะวางถาดจัดของว่าง คุณหญิงเพ็งเอ่ยขึ้น
“ท่านชายรังสิโยภาส ท่านสิ้นแล้ว”
จันทร์ตะลึง มือสั่น จนถ้วยชาสั่นดังกริ๊กๆ
คุณหญิงไม่ทันเห็นจันทร์ กำลังหยิบเครื่องเพชรจากกล่อง
“ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะลูก”
จันทร์กลับเข้าห้อง ร้องไห้แทบจะขาดใจ ร้องๆๆ แล้วซบหน้าลง ใบหน้ายังเศร้าหมองอยู่มาก มือจันทร์ถือสายสร้อยล็อกเก็ตของรุ้งที่ท่านชายให้ไว้ พึมพำเบาๆ
“แม่จะเก็บชีวิตคุณหญิงวิมลโพยมไว้ในนี้นะลูก”
จันทร์เอาสร้อยใส่หีบปิดลงอย่างแรง เหมือนจะเอาเสียงนั้นช่วยตัดสินใจ
ภายในห้องโถงใหญ่วังรังสิยา พระศพหม่อมเจ้ารังสิโยภาสถูกบรรจุในพระโกศ มี สาลี่ พิกุล และผ่อง กำลังช่วยกันเปลี่ยนดอกไม้ ซึ่งเป็นดอกซ่อนกลิ่นหน้าพระโกศนั้นอยู่
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสนั่งคุยกับท่านหญิงเล็กเสียงเบาๆ เหมือนปรารภกัน
“หญิงทอแสงนี้เหมือนใครไม่ทราบทั้งดื้อ ทั้งรั้น เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด”
“อยู่ที่เลี้ยงนะหญิงเล็ก ท่านพ่อตามใจเหลือเกินนี่”
“ไม่เหมือนชายเดียว คงเหมือนแม่นะ...หงิมๆ”
ท่านหญิงแขไขเงยหน้าเหลียวขวับมา “เธอหมายถึงใคร” น้ำเสียงตวัด
“หมายถึงแม่บุหลันนั่นแหละค่ะพี่หญิง แหม...หญิงจะหมายถึงพี่หญิงได้ยังไงล่ะคะ”
“หญิงเล็ก... เธอหยุดพูดให้คนเสียใจซักวันได้มั้ย”
ท่านหญิงเล็กไม่สะเทือน เพราะนิสัยเป็นอย่างนี้มานาน โดนว่ามาแล้วก็หลายหน หัวเราะขำๆ
“แหม...หญิงพูดจริงมั้ยละคะ เออ พูดถึงอีนังหม่อมบุหลัน เมื่อเช้าหญิงเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เมื้อน..เหมือนมัน” ท้ายประโยคเสียงเบาลงเป็นกระซิบ
ท่านหญิงตาโต “จริงเหรอ เห็นที่ไหน”
“แต่ไม่ใช่มันหรอกค่ะ พี่หญิง คนนี้เขาสวยกว่า ท่าทางเป็นผู้ดีกว่ามัน”
“มันก็ท่าทางดี ท่านชายสอนไว้จนมันดูดีทีเดียว” ท่านหญิงแขไขพูดเรื่อยๆ ไม่มีอารมณ์ขึ้งโกรธแต่อย่างใด
“ไม่ใช่หรอกค่ะ มันไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนมารถคันโก้เชียว มีคนขับแต่งเครื่องแบบเรียบร้อย”
ฉาก 15วังรังสิยา งานศพ กลางคืน หน้าวัง
ตัวละครท่านหญิงแขไข จันทร์ พจน์ คุณหญิงเพ็ง แนบ หญิงเล็ก ท่านชายวรจักร
แขกเหรื่อทั้งหลาย หม่อมป้า
ระหว่างนั้น รถยนต์หรูคันหนึ่งแล่นเข้ามา ท่านหญิงพรรณพิไล หรือ ท่านหญิงปั้น ก้าวลงมาทักทาย ท่านหญิงแขไขที่ยืนรอรับแขกกับท่านหญิงเล็กและท่านชายวรจักรสามีท่านหญิงเล็ก ท่านหญิงแขไข หญิงเล็ก ชายวรจักรบังคมนอบน้อม
รถอีกคันแล่นเข้ามา แนบรีบลงมามาเปิดประตูด้านหลังพจน์เปิดลงมาด้านหน้า คุณหญิงเพ็งลงมาก่อนมีจันทร์ตามลงมา
“หญิงแขไข เสียใจด้วยนะน้อง” ท่านหญิงปั้นเอ่ยขึ้น
“ขอบทัยคะพี่หญิง”
ท่านหญิงเล็กเรียกให้มองไป “พี่หญิงคะ”
“อ๋อ...คุณหญิงปัณณธร คุณย่าพ่อฉัตต์ เพื่อนชายเดียว คุณพจน์ลูกชายเป็นผู้พิพากษา อีกคน” เสียงท่านหญิงสะดุดเล็กน้อย เพราะแสงไฟพรางสายตา “พี่ไม่แน่ใจ อาจเป็นภรรยาใหม่คุณพจน์กระมัง”
ท่านหญิงพูดจบเดินเข้าไปหาคุณหญิงเพ็ง
ท่านชายวรจักรฉงน “ภรรยาใหม่คุณพจน์หรือ ไม่เคยได้ยินข่าวว่าคุณพจน์แต่งงานใหม่นะ”
“เอ... หญิงพบผู้หญิงคนนี้นะคะ...เมื่อเช้านี้ ขอไปดูใกล้ๆ หน่อย ไม่แน่ใจ”
คุณหญิงเพ็งไหว้ทัก และท่านหญิงแขไขไหว้รับในเวลาเดียวกัน
“รู้ข่าว ใจหายเพคะ ท่านหญิง”
“ท่านชายประชวรอยู่นาน”
“ค่ะ ดิฉันได้ยินอย่างนั้นเหมือนกัน ทรงคิดว่าถึงเวลาของท่านนะเพคะ”
ขณะสองคนคุยกัน จันทร์ค่อยๆ แอบชำเลืองดู สายตาเศร้าหมองลึกๆ
คุณหญิงเพ็งเหลียวมองหาจันทร์ “จันทร์ มาสิลูก”
จันทร์เดินออกมาถือพานใส่มาลัยมาพวงหนึ่ง ร้อยด้วยดอกพุด สวยงามมาก ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสตกตะลึง จ้องเขม็ง
“จันทร์...บังคมท่านหญิงสิลูก ท่านหญิงแขไข ท่านหญิงเล็ก นี่ด้วย ท่านหญิงปั้น พระนามท่าน ท่านหญิงพรรณพิไล นั่นท่านชายวรจักร ลูกสาวหม่อมฉัน ชื่อจันทร์เพคะ”
ท่านหญิงแขไขกับท่านหญิงเล็กรับไหว้จันทร์ ครึ่งอก แบบผู้ใหญ่รับไหว้ผู้น้อย ทั้งสองจดสายตาจับผิด
“มาลัยสวยเหลือเกิน อุ้ย..ดอกพุดด้วยค่ะพี่หญิง” ท่านหญิงเล็กทัก
“ท่านชายโปรดดอกพุด..เหมือนรู้เลยนะคะคุณหญิง” ท่านหญิงแขไขว่า
“เนี่ยค่ะลูกสาวเขาเป็นคนร้อย” คุณหญิงเพ็งบอก
“ไม่ทราบว่าคุณหญิงมีลูกสาว คิดว่ามีคุณพจน์คนเดียว” ท่านหญิงแขไขพูดเป็นเชิงถาม
ท่านหญิงเล็กรีบเสริม “ฉันก็ทราบว่าอย่างนั้น”
รวมทั้งท่านหญิงปั้น “นั่นสิ ฉันรู้จักนะ เจ้าคุณปัณณธร ก็เคยได้ยิน แต่คุณพจน์เป็นลูกชายคนเดียว”
พจน์สังเกตเห็นสายตาท่านหญิงแขไขผิดปกติไป “น้องสาวกระหม่อมออกเรือนไปนานแล้ว สามีเสียก็เลยพาลูกสาวมาอยู่กับกระหม่อมและคุณแม่”
“อ๋อ มีลูกสาว” ท่านหญิงพูดกับจันทร์โดยตรง ทอดเสียงนุ่มนวล “โตแค่ไหนแล้ว”
“สิบหกมังคะ”
จันทร์เงยหน้ามองพระรูปท่านชายรังสิโยภาส ที่ราวกับกำลังทอดสายตามองอย่างเมตตา กลั้นน้ำตาจนปวดกระบอกตาไปหมด น้ำตาขึ้นมาคลอเต็มตา จันทร์ก้มลงกราบช้าๆ คิดถึงคำพูดท่านชาย ประโยคแล้วประโยคเล่า
“บุหลันเจ้าช่างน่ารักเหลือเกิน”
“บุหลัน จริงหรือ เจ้าจะมีลูกให้ฉันรึเนี่ย ฉันดีใจเหลือเกิน”
“ลูกของเจ้า ถ้าเป็นผู้ชายให้ชื่อ คุณชายศักศินา ถ้าเป็นผู้หญิงให้ชื่อ คุณหญิงวิมลโพยม”
“ไม่ต้องกลัวว่ามีลูกแล้วฉันจะไม่รักเจ้า ฉันรักเจ้าเสมอ..บุหลัน”
จันทร์เงยหน้าขึ้น น้ำตาหยดพอดี จันทร์ปาดอย่างเร็ว กลัวคนเห็น เหลือบมองดูว่ามีใครมองรึเปล่า สบตากับพจน์เต็มแรง พจน์นึกสงสัยมองอยู่ จันทร์ก้มหน้า รีบหันไปประคองคุณหญิงเพ็งให้ลุกขึ้น
ตรงที่นั่งของแขก ท่านหญิงแขไขนั่งกับหญิงเล็ก มีคนมาไหว้ 2-3 คน
“คนนี้แหละที่หญิงเล่าให้พี่หญิงฟัง” ท่านหญิงเล็กกระซิบ
“ใช่ เหมือนมาก” ท่านหญิงกระซิบตอบ
“เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ต้องเชื่อเพราะแม่..พี่ชายเห็นอยู่ทนโท่”
“มีอะไรที่น่าสังเกตหลายอย่าง ชื่อเขาจันทร์ ความหมายเหมือนชื่อบุหลัน ข้อสอง เขาร้อยมาลัยดอกพุดที่ร้อยยากกว่าดอกมะลิ”
“หญิงเห็นแล้ว ฝีมือชาววังเชียวนะคะ”
“ใช่ นั่นมันฝีมือบุหลัน ข้อสาม เขาพูดกับเรา “มังคะ” ไม่ใช่ “เพคะ” แบบคนทั่วๆไปพูดกัน”
“แบบพวกลิเกพูด”
“ใช่ แต่เขาพูดแบบชาววังแท้ๆ คุณหญิงยังพูดเพคะเลยได้ยินไหม” ท่านหญิงแขไขจับผิดละเอียดยิบ
“ค่ะ ได้ยิน พี่หญิงว่าใช่หรือคะ”
“จะไม่ใช่ตรงที่เขามีลูกสาว” ท่านหญิงว่า
“มันอาจจะแต่งงานใหม่”
“ลูกเขาอายุ 17 ขวบเท่ากับชายเดียว”
ท่านหญิงปั้นเอนตัวมากระซิบ “อย่าเพิ่งเถียงกัน พระมาถึงแล้ว”
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส มองจันทร์ด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
หลังสวดพระศพเสร็จแล้ว บรรดาผู้คนที่มางานพระศพ กำลังล่ำลาท่านหญิงแขไข ท่านหญิงเล็ก ท่านหญิงปั้น ท่านชายวรจักร อยู่ตรงหน้าตำหนักกันทั้งหมด หญิงทอแสงรัศมี และหญิงลักษณ์ก็อยู่ด้วย
คุณหญิงเพ็งเดินนำออกมาก่อน พจน์ จันทร์ เดินตาม
พจน์กระซิบถามจันทร์ เสียงเบาๆ “พี่เห็นน้องมองหาใครตลอดเวลา...ใครหรือ”
“คุณพี่เห็นหรือคะ ดิฉันไม่น่าเสียมารยาท”
“ไม่...น้องไม่ได้ทำชัดเจน แต่พี่อยู่ใกล้น้องจึงมองเห็น”
“ขอโทษค่ะ” จันทร์นิ่งไปสีหน้าสะเทือนใจ
“ไม่เป็นไร เราเข้าไปลาท่านหญิงเถิด”
ตอนนั้นคุณหญิงเพ็งกำลังล่ำลาอยู่กับท่านหญิงแขไขแล้ว พจน์พาจันทร์เข้าไปหาท่านหญิงปั้นก่อน
“ขอบใจนะคะ” ท่านหญิงปั้นหันไปพูดกับคนอื่น “สวดอีก 6 วัน แล้วบรรจุ เก็บ 100 วันถึงเผา”
“กระหม่อม” แขกชายไหว้นอบน้อม “ทูลลา”
“หม่อมฉันได้กล้วยไม้งามๆ จะส่งไปถวายที่วังนะคะ” ภรรยาแขกผู้ชายบอก
“ขอบใจค่ะคุณหญิง”
แขกคู่นั้นเดินไป ท่านหญิงปั้นหันมาทางพจน์ พจน์และจันทร์ ไหว้ลา
“ขอบใจนะคุณพจน์ คุณจันทร์”
สองคนไหว้อย่างงาม แล้วเดินไปที่ท่านหญิงแขไข
“ท่านชายทรงสบายแล้ว” คุณหญิงเพ็งเอ่ยขึ้น
“ฉันก็คิดอย่างนั้นค่ะคุณหญิง”
“ทรงระวังพระสุขภาพด้วยนะเพคะ”
“ขอบคุณค่ะ” ท่านหญิงแขไขหันไปเห็นพจน์กับจันทร์
“ขอบใจคุณพจน์ คุณจันทร์”
“กระหม่อมเห็นท่านหญิงทรงเข้มแข็ง...ทรงปลงได้...ดีกระหม่อม” พจน์ว่า
“ขอบใจ” ท่านหญิงสีหน้าหมอง แต่เป็นเจ้าจะไม่พูดเรื่องตัวเองยาวไป “เสียดายลูกชายไม่อยู่คุณจันทร์คงอยากเห็น”
จันทร์สะดุ้งนิดๆ แต่พยายามทำหน้าปกติ
“มังคะ อยากเห็นมังคะ” จันทร์ยิ้มอ่อนโยน
ท่านหญิงมองจันทร์ ที่ก้มหน้าพลางพูดต่อ “ลูกชายฉันอายุ 17 แล้ว น่ารักมาก” สายตาขณะพูดเพ่งมองจันทร์ตลอดเวลา “พ่อแม่ทุกคนอิจฉาฉันที่มีลูกชายดีแสนดี”
จันทร์ปรับสีหน้าจนเป็นปกติ ยิ้มรับปกติ
“พี่หญิงโชคดีมากที่มีลูกชายได้ดังใจทุกอย่างทั้งๆ ที่เป็นลูกชายคนเดียวแต่อยู่ในโอวาทและก็...รักท่านแม่เหลือเกิน” ท่านหญิงเล็กพูดจะเป็นปกติ เสียงธรรมดาๆ แต่ลอบมองหน้าจันทร์เช่นกัน
“หม่อมฉันยินดีด้วยนะเพคะท่าน”
จันทร์พูดจบทูลลาไหว้เสร็จออกมา สองคนเดินออกมา พจน์มองจันทร์อย่างเป็นห่วง จันทร์เห็นสายตาพจน์
“ท่านหญิงรับสั่งแปลกๆ กับน้องคนเดียว มีอะไรหรือ”
“ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร”
ส่วนท่านหญิงเดินมาตามทาง ผ่องคอยตาม
“บอกสนหรือยังว่าพรุ่งนี้ไปรับชายเดียวที่โรงเรียน”
“บอกแล้วมังคะ”
“ไม่ต้องไปตั้งแต่เช้า ให้เขาเรียนหนังสืออีกวัน โรงเรียนเลิกค่อยไปรับ”
“มังคะ...เหวยมั้ยมังคะ”
“ชาสักแก้วก็ดี”
ที่ตำหนักชั้นล่าง คืนนั้น ผ่องวางถ้วยน้ำชาถวายท่านหญิงแขไขที่สวมชุดเดิม นั่งเก้าอี้ สีหน้าครุ่นคิด
“ชามังคะ”
“ขอบใจ ผ่องไปนอนเถอะ เดี๋ยวฉันขึ้นข้างบนเอง”
“มังคะ”
ท่านหญิงนั่งหน้าเครียดจัด ครุ่นคิดตรึกตรอง เงาๆหนึ่งผ่านแวบไป ท่านหญิงชำเลืองมองแวบหนึ่ง
“ถ้าใช่มัน มันก็โชคดี” เสียงนางเฟืองดังขึ้น
ท่านหญิงเหลียวขวับมาดู นัยน์ตาเป็นคำถาม
“ชีวิตเดียว...ได้ตายสองหน” เสียงนางเฟืองตอบ
ท่านหญิงมองนิ่งๆ อยู่อึดใจหนึ่ง “ถ้าใช่เขาจริง อย่าทำอะไรเขาเป็นอันขาด เพราะเขายังไม่ตายก็เท่ากับเฟืองยังไม่ได้ทำบาป”
เสียงเลื่อนอะไรบางอย่างแรงๆ หรืออะไรสักอย่างตกพื้น อย่างไม่พอใจ
ท่านหญิงเหลียวไปทางอื่น พูดลอยๆ “ว่าแต่ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าเขาตายแล้ว...ยอมรับแล้ว
ใช่มั้ยว่าฆ่าเขา” ท่านหญิงเสียงเข้ม “เขารู้กันทั่ววังแล้ว... ใครๆ ก็รู้จักว่าตัวเกลียดเขา อยากให้เขาตาย คนในวังนี้ไม่โง่นะ”
ลมพัดผ่านวูบหนึ่งอย่างรุนแรง แล้วลอยออกนอกหน้าต่างไป
ลมพัดวูบเข้าทางหน้าต่างห้องสาลี่ ก่อนจะพุ่งไปมุมห้อง หยุดกึกกลายเป็นร่างของผีนางเฟือง หันหลังให้ แล้วหันมาช้าๆ เป็นร่างปีศาจ น่ากลัว นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง แขนพาดที่เข่า
สาลี่ปัดที่นอนอยู่ ไม่รู้ว่านางฝีร้ายจ้องอยู่
สาลี่ ปัด ปัด ไป แล้วสังหรณ์ หยุดปัด หันหน้ามา ร้องกรี๊ด....ยาว เสียงดังลั่นก้องกังวานทั่ววังรังสิยา สาลี่ช็อกตัวแข็งทื่อ
ใบหน้านางเฟืองใหญ่ขึ้น อ้าปากกว้างเห็นเป็นโพรงดำมืดในปากพุ่งตรงเข้าหาสาลี่พร้อมเสียงขู่ดังกระหึ่ม สาลี่ตาเหลือกราญ
“ไม่โง่รึ..ฉลาดนักรึมึง นังสาลี่”
นางปีศาจร้ายพูดใส่หน้าสาลี่ จนสาลี่ล้มตึงทันที
ขณะเดียวกันที่บ้านปัณณธร รุ้ง ฉัตต์ สารภี จริมา แนบ ทั้งหมดคอยคนไปงานศพ
“เมื่อไหร่จะมา ไล่จับกันดีกว่า” จริมาฉุดรุ้งให้ลุก “สารภีจับให้ได้”
สองสาววิ่งเล่นกันไปมาสักครู่
ฉัตต์ลุกขึ้นจากที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ “หนวกหู” เดินเฉียดมาที่รุ้ง “เสียงดัง”
จริมาจับรุ้งหลบ ฉัตต์กะจะกระแทกเลยทำไม่ได้ เสียงแตรรถดังกังวาน ทุกคนหันไป
“คุณหญิงมาแล้วค่ะ”
จริมาวิ่งนำ รุ้งวิ่งตามผ่านฉัตต์ ถูกฉัตต์จับผมกระตุกกึ้กจนหน้าหงาย
รุ้งพนมไหว้ปลกๆ “ ปล่อยนะคะ คุณฉัตต์ ใจดี๊.. ดี คนดี๊..ดี ขอไปหาแม่นะคะ”
ฉัตต์กระตุกไว้ “ไม่ให้ไป”
รุ้งชักโกรธ “ทำ...ไม” เสียงแหลมขึ้น
“ก็ไม่ให้...ไม่ทำไมหรอก”
รุ้งมองหน้าคว่ำ แล้วตุ๊ยท้องเข้าไปทีหนึ่ง ฉัตต์ตัวงอ ต้องปล่อย รุ้งวิ่งไปเลย ฉัตต์ชูกำปั้นอยู่คนเดียว
รุ้งวิ่งเข้าไปหาแม่ คุณย่ากับจริมาเดินเข้าตึกไปแล้ว
“แม่ไปนานจัง”
จันทร์ กลั้นไม่ไหว น้ำตาร่วงรินกอดลูกซ่อนหน้ากับผมลูก
พจน์หันมาลอบมอง สงสัยท่าทีจันทร์มาก
คุณหญิงเพ็งเอนกายลงนอน จันทร์เหน็บมุ้งให้ ปิดไฟ
“ปลุกแม่สายหน่อยแล้วกันนะ ใส่บาตรแทนด้วย”
“ค่ะ คุณแม่”
“เห็นว่าจะทำหันตราใช่มั้ย” คุณหญิงหลับตา เสียงง่วง
“ค่ะ”
จันทร์เดินออกนอกห้องปิดประตู หันกลับมา ชะงัก เห็นพจน์ยืนอยู่ นัยน์ตาคมจ้องนิ่ง
“คุณพี่จะรับอะไรหรือคะ”
นัยน์ตาพจน์ ยังบอกความในใจ อย่างเผลอไผลหน่อยๆ
“อยากรับกาแฟหรือชาร้อนๆ สักถ้วยมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร ไปคุยกันที่ระเบียง พี่มีเรื่องจะคุยกับน้อง”
จันทร์นิ่งสักครู่ “ค่ะ”
สองคนเดินไป
ฉัตต์ แง้มประตูมองมา หน้าบึ้งตึง
สองคนอยู่ตรงระเบียงสวยงาม แลเห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนนภา ยอดไม้ใหญ่เอนไหว ลมพัดเย็นสบาย สองคนยืนกันห่างๆ พจน์จ้องมองจันทร์อย่างเผลอไผล
จันทร์มองออกไปไกลๆ “อากาศดีนะคะ” พอเหลียวกลับมา เจอะสายตาพจน์ สองคนสบตากันสักครู่
จันทร์หลบตา
พจน์รู้สึกตัว “หันตรา...เป็นชื่อของรับประทานหรือ”
“ค่ะ เป็นถั่วกวนปั้นหุ้มไข่ฝอย คุณริมาชอบมากทำทีไร”
“จันทร์” พจน์พูดขัด
จันทร์หยุดชะงัก
“สิ่งที่น้องทำทุกอย่างเกินกว่าชาวบ้านธรรมดาๆ จะทำได้ น้องคิดว่าสมควรแก่เวลาหรือยังที่พี่ควรจะรู้ความจริงว่าน้องเป็นใคร มาจากไหน”
จันทร์นิ่ง
“ถ้าอดีตของน้องเป็นเรื่องที่มีอันตราย ให้พี่รู้ความจริง พี่อาจจะช่วยเหลือน้องกับรุ้งได้มากกว่านี้”
จันทร์น้ำตาเต็มตา
“มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านชายวังรังสิยาหรือไม่”
จันทร์สะดุ้งสุดตัว
“น้องเคยอยู่ที่วังนั้นหรือ ถ้าใช่ ท่านหญิงแขไขจรัสไม่ทรงชอบน้องหรอกนะ พี่เห็นสายพระเนตรท่าน”
“บางทีเวลานั้นอาจมาถึงแล้ว ดิฉันเป็นอะไรไปรุ้งจะได้มีคนช่วยทวงสิทธิ์ของแกคืน”
พจน์ฉงน “สิทธิ์ของรุ้ง”
“ดิฉันจะเล่าทุกอย่างให้คุณพี่ฟังเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ขณะเดียวกันท่านหญิงเดินข้ามห้องโถงจะขึ้นบันได ถึงห้องท่านชายที่อยู่ชั้นล่างปิดประตูสนิท มีกุญแจดอกหนึ่งใส่อยู่ ท่านหญิงยืนจ้องมองประตูห้อง ได้ยินเสียงท่านชายดังก้องในหู
“หญิงแขไข พี่ขออนุญาตให้บุหลันขึ้นมาอยู่บนตำหนักได้มั้ยคะ พี่เป็นห่วงเพราะเขาท้องได้ 2 เดือนแล้ว มีอะไรจะได้แก้ไขได้ทัน
“จะทรงให้มันขึ้นไปอยู่บนห้องหญิงมั้ยคะ หญิงจะลงไปอยู่ที่เรือนของเขาเอง เพราะหญิงไม่ได้ท้องนี่คะ เจ้าพี่ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหญิงเพราะหญิงไม่ท้อ”
ท่านหญิงหันมา ทำหน้าว่าเห็นนางเฟือง สีหน้าเศร้าสร้อยลงทันที แล้วท่านหญิงก็ออกเดินตรงไปที่บันได เดินไปพูดไป
“เฟือง เขาเหมือนบุหลันมากแต่คุณหญิงราชบัณณธรยืนยันว่าเป็นลูกสาว หญิงไม่อยากเชื่อแต่ก็คิดว่าพวกเขาคงไม่โกหก เฟือง...ได้ยินที่หญิงพูดหรือเปล่า รู้มั้ย เวลานี้หญิงเหงาเหลือเกิน.....ลองคิดดู เฟืองทิ้งหญิงไปแล้ว เจ้าพี่ยังเสด็จจากไปอีก หญิงไม่เหลือใครนอกจากชายเดียว แต่ลูกชายก็ต้องไปโรงเรียน..วังใหญ่โตมีหญิงครอบครองคนเดียว หญิงไม่ได้ต้องการเช่นนี้สักหน่อย เฟือง อย่าทิ้งหญิงนะ”
ผ่องเดินออกมาจากทางเข้าตำหนัก เงยหน้าผ่านหน้าต่าง มองเข้าไปในตัวตำหนัก แล้วอ้าปากค้าง ช็อก เมื่อเห็นว่าท่านหญิงเดินขึ้นบันได โดยมีนางเฟืองทำท่าคล้ายๆ ประคองท่านหญิงเดินขึ้นไปด้วย
แล้วผีนางเฟืองก็ค่อยๆ หันหน้ามานัย์ตาแข็งจัด มองตรงมาที่ผ่องเขม็ง ผ่องล้มตึงทันที
อ่านต่อหน้า 4
แค้นเสน่หา ตอนที่ 4 (ต่อ)
วันต่อมา สาลี่นั่งอยู่ที่ครัว ในมือถือหมาก แต่ท่าทางกิริยาเหมือนไม่รู้ตัว นัยน์ตามองไปข้างหน้า
“ป้าลี่” พิกุลเรียก
สาลี่สะดุ้งสุดตัว หมากหล่น “อุ๊ย”
“เป็นอะไรป้าลี่... เห็นผีเหรอ”
สาลี่หยิบหมากปาเต็มแรงถูกหัวพิกุล “พูดทำไม.. พูดทำไมวะนังพิกุล”
“เอ๊า จริงเหรอเนี่ยป้า”
“นังตัวดี... ปาหัวแตกเลย” สาลี่เงื้อง่า
“เหอะป้า อีกหน่อยก็คงเจอกันครบทั้งวังหรอก รู้มั้ยพี่ผ่องล้มโครมเลยเมื่อคืน ตอนนี้ไข้จับตัวร้อน”
“ล้มโครม... โครมเชียวเหรอวะ.. น่ากลัว” สาลี่สยอง
สาลี่มาเยี่ยมผ่องที่ห้องพัก
“ผ่องเอ๊ย...เจอจังๆ เลยเอ็ง เอ็อ..เอ็งคนของเขานะ ทำไมยังทำกับเอ็งได้ ยังงี้ยังจะรักจะคิดถึงอีกเร้อ”
ผ่องหน้าเหยเก “ไม่รู้... ฉัน... ฉัน”
“ท่านหญิงเด็จ” พิกุลบอก
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส เข้ามายืนมองดูผ่อง ที่นอนคุดคู้ ไม่สบายมาก
ผ่องกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมา หน้าตาหวาดกลัว “อย่า...กลัวแล้ว”
“ผ่อง” ท่านหญิงเรียกเสียงเข้ม แต่ไม่เข้าไปแตะตัว
“ไป...ไม่เอา กลัว กลัวมังคะ” ผ่องร้องอยู่อย่างนั้น
“ผ่อง” ท่านหญิงเสียงดังขึ้นอีกนิด “หยุดร้อง”
ผ่องลืมตาแค่ครึ่งๆ ตา หายใจหอบแรง
“ไม่สบาย เดี๋ยวกินข้าวต้ม แล้วกินยา หลับอีกตื่นแล้วจะหาย”
ผ่องครางฮือ...ฮือ
ท่านหญิงหันกลับ สบตากับสาลี่เต็มแรง รู้กันว่าผ่องเห็นอะไร
“สาลี่ ผ่องมันไม่สบาย แกดูแลหายาข้าวหาให้กินด้วย ถ้ามันจะพูดจาอะไรก็เพราะฤทธิ์ไข้...เข้าใจมั้ย” สายตาท่านหญิงมองเขม็ง
“เข้าใจมังคะ” สาลี่หลบตา
ท่านหญิงเดินตัวตรงออกไป
“ผ่อง...ผ่องเอ๊ย..รู้มั้ยท่านหญิงเด็จมาเยี่ยมเอ็ง”
ผ่องยึดมือสาลี่แน่น นัยน์ตาบอกอะไรหลายอย่าง
“แกฝัน...ฝันไป ไม่มีอะไรหรอกผ่องเอ๊ย”
“ไม่...” ผ่องพยายามบอกอีก
สาลี่รีบสวนทันที “ฝัน เชื่อฉัน สิ่งที่แกเห็นมันไม่มีจริง”
“พี่ว่าฉันเห็นอะไร”
“อะไรก็ตามมันไม่จริง แกไม่ต้องกลัว มันทำอะไรเราไม่ได้ เพราะอยู่กันคนละโลก...ถึงอยากทำ มันก็ทำไม่ได้” สาลี่นิ่งไปอึดใจ หน้าเข้มขึ้น “เมื่อคืนข้าก็ฝัน ฝันเหมือนแกนั่นแหละ ผ่องเอ๊ย แต่...มันแค่ฝัน...คิดสิวะ! มันแค่ฝัน”
สาลี่กับพิกุลซึ่งถือถาดใส่ชามข้าวต้ม เดินมาด้วยกันทางหลังตึก
“พิกุล..ข้าจะไปต้มข้าวต้ม เดี๋ยวเอ็ง...” สาลี่หยุดกึก
มีเสียงหัวเราะกังวานเยาะหยันของนางเฟืองดังแผ่วๆ
“ได้ยินเสียอะไรมั้ย นังพิกุล”
“เสียงอะไรเหรอป้า”
“ไม่ได้ยินเรอะ”
พิกุลส่ายหน้า พึมพำ “ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไร”
สาลี่ รู้ดีว่าเสียงอะไร หน้าเข้ม มองไปทั่วๆ
“เฮี้ยนได้เฮี้ยนไป กูไม่หวั่นแล้วเว้ย อยากมามาเลยให้มันรู้ว่าผีจะเก่งกว่าคน”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก สาลี่เร่งฝีเท้าไป
พิกุลไม่ได้ยินอะไรยิ่งงงกับท่าทีแม่ครัวใหญ่
“จะรีบไปไหนป้า”
เช้าเดียวกัน แนบเช็ดรถรออยู่หน้าตึกบ้านปัณณธร พจน์เดินลงจะไปทำงาน ถือกระเป๋าเอกสาร จันทร์วิ่งตามออกมาจากในตึก
“จันทร์”
“คุณพี่คะ
“มีอะไร”
“วันนี้คุณพี่จะไปงานศพท่านชายมั้ยคะ”
พจน์ จ้องมองจันทร์นิ่ง อ่านสายตาจันทร์ ที่บอกด้วยสายตา
“ไป...จันทร์เตรียมตัวรุ้งไว้แล้วกัน”
จันทร์ไหว้ สายตาซาบซึ้งมาก น้ำตากำลังจะออก
“อย่าร้องไห้ไปเลย อยากให้ทำอะไรก็บอกพี่ ถ้าทำได้พี่ทำให้เสมอ” พจน์บอก
คราวนี้จันทร์น้ำตาร่วงทันที “น้องขอให้รุ้งถวายมาลัยหน้าพระโกศท่านพ่อ”
พจน์พยักหน้าน้อยๆ “น้องสอนรุ้งไว้แล้วกันว่า ต้องทำอย่างไร”
เย็นจวนค่ำจันทร์สอนรุ้งซึ่งยังอยู่ในชุดนักเรียน ให้คลาน ถือพาน วางพาน และสอนวิธีกราบ
“หนูกราบพระพุทธรูปก่อน แล้วกราบพระศพ ถวายพวงมาลัยแล้วอธิษฐานตามที่แม่สอนนะลูก
ที่หน้าโกศพระศพคืนวันนั้น เสียงท่านหญิงเอ่ยขึ้น “เด็กๆ ไปกราบพระศพ...ไปพร้อมๆ กัน”
รุ้งถือพานใส่พวงมาลัยดอกพุด คลานเข้าไปหน้าพระโกศ จริมา ฉัตต์ ชายเดียว คลานไปด้วยกัน ทอแสงรัศมีตามไปด้วย เด็กทุกคนกราบพระพุทธก่อน แล้วย้ายไปกราบพระศพ
รุ้งถวายพวงมาลัย แล้วพนมมืออธิฐานในใจ “หนูขอให้วิญญาณของท่านไปสู่สุคติ หนูจะตั้งใจเรียนและทำแต่ความดีตลอดชีวิตของหนูค่ะ” รุ้งก้มกราบ
“ท่านพ่อกระหม่อม ขอให้ท่านพ่อเสด็จไปสู่สุคติ ไม่ต้องทรงห่วงชาย ชายจะดูแลหม่อมแม่ ดูแลตัวเอง จะตั้งใจเรียน จะทำแต่ความดีนะกระหม่อม” ศักดินาอธิษฐานในใจแล้วก้มกราบ
ท่านหญิงแขไขมองมาแต่ไกล สีหน้าเพ่งเล็ง
รุ้ง และชายเดียว เงยหน้าจากกราบพร้อมกัน หน้าอยู่เคียงกัน
ท่านหญิงเพ่งมอง แปลกใจที่หน้าสองหน้าคล้ายกันอย่างผิดสังเกต ท่านหญิงไม่สบายใจเลย
พจน์อธิษฐานในใจบอกท่านชาย “กระหม่อมได้ทำในสิ่งที่หม่อมบุหลันขอร้อง คือนำลูกอีกคนหนึ่งของฝ่าบาทมาเฝ้า หากทรงมีญาณพิเศษใดๆ ขอให้ทรงทราบว่าเวลานี้ หม่อมราชวงศ์หญิงวิมลโพยมได้มาพบท่านพ่อของเธอแล้ว และขออย่าได้ทรงห่วงเพราะ กระหม่อมสัญญาว่าจะดูแลทั้งแม่และลูกให้ดีที่สุด”
ในห้องสวดพระศพท่านชาย พระสวดพระอภิธรรมอยู่ ทุกคนนั่งฟัง
เด็กๆ นั่งฟังกันเรียบร้อย จริมายุกยิกนิดหน่อย พอเหลือบสบตากับพจน์ก็นั่งตัวตรง สักครู่หนึ่งพระสวดเสร็จแล้ว ลุกเดินออกจากห้อง
“คนไหนลูกสาวคุณพจน์ คนไหนหลานสาว” ท่านหญิงเล็ก ทอดเสียงถาม
“คนนี้จริมาลูกกระหม่อม คนนี้ลูกแม่จันทร์ ชื่อรุ้ง” พจน์แนะนำ
ท่านหญิงแขไขพินิจดูรุ้ง อย่างเพ่งเล็ง รุ้งก้มลงกราบท่านหญิง พร้อมๆ กับจริมา
“หน้าตาดีทั้งคู่ เรียนโรงเรียนเดียวกับหญิงทอแสง” ทอดเสียงเป็นคำถาม
“เรียนชั้นเดียวกันเพคะ แต่คนละห้อง” จริมาตอบ
ท่านหญิงเรียก “รุ้ง”
รุ้งสะดุ้งนิดๆ “มังคะ”
ท่านหญิงสะกิดใจนิดหนึ่งที่รุ้งพูดว่า “มังคะ”
“รุ้งเป็นชื่อเล่นใช่มั้ย ชื่อจริงชื่ออะไร”
“ชื่อจริงกระหม่อม รุ้ง ปัณณธร” พจน์ตอบ
“คุณพจน์โชคดีมีทั้งลูกชาย ลูกสาว หลานสาว ฉันมีลูกชายเดียวคนเดียว อยู่โรงเรียนประจำบ้านช่องเงียบเชียบ ผู้คนเหงาหงอยไปตามๆ กัน” ท่านหญิงปรารภ
ท่านหญิงเล็กเสริม “เมื่อก่อนพี่หญิงยังมีคนสนิทคอยดูแล วังก็ยังมีงานรื่นเริงบ้าง เพราะแม่เฟืองเขาเป็นแม่งาน นี่เขาตายไป ท่านชายก็ประชวรหลายปี วังเลยเงียบจริงๆ”
พจน์อึ้งไปเต็มๆ ตอนท่านหญิงเล็กบอกว่า เฟืองตายแล้ว
รถที่แนบขับแล่นเข้ามาจอดหน้าตึก จันทร์คอยอยู่ อ่อนคอยอยู่ด้วย เด็กๆ ลงจากรถ รุ้งไปกอดแม่
“ทำตัวเรียบร้อยมั้ยคุณริมา”
“เรียบร้อยที่สุดในชีวิต” จริมาทำตัวห่อประกอบ “อย่างนี้ตลอดเลย”
“โธ่เอ๊ย...เห็นกราบก้นโด่ง” ฉัตต์ขัดขึ้น
“พี่ฉัตต์ ตัวเองอยู่ข้างหน้าริมา เห็นได้ไงคะ”
“เห็นแล้วกัน ไม่เหมือน” ฉัตต์มองดูรุ้งแล้วเดินผ่านไป
“อ๋อ ไม่เหมือนรุ้ง...ก็เค้าเป็นกุลสตรี ริมาไม่ใช่นี่” เดินตามพี่ไปแล้วหันมาเรียก “ตัวเล็ก...ริมาอาบน้ำก่อนนะ”
รุ้งเดินตามไป
จันทร์ไหว้ “ขอบคุณคุณพี่ค่ะ เป็นพระคุณที่สุดที่พารุ้งไปเฝ้า...ถึงแม้จะเป็นพระศพ”
“พี่เต็มใจทำ...คิดว่าต้องทำด้วย ขอบใจที่น้องเล่าเรื่องให้พี่รู้ จันทร์...แม่เฟืองตายแล้ว”
จันทร์ ตกใจนิดหน่อยแล้วสงบลงได้
“เป็นอะไรตายคะ”
“พี่ไม่รู้ ไม่ได้ถาม กลัวจะมีคนสงสัยจันทร์”
“ค่ะ”
“น้องจะอโหสิกรรมให้เขาได้หรือไม่”
จันทร์มีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ที่ห้องโถงวังรังสิยา วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันเปิดพินัยกรรม ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส หลวงวิเศษ คุณชายศักศินา ท่านหญิงเล็ก ท่านชายวรจักร สามี และทนายความประจำตระกูลอายุประมาณ 60 ปี อยู่พร้อมหน้า
ทนายเปิดพินัยกรรม “พร้อมแล้วนะกระหม่อม ท่านหญิงอัปสราภา ท่านชายวรจักร คุณหลวงวิเศษ พยานครบแล้ว 3 ท่าน ท่านหญิงแขไขจรัส คุณชายศักดินา ทายาทโดยตรง กระหม่อมจะอ่านพินัยกรรมเดี๋ยวนี้กระหม่อม” ทนายเปิดเริ่มอ่าน
“ท่านชายทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ เมื่อข้าพเจ้าหาชีวิตไม่แล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าพเจ้า ทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ตามรายการที่แนบท้ายพินัยกรรมนี้ ข้าพเจ้าขอยกให้หม่อมเจ้าหญิงแขไขจรัส ชายาของข้าพเจ้าและหม่อมราชวงศ์ชายศักดินาบุตรชายของข้าพเจ้ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกันทุกอย่าง”
ทั้งหมดมองไปที่ท่านหญิง และคุณชายศักดินาที่นั่งข้างท่านหญิง นั่งตัวตรงมีสง่า ท่านหญิงก้มหัวนิดหน่อย เป็นเชิงยอมรับ
“มีเงื่อนไขท้ายพินัยกรรมที่ท่านชายทรงเขียนด้วยพระหัตถ์เช่นกัน” ทนายว่าแล้วอ่านต่อ
“ข้อ 1. ให้แบ่งเงินสดแก่บริวารทุกคนในบ้านตามแต่ท่านหญิงจะทรงเห็นสมควรว่าเป็นจำนวนเท่าใด ข้อ 2. เมื่อคุณชายศักดินาเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ให้เดินทางไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษจนถึงชั้นสูงสุดที่คุณชายต้องการ ข้อ 3. ห้ามจำหน่าย หรือเปลี่ยนแปลงต่อเติมตัวตำหนักของวังรังสิยา ไม่ว่าด้วยกรณีใดๆ นอกจากการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เท่านั้น”
ท่านหญิงเล็ก สบตาท่านชายวรจักร ยักไหล่นิดๆ แบบเห็นแปลก
ทนายอ่านต่อ “ข้อ 4. เมื่องานพระราชทานเพลิงข้าพเจ้าเสร็จสิ้นลง ให้รื้อเรือนข้าหลวงหลังที่ติดกับท่าน้ำหลังวังทิ้งไม่ให้เหลือซาก”
ข้อความนั้นกระแทกเข้าตรงหน้าท่านหญิงจังๆ สีหน้าเย็นเฉียบ ล้ำลึกด้วยความรู้สึกภายใน หวนคิดถึงอดีต
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ตอนที่เฟืองตายไปใหม่ๆ และท่านชายยังไม่เป็นอัมพาต
“พี่ออกคำสั่งไปแล้ว ให้รื้อเรือนนางเฟืองออกให้หมด เขากำลังจะลงมือพรุ่งนี้แล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งอีก”
ท่านหญิงจ้องหน้าท่าทีอึดอัด
“เรือนเก่า... รื้อแล้วจะสร้างให้ใหม่จะได้อยู่สบาย”
“จะสร้างใหม่ก็สร้างไป แต่หญิงไม่ให้รื้อของเก่า เฟืองเขาเคยอยู่ที่นั่น”
“คนมันก็ตายไปแล้ว ตายอย่างน่าเกลียดน่ากลัว ทำให้คนในวังขนหัวลุกไปตามๆกัน ใครมันจะกล้าอยู่ หญิงไม่เข้าใจบ้างเลยหรือ”
“ไม่เข้าใจค่ะ” ท่านหญิงโต้ตอบอย่างไม่กลัวเกรง “มีคนตายก็ต้องรื้อเรือนที่อยู่ ถ้าเช่นนั้นหาเจ้าพี่สิ้น..หญิงตาย..คนที่อยู่ก็ต้องรื้อวังนี้ด้วยหรือคะ”
“หญิงแขไข เธอเปลี่ยนไปมาก”
“เจ้าพี่ทรงเปลี่ยนก่อนหญิง” มองหน้าท่านชายอย่างเสียใจ “ทรงเปลี่ยนมานานแล้ว และหญิงก็เสียใจมานานแล้ว จนหญิงรับความเสียใจเพิ่มอีกไม่ได้..เพิ่มอีกไม่ได้แม้แต่นิดเดียวทรงเข้าทัยมั้ยคะ” ราชนิกุลเสียงดังสั่นสะท้าน เจ็บปวดสุดๆ “ถ้าเจ้าพี่ไม่สั่งระงับ เจ้าพี่จะไม่ได้พบหญิงอีกเลย”
สีหน้าท่านหญิงครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น
คนอื่นๆ กำลังถกเถียงกันเบาๆ
ทนายส่งกระดาษพินัยกรรมให้ท่านชายวรจักร “เชิญพยานทอดเนตรเอกสารกระหม่อม
“พี่หญิงคะ”
ท่านหญิง ลุกเดินออกไปจากห้องทันที ทุกคนอึ้ง
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสเดินออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว หยุดยืน แล้วเหลียวหานางเฟือง ซ้าย ขวา กลับมาซ้ายอีกทีเห็นแล้ว ร่างของนางเฟืองโปร่งใสบางเบา อยู่ในลักษณะของผู้ที่ทุกขเวทนา ตัวงอก้มหน้าต่ำ
ท่านหญิงเดินไปพูดไปก้มหน้านิดๆ ไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังพูด
“ไม่ต้องกลัว หญิงจะไม่ปล่อยให้เรือนของเฟืองต้องถูกรื้อเป็นอันขาด เป็นยังไงก็เป็นกัน ผิดนักหญิงจะไปอยู่กับเฟืองให้รู้แล้วไป อยากรู้ว่าวิญญาณใครมั่งจะสมใจ”
ร่างท่านหญิงเดินผ่านไป ร่างนางเฟืองที่ก้มต่ำ ยืดสูงขึ้น เปล่งเสียงหัวเราะแหบแห้งออกมาท่าทางหยิ่งผยองลำพองใจ
เมื่อทุกคนเดินออกมาผ่านร่างเฟืองไป พูดคุยกันเบาๆ ไม่มีใครเห็นเฟือง แต่มีสีหน้าไม่สบายใจกันทั้งนั้น
ตกตอนกลางคืน ในวันหนึ่ง รุ้งนอนหลับสนิท สายสร้อยห้อยเหรียญในมือจันทร์ ที่มีสีหน้าใคร่ครวญหนัก
ไม่นานต่อมาจันทร์ออกจากห้อง เดินตรงไปที่ห้องพจน์ เคาะประตูเบาๆ โดยไม่รู้ว่าฉัตต์แง้มประตูห้อง มองอยู่ พจน์เปิดประตูออกมา
“จันทร์”
“ขอรบกวนเวลาคุณพี่สักครู่ ดิฉันมีเรื่องจะคุยที่เราพูดกันวันก่อน”
“อ๋อ ที่พี่ถามว่าน้องจะอโหสิให้เขาได้หรือไม่ ใช่ น้องยังไม่ตอบพี่”
“ค่ะ ดิฉันพร้อมจะตอบแล้วค่ะ”
พจน์เดินไปกับจันทร์ ฉัตต์แอบดูอย่างขุ่นใจ
สองคนเดินลงมาห้องมืดอยู่ จันทร์ไปเปิดไฟสว่างทั้งห้อง สองคนไปนั่ง พจน์จ้องหน้าจันทร์ คอยฟัง
จันทร์รวบรวมความคิดว่าจะพูดยังไง
“พี่รับฟังได้ทุกอย่าง พูดมาเถอะ”
“ดิฉันควรทำอย่างที่คุณพี่แนะนำใช่ใหมคะ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร อโหสิให้เขาเสีย”
“ใช่ พี่หวังว่า น้องจะคิดอย่างนั้น”
“คุณพี่คงผิดหวังถ้าหากดิฉันจะบอกว่า ดิฉันคงจะอโหสิให้เขาได้แต่ไม่ใช่วันนี้ ดิฉันไม่ใช่แม่พระ แต่เป็นปุถุชนธรรมดา ดิฉันไม่เคยคิดร้ายกับใคร แต่สิ่งที่เขาทำกับดิฉันมันร้ายแรงมากจนอภัยไม่ได้ ถ้าหากเขาไล่ดิฉันกับลูกสองคนไปก็ยังพออโหสิกันบ้าง แต่ที่เขาพรากลูกไปจากดิฉัน แล้วยังฆ่าดิฉัน ความแค้นมันเป็นความทุกข์อยู่ในใจตลอดเวลา ดิฉันควรอโหสิให้เขาง่ายๆ งั้นหรือคะ”
พจน์นิ่ง อึ้งในวาจาของจันทร์ จันทร์ก้มหน้า พยายามกล้ำกลืนความเสียใจ
“กรรมตามสนองเขาแล้ว เท่ากับฟ้าดินลงโทษแล้วน่ะ”
“ดิฉันเข้าใจค่ะ ก็อย่างที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า คงมีสักวันที่ดิฉันจะอโหสิให้เขา”
“พี่เข้าใจ เพราะความรู้สึกของคนเราใช่จะถ่ายถอนกันได้ง่ายๆ รักกับแค้นมันอยู่..ใกล้กันนิดเดียว”
จันทร์ทวนคำ ครุ่นคิด “ใช่ค่ะ คุณพี่พูดถูก รักกับแค้นมันอยู่ใกล้กันนิดเดียว”
“พี่หวังว่า วันหนึ่งน้องจะลืมความอาฆาตแค้นและอโหสิให้กับเขา”
จันทร์มองพจน์อย่างใคร่ครวญ พจน์นั่งนิ่งไป
“คุณพี่ผิดหวังกับคำตอบดิฉันใช่มั้ยคะ”
“ต้องขอตอบตรงๆว่าใช่ แต่เหตุผลเป็นของน้องนะจันทร์ พี่ต้องเคารพ”
“ขอบคุณค่ะ” จันทร์ไหว้
“ขอถามอีกที นางเฟืองตายแล้วเท่ากับอันตรายไม่มี แล้วทีนี้น้องจะทำอย่างไรต่อไป เปิดเผยความจริง ทวงสิทธิ์ให้คุณชายรู้ว่าใครคือแม่ที่แท้จริง น้องสามารถทำได้เพราะน้องมีสิทธิ์”
จันทร์นิ่งงัน
“ที่สำคัญ...คือสิทธิ์ของรุ้ง สิทธิ์ของหม่อมราชวงศ์หญิงวิมลโพยม รังสิยา”
จันทร์นิ่งอึ้ง
“คนที่น้องกลัวเขาตายไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนี่”
ที่เรือนครัวของวังรังสิยาคืนนั้น ทุกคนต่างสะใจตามๆ กัน โดยเฉพาะสาลี่
“แม้กูจะสะใจ๊...สะใจ”
“เรื่องอะไรป้า” พิกุลงง
“เอ๊า...นังพิกุล นังโง่ ไม่รู้เรื่องพินัยกรรมท่านชายรึ”
“อ๋อ...เรื่องรื้อเรือนป้าเฟือง”
“นั่นแหละ ทีนี้มันก็เป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อนไม่มีที่จะสังกัด ฮะ..ฮะ.. สะใจ”
ไม่นานนัก สาลี่เปิดประตูห้องนอนปีศาจนางเฟืองพรวดออกมาทันควัน เห็นเต็มหน้าพร้อมส่งเสียงคำรามน่ากลัวมาก สาลี่ล้มโครมล้มทันที
เช้าวันต่อมา สน ละมัย สาลี่ ผ่อง และพิกุล ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อย ถูกเรียกขึ้นมาที่ห้องโถงบนตำหนักวังรังสิยา ท่านหญิงแขไขพูดขึ้นด้วยอารมณ์แรงแล้ว
“ฉันไม่เข้าใจแกทั้งสองคน แกก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีใคร ถ้าแกไปทั้งสองคนฉันจะอยู่กับใคร ใครจะทำงานให้ฉัน ใครจะดูแลคุณชาย”
สาลี่ และ ผ่อง สองคนก้มหน้านิ่ง
“ถ้ากลัวผีกันนักจะออกกันทั้งหมดก็ได้ ละมัย พิกุล นายสน ไปกันให้หมด ไม่ต้องคิดถึงข้าวแดงแกงร้อนกันแล้ว”
ละมัย พิกุล และสน นั่งอยู่ห่างๆ
“ขนาดแกอยู่มานานโดนแค่นี้แกก็จะทิ้งฉัน นับประสาหาอะไรกับคนใหม่ๆ ที่เขามาอยู่ถ้าเขาเจออย่างที่แกสองคนเจอ เขาคงจะรีบไปเพราะเขาไม่มีห่วงใยอะไรกับฉันกับคุณชาย หรือกับวังนี้ แล้วฉันก็ต้องเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ” สายตาท่านหญิงมองกวาดไป “แกสองคนไม่ห่วงฉันเรื่องนั้นเลยใช่มั้ย”
“แต่หม่อมฉันโดน...หลายหนแล้วนะมังคะ หม่อมฉันกลัวว่าจะตกใจตายเสียก่อน” สาลี่ว่า
“หม่อมฉันกลัวมังคะ ท่านหญิง” ผ่องเสียงสั่น “กลัวขึ้นขะหมองแล้วมังคะ”
“เอาล่ะ ฉันก็พูดอย่างที่ฉันพูดไปแล้ว” ท่านหญิงลุกขึ้นยืน “จะเก็บไปคิดแค่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าจะออกจริงๆ ก็มาเอาเงินเดือน ฉันจะให้เป็นเงินก้อนไปบ้างเผื่อว่าหางานยังไม่ได้”
จากนั้นท่านหญิงก็เดินออกไป
ละมัย พิกุล สน เข้ามาหาสองคน
“พี่สาลี่… พี่ว่ายังไง” ผ่องร้อนใจรีบถาม
“ครั้งก่อนฉันก็เคยลาท่าน ท่านก็รับสั่งยังเงี้ยแหละฉันก็แพ้ท่านไปเลยหนนั้น คราวเนี้ย...” สาลี่มีสีหน้าครุ่นคิดหนัก
“อย่าไปเลยว้าแม่สาลี่” สนบอก
“พี่สาลี่ ไหนบอกให้คิดว่าฝันไปไง” ผ่องว่า
“ก็จะคิดล่ะ แต่...เขาผูกเวรผูกกรรมกะฉันคนเดียวมั้ง..เมื่อคืนก็มาหาฉันอีก”
ผ่องตกใจ “จริงเหรอ งั้นพี่ว่าไงฉันก็ว่าตามพี่ พี่อยู่ฉันอยู่ พี่ไปฉันไปด้วย”
“คิดไม่ตก” สาลี่ว่า
“ป้าไปใครทำกับข้าวให้ท่านเหวยล่ะ” พิกุลเอ่ยขึ้น
“ป้าผ่องไปใครจะดูแลคุณชาย” ละมัยว่า
“คุณชายก็โตแล้ว” ผ่องบอก
“แต่เธอก็ยังต้องมีคนดูแลนะ” สนว่า
สาลี่ กะผ่อง ทอดถอนใจใหญ่
“เอาละวะ ผ่องเอ๊ย..เฮ้อ...เอาล่ะ” สาลี่เอ่ยขึ้น
“โธ่เอ๋ย..แม่สาลี่ ท่านหญิงอุตส่าห์รับสั่งทักท้วง พวกเราก็ทักท้วงยังไม่ยอมฟัง หรือจะให้แม่เฟืองเขามาท้วงเองยะ” สนว่า
“พี่สาลี่....พี่จะว่าไงเหรอ ไปหรือไม่ไป” ผ่องถามอีก
ฉาก 2หน้าเรือนข้าหลวง เวลาต่อเนื่อง
ตัวละครต่อเนื่องมากจากฉาก 1 ท่านหญิงแขไข (ที่หน้าต่างห้อง)
ธูปควันกรุ่นๆ ที่บริเวณหน้าเรือนนางเฟือง สาลี่ ผ่อง ยกธูปจบเหนือหัว พึมพำขมุบขมิบ
“แม่เฟือง ถึงแม่กะฉันจะเคยกระทบกระทั่งกัน แต่แม่เฟืองก็ตายไปแล้ว ฉันขอให้ไปสุคติเถอะนะแม่นะ”
“ฉันเหมือนกันจ้ะพี่เฟือง ฉันรู้พี่ไม่ได้ตั้งใจหลอกฉัน แต่ฉันไม่ขอเห็นอีกนะ” ผ่องบอก
สองคนปักธูปตรงหน้าเรือนของนางเฟือง
ที่หน้าต่างตัวตำหนัก ท่านหญิงประทับมองลงมา
ท่านหญิงมองลงไปอีกสักครู่ แล้วหันมาจากหน้าต่าง พูดลอยๆ
“ฟังกันมั่งนะ ..ฟังกันมั่ง” สุ้มเสียงเข้ม หน้าก็เข้มขุ่นมัว “วุ่นวายกันไปทั้งวังแล้ว...เฮี้ยนไม่เข้าเรื่อง”
ลมพัดวนไปมาอยู่ในห้องเหมือนว่านางเฟืองได้ยิน
จังหวะนี้มีเสียงเคาะประตู เสียงลมหยุดเป็นปลิดทิ้ง
“เข้ามาได้” ท่านหญิงเดินเข้ามาได้
ศักดินาเปิดประตูแล้วเดินตัวตรงเข้ามา คุกเข่า กราบที่ตัก
ท่านหญิงยิ้มออก “มาแล้วรึชายเดียว วันนี้กลับช้านะลูก” อ้าแขนกอด
“ท่านแม่คอยลูกเหรอคะ” ศักดินาเข้าไปอิงแอบ
“คอยสิลูก ชายไปโรงเรียนแม่ไม่มีเพื่อน ..อยู่คนเดียววังออกใหญ่โต..แม่เหงา”
ชายเดียวกอดท่านแม่อ้อน “ชายออกจากโรงเรียนมาเป็นเพื่อนท่านแม่เอามั้ยคะ เรียนที่วังท่านแม่สอน”
ท่านหญิงหัวเราะชอบใจ “พูดจริงหรือนี่ ใจดีจริงลูกชายฉัน แล้วไม่คิดถึงเพื่อนหรือจ๊ะ ไม่รักเพื่อนแล้วหรือ”
“ชายรักท่านแม่มากกว่าค่ะ” ศักดินาบอก
ท่านหญิงจูบ กอด อย่างชื่นใจ “ได้ยินแค่นี้แม่ก็ชื่นใจแล้ว”
“คนเรามีพ่อมีแม่ รักพ่อรักแม่ แต่ท่านพ่อสิ้นไปแล้ว ชายก็ย้ายมารักท่านแม่คนเดียวเลยค่ะ”
“ชาย” ท่านหญิงชายตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ กอด ซบหน้าแนบหัวชายเดียว “ชายเดียวของแม่”
ท่านหญิงมองไปมุมห้องเหมือนเห็นนางเฟือง คิดในใจ
“เฟือง...ขอบใจเฟืองเหลือเกินที่พาลูกชายมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้นชีวิตฉันคงไม่เหลืออะไรแล้ว”
ท่านหญิงกอดคุณชายศักดินาอย่างสุขใจ
เสียงนางเฟืองหัวเราะแผ่วเบา แต่กังวานรื่นรมย์ใจ
ตกตอนค่ำ ท่านหญิงกับชายเดียวนั่งโต๊ะอาหารอยู่แล้ว พิกุลกำลังตักข้าวให้
สาลี่เดินเข้า ถือถาดใส่โถแกงจืด “แกงจืดลูกรอกมังคะ”
“สาลี่” ท่านหญิงเรียก
“มังคะ”
“ขอบใจแกมากนะ ผ่องด้วย” แลเห็นผ่องถืออาหารอีกจานเข้ามา
“มังคะท่านหญิง หม่อมฉันยังไงๆ ก็ทิ้งคุณชายไปไม่ได้หรอกมังคะ”
ท่านหญิงพยักหน้ายิ้มแย้ม ตักอาหารให้ชายเดียว
“ต่อไปนี้ หม่อมฉันถวายสัญญามังคะไม่คิดลาออกอีกแล้ว” สาลี่หันไปมองหน้ากับผ่อง “ถึงกะว่าจะเจอ...อีกก็เหอะมังคะ”
“เอาเถอะ ฉันคิดว่า...อาจจะ...ไม่มาอีกแล้ว”
สองคนออกไป
ท่านหญิงเหมือนรำพึงพูดกับนางเฟือง “ขอนะเฟือง..ฉันขอเฟือง..อย่ามาหลอกหลอนคนในบ้านอีกเลย”
ขณะเดียวกันรุ้งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะไปอาบน้ำ จริมานอนเซลงบนเตียง
“อีตาคุณชายเดียว ตัวเล็กเห็นมั้ยพ่อตายเห็นเค้าเศร้ามั้ย”
“เค้าก็ต้องเศร้าอยู่แล้วคุณริมาว่าเค้าทำไม”
“เฮ้ย...ไม่ได้ว่านะ แค่ตั้งข้อสังเกตเท่านั้น”
“ท่านพ่อของคุณชายเจ็บมาตั้งนานแล้วค่ะ พอสิ้นก็คงไม่เศร้ากันเท่าไหร่”
“ทำไมตัวเล็กรู้ว่าท่านพ่อเค้าเจ็บ”
“เอ๊ะ ก็เค้าเล่าให้ฟังคุณริมาอยู่วันนั้น”
“ไม่รู้...จำไม่ได้”
“ไม่จริงหรอก ริมาจำได้รุ้งรู้”
“เอ๋อ...เรื่องอะไรมารู้...จำไม่ได้จริง...จริ๊ง”
รุ้งมองเหล่ๆ
จริมาไม่หวั่นไหวเลย ทำหน้าใสซื่อแบบแนบเนียนสุด ๆ
“ริมา...ถึงยังไงก็ต้องเห็นใจเขานะ ถ้าเจอคุณชาย ริมาต้องพูดกับเขาดีๆ เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจว่าไงเหรอ”
“ก็เข้าใจอย่างที่ควรเข้าใจนั่นแหละ ถ้าไม่รู้ว่าควรเข้าใจอะไรก็ตามใจ อยากเป็นคนใจร้ายก็ตามใจ”
รุ้งออกไป
จริมาพูดตามหลัง “อยากเป็นน่ะ...อยาก อยากใจร้าย”
อีกวันต่อมาศักดินาแวะมาที่บ้านปัณณธร เวลานี้อยู่ในห้องรับแขกเผชิญหน้ากับจริมา ที่เหล่ๆ อยู่
“ผมมาหาพี่ฉัตต์ครับ”
“ถ้าไม่ได้มาหาพีฉัตต์แล้วจะมาหาใคร” จริมาย้อน
ชายเดียวหน้าเหวอนิดหน่อย “ก็...หาพี่ฉัตต์”
“ไม่เห็นต้องบอกเล๊ย”
“ก็...ต้องบอกตามมารยาทไงครับ”
“ไม่ต้อง มารยาทเยอะไปไม่เอา เพราะที่นี่เป็นบ้านไม่ใช่วัง”
ศักดินายิ่งเหวอเข้าไปใหญ่ เอ๊ะ ทำไมยายคนนี้พูดจายวนจริง
“ผม...หาพี่ฉัตต์”
“บอกตั้งสามครั้ง ได้ยินแล้ว”
“ก็ไหนล่ะครับพี่ฉัตต์ ผมไม่ได้เจอพี่ฉัตต์ก็คิดว่าไม่ได้ยินน่ะสิครับ”
“อ้อ พูดยาวๆได้เหมือนกันเน้อ”
ชายเดียวก้มหน้า จ๋อยไปเลย
รุ้งเดินออกมา ศักดินาเห็น หน้าตาดีใจขึ้น ที่มีคนมาช่วย
“ตัวเล็ก คุณชายศักดินามาหาพี่ฉัตต์ แต่ไปไม่ถูกพาไปหน่อย” จริมาบอก
รุ้งมีสีหน้ากลัวๆ “ให้รุ้งพาไปเหรอคะ”
“เอ๊า กลัวอะไรนะตัวเล็ก แค่พาเข้าไปไม่ได้ให้อุ้มไปซักหน่อย”
ชายเดียวหน้าเหวอ กับคำพูดแก่นแก้วของจริมา ที่ทำหน้าล้อ ยิ้มอำๆ
“ชาววังฟังไม่รู้เรื่อง...งงเลย”
ศักดินาก้มหน้าอีก
“คุณฉัตต์รออยู่ห้องนั้นค่ะ เข้าไปเองได้มั้ยคะ” รุ้งบอก
“ได้ครับ ขอบคุณครับ”
ศักดินาเดินจ๋องๆ ไป จริมาหัวเราะกิ๊กกั๊ก
“คุณริมา แกล้งคุณชายเขาทำไม”
“ชอบ.. สนุกดี”
“สงสารเขา..ท่านพ่อเขาเพิ่งสิ้นนะคะ”
“ไม่สงสารหรอก ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บซักหน่อย อยากทำท่าเจี๋ยมเจี้ยมแบบชาววัง พูดก็ครับ...ครับ อยู่นั่นแหละ ริมาฟังแล้วมันจั๊กจี้หู นี่ดีนะเค้าเป็นแค่คุณชาย ถ้าเป็นท่านชายเราก็ต้องเพคะ..เพขา..หม่อมฉัน”
คราวนี้รุ้งหัวเราะคิก
“แล้วเราก็ไปเล่นลิเกกันได้เลย”
“โธ่เอ๊ย.. ไปว่าเค้า”
“ก็จริงนี่ ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตาคุณชายมาที่นี่ทีไรริมานะหมั่นไซ้... หมั่นไส้ ทำท่าเป็นชาววังรังกะตุ๋ย” จริมาพูดคำโบราณ “เอี้ยมเฟี้ยม ไม่รู้เป็นกะเทยรึเปล่า”
รุ้งตกใจ “ตายแล้วคุณริมา พูดค่อยๆ เดี๋ยวเค้าได้ยิน”
จริมานิ่วหน้า “เอ๊ะ น้าจันทร์ยังไม่เอาขนมมาประเคนคุณชายชาววังอีกรึนี่”
จันทร์เดินเข้าห้องนั่งเล่นที่สองหนุ่มอยู่ อ่อนยกถาดขนมตามเข้าไป ฉัตต์กำลังดูหนังสือกับคุณชายศักดินา ชายตามองนิดหนึ่ง ไม่สนใจ
อ่อนวางถาด เอาของออก จันทร์ช่วย
“ขอบคุณครับ”
ศักดินาเอ่ยขึ้นพร้อมกับจะไหว้ ฉัตต์จับมือไว้ทันที ไม่ให้ไหว้ ชายเดียวหน้างงๆ
“ไม่ต้องไหว้ดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันเป็นแค่คนทำขนมเท่านั้น”
“คุณทำขนมอร่อยมาก ร้อยมาลัยก็สวยมากครับ”
“ขอบพระคุณคุณชายที่ชมค่ะ เอ๊ะ คุณชายเห็นมาลัยที่ดิฉันร้อยหรือคะ เคยเห็นที่ไหนคะ”
“เห็นที่งานสวดพระศพท่านพ่อไงครับ”
จันทร์หน้าซีด ตกใจมาก “งานสวด... ท่านพ่อของคุณชายหรือคะ”
“ที่คุณร้อยไปวันหนึ่ง อีกวันเด็กผู้หญิงคนนั้น..ชื่อ..ตัวเล็ก..ใช่มั้ยพี่ฉัตต์” หันมาทางฉัตต์
“เขาชื่อรุ้ง” ฉัตต์บอก
“ครับที่รุ้งเอาไปถวายหน้าศพ ท่านแม่รับสั่งว่าคนร้อยมาลัยเก่งมาก แล้วยังเป็นดอกพุดที่ท่านพ่อโปรด”
จันทร์รู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ เนื้อตัวอดีตหม่อมบุหลันชาไปหมด จดสายตาเพ่งมองหน้าชายเดียวเขม็ง เห็นกันมาตั้งแต่เล็กไม่รู้สักนิดว่าศักดินาคือลูกชายของตน
อ่านต่อตอนที่ 5