โปรดทราบ : เพื่อให้นิยายจากบทโทรทัศน์เรื่อง "แค้นเสน่หา" เข้าใจง่าย และสะดวกต่อการเรียบเรียง ทีมงานจึงขอสงวน "คำราชาศัพท์" ไว้เฉพาะ ในบทสนทนาของตัวละคร เท่านั้น!
แค้นเสน่หา ตอนที่ 1
ค่ำคืนนั้น ทั่วทั้งวังรังสิยาเงียบสงัดเฉกเช่นทุกรัตติกาล ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส พระชายาของท่านชายรังสิโยภาส ยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องบรรทม นัยน์ตาจดจ้องมองไปที่หลังคาเรือนหลังเล็กๆ ที่หม่อมบุหลันอยู่ ท่านหญิงหยุดนิ่งอึดใจหนึ่ง ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่มีแววเศร้าลึกๆ
นางเฟือง พระพี่เลี้ยงมายืนค้อมตัวอยู่ด้านหลัง
“ท่านหญิงมังคะ แต่งพระองค์เถิดมังคะ เดี๋ยวท่านชายก็เด็จมา”
“ท่านอยู่กับมัน ที่เรือนมันโน่น จะเด็จมาทำไม…ฮึเฟือง” มันที่ท่านหญิงเรียกคือ...บุหลัน
“ท่านมาทรงลา...” นางเฟืองยังไม่ทันพูดจบประโยค
ท่านหญิง แขไขสวนทันควัน “เฟือง...ไปเลย..ไปทูลท่านว่าให้เด็จไปเลย ไม่ต้องมาลา ลาทำไมให้เสียเวลา ท่านเด็จอยู่หรือไม่อยู่ก็เหมือนกันเพราะห้องนี้หรือคนที่อยู่ในห้องนี้ไม่เคยอยู่ในสายพระเนตรท่านอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะเด็จไปไหนก็ให้ไปเลย ไม่ต้องมาลาให้เสียเวลา”
ท่านหญิงพูดเร็วเหมือนสายน้ำหลั่งไหล เสียงไม่ดังก็จริง แต่มีอารมณ์เคียดแค้นชิงชังอยู่ทุกถ้อยความ
ขาดคำท่านหญิง ทุกอย่างเงียบกริบ มีแต่เสียงหอบ สะท้านของท่านหญิงดังออกมาจากทรวงอก
นางเฟืองพลอยหน้าเคร่งเครียดไปด้วย
เวลาเดียวกัน ท่านชายรังสิโยภาสวางมือบนหัวบุหลันซึ่งท้องแก่ 9 เดือน ที่นั่งหมอบอยู่หน้าเตียง พลางสั่งเสีย
“ถ้าบังเอิญลูกเกิดก่อนฉันกลับมา เป็นลูกชายให้ชื่อ คุณชายศักดินา ถ้าเป็นลูกสาวให้ชื่อคุณหญิงวิมลโพยม จำไว้นะ”
“มังคะ” บุหลันรับเสียงอุบอิบ สีหน้าแววตา ดูเหมือนหวาดหวั่นลึกๆ
ท่านชายเชยคางขึ้น “กลัวอะไรหรือบุหลัน”
“หม่อมฉันกลัวเฟืองมังคะ เฟืองเกลียดหม่อมฉัน เกลียดมากกว่าท่านหญิงเสียอีก”
“มันรักท่านหญิงของมัน แต่มันรู้ทุกอย่างว่าฉันกับเจ้า เรารักกันมาก่อนที่ฉันจะแต่งกับท่านหญิง รักกันมานานนะบุหลันไม่ใช่เจ้ามาแย่งท่านหญิงเสียเมื่อไหร่”
บุหลันทำกิริยาน่ารัก กอดขาท่านชาย ซบหน้าแนบขา
“ตอนนี้เจ้าจะมีลูกให้ฉัน ฉันอยากมีลูกมาก แต่งงานกับท่านหญิงตั้ง 5 ปี ท่านหญิงเป็นหมันอย่างแน่นอน”
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส กำลังคร่ำครวญถ้อยความเดียวกันนี้อยู่กับพระพี่เลี้ยงที่ติดตามมาคอยรับใช้ในวังรังสิยา
“หญิงอยากมีลูก ทำไมหญิงถึงไม่มีลูกเฟือง”
“โธ่...ทูนหัว”
“ทำไมมันถึงมีได้ มันอายุมากกว่าหญิงเสียอีก”
“มันเจ้ามารยา” นางเฟืองพึมพำในลำคอ
ท่านหญิงกลืนก้อนสะอื้นที่พุ่งขึ้นมา ไม่อยากร้องไห้ แต่ความเสียใจ ผิดหวังประดังขึ้นมาจนแน่นอก
“หญิงจะท้องได้ไง ในเมื่อคนที่จะทำให้ท้อง ร้อยวันพันปีไม่เคยก้าวขึ้นไปนอนบนเตียงนั้นเลย”
ส่วนที่ห้องบุหลันในเรือนหลังเล็ก ท่านชายรังสิโยภาสลูบผมบุหลันเบาๆ
“แต่งแล้วถึง 5 ปี ฉันจึงรับเจ้าเป็นเมีย เพราะอะไรท่านหญิงทรงทราบดี นางเฟือง...มันจะรู้หรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ท่านหญิงท่านทรงทราบดีว่าทำไมฉันจึงต้องมีเจ้า...ท่านทราบ” ท่านชายเน้นเสียงตอนท้าย จดจำเรื่องราวได้แม่นยำ
10 ปี ที่แล้ว บนเตียงนอน ช่วงเวลาแรกๆ ของการแต่งงาน ในคืนวันเพ็ญ สองคนอยู่ในห้องนอนด้วยกัน
ท่านชายรังสิโยภาสกำลังโลมเล้าท่านหญิงแขไขเจิดจรัส ทว่าท่านหญิงถอยหนี หลบหน้า กิริยาขลาดอาย ปัดป้อง แม้จะรักแต่ไม่กล้า อาย และไม่ยอมคุ้นเคยกับบทรัก ท่านหญิงไม่ค่อยร่วมมือ จึงทำให้ท่านชายไม่มีความสุข
“น้องหญิงคะ” ท่านชายรังสิโยภาสกระซิบ “ไม่ต้องอาย เราแต่งงานกันแล้วนะคะ... ขอพี่...” พลางเอื้อมมือจะปลดเสื้อ
ท่านหญิงหลบเลี่ยง กิริยาหวาดหวั่น จนท่านชายเซ็งจัด
ภายในห้องบรรทม ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสยังคงยืนพร่ำบ่น ระบายให้นางเฟืองฟัง
“หญิงถูกสาปแช่งจากใครถึงไม่มีลูก ใครๆ ก็คิดว่าท่านชายเป็นหมัน แต่พอนังบุหลัน...มันก็ท้อง มันท้องได้ไง”
“หม่อมฉันทูลแล้วว่ามันเจ้ามารยา คนที่วังนี้เล่าให้หม่อมฉันฟังว่า ตั้งแต่มันสาวๆ มันก็ทำมารยาให้ท่านชายทรงรัก ได้มันเป็นเมียแล้วมันคงยิ่งมารยาหนักขึ้น อีนังแม่ครัวป้ามันคงสั่งสอนไว้ก่อนตายให้ยั่วยวนท่านชาย เฮอะ ตั้งแต่มันเป็นเด็กรุ่นๆ มาจนเป็นสาว มาจนเป็นเมีย มันยั่วยวนท่านชายมาตลอด” นางเฟืองว่าด้วยสีหน้าแค้นเคือง
“ท่านชายรักมันคนเดียวตั้งแต่ท่านเป็นหนุ่ม เขารักกันมา...ท่านไม่รักหญิง ทำไม หญิงสาวกว่ามันอีกนะเฟือง มันน่ะแก่แล้วด้วยซ้ำ”
ขณะเดียวกันนั้น ท่านชายรังสิโยภาสกอดบุหลันแล้วจูบ สองมือบุหลันโอบรอบคอท่านชาย ตอบสนองอย่างนุ่มนวล อ่อนหวานและเต็มอารมณ์ ท่านชายทั้งกอด ทั้งจูบ ลูบไล้ไปทั่วไหล่ ทั่วหลัง แขนสองข้าง กอดรัดอย่างอาลัยอาวรณ์
ท่านชายกระซิบเสียงแผ่วข้างหู “ไม่อยากไปเลย บุหลัน เจ้าทำให้ฉันรักเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ อยากอยู่กับเจ้าอย่างนี้ทุกวัน”
“ทรงรีบกลับมานะมังคะ มาก่อนหม่อมฉันคลอดนะมังคะ” สุ้มเสียงบุหลันแผ่วๆ น้ำคำอ้อนวอน
“แน่นอน ถ้าหม่อมแม่ไม่เป็นอะไรมากฉันจะรีบกลับมาทันที” ท่านชายเคลียคลออยู่ที่ใบหน้าบุหลันไม่ห่าง “กลับมาหาเมีย หาแม่ของลูก ..นะ”
พร้อมกันนี้ท่านชายรังสิโยภาสถอดสร้อยพร้อมเหรียญคล้องคอบุหลัน
“ขอให้ลูกของเราอายุมั่นขวัญยืน”
ตรงท่าน้ำ เวลาเช้ามืด ทุกคนเตรียมพร้อมกันอยู่ในบริเวณนั้น นายสน มหาดเล็กแขวนตะเกียงดวงสุดท้ายในจำนวน 4 ดวงที่แขวนสี่มุมของประทุนเรือ ซึ่งเป็นเรือยนต์เผาหัว มีหลังคา และมีม้านั่งสองข้าง คนขับเรือพร้อมในที่นั่งคนขับ
ส่วนบนท่าน้ำ ท่านหญิงมายืนคอยส่งท่านชาย
“พี่ไปนะคะน้องหญิง” ท่านชายรังสิโยภาสโอบไหล่ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสหลวมๆ
“ค่ะ เจ้าพี่”
ท่านชายมีสีหน้าเหมือนตัดสินใจก่อนพูด “พี่ฝากน้องหญิงดูแลทางนี้โดยเฉพาะบุหลัน เพราะท้องแก่เต็มที”
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสหน้าเฉยขึ้นทันที เบี่ยงตัวจากมือท่านชาย “ทรงห่วงแค่นี้เอง มีอะไรอีกมั้ยคะ”
ท่านชายหน้าขรึมลงนิดๆ สบตาท่านหญิงอยู่อึดใจ ท่านหญิงข่มใจอย่างหนัก พนมมือไหว้ แล้วหันหลังไปอย่างรวดเร็ว ท่านชายอึ้งไปครู่หนึ่ง หันหลังกลับลงเรือ สบตานางเฟือง สายตาท่านชายเข้มขึ้น นางเฟืองสบตาอยู่สักครู่ก็หลบตา ไหว้ แล้วเดินก้มตัวตามท่านหญิงไป
ท่านชายรังสิโยภาส มีสีหน้าวิตก เมื่อเห็นสีหน้านางเฟือง มันบ่งบอกอะไรบางอย่างในนั้น
ท่านชายยืนมองขึ้นไปที่ห้องบุหลัน เรือค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป สีหน้าท่านชาย มีแววกังวลลึกๆ
ขณะเดียวกันบุหลันยืนมองเรือที่แล่นจากไป ใบหน้าหมองเศร้า สังหรณ์ใจลึกๆ
ค่ำแล้วสองนายบ่าวอยู่ในห้องบรรทม นางเฟืองจัดเตียงที่มีร่องรอยนอนอยู่แล้วให้เรียบร้อย
“บรรทมต่ออีกหน่อย เดี๋ยวจะทรงไม่สบาย ย่ำรุ่งหม่อมฉันจะปลุก”
“ไม่ง่วง แล้วเฟือง”
“บรรทมเถิดมังคะ” เสียงของพระพี่เลี้ยงสั่งกลายๆ
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสถอนใจแล้วเดินไปขึ้นเตียง “ขอบใจ” นางเฟืองห่มผ้าให้
“หม่อมฉันจะไปทำธุระ ไม่ต้องทรงเรียก เสร็จแล้วจะรีบกลับมา”
“เฟืองจะไปไหน”
“ทำงานมังคะ ทำงาน บรรทมให้หลับ ได้ยินอะไรไม่ต้องทรงลุกนะมังคะ หม่อมฉันจะได้ทำงานให้เสร็จ”
“เฟือง จะไปทำงานอะไร” ท่านหญิงฉงน
“งานสำคัญมังคะ งานนี้สำเร็จท่านหญิงจะไม่ต้องฝันร้ายอีกเลย” ประโยคต่อมานี้เหมือนนางเฟืองจะพูดกับตัวเอง “หม่อมฉันสัญญา”
ท่านหญิงจ้องมองหน้านางเฟืองนิ่งนาน นางเฟืองสบตา ความเคียดแค้นระบายทั่วใบหน้าอย่างไม่ปิดบัง
ท่านหญิงอุทาน “เฟือง”
นางเฟืองหันหลังกลับ เดินออกไปช้าๆ เห็นสีหน้าแน่วนิ่งหมายมาดสุดๆ
ฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องดังเปรี้ยงอย่างน่ากลัว พร้อมๆ กับที่ประตูห้องเปิดเปรี้ยงเข้ามาจนกระแทกฝาดังก้องกังวาน ประตูสะบัดตัวกระแทกฝาบ้านดังกึงๆ บุหลันมองตกใจ
“ไอ้แคล้ว ไอ้ยอด เอาตัวอีนี่ออกไป”
ไอ้ยอด ไอ้แคล้ว พรวดเข้ามา ล็อคแขนบุหลันสองข้าง พยายามจะลากไป ไอ้แคล้วหน้าโหด ส่วนไอ้ยอดเกร็งไม่ค่อยอยากทำ บุหลันตกใจแทบสิ้นสติ ขืนตัวเต็มแรง สองคนลาก บุหลันไม่ยอม สีหน้าเจ็บท้อง
“ปล่อยฉันนะ แคล้ว ยอด ฉันไม่ไป พี่เฟืองบอกให้สองคนนี่ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
“อีขี้ข้า มึงบังอาจมาออกคำสั่งกะกูเรอะ นี่แน่ะ” นางเฟืองฟาดเต็มแรง
บุหลันหวีดร้อง ตัวคว่ำลง มองนางเฟืองอย่างตื่นตะลึง
“ถ้ามึงขืนร้องอีก กูจะตบมึงให้เยินไปทั้งตัว อีบุหลันกูรอวันนี้มานานแล้ว วันที่กูจะได้แก้แค้นมึงแทนท่านหญิง”
“พี่เฟือง ฉันไม่เคยคิดร้ายอะไรกับท่านหญิง เคารพท่านทุกวันทุกคืนด้วยซ้ำ”
“เคารพ..เชอะ มึงเคารพแต่แย่งท่านชายไป มารยามึงมากนักอีบุหลัน ทำเป็นสงบเสงี่ยมที่แท้ก็…”
“ฉันไม่เคยทำอะไรที่หลอกลวงใครเลยจริงๆ พี่”
“ไม่ต้องมาเรียกกูพี่ กูไม่ใช่พี่มึง กูไม่นับญาติกะมึง สังขญาติมึงน่ะมีคนเดียว คือป้ามึงที่ตายโหงตายห่าไปแล้ว ชะ ยุแยงนังหลานให้แย่งท่านชายจนสำเร็จ ก็ชิงตายไปก่อนจะเห็นนังหลานสาวถูกกรรมตามสนอง”
บุหลันตกใจ “ทำไม พี่จะทำไมชั้น”
“คนอย่างมึงอีบุหลัน ตั้งแต่ท่านหญิงมาประทับวังนี้ท่านก็เมตตา กูเองก็เคยเมตตามึง เห็นว่ามังเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของวังนี้ แต่มึงมันเหมือนงูเห่าคอยแว้งกัดท่าน มึงคิดว่าท่านชายจะปกป้องมึงไปตลอดงั้นเรอะ” นางเฟืองจิ้มหน้าผากบุหลันเต็มแรงจนคว่ำไป “อย่าหวังเลยเว้ยเฮ้ย คราวนี้ล่ะทีใครทีมัน ใครคิดร้ายกับท่านหญิง กูปล่อยไว้ก็ไม่ใช่อีเฟือง ไอ้แคล้ว ไอ้ยอด มึงยืนเซ่ออยู่ทำไม ลากมันไปในเรือนแพ”
บุหลันพูดสอดแทรก ขณะที่เฟืองพูดไม่หยุดเลยกลายเป็นต่างคนต่างพูด
“อย่า อย่าทำฉัน สงสารฉันเถอะนะ เด็กตาดำๆ อยู่ในท้อง” บุหลันพูดพร่ำตลอดเวลาที่นางเฟืองพูด
“เฮ้ย เอาไปสิวะ” นางเฟืองพูดไม่หยุด “ไอ้สองคนนี่ ลากมันไปที่เรือนแพอุดปากไว้มัดไว้ด้วยอย่าให้หนี”
บุหลันอ้อนวอนขอร้อง “ไม่ นายแคล้ว นายยอด ปล่อยฉันไป ฉันจะทูลท่านชายให้...”
นางเฟืองตบอีก 2 ฉาดซ้ายและขวา หมั่นไส้เหลือเกิน
“ชะอีนังคางคกขึ้นวอ หนอย จะทูลท่านชาย นี่แน่ะ” บุหลันร้องหวีด หวีด
เสียงฟ้าร้องคำรามเปรี้ยง....เปรี้ยง
“เฮ้ยป้า ร้องใหญ่แล้ว” ไอ้แคล้วบอก
นางเฟืองอุดปากบุหลันไว้ “อย่าร้องอีกนะมึง ร้องอีกทีกูตบให้ตายคามือเลย ไอ้แคล้ว ไอ้ยอด มัดไว้แล้วเอาไปขังไว้ที่เรือนแพ มันคลอดลูกวันไหนฆ่ามันให้ตายวันนั้น”
บุหลันกลัวแทบขาดใจ อ้าปากจะร้อง ผ้าผืนเล็กๆ ถูกตวัดปิดปากรัดจนแน่นโดยฝีมือนางเฟือง!
เวลาต่อมา ประตูเปิดกว้างออกอย่างแรง แลเห็นเป็นทางทอดยาวตรงไปยังท่าน้ำซึ่งมีเรือนแพอยู่ตรงหน้า ร่างบุหลันถูกลากถูลู่ถูกังไปตามทาง
นางเฟืองเดินตามมาพลางพูดอย่างเจ็บแค้น “กูอยากให้มันเจ็บปวดที่สุด เหมือนที่ท่านหญิงทรงเจ็บ คิดดูยายบัวป้าของมัน เด็จให้มันเป็นถึงหัวหน้าห้องเครื่อง มันทำท่าเป็นคนดีที่แท้เลวทั้งป้าทั้งหลานร่วมมือกันทำร้ายท่านหญิงของกู มันจะมีชีวิตต่อไปอีกไม่ได้ อีคนทรยศ มึงต้องตายตามป้ามึงไป”
บุหลันกลัวเหลือเกิน ร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัวตลอดเวลา นางเฟืองพูดขาดคำประโยคสุดท้าย บุหลันก็สิ้นสติ ถึงปากประตูเรือนแพ ยอดลากบุหลันเข้าไปในห้อง
แคล้วเห็นอย่างร้องบอกตาโต “ป้าเฟือง”
ทุกคนเห็นรอยน้ำเป็นทางยาวตามทางที่ลากบุหลันเข้าไป
“เลือดใช่มั้ยป้า” ยอดถามเสียงสั่นสะท้าน
เฟืองเพ่งมองรอยน้ำ หันไปมองบุหลันที่นอนคอพับคออ่อนอยู่ในห้อง
“น้ำแตก ลูกมันจะออก”
แคล้วกับยอดร้องลั่น “หา ลูกจะออก”
สีหน้านางเฟืองเยือกเย็นและนิ่งสงบ “ตกใจทำไมเด็กถึงเวลามันจะออกมันก็ต้องออก เอ็งไปเอาน้ำร้อนมากะละมังนึง เอามีดคมๆ มาด้ามหนึ่งด้วย”
แคล้วงวยงง “ป้าจะทำไม”
“เอาลูกมันออกมาสิวะ” นางเฟืองบอกหน้านิ่ง
ส่วนที่ห้องบรรทม ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสนอนไม่หลับ ยินเสียงบุหลันร้องดังแว่วๆ มา ท่านหญิงลุก เงี่ยหูฟัง ฟ้ายังร้องเสียงครืนครัน
เสียงบุหลันร้องดังออกมาหน้าห้องที่เรือนแพ จนยอดสะดุ้ง
“เสียงหม่อมร้องอีกแล้ว พี่แคล้ว เดี๋ยวก็มีคนได้ยินแน่เลย”
“ไอ้ยอด อย่าปอดแหก เสียงฟ้าร้องดังอย่างนี้ใครจะได้ยิน” แคล้วว่า
ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ บรรยากาศขมุกขมัวด้วยเมฆฝน แคล้วกับยอด นั่งจับเข่าอยู่หน้าห้องเรือนแพ
“ฝนจะตกมั้ง ทำไงพี่แคล้ว”
“ให้อีหม่อมออกลูก เก็บเด็กไว้ แล้วเฉดหัวมันไปกะชู้” แคล้วบอกแผน
“หา หม่อมมีชู้ด้วยเหรอ” ยอดตกใจ
“ไอ้ยอดเอ๊ย...” แคล้วมองปลงๆ “ชู้หม่อมก็เอ็งไงเล่า”
“พี่แคล้วทำไมพี่พูดอย่างนั้นล่ะ” ยอดไม่เข้าใจ
“ไอ้นี่ แกล้งโง่รึเปล่าไอ้ยอด”
“พี่แคล้ว ก็พี่ซุบซิบกับป้าสองคนฉันไม่ได้ยินนี่”
“ฟังให้ดีนะเอ็ง เอ็งต้องพานังหม่อมไปให้พ้นจากที่นี่ ไม่ให้มันกลับมาอีกได้ มันก็มีทางเดียวล่ะวะไอ้ยอด คนตายไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
ยอดขัดขึ้น “พี่ ฉันถามเรื่องชู้”
“ก็เนี่ย ข้าก็กำลังจะถึงแล้ว เอ็งต้องหายไปด้วยไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
ยอดอ้าปากค้าง “ฉันก็เลยเป็นชู้เหรอพี่”
แคล้วบอกท่าทีรำคาญ “เออ”
ยอดเหมือนจะเป็นลม “พี่... พี่แคล้ว ทำไมไม่เป็นพี่ล่ะ”
“ก็ป้าแกสั่งไว้อย่างนั้น” แคล้วว่า
จังหวะนี้เสียงเด็กทารกร้อง สองคนทะลึ่งพรวด เข้าไปที่หน้าห้องทันที นางเฟืองเปิดประตูออกมาช้าๆ เสียงประตูดังเอี๊ยด อุ้มเด็กทารกห่อผ้ามิดชิด
“ผู้ชาย เอ้า ไอ้แคล้ว นี่รกเด็ก ขุดหลุมฝังซะ ข้าจะเอาเด็กไปถวายท่านหญิง เอ็งบอกความไอ้ยอด แล้วนะ” นางเฟืองถาม
“บอกแล้ว”
นางเฟืองส่งห่อเงินให้ “เอ้า ไอ้ยอด เงิน ไปพามันไปเดี๋ยวนี้เลย ไอ้แคล้วกวาดล้างให้หมดจดนะมึง อย่าให้เหลือรอย”
“ป้า” ยอดส่ายหน้า “ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ พี่แคล้วบอกแค่มาทำงานให้ป้า ไม่ได้บอกว่าจะให้ฉัน...” ยอดอึกอัก
“ไอ้ยอด มึงอย่าพิรี้พิไรกะกู ถ้ามึงไม่อยากไปจริงๆ ก็ได้ แต่กูเอาเลือดหัวมึงออกแน่ๆ มึงจะเอามั้ย เอามั้ยไอ้ยอด บอกกูมาเลย” สุ้มเสียงและหน้าตานางเฟืองยามนี้ดุจัด
ยอดทั้งตกใจและหวาดหวั่น มองเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว
“แต่อย่างนี้มันบาปนี่ป้า...ฉันไม่อยากทำ”
“มึงอยู่ในวังเหมือนคนเดนคนอยู่แล้ว จะอยู่ไปทำไม เอาเงินไปตั้งตัวไม่ดีกว่าเรอะ”
นางเฟืองบอกยอด จังหวะนี้เสียงเด็กร้องจ้า “โอ๋...โอ๋ คุณชายของบ่าว บ่าวจะพาไปหาท่านแม่นะคะ”
นางเฟืองเดินออกไปเลย
ยอดมองจ้องไปที่บุหลันด้วยสีหน้าเหยเก บุหลันนอนสลบอยู่ สองคนอยู่กลางแม่น้ำแล้ว เห็นยอดพายเรือนแพไปช้าๆ เสียงแคล้วที่สั่งดังขึ้นในหู
“เอาไปทิ้งปากน้ำสิไอ้ยอด ให้ศพมันลอยออกทะเลไปเลย”
ยอดตัดสินใจหนักหน่วง
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส มองจ้องที่เด็กทารกเพศชายในห่อผ้าที่นางเฟืองอุ้มอยู่ สีพระพักตร์ฉงนฉงาย
“หม่อมฉันทำคลอดให้มัน มันให้หม่อมฉันเอาลูกมาถวาย”
“ไม่จริงหรอก หญิงไม่เชื่อ จะมีใครยกลูกให้ใครง่ายๆ เฟืองไปบังคับเอาลูกมันมาใช่หรือไม่”
“นังบุหลันมันคงรู้ว่า ถ้าเป็นลูกมันจะเสื่อมศักดิ์ศรี เพราะคุณชายจะมีแม่เป็นไพร่ในเรือนได้ไงมังคะ มันห่วงลูกมันหรอกมังคะ ท่านหญิงทรงอุ้มเถอะมังคะ คุณชายตัวเบาเหมือนสำลี หน้าตามีเค้าท่านชายด้วย”
“หญิง..หญิงเกลียดมัน แล้วเฟืองจะให้หญิงเลี้ยงลูกมันเหรอ”
“เกลียดตัวกินไข่ได้มังคะ เพราะไข่ใบนี้จะเป็นของท่านหญิงองค์เดียว ต่อไปท่านหญิงจะมีลูกชายคนเดียว เป็นยอดขวัญเสริมบารมีแห่งวังรังสิยา เชื่อหม่อมฉันเถิดมังคะ คุณชายเกิดมาเพื่อเป็นลูกชายท่านหญิงเท่านั้น”
นางเฟืองว่า
ท่านหญิงลังเล นางเฟืองอุ้มทารกน้อยชูขึ้นส่งให้ ท่านหญิงค่อยๆ เอื้อมมือไปรับ เด็กร้องไห้จ้า เสียงดังมาก ท่านหญิงสะดุ้งถอยกลับ
“ทรงอุ้มเถิดมังคะ คุณชายจะรู้สึกอบอุ่นเป็นครั้งแรก นังแม่มันยังไม่ได้แตะตัวลูกมันเลยมังคะ”
ท่านหญิงที่กำลังเอื้อมมือมาชะงัก มองนางเฟืองอย่างไม่เชื่อ
“มันยังไม่ได้อุ้มลูกมัน เฟืองแย่งมาจากแม่มันเหรอ”
นางเฟืองมองมาสายตาเข้ม เสียงเข้ม “ท่านหญิงรับคุณชายไปเถิดมังคะ แล้วไม่ต้องรับสั่งอะไรอีก”
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสจ้องหน้าพระพี่เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์ แล้วอ้าแขนรับ ท่านหญิงโอบอุ้มคุณชายน้อยอย่างอ่อนโยน
“คุณชายหยุดร้องแล้ว ดูสิมังคะ”
ท่านหญิงอุ้มแล้วโยกตัวปลอบโยน พักตร์ยิ้มอ่อนหวาน จ้องที่ทารกคุณชาย
นางเฟืองตื้นตันจนน้ำตาขึ้นมาคลอๆ “ทูนหัวของหม่อมฉัน ต่อไปนี้จะไม่ทรงเงียบเหงาแล้ว คุณชายจะอยู่กับท่านหญิง จะรักท่านหญิงคนเดียว ใครไม่รักไม่ห่วงก็ไม่เป็นไรแล้วมังคะ แค่นี้หม่อมฉันก็ตายตาหลับมังคะ”
ท่านหญิงมองพระพี่เลี้ยงอย่างซาบซึ้ง ยื่นมือให้นางเฟืองรับมาทูนบนหัว
“หม่อมฉันไม่มีวันผิดสัญญา ที่ถวายกับหม่อมแม่ของท่านหญิงว่าจะดูแลท่านหญิงจนลมหายใจสุดท้ายของหม่อมฉัน”
ท่านหญิงน้ำตาคลอเต็มตา
ไม่นานหลังจากนั้นนางเฟืองเดิมดุ่มๆ ไปตามทางในสวน ด้วยสีหน้าเข้มแต่สาสมใจ จนมาถึงตรงจุดที่แคล้วนอนหลับอยู่
นางเฟืองตบหลังแคล้วเต็มแรง “ไอ้แคล้ว”
แคล้วตกใจสะดุ้งตื่น “โอ๊ยป้าตกใจหมด ไปไหนมาฉันคอยตั้งนาน”
“คอยทำไม”
“อ้าว ป้าทำไมพูดอย่างนั้น ให้ฉันทำงานเสี่ยงอย่างนี้ ท่านชายรู้ ฉันก็ตายแน่นอนท่านชายไม่ได้โง่หลอกง่ายเหมือนท่านหญิงนะป้า”
“พูดมาก เอ้า เงิน แล้วไสหัวไปให้พ้นวัง อย่ากลับมาอีก ข้าไม่อยากคอยระวัง กลัวเอ็งสำรอกเวลาเมา” นางเฟืองกำชับ
“สุดหล้าฟ้าเขียวเลยที่ฉันจะไป ไม่ต้องกลัวหรอกป้า ฉันไม่อยู่ให้ตะรางถามหาหรอก” แคล้วบอก
“ดี จำไว้นะ ใครทรยศกะข้าไม่มีวันตายดี แล้วทำอย่างที่สั่งรึเปล่า”
“เจาะเรือไอ้ยอดเหรอ เจาะแล้ว ป่านนี้น้ำเต็มเรือแล้วมั้ง ฉันรู้น่าป้าว่าต้องปิดปากไอ้ยอดด้วย”
ด้านยอดกำลังจะจับบุหลันโยนน้ำอยู่แล้ว แต่ต้องตกใจ เมื่อบุหลันรู้สึกตัวหันมามองยอด ครางเบาๆ
“นายยอด”
ยอดตกใจมาก ครางเบาๆเช่นกัน “หม่อมยังไม่ตายเหรอ”
บุหลันจ้องมองยอด ด้วยสายตาอ้อนวอนแกมหวาดหวั่น
“อย่าฆ่าฉัน”
ยอดยังนิ่งงันอยู่
บุหลันมีสีหน้าเจ็บปวด เพราะจะคลอดลูกอีกคน หายใจหอบสั่น จ้องหน้ายอดแน่วนิ่ง
“อย่าฉันขอร้อง อย่าฆ่า”
ยอดขยับตัว เข้ามาทำท่าจะผลักบุหลันลงน้ำอีกครั้ง
บุหลันร้องขึ้น “ยอด...บาปนะ ฆ่าคน”
ยอดชะงัก สีหน้าเหมือนดีชั่วต่อสู้กันอย่างรุนแรง บุหลันร้องคราง ปวดท้องจนตัวงอ
“งั้นผมไปก่อน หม่อมอยู่ในเรือ แล้วก็มีคนมาช่วยเอง” ยอดทำท่าจะกระโดดแต่แล้วต้องชะงัก เมื่อรู้สึกว่าน้ำไหลเข้ามาในเรือ ฟ้าแลบ แล้วร้องเสียงดังครืนครัน
“เรือรั่ว หรือว่า ไอ้แคล้ว” ยอดนึกออกทันที แค้นจัด “มันเจาะเรือ ไอ้แคล้ว ไอ้เลว มัน ไอ้ใจสัตว์”
บุหลันร้องครวญคราง เจ็บปวดที่สุด
“เรือจะจมแล้ว ยังไงเราก็ต้องว่ายน้ำไป หม่อม ว่ายไหวมั้ย”
บุหลันไม่ตอบ เอาแต่ร้องเสียงดังมาก ครวญคราง งอตัวไปมา
“หม่อม ผมไปนะ”
“ยอด..อย่าไป...โอ๊ย” เสียงบุหลันร้องออกมาเพราะเจ็บท้องอย่างรุนแรง
ยอดกระโดดตูม เป็นเวลาเดียวกับเสียงเด็กร้องจ้าขึ้น ยอดได้ยินพอดี โผล่พรวดขึ้นจากน้ำสีหน้าตกใจหันมา
“หม่อม”
ยอดพายเรือจ้ำเอา จ้ำเอาอย่างรวดเร็วสุดแรงเกิด เพื่อให้เข้าฝั่ง และใกล้เข้าไปทุกที ยอดฮึดสุดแรงเกิดจนได้ยินเสียงหอบแรงๆ พลางเหลือบมองน้ำในเรือ น้ำในเรือสูงขึ้นทุกที
บุหลันนั่งตัวสั่น จวนจะหมดสติอยู่แล้ว อุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน
“หม่อม วิดน้ำออกสิ เรือจะล่มแล้ว เดี๋ยวตายกันหมดทั้งแม่ทั้งลูกหรอก”
บุหลันเงยหน้ามองยอด นัยน์ตาพร่าพราย เห็นหน้ายอดเลือนรางไปมา เอื้อมมือจะวิดน้ำ พอมือตกถึงน้ำก็หมดสติไปอีกครั้ง
แล้วทุกอย่างในหัวบุหลันก็มืดดำลงไปหมด
อ่านต่อหน้า 2
แค้นเสน่หา ตอนที่ 1 (ต่อ)
ขณะเดียวกันที่บ้านปัณณธร ของพจน์ ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ เด็กชายฉัตต์วัย 5 ขวบ ลูกของพจน์และราตรี มีสีหน้าหวาดหวั่น เหยเก พยายามสอดตามองเข้าไปในห้องของแม่จากประตู เห็นบนเตียงราตรีกำลังจะคลอด หมอตำแยกำลังทำคลอดให้
แต่พจน์ และคุณหญิงเพ็ง ยืนบังจึงเห็นไม่ชัดเจนนัก เสียงราตรีร้องดังมากอย่างเจ็บปวดยิ่ง เห็นแขนโบกไหวๆ ขาขยับไปมาอย่างเจ็บปวด ฉัตต์ชะเง้อ แต่มือของสารภีเอื้อมมาแตะแขน ฉัตต์สะบัดไม่ยอมไป สารภีดึงแขนไปจนได้
“สารภี ไม่ไป จะดูคุณแม่ออกน้องไม่......ปาย”
ค่อนรุ่ง ใกล้จะสว่างแล้ว แสงอาทิตย์แรกของวันนี้ ส่องแสงเรื่อๆ ฉัตต์นั่งจับเจ่าอยู่หน้าตึก หน้าหมองๆ ครุ่นคิด ท่าทางเกินอายุ สารภีนั่งขั้นบันไดต่ำไปหน่อย
“น้องผู้หญิงหรือผู้ชาย สารภี”
“ยังไม่คลอดนี่คะ คุณฉัตต์”
“คุณแม่ร้องไห้ด้วยล่ะ”
“ไม่ได้ร้องไห้ค่ะ ร้องจะออกน้อง” สารภีบอก
“เจ็บเหรอ”
“ไม่รู้ค่ะ...สารภีไม่เคยนี่คะ คุณฉัตต์”
ฉัตต์ลุกขึ้นเดินเวียนวนไปมา มือสองข้างไขว้หลังเหมือนผู้ใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึม
“สารภี”
“ขา คุณฉัตต์”
ฉัตต์หยุดยืนตรงหน้าสารภี “ฉันได้ยินคุณพ่อพูดล่ะวันก่อน ‘ผมไม่น่าปล่อยให้ราตรีท้อง
อีกเลย’ หมายความว่ายังไง”
“โถ...คุณฉัตต์ขา ทำท่าถามยังกะผู้ใหญ่ ยังเป็นเด็กอย่ารู้เรื่องผู้ใหญ่เลยค่ะ”
ยินเสียงเด็กทารกร้องดังแว่วๆ มา
ฉัตต์กระโดดขึ้นบันได “น้องออกแล้ว… ใช่มั้ยสารภีเสียงน้อง...ไป... ไปดูน้องกัน”
ภายในห้อง ราตรีนอนเงียบ หมอตำแยกำลังเช็ดตัวเด็ก คุณหญิงเพ็ง และสารภี รีบเข้าไปช่วย
ฉัตต์โผล่หน้าเข้ามาดู แล้วเข้าไปหาแม่เร็วๆ คนอื่นๆ กำลังยุ่งเลยไม่สนใจฉัตต์
เสียงคุณหญิงบอก “ลูกผู้หญิง“
ฉัตต์เข้าไปดูแม่ ราตรีหลับตานิ่ง ฉัตต์แตะมือเบาๆ มือราตรีอ่อนแรงเต็มทน พยายามลืมตามองลูกชาย มือไขว่คว้าเปะปะ
ฉัตต์หน้าตื่นตกใจ เหลียวมองพ่อ พจน์พยักหน้าให้ไปหาแม่ สีหน้าพจน์ยินดี ไม่รู้ว่าราตรีกำลังอาการไม่ดี ฉัตต์ให้แม่กอด ราตรีซบหน้านิ่งกับตัวฉัตต์
“อย่าดื้อ” ราตรีกระซิบเสียงแผ่ว
ฉัตต์รับคำ “ครับผม”
“รักน้อง น้องเป็นผู้หญิง”
“ครับ” ฉัตรมองหน้าพ่อด้วยสีหน้าฉงน ไม่เข้าใจว่าแม่สั่งทำไม
ราตรีหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย หมอตำแยถือกะละมังน้ำมาทำความสะอาดให้ราตรี
จังหวะนี้มีสาวใช้หญิงมากระซิบบอกบางอย่างกับสารภี ท่าทางเร่งร้อน สารภีฟังแล้วโบกมือให้ไปได้ แล้วตัวเองไปบอกกับคุณหญิงเพ็ง คุณหญิงมีหน้าประหลาดใจ
“ใครล่ะ รู้มั้ย”
คุณหญิงเพ็งเดินไปกับสารภี พจน์ตามออกมาจากในห้อง
“คุณแม่ครับ มีเรื่องอะไรหรือครับ”
“มีผู้หญิงมานอนสลบอยู่ที่ท่าน้ำ สารภีกลับไปอยู่กับคุณราตรีแล้วกัน พจน์ไปดูกับแม่หน่อย”
สารภีหันหลังกลับเข้าห้องไป ฉัตต์หันมามอง แล้วลุกตามย่ากับพ่อไป
ฟ้าสว่างแล้ว สาวใช้หญิงเดินนำหน้าไปอย่างเร็วรี่ พจน์ คุณหญิงเพ็ง ทั้งหมดลับตัวไปทางท่าน้ำบ้านปัณณธร ฉัตต์ค่อยๆ ย่องแล้วเดินแกมวิ่งตามไป
ฉัตต์แอบหลังเสาศาลาท่าน้ำ นัยน์ตาตื่นเล็กๆ แต่ครุ่นคิดและรับรู้เรื่องราวที่เกิดอยู่ตรงหน้า
คุณหญิงเพ็งกับพจน์ก้าวเข้าไปช้าๆ จนถึงบุหลันที่นอนนิ่งอยู่ โดยมียอดนั่งพับเพียบอุ้มลูกบุหลันไว้ในอ้อมแขน แต่ยังไม่มีใครเห็นว่าเป็นเด็กทารก พจน์และคุณหญิงเพ็ง ยืนมองอย่างงงงวย
“อะไรกันล่ะนี่ แม่คนนี้เป็นใครมาจากไหน”
“ตาแนบเห็นก่อนไปบอกดิฉันค่ะคุณหญิง” ละเมียด ต้นห้องคุณหญิงเพ็งวัย 50 ปีรายงาน
แนบคนขับรถพูดเสริม “ผมจะไปท่าน้ำ ก็เห็นนอนสลบอยู่ มีผู้ชายคนนี้นั่งเฝ้าอยู่ขอรับ”
“เห็นที่ท่าน้ำ มีเรือมามั้ย” คุณหญิงซัก
“ไม่เห็น ขอรับ” แนบบอก
“ไม่มีเรือ ว่ายน้ำมาหรือไง..เอ้าถามเจ้าผู้ชายซิผัวเมียกันใช่ไหมไปยังไงมายังไง” คุณหญิงเพ็งมองมาทางยอด
ยอดลุกยืน เดินเข้ามาหาคุณหญิง
“แนบ” คุณหญิงสั่งเสียงดัง “กันมันไว้ก่อนอย่าให้เข้ามาใกล้ฉันนะ”
ยอดทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า แล้วชูห่อผ้าในมือให้คุณหญิงเพ็งดู
คุณหญิงถอยหลังไปก้าวหนึ่งขณะถาม “อะไร”
ยอดทำท่าบุ้ยใบ้ว่า ขอให้ช่วยด้วย ไม่รู้จะไปไหน
“แกเป็นใบ้เหรอ” คุณหญิงเพ็งถาม
ยอดทำท่ารับคำ
“ยังไงจะรู้เรื่องล่ะ” คุณหญิงบ่น
เสียงเด็กทารกร้องไห้จ้าขึ้น เสียงดังมาก
คุณหญิงตกใจแทบตาย ถอยกรูดไปปะทะพจน์ ฉัตต์อ้าปากค้าง
คุณหญิงเพ็งมองตะลึงพรึงเพริด “นี่ฉันฝันไปหรือไง พ่อพจน์ แล้วนั่นดูซิ แม่เด็กใช่มั้ย ตายหรือยัง”
พจน์ขยับเข้าไปดูใกล้ ๆ
“ยังครับ ยังไม่ตาย น่าจะเพิ่งคลอดเด็กคนนี้”
“ตายแล้ว เพิ่งคลอดแล้วนอนเงียบอย่างนั้นเราจะทำยังไงล่ะ ยังเด็กอีก” คุณหญิงว้าวุ่นหนัก “แล้วเจ้าคนนี้ก็เป็นใบ้ จะรู้เรื่องได้ไง”
“ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ตาย เมื่อเขาฟื้นขึ้นเขาก็จะบอกเราเองครับว่าเกิดเรื่องอะไรกับเขา ตาแนบเอารถไปรับคุณหลวงแพทย์ให้มาดูผู้หญิงคนนี้ก่อน คุณแม่จะกรุณามั้ยครับ”
“กรุณาอะไร หลวงแพทย์น่ะหรือ ได้สิลูก แม่ก็คิดอยู่ ลูกนกบาดเจ็บเรายังให้มันอาศัยชายคา นี่คนมีเลือดมีเนื้อไม่รู้ตุหรัดตุเหร่มาจากไหน ยังไงก็ต้องช่วยเอาบุญ”
“ช่วยกันพาไปที่เรือนเล็กก่อน ละเมียดรับเด็กไว้ด้วย”
พจน์สั่ง
ราตรีนอนอย่างทุกข์ทรมาน คิ้วผูกกัน ส่ายหน้าน้อยๆ อาการไม่ไหวแล้ว สารภีคุยกับหมอตำแย เบาๆ เป็นทำนองว่าให้อาบน้ำเด็กทุกวันให้สะอาด ไม่ได้มองทางราตรี สีหน้าราตรีเจ็บปวดเต็มที่ พยายามจะบอกสารภี
บุหลุนถูกนำตัวมาที่ห้องชั้นล่าง เรือนหลังเล็ก คุณหลวงแพทย์มาถึงแล้ว กำลังตรวจอาการบุหลันที่นอนนิ่งเงียบ มีละเมียดยืนอยู่ด้วย อุ้มเด็กที่ห่อตัวเรียบร้อย
พจน์ชะโงกหน้าเข้ามาดู มองจ้องไปที่หน้าบุหลัน ที่นอนสลบไสล
“เป็นไงบ้างคุณหลวง” คุณหญิงเพ็งถาม
“ปลอดภัยแล้วครับ มีแค่อาการบอบช้ำกับฟกช้ำดำเขียวหลายแห่ง เหมือนถูกคนทุบตี”
“ผัวมันซ้อมเหรอ ไม่น่าใช่นะ ท่าทางมันเรียบร้อย หน้าซื่อๆ หรือพจน์ว่าไงลูก”
“ครับ ผมก็คิดเหมือนคุณแม่”
“ผมให้ยาทากับยาบำรุงกับแม่ละเมียดไว้นะครับ” คุณหลวงแพทย์บอก
“พจน์ แม่จะขึ้นเรือนล่ะ ทางนี้เรียบร้อยแล้ว แม่จะขึ้นไปดูแม่ราตรี”
“ครับ ..ผมไปด้วย คุณหลวงครับเสร็จแล้วเชิญบนเรือนใหญ่”
“ครับ” คุณหลวงแพทย์ยังไม่ทันจะพูดต่อ บุหลันส่งเสียงร้องไห้ออกมาดังๆ พร้อมกับยกมือปัดป้องพัลวัน ทุกคนตกใจหันไปดู
บุหลันลืมตาขึ้น รู้สึกตัวแล้ว ลุกพรวดเหลียวไปดูรอบๆ
ละเมียดรีบบอก “คุณหญิงเพ็ง ท่านให้ช่วยหล่อนไว้”
บุหลันขยับตัว แล้วกราบลงด้วยกิริยาลนลาน
“ขอบพระคุณมากค่ะ ขอประทานโทษลูกอิฉันอยู่ไหนเจ้าคะ”
“นี่ไง.. ลูกเธอปลอดภัยแล้ว ละเมียดเอาลูกให้แม่เขา”
บุหลันอ้าแขนรับลูกไว้แนบอก กิริยากอดลูกดูโศกศัลย์ น้ำตาไหลพราก พิศดูหน้าลูกแล้วร้องไห้เงียบ ๆ มีแต่เสียงสะอื้นแผ่วทุกคนหน้าเสียไปด้วย ฉัตต์แอบอยู่แถวนั้น จ้องมองไปที่ทารกหญิงในอ้อมแขนบุหลัน
คุณหญิงเพ็งหันมาเห็นเข้า “ตายแล้วตาฉัตต์มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงลูก”
“ฉัตต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พจน์ถาม
“ลงมาพร้อมคุณพ่อ พร้อมคุณย่าครับ” เด็กชายบอก
พจน์ คุณหญิงเพ็ง ฉัตต์ และคุณหลวงแพทย์เดินมาตามทางเดินไปเรือนใหญ่
คุณหญิงจูงมือฉัตต์ “ต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีก เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่ของเด็ก น่าจะนอน หรือไม่ก็อยู่กับแม่เขา”
“ครับ คุณย่า ขอโทษครับ”
“เดี๋ยวไม่ต้องหาคุณแม่แล้วนะลูก” พจน์บอก
“ทำไมละครับ” ฉัตต์เสียงดังมาก “ฉัตต์กลัวไม่ได้พบคุณแม่อีก”
“ไฮ้ ตาฉัตต์พูดอะไรเป็นลาง”
ขาดคำน้ำเสียงตกใจของสารภีดังมา “คุณราตรี คุณราตรี”
ทุกคนสะดุ้ง พจน์พรวดเดียวหายไปเลย
“แม่ราตรี คุณหลวง ไปเร็วๆ ฉัตต์พาย่าไปลูก” คุณหญิงเพ็งตกใจ
ภายในห้องนอนราตรีเวลานั้น ราตรีสะอึกถี่ๆ มือไขว่คว้า สารภีจับมือไว้ หน้าตกใจมาก พจน์กลับเข้ามา เรียกชื่อ “ราตรี” แล้วกระโจนเข้าถึงตัว ช้อนตัวขึ้นมา
“ราตรี...เป็นอะไรราตรี”
ราตรีพยายามลืมตามองพจน์แต่วาระสุดท้ายมาถึงแล้ว นัยน์ตาฝ้าฟางมองไม่เห็นใคร มือไขว่คว้าตกลง เห็นถนัดว่ามือหงิกเกร็ง ซึ่งเป็นอาการของคนเป็นโรคหัวใจวาย พจน์ช้อนราตรีขึ้นมา หน้าแนบไหล่ ริมฝีปากอยู่ที่หูพจน์
ราตรีรวบรวมเรี่ยวแรงเปล่งคำพูดสุดท้าย “ห่วง......ลูก....ฝาก....ฝาก ลูก” เท่านั้นก็คอตก ร่างกายอ่อนลู่ลง
พจน์ตกใจ “ราตรี”
คุณหญิงเพ็งตามเข้ามาเร็วๆ “แม่ราตรี.....พ่อพจน์แม่ราตรีเป็นอะไร”
“ผมเข้ามาราตรีก็เงียบไปอย่างนี้คุณแม่ครับ...” พจน์เสียงแหบเครือ หน้าตาหวาดหวั่น
“ไม่จริง คุณหลวงเร็ว...เข้าไปดู ไม่จริงแค่สลบใช่มั้ยพ่อพจน์ออกมาหาแม่ลูก”
มือคุณหลวงแพทย์ตรวจจับชีพจรราตรี คุณหลวงเบิกนัยน์ตาราตรีเร็วๆ ส่องไฟดู ส่ายหน้าแล้วหันมา สีหน้าหมดหวัง
คุณหญิงกระซิบเบาๆ “ไม่จริง แม่ราตรีไม่ได้เป็นอะไรนะคุณหลวง คลอดลูกแล้วก็หลับไป”
“โรคหัวใจที่เธอเป็นอยู่ครับ คุณหญิง” คุณหลวงแพทย์บอกหน้าเศร้า
ภายในห้องตอนนี้มีแค่พจน์กับราตรี คนอื่นไปหมดแล้ว พจน์กอดราตรีนั่งพิงอก เสียงคุณหลวงแพทย์ดังก้องในหูพจน์
“โรคหัวใจที่เธอเป็นอยู่ครับ”
พจน์ รู้สึกผิดอย่างรุนแรง
“พี่ผิด..ราตรี พี่ผิดที่สุด ไม่ควรขอร้องให้เธอมีลูก เธอต้องตายเพราะเธอมีลูกให้พี่”
เสียงฉัตต์ดังขึ้นเบาๆ “ไม่จริง”
พจน์เหลียวไปทางเสียง “ฉัตต์”
ฉัตต์ยืนอยู่ใกล้มาก เห็นความเคียดแค้นเต็มดวงหน้า
“ฉัตต์...เป็นอะไรลูก”
“คุณแม่ตายไม่ใช่เพราะมีน้อง...”
“ฉัตต์ พูดอะไรหรือลูก”
“เพราะพวกมัน พวกมันที่มันมาที่ท่าน้ำ แล้วคุณแม่ก็ตาย”
พจน์รวบตัวฉัตต์มากอดไว้
“ไม่จริงลูก...อย่างพูดอย่างนั้น”
ฉัตต์พูดพร่ำอยู่ตลอดเวลาต่อเนื่องกัน ไม่ฟังเสียงพจน์ “พวกมันไม่ตาย มันให้คุณแม่ตาย แทน...คุณแม่ตายแทนมัน”
“ฉัตต์ ใครมาบอกอะไรเนี่ย”
“ผมคิดเอง... ไม่มีใครบอก ผมคิดเองครับคุณพ่อ”
คุณหญิงเพ็งวิ่งเข้ามา มองตะลึง
ฉัตต์พร่ำพูด...พูด จนพจน์เองเถียงไม่ออก ฉัตต์พูดไปร้องไห้ไป หน้าตาเหยเกไปหมด ตัวก็ดิ้นออกจากอ้อมแขนพจน์
ฉัตต์ยืนมองจริมาน้องสาวที่เพิ่งคลอด ซึ่งนอนหลับสนิท สายตาเจ็บปวดลึกซึ้งราวกับผู้ใหญ่
ส่วนสารภีหลับสนิทอยู่ที่มุมห้อง
ฉัตต์คิดแค้นอยู่ในใจ
“คุณแม่ตายเพราะพวกนั้น...คุณแม่ตายแทนมัน”
วันหนึ่ง บุหลันอาศัยอยู่ที่เรือนเล็ก เพิ่งให้ลูกสาวกินนมเสร็จ และจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว พอหันหลับมาสะดุ้งเล็กๆ
“อุ๊ย”
“ฉันชื่อสารภี” สารภีแนะนำตัว พร้อมกับวางตั้งผ้าตัดเสื้อสีเทา สีอ่อนๆ ลง “คุณหญิงให้เอามาให้ ผ้าตัดเสื้อกับผ้านุ่ง ถ้าเย็บเสื้อเป็นก็ดี แต่ถ้าไม่เป็นในตลาดมีคนรับตัดเสื้อ แต่ต้องไปวัดตัวนะ”
“เย็บเป็น” บุหลันทอดเสียงอ่อนโยน
“ดี คุณหญิงท่านว่าให้อยู่ไปก่อน เพราะตอนนี้ยังยุ่งเรื่องงานศพคุณราตรี ไปทานข้าวที่โรงครัวแล้วกัน บอกไอ้ใบ้คนใช้เธอด้วย”
ตรงมุมหนึ่งในสวน ลับตาคน บุหลันนั่งนิ่งสนิทอยู่บริเวณนั้น ยอดพนมมือขอลุกะโทษ สายตาซื่อตรง สีหน้ารับผิด
“เป็นอันว่าฉันยกโทษให้แก เพราะแกไม่ได้ฆ่าฉัน ถึงแม้ว่าแกอยากจะทำ” ยอดส่ายหน้าว่าไม่ใช่ “ในที่สุด แกก็ยังช่วยชีวิตฉันไว้”
ยอดก้มหน้า “ที่ผมทำเป็นใบ้ เพราะตอนหม่อมยังสลบ คนถามผม ..ผมตอบไม่ได้”
“ดีแล้ว ฉลาดดี”
“หม่อมครับ หม่อมจะทำไงต่อไป จะไปอยู่ที่ไหน”
“คุณหญิงกรุณาให้อยู่ที่นี่ไปก่อน ไม่รู้ว่าตรงนี้อยู่ห่างจากวังแค่ไหน”
“คงไม่ไกลนักหรอกครับ แล้วหม่อมจะอยู่หรือครับ”
“ถ้าไม่อยู่จะไปไหน ลูกอีกคน” บุหลันคิดอึดใจ “ฉันจะทำงานแลกข้าวเขาไปก่อน ส่วนแก…ถ้าแกมีทางไป ก็ไปได้ไม่ต้องห่วงฉัน”
ยอดก้มหน้าอยู่อึดใจ “ผมก็ไม่รู้จะไปไหน ...ไม่มีหนทางไปเหมือนกันครับ”
สีหน้าบุหลันเศร้าหมองเหลือเกิน
ขณะที่ยอดพูดกับบุหลันมันก้มๆ หน้าลงให้เสียงออกจากปากเท่านั้น คือแม้คนเห็นแต่ไกลก็ไม่รู้
ด้านพจน์นั่งซึม หน้าตาทรุดโทรม หนวดไม่โกน เสื้อผ้ายับเยิน ในมือที่ห้อยอยู่ข้างกาย ถือรูปตัวเอง ราตรีท้องอ่อนๆ และฉัตต์ เป็นรูปขาว-ดำ
คืนนั้น บ้านปัณณธรทั้งหลัง จุดไฟสว่างไสว แลเห็นรถญาติๆ แล่นเข้ามาจอด แขกหญิงชาย-สูงอายุลงจากรถ เข้าไปไหว้คุณหญิงเพ็งที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าตึก
โลงบรรจุศพราตีตั้งอยู่กลางห้องโถงกลาง แจกันดอกซ่อนกลิ่น 3-4 แจกันวางอยู่หน้ารูปภาพ มีพวงมาลัยดอกมะลิพาดอยู่ มีการจัดดอกไม้หน้าศพเป็นมะลิเสียบกับก้านมะพร้าว มีแขกจุดธูปไหว้อยู่ 2- 3คน แขกส่วนใหญ่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ สนทนากัน
ฉัตร นั่งนิ่งสงบ สีหน้าขรึมจัด เพ่งมองรูปภาพของแม่
พร้อมกับที่ภาพจำเกี่ยวกับแม่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของฉัตต์
วันนั้น ราตรีนั่งร้อยดอกไม้อยู่กลางสนาม ฉัตต์วิ่งเล่นวนเวียนอยู่แถวนั้น พอเหนื่อยก็โผเข้าไปหาแม่ ราตรีกอดจูบลูกชาย กิริยาของราตรีดูออกว่าเป็นผู้หญิงอ่อนแอ ดูไม่แข็งแรง ฉัตต์กอดแม่ก่อนออกไปวิ่งเล่นต่อ
อีกวันราตรีพาฉัตต์เดินดูดอกไม้ด้วยกันอย่างมีความสุข
เวลาผ่านไปอีกวัน ราตรีนั่งเอนบนเก้าอี้นอน ท่าทางอ่อนเพลียมากขึ้น ท้องราว 7-8 เดือน แล้ว ฉัตต์ นั่งซบอยู่กับแม่ ลูกคลำท้องแม่ จูบแม่ ราตรีจับมือลูกชายมาจูบอย่างชื่นใจ
ภายในห้องโถงกลางตั้งศพราตรีช่วงค่ำ พระกำลังสวดอภิธรรม ฉัตต์ฟังพระสวดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เศร้าหมองมากเห็นน้ำตาคลอๆ
“พ่อพจน์คงเสียใจมาก” แขกผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานเอ่ยขึ้น
เสียงคุณหญิงเพ็งบอกเบาๆ “ค่ะ เขารักของเขามาก”
“น่าเห็นใจเหลือเกิน กำลังได้ดีมีวาสนา เป็นผู้พิพากษาใช่มั้ยคะ” แขกผู้หญิงว่า
“ดูนั่นลูกชาย พ่อฉัตต์ใช่มั้ยขอรับ กำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก น่าสงสารจริงพ่อคุณ”
แม้เสียงแขกไม่ดัง กระซิบค่อยๆ แต่ฉัตต์ได้ยินทุกคำ กัดกรามแน่นในขณะที่น้ำตาไหลหยดทันที
“ไม่เห็นคุณพจน์ ไปไหนเสียล่ะคะ” แขกผู้หญิงถามอีก
คุณหญิงเพ็งเดินเข้ามาในห้อง มองพจน์ซึ่งสารรูปยังเหมือนเดิม
“พจน์แม่เสียลูกสะใภ้ไปคนหนึ่งแล้ว อย่าให้แม่ต้องเสียลูกชายไป อีกคนหนึ่งเลย แม่ตอบคนที่เขาถามถึงไม่ได้ว่าลูกไปไหน งานศพเมียทำไมไม่ออกไป ลูกไม่ใช่เด็กแล้วนะ หน้าที่การงานก็ดี เป็นถึงผู้พิพากษาคนนับหน้าถือตา ทำไมต้องทำตัวน่าอเนจอนาถแบบนี้
พจน์ก้มหน้านิ่งไม่มีอะไรจะตอบแม่ ฉัตต์เดินเข้าไปกอดพ่อ หลั่งความเห็นใจไปในอ้อมแขนเล็กๆ ซบหน้ากับตัวพ่อนิ่งๆ
พจน์เงยหน้ามองคุณหญิงเพ็ง สายตารู้สึกผิด
ภายในห้องเลี้ยงเด็ก วังรังสิยา ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส มองจ้องทารกคุณชายที่กำลังร้องไห้เสียงดัง ใจคิดวนเวียนจะรักหรือไม่รักดี ได้ยินแต่เสียงท่านชาย สีหน้าเปลี่ยนไปตามคำพูดท่านชาย
“น้องหญิงคะ บุหลันท้อง พี่จะมีลูกชายแล้ว”
“น้องหญิงคะ พี่ฝากบุหลันด้วยนะคะ เขาเคารพน้องหญิงมาก น้องจะได้เป็นที่พึ่งแก่มัน”
“น้องหญิงคะพี่ไปเฝ้าหม่อมแม่ครั้งนี้จะรีบกลับ เพราะบุหลันจวนคลอดแล้ว พี่ฝากน้องหญิงช่วยดูแลด้วยนะคะ”
ท่านหญิงหันหลังกลับทันที เดินห่างออกไปผ่านอะไรบางอย่าง ปัดอย่างแรงจนล้ม เสียงดังโครม
ท่านหญิงกัดฟันแน่น
นางเฟืองเคาะประตูแล้วเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถือจดหมายมาฉบับหนึ่ง
“ทรงเป็นอะไรมังคะ”
ท่านหญิง ไม่ตอบ นั่งลงแรงๆ นางเฟืองถือขวดนมเข้ามาด้วย ตรงไปอุ้มคุณชาย
“คุณชายร้อง ทำไมท่านหญิง ไม่ทรงอุ้มคะ คุณชายร้องหาท่านแม่” นางเฟืองเอาขวดนมให้คุณชายดูด
“หยุด...หยุด..พอได้แล้วเฟือง เค้าไม่ใช่ลูกหญิง หญิงก็ไม่ใช่แม่ จะให้หลอกลวงตัวเองไปถึงไหน”
นางเฟืองจ้องหน้าดุๆ ท่านหญิงก้มหน้า เมินไปทางอื่น
“ทรงเหลวไหล หม่อมฉันคิดว่าทรงเข้าใจแล้ว”
“แล้วเฟืองเข้าใจหรือเปล่าละว่า เด็กนี่เป็นลูกของคนที่หญิงเกลียด เกลียดที่สุดในชีวิต เพราะมันเป็นมารหัวใจ มารชีวิตของหญิง เฟืองจะให้หญิงรักเขาได้ไง”
“รักได้มังคะ รักคุณชายแล้วคุณชายจะรักท่านหญิงองค์เดียว ถึงจะเป็นสายเลือดอยู่ในท้อง 9 เดือน หรือจะมาสู้อยู่ใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืนเป็นเดือนเป็นปี ต่อให้นังบุหลันมันฟื้นขึ้นมาทวงลูกมันคืน คุณชายก็ไม่มีวันเหลียวแล”
ท่านหญิงตกใจมากถามเสียงดัง “เฟือง...เฟือง พูดว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไรมังคะ จดหมายท่านชาย” พลางยื่นส่งให้ “ฝากคนมา...ทรงฝากให้ดูมันกระมัง ห่วงมันเหลือเกิน”
“เฟือง... เฟืองบอกถ้าบุหลันฟื้น...เฟือง มันตายแล้วหรือ เฟืองฆ่ามันแล้วหรือ” ท่านหญิงติดใจอยู่แต่เรื่องนี้
“ไม่ทราบได้ว่ามันตายหรือยัง”
“ก็เฟืองพูดอยู่เดี๋ยวนี้” ท่านหญิงเสียงแหลม “ว่าถ้ามันฟื้น”
“ถ้าอย่างนั้น หมายความว่า ถ้ามันตายแล้วมันฟื้นหรือถ้ามันไม่ตายแล้วมันกลับมา...ได้ทั้งนั้นมังคะ” นางเฟืองวางคุณชายลงนอน หลบตาท่านหญิง
“เฟือง...บอกกับหญิงว่าเฟืองไม่ได้ฆ่ามัน ไม่อย่างนั้นหญิงจะไม่มีวันแตะต้องเด็กคนนี้ หญิงจะไม่มีวันเลี้ยงเขาโดยการฆ่าแม่เขาแล้วเอาลูกมาเลี้ยง...เฟือง” ท่านหญิงเขย่าตัวพระพี่เลี้ยงด้วยท่าทีร้อนรน
“หม่อมฉันไม่ได้ฆ่ามัน”
“ใครฆ่า...”
“มันไม่ตาย หม่อมฉันไม่เห็นมันตายมังคะ ทรง¬¬อุ้มคุณชายเถิดมังคะ ร้องไห้ใหญ่ แล้ว”
“เฟือง...หญิงรักเฟือง ไม่อยากให้เฟืองทำบาป ฆ่าคนมันบาปหนานะ จะตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลย”
นางเฟืองมีสีหน้านิ่งสนิท
“เฟือง” ท่านหญิงเข้าไปกอดเฟือง ร้องไห้ทันที “หญิงถามจริงๆ เฟืองฆ่าบุหลันรึเปล่า”
นางเฟืองมองสบตาเต็มๆ “เปล่ามังคะ หม่อมฉันยืนยันได้ว่านังบุหลันมันหนีไปกับไอ้ยอดชู้มัน”
“ไม่จริง หญิงไม่เชื่อว่าเค้าจะเลวอย่างนั้น”
“แต่หม่อมฉันเชื่อ เพราะไอ้ยอดหายไปพร้อมกัน ไอ้ยอดหน้าตาดี ยังหนุ่มแน่ กิริยามารยาทเรียบร้อย สุภาพพูดเพราะ มีหรือนังบุหลันจะไม่เอนเอียง ไอ้ยอดมันชอบนังบุหลันตั้งแต่ยังไม่เป็นหม่อม”
ท่านหญิงจ้องหน้านางเฟืองเขม็ง
นางเฟืองใจแข็งปานหิน สบตาไม่มีพิรุธเลยสักนิด
“หม่อมฉันทำไม่ได้หรอกมังคะ ฆ่าคนน่ะ เพราะหม่อมฉันกลัวบาปถึงท่านหญิง”
แววตานางเฟืองอ่อนลง ท่านหญิงหันไปมองคุณชาย นางเฟืองไปอุ้มส่งให้ พอถึงมือท่านหญิงคุณชายเงียบกริบ “เห็นมั้ยมังคะ คุณชายรู้ว่าใครจะเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตคุณชาย...นิ่งเลยมังคะ”
ท่านหญิงมีสีหน้าอ่อนโยนลง โอบอุ้ม มองหน้า คุณชายตัวน้อย มองท่านหญิงตาแป๋ว
“ลูกชายคนเดียวของแม่ ฉันจะเรียกเขาว่า ชายเดียว...นะเฟือง”
นางเฟืองมองภาพตรงหน้าอย่างซาบซึ้ง
ท่านหญิงกอดแนบอก ใบหน้าชายเดียวประทับอยู่กับทรวงอก
“หญิงอยากมีนมให้ลูกดื่ม” ท่านหญิงหันมาทางพระพี่เลี้ยง บอกเสียงอ่อย “ไม่มีวันในชาตินี้”
“หม่อมฉันนัดแม่ผ่องไว้จะให้มาเป็นแม่นมคุณชาย เขาเพิ่งคลอดลูกตาย นมกำลังคัด” นางเฟืองจัดแจงเสร็จสรรพ
วันเดียวกัน คุณหญิงเพ็งเดินไปเร็วรี่ ท่าทีร้อนใจจัด จนสารภีเดินตามแทบไม่ทัน
“คุณหนูไม่ชอบนมผงเธอบ้วนทิ้งหมด”
“ตายจริง แล้วทำยังไงเนี่ย...”
สารภีเดินมาถึงหน้าห้องพอดี ค่อยๆ เปิดประตู “ดิฉันจัดการไปแล้วค่ะ”
คุณหญิงเพ็งเห็นบุหลันกำลังให้นมทารกหญิงจริมา ถึงกับเบิกตากว้าง ตกใจ ทำท่าจะเข้าไป
“คุณหญิงๆ” สารภีปิดประตู “อย่าเพิ่งค่ะ เดี๋ยวคุณหนูไม่ยอมทานจะยุ่งอีก”
“จะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษา...ผู้หญิงคนนั้นหัวนอนปลายตีนก็ไม่รู้จักเอามาให้นมหลานฉันได้ไง” คุณหญิงเอ็ด
“ก็...ดิฉันกับพี่เมียด มองแล้วว่าเค้าแข็งแรง แล้วก็ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน น้ำนมก็แยะ คุณหญิงกำลังยุ่งก็เลยแก้ปัญหาไปก่อนค่ะ” สารภีบอก
คุณหญิงเพ็งนิ่งคิดสักครู่ “เท่าที่ดูก็อย่างที่แกว่า เขาก็สะอาดสะอ้านดี...สารภีเรียกไปหาฉันด้วย”
ไม่นานนัก บุหลันเดินเข้ามากับสารภีที่ห้องโถงกลางชั้นบนเรือนใหญ่ คุณหญิงเพ็งนั่งคอยอยู่แล้ว บุหลันเดินค้อมตัวเข้ามา แล้วทรุดตัวลง กราบอย่างนุ่มนวล
“เป็นยังไงถึงมาสลบที่ท่าน้ำบ้านฉัน เรือ...เรอก็ไม่มี มายังไง” คุณหญิงถามไถ่
“เรือจมเจ้าค่ะ” บุหลันก้มหน้าลง น้ำตาพาลจะหยดขึ้นมาอีก
คุณหญิงเพ่งมอง “หนีร้อนมาใช่มั้ย”
“เจ้าค่ะ”
“ผู้ชาย...นั่น เป็นพ่อเด็กหรือ” คุณหญิงถาม
“ไม่ใช่ เจ้าค่ะ” บุหลันตอบเร็ว
“ฉันก็ไม่คิดว่าใช่ เอาล่ะ ถ้ายังไม่มีที่ไป ลูกเต้ายังแบเบาะก็อยู่ที่นี่ไปก่อน หวังว่าเธอคงไม่มีคดีติดตัวมา ถ้ามีก็พูดกันตรงนี้อย่าปิดบัง ลูกชายฉันเป็นผู้พิพากษาเขาถือกฎหมายเป็นที่ตั้ง”
“ดิฉันไม่มีคดี ไม่เคยทำร้าย มีแต่ถูกทำร้ายมาเจ้าค่ะ”
คุณหญิงเพ็งเพ่งมองบุหลันนิ่งๆ บุหลันมองตอบด้วยสายตาบริสุทธิ์
“ฉันยังไม่คาดคั้นว่าเธอคือใคร ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ธรรมดา วันหลังสบายใจ ก็ค่อยบอกเล่ากัน แล้วก็...ขอบใจที่มาช่วยให้นมหลานฉัน เขาอาภัพมากแม่ตายวันที่เขาเกิดพอดี อ้อ..เธอจะให้เรียกเธอว่าอะไร”
“จันทร์ค่ะ...เรียกดิฉันว่าจันทร์” บุหลันบอก
บุหลันเดินลงบันไดมา ใบหน้าหมองเศร้าเสียงท่านชายรังสิโยภาสดังก้องในหู
“บุหลันแปลว่าพระจันทร์เต็มดวง”
ตามด้วยเสียงคุณหญิงเพ็งเมื่อครู่นี้ “หนีร้อนมาใช่มั้ย”
บุหลันคิดทบทวนถึงวันที่ลูกสาวเกิด
ภายในห้องเรือนแพที่ศาลาท่าน้ำ บุหลันร้องครวญคราง จะคลอดลูก ดิ้นไปมา จนสุดท้ายร้องอึดเต็มที่จนเสียงอุแว้ๆ ดังขึ้น บุหลันจวนเจียนจะเป็นลม นัยน์ตาฝ้าฟางเห็นนางเฟืองก้มลงมาตัดรก เห็นถนัดว่ามือถือมีดตัดลงไป แล้วเอาผ้าห่อเด็ก อุ้มออกไปเสียงเปิดประตูดังเอี๊ยด
เสียงนางเฟืองบอกยอดกับแคล้ว “เด็กผู้ชาย ข้าจะเอาไปถวายท่านหญิง”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่บุหลันได้ยิน ก่อนที่จะรู้สึกว่า ยังมีอีกชีวิตหนึ่งอยู่ในท้อง และความเจ็บปวดรวดร้าวก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างอีกครั้งหนึ่ง
บุหลันซวนเซลงนั่งตรงเชิงบันได ก้มหน้าซบเข่า ร้องไห้จนตัวโยน พจน์เดินเข้ามามองสีหน้าฉงนฉงาย
อ่านต่อหน้า 3
แค้นเสน่หา ตอนที่ 1 (ต่อ)
บุหลัน ซึ่งบัดนี้ทุกคนในบ้านปัณณธร รู้จักเธอในชื่อ จันทร์ นั่งร้องไห้อยู่ตรงเชิงบันได กระทั่งพจน์มองมาด้วยสีหน้าฉงน ก่อนจะเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ
“ขอโทษ”
จันทร์เงยหน้าขึ้น ตกใจเล็กๆ
“ไม่สบายหรือเปล่า” พจน์ทอดเสียงอ่อนโยนถาม
จันทร์รีบลุกขึ้นยืนพูดเสียงอุบอิบ “เปล่าค่ะ ขอโทษค่ะ” ก้มตัวจะเดินไป
“เดี๋ยวก่อน”
พจน์เรียกไว้ จันทร์หยุด
“ขอบใจที่... เป็นแม่นมให้ลูกสาวของฉัน”
“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” จันทร์ตอบเสียงแผ่ว
“จะมีผลเสียกับ.. เอ้อ ลูกของเธอหรือไม่”
จันทร์ฉงน “ผลเสียยังไงหรือคะ”
“เช่น...ลูกของเธออาจจะทานนมได้ไม่พอ”
“อ๋อ ไม่... ไม่ค่ะ...พอ”
พจน์เพ่งมองพิจารณาตลอดเวลา ใจคิดสงสัยที่มา แต่มีมารยาทจึงไม่ถาม “อยู่ให้สบายไม่ต้องเกรงใจ คนเรามีทุกข์ร้อนมาถ้าช่วยได้ก็ต้องช่วยกัน”
จันทร์ไหว้
“ขอบใจอีกครั้ง”
“ค่ะ”
ในที่สุดท่านชายรังสิโยภาสก็เดินทางกลับมาถึงวังรังสิยา และเวลานี้อยู่ในห้องโถงกลาง ตำหนักใหญ่ของวัง ซึ่งบ่าวไพร่ในวังทุกคนมารวมตัวอยู่ที่นี่ รวมทั้งท่านหญิงแขไขเจิดจรัส นางเฟือง และนายสน ทนายหน้าหอและคนขับรถ
ท่านชายตวาดเสียงดัง “ใครจะบอกได้ว่าบุหลันไปไหน” พลางหันมามองผู้คนที่อยู่ในห้อง สีพระพักตร์เข้มจัดทุกคนหลบตาก้มหน้านิ่ง
ท่านหญิงแขไขนั่งคอแข็งสีหน้าเรียบเฉย แต่พระทัยเต้นโครมคราม
“น้องหญิง”
“หญิงไม่ทราบค่ะ”
“น้องหญิง พี่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบอย่างนี้เลย คนหายไปทั้งคนไม่รู้เรื่องได้ยังไง พี่ไม่อยู่หญิงเป็นเจ้าของวังดูแลคนทั้งหมด หญิงไม่รู้หรือว่าอะไรเกิดขึ้น”
“ท่านหญิงไม่ทรงทราบจริงๆ มังคะ” นางเฟืองสอดขึ้น
ท่านชายเอ็ด “อย่าสอดนังเฟืองข้าไม่ได้ถามเอ็ง”
“เจ้าพี่ทรงฟังเฟืองเถิดค่ะ เพราะเฟืองเค้ารู้เรื่อง ถึงยังไงหญิงก็ให้คำตอบเจ้าพี่ไม่ได้”
ท่านชายอัดอั้นหันไปทางนางเฟือง “เอ็งว่าไปนังเฟือง”
“วันที่ท่านชายเด็จไป ท่านหญิงไม่ทรงสบาย บรรทมอยู่แต่ข้างบน บุหลัน...” นางเฟืองยังไม่ทันพูดต่อ ท่านชายก็ขัดขึ้นอย่างไม่พอพระทัย
“นังเฟือง เอ็งเรียกให้ดี ไม่รู้จักธรรมเนียมรึไง หรือเอ็งจงใจไม่รับรู้ว่าเขาเป็นอะไรกับข้า”
สีหน้าท่านหญิงเย็นเฉียบ
“มังคะ หม่อมบุหลันเธอเจ็บท้องคลอดคุณชาย หม่อมฉันไปช่วยทำคลอด แล้วต่อจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเธออีกมังคะ ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปไหน แต่มีคนหายไปพร้อมกันมังคะ” นางเฟืองเล่า
“เอ็งหมายความว่ายังไง ใครหายไปพร้อมกัน”
“ไอ้ยอด คนทำสวนมังคะ” นางเฟืองว่า
“นังเฟืองเอ็งกำลังจะบอกว่าไอ้ยอดพาเมียข้าหนีไปงั้นเรอะ” สีพระพักตร์ท่านชายแดงก่ำเพราะกริ้วจัด “ฟังมันนะหญิง ฟังมันใส่ร้ายเมียพี่”
ท่านหญิงเหลียวขวับมามองท่านชายเมื่อได้ยินคำว่าเมียพี่
ท่านชาย พูดต่ออย่างเร็ว และแรง “มันหาว่าบุหลันคบชู้สู่ชาย นังเฟืองคนของหญิงคนนี้ไม่ชอบบุหลันมาตั้งนานแล้ว”
นางเฟืองท้วง “หม่อมฉันไม่ได้เกลียดหม่อมบุหลันแล้วแต่งเรื่องหรอกมังคะ ถามคนในวังดูก็ได้จะให้คิดยังไงในเมื่อหม่อมหายไปวันเดียวกับคนสวน”
“อีเฟือง” ท่านชายรังสิโยภาสชี้หน้าด่าแรงๆ ด้วยความกริ้วสุดขีด “เอ็งหยุดสาธยายเดี๋ยวนี้ บุหลันเป็นเมียข้า ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่คนใฝ่ต่ำ บอกความจริงมานะมึง ว่ามึงทำอะไรเมียกู”
นางเฟืองทั้งใจแข็ง ทั้งใจเย็น สีหน้านิ่งสงบอย่างมีสติ “ไม่มีใครทำอะไรหม่อมมังคะท่านชาย”
ท่านชายเสียงดังเป็นเชิงถาม “หญิง...!”
“เจ้าพี่จะทรงคาดคั้นว่าหญิงมีส่วนหรือคะ เจ้าพี่ไม่ให้เกียรติหญิงเลย หญิงจะทำอย่างนั้นทำไมเพราะทุกวันนี้เจ้าพี่ก็ไม่ได้เหลียวแลหญิงอยู่แล้ว ถ้าหญิงทำอะไรบุหลันหญิงจะได้ประโยชน์อะไร ในเมื่อหญิงรู้ว่าเจ้าพี่จะทรงเกลียดหญิงมากขึ้น คนหายไปสองคนเจ้าพี่โทษคนทั้งวังมันไม่ยุติธรรมเลย”
“แต่หญิงดูแลคนทั้งวัง”
“หญิงไม่เคยดูแลบุหลัน เพราะเจ้าพี่ทรงทำหน้าที่นั้นอยู่องค์เดียว ใครแตะไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าเจ้าพี่ต้องเอาผิดอย่างหนัก บุหลันหายไปไม่มีร่องรอยทุกคนก็ออกตามหาไม่ได้นิ่งนอนใจ หญิงให้ใส่กุญแจเรือนเขาไว้ เจ้าพี่เด็จไปทอดเนตรเผื่อจะได้ร่องรอยอะไรบ้าง”
ครู่ต่อมาท่านชายเดินพรวดๆ ไปอย่างเร็ว มาถึงเรือนบุหลัน นางเฟืองเดินแกมวิ่งตาม
“ท่านหญิงของเอ็งล่ะ”
“ไม่เด็จมังคะ
ท่านชายหน้าเครียดอยู่อึดใจ “เป็นอย่างเนี้ย...”
นางเฟืองทำหน้าสะใจ
ท่านชาย เห็นเข้า โทสะมาเป็นริ้วๆ “ไปเปิดห้องสิ”
นางเฟืองเดินหลีกท่านชายไปเปิดกุญแจ แต่ไม่เปิดประตู
“เปิดสิวะ นังนี่วอนจริง”
นางเฟืองเปิดประตู แล้วเดินเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้า ท่านชายเดินตามเข้า
“เสื้อผ้าหายไปเกือบหมดตู้มังคะ” น้ำเสียงสีหน้านางเฟืองไม่มีพิรุธเลยสักน้อย
ท่านชายมองเข้าไปในตู้ นิ่งอึ้ง มีเสื้อผ้าพับอยู่ 2-3 ตัว ท่านชายสะบัดมือปิดประตูตู้ดังโครม
“บุหลันไม่ทำอย่างนี้เขาไม่มีวันทิ้งฉันไป” แล้วออกไปเร็วรี่
สีหน้านางเฟืองที่มองตามหลังท่านชาย สะใจเป็นที่สุด คิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้
วันนั้นนางเฟืองเข้ามาในห้องบุหลัน เปิดตู้แลเห็นเสื้อผ้าเต็มตู้ นางเฟืองแสยะยิ้มอย่างสมใจ หยิบเสื้อผ้าเกือบทั้งหมดใส่ตะกร้า สีหน้าเย็นเฉียบ ไม่มีกลัว ไม่มีลังเล และไม่วอกแวกเหลียวซ้ายแลขวาแต่อย่างใด
ไม่นานต่อมานางเฟืองอยู่ตรงริมน้ำ ขยุ้มๆ เสื้อผ้าบุหลันห่อมัดเข้าด้วยกัน เอาก้อนหินก้อนใหญ่หลายก้อนใส่เข้าไป แล้วเหวี่ยงอย่างแรงลงน้ำไป
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไปจากความคิด เฟืองยิ้มหยันหัวเราะออกมาเบาๆ ย่ามใจเป็นที่สุด
ท่านชายเดินพรวด...พรวดกลับเข้ามาในห้องโถง ท่านหญิงกำลังจะลุกขึ้น เลยนั่งลงไปอีก
“หญิงส่งคนไปหาบุหลันที่ไหนมั่ง”
ท่านหญิงนิ่ง นึกถึงคำถามเดียวกันนี้ที่เคยถามนางเฟือง
“เฟืองส่งคนไปหาบุหลันหรือยัง”
“ส่งไปหาทั่วเลยมังคะ...ไม่พบเลย”
แต่สีหน้านางเฟืองดูก็รู้ว่าพูดไม่จริง
ท่านหญิงดึงตัวเองกลับมา ตอบออกไป
“เฟืองส่งคนไปหาแล้วค่ะ แต่ไม่พบ”
“แจ้งความรึเปล่า”
“หญิงไม่กล้าเพราะกลัวเสียชื่อค่ะ”
“กลัวเสียชื่อ หญิงคิดว่าบุหลันเป็นชู้กับไอ้ยอดจริงๆ หรือ”
“ไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากบุหลันกับยอด ตัวหญิงเองไม่กล้าคิดอะไร สาบานได้”
“เจ้าตัวเขาไม่อยู่ ใครๆ ก็สาบานได้ทั้งนั้น” ท่านชายประชด
“เจ้าพี่” ท่านหญิงแขไขครางเบาๆ ด้วยสีหน้าปวดร้าว
นางเฟืองเงยหน้าขวับ สอดขึ้น “ท่านหญิงไม่เคยทำร้ายใคร ให้เจ็บพระทัยเสียพระทัยแทบตายก็ไม่ทรงทำร้ายใครแน่นอน”
ท่านชายตวาด “หุบปากนังเฟืองอย่าสะเออะ วันนี้ข้าไม่รู้ความจริงก็แล้วไป แต่อย่าให้รู้เชียว ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรกับบุหลัน ข้านี่แหละจะจัดการด้วยมือข้าเอง จำไว้นังเฟือง”
ท่านชายเดินพรวดออกไป
นางเฟืองมองตามด้วยสายตาดุดัน พึมพำในลำคอ “โง่...โง่ดักดาน”
“เฟือง” ท่านหญิงน้ำตาไหลซึม
“อย่ากรรแสงมังคะ... แพ้ไม่ได้นะมังคะ” นางเฟืองปลอบ
“ไม่ได้ยินรับสั่งเหรอ ฉันไม่มีความหมายเลย บุหลันอยู่ฉันก็สู้เขาไม่ได้ บุหลันไม่อยู่ฉันก็ยิ่งพ่ายแพ้หนักขึ้น”
“ทำไมทรงคิดอย่างนั้นมังคะ มันไปก็ดีแล้ว เพราะมันเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงพระทัยตลอดเวลา ตอนนี้ปล่อยให้ท่ายชายอาละวาดไปก่อน อีกหน่อยก็ทรงลืม อย่าลืมนะมังคะเรายังมีคุณชาย”
ท่านหญิงฉงน “ทำไมเหรอเฟือง... เฟืองจะให้คุณชายทำอะไร”
“คุณชายคือเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่ช้าท่านชายจะทรงรักทรงหลงคุณชายจนลืมอีบุหลันในที่สุด...เชื่อหม่อมฉันมังคะ”
นางเฟืองคนใจชั่วบอกอย่างหมายมาด
คืนนั้น ท่านชายรังสิโยภาสเข้ามาในห้องคุณชายเดียว หรือ ศักดินา ซึ่งอายุราว 7 วัน ยืนจ้องมองคุณชายที่กำลังตื่นอยู่ ท่านหญิงแอบมอง...ลุ้นๆ
ท่านชายหันหลังกลับไม่แม้แต่จะแตะตัวคุณชายศักดินา เดินผ่านท่านหญิง มองสบตา สายพระเนตรท่านชายเย็นชา แล้วดำเนินผ่านท่านไป ท่านหญิงยืนอึ้ง
ส่วนที่บ้านปัณณธร ในครัวตอนนี้กำลังยุ่งเอาการ อ่อนคนทำงานบ้านทั่วไปกำลังตักข้าวใส่โถ สำลีลูกสาวสำเนียงแม่ครัวใหญ่กำลังล้างผลไม้ เงาะเอย มังคุดเอย เห็นเป็นกองโตๆ เด็กในครัวเช็ดถ้วยเช็ดชาม อีกคนจัดแก้วน้ำใส่ถาด
สำเนียงเร่งลูกสาว “นังลี เร็วๆ เข้า มัวพิรี้พิไรล้างอยู่นั่น ปอกเงาะเข้าเดี๋ยวข้าจะคว้าน เดี๋ยวไม่ทันพระฉัน ยังจะต้องจัดให้คนอีก”
“ปอกแล้วนี่...เปิดตาดูซะมั่งแม่” สำลีย้อน
“ฉันจะขึ้นไปดูคุณหญิงนะสำเนียง ฝากด้วย จัดให้เรียบร้อย อ้อ เงาะน่ะ สำเนียงคว้านคราวที่แล้ว เปิดหัวท้ายกว้างไป ดูไม่น่ากิน”
ละเมียดกำชับแล้วจะเดินออกไป เห็นจันทร์เดินสวนเข้ามาพอดี
“อ้อ แม่จันทร์”
ทุกคนหันมามองจันทร์เป็นตาเดียว
“ดิฉันมาช่วยทำงาน”
จันทร์นั่งลง เลื่อนถาดเงาะเข้ามาใกล้ หยิบมีดคว้านที่อยู่ตรงนั้น ลงมือคว้านเงาะอย่างว่องไว เห็นเงาะที่จันทร์วางลง หัวท้ายปิด มองเป็นลูกเต็มๆ สวยงาม ทุกคนมองอย่างทึ่งเป็นตาเดียวกัน
จันทร์ ก้มหน้าก้มตาทำ สีหน้าหมองลงได้ยินแต่เสียงท่านชายประโยคแล้วประโยคเล่า ดังก้องในหู
“เห็นฝีมือคว้านเงาะก็รู้ว่าเป็นเจ้า..บุหลัน”
“เจ้าคว้านระกำให้ฉันกินอย่างนี้ ฉันจะไม่ทำให้เจ้าระกำช้ำใจเลยนะบุหลันฉันสัญญา”
“น้อยหน่านี่ เจ้าเอาเม็ดออกได้ยังไงบุหลัน ยังสวยงามเป็นลูกน้อยหน่าอยู่เลย”
บุหลันน้ำตากบตา
เวลาเดียวกันนี้ เสียงท่านชายตวาดอย่างดังออกมาจากข้างในห้องทรงงานที่วังรังสิยา
“ข้าไม่กิน... บอกว่าไม่กิน”
สนถือถาดอาหารยืนอยู่หน้าห้อง
“ไป...ไม่ได้ยินรึไอ้สนว่าข้าไม่กิน...ไม่หิว”
“เหวยหน่อยเถอะกระหม่อม ท่านหญิงให้กระหม่อมเอามาถวาย” สนว่า
ประตูเปิดเปรี้ยงออกมาอย่างแรง
“ถ้าเอ็งยังขืนวุ่นวายกะข้าอีก เอ็งไม่ต้องอยู่ ไปอยู่ที่อื่น”
“แต่...”
“ไอ้สน” ท่านชายเสียงดังก้อง
จังหวะนี้คุณชายเดียวร้องจ้า ท่านหญิงอุ้มเดินเข้ามาหา ท่านชายมองนิ่งๆ
“เจ้าพี่คะ”
“สน เอ็งไม่ได้ทูลท่านหญิงหรือว่าข้าสั่งไม่ให้ใครกวน”
“หญิงไม่ได้เจตนากวนเจ้าพี่ หญิงแค่พาลูกชายมาเฝ้า สนบอกว่าเจ้าพี่ไม่ยอมเหวยหญิงเป็นห่วง”
“ไม่ต้องห่วง” ท่านชาย ชายตามองคุณชายเดียวเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย
สีหน้าท่านหญิงสลดลง ส่งคุณชายให้ผ่องไป ผ่องพยักหน้ากับสนแล้วออกไปด้วยกัน
“พี่สบายดี...มาก็ดีแล้ว พี่จะบอกเสียเลยว่าต่อไปนี้ไม่ต้องรอพี่ลงไปกินข้าว แล้วก้อไม่ต้องเอาขึ้นมาให้กินข้างบนด้วย ถ้าจะกินจะบอกเอง”
“ทำไมคะ ทำไมต้องทรงทำอย่างนี้ เจ้าพี่โกรธหญิงเรื่องอะไร”
“หญิงทำอะไรให้โกรธด้วยหรือ” น้ำเสียงท่านชายประชด “หญิงไม่เคยทำผิด ทุกอย่างถูกต้องตามระเบียบทุกอย่าง จนพี่ไม่กล้าสู้หน้าหญิง ขี้เกียจได้ยินคำพูดว่าไม่รู้...ไม่เห็น...ไม่มีอะไร ซ้ำๆ ซากๆ เบื่อ”
“ไปๆ มาๆ ก็มาลงที่เรื่องบุหลัน ก็ในเมื่อหญิงไม่ทราบจริงๆ จะให้ทูลว่าอะไร ต่อให้เจ้าพี่บีบคอหญิงให้ตายตอนนี้หญิงก็ยังยืนยันคำเดิม บุหลันหายไปเมื่อไหร่หญิงไม่ทราบ หายไปกับยอดหรือเปล่าหญิงก็ไม่ทราบ แม้แต่วันนั้นบุหลันคลอดลูกชาย หญิงก็ไม่ทราบ เฟืองเป็นคนอุ้มลูกมาให้บอกว่าบุหลันให้พามาถวาย หญิงมัววุ่นกับลูก ถึงหญิงจะผิดก็ผิดเรื่องเดียวที่ไม่ได้ลงไปเยี่ยมเขาจนกระทั่ง...”
“คนหายทั้งคน” ท่านชายส่ายหน้าไปมาอย่างจนพระทัย “ทำไมเธอถึงเป็นคน...” ท่านชายคิดหาคำภาษาไทย แต่คิดไม่ออก “อิ๊กนอแรนซ์อย่างนี้”
“อิ๊กนอแรนซ์ ทำไมเจ้าพี่ว่าหญิงขนาดนี้ หญิงไม่ได้ถึงขนาดเพิกเฉยไม่สนใจอะไรเลย หญิงดูแลลูกของเจ้าพี่...”
ท่านชายขัดอย่างเร็ว “ทำไมจะไม่ใช่ ทุกอย่างเธอปล่อยให้นังขี้ข้าบงการชีวิตเธอ ฉันไม่เคยไว้ใจอีผู้หญิงคนนี้ ฟังไว้นะฉันจะสืบเรื่องนี้ ถ้ารู้ว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องล่ะก็ฉันจะฆ่ามันด้วยมือฉันเอง”
ท่านหญิงตะลึงงัน
“เธอไปได้แล้ว แขไขเจิดจรัสไปบอกมันด้วยแล้วกันว่าฉันพูดอะไร”
ท่านชายเข้าห้องปิดประตูใส่หน้าโดยแรง ท่านหญิงยืนนิ่งงัน
ค่ำนั้นนางเฟืองรีบร้อนเข้ามาในห้องบรรทมท่านหญิงแขไขอย่างเร็วรี่
“ให้หาหม่อมฉัน มีอะไรหรือมังคะ”
“เฟือง หญิงถามจริงๆ อย่าพูดปดกับหญิงนะ”
“มังคะ”
“เฟืองทำอะไรบุหลันหรือเปล่า”
“โถ...ทูลกระหม่อม หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นความสัตย์จริงมังคะ คนมันสันดานชั่ว ขุนเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดีหรอกมังคะ ท่านชายชันษาสูงแล้ว ไหนเลยจะสู้หนุ่มๆ ไอ้ยอดมันหน้าตาดีหยอกใคร”
“ท่านรับสั่งว่าจะสืบด้วยองค์เอง” ท่านหญิงว่า
สีหน้านางเฟืองเย็นเยือกขณะพูด “ต้องให้พลิกแผ่นดิน...แผ่นน้ำ” นางเฟืองย้ำคำขณะพูดประโยคต่อมา “ค้นหาอีบุหลัน ก็ไม่มีวันจะหาเจอ”
ท่านหญิงตะลึง มองพระพี่เลี้ยงอย่างพิศวง
นางเฟืองเห็นสายตาท่านหญิงรีบแก้ “สังหรณ์มังคะ แค่สังหรณ์”
เวลาต่อมานางเฟืองเดินลงมาที่หน้าตำหนัก เห็นสนเช็ดรถอยู่
“สน วันนี้เด็จไหน”
“อ๋อ เห็นว่าจะเด็จไปหาหลวงวิเศษ”
นางเฟืองฉงน “ใคร”
“ไม่รู้เหมืนกัน ได้ยินว่าอย่างนั้น”
“หลวงวิเศษ” นางเฟืองทวนคำ
ไม่นานหลังจากนั้น ท่านชายประทับอยู่ที่บ้านหลวงวิเศษ ผู้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ
“ฉันไม่เชื่อว่าบุหลันจะหนีตามเด็กในบ้านไป สังหรณ์ว่าต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน”
“ถ้าใครทำอะไร ก็คงกลบเกลื่อนหลักฐานจนไม่เหลือแล้วกระหม่อม” หลวงวิเศษว่า
“ไม่เหลือแล้ว ทุกอย่างดูเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดปกติ”
“มีคนน่าสงสัยบ้างไหมกระหม่อม”
“มี...คนหนึ่ง คือน้องหญิงแขไข เธอไม่โปรดบุหลันเอามากๆ อีกคนคือนังเฟือง พี่เลี้ยงหญิงแขไข คนนี้ฉันเกลียดมันที่สุด ไม่ถูกชะตากับมันเลย”
“อย่ามีอคตินะกระหม่อม ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน” คุณหลวงบอก
“ฉันสังหรณ์ คุณหลวงเชื่อฉันเถอะ”
“กระหม่อมเชื่อความจริง...เราต้องค้นหาความจริงถึงจะลงโทษคนผิดได้”
ท่านชายนิ่งอึ้งไปสักครู่ สีพักตร์หมองลงอย่างกลัดกลุ้ม
“ฉันเข้าใจคุณหลวง ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจ คุณหลวงต้องหนักแน่นอย่างนั้น แต่ฉัน..ขอยืนยัน ฉันสังหรณ์”
“ทรงรู้สึกอย่างไร ต่อคุณชายศักดินากระหม่อม”
ท่านชายถอนใจยาว “ฉันอยากรักเขา อยากอุ้ม อยากกอด แต่...”
“ทรงคิดว่าไม่ใช่ลูก...หรือกระหม่อม” คุณหลวงถามเสียงเบา
“ใช่” ท่านชายเสียงเข้ม “ฉันไม่แน่ใจว่าเขาเป็นลูกเรารึเปล่า เพราะฉันไม่ไว้ใจอีนังเฟือง มันอาจจะเอาลูกใครมาหลอกฉันก็ได้”
หลวงวิเศษมองอย่างเห็นใจสักครู่ จึงเอ่ยขึ้น
“คนของกระหม่อม เข้าไปทำงานในวังแล้วนะกระหม่อม”
บนถนนบรรยากาศร่มรื่น นายสนขับรถไป ชำเลืองมอง เห็นท่านชายหน้าเคร่งเครียดมาก
“สน”
สนสะดุ้งสุดตัว “กระหม่อม”
“ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังว่าข้ามาหาคุณหลวงวิเศษ”
สนทำหน้าอึกอัก
ท่านชายรู้ทันที “เล่าไปแล้วรึเอ็ง”
“เอ้อ...”
“ไอ้สน เอ็งบอกใครไป”
“มะ...แม่เฟืองกระหม่อม เขาว่าเขาเป็นห่วง เขาถามแทนท่านหญิง”
ท่านชายกริ้ว “อีสาระแน ไอ้สน มึงก็เหมือนกันปากสว่างนักนะ”
“กระหม่อม...ผิดไปแล้วกระหม่อม”
“จำไว้ ถ้าเอ็งอยากทำงานกับข้า หุบปากให้สนิท ต่อให้ใครมาตายตรงหน้าเอ็ง ก็อย่าเปิดปากเป็นอันขาด”
“หม่อม”
“หรือไม่ก็บอกมันไปเลยว่า ข้าไปเที่ยวหอนางโลมก็ได้ ดี...จะได้ดูอีเฟืองเต้นแทนหญิงแขไข”
สนขับรถจอดหน้าตึกใหญ่ แล้วรีบลงจากรถจะเปิดประตูให้ท่านชาย แต่ท่านชายเปิดออกเสียก่อนสนชะงัก ท่านชายลงมา เหลือบแวบไป เห็นนางเฟืองแอบอยู่
“บอกมันอย่างที่บอก” ท่านชายเสียงเบาสั่งสน “มันมาโน่น”
ท่านชายเดินขึ้นตำหนัก
นางเฟืองเดินเข้ามาเร็วไว “ได้ความว่าไงพ่อสน”
“อ๋อ ออ...” ในใจสนคิดหาคำพูดว่าจะบอกยังไง
“หลวงวิเศษเป็นใคร”
สนทำทีอึกอัก “อ๋อ ออ.....ไม่ได้เด็จหาหลวงวิเศษหรอก”
“อ้าว แล้วเด็จไหน”
“เด็จ...หอ...เอ้อ...หอนางโลม”
นางเฟืองเสียงดัง ตกใจมาก “เด็จไหนนะ”
“หอนางโลม” เสียงสนเริ่มมั่นใจขึ้น
“ไม่จริง”
สนอ้าปากค้าง ทำไมรู้วะ
“แกโกหกไอ้สน”
“ทำไมว่าฉันยังงั้นล่ะ แม่เฟือง”
“ถ้าท่านชายเด็จจริง ต้องรับสั่งให้ปิดความ แกอย่ามาหลอกฉัน”
“เฮ้ย..จริงนะแม่เฟือง” สนกระซิบ “ท่านรับสั่งให้ปิดจริงๆ ด้วย”
“เอ๊า แล้วแกบอกฉันทำไม”
“เอ๊า” สนเลียนเสียง “ฉันเคยปิดอะไรแม่เฟืองเล้า บอกทุกอย่างเห็นมั้ย จะเด็จบ้านหลวงวิเศษ ฉันก็บอก”
“หอนางโลมเหรอ ที่ไหน”
“อ๊ะ บอกได้เลยฉันก็ไปบ่อย” สนยืดอกใหญ่
“สะพานถ่านเหรอ”
“เฮ๊ย นั่นมันชั้นต่ำไม่มีสกุล เด็จหอนางโลมชั้นสูงที่ผ่านฟ้า เด็ด... แม่เฟืองเอ๋ย”
สนสาธยาย
นางเฟืองรีบมารายงานท่านหญิงแขไข ในห้องบรรทมท่านหญิงทันที ท่านหญิง เสียใจ ฟังอย่างตกตะลึงงัน
“ทำ...ทำไม เจ้าพี่ต้องลดองค์ไปถึงขนาดนั้น”
“แต่หม่อมฉันคิดว่าอาจจะไม่จริงมังคะ”
“ไม่... เรื่องจริง”
“ไม่หรอกมังคะ”
“จริง... จริง ต้องเป็นเรื่องจริง หญิงรู้... รู้ดีกว่าใครว่าท่านเด็จจริง” ท่านหญิงซบพักตร์ลงกับเตียง “ท่านเด็จจริงๆ”
“โธ่ ท่านหญิงมังคะ”
“อย่าปลอบหญิงเลย” ท่านหญิงสะอื้นขึ้นมาทันที “เห็นมั้ยไม่มีบุหลัน เจ้าพี่ก็ไม่เห็นหญิงในสายพระเนตร หญิงเหมือนดินเหมือนทราย เหมือนฝุ่นละอองที่ไม่อยากแม้แต่จะแตะต้องให้สกปรก”
ท่านหญิงแขไขร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจสุดแสน
“ทูนหัวของเฟือง ท่านหญิงไม่ผิด สักวันท่านชายต้องทรงนึกได้ แล้วเห็นความดีมังคะ” นางเฟืองรีบเข้าไปประคอง
“เฟือง...” ท่านหญิงซวนซบลงกับอ้อมแขนนางเฟือง “ความดีทำให้ท่านมีความสุขหรือ” พลางสะอื้นแรงๆ “หญิงขอบใจเฟืองมาก เฟืองเหมือนเพื่อนตายของหญิง”
นางเฟืองตื้นตันร้องไห้ออกมาทันที เสียงดังด้วย ก้มหน้าต่ำ สะอึกสะอื้น
“เฟือง”
“ทรงเห็นเฟืองเป็นเพื่อนหรือมังคะ ไม่เสียงแรงที่หม่อมฉันจงรักภักดี” นางเฟืองสะอื้นเสียงขาดเป็นห้วงๆ “หม่อมฉันสาบานว่าจะปัดเป่าทุกข์ในพระทัยให้หมดสิ้น”
นางเฟืองยังร้องไห้เช็ดน้ำตาป้อยๆ ขณะเดินลงจากตำหนัก จะกลับเรือนพัก เดช ตำรวจที่หลวงวิเศษส่งมาสืบเรื่องราว หน้าตาเรียบร้อย รูปร่างล่ำสัน อายุราว 30 ปี กำลังขุดดินอยู่ข้างทาง นางเฟืองเดินผ่าน เดชเหลือบตาขึ้นจ้อง นางเฟืองรู้สึกว่ามีใครมอง หันขวับ เดชหลบตาวูบ แล้วลุกขึ้นเดินไปอีกทาง
นางเฟืองเรียกทันที “แก...หยุดก่อน”
เดชหันมายืนมือประสานกัน
“แกเป็นใคร”
เดชยิ้มเจื่อนๆ ทำท่ากลัวๆ จะหลบไป
“นี่ฉันพูดกะแก” นางเฟืองมองงานที่เดชทำ “ทำอะไร”
“ทำสวนครับ”
“ใครรับแกเข้ามา”
“ท่านชายครับ”
นางเฟืองไม่เชื่อ “ท่านชาย อย่ามาโกหก แกเจอท่านชายที่ไหน”
“ผมมาสมัครงานกับลุงสน ลุงสนบอกท่านชายให้รับผมครับ”
“แกรู้ได้ไงว่าที่นี่ไม่มีคนสวน”
“เขาพูดกันทั้งตลาดครับ แม่สาลี่แม่ครัวบอกว่าคนสวนหนีไปหมด กำลังรับใหม่”
นางเฟืองหน้าเครียดจัด มองกุหลาบหลายต้น รอปลูก “ใครสั่งให้แกลงกุหลาบมอญ”
“หม่อมท่านชอบครับ” เดชบอก
นางเฟืองแทบจะเต้น นัยน์ตาโต ตวาดแรงๆ “ที่นี่ไม่มีหม่อมท่าน มีแต่ท่านหญิงพระองค์เดียว จำใส่กะโหลกไว้ ต่อจากนี้อย่าสะเออะพูดถึงหม่อมท่านอีก แกจะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
เดชก้มหน้านิ่ง
“อย่าให้ได้ยินอีก กุหลาบพวกนี้ไม่ต้องปลูก ขุดทิ้งให้หมด”
เดชยืนเฉย
“ไม่ได้ยินเรอะ ฉันสั่งให้ขุดทิ้ง” นางเฟืองฉุนขาด
เดชฟังเฉย นางเฟืองเข้าไปฉวยกุหลาบดึงอย่างแรงจนถอนรากออกมาเขวี้ยงใส่หน้าเดชเต็มแรง
“ฉันสั่ง...แกต้องทำ...ขุดทิ้งให้หมด”
เดชก็ยังยืนเฉย
นางเฟืองดูนิ้วตัวเอง เลือดออกเพราะหนามกุหลาบตำ มองเดชตวาดเสียงเข้ม
“บังอาจลองดีกับฉันรึ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ท่านชายประทับที่โต๊ะเสวยแล้ว
สนค้อมตัวพูดเบาๆ “สวดศพคุณราตรี ปัณณธร ลูกสะใภ้คุณหญิงเพ็ง ปัณณธร กระหม่อม”
“เมื่อไหร่”
“คืนนี้กระหม่อม”
“คงต้องไป เจ้าคุณปัณณธรเคยมีบุญคุณต่อกัน”
ท่านหญิงเดินเข้ามา แม่ผ่องอุ้มคุณชายเดียวตามเข้ามา
“แม่ผ่อง พาคุณชายเฝ้าเด็จพ่อ”
“ไม่ต้อง” ท่านชายสวนทันที
ท่านหญิงคอแข็ง ผ่องละล้าละลัง
“ชายเดียว มาหาแม่” ท่านหญิงมองหน้าคุณชาย หยิบผ้าอ้อมเช็ดน้ำลาย “ไม่ร้องไห้นะลูก” ชายเดียวหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ท่านชายไม่สนเลย “คืนนี้งานศพลูกสะใภ้คุณหญิงเพ็ง ควรจะไปด้วยกัน”
“หญิงขอโทษค่ะเจ้าพี่”
“เจ้าคุณปัณณธรเคยมีบุญคุณบางประการกับเด็จพ่อของพี่ ดูเหมือนกับเด็จพ่อของเธอด้วย จะน่าเกลียดมากถ้าไม่ไป”
“หญิงขอโทษ หญิงไม่ไป” ท่านหญิงย้ำ
ท่านชายกริ้ว กระแทกช้อนส้อมแรงๆ “ใครแนะล่ะ นังเฟือง ดี เชื่อมันเข้าไป” แล้วลุกพรวดแรงๆ ออกไป
ท่านหญิงนั่งคอแข็งอยู่อย่างนั้น
งานสวดพระอภิธรรมและบรรจุศพของราตรี คืนวันนั้น บ้านปัณณธร เปิดไฟสว่างไสวทั้งหลัง หน้าโลงศพ รูปภาพราตรี ประดับอยู่ในกรอบไม้สีดำสนิท ไม่มีทองติดตรงไหน และมีคนกราบเคารพศพอยู่ 2-3 คน แขกนั่งกันอยู่เต็ม มีแขกที่เพิ่งมาเดินเข้าดูภูมิฐาน สูงอายุ ผู้คนในงานไหว้แขกใหม่ แขกใหม่ท่านนั้นทักคุณหญิงเพ็งที่นั่งเป็นประธาน ไหว้นอบน้อม
ส่วนพจน์คอยรับแขกอยู่หน้าตึก จังหวะนี้รถคันงามแล่นมา แขกท่าทางภูมิฐานลงมากับภรรยา
พจน์ไหว้ทักนอบน้อม “เชิญขอรับคุณพระ” แล้วหันไปไหว้เมีย “คุณนาย”
รถอีกคันแล่นตามกันมา เป็นรถโบราณหรูหราเป็นมันวับ พจน์เข้าไปไหว้รับแขก เชื้อเชิญให้เข้าข้างใน
คันสุดท้ายแล่นมาจอด สนวิ่งลงมาเปิดประตู ท่านชายรังสิโยภาสลงมา พจน์เข้าไปทักทาย ท่านหญิงแขไขตามลงมา แขกที่ยังไม่ได้เข้าไปมาทักด้วย โค้งต่ำ พวกผู้หญิงก็ไหว้อย่างนอบน้อม ท่านชายท่านหญิงโก้เก๋ที่สุด
“เสียใจด้วยนะคุณพจน์”
“ขอบพระทัยกระหม่อม” พจน์ไหว้ “เชิญเสด็จข้างใน ทูลเชิญกระหม่อม”
“ขอบใจ คุณพจน์ ฉันอยากให้คิดว่าคุณราตรีเธอไปสบาย ถ้าเธออยู่ เธออาจจะไม่สบายกาย เพราะโรคภัยไข้เจ็บ คุณก็จะทุกข์ใจไปด้วย”
พจน์นัยน์ตาแดงๆ ขึ้นมา “กระหม่อม..ขอบพระทัยกระหม่อม” พจน์ไหว้อีกที
“ชีวิตของทุกคนถูกกำหนดไว้แล้วคุณพจน์”
ท่านชายเหลียวมาสบตาท่านหญิง นิ่งอยู่สักครู่ ท่านหญิงพักตร์เฉยเมย เสด็จผ่าน..เข้าตึกไป
คุณหญิงเพ็งไหว้ทักทายท่านชาย ค้อมตัวพูดด้วยกิริยาเฝ้าเจ้านาย คุณหญิงเพ็งเชิญท่านชาย
เชิญท่านหญิงประทับที่ของประธานของงาน
เวลาเดียวกันที่ในครัว จันทร์สลักผลไม้เสร็จเป็นชิ้นสุดท้าย ล้างเบาๆ ในอ่าง แล้ววางในจานใบใหญ่ที่มีผลไม้สลักเสร็จแล้ววางเต็มจาน
จันทร์หยิบผลไม้สลักสวยงาม 3-4 อย่างใส่จานใบเล็ก มีชมพู่สลักสวย มะละกอ เงาะคว้าน
ใส่สัก 3-4 จาน อ่อนหยิบจานที่จันทร์วางเสร็จใส่ถาดเตรียมเอาไปเสิร์ฟ
“ถือดีๆ นะอ่อน” จันทร์พูดเสียงเบาๆ
“ค่ะ”
“แค่นี้พอกับแขกมั้ย” จันทร์ถาม
“หนูว่าพอค่ะ”
เสียงพระสวดอภิธรรมดังมาจากในห้องสวดศพ บนตึกใหญ่
มือจันทร์หยิบผลไม้ชิ้นสุดท้าย เป็นสับปะรดที่เกลาเป็นลูกเล็กๆ แล้วหยิบลูกชุบที่สวยงามมาก วางเคียงกัน 4-5 ลูก
จานที่จันทร์จัดวางผลไม้ ใบหนึ่งอยู่ในมือท่านชาย และอีกใบในมือท่านหญิง
แขกคนหนึ่งอุทานเบาๆ “อุ้ย...ใครนะช่างสลักเสลาประดิษฐ์ประดอย สวยงามเหลือเกิน”
แขกอีกคนว่า “จะทานลงหรือไม่ เสียดาย”
พักตร์ท่านชายจ้องอยู่ที่ขนมในจานที่ทรงถืออยู่ ท่านชายนิ่งงัน ท่านหญิงเหมือนกัน เหลือบจ้องท่านชาย รู้ดีว่าท่านชายคิดถึงบุหลัน
ท่านชายหน้าสลด ท่านหญิงไม่สบายใจเลย
ฉาก 20ครัวกลางวันวันรุ่งขึ้น
ตัวละครเฟือง สน เดช สาลี่ (แม่ครัว อายุพอเห็นว่าแก่กว่าเฟือง เคี้ยวหมากหยับๆ ทำกับข้าวเก่งมากจนท่านชายติดฝีมือ จึงกล้าหือกับนางเฟือง) พิกุล (เด็กอายุ16 ปี เป็นลูกมือในครัว)
ตอนกลางวัน วันต่อมา นางเฟืองเดินฉับๆ มายังครัว ส่งเสียงมาแต่ไกล
“สน...นายสน”
“เอะอะอะไรแม่เฟือง” สาลี่ซึ่งสูงวัยกว่าถามเป็นเชิงตำหนิ
“ฉันมาหานายสน แล้วก็พูดเสียงปกติไม่ได้เอะอะอะไรนี่” นางเฟืองว่า
“แต่ฉันคิดว่าแม่เฟืองเอะอะเสียงดัง”
“อย่าหาเรื่องแม่สาลี่ ฉันไม่ได้พูดด้วยอยู่แล้ว”
“ไม่ได้พูดกะฉันก็ไปให้พ้นครัวฉัน” สาลี่ไล่
“เอ๊ะ ไม่ใช่เรื่องมาไล่ ฉันจะไปตรงไหนก็ได้”
นางเฟืองว่าพลางเดินจะเข้า สาลี่ฟาดปังตอลงเขียงอย่างแรง จนเขียงสะเทือน พิกุลเด็กสาวอายุ 16 ปี ลูกมือในครัว ที่กำลังถืออ่างใส่ผักออกมา สะดุ้งสุดตัว อ่างผักตก ผักกระจาย นางเฟืองชะงัก
“นังพิกุล ขวัญอ่อนนักรึมึง เดี๋ยวกูไล่เปิดเปิง มันอาณาเขตกูนะเว๊ย” สาลี่ด่า
พิกุลก้มหน้าก้มตาเก็บผัก
นางเฟืองแค้นแสนแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้ ตะโกนเรียก “สน...ไอ้สน ออกมานะเอ็ง ข้ารู้ว่าเอ็งอยู่”
“เฮ้ย...พ่อสนออกมาเร็วๆ มีบัญชาเรียก แล้วจะพูดอะไรกันออกไปนอกอาณาเขตของข้า ขี้เกียจรกหูเว๊ย” สาลี่แดกดัน
สนโผล่ออกมา
“ทำอะไรอยู่เรียกไม่ได้ยินเรอะ”
“ล้างชามอยู่ กินข้าวเพิ่งเสร็จ มีอะไรแม่เฟือง”
“ออกมานี่ มาพูดกันข้างนอก” สนออกมา “มีหน้าที่รับคนทำงานรึเอ็ง”
“ใคร อ๋อ พ่อเดช” สุ้มเสียงสนเหมือนยกย่อง
นางเฟืองซัก “มันมาจากไหน ทำไมมันถึงรู้ว่าที่นี่รับคนสวน”
“รู้จากไหนน่ะเหรอ”
สาลี่สอดขึ้น “รู้จากข้า มีอะไรมั้ย”
นางเฟืองด่า “สะเออะ...ท่านหญิงยังไม่รับสั่งเลยว่าให้รับคนสวนใหม่”
“แต่ท่านชายรับสั่ง” สาลี่บอก
นางเฟืองอึ้งไปอึดใจ สาลี่สับหมูสนั่นหวั่นไหว
“ทำไมเอ็งต้องบอกมันว่า..ให้ปลูกกุหลาบมอญ” นางเฟืองถามสนต่อ
“อ้าว..ก็หม่อมชอบ ปลูกออกเต็มวัง” สนว่า
นางเฟืองฉุน “เอ็ง..ไอ้สน เอ็งไม่ถวายเกียรติท่านหญิงเลย”
“ฉันก็ไม่เห็นท่านหญิงจะเสื่อมเสียพระเกียรติตรงไหน” สนแย้ง
“คนไม่ได้อยู่วังนี้แล้วต้องสนใจทำไม ในวังนี้มีท่านหญิงองค์เดียว พวกเราเป็นไพร่ก็ต้องทำให้เจ้านายพอพระทัยดีกว่าไปวุ่นวายกับคนไม่มีตัวตนแล้ว” นางเฟืองว่า
“พ่อสน พ่อก็ทูลเธอไปสิว่า พ่อถือรับสั่งท่านชาย” สาลี่แขวะ
นางเฟืองหันไปด่า “เสือก”
“วังของท่าน ท่านจะรับสั่งให้ปลูกอะไรก็เรื่องของท่าน เป็นไพร่ก็อยู่ส่วนไพร่ หรือคิดสงสารท่านซะมั่ง พักตร์ดำคร่ำเครียด หม่อมหายไปไม่รู้เป็นตายร้ายดี เขาห่วงกันทั้งวัง” สาลี่ว่า
“คนดีก็น่าห่วงอยู่หรอก” นางเฟืองแขวะ
สาลี่โมโหฟาดปังตออีกปัง “อ้าว...พูดอย่างนี้ก็สวยสิ” พร้อมกับเผ่นออกจากครัว “รู้ไงว่าหม่อมท่านไม่ดี ไม่งั้นท่านชายจะทรงรักแทบตายรึ”
“หม่อมท่าน เชอะ...มาจากไหนก็รู้ๆ กันอยู่ ไม่ต้องถือหางหรอกนังสาลี่ ถึงยังไงเขาก็กลับมาขอบใจไม่ได้”
สาลี่ สน และพิกุล ทุกคนมองแบบสงสัย
“ป่านนี้ ...เชอะ...คงกำลัง....กะไอ้ยอด ข้าไปล่ะ ไม่อยากทะเลาะกะอีพวกหมาหมู่” นางเฟืองเดินสะบัดตูดกลับไป
สาลี่ด่า “สันดานไม่เปลี่ยน หม่อมก็ไม่อยู่แล้วยังจองล้างจองผลาญ เรื่องหนีตามเจ้ายอดให้พระอินทร์ลงมาเขียวๆ ฉันก็ไม่เชื่อ หม่อมเคยพูดกะมันซักคำหรือเปล่าไม่รู้”
“ป้าลี่” พิกุลสะกิด
“อุ๊ย อะไรๆ สะกิดขอข้าวขอน้ำเหรอ นังพิกุล”
“วันที่ท่านชายเด็จไปเยี่ยมหม่อมแม่ ...วันนั้นนะ มันฝนจะตกใช่มั้ย”
สาลี่และสน เหล่พิกุล
“เออ...มันพูดถึงทำไม พ่อสนพอจะรู้เหตุผลไหม...ว่าเกี่ยวกันตรงไหน” สาลี่งงๆ
“แม่สาลี่ไม่รู้แล้วฉันจะรู้เรอะ”
“วันนั้น ใกล้รุ่งแล้ว ฉันตื่นขึ้นมา ฝนก็จะตก ฉันกลัว ได้ยินเสียง ...” พิกุลเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเล่าต่อ “ตึงตัง..ตุ้บตั้บ..ตุ้บตั้บ ...ตึงตัง”
เดชแอบฟังอยู่
“เสียงอะไรวะ” สาลี่ถามด้วยความสงสัย
“เสียงเหมือนใครลากของหนักๆ ต้องเป็นคนแน่ๆ เพราะมีเสียงดิ้นแล้วผู้หญิงร้องด้วยล่ะป้า” พิกุลว่า
“แล้วทำไมเอ็งไม่พูดก่อนหน้านี้”
“ไม่กล้า...กลัวคนว่าโกหก” พิกุลบอก
เดชได้ยินทุกอย่าง ยืนแอบๆ อยู่
อยู่มาวันหนึ่ง เฟืองมองจากที่ไกลๆ เห็นเดชนั่งที่พื้นในศาลาท่าน้ำ กำลังเพ็ดทูลท่านชาย ท่าทีกิริยาคล้ายๆ กำลังวางแผนบางอย่าง
ท่านชายฟัง พยักหน้าน้อยๆ ท่าทางครุ่นคิด
นางเฟืองมองจ้องเพ่ง แล้วมีท่าทีประหลาดใจ เมื่อเห็นพิกุลเดินมา แล้วคลานเข้าไปหมอบ จากนั้นเดชถาม พิกุลตอบ แล้วเป็นท่านชายถาม พิกุลตอบ
นางเฟืองสงสัยยิ่งนัก
ตรงลานอาบน้ำของพวกบ่าวไพร่ในวัง เห็นตุ่มน้ำหลายๆใบ ตั้งเรียงกัน สาลี่กับพิกุลตักน้ำอาบคุยกันไป เบาๆ สาวๆ อีก 2 คน บ่าวในวัง ตักน้ำอาบเล่นสาดกัน หัวเราะกันเกรียวกราว
“เอ็งก็ระวังตัวให้ดีๆ นังพิกุล สงบปากสงบคำไว้ ถ้าแม่เฟืองเขามาซักมาถามเอ็ง เอ็งก็ต้องปิดปากให้สนิท” สาลี่เตือน
“ไม่ต้องกลัวป้าลี่ ฉันรู้หรอกน่า”
“หนอย อวดเก่ง เขาน่ะไม่ใช่ขี้ไก่นะเว๊ย ลูกล่อลูกชนเอ็งน่ะปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่ทันเขาหร็อก” สาลี่ว่า
“ฉันก็ทูลท่านชายสิ้นเรื่อง ท่านชายบอกให้ทูลทุกอย่าง สงสัยอะไรก้อ” พิกุลอวดเก่ง
“กว่าจะเปิดปากทูล เอ็งจะตายเสียก่อน” สาลี่บอก
ผ่องลอบฟังอยู่หลังตุ่มอีกใบ
พิกุลแยกกับสาลี่ เดินมาหน้าห้อง จู่ๆ มือนางเฟืองขยุ้มหัวลากร่างเซหลุนๆ ไป
“โอ๊ย...โอ๊ย อะไรกันเนี้ย” มือนางเฟืองตะปบปากหมับทันที
“อย่าร้องนะ ถ้าร้องกูเอามึงตาย”
พิกุลส่ายหน้า อึกอักว่าไม่
“ไม่ร้องแน่นะมึง”
พิกุลพยักหน้าหงึกๆ
พอนางเฟืองยอมปล่อย พิกุลก็แหกปากเสียงดังลั่น ลุกพรวด ผลักนางเฟืองก้นจ้ำเบ้า
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” เสียงพิกุลจางลงจนเงียบไป
“อีนังพิกุล มึงไม่ตายก็ไม่ใช่กู”
นางเฟืองลุกขึ้นเดินพรวดไปเผชิญหน้าผ่อง สองจ้องกันสักครู่ เหมือนจะมีเรื่องกัน
“นังผ่อง ได้เรื่องมั้ย” ที่แท้นางเฟืองให้ผ่องไปสืบเรื่องให้
“ได้สิพี่ ฉันจะบอกให้ นังพิกุลมันอวดดีกะพี่เพราะท่านชายทรงให้ท้ายมัน” ผ่องว่า
“กูนึกแล้ว ท่านชายกับไอ้เดช นังพิกุล กำลังทำอะไรกัน”
คุณหญิงเพ็งเดินนำมาในห้องอาหาร ละเมียดกับอ้อยเดินตาม
“มีอะไรกินวันนี้” คุณหญิงถาม
“ข้าวแช่ค่ะ” ละเมียดเปิดฝาชี เผยให้เห็นสำรับชุดข้าวแช่สวยงามมาก และน่ากินมาก
“นี่น่ะหรือข้าวแช่ยายสำเนียง” คุณหญิงหยิบกระชายที่แกะเป็นดอกจำปีขึ้นมอง “ต่อให้ยายสำเนียงตายแล้วเกิดใหม่ก็ทำไม่ได้ ฉันยืนยัน...ใครทำละเมียด”
“ผู้หญิงที่มาจากน้ำค่ะ...แม่จันทร์”
คุณหญิงเพ็งตักลูกกะปิใส่ปาก
“ข้าวแช่สำคัญที่ลูกกะปิ อืมม์...ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาละเมียดไม่ธรรมดาจริงๆ ฉันอยากรู้จริงว่าเป็นใครกันแน่”
วันหนึ่ง ยอดก้มหน้าพูดอยู่กับจันทร์ ตรงบริเวณหลังบ้าน มุมลับตาคน
“ผู้คนสงสัยกันเต็มทีแล้วครับว่าหม่อมเป็นใคร มาจากไหน”
“ฉันรู้”
“หม่อมจะทำยังไงต่อไปครับ”
“ยอด ฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเลยนะ ตัวคนเดียวในโลก เกิดมามีป้าบัวคนเดียว พอป้าตายฉันก็หมดหนทางไป”
“หม่อมมีคุณหญิง”
“ใช่ เธอเป็นลูกชาติลูกตระกูล ฉันจะมีปัญญาอะไรที่จะเลี้ยงเธอให้มีศักดิ์ศรีสมกับชาติกำเนิดของเธอ” จันทร์สะอื้นขึ้นมาเต็มอก น้ำตาไหลพรากๆ หันข้างให้ยอดพยายามซับน้ำตาให้แห้ง
“หม่อมครับ อยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ จะได้มั้ยครับ”
“ฉันไม่รู้นะยอด เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเรา ต้องมาเลี้ยงดูเราตั้งสามชีวิต”
“ผมดูท่าน...ทั้งคุณหญิงทั้งคุณพจน์ดูมีเมตตาอยู่” ยอดว่า
“ท่านยังไม่ได้พูดอะไรทั้งคู่ งานศพเพิ่งเสร็จ เราคงต้องรอ”
ยอดหน้าเสีย
“ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่” จันทร์พึมพำ
ยอดนิ่งคิดหาทางออก
วันต่อมา ในสวน ช่วงตอนกลางวัน แดดร้อนเปรี้ยง เห็นยอดโหมขุดดินอย่างไม่รู้เหนื่อย จากนั้นก็ปลูกต้นไม้อย่างตั้งใจ ออกแรงมาก เสร็จแล้วจึงตักน้ำมารดต้นไม้อย่างขันแข็ง ส่วนอีกวันหนึ่ง ยอดตัดหญ้าด้วยกรรไกร เงยหน้าดูพระอาทิตย์ ร้อนปาดเหงื่อ
ละเมียดอยู่ในตึกมองดูยอดโหมทำงานอยู่ทุกวันๆ
2 - 3 วันต่อมา จันทร์ง่วนอยู่ในครัว สลักฟักเป็นลวดลายสวยงาม เสร็จแล้วจึงสลักแตงกวา และมะม่วงเป็นใบไม้
จากนั้นจันทร์ร้อยมาลัยจนเสร็จชูขึ้น เห็นเป็นตัวกระแตเกาะกิ่งไม้สวยงาม
อีกวันต่อมาจันทร์ คว้านลูกสละ วางในน้ำเชื่อม
และสละลอยแก้วชามนั้นวางอยู่บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำ ตรงหน้าคุณหญิงเพ็ง
“สละลอยแก้ว...” คุณหญิงเพ็งมองละเมียด “แม่จันทร์ใช่มั้ยละเมียด”
“ใช่ค่ะ คุณหญิง”
เวลาเดียวกัน ช่วงค่ำๆ จันทร์แวะมาดูยอดที่นอนเจ็บเหมือนคนหมดแรงอยู่ในห้องพัก
“ทำไมถึงโหมทำงานจนเจ็บ” จันทร์วางถ้วยยาหม้อลง “ฉันเพิ่งรู้”
“ท่านจะได้ให้อยู่ ถ้าเราอยู่แบบไม่ให้ท่านเสียข้าวสุก เลี้ยงเราเปล่าๆ” ยอดว่า
“ยอด...ยอดโหมงานหนักจนเจ็บเพราะเหตุนี้หรือ” จันทร์รู้สึกสงสาร
“เราต้องอยู่ที่นี่ครับหม่อม หม่อมไม่รู้จะไปไหน ผมยิ่งแย่กว่าผมไม่มีทางไปไหนเลย หม่อมกลับวังก็ได้ถึงยังไงคุณหญิงก็เป็นลูกท่านแต่ผมกลับไปต้องติดตะรางแน่ๆ”
พจน์ คุณหญิงเพ็ง และฉัตต์ ทานอาหารด้วยกัน มีละเมียดคอยดูแล
“เจ้าใบ้ไม่สบายทำงานจนเจ็บ ขยันมากค่ะเท่าที่เห็น” ละเมียดรายงานเรื่องยอด
“พ่อพจน์ว่าไงลูก ให้อยู่ก็ไม่เสียข้าวสุกนะลูก” คุณหญิงว่า
“ผมไม่มีความเห็นครับคุณแม่ ให้อยู่ก็ได้ไม่ให้อยู่ก็ได้”
ฉัตต์เหลือบมองพ่อแวบหนึ่ง ด้วยสายตาสงสาร พจน์หน้าเซียว ซูบซีด ไม่สบายใจ
“พ่อพจน์” คุณหญิงเพ็งส่ายหน้า พยักหน้าให้มองฉัตต์
ฉัตต์หน้าหมองเศร้า นั่งเขี่ยข้าวเล่น
“เอาล่ะ ละเมียดพรุ่งนี้เรียกทั้งสองคนมาหาฉัน จะได้มอบหมายงานให้ทำ เป็นอันว่าให้อยู่ที่นี่ได้ทั้งสามคน”
ฉัตต์ไม่พอใจ และแค้นใจ ลุกขึ้นดันเก้าอี้แรงๆ จนดันออก
“ฉัตต์...กิริยาไม่ดีเลยลูก” ผู้เป็นย่าเอ็ด
ฉัตต์หันมาหน้าเข้ม “มันทำแม่ของฉัตต์ตาย คุณย่ายังให้มันอยู่ คุณย่าไม่เกลียดแต่ผมเกลียด”
คืนต่อมา จันทร์อยู่ในห้องที่เรือนเล็ก กอดลูกสาวแนบอก “คุณหญิงวิมลโพยมของแม่ แม่พาคุณหญิงกลับไปเฝ้าท่านพ่อไม่ได้ อันตรายคอยเราอยู่ เราสองคนไม่รอดตายแน่ๆ เราต้องอยู่ที่นี่นะลูก ถึงแม้ลูกจะอยู่ในฐานะลูกบ่าวในบ้านนี้ แต่แม่จะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีสมศักดิ์ศรีของหม่อมราชวงศ์หญิงแห่งสกุลรังสิยา” จันทร์หรือบุหลันมองหน้าลูก น้ำตาหยดเผาะ เสียงกระซิบแผ่ว
“ต่อไปนี้ชีวิตของแม่เป็นของลูกนะ คุณหญิงลูกแม่”
วันนั้นเดชนั่งอยู่ตรงหน้า โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของท่านชาย รายงานเรื่องที่ไปสืบมา
“คุณหลวงท่านส่งคนตามไปบ้านพ่อแม่ของทั้งสองคน แจ้งมาว่าทั้งสองคนไม่ได้กลับบ้าน”
“แปลว่าเรารู้ตัวไอ้ผู้ร้ายแล้ว แต่เอาโทษอีคนบงการไม่ได้งั้นเหรอ”
“พระทัยเย็นกระหม่อม ทุกอย่างต้องมีหลักฐาน ต่อให้พบทั้งสองคนและมันสองคนคายออกมาทุกอย่าง กรณีอย่างนี้เราก็เอาผิดนางเฟืองไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐาน”
ท่านชายคำราม “อีเฟือง กฎหมายลงโทษมึงไม่ได้ แต่กูนี่แหละจะเป็นคนลงโทษมึงเอง”
“คุณหลวงวิเศษ ส่งคนออกตามหาไอ้แคล้วกับไอ้ยอดจนจะพลิกแผ่นดิน” เดชว่า
“ไอ้ยอดไม่รู้ แต่ไอ้แคล้วมีบ่อนที่ไหนก็มีมัน ตามมันที่บ่อน ต้องใช้เงินเท่าไหร่มาเอาไป”
ที่บ่อนแห่งหนึ่ง ขาพนันกำลังแทงโปกันอย่างเฮฮา พอเจ้ามือเปิดถ้วยก็เฮลั่น แคล้วเป็นหนึ่งในนั้น แต่เสียตลอดเวลา เริ่มหงุดหงิด จนพาลคนยืนข้างๆ ผลักอกแรงๆ
“มึงมองอะไร...หา วอนเสียแล้ว”
แคล้วเดินมาหาชายคนหนึ่ง เจ้าของบ่อนและเจ้าหนี้ของมันนั่นเอง
“ขออีกหน...อีกห้าสิบ” แคล้วต่อรอง
“รวมเป็นสองร้อย ให้เวลาอาทิตย์เดียวนะ ถ้าภายในอาทิตย์หนึ่งไม่มีเงินวางสองร้อย แกเตรียมตัวตาย” เจ้าหนี้ขู่
เดชยินได้ยินทุกอย่าง
เดชนั่งรายงานต่อหลวงวิเศษ และท่านชายรังสิโยภาส อยู่ที่บ้านหลวงวิเศษ
“หมดตัวไม่ช้า มันต้องกลับไปหานังเฟือง” หลวงวิเศษพอใจ
“จับให้ได้คาหนังคาเขา หาไม่แล้วคนอย่างนังเฟืองไม่ยอมรับสารภาพหรอก มันเลวระยำอีนังคนนี้”
“เดช...คอยดูนังเฟืองอย่าให้คลาดสายตา” หลวงวิเศษกำชับ
เสียงคุณชายเดียวร้องจ้าดังมาจากในห้อง นางเฟืองเดินกระวีกระวาดเข้ามา ท่านหญิงออกมา ผ่องอุ้มชายเดียว เดินตามมา
“เฟือง ชายเดียวร้องไม่หยุดเลย ตัวรุมๆ สงสัยจะเป็นไข้”
“ให้หม่อมฉันตามหมอนะมังคะ”
“หญิงจะพาไปหาเจ้าพี่”
“โธ่เอ๋ย ไม่ทรงเข็ด” นางเฟืองบ่น
ท่านหญิงเดินไป ผ่องตาม นางเฟืองตามไปด้วย เคาะประตู ท่านหญิงรับคุณชายมาจากผ่องเดินเข้าไปในห้องทำงานท่านชาย
“ท่านชายไม่เคยดูดำดูดี..นี่ก็คง..เหมือนเดิม อุ้มซักหนยังไม่เคย” ผ่องว่า
“พระทัยดำ เพราะมัวแต่คิดถึงอีนังตัวมาร” นางเฟืองกัดฟันพูด
ขาดคำท่านชายเปิดประตูแล้วเบี่ยงตัวให้ท่านหญิงอุ้มคุณชายออกมา เห็นนางเฟืองจ้องสายตาเข้มจัดท่านหญิงหน้าอึดอัดมาก
“ดูแลกันเอง จะไปหาหมอให้สนพาไป หรือจะตามหมอก็ให้สนไปตาม”
ท่านหญิงไม่พูดเดินไปทันที ผ่องตาม นางเฟืองจะตาม แล้วชะงัก
“นังเฟือง”
นางเฟืองลงหมอบ ท่านหญิงหยุดเหลียวมามอง
“กูขับมึงออกจากวังไม่ได้ เพราะมีคนคุ้มกะลาหัวมึงอยู่ อยู่ได้ แต่อย่าให้กูเห็นหน้า ตรงไหนเป็นที่ของกูมึงอย่ามาเหยียบ เพราะแม้แต่รอยตีนมึงกูก็รังเกียจ”
นางเฟืองกัดฟันจ้องหน้าท่านชาย
“อย่ามามองกูอย่างนี้นะ อีนังไพร่” ท่านชายคว้าอะไรตรงโน้นปาเต็มแรงเกิด “ไป”
ของไม่ถึงกับหนักนัก เป็นแจกันไม้ใบเล็กๆ ที่วางไว้บนโต๊ะหน้าห้อง แต่ถูกหัวเฟืองอย่างจัง เลือดไหลที่ขมับเป็นทาง
“เฟืองไม่ต้องขึ้นมาบนตำหนักอีก หญิงจะลงไปหาเฟืองเอง”
“หม่อมฉันมีหน้าที่ดูแลท่านหญิง หม่อมฉันจะขึ้นมาเฝ้าอย่างที่เคย” พูดจบก็ลุกเดินไปทันที
ท่านชายโกธรจนตัวสั่น “ระวังเถิดหญิงแขไข เธอเลี้ยงงูพิษไว้กับตัว วันหนึ่งมันจะแว้งกัดเธอ” ท่านชายตะโกนตาม “มึงลองขึ้นมาสิ เลือดหัวมึงจะออกมากกว่านี้”
นางเฟืองเดินร้องไห้มือกุมหัวมาตามทางเดินที่มีต้นไม้หนาทึบหลังตำหนัก เสียงร้องไห้สั่นสะท้านบาดใจ ด้วยความแค้นแล้วชะงัก เมื่อเห็นเดชนั่งยองๆ อยู่ข้างทาง
“นั่นใคร”
“ฉันเอง” เดชลุกขึ้นเห็นหน้าชัดๆ
“มานั่งทำไมมืดๆ ทำอะไรอยู่”
เดชเปิดสวิทไฟฉายทันที ส่องเข้าตานางเฟืองเต็มๆ
“ไอ้บ้า ส่องไฟเข้าตากูทำไม” นางเฟืองด่า
“ฉันมาดักจับแมลง”
นางเฟืองจ้องหน้าค้นหาความจริง เดชสู้ตา แล้วค่อยๆ ทำท่าหาตัวแมลงอย่างกวนประสาท
“ไปให้พ้นจากตรงนี้... ไป๊”
เดชทำท่ากลัว ทำตัวสั่นงกๆ เดินไป นางเฟืองออกเดินต่อ
“ป้า” เสียงคุ้นหูดังมาจากทางหนึ่ง
นางเฟืองสะดุ้งสุดตัว หันขวับไป
“ไอ้แคล้ว!”
อ่านต่อตอนที่ 2