xs
xsm
sm
md
lg

แค้นเสน่หา ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โปรดทราบ : เพื่อให้นิยายจากบทโทรทัศน์เรื่อง "แค้นเสน่หา" เข้าใจง่าย และสะดวกต่อการเรียบเรียง ทีมงานจึงขอสงวน "คำราชาศัพท์" ไว้เฉพาะ ในบทสนทนาของตัวละคร เท่านั้น!

แค้นเสน่หา ตอนที่ 2

ขณะที่นางเฟืองตกใจอยู่นั้น แคล้วเดินเข้ามาทักทายหน้าเครียด

“ใช่ ฉันเอง รอตั้งนาน ยุงจะหามอยู่แล้วป้า”
“แล้วมึงมาทำไม กูบอกแล้วไม่ให้มึงกลับมาอีก”
แคล้วสารภาพ “ฉันหมดตัวแล้วป้า ขอกลับมาทำงานใหม่ได้มั้ย”
“ไม่ได้” นางเฟืองตอบทันควัน
“อ้าวป้า มีเยื่อใยกันหน่อย นี่หลานนะ เวทนาฉันเถอะ”
“งานของมึงมีคนทำแทนแล้ว” แคล้วมองเหล่ๆ เหมือนไม่เชื่อ “กูไม่ได้โกหก ท่านชายทรงรับไว้เอง”
“งั้นฉันทำแทนไอ้ยอด” แคล้วว่า
“หยุด...อย่าเอ่ยชื่อไอ้ยอด”
“ทำไม” แคล้วงง
“คนในวังตอนนี้รู้ว่าไอ้ยอดพาอีบุหลันหนี แคล้ว เอ็งไปหางานใหม่ดีกว่าเชื่อป้านะ” นางเฟืองพูดดีๆ ด้วย เป็นเชิงขอร้อง
“หาแล้ว...ไม่มี”
นางเฟืองชักของขึ้น “กูไม่เชื่อ ตอนกูให้เงิน มึงบอกจะกลับบ้านนอกไปทำงานตั้งตัว แล้วมึงกลับรึเปล่า ก็เปล่า เอาแต่กินเหล้าเข้าบ่อน เงินมันถึงหมดเร็วแบบนี้กูรู้นะ”
“ขออีกครั้งเดียว แล้วคราวนี้จะหายหัวไปจริงๆ ไม่กลับมาแล้ว”
“กูจะเอาที่ไหนให้ เฟื้องเดียวก็ไม่มี”
แคล้วนิ่งอึ้งไป อารมณ์โมโหมาเป็นริ้วๆ
“นี่ป้า ถ้าฉันไม่จนตรอกฉันไม่มาหรอก เสี่ยงแค่ไหน ถ้าเกิดมีคนเห็น มาถามฉันว่ามาทำไม เกิดฉันพูดผิดพูดถูกวกไปพูดเรื่องหม่อมกับไอ้ยอด ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่จะเข้าปิ้ง ป้าก็จะพลอยไปด้วย”
“มึงขู่กูเหรอไอ้แคล้ว” นางเฟืองโกรธ
“โธ่เอ๊ย ทำยังงั้นฉันก็เนรคุณป้าน่ะสิ แค่ให้ป้าช่วยหน่อย อีกหนเดียว แล้วฉันจะไปเหมือนตายจากกันยังไงยังงั้นเลย”
“กูไม่มีเพราะให้มึงไปหมดแล้ว เอางี้ วันหลังมาใหม่ กูจะขอประทานจากท่านหญิงให้”
“อย่าให้ฉันโมโหนะป้า วันหลังๆ น่ะ เมื่อไหร่กัน ฉันไม่ได้กินเหล้าเปรี้ยวปากจะลงแดงตายอยู่แล้ว มีเท่าไหร่เอามาก่อน เงินไม่มีเอาของมาก็ได้” นัยน์ตาแคล้วเป็นประกายวาบขณะมองมายังนางเฟือง ด้วยเห็นสายสร้อยคอทองคำเส้นเขื่อง แลบจากคอของนางเฟือง
“สายสร้อยไงป้า...เข็มขัดนากป้าก็มีใช่มั้ย ให้ฉันยืมก่อน” แคล้วรุกหนัก จะเอาให้ได้
“ไอ้เวรแคล้ว กูไม่ให้ สายสร้อยเส้นนี้ หม่อมแม่ท่านหญิงประทานให้กู กูไม่เคยถอดจากตัว”
“แต่วันนี้ป้าต้องถอดให้ฉัน” แคล้วเข้ามาประชิดตัว
นางเฟืองผลักแคล้วกระเด็นไป “ให้มึง กูก็ไม่มีวันได้คืน เอาเถอะ จะขอท่านหญิงไว้ให้มึงกลับมาอีกทีแล้วกัน”
“ฉันรอไม่ได้” แคล้วฮึดฮัด “เจ้าหนี้มันรอฉันอยู่ ไม่ได้เงินมันเอาฉันตาย ถอดมาเถอะป้า”
“อย่าเข้ามานะไอ้แคล้ว” นางเฟืองถอยกรูด
“ป้า ขอดีๆ อย่าให้ต้องลงไม้ลงมือ ป้ามีบุญคุณกับฉัน อย่าให้ฉันเนรคุณเลย ฉันไม่อยากทำ คิดดู ถ้าท่านชายท่านหญิงทรงรู้ว่าที่จริงแล้ว ป้าเป็นตัวการใหญ่…”
แคล้วพูดยังไม่ทันจบประโยค
นางเฟืองสวนออกมาทันที “กูผิดมึงก็ผิด”
“ฉันก็ยอมรับผิด อย่างมากติดคุกไม่เท่าไหร่ แต่ป้าสิไม่ประหารก็ตลอดชีวิต ป้าคิดเองลงมือเองทั้งนั้น”
นางเฟืองถอยมาจนชนเรือนกล้วยไม้ ตรงนั้นมีเครื่องมือทำสวนวางเกลื่อนอยู่ ขณะถอยมานั้นเท้านางเฟือง สะดุดกับเสียมอันเขื่อง จนตัวคะมำจะล้ม
แคล้วกระโดดเข้ามาจับตัวเฟืองสะบัด แคล้วจับ สองคนต่อสู้กันไปมา
นางเฟืองเถียงกับแคล้ว อย่างระมัดระวังเสียงไม่ดังมาก พูดขู่ ด้วยเสียงต่ำๆ เข้มๆ กลัวคนอื่นมาได้ยิน
“มึงจะทำอะไรกูไอ้แคล้ว”
แคล้วกระซิบข้างหู “ให้สร้อยฉัน แล้วทูลท่านหญิงว่าทำหาย ท่านคงประทานเส้นใหม่อาจจะใหญ่กว่าเส้นนี้”
“จริงของเอ็ง ก็ได้ เอ็งปล่อยข้าก่อน”
“อย่าเล่นตลกอีกล่ะป้า” แคล้วไม่วางใจ
“เออ...” นางเฟืองปลดสร้อย “เอาไปแต่สร้อยนะ”
“โธ่ป้า ไหนๆ ให้แล้วก็ให้ให้หมดเลยดีกว่า ไหนป้าว่าท่านหญิงมีพระเก่าๆ เยอะ”
“มึงมันเห็นแก่ได้ไอ้แคล้ว ชาตินี้อย่าให้กูได้เจอะเจอมึงอีกเลย เอ้า เอาไป”
แคล้วยกมือไหว้ท่วมหัว รับสร้อยไป
“ฉันสัญญาไปแล้วจะไปลับ แล้วฉันจะไม่ปากโป้งพูดความลับของป้าเป็นอันขาด” ปากบอกแต่นัยน์ตาแคล้ววาววาบ หน้าตาเจ้าเล่ห์
นางเฟืองหรี่ตามองแคล้ว รู้ดีว่าคนอย่างมันไม่มีวันรักษาสัญญา
“ป้า ไปนะป้า” แคล้วไหว้ลาแล้วเดินจากไป พร้อมกับหัวเราะเสียงบาดใจ
นางเฟืองหายใจหอบสั่น จ้องตามหลัง แล้วเดินตามมันไป เท้าไปสะดุดจอบอันใหญ่อีกอันหนึ่ง
แคล้วเดินโคลงเคลง หัวเราะกวนประสาท
เสียงเฟืองเรียกดังขึ้น “ไอ้แคล้ว”
แคล้วชะงัก หยุดเดิน หันกลับมา เห็นนางเฟืองยืนจังก้า มือถือจอบกระชับมั่น
“เฮ้ย อย่านะป้า” แคล้วร้องเสียงดัง
จังหวะนี้เดชเพิ่งจะได้ยินเสียง เดินพรวดมา
“กูจะเอามึงไว้ทำไม” นางเฟืองเงื้อจอบ
แคล้วหันหลังวิ่งหนี
“มึงอย่าหนี”
เดช พุ่งตรงเข้ามาใกล้อีก
แคล้ววิ่งพลางหันหลังไปดู โดนจอบฟาดเข้าเต็มหน้า
เดชโผล่พรวดเข้ามาเห็นพอดี แต่นางเฟืองไม่เห็นเดช
นางเฟืองกระหน่ำฟาดซ้ำ..1...2..3 เหมือนคนบ้าคลั่ง ก่อนจะโยนจอบทิ้งไป
“ช่วยด้วย ขโมย ช่วยด้วยจ้า...”

เวลาต่อมาสนวิ่งพรวดเข้ามาในตำหนักใหญ่ แล้ววิ่งขึ้นบันไดไปถึงชั้นบน วิ่งข้ามโถงไปหน้าห้องท่านชายรังสิโยภาส
เห็นท่านหญิงแขไขเจิดจรัสเดินออกมา มีผ่องอุ้มคุณชายศักดินาตามมา จากห้องๆ หนึ่ง
สนเคาะประตู “ท่านชาย ท่านชายกระหม่อม เกิดเรื่องใหญ่แล้วกระหม่อม”
ท่านชายเปิดประตูออกมา “อะไรกันสน”
“ขโมยเข้าวังกระหม่อม ถูกตีอยู่ที่ทางไปเรือนบ่าว”
“อะไรนะ ทำไมต้องตีมัน จับตัวไม่ได้เหรอ คนออกเต็มวัง” ท่านชายฉงน
“มันกระชากสร้อยแม่เฟืองกระหม่อม” สนทูล
ท่านหญิงตกใจ ผ่องก็ตกใจ
ท่านชายหยุดเดินทันที “แล้วไง” ตรัสเสียงเย็นชา
“แม่เฟืองสู้ เอาจอบฟาดหัว”
ท่านหญิงปิดปาก ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
ท่านชายรู้แล้วว่าแผนการณ์ได้ผล พึมพำในคอ “ในที่สุดมันก็มาจริงๆ”
จากนั้นท่านชายเดินเร็วๆ ออกไป “นังคนนี้มันตัวเวรตัวกรรมแท้ๆ” เห็นท่านหญิงทำท่าจะตาม ท่านชายส่งเสียงเอ็ด “ไม่ต้องไป ไม่ใช่เรื่อง”
“เฟืองเป็นยังไงบ้างสน”
ท่านชายชำเลืองมองสีพระพักตร์ขุ่นมัว แล้วเดินเลยออกไป สนตามไปจนลับตัว
ท่านหญิงหันพระพักตร์มาทางผ่อง “ผ่อง ฉันอยากรู้มีเรื่องอะไร ผ่องตามไปดู”

ที่ข้างเรือนกล้วยไม้เวลานั้น เดชก้มหน้าอยู่กับร่างแคล้วที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ตรวจดูไปทั่วๆ
ท่านชายเดินมาเร็วๆ เรียก “เดช” ขณะผ่านคนในวังที่ออกันอยู่
“กระหม่อม”
ท่านชายมาจนใกล้ “ตายมั้ย”
“น่าจะตายแล้วกระหม่อม
“ถูกตีหรือ”
“แม่เฟืองฟาดเข้าที่หน้าด้วยจอบอันนั้นกระหม่อม แล้วตีซ้ำอีก 2-3 ที กระหม่อมเข้ามาเห็นพอดี”
“เห็นกำลังตีหรือ ตีแล้วมันทำยังไง”
เดชเล่าว่า ตอนเข้ามาเห็นนางเฟืองก้มลงหยิบสายสร้อยจากมือแคล้วที่นอนคว่ำหน้าอยู่ แต่ก็ต้องโยนใส่มือแคล้วอย่างเสียดาย
“มันเห็นแกรึเปล่า” ท่านชายถาม
เดชเล่าว่าตนแอบเข้าบังเสา จังหวะที่นางเฟืองร้องเสียงดังว่า ขโมย...ขโมย แต่ท่าทางไม่มีพิรุธ ร้องจริง กลัวจริง แต่ไม่เห็นเดช
“ไม่เห็นใช่มั้ย...ดีแล้ว มันไปไหนแล้วล่ะ”
“แกร้องอยู่สักครู่กระหม่อม. . . แล้วแกก็...”
เดชเล่าต่อว่านางเฟืองกระโจนไปทางออกเรือนกล้วยไม้ สนเข้ามานางเฟืองชนสนกระเด็นไปนั่งกันจ้ำเบ้า แล้วนางเฟืองก็วิ่งเตลิดไป
ท่านชาย มองเดชอย่างรู้ทัน เดชมองด้วยสายตาเดียวกัน
“มันมาอย่างที่คิดจริงๆ” เสียงท่านชายแผ่วเบา
“ต้องทอดเนตรเอง กระหม่อมไม่รู้จักนายแคล้ว” เดชทูล
เดชพลิกตัวแคล้วที่นอนคว่ำหน้าให้หงายขึ้น ท่านชายเพ่งมอง สีหน้านิ่งจนน่ากลัว
เดชกระซิบถาม “ท่านชายกระหม่อม”
ท่านชายตรัสเบาๆ “ใช่มัน..ไอ้แคล้ว...เดชดูซิมันตายมั้ย”
ท่านชายทำเสียงผิดหวัง สีพระพักตร์เคร่งเครียดจัด
“ทำยังไงดี มันผิดแผนไปหมด”
“กระหม่อมดักอยู่ว่าจะเข้ามาจับ ตอนมันพูดกับแม่เฟือง แต่ไม่ทันจนได้” เดชทูล
“ให้สนไปตามตำรวจมา”
ท่านชายลุกขึ้นประกาศ
“ขโมยตายแล้ว ทุกคนกลับไปห้องตัวเอง”
คนในวังรีรอ ๆ มีผ่องรวมอยู่ด้วย
“ขโมยที่ไหนก็ไม่รู้ อดโซเต็มที..ไปกลับไปห้อง เดี๋ยวตำรวจจะมารับศพไป”

ท่านหญิงแขไขประทับอยู่ตำหนักชั้นบนขณะฟังผ่องรายงาน ตกพระทัยมาก
“ตายเหรอ ผ่อง”
“มังคะ พี่เฟืองตีมันจนตาย”
“จริงหรือ ตายเชียวหรือ รู้มั้ยมันเป็นใคร”
“ไม่ทราบมังคะ ท่านชายรับสั่งว่าขโมยอดโซมังคะ”
“เฟืองอยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บมั้ย มันทำอะไรเฟืองรึเปล่า”
“พี่เฟืองเสียใจมาก หลบอยู่ในห้องมังคะ”
“ท่านชายล่ะ”
“ท่านชายเสด็จโรงพยาบาลมังคะ”
ท่านหญิงฉงน “เด็จโรงพยาบาล เด็จไปทำไม”
“ไปกับศพ...”
“เจ้าพี่น่ะหรือ ไปกับศพ” สีพระพักตร์ท่านหญิงฉงนหนัก

ที่ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล ท่านชาย หลวงวิเศษ และเดช สามคนกำลังปรึกษากันเคร่งเครียด
“มันไม่น่าตายเลย” ท่านชายตรัส
“แกน่าจะได้ยินที่มันคุยกับนางเฟือง” หลวงวิเศษว่า
“กระผมได้ยินเสียงแว่วๆ เข้าไปถึงนางเฟืองกำลังฟาดด้วยจอบหลายที”
ร่างแคล้วนอนอยู่บนเตียง หมอกำลังชันสูตร เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดูอยู่ด้วย ตำรวจสองคนยืนคอยอยู่
หมอจับชีพจร ดูเปลือกตา แล้วหันขวับมาทางท่านชาย
หลวงวิเศษแปลกใจ “มีอะไรเหรอหมอ”
“เขายังไม่ตายครับ ชีพจรอ่อนมากแต่ยังไม่ตายครับ”
มือแคล้วกระดิกนิดๆ
“หมอครับ” เจ้าหน้าที่ชี้ให้ดู
ทุกคนลุกมาดู มือแคล้วกระดิกมากขึ้น

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส พร้อมด้วยพิกุล อยู่หน้าห้องนางเฟือง มือท่านหญิงเคาะประตูห้อง เบาๆ
“ไม่ตอบเลยมังคะ หม่อมฉันเรียกตั้งหลายหนแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืน” พิกุลกระซิบกระซาบ
ท่านหญิงเคาะอีก ดังขึ้นนิด
เสียงเฟืองแหวออกมา “นังพิกุล เดี๋ยวเถอะมึง กูบอกแล้วว่าอย่ามากวน”
“ป้าเฟือง ท่านหญิงเด็จ”
“เฟืองจ๋า หญิงเอง” ท่านหญิงยกมือห้ามพิกุล
นางเฟืองเปิดประตูออกมา หน้าตาทรุดโทรม ผมเผ้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาช้ำเพราะอดนอน
“โถ เฟือง ได้นอนมั่งหรือยัง” ท่านหญิงเดินเข้าห้องมา แล้วนั่งบนพื้นห้อง
“ท่านหญิงไม่น่าเสด็จลงมาเลยมังคะ” นางเฟืองหมอบกราบ “สกปรกมังคะ” จะหยิบผ้า แต่ถูกห้าม
“ไม่ต้องอย่าวุ่นวาย เฟืองไม่เจ็บใช่มั้ย ขโมยมันทำอะไรเฟืองรึเปล่า”
“มันโดนหม่อมฉันเล่นงานก่อนมังคะ เล่นกับใครไม่เล่นมากำแหงกับหม่อมฉัน” สีหน้านางเฟืองขณะพูดดูเหี้ยมโหดสะใจ
“เฟือง” ท่านหญิงฉงนนิดหน่อยกับสีหน้านั้น “รู้มั้ยว่ามันตายแล้วนะ เขาเอาศพไปแล้ว”
นางเฟืองนิ่งไปนิดหนึ่ง ใจหายนิดหน่อย แต่สีหน้ากลับปกติ
“มันกระชากสร้อยพระหม่อมฉัน หม่อมฉันเลยใช้พลั่วตีมันมังคะ”
“ไม่น่าห่วงของนอกกายเลย เฟืองเห็นหน้ามันรึเปล่า”
“ไม่เห็นเพคะ มืด นัยน์ตาหม่อมฉันไม่ดี”
“เฟืองไม่เป็นไร หญิงก็สบายใจ คนมันทำชั่วกรรมก็ตามสนอง” ท่านหญิงขยับตัว “วันนี้เฟือง ไม่ต้องขึ้นไปหาหญิงก็ได้ หญิงจะให้พิกุลยกข้าวมาให้”
“โถ ทูนหัว ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันหายตกใจแล้ว”
ท่านหญิงลุกขึ้นเดินออกไป พิกุลตามไปด้วย นางเฟืองลุกขึ้นเดินเหินกระปรี้กระเปร่า คิดในใจ
“ไอ้แคล้ว มึงไม่มีวันชนะกู ต่อให้มึงเป็นผีกลับมากูก็จะจับมึงยัดใส่หม้อถ่วงน้ำ คอยดู ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่ะ”

นางเฟืองอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เดินลอยชายจะไปตำหนัก สบตากับเดช ที่นั่งขุดดินอยู่ ชะงักสายตาเดชที่มองมา
“มึงมองอะไรกู ไอ้เดช”
“เปล่า...” เดชหลบตา
“มึงอย่ามาปากแข็ง จะว่าอะไรกูก็ว่ามา ไม่ต้องมามองกูแบบนั้น”
เดชจะลุกขึ้น
“ถือว่าท่านชายให้ท้ายรึมึง ให้ท้ายยังไงมึงก็อยู่ไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องระเห็จไปจากวัง มึงคอยดู”
เดชยืนก้มหน้านิ่ง
“มึงอยากอยู่ให้นานๆ มั้ยไอ้เดช”
เดชทำหน้าเหมือนอยาก
“ถ้าอยาก...มึงกราบตีนกู กูช่วยมึงได้”
เดชยืนนิ่ง
“กราบ...ถ้าไม่งั้นมึงอยู่ไม่ได้ อย่านึกว่าท่านชายทรงช่วยได้ ถึงท่านชายทรงรับมึง แต่ท่านหญิงทรงควบคุมคนงานทั้งหมด เอ้า..กราบ”
เดชหันหลังเดินไป
“ไอ้เดช กลับมานะ”
เดชหันหลังมาช้าๆ รอยยิ้มหยันเต็มหน้า
“ฉันจะทำงานที่วังนี้เป็นวันสุดท้าย เพราะภาระกิจของฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นางเฟืองอ้าปากค้าง จ้องมองเดชเขม็ง เดชจ้องลึกถึงนัยน์ตา แล้วสักครู่หันหลังกลับเดินไป นางเฟืองยังยืนงง

ตอนสาย นางเฟืองยังดูงงๆ ขณะเดินขึ้นมาเฝ้าท่านหญิงบนตำหนัก ท่านหญิงนั่งที่โต๊ะอาหาร
“ไม่เหวยหรือมังคะ”
“หญิงคอยเจ้าพี่”
“คอยทำไมมังคะ ไม่เสวยพร้อมท่านหญิงมานานแล้ว ท่านหญิงเหวยผิดเวลาไม่ดีนะมังคะ ท่านชายประทับอยู่ไหนมังคะ ให้ผ่องไปทูลตาม”
“เจ้าพี่เด็จโรงพยาบาล”
นางเฟืองเสียงดัง “เสด็จโรงพยาบาล”
“เฟือง ตกใจทำไม หมอเขาต้องชันสูตรศพและยังต้องแจ้งความ”
นางเฟืองก้มหน้านิ่ง นัยน์ตาร้อนรนกระวนกระวาย สีหน้าครุ่นคิดว่า มันตายแน่รึเปล่า
หน้าเฟือง คิ้วขมวดมุ่น
“เฟืองเป็นอะไร”
“ท่านหญิงทรงทราบมั้ยเพคะว่ามันตายแน่หรือยัง”
“ไอ้ขโมยนะหรือ ตายจริง ใช่มั้ยผ่อง”
“มังคะ ท่านชายทรงประกาศเสียงดังมังคะ ว่ามันตายแล้ว” ผ่องบอก
เฟืองมีสีหน้าตกใจ “ท่านชายทรงเห็นศพมันด้วยรึแม่ผ่อง เห็นตอนไหน”
ผ่องขยับจะตอบ แต่เสียงท่านชายขัดขึ้นก่อน “ข้าเห็นสิ เห็นตั้งแต่เมื่อคืน”
ทุกคนหันไป เห็นท่านชายเดินเข้ามา สบตาเฟืองจังๆ สู้ตากัน
“และมันยังไม่ตาย”
นางเฟืองหน้าถอดสี
“มึงรู้ใช่มั้ยมันเป็นใคร ฮะ นังเฟือง มึงเจตนาฆ่ามันใช่มั้ย”
นางเฟืองก้มหน้า
“ฮะ นังเฟือง มึงตอบมา”
“ไม่..ไม่ทราบมังคะ”
“นังปากแข็ง มึงคุยอยู่กะมันเป็นวรรคเป็นเวร มึงไม่รู้ได้ไง”
“หม่อมฉันไม่เห็น มันมืด ไม่ได้คุยกับมัน มันขู่หม่อมฉันจะเอาสร้อย”
“มึงจำเสียงมันไม่ได้เลยรึ”
นางเฟืองบอกด้วยเสียงเฉยชา “จำไม่ได้มังคะ”
“มันจะขู่มึงทำไม ก็มันคือไอ้แคล้วหลานชายมึง แล้วมันจะขู่มึงทำไม”
นางเฟืองนิ่งเงียบ ท่านหญิงตกใจ ทุกคนตกใจ
“มึงรู้ว่ากูรู้แล้วว่ามันคือไอ้แคล้ว แล้วมึงยังยืนกระต่ายขาเดียวว่ามึงไม่รู้ว่ามันเป็นใคร นังผู้ร้ายปากแข็ง”
“หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ มังคะ มันมืดมังคะ” นางเฟืองยืนกราน
“หญิงไม่เข้าใจ ขโมยคือแคล้ว คนสวนเก่าของเราหรือคะ เขาจะมาขโมยสายสร้อยเฟืองทำไม”
“หญิงไม่เคยเข้าใจอะไรสักอย่าง ตลอดเวลาหญิงปล่อยให้คนอย่างอีเฟืองมันจูงจมูก จะบอกให้นะหญิง คนที่อีเฟืองบอกว่าเป็นขโมยคือไอ้แคล้ว แต่มันไม่ได้เข้ามาเพื่อมาจี้นังเฟืองเอาสร้อย มันมาขู่เอาเงินจากอีเฟืองเป็นค่าปิดปากเรื่องชั่วร้ายที่อีเฟืองให้มันทำ อีเฟืองจึงต้องฆ่ามันก่อนที่มันจะโพนทะนาให้คนรู้กันทั่ว อีเฟืองมันสันดานกา ชาติไพร่ ทำแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ดีแต่ว่า…”
ท่านหญิงขัดทันที “เจ้าพี่จะลงโทษเฟืองไปถึงไหน เจ้าพี่กริ้วที่บุหลันหนีไป ลงใครไม่ได้ก็มาลงคนของหญิง ขโมยจะเป็นใครหญิงไม่สนใจ แต่มันกระตุกสร้อยเฟือง เฟืองเป็นฝ่ายเสียหาย มีสิทธิ์ป้องกันตัว”
“เธอตาบอดมาตลอดหญิงแขไข” ท่านชายชี้หน้าท่านหญิง “ตั้งแต่เราแต่งงานกันพี่มีความรู้สึกว่าได้เมียสองคน คนหนึ่งเป็นท่านหญิง ผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่อีกคนหยาบช้า กักขฬะ ต่ำ เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะหญิงปล่อยให้นังคนนี้มันครอบงำทั้งความคิด ทั้งจิตใจของหญิง หญิงเชื่อฟังมันไปหมดทุกอย่าง มันเพ็ดทูลหญิงว่าถูกกระตุกสร้อย เส้นนี้ใช่มั้ย” ท่านชายขว้างสายสร้อยเต็มแรงตกตรงหน้าเฟือง “ไอ้แคล้วจะเอาเงิน อีเฟืองไม่มีเลยถอดสร้อยให้ไอ้แคล้วไป”
ตลอดเวลา สีหน้าเฟืองแข็งปานหิน
“คนที่ถูกกระตุกสร้อยเส้นใหญ่ขนาดนั้นต้องมีร่องรอยตามตัวมั่ง ดูมันซิ มันมีมั้ย..ไม่มี หญิงแขไขเธอต้องหัดเชื่อคนอื่นมั่ง ไอ้แคล้วตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่น อีเฟืองหรือจะสู้ได้ แต่ไอ้แคล้วมันไม่ระวังตัวเพราะเป็นอีเฟืองเป็นป้ามัน”
“เจ้าพี่ เฟืองไม่โหดร้ายอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลที่เฟืองต้องฆ่านายแคล้ว”
“มีสิ...นังเฟืองมันต้องปิดปากไอ้แคล้ว เรื่องที่พวกมันสมคบกันฆ่าบุหลันกับไอ้ยอด”
“เจ้าพี่” ท่านหญิงปิดปาก ตกใจ “ไม่จริงนะคะ”
“พี่ก็อยากให้มันไม่จริง” ท่านชายเสียงเครือ “อีเฟืองมันให้ไอ้ยอดผลักบุหลันตกน้ำ ให้ไอ้แคล้วเจาะท้องเรือที่ให้ไอ้ยอดพาบุหลันไป น้ำเข้าเรือล่มไอ้ยอดจะได้ตายตกกันไป” ท่านชายนิ่งไปนิด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสะท้าน “เมียพี่ไม่ได้หนีไปกับไอ้ยอด”
ขาดคำท่านชาย ทั้งห้องเงียบ
ท่านหญิงมองจ้องท่านชาย น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้นมาทีละน้อยจนเต็มตา ถ้อยคำที่ว่า “เมียพี่” บาดใจเหลือแสน ในที่สุดก็เปล่งเสียงแหบแห้ง
“หญิงไม่เชื่อ ยังไงหญิงก็ไม่เชื่อ เฟืองไม่โหดร้าย เขาช่วยทำคลอด.....เมียเจ้าพี่” ท่านหญิงย้ำคำ “พาลูกชายเดียวมาให้หญิง”
“ก็เพราะมันฉลาดไง มันถึงได้เอาลูกบุหลันไว้ก่อน เอาไว้ล่อพี่ไง พี่จะได้ไม่เอาเรื่องเพราะรักลูก ถ้าไม่อย่างนั้นมันคงฆ่าทั้งแม่ทั้งลูกแล้วล่ะ”
ท่านหญิงส่ายหน้าซับน้ำตา
“คนใกล้ตายไม่โกหก...นังเฟือง ไอ้แคล้วสารภาพทุกอย่างก่อนตาย”
“ทรงสงสัยหม่อมฉันตลอดมา” นางเฟืองยืดตัวนั่งตรง ไม่ได้หมอบอย่างเดิม สีหน้าแววตาแข็งกระด้าง
“เฟือง...ไม่จริงใช่มั้ยเฟือง”
“มึงทูลท่านหญิงสิอีเฟือง ว่าเรื่องที่กูพูดไม่จริง”
นางเฟืองสบตาท่านหญิงเต็มๆ สายตาบอกอะไรหลายๆ อย่าง
ท่านชายเสียงดังสุดๆ “พูดมาสิวะนังสันดาน” ท่านชายลุกพรวด โกรธจัดเดินเข้าห้องไปเร็วๆ
“จริงมังคะ ท่านหญิง”
“เฟื่อง...เฟือง” ท่านหญิงเสียงสะท้าน
ท่านชายเดินออกมาเร็วๆ มีปืนอยู่ในมือ “มึงสารภาพแล้ว...สารภาพแล้วใช่มั้ยว่ามึงเจตนาฆ่าบุหลันฮะอีเฟือง”
“หม่อมฉันอยากฆ่ามันวันละร้อยหน ดีที่เพิ่งมีโอกาสไม่งั้นอีบุหลันตายไปนานแล้ว”
“อีเฟือง”
ท่านหญิงลุกพรวด เข้าไปหาเฟือง “เฟือง...ทำไม ทำไมต้องทำอย่างนี้”
“มันต้องตาย ท่านหญิงจะได้ไม่ต้องทรงทุกข์พระทัยอีก ท่านหญิงทรงดีเกินไป เจ็บพระทัยแค่ไหน ก็ไม่เคยรับสั่ง ท่านชายไม่ทรงเหลียวแล ไม่ทรงคิดสักนิดว่ามีเมียคนไหนทนได้ที่เห็นผัวไปพะเน้าพะนออยู่กับหญิงคนอื่น” นางเฟืองหันมาหาท่านหญิงที่น้ำตาอาบหน้าอยู่ตรงหน้า หมอบต่ำลงไปแตะมือท่านหญิงเบาๆ “หม่อมฉันทุกข์ไปกับท่านหญิง หม่อมฉันให้สัญญากับหม่อมแม่ของท่านหญิงว่าหม่อมฉันจะถวายการดูแลท่านหญิงจนกว่าหม่อมฉันจะตาย” แล้วหันมาทางท่านชาย “อีบุหลันตายคนเดียว ท่านหญิงของหม่อมฉันก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป
ท่านชายถลันเข้าหา “อีเฟือง” แล้วตบเปรี้ยงด้วยปืน นางเฟืองคว่ำไปทันทีเงยขึ้นมาเลือดกบปาก
“เจ้าพี่ ตบเฟืองทำไม...พูดกันดีๆ ก็ได้”
ท่านชายจิ้มปืนไปที่หลังเฟือง “มึงตายเสียเถอะ”
“อย่านะ เจ้าพี่” ท่านหญิงหวีดร้อง กอดเฟืองไว้ “เจ้าพี่ฆ่าเฟืองไม่ได้ ถ้าจะยิงเฟืองยิงหญิงก่อน”
“ถอยไป หญิงแขไข ไม่ได้ยินมันพูดจาอุบาทว์ชาติชั่วรึ”
“ท่านหญิงถอยไปมังคะ” นางเฟืองน้ำตาร่วงพรู
“ไม่ ..ถ้าเฟืองตาย หญิงตายก่อน”
ผู้คนที่แอบฟังอยู่นอกห้องมีอาการต่างกันไป เดชหน้านิ่งสนิทสมเป็นตำรวจ ในแววตาเท่านั้นที่สะเทือนใจ ผ่องซับน้ำตา สาลี่มองนิ่งๆ เฉยๆ ไม่สงสาร พิกุลน้ำตาคลอๆ นายสน หน้าไม่ดีสงสารไปหมด มหาดเล็ก ข้าหลวง หน้าไม่ดีไปตามๆ กัน
นางเฟืองกอดท่านหญิง “ชื่นใจของเฟือง ไม่เสียแรงที่หม่อมฉันรัก หม่อมฉันภักดี ถอยไปเถอะมังคะ หม่อมฉันผิดให้หม่อมฉันรับผิด ถ้าท่านชายจะฆ่าก็ให้หม่อมฉันตาย ท่านหญิงทรงจำไว้นะมังคะ ต่อให้หม่อมฉันเป็นผี หม่อมฉันก็จะปกป้องท่านหญิงตลอดไป” นางเฟืองพูดเสียงกระซิบแต่มั่นคง ชัดเจน มองหน้าท่านหญิงตลอดเวลา
ท่านหญิงพูดกับนางเฟือง เสียงมั่นคงเหมือนกัน “เฟืองต้องไม่ตาย ถ้ามีข้อกล่าวหาอะไรต้องหาหลักฐานมาให้กฎหมายลงโทษ ใครจะตัดสินคดีตามอำเภอใจไม่ได้” ประโยคสุดท้ายหันไปมองหน้าท่านชาย
“เธอไม่ถอยใช่มั้ย หญิงแขไข”

ท่านหญิงมองท่านชาย นัยน์ตาแข็งขืน เสียงร้องคุณชายศักดินาดังจ้าขึ้น ท่านหญิงขยับตัวแล้วนิ่งไป
 

แค้นเสน่หา ตอนที่ 2 (ต่อ)

คุณชายศักดินายังร้องเสียงดังอยู่อย่างนั้น จนท่านชายรังสิโยภาสฮึดฮัด

“เฮ้ย..ไม่มีใครคิดจะไปทำให้นิ่งเลยรึ”
ผ่องลุกขึ้น เดินยอบตัวไปเร็วๆ

คุณชายศักดินาร้องเต็มเสียง ผ่องเข้าไปอุ้ม
“คุณชายขา นิ่งนะคะ คุณชาย..โอ๋...โอ๋”
เวลาเดียวกัน ที่ห้องจันทร์ในเรือนเล็กที่บ้านปัณณธร ลูกสาวจันทร์ร้องไห้เสียงดังเช่นกัน
“โอ๋...อย่าร้องนะลูก นิ่งนะคะ” จันทร์ปลอบ
ผ่องให้คุณชายเดียวกินนม จันทร์ก็ให้ลูกสาวกินนม

ฟากท่านชายหันหลังให้ ยืนสงบสติอารมณ์ แล้วไม่ไหวหันมาที่นางเฟืองตะคอกแรงๆ กับท่านหญิง
“ไม่ถอยใช่มั้ย” เสียงท่านชายดังขึ้นอีก
“เฟือง” ท่านหญิงกระซิบถาม “ไม่จริงใช่มั้ยเฟือง”
นางเฟืองพูดไม่ออก น้ำตาหลั่งไหล
“ไอ้สน...เดช...มาเอาอีเฟืองไปขัง ใส่กุญแจประตูแล้วเอากุญแจมาให้ข้า หน้าต่างเอาไม้ตอกประกบ ถ้าคิดหนีก็ได้แต่วิญญาณเท่านั้น” ท่านชายเสียงดัง
นางเฟืองสะบัดหน้าสบตาท่านชายเต็มแรง นัยน์ตาโตแข็งกร้าว ท่านชายสบตานางเฟือง แล้วเลือดขึ้นหน้า
“ปล่อยมันหญิงแขไข มันเป็นฆาตกร เข้าใจมั้ย”
“ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น อย่ามาโทษ ไหนล่ะหลักฐาน หญิงจะหาทนายให้เฟือง ไม่ต้องกลัว หญิงไม่ทิ้งเฟืองเด็ดขาด” ท่านหญิงประคองเฟือง หันพระพักตร์ไปทางเดชกับสน “พวกแกหยุดอยู่ตรงนั้น ฉันจะพาเฟืองไปที่ห้องเขาเองอย่ามาแตะต้องตัวเขาเป็นอันขาด เจ้าพี่ไม่ต้องกลัวว่าเฟืองจะหนี หญิงจะล็อคประตูด้วยมือของหญิงเอง และจะเอากุญแจมาถวาย”
ท่านหญิงประคองนางเฟืองออกเดินไปช้าๆ จะออกประตูอยู่แล้ว
ท่านชายพยายามที่ระงับอารมณ์แต่ทำไม่ได้ “ทำไมเธอต้องทำให้ยุ่งยากด้วยนะ ฉันรู้ว่าเธอเจ็บปวดหญิงแขไข แต่ฉันล่ะ บุหลันตายไปทั้งคนคิดว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
ท่านหญิงชะงักกึก สีหน้าแววตาหม่นหมอง เจ็บปวดเหลือเกิน นางเฟืองพยายามดึงมือไว้
ท่านหญิงหันกลับมา “หญิงดีใจที่เจ้าพี่รู้สึกเจ็บปวด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าพี่ทรงมีแต่ความสุขจนไม่เห็นว่าคนอื่นโดยเฉพาะหญิงต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่หญิงไม่โทษเจ้าพี่หรอก คนผิดคือคนโง่อย่างหญิง”
“หญิง” ท่านชายเสียงดัง
“หม่อมแม่สิ้น หญิงไม่มีใครอีกเลย ความหวังอยู่ที่เจ้าพี่ แต่เมื่อเจ้าพี่ทำกับหญิงขนาดนี้ คนเดียวที่เป็นที่พึ่งของหญิงก็คือเฟือง เขาภักดีกับหญิงเหมือนทาส เหมือนพี่...เหมือนแม่”
นางเฟืองตื้นตันสะอื้นฮักๆ “ท่านหญิง ทูลกระหม่อมของหม่อมฉัน”
“เฟืองไม่ร่ำรวย ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ แต่เฟืองไม่เคยผิดคำสัญญากับหม่อมแม่ว่าจะดูแลหญิงจนถึงที่สุด คำพูดของเฟืองไม่มีน้ำหนักเหมือนใครๆ แต่เฟืองก็ไม่เคยผิดคำพูด..ไปด้วยกันเฟือง ไม่ต้องกลัวนะ หญิงจะจ้างทนายที่ดีที่สุดให้เฟืองพ้นโทษให้ได้ หญิงสัญญา”
ท่านหญิงพานางเฟืองเดินไป
“หญิงแขไข”
“ไม่ทรงนึกว่าหญิงจะพูดเหมือนที่ทรงได้ยินใช่มั้ยคะ ประเทศนี้ผู้หญิงผู้ชายช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ผู้ชายถูกทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง พูดได้ทุกอย่าง แต่ผู้หญิงผิดเสมอ พูดไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องนิ่งอย่างเดียว ทนอย่างเดียว ผู้ชายจะเหยียบย่ำทำให้ช้ำใจยังไงก็ไม่มีวันผิด”
ท่านหญิงสู้ตากับท่านชายอย่างดุเดือด ท่านชายจ้อง แล้วมองไปทางอื่น พูดไม่ออก

เวลาเดียวกัน ที่ท่าน้ำบ้านปัณณธร จันทร์นั่งอยู่ตรงนั้ร มองไปตามสายน้ำ ภาพนางเฟือง อุ้มลูกชาย แวบเข้าในความคิด วันที่เกือบถูกฆ่า
“คุณชาย” จันทร์คร่ำครวญอยู่ในใจ ขณะที่น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงมาจากใบหน้าเศร้าโศกนั้น
“หม่อมครับ” เสียงยอดเรียกมาจากด้านหลัง
จันทร์รีบปาดน้ำตาหันมาถาม “ยอด มาทำอะไรแถวนี้”
“ซ่อมหลังคาเรือนหลังนั้นครับ” ยอดชี้ไป
“ยอดสบายดีหรือ”
“ครับ”
“ฉันดีใจด้วย ถึงเราไม่ค่อยพบกัน แต่ฉันก็เป็นห่วงเสมอ จนถึงวันนี้ก็ไม่ลืมบุญคุณ”
“หม่อมอย่าคิดมากครับ ผมเองก็ผิดด้วยที่หลงเชื่อนางเฟือง ไม่คิดว่าแกจะใจบาปหยาบช้าขนาดนี้ ไม่รู้มันเพ็ดทูลท่านชายว่าไงบ้าง หม่อมจะกลับวังมั้ยครับ ผมจะเป็นพยานให้”
“มีประโยชน์อะไร ถึงกลับไปได้เขาก็ต้องหาทางฆ่าฉันอีก คนคอยจ้องกับคนคอยหนีมันไม่ทันกันหรอก ฉันไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลัง”
ยอดเหลือบมองเห็นอะไรแวบๆ โดยยังไม่รู้ว่าที่แท้คือฉัตต์ แต่เขารีบก้มหน้าพูดอยู่ในลำคอ
“หม่อมไม่คิดถึงคุณชายหรือครับ”
จันทร์ฟังแล้วสะอื้นแผ่วๆ
“ฉันคิดถึงเขาทุกลมหายใจ แต่คุณชายคงปลอดภัยเพราะเป็นผู้ชาย เขาต้องการลูกชายฉัน”
“เสียดายท่านชายไม่ทรงทราบว่ามีพระธิดา”
“ฉันไม่รู้ว่าทำถูกหรือเปล่าที่ไม่ยอมให้ลูกไปพบพ่อ แต่ฉันตัดสินใจแล้วนะยอด”
“คุณฉัตต์มา...” ยอดพูดด้วยภาษามือทันที ก้มหน้าลง “คุณฉัตต์สงสัยเรามากนะครับหม่อม ผมเห็นคอยมาแอบดูอยู่เรื่อยๆ”
“เธอยังเด็ก แล้วก็เสียแม่ไปกะทันหัน”
ยอดใช้ภาษามือตลอด แต่พูดแบบไม่เปิดปาก “เธอคิดว่าพวกเรามาแม่ของเธอถึงได้ตาย ตายแทนพวกเรา”
“คงไม่ใช่หรอกยอด อย่าใส่ความเธอ”
ฉัตต์อยู่หลังพุ่มไม้ เพ่งมองสองคน เห็นยอดใช้ภาษามือโต้ตอบกับจันทร์ ฉัตต์เขม้นมอง จนสุดท้ายยอดส่งตั๊กแตนสานตัวใหญ่ให้จันทร์

จันทร์กลับเข้าห้องจันทร์ ภายนอกฝนตกอยู่ มือจันทร์ผูกตั๊กแตนทางมะพร้าวไว้เหนือเปลลูกสาว วัยเกือบเดือนแล้วดิ้นแขนขาเปะปะอยู่ในเปล
“ทูนหัวของแม่ แม่ไม่ขออะไรอีก นอกจากให้แม่แข็งแรงมีกำลังเลี้ยงหนูให้โตขึ้นเป็นคนดี แม่จะบอกหนูว่าหนูไม่ต้องร่ำรวย ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่ต้องอยู่บ้านใหญ่โต ขอเพียงให้หนูมีศีลมีธรรม ให้หนูแข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้ ให้หนูมีสติปัญญาเล่าเรียนให้สูงๆ”
จันทร์พูดไปน้ำตาคลอ
“แม่จะขอสิ่งเดียวกันให้พี่ชายของหนู เขาจะร่ำรวย อยู่วังใหญ่โต มีศักดินาสมชื่อ”

ในเวลาต่อ ฝนขาดเม็ดแล้ว ยังมีหยดน้ำหยดทีละหยดจากชายคา หยดน้ำค้างอยู่บนใบไม้ ดอกไม้
สายรุ้งหลังฝนพาดผ่านบนฟ้า จันทร์อุ้มลูกสาวออกมา มองรุ้งบนฟ้าพูดกับลูก
“แต่หนูลูกแม่จะไม่มีอะไรเทียบเคียงพี่ชายของหนูได้ ที่สำคัญ หนูจะไม่มีศักดินาโดยกำเนิดของหนู” จันทร์ก้มมองลูก น้ำตาคลอๆ “แม่จะเรียกหนูว่า...”
สายรุ้งบนท้องฟ้าเด่น ชัด สวยงาม
จันทร์พูดกับลูกสาวต่อ “...รุ้ง นะลูก หนูจะเป็นแค่...เด็กหญิงรุ้ง จนกว่าวันหนึ่งข้างหน้า วันที่สิทธิ์ความเป็นคุณหญิงวิมลโพยมเป็นของหนูอย่างสมบูรณ์”
รุ้งยิ้มหวาน ขณะที่สายรุ้งบนท้องฟ้าทอดตัวอย่างสวยงาม

สองคนอยู่ในห้องนางเฟืองด้วยกัน ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสเอ่ยขึ้น
“เราอยู่กันตามลำพัง หญิงอยากถามอะไรหน่อย เฟืองตอบหญิงตามตรงนะ”
นางเฟืองก้มหน้ารับคำ
“ตอบหญิงอีกครั้ง ทุกอย่างที่เฟืองทูลเจ้าพี่ เรื่องบุหลัน เป็นความจริงทั้งหมดหรือ”
นางเฟืองตอบท่านหญิงด้วยสายตา
“เฟือง ไม่น่าเลย หญิงเป็นต้นเหตุแท้ๆ”
“อย่ารับสั่ง อย่างนั้นมังคะ ถ้าจะหาสาเหตุจริงๆ ก็ท่านชายนั่นแหละมังคะ ถ้าไม่ทรงมีนังบุหลัน ก็ไม่เกิดเรื่อง แต่หม่อมฉันไม่กลัว ในเมื่อหม่อมฉันผิด ก็ยอมรับผิด หม่อมฉันไม่หนี”
“แต่...เฟืองต้องไม่ลืมว่าเจ้าพี่รักบุหลันมาก่อนหญิง...เขารักกันมาก่อนถูกบังคับให้แต่งกับหญิง เฟืองไม่น่าทำกับมัน”
“เพราะนังบุหลันมันจงใจแย่งท่านหญิง”
“เจ้าพี่รักเขาก่อน ข้อนี้เราต้องยอมรับ เจ้าพี่ผิดเฉพาะที่ผิดสัญญากับหญิง ตัวบุหลันถือว่าไม่ผิดเพราะเจ้าพี่ไปรับเขาเป็นเมีย เขาจะทำยังไง”
นางเฟืองนิ่งอึ้ง
“แต่ยังไงหญิงจะสู้ให้เฟืองให้ถึงที่สุด เฟืองทำเพื่อหญิงไม่ว่าผิดหรือถูก เฟืองก็ทำเพื่อหญิง ต่อไปนี้หญิงจะทำเพื่อเฟืองมั่ง หญิงจะหาทนาย เขาต้องสืบพยาน ต้องหาหลักฐาน จะเชื่อคำพูดของนายแคล้วคนเดียวได้ไง”
“แต่หม่อมฉันสารภาพไปแล้ว”
“เพราะเจ้าพี่เอาปืนมาขู่เฟือง ให้เขาหาศพบุหลันกับเจ้ายอดมาให้ได้ค่อยยอมแพ้ อย่าหมดหวังนะเฟือง”
“จะเสื่อมเสียพระเกียรติมังคะ คนมันจะคิดว่าทรงสมรู้ร่วมคิดด้วย”
“หญิงไม่กลัว ใครอยากคิดอะไรก็คิดไป หญิงไม่แคร์ใครทั้งนั้น หญิงบอกแล้วว่าเฟืองเหมือนญาติของหญิง หญิงมีเฟืองคนเดียว”
“เป็นพระกรุณาหาที่สุดไม่ได้” นางเฟืองน้ำตาพรูพรายเป็นสายฝน กราบลง “หม่อมฉันตายไปเกิดอีกกี่ชาติขอสาบานว่าจะรับใช้ท่านหญิงทุกชาติ ถ้าแม้ไม่ได้เกิด วิญญาณหม่อมฉันจะอยู่ปกปักรักษาท่านหญิงตลอดไป ทรงจำไว้นะมังคะ”
“ไม่ต้องสาบาน...หญิงเชื่อทุกอย่างที่เฟืองพูด”
นางเฟืองก้มหน้ากอดพระบาท ร้องไห้สะอึกสะอื้น

ท่านหญิงเดินมาตามทางเพื่อกลับตำหนัก พิกุลที่นั่งคอยอยู่ข้างทางลุกขึ้นเดินตาม เดชโผล่ออกมาพอดี ยืนตรงเข้าเฝ้า
ท่านหญิงมองไม่รู้จะเรียกอะไร
“กระหม่อม.. สิบตำรวจตรีเดช กระหม่อม” เดชแนะนำตัว
“อ้อ...ที่เป็นคนจับคนของฉัน”
“กระหม่อมขอประทานอภัย กระหม่อมทำตามหน้าที่”
“ไม่มีใครว่าอะไร ทุกคนก็มีหน้าที่ทั้งนั้น บางครั้งอาจไม่ใช่หน้าที่การงาน แต่เป็นหน้าที่ต่อความรักความผูกพันกัน”
เดชนิ่ง
“คนไม่เคยรักผูกพันกับใครไม่รู้หรอก”
เดชยืนก้มหน้านิ่ง ท่านหญิงเดินจากไป

ท่านหญิงเดินมาหยุดที่หน้าห้องทำงานท่านชาย ส่งกุญแจให้
“อะไร”
“กุญแจ หญิงขังเฟืองไว้ในห้องด้วยมือหญิงเอง”
“เข้ามาข้างในก่อน พี่มีเรื่องจะพูดด้วย”
“แต่หญิงไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าพี่”
“เธอยังถือโกรธเรื่องนังเฟืองอีกหรือ มันสารภาพแล้วว่ามันฆ่าบุหลัน”
“ก็เพราะอย่างนั้น หญิงถึงไม่มีอะไรพูด เจ้าพี่ปักพระทัยทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหลักฐาน”
“ก็มันสารภาพ”
“หญิงถามคำเดียว ถ้าลงโทษเฟือง แล้วต่อมาหม่อมบุหลันคนโปรดของเจ้าพี่ปรากฏตัวออกมาอาการครบสามสิบสอง เจ้าพี่จะทรงทำยังไง”
ท่านชายนิ่งอึ้ง
“เฟืองให้หญิงทูลเจ้าพี่ว่า พรุ่งนี้หลวงวิเศษมารับตัวเขา เขาจะรู้สึกเป็นเกียรติมาก ถ้าเจ้าพี่จะเปิดประตูห้องเขาด้วยพระองค์เอง เพื่อเอาตัวเขาส่งหลวงวิเศษ”
“ทำไม ...มันต้องเรียกร้องอย่างนั้นทำไม”
“หญิงไม่ทราบ แต่เขาย้ำกับหญิงถึงสองหน เจ้าพี่จะให้เขาได้หรือไม่”
ท่านชายคิดอึดใจ “ก็ได้ พี่จะทำอย่างที่มันต้องการ”
ท่านหญิงหันหลังกลับ เดินจากไปอย่างเย็นชา

ไม่นานต่อมา รถท่านหญิงแขไขเจิดจรัสแล่นเข้ามาภายในเขตวังท่านหญิงเล็ก หรือหม่อมเจ้าอัปสราภา พระขนิษฐาต่างหม่อมมารดา จอดหน้าตึกอย่างสง่างาม นายสนลงมาเปิดประตูให้ ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสลงมา มีนางข้าหลวงคอยเฝ้ารออยู่ พิกุลตามลงมาถือชามโคม ห่อผ้าขาวเรียบร้อย
“เชิญมังคะ ท่านหญิงเล็กทรงคอยที่ห้องในมังคะ”
“พิกุล เอาไปห้องเครื่องให้เขาตั้งโต๊ะเสวยเย็น”
“มังคะ” พิกุลน้อมรับสั่ง
ท่านหญิงแขไขอยู่ในห้องโถงกับท่านหญิงเล็ก ท่านหญิงแขไขรับสั่งขึ้น
“สาลี่เขาทำให้มาถวาย
“อ๋อ สาลี่รู้ว่าหญิงชอบแกงคั่วสัปปะรดไข่แมงดา”
“หญิงเล็ก หญิงทอแสงเป็นยังไงบ้าง”
ท่านหญิงเล็กรับเบาะคุณหญิงทอแสงรัศมี พระธิดาอายุเท่ากับคุณชายศักดินาที่นอนหลับมาจาก เจียด แม่นมและพี่เลี้ยง
“เจียด คุณหญิงทานยาหรือยัง”
“หม่อมฉันให้แล้วมังคะ” เจียดบอก
“ร้องมั้ย” ท่านหญิงเล็กถาม
“ตอนให้ทานร้องมังคะ เพิ่งหลับ” เจียดว่า
ท่านหญิงเล็กพยักหน้าให้เจียดอุ้มกลับไป
“เป็นไข้หรือ”
“มีท้องเสียนิดหน่อย เล็กเปลี่ยนยี่ห้อนมแล้วค่ะ”
“ทำไมไม่ให้ทานนมของเธอเอง”
“ยุ่งยาก ไม่สะดวกค่ะ พี่หญิงบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาอะไรคะ”
“ท่านวรจักร ทรงสนิทกับทนายความ ผู้พิพากษาหลายคนใช่มั้ย”
“ค่ะ พี่หญิงจะทำไมหรือคะ”
“ทูลท่านด้วยว่าพี่อยากจ้างทนายความที่เก่งที่สุดว่าความคดีฆ่าคนตาย”
“พี่หญิง...มีเรื่องอะไรหรือคะ ใครฆ่าคนตาย”
ท่านหญิงนิ่งอยู่อึดใจ “เฟือง”
ท่านหญิงแขไขเล่าเรื่องราว ท่านหญิงเล็กฟัง พยักหน้ารับรู้

สนเปิดรถรอท่านหญิงอยู่หน้าตึก เจียดถือชามโคมวางบนผ้าที่พับไว้ไปส่งให้พิกุล
พิกลุรับไปใส่รถ
“เล็กจะรีบทูลเจ้าพี่วรจักร”
“ขอบใจ”
“ไม่น่ามีเรื่องเล๊ย พี่หญิงไม่เชื่อเล็ก เล็กเคยทูลแล้ว”
ท่านหญิงหน้าเฉยยิ่งขึ้น
“เล็กทูลจริง ๆ นะคะพี่หญิง พี่หญิงทรงคิดจะเปลี่ยนประเพณีที่เขาทำกันมาตั้งแต่มีประเทศไทยเหรอ อีกซักห้าร้อยปีข้างหน้าอาจทำได้ ตอนนี้ทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“เธอยังไม่เจอกับตัวเอง”
“โอ๊ย..ใครจะรู้ เจ้าพี่วรจักรอาจจะมีขึ้นมาวันไหนหรืออาจจะมีแล้วก็ได้ แต่เล็กไม่แคร์หรอก ถ้าเล็กยังเป็นที่หนึ่งอยู่”
ท่านหญิงยืนพระศอแข็ง
“พี่หญิงคิดจะปฏิวัติเหระคะ...อย่าคิดเลยค่ะเชื่อเล็ก เหนื่อยเปล่า แล้วก็ยิ่งจะเสียใจเพราะเราโวยวายเขาก็ยิ่งแสดงว่าเขาไม่รักเรา เผลอ ๆ เขาจะแสดงว่าเขาเกลียดเราด้วยซ้ำ”
ท่านหญิงเจ็บใจ แต่ยืนนิ่งไว้ “ขอบใจ” พลางขยับตัว
“ทรงไม่เชื่อตามเคย...อยากจะเจ็บพระทัย เล็กก็ไม่รู้จะทูลยังไงแล้ว”
พิกุลกับสน ยืนใกล้ ๆ กัน สองคนกระซิบกระซาบกัน
“น้าสน เชื่อเลยท่านหญิงเล็ก” พิกุลกระซิบเบามาก
“นั่นสิ...เด็จมาทีไรเจอลูกศอกท่านหญิงเล็กทุกที” สนบอก
“ฉันล่ะ...เกลี๊ยดเกลียดท่านหญิงองค์นี้ ไม่เคยถนอมน้ำใจใคร” พิกุลว่า
“โดนท่านชายวรจักรข่มจนหงอ ต้องมาทิ่มแทงคนอื่น” สนว่า
ท่านหญิงเดินจากมาทันที สนเปิดประตูรถ พิกุลขึ้นข้างหน้า
สีหน้าท่านหญิงเล็ก ที่มองตามมีรอยยิ้มนิด ๆ

ท่านหญิงนั่งสงบนิ่งมาตลอดทาง พิกุลนั่งหน้าคู่นายสน ท่านหญิงหลับพระเนตร พิงพนักเก้าอี้ พิกุลเหลียวมาดู เรียกเสียงดัง
“ท่านหญิง...ท่านหญิงมังคะ ลุงสนท่านหญิงทรงเป็นอะไร”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร พิกุลเสียงดังเอะอะทำไม” ท่านหญิงเอ็ด
“หม่อมฉันคิดว่า..”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก พิกุล สน แกสองคนไม่ชอบเฟืองใช่มั้ย”
สองคนอึกอัก
“คนทั้งวังรังสิยาไม่ชอบเฟือง ฉันรู้ตั้งแต่วันที่ฉันเข้ามาอยู่วังนี้กับเฟืองสองคน ทำไมเพราะแกสองคนคิดว่า คนที่น่าจะเป็นหม่อมเอกของท่านชายก็คือบุหลันใช่มั้ย”
สองคนนิ่งอึ้ง ท่านหญิงรับสั่งต่อ
“ตอนนี้ทุกคนคงดีใจที่เฟืองมีเคราะห์กรรมอย่างนี้ แต่ก็เป็นธรรมดา ไม่ชอบใครถ้าเขามีความทุกข์เราก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปกับเขา เฟืองทุกข์ที่ท่านชายรับบุหลันเป็นหม่อมอีกคนเพราะเขารักฉัน แต่พวกแกทั้งหมดมีความสุขที่ท่านชายมีเมียน้อย เพราะพวกแกรักท่านชาย”
สองคนพูดไม่ออก
“ไม่ต้องมีใครว่ากล่าวว่าใครทำผิดหรือทำถูก ผิดหรือถูกอยู่ที่ว่าใครเป็นคนตัดสิน”

รถแล่นเข้าจอดหน้าตำหนัก พิกุลรีบลงมาจะเปิดประตูให้ท่านหญิง แต่ท่านหญิงไม่คอย เปิดประตูเองแล้วเดินเข้าตึก หน้านิ่งสนิท สนกับพิกุลสองคนมองตากันจ๋อยมาก

ผ่องเคาะประตูเรียกเบาๆ “พี่เฟือง ...พี่เฟือง”
นางเฟืองนั่งตัวตรง หน้านิ่ง ไหวตัวนิดหน่อย “ผ่อง ทำไมไม่อยู่กับคุณชาย”
“คุณชายหลับ ให้ละมัยดูอยู่ ฉันห่วงว่าพี่จะหิว”
“ไม่หิว ข้ามีลูกไม้กินแล้ว” มือนางเฟืองปอกมะปรางลูกโตกิน
“ทำไมถึงต้องขังนะ ควรจะรู้ว่าพี่ไม่หนี เพราะพี่ไม่ทิ้งท่านหญิง”
ใบหน้านางเฟืองเหยเก กัดปากแน่น จะร้องไห้
“ท่านหญิงไปหาทนายให้พี่นะพี่เฟือง เด็จวังท่านหญิงเล็ก”
นางเฟืองน้ำตารินทันที หยุดปอกนิ่งอยู่
“ทรงห่วงพี่มาก ประทับตรงไหนก็ทรงคิดตลอดเวลา เมื่อคืนอาจจะไม่ได้บรรทมเลย” ผ่องบอก
“ผ่อง ถ้าข้าไม่อยู่รับปากข้านะว่าจะคอยรับใช้ดูแลท่าน”
“แน่นอนพี่ ท่านหญิงทรงดีกับฉันเหลือเกิน”
“ถ้ารักท่านจริง ท่านไม่มีวันทอดทิ้งผ่อง เอ็งจำไว้”
“จ้ะ พี่เฟือง”
“ข้าจะฝากจดหมายให้ท่านหญิง เอ็งเก็บไว้ถวายท่านต่อเมื่อข้าพ้นวังนี้ไปแล้ว”
มือนางเฟืองเอื้อมไปหยิบจดหมายที่เขียนไว้แล้ว
“พี่จะไปไหน” ผ่องแปลกใจ
“ก็...ตำรวจต้องเอาข้าไปสอบสวน ข้าไปแล้วค่อยถวายจดหมาย อย่าลืม”
“ไหนล่ะ จดหมาย”
กระดาษพับทบไปทบมาซ้อนกัน ถูกสอดออกมาตรงที่ว่างใต้ประตู
“ผ่อง อย่าลืมสัญญา ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าเหมือนคนที่ตายแล้ว สัญญากับคนตายเอ็งอย่าละเลย” นางเฟืองสำทับ

วันรุ่งขึ้น ภายในห้องคุณชายศักดินา ท่านหญิงมองคุณชายศักดินาที่นอนหลับอยู่
“ชาย...ชายจะลูกใครไม่สำคัญ แต่ชายคือผ้าขาวบริสุทธิ์ และแม่จะรักษาผ้าขาวผืนนี้ให้บริสุทธิ์สะอาดตลอดไป” ท่านหญิงรับสั่งเบาๆ เหมือนกระซิบ
ผ่องคลานเข่าเข้ามาทูล “หลวงวิเศษกับตำรวจมารับตัวพี่เฟืองแล้วมังคะ”

ด้านนางเฟืองนั่งมองประตูอยู่ นัยน์ตาแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่หน้าตาตัดสินใจแน่นอนแล้ว ข้างๆ จานมะยงชิดที่ปอกแล้ว พูนจาน มีมีดวางอยู่ข้างๆ

ทั้งหมดเดินมากันอย่างรวดเร็ว ตรงมายังหน้าห้อง นางเฟืองได้ยินเสียงแล้ว
ทุกคนมาถึงหน้าห้องนางเฟือง ไขกุญแจ
“ไขกุญแจ” หลวงวิเศษสั่งเดช
“กุญแจอยู่นี่” ท่านชายส่งให้
หลวงวิเศษรับกุญแจส่งให้เดช
ส่วนด้านในนางเฟืองขยับตัวนัยน์ตากล้าแข็งยิ่งขึ้น
เสียงกุญแจไขดังกรุ๊กกริ๊ก เดชไขกุญแจเปิดออก เอากุญแจออกจากสายยู ท่านชายหวนคิดถึงคำท่านหญิง
“เขาจะรู้สึกเป็นเกียรติมากถ้าเจ้าพี่จะเปิดประตูห้องเขาด้วยพระองค์เอง”
กุญแจหลุดจากสายยู
“เปิดประตู” เสียงหลวงวิเศษสั่งเด็ดขาด
สีหน้าเฟืองนิ่งมาก เหมือนหน้ากาก จ้องเป๋งที่ประตู
มือตำรวจ เอื้อมไปจะเปิดประตู
ท่านชายตะโกน “เดี๋ยว”
ใบหน้าเฟืองกระตุกนิดเดียว ยิ้มลึกๆ ในสีหน้า แสยะหน่อยๆ
“ฉันเปิดเอง”
ท่านชายเอื้อมมือเปิดประตู อ้ากว้างทั้งสองบาน มองเข้ามา อุทานเบาๆ
“นังเฟือง” ท่านชายสบตานังเฟืองอย่างจัง
นางเฟืองสบตาท่านชาย สายตาทั้งเคียดทั้งแค้นทั้งเสียใจทั้งสะใจ แล้วทันทีทันใดมือที่วางอยู่ข้างตัวกำมีดยกขึ้นเสมอหน้า
ท่านชายร้องเสียงดัง “อย่า...”
เฟืองปาดคอตัวเอง นัยน์ตาค้าง สิ้นใจในทันที ร่างของเฟืองล้มฟาดลงพื้นเลือดแดงฉาน
ท่านชายกริ้วสุดขีดแล้วหันหลังกลับ ในขณะที่หลวงวิเศษ เดช และตำรวจคนอื่นพรวดเข้ามา
ท่านชายเสด็จผ่านคนเหล่านั้น ที่หลีกทางและก้มหัวให้ มายืนหน้าเครียด
“ท่านชายกระหม่อม” สนทูลถาม
“อีเฟืองตายแล้ว” ท่านชายตรัส
สนตกใจ ทุกคนในวังก็ตกใจ
“มันฆ่าตัวตาย อีนี่เหี้ยมมาก จะตายมันยังเลือกวิธีโหดที่สุด มันคงหวังว่าวิญญาณจะไม่ไปผุดไปเกิดเป็นผีตายโหงล่องลอยอยู่แถวนี้ มึงอย่าหวังอีเฟือง วังของกูไม่ให้มึงมาสิงสู่หรอก”

สีพระพักตร์ท่านชายรังสิโยภาสเคร่งเข้ม

แค้นเสน่หา ตอนที่ 2 (ต่อ)

ด้วยความโกรธถึงขีดสุด ท่านชายรังสิโยภาสเดินมาตามทางกลับตำหนักอย่างรวดเร็ว  สนเดินตามแทบไม่ทัน ฉับพลันนั้นท่านชายก็หยุดหันมา สนเบรคจนตัวโก่ง

“แกกลับไปที่เรือนนังเฟือง คอยช่วยหลวงวิเศษว่าท่านต้องการอะไร แกก็จัดหาให้ เดี๋ยวเขาคงเอาศพนังเฟืองไป กำชับทุกคนอย่าเพิ่งทูลท่านหญิง”
“กระหม่อม แต่คงปิดท่านหญิงไม่ได้นาน”
“ท่านหญิงคงคิดว่ามันถูกเอาไปดำเนินคดี” สีหน้าท่านชายขรึมลง สายตาเต็มไปด้วยความกังวล “มันเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง รู้ใจกันมา ที่สำคัญ มันรักภักดีเหลือเกิน ท่านหญิงคงทนไม่ได้ถ้ารู้ว่ามันตาย”

ท่านชายก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันไดมา ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสยืนอยู่หัวบันไดด้านบน ผ่องเอาผ้าพันคอมาถวายให้พันคอ
ท่านหญิงลงมา ก้มลงเล็กน้อย ทำท่าจะเดินลงไป
“น้องหญิง จะไปไหนคะ”
“ได้ข่าวว่าหลวงวิเศษมาแล้ว หญิงจะไปลาเฟือง”
“ไม่จำเป็นเลยนะคะ ทำไมหญิงต้องลดตัวไปขนาดนั้น บ่าวไพร่มันจะคิดยังไง ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้กับคนอื่น มันคงสงสัยว่าหญิงจะกรุณามันเหมือนกันรึเปล่า”
“ไม่เหมือนแน่ค่ะ เพราะคนอื่นไม่จงรักภักดีเท่าเฟือง ทรงหลีกทางให้หญิงด้วย”
“หญิงแขไข พี่ขอร้องอย่าไปเลยค่ะ” ท่านชายย้ำ
“เฟืองอาจไม่สำคัญสำหรับเจ้าพี่ แต่เขาสำคัญกับหญิง เพราะในขณะที่หญิงถูกทอดทิ้งเฟืองเป็นกำลังใจให้หญิงตลอดเวลา ขอประทานอภัยค่ะเจ้าพี่”
“อย่าไปเลยแขไข” ท่านชายจับมือท่านหญิงไว้
ท่านหญิงฉงน “ทำไมเพคะ เกิดอะไรขึ้น เฟืองไม่สบาย หรือทำไม เขาคงตกใจคิดไม่ถึงว่าไอ้ผู้ร้ายจะตาย”
“มัน...”
“เจ้าพี่” ท่านหญิงฉุกคิด รีบสะบัดมือออก “ปล่อยหญิงค่ะ”
ท่านชายต้องบอกออกไปในที่สุด “หญิงแขไข....เฟือง...ตายแล้ว”
ท่านหญิงชะงักกึก ตัวแข็ง ช็อกอย่างน่ากลัว
“หญิง...หญิง...หญิงแขไข”

ครู่ต่อมาท่านหญิงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าขาวเผือดนั้นแข็งปานหิน สักครู่เพิ่มฝีเท้าเป็นวิ่ง
ท่านชายเดินตามยังแทบไม่ทัน
“หญิง...หยุดก่อน อย่าวิ่งเดี๋ยวหกล้ม”
ท่านหญิงหันขวับมา “หญิงไม่เชื่อว่าเฟืองตายแล้ว เมื่อวานยังพูดกันอยู่ ทำไมอยู่ๆ วันนี้ก็ตายไป ใครทำ..หรือว่าเจ้าพี่ให้คนฆ่าเฟือง ใช่แล้ว..เคยรับสั่งว่าจะฆ่าเฟืองด้วยพระหัตถ์.. ใช่มั้ยคะ เจ้าพี่ทัยร้ายมาก” พูดจบก็หันตัวกลับแล้วไปวิ่งเลย
ท่านชายพยายามรั้งตัวหญิงไว้ แต่ท่านหญิงสะบัดอย่างรุนแรง “น้องหญิง พี่ไม่ได้ทำมัน มันฆ่าตัวตาย ได้ยินมั้ย มันฆ่าตัวตาย”
“ไม่จริง” ท่านหญิงช็อกเป็นครั้งที่สอง
“เชื่อพี่ อย่าไปเลย พี่ไม่อยากให้เห็นสภาพของมัน มันทุเรศเกินไป”
“หญิงไม่เชื่อ เฟืองไม่ฆ่าตัวตาย เฟืองไม่ทิ้งหญิง เฟืองต้องอยู่เป็นเพื่อนหญิง” ท่านหญิงครวญขณะออกเดิน “เฟือง...” พร้อมลากตัวเองไปจากที่ท่านชายจับแขนอยู่ “เฟือง...ไม่ตายนะเฟือง”
ท่านชายจำต้องปล่อย ท่านหญิงซวนเซเหมือนจะล้ม แต่แข็งใจวิ่งต่อไป

คนในวังทั้งหลายแอบดูอยู่ห่างๆ ที่หน้าห้อง หลวงวิเศษยืนคุยอยู่กับตำรวจคนอื่นๆ ส่วนในห้อง เดชเอาผ้าคลุมหน้านางเฟืองเสร็จ ปิดประตูห้อง เดินมาสมทบ
ท่านหญิงพรวดเข้ามาเร็วรี่ในจังหวะนี้
หลวงวิเศษก้มลงโค้งอย่างสุภาพ “ท่านหญิงกระหม่อม”
“ขอฉันเข้าไปข้างใน”
หลวงวิเศษเหลียวไปมองสบตาท่านชายเป็นเชิงถาม ท่านชายสั่นหน้านิดๆ
“ฉันจะไปหาเฟือง”
“กระหม่อมว่าอย่าทรงเข้าไปเลยกระหม่อม” หลวงวิเศษยืนคำ
“คุณหลวงเป็นใครถึงมาห้ามฉัน นี่บ้านของฉัน ฉันไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปรึ” ท่านหญิงเสียงขุ่น
หลวงวิเศษอึ้ง แล้วก็ต้องยอมให้เข้าไปโดยดี พยักหน้ากับเดช เดชเปิดประตูให้
ท่านหญิงสูดลมหายใจ รวบรวมกำลังใจ แล้วเดินเข้าห้องไป

ท่านหญิงนั่งลงข้างๆ ศพนางเฟืองที่มีคลุมผ้าอยู่ นั่งนิ่งจ้องมอง สีหน้าเครียดเข้ม
ส่วนที่หน้าประตู ท่านชาย หลวงวิเศษ เดช และตำรวจยืนออกันอยู่ จ้องดูท่านหญิง เปิดผ้าคลุมหน้านางเฟือง ทุกคนที่ประตู ตกใจ
ผ้าคลุมหน้านางเฟืองเปิดออก ใบหน้าซีดจนเขียว
ท่านหญิงกลั้นน้ำตาจนร้าวระบมไปทั้งหน้า จ้องมองหน้านางเฟือง สีหน้าจดจำ รำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผุดผ่านเข้ามาในความคิดแว่บหนึ่ง
เวลานั้นท่านหญิงลูบผมนางเฟืองเบาๆ จัดให้เรียบร้อย
“เฟือง ไหนบอกว่ารักหญิง ห่วงหญิง แล้วทิ้งหญิงไปทำไม”
“หญิงแขไข”
ท่านหญิงเอาผ้าพันคอออกมา แล้วพันคอเฟืองไม่ให้เห็นรอยมีดปาด ผูกให้อย่างเรียบร้อย น้ำตาหยดหนึ่ง หยดลงบนผ้าเห็นเป็นรอย แล้วปิดผ้าคลุมศพอย่างแผ่วเบา
ท่านชายเดินมาแตะไหล่ “ขึ้นตำหนักเถอะ”
ท่านหญิงเบี่ยงไหล่หนี หันมา สายตาเข้มแต่ปวดร้าวจ้องมองท่านชายนิ่ง ท่านหญิงลุกขึ้น เดินผ่านทุกคนไปอย่างเงียบเชียบ
“ท่านหญิงกริ้วมากกระหม่อม” คุณหลวงวิเศษบอก
“เขาดูแลกันมาตั้งแต่หญิงแขไขยังเด็ก”
“ไม่น่าเลย”
“มันฆ่าบุหลัน มันชดใช้ด้วยชีวิตมันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือคุณหลวง”

เหตุการณ์ในอดีต ผุดขึ้นมาในความคิดของท่านหญิงแขไขไม่หยุดหย่อนราวกับสายน้ำไหล
ภายในวังเก่าของท่านหญิง หม่อมแม่ นั่งเก้าอี้เอนๆ เหมือนเก้าอี้โยก ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส วัย 4-5 ขวบ ซบตักแม่
“หม่อมแม่…หม่อมแม่เจ้าขา”
“หญิงจ๋า ให้เฟืองพาไปเก็บดอกไม้นะคะ”
ท่านหญิงหันมา อ้าแขนหาเฟือง “เฟือง”
นางเฟืองเป็นสาวรุ่น อ้าแขนรับ
ท่านหญิงวิ่งกระโดดหยอยๆ จับผีเสื้อ เรียกหา
“เฟือง...เฟือง หญิงจะเอาผีเสื้อ”
เฟืองคอยดูแล ระแวดระวังไม่ให้ล้ม
เหตุการณ์ต่อมา ท่านหญิงเติบโตเป็นสาวรุ่น แต่งชุดนักเรียนคอนแวนต์ เดินพลางกระโดดพลาง มาขึ้นรถ นางเฟืองขึ้นนั่งข้างหน้า ถือกระเป๋าหนังสือมาด้วย
ท่านหญิง อ่านหนังสือนวนิยาย ร้องไห้น้ำตาเต็มตา นางเฟืองส่งผ้าเช็ดหน้าให้ สีหน้าเอ็นดู
ท่านหญิงวิ่ง หกล้ม กลิ้งหลุนๆ นางเฟืองกรี๊ด วิ่งเข้ามา ท่านหญิงชี้เจ็บข้อเท้า นางเฟืองนวดเบาๆ
เฟืองรินยาใส่ถ้วย ท่านหญิงไอแค็กๆ นางเฟืองป้อนยา พันคอแล้วจับให้นอน ห่มผ้าให้ สักครู่หนึ่ง ท่านหญิงหลับด้วยฤทธิ์ไข้ นอนคว่ำมือทอดไปข้างเตียง เห็นเฟืองนั่งเฝ้า จับมือท่านหญิงไว้
ท่านหญิงลืมตาครึ่งๆ เห็นหน้าเฟือง “เฟือง...หิวน้ำ”
อีกเหตุการณ์เป็นตอนที่ เวลาผ่านไป 20 กว่าปีแล้ว
“เฟือง” หม่อมแม่ท่านหญิงเรียกหาเสียงอ่อนระโหย
“คะ...หม่อม”
เฟืองหน้าเสียมาก เห็นท่านหญิง เป็นสาวเต็มตัวแอบๆ มอง
“ฉันห่วงท่านหญิงเหลือเกิน สิ้นเด็จพ่อท่านยังมีแม่ สิ้นฉันจะมีใคร” หม่อมแม่
“มีอิฉันไงคะ อิฉันสาบานจะดูแลท่านหญิงจนกว่าอิฉันจะตาย หม่อมอย่างห่วงเลยค่ะ”

จวบจนวันใหม่ ท่านหญิงแขไจนั่งนิ่งสนิทอยู่ในห้องบรรทม ผ่องมาดู ท่านหญิงเห็นผ่องเปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรงกิริยาเป็นเจ้า ผ่องมาดูอีก ท่านหญิงยังนั่งอยู่ กิริยาอ่อนระโหยเหมือนตอนแรก
ท่านหญิงเปลี่ยนท่านั่ง ผ่องแวะมาดูเป็นระยะ เริ่มหน้าเสียเป็นลำดับ
ค่ำแล้ว ผ่องชะโงกมาดู
ท่านหญิงยังนั่งอยู่ แต่ในลักษณะที่อ่อนระโหย ทอดตัว พิงพนักเก้าอี้ สีหน้าทุกข์ทนนัยน์ตาช้ำไม่มีน้ำตา
“ผ่องหรือนั่น” ท่านหญิง ขยับตัวนั่งตรง
“มังคะ”
“มีอะไร ลูกชายเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณชายหลับแล้วมังคะ ท่านหญิงมีพระประสงค์อะไรไหมมังคะ”
“สิ่งที่ฉันประสงค์มันเป็นไปได้หรือผ่อง”
ผ่องร้องไห้ทันที ก้มหน้านิ่งเช็ดน้ำตา เสียงสะอื้นเฮือกๆ อย่างอดไม่ไหว
“อย่าร้องไห้เลยผ่อง ไหนๆ เขาก็ไปแล้ว ไม่มีวันกลับมาได้อีก”
“หม่อมฉันคิดถึงพี่เฟือง แกช่วยหม่อมฉันหลายเรื่อง อับจนทุกทีก็ได้แก ที่มาเลี้ยงคุณชายก็ด้วยมังคะ”
“ขอบใจผ่อง เฟืองรู้คงดีใจ”
“พี่เฟืองฝากจดหมายถวายท่านหญิงด้วยเพคะ”
“เอ๊ะ ทำไมแกไม่บอกฉัน มาบอกทำไมป่านนี้”
“พี่เฟืองสั่งเด็ดขาดให้ถวายจดหมาย ตอนพี่เฟืองไปแล้ว หม่อมฉันคิดว่าพี่เฟืองหมายถึงตอนตำรวจเอาตัวไป”
“ไหนล่ะจดหมาย”
ท่านหญิงเปิดจดหมายอ่านทันที
จดหมายกระดาษยับๆ มีรอยน้ำตาเป็นดวงๆ และเป็นลายมือเขียนผิดๆ ถูกๆ เหมือนนางเฟืองมาอ่านให้ฟัง
“อย่าทรงโสกเส้าเมื่อหม่อมฉันไปแล้ว หม่อมฉันจากไปแต่ร่าง หัวใจและวินยานยังคอยเฝ้าดูท่านหญิงสะเม๋อ” ตัวหนังสือโย้เย้

ท่านหญิงเริ่มน้ำตาไหล สะอื้นแรงขึ้นๆ ด้วยความว้าเหว่และอาดูรยิ่ง เสียงสะอื้นดังสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งห้อง

อีกวันถัดมา ภายในครัววังรังสิยา สาลี่ต้มข้าวต้มคนอยู่ไปมา โดยมีผ่องนั่งคอย คนอื่นๆ ทำงานไปตามหน้าที่เด็ดผัก ล้างจาน เช็ดจาน กันไป
“แม่ผ่อง ท่านหญิงไม่เหวยเลยนะ ฉันทำเครื่องอะไรไปเท่าไหร่ก็กลับลงมาเท่านั้น แม่ไม่สังเกตบ้างเหรอแม่ผ่องศรี” สาลี่ปรารภ
“ฉันทูลแล้วว่าต้องเหวย...ท่านไม่เหวยฉันจะทำยังไงล่ะพี่สาลี่ พี่เฟืองเขาก็ไม่อยู่แล้ว เขาเคยทูลแล้วท่านก็ยอมเหวย”
สาลี่ฉุน “นี่ไม่ต้องพูดถึงชื่อนี้ได้มั้ย ไม่อยากฟัง”
“เรื่องจริงนี่พี่สาลี่”
“เรื่องจริงก็ไม่ต้องพูด แกจะตั้งตัวเป็นนังเฟืองเบอร์สองรึ”
“ทำไมต้องหาเรื่อง ชั้นไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้น”
“เออ อย่าคิดแล้วกัน ลูกพี่ไม่อยู่อย่ามาทำเป็นเบ่ง อวดดี ประจบท่านหญิง ท่านไม่เหวยก็ตามทัยท่าน”
“พี่สาลี่ ชั้นไม่ใช่คนอย่างนั้น พี่หาเรื่องฉันทำไม” ผ่องไม่พอใจ
“เออ งั้นก็พยายามทูลท่านหญิงให้เหวย เดี๋ยวจะทรงไม่สบายไป”
“ฉันสังเกตว่าตั้งแต่ฉันเอาจดหมายพี่เฟืองถวายนั่นแหละ ท่านก็ไม่เหวยอีกเลย”
“อ๋อ ชะ..ชะ ตายโหงไปแล้วยังอาละวาดอีกรึนี่ นังเฟือง นังตัวร้ายกาจ มันตายไป ยังทิ้งซากร้ายกาจไว้อีกเหรอเนี่ย”
สีหน้าผ่องสลดด้วยความสงสารนางเฟือง
“เอ้า...เสร็จแล้ว ทูลท่านหญิงให้เหวยให้ได้นะ แม่ผ่อง”
“รับสั่งไม่ให้ทูลท่านชาย แต่ยังไงนะฉันก็จะทูลล่ะ มันผิดปกติเหลือเกิน เดี๋ยวประชวรหนักไปฉันโดนกริ้วตาย” ผ่องว่า

อีกวันหนึ่ง ท่านชายรังสิโยภาส เดินเข้ามาภายในห้องท่านหญิงแขไขเจิดจรัส พร้อมกับหมออรุณ วัยราว 50 ปี
“หญิงแขไข พี่พาหมออรุณมาตรวจ ลุกไหวมั้ย”
ท่านหญิงลืมตาอย่างลำบาก ตอนนี้อาการหนักมากกว่าเก่า
“เป็นยังไงบ้าง” ท่านชายถาม
“ไม่เป็นไร.....ยังไม่ตาย” ท่านหญิงตอบด้วยเสียงแหบแห้ง
ท่านชายสะดุ้ง ฉุกใจ และแปลกใจ ทำไมเสียงห้วน ห้าว คล้ายเสียงนางเฟืองอย่างนี้
“หมอ...” ท่านชายพยักหน้าให้หมออรุณลงมือตรวจ
จากนั้นท่านชายเดินไปพิงหน้าต่าง จ้องมองที่หมอเข้าไปตรวจ แต่ท่านหญิงหันหน้ามาทางท่านชาย สบตากันนิ่ง สายตาท่านหญิงแข็งกร้าวน่ากลัว ผิดกับอากัปกิริยาที่ปวกเปียก ป่วยหนัก
ท่านชายพระทัยเต้นแรง แปลกใจและสงสัย
สักครู่ ท่านหญิงก็เปลี่ยนสายตาเป็นท่านหญิงแขไข ที่กิริยาอ่อนลง หันไปพยักหน้าให้หมออรุณตรวจ
หมอตรวจ โดยหันหลังให้ท่านชาย
“วันนี้เผาศพคนของฉัน หมอจัดยาให้ฉันมีแรงลุกไปวัดด้วย” ท่านหญิงเอ่ยขึ้น
“กระหม่อม ถ้าอย่างนั้นฉีดยานะกระหม่อม”

วันรุ่งขึ้น แลเห็นปล่องไฟของเมรุวัดแห่งหนึ่ง มีควันไฟลอยเป็นสาย น่าประหลาดที่ควันนั้นลอยไปที่หน้าวัง ซึ่งพระเดินท่าทีสงบมาบิณฑบาตรเป็นแถว สนเดินนำมา
ท่านหญิงคอยใส่บาตร มีผ่องและสาลี่คอยช่วยอยู่ ท่านหญิงใส่บาตรทีละรูปๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ความสะเทือนใจฝังลึกอยู่ในสีหน้า
ท่านหญิงคิดอยู่ในใจ
“เฟือง ไม่ต้องเป็นห่วงหญิง หญิงจะอยู่ให้ได้ เพราะหญิงรู้ว่าเฟืองอยากให้หญิงมีชีวิตอยู่”
มือท่านหญิงหยิบของใส่ลงในบาตร
“เดี๋ยวใส่บาตรเสร็จ หญิงจะไปเก็บกระดูกเฟือง เฟืองจะได้อยู่กับหญิงตลอดไป”
ท่านหญิงคิดในใจ

ท่านหญิงถือโกศใส่กระดูกนางเฟืองใบเล็กๆ ทำด้วยไม้ อยู่ในมือ เดินมาที่หน้าห้องพระของวัง
“อยู่กับหญิงนะเฟือง”
เสียงท่านชายดังขึ้น “หญิงแขไข”
“จะเอากระดูกนังเฟืองไปไหน”
สีหน้าท่านหญิงฉุกใจคิด
“หญิงแขไขพี่ถาม”
“ไว้ที่ห้องพระ” ท่านหญิงบอกเสียงอ่อน
“คงไม่ได้”
ท่านหญิงมีสีหน้าเป็นเชิงว่า...นึกแล้ว
“หวังว่าคงเข้าใจ อัฐิของบรรพบุรุษเจ้านายราชสกุลรังสิยาหลายองค์จะอยู่ปะปนกับกระดูกของไพร่ในวังอย่างนังเฟืองได้ยังไง ถ้าพระญาติองค์ไหนเกิดทรงทราบ...”
ท่านหญิงขัดทันที “หญิงจะหาที่อยู่ให้เฟืองเดี๋ยวนี้ ประทานอภัยด้วยที่หญิงไม่มีความคิด”
“ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างนั้น พี่รู้ว่าเธอเข้าใจ แต่ประชดประชันทำไม พี่อนุญาตให้จัดงานเผาศพมันอย่างที่เธอต้องการ สวด 7 วัน เกินฐานะคนใช้ พี่เตือนแค่นี้เธอยังไม่พอใจอีกหรือ”
ท่านหญิงเดินออกไปเงียบๆ จนท่านชายหน้าตาขุ่นมัว อารมณ์โกรธกริ้วขึ้นมาทันที
“อะไรดลใจเธอหญิงแขไข ถึงจะเอากระดูกของนังไพร่ร้ายกาจคนนี้มาปะปนกับพระอัฐิของเจ้านาย กระดูกของมันน่ะน่าเอาไปขุดหลุมฝังให้ลึกที่สุดไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย”
ท่านหญิงหยุดฟังท่านชายพูดจนจบ แล้วเดินออกไปเงียบๆ
ไฟจากเทียนที่จุดอยู่ในห้องพระดับวูบลงทันที พร้อมลมกรรโชกแรงเข้ามาในห้อง
ท่านชายไม่มีสะดุ้งสะเทือน จุดไม้ขีดที่เทียนใหม่ แต่ก็ดับวูบลงอีก
ท่านชายพึมพำ “มึงจะเฮี้ยนแค่ไหนกูก็ไม่กลัว มาสิวะ เก่งจริงมึงออกมาสิวะ นังปีศาจ”
ทั่วทั้งห้องขณะท่านชายพึมพำ เหมือนมีลมพัดไปมาอยู่ในห้อง

เวลาผ่านไปอีก
วันนี้ท่านหญิงนั่งพับเพียบอยู่กลางเตียง ก่อนจะหันหน้าไปทางหัวเตียง ก้มหน้านิดๆ
ผ่องอุ้มคุณชายศักดินา วัย 5-6 เดือนเข้ามา
“ท่านหญิงจะให้คุณชายอยู่นานสักเท่าใดมังคะ”
ท่านหญิงนิ่ง
“ถ้าอยู่นานหม่อมฉันจะขอประทานอนุญาตไปที่ครัวสักชั่วครู่มังคะ”
ท่านหญิงพยักหน้า ผ่องเอาคุณชายไปส่งให้ ท่านหญิงรับคุณชายไปวางตรงหน้า
นัยน์ตาท่านหญิง จ้องที่คุณชายแล้วยิ้มออกมา แต่เป็นยิ้มที่ประหลาดล้ำ
ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณนางเฟืองกำลังสิงร่างท่านหญิงอยู่ กิริยาท่าทางท่านหญิงดูแปลกไป แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น

ผ่องออกมาปิดประตูลง พอจะเดินไป ชะงักกึก สีหน้าแปลกใจมาก
ได้ยินเสียง คุณชายศักดินา หัวเราะเสียงดัง เหมือนกำลังเบิกบานใจสุดขีด
ค่ำคืนหนึ่งฝนตกกระหน่ำ ตัวตึกวังรังสิยามีไฟเปิดไว้เป็นบางห้อง แต่ชั้นบนเปิดไฟไว้สว่างไสว ที่หน้าต่างห้องบรรทมท่านหญิง ผ้าม่านหน้าต่างปลิวไสว
แลเห็นเงาของท่านหญิงเดินลับตัวไป แล้วเดินกลับมาลับตัวไปอีกข้าง จากนั้น เดินไปมาอีกเที่ยวหนึ่ง
ส่วนที่ห้องทำงานท่านชายเวลานั้น ท่านชายกำลังทรงอักษรที่โต๊ะตัวใหญ่
ส่วนคุณชายศักดินาหลับปุ๋ย ผ่องวางลงในเปล ตบก้นเบาๆ
ด้านสาลี่กำลังปิดประตูครัว มีพิกุลยืนกางร่มรอ ละมัยกางร่มอีกคัน วิ่งมาคอยจะกลับเรือนพักด้วยกัน
ระหว่างนั้นสนวิ่งฝ่าฝนมาจะเข้าตึก มองขึ้นไปแล้วชะงักกึก แหงนมองไปที่หน้าต่างห้องท่านหญิง เห็นท่านหญิงยืนพิงหน้าต่าง ทำท่าเหมือนกำลังคุยกับใคร สนเพ่งมอง แล้วขยับจะไปให้ใกล้กว่านั้น ตรงใต้หน้าต่าง
ฉับพลัน จังหวะที่สนขยับตัวเข้าไปใต้หน้าต่าง เงยหน้าขึ้นมองไป เกิดฟ้าผ่าดังเปรี้ยงใหญ่ แสงวาบเป็นทางลงมาอย่างน่ากลัว
สนล้มโครม สาลี่คะมำ ร่มในมือพิกุลปลิวหลุดจากมือ
คุณชายศักดินาร้องจ้าเต็มเสียง ผ่องผวาเข้ามาหา
ท่านชาย วางหนังสือ
ทั่วทั้งวังรังสิยา ไฟดับมืดลงทั้งตึก เสียงร้องของชายเดียวดังก้องตึก
สนตะเกียกตะกายลุกขึ้น สาลี่ ละมัย พิกุล ทรงตัวลุกขึ้น เซไปเซมา เพราะฝนยังกระหน่ำหนักผ่องปลอบโยนคุณชายศักดินา
“เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอก มาจุดตะเกียงให้ด้วย”
สนพยายามลุกขึ้น
เสียงท่านชายดังขึ้น “ไอ้สน ไอ้สนโว้ย อยู่ไหนวะ” แต่เป็นเสียงแว่ว ๆ พอได้ยิน
“อยู่นี่กระหม่อม” สนลุกขึ้นได้ แต่ไม่วายแหงนไปดูหน้าต่างห้องท่านหญิงอีกรอบ
เห็นเงาท่านหญิง เหลียวไปเหมือนได้ยินเสียงท่านชาย จากนั้นหันมาพูดกับนางเฟืองที่ยืนท่าทีอ่อนน้อมอยู่ข้างตัว คำพูดประมาณ ไปก่อนนะ แถมยกมือตบไหล่นางเฟืองด้วย แล้วเดินลับตัวไป
สนยืนตัวแข็งทื่อ ขยี้ตาอยู่ไปมา ตกใจสุดขีด
วันรุ่งขึ้น
ตัวละครสน สาลี่ พิกุล ละมัย ประนอม คนสวน(ไม่มีบท)
คนสวนลากกิ่งไม้ เศษไม้ จับใบไม้ที่ร่วงหล่นมากองไว้ด้วยกัน พิกุลเก็บของ ถ้วยชามรามไห
“ตาฝาด เจ้าสน ฉันว่าแกตาฝาด” สาลี่เคี้ยวหมากหยับๆ
“นั่นสิ ฝนมันตกหนัก ฉันอาจจะตาฝาดไปก็ได้”
ละมัยเดินมาจากตำหนัก
“คุณชายเดียวไม่สบาย ป้าผ่องให้หนูมาต้มน้ำร้อนจะอาบน้ำ”
“เรื่องอะไร้ จะอาบน้ำทำไม เด็กเป็นไข้ยังจะอาบน้ำ”
“ท่านหญิงทรงเรียกหมอมาจากโรงพยาบาล หมอหนุ่มด้วยล่ะป้า เขาจะอาบน้ำหรือเช็ดตัวนี่แหละ” ละมัยบอก
“หมอหนุ่มๆ จะเป็นประสาอะไรเดี๋ยวท่านหญิงก็ทรงเพ้ย เอาหรอก” เพ้ย...ที่สาลี่บอกตอนท้ายหมายถึงเอ็ดนั่นเอง

หมอหนุ่มท่าทางสุภาพ แต่ดูมั่นอกมั่นใจ ดึงผ้าห่มออก ถอดเสื้อจนทารกคุณชายศักดินาเปลือยล่อนจ้อน ผ่องตาโต ยกมือทาบอกตกใจ
“หมอ ทำไมทำอย่างนี้ ลูกฉันมิหนาวตายหรือเนี่ย ตายแล้ว ไม่เคยพบเคยเห็น คนเป็นไข้ถอดเสื้อเหลือตัวล่อนจ้อน” ท่านหญิงทักท้วง
“ต้องลดอุณหภูมิร่างกายกระหม่อม คุณชายอาจจะชักได้ ถ้าไข้ขึ้นสูงไป” หมอบอก
“ไข้สูงมีแต่ต้องห่มผ้าหนาๆ หมอรู้เรื่องรึเปล่า โบร่ำโบราณบอกไว้”
“ได้โปรดทรงเชื่อกระหม่อมสักครั้งเถิด” หมอว่า
ท่านหญิงมอง ขมวดคิ้ว “ฉันสงสารลูกชาย ดูสิ..เป็นไข้ต้องนอนแก้ผ้า”
“เดี๋ยวทอดเนตรแล้วกันกระหม่อม”
“แล้วไงปล่อยให้หนาวอย่างนี้หรือ” ท่านหญิงฉงน

ครู่ต่อมาผ่องเช็ดตัวคุณชาย หมอไม่อยู่แล้ว
“เช็ดเร็วๆ เถิดผ่อง ฉันเชื่อหมอ แต่ก็ไม่อยากเห็นชายเดียวนอนไม่ใส่อะไรเลยทั้งๆ ที่เป็นไข้”
ผ่องเช็ดเสร็จ หยิบเสื้อผ้ามา ท่านหญิงหันหลังให้ ยืนที่หน้าต่าง มองออกไปไกลๆ เห็นเพียงด้านหลัง
“เสร็จแล้วมังคะ ละมัย เอาเสื้อกับผ้านี่” ผ่องหมายถึงผ้าห่ม “ไปซักนะ ท่านหญิงมังคะ”
จังหวะนี้ลมกรรโชกเข้ามาวูบหนึ่ง
“ละมัย เดี๋ยว หยิบผ้าผวยมาเพิ่มอีกผืน ลมแรง” ท่านหญิงถามหา ผ้าผวย หรือผ้าห่มนั่นเอง
“ค่ะ น้าผ่อง” ละมัยออกไป
ผ่องเดินไปใกล้ “ท่านหญิงมังคะ”
ท่านหญิงหันกลับมาช้าๆ หน้าตาแปลกไป
ผ่องไม่ได้ดูหน้า “คุณชายตัวเย็นแล้วมังคะ”
“ฉันจะพาไปเฝ้าเด็ดพ่อเธอ”

ห้องบรรทมท่านชายในวันรุ่งขึ้น สนช่วยถอดฉลองพระองค์ท่านชาย กลับจากงานพระราชพิธี
“ข้าต้องไปคนเดียว งานพระราชพิธีอย่างนี้ท่านหญิงไม่ยอมไปกับข้า ไอ้สน เอ็งรู้มั้ยว่าผู้คนเขามองข้ากันทั้งงาน”
“หม่อมได้ยินท่านหญิงทูลว่าจะไม่เสด็จด้วยตั้งแต่เมื่อวาน”
“เออ...เออ ก็ใช่น่ะสิ แล้วมันเป็นอะไร ฮึ...ไอ้สน ข้าว่าวังนี้อะไรๆ มันก็วิปริตไปหมด ตั้งแต่อีเฟืองมันตายโหงไปเนี่ย”
สนทำท่าเหมือนจะเล่าบางอย่าง “เมื่อคืน...”
ท่านชายฉงน “ทำไม”
“เมื่อคืนพี่เฟืองเขามากระหม่อม”
ท่านชายหยุดกึก สายตาเข้มขึ้น “มาที่ไหน”
“มา...มาที่ห้องบรรทมท่านหญิง”
“ตอนไหน ตอนพายุมาใช่มั้ยวะ”
“หม่อม...”
“เอ็งอย่าพูดอะไรเหลวไหลไอ้สน...เอ็งรู้ได้ไง”
“หม่อมเห็น”
มีสายลมพัดวูบมา...แรง ๆ สนผวาสะดุ้งสุดตัว “โอ๊ย...”
“นังเฟือง...มึงเรอะ เออมึงมาเลย กูไม่กลัวมึงหรอก เก่งจริงออกมาให้กูเห็นตัวมึงสิอีนังไพร่ ตายแล้วไม่อยู่ส่วนตายเรอะมึง”
เงียบ...แต่เหมือนมีเสียงถอนหายใจยาว แผ่วๆ ฟังแล้วเสียวสันหลัง
“ท่านชายหม่อม...ท่านชาย เสียงอะไรหม่อม”
“เสียงมันน่ะสินังปีศาจ มึงเก่งจริงอย่าแค่ส่งเสียงสิวะ ออกมาเลย ออกมาให้กูเห็นว่ามึงน่ะเฮี้ยนจริง”
“ท่านชายหม่อม อย่าทรงท้าทายผีนะหม่อม”
“เฮ้ย กูไม่กลัวเว้ย กูอยากให้มันมา ดูซิมันจะทำอะไรกูได้ มันมีชีวิตอยู่มันก็เป็นบ่าวกู ตายไปแล้วมันจะมีปัญญาทำอะไรกู ฮะ...” ท่านชายตรัสดังขึ้น “อีนังเฟือง ถ้ามึงขืนมารบกวนคนของกูอีก กูจะให้คนมาจับมึงถ่วงน้ำไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลยเว้ย”
มีเสียงแสดงความโกรธของนางเฟืองดังแผ่วๆ สนเงยหน้า แล้วแทบจะช็อคตาย
ผีนางเฟือง ยืนท่วมห้องถึงเพดาน อยู่ด้านหลังท่านชาย จนหลังชนเพดาน แล้วโน้มตัวแนบกับเพดานห้องก้มลงมาเกือบถึงท่านชายอยู่แล้ว สีหน้าโกรธเกรี้ยว
สน ชาไปทั้งตัว ก้าวขาไม่ออก
“ไอ้สน”
สนค่อย ๆ ขาอ่อนพับลงไปนอนกับพื้น
ท่านชายเหลียวไปมองด้านหลัง ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่เห็นอะไร
“ไอ้สน...ขวัญอ่อนจริงนะเอ็ง”
แล้วท่านชายก็ก้าวข้ามขาของสนไป

บริเวณบันไดทางลงชั้นสอง ท่านหญิงอุ้มคุณชายศักดินาเดินมาถึงบริเวณนั้น เดินมาช้าๆ ตัวแข็งๆ นิดๆ
สีหน้าท่านหญิง นิ่ง....เย็น ยิ้มเหมือนหุ่น ก้มลงมองชายเดียว ท่านชายกำลังลงบันไดมา
ท่านหญิงพูดกับศักดินา “คุณชายขา ท่านพ่ออยู่นั่น” สุ้มเสียงเหมือนนางเฟืองพูดไม่มีผิด
ท่านชายก้าวลงมา
“เจ้าพี่คะ”
ท่านชายเหลียวมา มองเห็นท่านหญิงอุ้มคุณชายศักดินาจ้องตาเป๋งลงมา แววตาประหลาด แล้วเริ่มยิ้ม แต่เป็นยิ้มเยาะหยัน ท่านชายช็อก มองไป เห็นนางเฟืองซ้อนอยู่กับตัวท่านหญิง
“นังเฟือง” ท่านชายกระพริบตาถี่ๆ
นางเฟืองยังอยู่กับท่านหญิง ยิ้มหยามหยันไม่กลัวแม้ความตาย ท่านชายโบกมือไล่
ท่านหญิงเดินเข้าหา แต่ท่านชายหนี ท่านหญิงเดินเข้า
จนในที่สุด ท่านชายเสียหลัก กลิ้งหลุนๆ ลงบันได ร้องเสียงโหยหวน
ท่านหญิงยืนจ้อง ร่างนังเฟืองค่อยๆ เลือนรางออกไป ท่านหญิงคืนสติร้องกรี๊ดสุดเสียง
ผ่องวิ่งถลาออกมาจากห้องคุณชายศักดินา
“ท่านหญิงมังคะ” แล้วไปรับคุณชายจากท่านหญิง

ผ่องมองลงไป เห็นท่านชายนอนคว่ำหน้า แน่นิ่งอยู่เชิงบันได ไม่รู้เป็นหรือตาย ขณะที่ท่านหญิงช็อกสุดขีด

อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น