ข้อความในรูปแบบนวนิยายจากบทโทรทัศน์ เรื่อง "วันนี้ที่รอคอย" และรูปภาพในเว็บไซต์ "ละครออนไลน์" เป็นลิขสิทธิ์ถูกต้องที่ บริษัท ไทยเดย์ด็อทคอม จำกัด ได้รับสิทธิ์ในการเผยแพร่จากผู้ประพันธ์ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ บริษัทผู้ผลิต และสถานีโทรทัศน์ หากบุคลผู้ใด นำส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด ไปเผยแพร่ ในเว็บไซต์, บล็อกส่วนตัว ฯลฯ หรือในรูปแบบใดๆ จะถูกดำเนินการตามกฎหมายทันที
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 5
ทางด้านเหม่ยอิงเดินเข้ามาหาผู้กองเหลียง ที่นั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ในสปอร์ตคลับหรูแห่งหนึ่ง
“ตรงเวลาที่สุด เชิญนั่งสิครับ เอ่อ...คุณเหม่ยอิงทราบใช่มั้ยครับว่าคุณชายจ้าวซันไปต่างประเทศ ตอนนี้”
“หา..เป็นไปได้ยังไง” ผู้กองเหลียงหัวเราะเบาๆ
“ด้วยเครื่องบินเล็ก ไปประเทศไทย”
“จริงเหรอคะ ผู้กอง”
“จริงสิ เขาส่งเทียบเชิญองค์ชายศิขรนโรดมแห่งคีรีรัฐมาเยือนฮ่องกงในไม่กี่วันนี้ แล้วตอนนี้องค์ชายคนนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ การไปเมือไทยแบบลับๆ วันนี้ มันเกี่ยวกับแผนการรับเสด็จหรือเปล่าครับ”
“พี่ชายใหญ่กำลังทำอะไร เค้าไม่ยอมให้เหม่ยอิงทราบเลยค่ะ”
“ผมก็แค่อยากทราบรายละเอียดของงาน จะได้เตรียมตัวถวายอารักขาให้เต็มที่”
“แล้วทำไมไม่ถามพี่ชายใหญ่เองเลยล่ะคะ”
“คือ ผมก็คิดจะถามอยู่นะครับ แต่พอดีว่า ผมคิดถึง อยากเจอคุณด้วย”
“เสียใจด้วยนะคะผู้กอง งานนี้พี่ชายใหญ่กีดกัน ไม่ให้เหม่ยอิงรับรู้อะไรเลย”
“แปลกจังงานนี้ ทำไมคุณชายไม่โชว์น้องสาวคนสวยและเก่ง ให้พวกประเทศหลังเขาได้ชมเป็นขวัญตา”
“พี่ชายเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเหม่ยอิง ไม่เป็นไรสักวันเหม่ยอิงจะพิสูจน์ให้พี่ชายเห็นว่าเหม่ยอิงมีค่ามากกว่านังผู้หญิงไทยคนนั้น”
“ผู้หญิงไทย”
เหม่ยอิงเชิดหน้า
“ช่างมันเถอะค่ะ แล้วผู้กองจะเลี้ยงอะไรเหม่ยอิงล่ะคะ อยากเมาจังเลยตอนนี้”
ผู้กองเหลียงมองตาปรอย รู้สึกผู้หญิงคนนี้ช่างจี๊ด โดนใจ
ที่บ้านสี่ฤดูของจ้าวซัน ผิงอันพยายามเขย่าๆ ตัวบราลี
“พี่เหม่ยอิงบอกอะไรพี่ พี่บรี ทำไมพี่เป็นแบบนี้”
“พี่ไม่ได้เป็นอะไร แค่พี่ไม่อยากรับอะไรจากพี่ชายใหญ่ของเธออีกแล้ว มันจะไม่ดี”
“ไม่ดียังไง”
“บางที ฉันควรกลับบ้านแล้วจริงๆ ไม่ว่าคุณพ่อจะอ้างเหตุผลอะไร ฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
“บรี พี่ชายชั้นเป็นคนดี เธออย่าเข้าใจผิด”
“เขาเป็นคนดีที่แปลกๆ มากนะ ผิงอัน เขามาให้รถชั้นใช้ พยายามสร้างงาน สร้างสถานการณ์ให้ชั้นต้องอยู่ใกล้ชิดเขามากๆ เพื่ออะไรล่ะ”
“เพราะพี่ชายชอบบรีไง”
“เขาไม่มีสิทธิ์มาชอบฉัน”
“ทำไมพี่ชายจะไม่มีสิทธิ์”
“เพราะ...” บราลีตัดสินใจไม่พูด “ช่างเถอะ ชั้นไม่อยากเป็นตัวปัญหาของชาวบ้าน เอางี้ผิงอัน ถ้าเธออยากจะเรียนกับฉันต่อ มาเรียนที่บ้านฉัน ฉันจะไม่มาที่นี่อีก” บราลีวางกุญแจรถลง “แล้วนี่ กุญแจรถ ฝากคืนให้คุณชายจ้าวซันด้วย”
“แล้วคุณจะกลับยังไง” อม่าถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันกลับได้ก็แล้วกัน”
“งั้น อิฉันจะให้คนรถไปส่ง”
“ไม่ ไม่ต้องให้ใครมาบริการฉันอีก ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น อย่าตามตื๊อฉัน ถ้าอยากเรียนกับฉัน เราต้องปรับท่าทีของพวกเราทุกคนใหม่ ไม่มีการทำตัวสนิทสนมกันเองเป็นพิเศษอีกแล้ว”
บราลีเดินออกไปอย่างหยิ่ง ทระนง ผิงอันร้องไห้
“พี่เหม่ยอิงทำอะไร ทำไมบรีเปลี่ยนไป”
อาม่ากอดปลอบ
บราลีเดินหอบหนังสือการสอนออกมาหน้าประตูบ้าน แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมา
“สอนหนังสือน้องสาวผมเสร็จแล้วหรือครับ สนุกมั้ยครับ”
บราลีหันไปมอง พบว่าฉินเจียงเดินตามมา
“คุณ...คุณชายรอง จ้าวฉินเจียง”
“เป็นเกียรติของผมมากที่คุณบราลีจำชื่อผมได้ด้วย” บราลีระแวง ไม่ไว้ใจ
“ชั้นสอนเสร็จแล้ว ไปก่อนนะคะ บายค่ะ”
“เดี๋ยวสิครับ ผมมารอคุณอยู่ตั้งนาน เห็นหน้าก็ลากันเลยเหรอ”
“คุณมาดักรอพบชั้น”
“อย่าให้ผมอธิบายเลยว่าทำไมผมไม่อยากเข้าไปข้างใน ผมมีปัญหากับพี่ชายใหญ่นิดหน่อย แต่พอดีผมมีธุระจำเป็นตั้งใจมารอคุณโดยตรง เพราะผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วย”
“อะไรคะ”
ฉินเจียงเดินไปเปิดประตูรถตัวเอง ที่จอดอยู่ใกล้ๆ
“ไปคุยกันในรถดีมั้ยครับ”
“ไม่ดีค่ะ”
“คุณกลัวผม”
“ชั้นไม่รู้จักคุณต่างหาก เราคุยกันที่นี่ ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ธุระของคุณมันคงไม่ใช่ความลับใช่มั้ยล่ะคะ แต่ถึงใช่ ตรงนี้ก็ไม่มีใครอยู่ดี พูดมาเลยค่ะ” ฉินเจียงอมยิ้ม
“คุณบราลีครับ ผมเป็นไท้เผ่ง ผมเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำร้ายสุภาพสตรีแน่ และผมสาบานได้ว่าเรื่องที่จะให้คุณช่วย ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ทำให้ใครเสียใจ คุณไม่ต้องกลัวผม ใครจะพูดถึงผมว่ายังไง คุณอย่าเพิ่งตัดสินผม ให้โอกาสผมสักครั้ง ไว้ใจผมนะครับ” บราลีชั่งใจ
“คุณรู้ใช่มั้ยคะว่าคุณพ่อของชั้นคือใคร พลตรีสุริยะ ภีมะมนตรี เป็นทหารนอกราชการที่ประเทศไทย ไม่ใช่คนที่คุณจะมาล้อเล่นได้” ฉินเจียงหัวเราะ
“คุณอยากให้ผมโทรขออนุญาตพ่อคุณก่อนเหรอครับ ไหนว่าจบมาจากอเมริกา ทำไมทำตัวเบบี๋จัง”
บราลีถลึงตาใส่ ฉินเจียงยิ้มยั่วๆ บราลีคิดๆ แต่ไม่อยากทำตัวว่าอ่อนแอ ขี้ขลาด ตัดสินใจ เดินไปขึ้นรถ ฉินเจียงยิ้มมุมปาก
ห้องพักในโรงแรม ศิขรนโรดมนั่งเปิดแผลที่แขนจะทำความสะอาด แต่ก็เจ็บและแสบมาก ต้องร้องซี้ด
มิถิลาเดินออกมาเห็น อึ้งไป ศิขรนโรดมเงยหน้าขึ้นมาเห็นมิถิลา ทำท่าจะเลิกทายา ลุกขึ้น
“ฝ่าบาทเจ็บมาก ควรไปพบแพทย์”
“เล็กน้อยมาก ไกลหัวใจนัก เป็นชายชาติทหาร แผลแค่นี้รักษาตัวเองได้”
มิถิลาเข้าไปนั่ง จับแขนไว้
“หม่อมฉัน ทำให้เพคะ”
“เพคะ”
“คือ...หม่อมฉันใช้คำราชาศัพท์ไม่คล่อง ย่อมพูดผิดๆ ถูกๆ ไปบ้าง แต่หม่อมฉันคิดว่า การที่พระองค์ไม่ยอมเสด็จโรงพยาบาล และให้เขาทำแผลดีๆ แล้วทุกคนก็ไม่ขัดพระทัย แบบนี้มันจะดีหรือ” มิถิลาจัดการเอาสำลีชุบยาล้างแผลอย่างคล่องแคล่ว
“เจ้าช่วยชีวิตเรา มิน เจ้าคือเพื่อน” ศิขรนโรดมจับมือมิถิลาไว้ มิถิลาถึงกับอึ้ง
“ฝ่าบาทต่างหาก ที่ช่วยชีวิตกระหม่อม หากทรงปล่อยหัตถ์ หม่อมฉันคงตายไปแล้ว”
“เจ้ารู้ตัวไหม มิน ว่าเจ้าทำลายแผนการของพวกเขา”
“พวกเขา”
“ราชิด เขาวางแผนจะฆ่าเราในโอกาสมาต่างบ้านต่างเมืองคราวนี้แน่ๆ เขากันลูกชายเขาไว้ ไม่เช่นนั้นอสุนีต้องมารับเคราะห์นี้แทนเจ้า ราชิดเขาจัดการทุกอย่างไว้รัดกุมแล้ว น้องสาวของอสุนีก็เป็นนางกำนัลควบคุมตัวแม่เราอยู่ ถ้าเขาฆ่าเราสำเร็จ ครอบครัวเขาขึ้นเถลิงอำนาจแน่นอน อสุนีอาจเสียใจบ้างในทีแรก แต่สักพักเขาก็ต้องยอมรับสิ่งที่พ่อเขามอบให้...น่าอนาถจริงๆ ความโลภ ไม่เคยปรานีคนเลว ไอ้คืบจะเอาศอก อยากได้อำนาจ จนถึงกับคิดฆ่าคน แล้วจะต้องฆ่าอีกกี่คน แล้วตัวเขาจะอยู่ค้ำฟ้าหรือก็เปล่า” มิถิลาเศร้าใจ น้ำตาไหลออกมา “มิน...เจ้าร้องไห้ทำไม”
มิถิลารีบเช็ดน้ำตา
“กระหม่อม เสียใจที่พลเอกราชิดเป็นเช่นนี้ ไม่น่าเลย”
ศิขรนโรดมนั่งลงข้างๆ โอบไหล่ ตบเบาๆ
“เราร้องไห้มามากแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้เราจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว มันไม่มีประโยชน์ มิน...เราต้องสู้ ไม่สู้ ก็ตาย หรือยอมแพ้ มีแค่นั้นเอง มีให้เลือกสามทาง”
ทั้งสองนั่งอยู่เช่นนั้น ครุ่นคิด มิถิลาลอบมองหน้าศิขรนโรดม ถ้ารู้ว่าตนคือใครเขาจะทำไงนะ อยู่ๆ ศิขรนโรดมมองหน้าใกล้ มิถิลาตกใจ ผงะ
แต่แล้วศิขรนโรดมกลับดึงตัวเธอไปกอดไว้ มิถิลาถึงกับช็อค!
ส่วนจ้าวซันหลบมาอยู่อีกมุมหนึ่งของโรงงานสุริยะ ถือน็อต 3-4 ตัวนั้นไว้ในมือ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเงียบขรึม เย็นชา สุริยะหน้าซีด ภูสินทรมองๆ แล้วเข้าไปคุกเข่า
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า กระหม่อมสมควรตาย”
“ไอ้ราชิดขอให้ลูกน้องเข้ามาเคลียร์พื้นที่ในโรงงานเราก่อน อ้างว่าไม่มั่นใจว่าเรารักษาความปลอดภัยดีพอหรือเปล่า ที่แท้มันกลับวางแผนมาอย่างดี”
จ้าวซันทนไม่ไหว หันมา
“เคยบอกแล้ว ว่าอย่าให้มีช่องโหว่ ถ้าพวกมันไม่แน่จริง ตัวเราคงไม่ต้องออกมาร่อนเร่เป็นเจ้าไม่มีศาล”
“ผมก็มัวแต่ดูแลองค์ชายศิขรนโรดมที่เอาแต่คึกคะนองเที่ยวเล่น”
“เป็นความผิดของกระหม่อมเอง ที่ไม่ได้...”
“พอเถอะ! ขอให้ทุกคนเอาบทเรียนครั้งนี้จำใส่สมองไว้ว่าพวกมันมีแผนฆ่าองค์รัชทายาทแน่ๆ และที่สำคัญ..ถ้าเราไม่มาเจอเหตุการณ์กับตัวเอง เราก็จะเพ้อไปว่าเราวางใจทุกคนได้ แต่ในความเป็นจริงเราไว้ใจใครไม่ได้เลยจริงๆ”
ทุกคนหน้าซีด ละอาย
ส่วนที่ฮ่องกง ฉินเจียงขับรถพาบราลีมาที่บ้านพักชายทะเล บราลีเอามือปิดแก้วไวน์ไว้เมื่อเกาเฟยกำลังจะรินไวน์ขาวให้
“พอค่ะ ดิฉันขอเป็นน้ำเปล่าดีกว่า” ฉินเจียงกำลังปิ้งอาหารทะเลอยู่เหนือเตาเล็กๆ “คุณบอกว่ามีเรื่องจะให้ดิฉันช่วย ช่วยอะไรกันคะ รีบบอกมาดีกว่า ดิฉันไม่อยากกลับดึก”
“คุณชอบบ้านนี้ไหม”
“บ้านคุณหรือ”
“บ้านผมสิครับ ผมเป็นไท้เผ่งฉินเย่ว์กรุ๊ปก็พอมีสมบัติสะสมไว้บ้าง แต่ขอยืนยันว่าผมรวยกว่าจ้าวซันแน่ คุณรู้ไหมว่าจ้าวซันเค้าไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย บ้านสักหลังก็ไม่มี แค่มาซุกหัวนอนอยู่ที่บ้านสี่ฤดูของตระกูลเราในฐานะผู้อาศัยเท่านั้นเอง”
“อ้อ...ที่จริงเรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง”
“ช่าย ผมขอให้คุณรู้ไว้ ว่าไม่ว่าจ้าวซันจะโม้ว่าตัวเองรวยขนาดไหน หรือเสนอว่าจะทุ่มทรัพย์สินอะไรให้คุณบ้าง มันคือเรื่องตลก คนๆ นี้เป็นแค่ลูกบุญธรรมของเต้ผม เป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า อพยพมาจากประเทศด้อยพัฒนาโลกที่สาม”
เกาเฟย แอบทำหน้าเคืองระคายหู
“คุณฉินเจียงคะ คือความจริงฉันไม่สนใจเรื่องของมิสเตอร์จ้าวซัน ถ้าเรื่องที่คุณอยากจะบอกเป็นเรื่องของเค้าฉันว่าฉันขอตัวกลับ ถ้าจะกรุณาช่วยโทรไปเรียกแท็กซี่ซักคัน”
“ใจเย็นๆ ครับ คุณผู้หญิง ไท้เผ่งของผมจะไปส่งคุณถึงบ้านอย่างสะดวกและปลอดภัยแน่ ช่วยดินเนอร์เป็นเพื่อนท่าน” เกาเฟยบอกแล้วเข้ามายืนปิดทางลงจากระเบียงนั้น
“สุภาพหน่อย เกาเฟย คุณบราลีเป็นสุภาพสตรีที่สูงส่งมากสำหรับชั้น คุณบราลีครับอย่ารังเกียจผมเลย ผมต่างจากจ้าวซัน ตรงที่เขาทำตัวเสแสร้งเก่ง เล่นละครไอ้ทุกบทบาท แต่ผมมันคนซื่อ โง่ ถูกเขากดขี่ รังแกมาตลอด มีความขมขื่น กดดัน เป็นปมในใจมาแต่เล็กๆ ผมชอบคุณตั้งแต่แรกพบ แล้วพอมารู้ว่าเขาก็ตามจีบคุณอยู่เหมือนกัน ผมก็เลยอดเศร้าใจไม่ได้ เพราะผมก็คงแพ้เขาตามเคย” บราลีอึ้ง “แต่ไม่เป็นไรครับ แค่คุณรับผมเป็นเพียงเพื่อน ผมก็ดีใจมากแล้ว เอาอย่างนี้เรามาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อย ขอโทษนะครับ คุณบราลี จะให้เกียรติผมหน่อยได้ไหม” ฉินเจียงส่งแก้วให้บราลีถือ “มา...ชนแก้วกัน ฉันเพื่อนหน่อยครับ”
บราลีอึ้งๆ แต่ก็จำยอม ทำท่าชนแก้วกับฉินเจียง
ส่วนที่เมืองไทย ราชิดกับโกศินยืนคุยกันอยู่ในสวนลอยฟ้าของโรงแรม ระหว่างต้นไม้มืดๆ ในสวน
“เสียดายจริง เราอุตส่าห์วางแผนอย่างแยบยลแล้ว คิดไม่ถึง ดวงพระชะตาขององค์ศิขรนโรดมช่างดีเหลือเกิน”
“เพราะไอ้ตัวเล็กนั่นตัวเดียว มิน่า องค์ชายถึงพกมันติดตัวตลอดเวลา มันไม่ธรรมดาอย่างนี้เอง”
“ไม่อยากจะเชื่อ ว่ามีทหารองครักษ์คีรีรัฐที่จงรักภักดียอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพระองค์ขนาดนี้ มันเกือบตายแทนองค์รัชทายาท เป็นโชคดีของมันจริงๆ ที่มีคนมาช่วย”
“ไอ้พวกเด็กละอ่อน อายุน้อย มันก็ซื่อบริสุทธิ์แบบนี้แหละ”
“เหมือนลูกชายข้าไง แย่จริงๆ เลี้ยงลูกไม่ได้อย่างใจเล้ย”
“ต้องรอให้เขาโตอีกสักหน่อยครับท่าน เขาถึงจะเข้าใจ”
“แต่ไอ้คนงานย้อมไหมที่มาช่วยไอ้ทหารน้อยคนนั้นท่าทางมันประหลาดๆ หรือว่ามีคนที่โรงงานล่วงรู้แผนเรา”
“ไม่มีนะครับท่าน ถ้ามีใครรู้ มันก็ควรจะซ้อมสะพานก่อนสิ หรือไม่ก็กีดกันไม่ให้เสด็จขึ้นไป มันคงไม่เสี่ยงให้มีเหตุแบบนี้แน่ เพราะหากพระองค์เป็นอะไรไปความผิดจะตกอยู่กะโรงงานมัน”
“ท่านแน่ใจหรือเปล่า ว่ามันจะไม่แจ้งตำรวจ”
“หากมันแจ้งตำรวจไทย หรือมีข่าวรั่วไหลออกไป รัฐบาลไทยก็ต้องโดนครหาว่าจัดการรับเสด็จอย่างประมาทสะเพร่า รวมทั้งโรงงานของพวกมันจะโดนสอบสวนอย่างหนัก มันคงไม่กล้าหรอก”
“ถ้าตำรวจมาข้ากลัวแต่ว่ามันจะสืบสวนขยายผลมาถึงพวกเรา”
“นับเป็นโชคดี ที่โรงงานนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดในส่วนนี้ ไม่เช่นนั้น...”
“ขนาดที่เมืองไทย เรายังทำไม่สำเร็จ แล้วที่ฮ่องกงล่ะ ทางการจีนมิเข้มงวดกว่านี้อีกหรือ”
“ข้าจะย้ำกับคนที่นั่น ให้มันใช้วิธีที่หมดจดโหดเหี้ยมกว่านี้ ต้องทำให้พระองค์สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ประดุจควันไฟในอากาศ”
ราชิดยกมือให้หยุด ห้ามไม่ให้โกศินพูดต่อ ราชิดมองรอบๆ แล้วเหมือนเห็นมีอะไรแว่บๆ ที่หางตา รีบวิ่งไปหลังซุ้มไม้ ตรงนั้นว่างเหล่า แต่มีกิ่งไม้ที่ไหวๆ เหมือนเพิ่งมีคนผ่านไป ทั้งๆ ที่ไม่มีลม โกศินช่วยดูรอบๆ แต่ไม่มีใคร ราชิดมองไปรอบๆ อย่างไม่ไว้วางใจ
ราชิด โกศิน เดินกลับเข้าภายในโดยไม่เห็นภูสินทรที่ซุ่มนิ่งในความมืดของแมกไม้ มีแววแค้นใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านสี่ฤดู จ้าวซันนอนหลับสนิทบนเตียง ในชุดนอนที่เป็นเสื้อยืดแขนยาวสีเทา กางเกงวอร์มแบบนุ่มสีดำ เหม่ยอิงเข้ามาแบบระวังไม่ให้เกิดเสียง มาชะโงกดู เห็นจ้าวซันยังหลับสนิท มองแบบเวทนา เอ็นดู เห็นผ้าห่มกระเจิงอยู่ทาง ตัวคนอยู่ทางและอากาศค่อนข้างหนาว เหม่ยอิงจึงค่อยๆ เข้าไปดึงผ้าห่มคลี่ออก แล้วคลุมปิดอกให้จ้าวซัน แล้วนั่งมองด้วยแววตาเศร้า ปนหวาน ก่อนจะตัดใจ ลุกเดินไปอีกห้อง
ห้องนั้นเป็นห้องแต่งตัว เหม่ยอิงเดินไปตรงตะกร้าที่ใส่ชุดที่ใส่แล้ว หยิบขึ้นมาสะบัด แล้วชะงัก มีอะไรหนักๆอยู่ในเสื้อแจ็คเก็ต สิ่งที่หล่นมา คือปืนพกขนาดเล็ก เหม่ยอิงหยิบมาดู อึ้งๆ แล้ววางลงที่โต๊ะข้างๆ เหม่ยอิงหันไปเห็นกระเป๋าเอกสารจ้าวซันวางอยู่ เหม่ยอิงจะเปิด พอดีอากงก้าวเข้ามาเห็นเหม่ยอิงก็ไม่พอใจ
“คุณหนูใหญ่เข้ามาได้ยังไง” อากงพยายามเบาเสียง เหม่ยอิงสะดุ้ง วางของ หันมา “คุณหนูเป็นสาวเป็นนาง ทำไมเข้ามาในห้องนอนผู้ชาย”
“พี่ใหญ่เป็นพี่ชายชั้น ชั้นเข้ามาดูแลพี่ชาย ทำไมจะไม่ได้”
“คุณหนูจะค้นหาอะไร”
“ชั้นแค่...อยากจัดข้าวของให้พี่ อากงไม่เห็นเหรอว่าของวางรกเกะกะ ไม่เป็นที่เอาเลย อากงดูแลยังไง ปล่อยให้พี่ชายอยู่แบบไม่เป็นระเบียบขนาดนี้”
“เดี๋ยวผมจัดเอง เชิญคุณหนูใหญ่” ทั้งสองยืนจ้องหน้ากัน ในที่สุดเหม่ยอิงก็เชิดเริ่ด เดินออกไป อากงตามออกไปแล้วหันมาปิดประตูให้สนิท “ทีหลังต้องให้คุณชายใหญ่ล็อคประตูให้ดี”
ที่เตียงจ้าวซันเหมือนฝันอะไรที่ไม่ดี มีอาการผวาเฮือก แล้วลืมตาพึ่บขึ้น จ้าวซันมองดูรอบๆ จึงพบว่าเป็นห้องนอนที่เคยคุ้น จ้าวซันสงบลง สักพัก มองไปข้างๆ โทรศัพท์วางอยู่ข้างหมอน จ้าวซันหยิบโทรศัพท์มากดเช็คทันที
จ้าวซันมองเห็นแมสเสจบางแอพฯ ที่ส่งมามากมาย จากฉินเจียง จ้าวซันขมวดคิ้ว
“ฉินเจียงส่งอะไรมาเยอะแยะ”
จ้าวซันกดดู แล้วผงะ ลุกนั่ง ในโทรศัพท์คือภาพบราลีกับฉินเจียง ที่ถ่ายจากเมื่อคืน จ้าวซันหน้าซีด อึ้ง เครียดฉับพลัน แล้วกดๆ ดูภาพอื่นๆ ภาพคู่บราลีกับฉินเจียง พูดคุย ชนแก้ว ยิ้มแย้ม พูดกัน กินข้าวด้วยกัน เรียงรายเป็นอัลบั้ม จ้าวซันนิ่งช็อค
ที่โรงรถ รถคันที่จ้าวซันให้บราลีใช้จอดอยู่อย่างเอี่ยมอ่อง
“บรีคืนรถ ไม่ยอมเอาไปใช้งั้นเหรอ”
“ค่ะ..แล้วก็บอกว่าจะไม่ขึ้นมาสอนหนูที่บ้าน ให้หนูไปเรียนที่บ้านเค้า แล้วก็ท่าทางแปลกๆ ไปมาก หลังจากเจอกะพี่เหม่ยอิง” ผิงอันบอก จ้าวซันอึ้งไป
“ให้ผมขับไปให้มิสบราลีไหมครับ บอกว่าคุณชายบอกให้เอารถมาคืน” อาหลี่ถาม จ้าวซันยกมือห้าม
“ไม่ต้องยุ่ง” จ้างซันยืนนิ่ง คิดหนัก อาหลี่ ผิงอัน มองหน้า หนักใจ
จ้าวซันรีบมาที่บ้านหลินจื้อเหม่ย
“คุณชายรองมารับออกไปแต่เช้าค่ะ” หลินจื้อเหม่ยบอกหน้าซีดๆ
“แล้วบรีก็ไปกะเค้าอย่างเต็มใจงั้นเหรอ”
“ก็...เค้ามีธุระสำคัญอะไรซักอย่างนะคะ”
“ธุระสำคัญอะไร”
“ไม่ทราบค่ะ”
“แล้วเธอทำไมไม่ดูแลบรีให้ดี เธอไม่ใช่เพื่อนที่สนิทที่สุดของเค้าเหรอ”
“แต่บรีเค้าเหมือนหวาดระแวงจื้อเหม่ยอ่ะค่ะ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบคุณชายใหญ่ลองโทรไปถามเค้าเองสิคะ”
“ทำไมชั้นต้องโทร”
จ้าวซันนิ่ง หน้างอนๆ
จ้าวซันเข้ามาทำงานและเซ็นเอกสารแบบหงุดหงิดๆ สักพักก็ผลักออกไม่เซ็นต่อ
“คุณชายคะ คืองานพวกนี้ต้องรีบอนุมติวันนี้ทั้งหมดค่ะ” เทเรซ่าบอก
“เอาไว้ก่อน ชั้นไม่อยากเซ็น ถ้ายังอ่านไม่ละเอียดพอ”
“ก็...ทำไมไม่อ่านล่ะคะ”
จ้าวซันขมวดคิ้ว ลุกไปยืนมองดูวิวภายนอก
“เอาไว้ก่อนเถอะน่า เธอก็ไปทำอย่างอื่นก่อนไป”
“คุณชายขา เมื่อวานคุณชายก็ไม่อยู่วันนี้งานมันก็เลยมากระจุกรออยู่เต็มโต๊ะแบบนี้ เทเรซ่าก็มีหน้าที่แค่ เตือนและเร่งคุณชาย”
“โทรหาไท้เผ่งซิ ว่าอยู่ไหน ทำอะไร”
“คุณชายคะ งานพวกนี้ ไม่ต้องใช้ลายเซ็นไท้เผ่ง”
“ชั้นให้ตามไท้เผ่ง ไม่ใช่เรื่องงาน” จ้าวหันหันมามองขุ่นๆ
“อ้อ ค่ะๆๆ” เทเรซ่ารีบหลบออกไป จ้าวซันนั่งลงที่โต๊ะ ย่างเหนื่อยๆ
ฉินเจียงเดินเคียงบราลี มีเกาเฟยถือถุงข้าวของตามหลัง
“ดื่มชากันหน่อยนะครับ ขนมเค้กที่นี่อร่อย คุณน่าจะชอบ” ฉินเจียงเอ่ยชวน บราลีดูนาฬิกา
“ถ้าไม่มีธุระอะไรอีก ฉันว่าฉันกลับดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ คุณไม่สนุกหรือ”
“คุณก็ได้ของที่ต้องการแล้วนี่นา แล้วชั้นก็ไม่หิวอะไรชั้นอยากกลับบ้านแล้ว”
“แต่ผมหิวนี่นา นะครับ รับประทานเค้กด้วยกันสักชิ้น เดี๋ยวผมไปส่ง”
บราลีไม่อยากขัดใจ ยิ้มแบบขี้เกียจนิดๆ แต่ก็เดินไปด้วย เข้าร้านไป เกาเฟยตามไป
ขณะทั้งสองนั่งโต๊ะ ชี้ชวนดูนั่นนี่ เกาเฟยวางของแอบถ่ายแชะๆๆ อีกด้านนึงของร้าน ซูหลิงกำลังซื้อขนมอยู่ มองมาเห็นก็ชะงัก
ซูหลิงเห็นเพียงฉินเจียงกำลังสั่งอาหารให้บราลี ชี้ดูเมนู เอียงหน้าเข้าไปใกล้กัน ท่าทางเอาใจสุดๆ ซูหลิงถึงกับอึ้ง
เทเรซ่าเดินอึ้งๆ เข้ามาหาจ้าวซัน
“คุณชายใหญ่คะ ไท้เผ่งไม่ยอมรับสายเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ”
“คุณชายใหญ่ค่ะ ถ้ายังไงช่วยดูเอกสารของสื้อฉวนแฟชั่นก่อนแป๊บนึงได้ไหมคะ เค้าต้องการความเห็นคุณชาย
ใหญ่ค่ะ”
“รู้แล้วน่า อย่าพูดจาซ้ำซากได้ไหม ยังไงจะเซ็นให้ก่อนเที่ยง โอเค”
“โอเคค่ะ คุณชายใหญ่”
ทันใดนั้นมือถือของจ้าวซันดังขึ้น จ้าวซันดูเบอร์
“ฉินเจียง” สีหน้าจ้าวซันดูรุ่มร้อน รีบกดรับสาย “มีธุระอะไร”
ฉินเจียงพูดสายอยู่ที่หน้าตู้ขนมเค้ก กำลังชี้ให้พนักงานจัดใส่กล่องให้
“ต้องมีธุระด้วยหรือครับ น้องชายโทรคุยเล่นขำๆ กับพี่ชาย ไม่ได้เหรอครับ”
“แกต้องการอะไร” ฉินเจียงหัวเราะเบาๆ
“ผมก็แค่อยากบอกว่าผมเข้าใจหัวอกพี่แล้ว พี่ชายใหญ่คงจะรักและเป็นห่วงน้องอย่างผมมาก ถึงได้ชอบแส่เรื่องของผมไปซะทุกเรื่อง วันนี้ผมเลยอยากตอบแทนแสดงความรักและเป็นห่วงที่ผมมีต่อพี่บ้าง”
“แกหมายความว่ายังไง”
“บราลี ภีมะมนตรี เป็นผู้หญิงที่สวยน่ารัก มีชีวิตชีวามากๆ สมแล้วที่เป็นผู้หญิงของจ้าวซัน ตั้งแต่ผมรู้จักพี่มา ผมไม่เห็นพี่ไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย จนนึกว่าเป็นคู่เกย์กะไอ้เต๋อเป่าไปแล้วซะอีก” ฉินเจียงหัวเราะชอบใจ “ที่ไหนได้ พอพี่เปิดตัวผู้หญิงในสเป็คออกมาที เล่นเอาทุกคนตะลึงเลยนะครับ จ้าวซันสมเป็นจ้าวซันจริงๆ”
ฉินเจียงกระหยิ่ม ยิ้มเยาะ สะใจ แล้วกดวางสายทันที จ้าวซันอค้ง ช็อค
“ฉินเจียง แกจะทำอะไร...จ้าวฉินเจียง”
ทันใด มือถือก็ดังแบบมีข้อความเข้า จ้าวซันกดดูปรากฏว่าฉินเจียงส่งภาพมา เป็นภาพคู่ฉินเจียงกับบราลี ที่ร้านเค้กที่เกาเฟยถ่าย จ้าวซันถึงกับผงะ
“ทำตัวแบบนี้ มันใช่เหรอ ม่านฟ้า”
ฉินเจียงวางสาย กระหยิ่ม สะใจ บราลีเดินมาหา
“ฉันอิ่มแล้วค่ะ คุณช้อปปิ้งขนมเสร็จหรือยัง”
ฉินเจียงทำหน้าอ่อนโยน น่ารัก ใสๆ
“ผมจะซื้อขนมให้คุณเอาไปฝากเด็กๆ พวกนั้น ที่บ้านเพื่อนคุณไง”
“พอเถอะค่ะ ชั้นไม่อยากรับอะไรจากพวกคุณอีกแล้ว”
“อะไร แค่ขนมเท่านั้นเอง ทำไมครับ พี่ใหญ่เขาให้อะไรคุณมากมายเลยเหรอ”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ฉินเจียงแอบทำหน้าสะใจ ผสมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
เต๋อเป่าเดินเข้ามาที่หน้าห้องทำงานจ้าวซัน เทเรซ่ารีบเข้าไปหา
“เจอไท้เผ่งแล้วใช่ไหม”
“กำลังตามหาด้วยการแกะรอยมือถืออยู่”
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่ของเรา คุณชายเปลี่ยนไปมาก คุณชายไม่เคยสนใจอะไรมากกว่าการงาน แต่เวลานี้คุณชายไม่มีสมาธิเลย อารมณ์ก็ผันผวนยังกับคนวัยทอง”
ซ่างกวานซิงเดินเข้ามา
“คุณเทเรซ่าครับ ผมให้เตรียมห้องประชุมชั้น 10 แล้วนะครับ เพราะวันนี้คณะกรรมการบอร์ดใหญ่จะเข้ามาครบ”
“จ้ะๆ ขอบใจ ซ่างกวานซิง เฮ้อ คุณชายใหญ่สั่งเลื่อนประชุมใหญ่ประจำเดือนมาหลายวันละ จะเลื่อนอีกสงสัยพวกผู้หลักผู้ใหญ่บ่นแย่ แต่คุณชายใหญ่น่ะสิ จะพร้อมเข้าประชุมไหม” เทเรซ่าบ่สนแล้วดูนาฬิกา
เกาเฟยขับรถมาเทียบประตูทางออกจากห้างสู่ที่จอดรถ ฉินเจียงพาบราลีออกมา ซูหลิงแอบอยู่หลังรถที่จอดเรียงรายในที่จอดนั้น มองดูฉินเจียงที่พาบราลีไปที่รถ ซูหลิงกดโทรหา ฉินเจียงกับบราลีเดินถึงรถ เกาเฟยรีบลงมาเปิดประตูให้เจ้านาย พอดีสายซูหลิงเข้า ฉินเจียงชะงัก กดรับและให้บราลีขึ้นรถไปก่อน
“ฮัลโหล ดาร์หลิง” ฉินเจียงลดเสียงเบา ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน “ไฮ ฮันนี่ ว่าไงจ๊ะ”
“ไท้เผ่งอยู่ไหนคะ ซูหลิงอยากไปดูหนังจังเลยค่ะ เราไปดูเรื่องอะไรกันดีคะ”
“เอ่อ...คือ ตอนนี้คงไปดูไม่ได้หรอกนะที่รัก ผมอยู่ที่ออฟฟิศจ้า กำลังจะเข้าประชุมเดี๋ยวนี้”
“ประชุม เวลานี้เลยหรือคะ”
“ใช่สิ ประชุมใหญ่ด้วย คงยาวไปถึงเย็นนั่นแหละ”
“ที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ปน่ะหรือคะ”
“ใช่ค่ะ แค่นี้นะ ผมจะต้องปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเข้าประชุมแล้ว อย่าโทมาอีกนะ เดี๋ยวพอมีเวลาแล้วผมจะรีบโทรหา แล้วค่อยไปดินเนอร์กันนะจ๊ะ คนดี ม้วฟ ม้วฟ” ฉินเจียงทำเสียงจูบแล้วกดวางสาย
ซูหลิงมองฉินเจียงที่รีบขึ้นรถไปนั่งเคียงบราลี แล้วเกาเฟยขับออกไป ฉินเจียงยื่นหน้าไปพูดอะไรกับบราลี แล้วหัวเราะร่าเริงประจบเอาใจบราลี ซูหลิงหน้าซีด อึ้งและแค้น
สุริยะเดินไปมาในสนามหน้าโรงงาน พลางพูดโทรศัพท์กับจ้าวซัน
“อ้าว จะให้ผมรีบไปฮ่องกงด่วน ไม่ให้ผมบินไปพร้อมเจ้าชายศิขรหรือครับ”
จ้าวซันเดินพูดในห้องทำงาน สีหน้าหงุดหงิด
“คุณมาดูแลลูกสาวคุณก่อนดีกว่า ผมเริ่มจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่องแล้ว”
“ทำไมหรือครับ”
“ไม่รู้สิ ผมคงไม่มีความสามารถพอ”
“อ้าว...ทำไมไม่บอกความจริงเขาไปเสียที กระหม่อมนึกว่าจะรับสั่งตั้งแต่วันแรกๆ”
“ความจริง มันไม่ใช่สิ่งที่จะพูดกันง่ายๆ นะคุณ คุณมาได้วันนี้เลยหรือเปล่า”
“ได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไป”
“แล้วก่อนออกเดินทาง ก็ช่วยบอกผมด้วย”
“พะย่ะค่ะ เอ่อ ครับผม จ้าวซัน”
เทเรซ่าเปิดเข้ามาพอดี จ้าวซันวางโทรศัพท์ แล้วหันมามองแบบท้อๆ ชี้ไปที่แฟ้มต่างๆ บนโต๊ะ
“เอ้า เอาไปได้แล้ว ผมเซ็นครบแล้ว”
“เยส...ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ทำไมคุณชายใหญ่.ดูหมดแรงชอบกล อยากได้อะไรบำรุงไหมคะ ซุปไก่สกัด คอลลาเจ้น แปะก๊วย หรือว่าน้ำชา” จ้าวซันนิ่ง ไม่ตอบ “คุณชายเป็นอะไรคะ เทเรซ่าเป็นห่วงมากนะคะ เป็นไข้ หรือไม่สบายหรือเปล่า”
เทเรซ่ารีบรวบแฟ้มเอกสารมา ทันใดนั้นเต๋อเป่าเข้ามาแบบรีบร้อน
“คุณชายครับ คุณชาย” จ้าวซันลุกพรวด
“เจอตัวแล้วหรือ เต๋อเป่า”
“เอ่อ ผลจากการแกะรอยมือถือคุณชายรอง..ตอนนี้ คุณชายรองอยู่ที่..ที่หน้าบริษัทครับ”
จ้าวซันอึ้ง แล้วพอได้สติก็เดินลิ่วไปราวพายุ ผ่านเต๋อเป่าและเทเรซ่าไปเหมือนไม่มีตัวตน
ฉินเจียงเปิดประตูเดินเข้ามาในบริษัท บริเวณโถงกลาง คนเดินพลุกพล่าน ฉินเจียงพยายามประคับประคอง พาบราลีเข้ามา
“เดี๋ยวๆๆ คุณฉินเจียง ทำไมคุณไม่ไปส่งชั้นที่บ้าน พาชั้นมาที่นี่ทำไม ชั้นไม่ขึ้นไปนะ”
ฉินเจียงจับมือทั้งสอง ท่าทางอ่อนโยน
“น่า...นะครับ คุณมานั่งเล่นเดี๋ยวเดียวนะ พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ผมต้องเข้าประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท เกาเฟยเขาก็ต้องคอยช่วยงานผม ผมจะสั่งให้คนรถที่นี่ไปส่งคุณนะครับ”
“ถ้าคุณมีธุระ ชั้นกลับเองก็ได้”
“ผมรบกวนคุณตั้งสองวันติดๆ กัน แล้วจะปล่อยให้คุณขึ้นแท็กซี่ไปได้ไง นะ มาเที่ยวห้องทำงานผมบ้างสิครับ เราเป็นเพื่อนกันไงฮะ”
ฉินเจียงเหลือบไปเห็นที่ลิฟต์ซึ่งเปิดออก จ้าวซันเดินพุ่งออกมาทันที เต๋อเป่ากับเทเรซ่าไล่ตามหลังแทบไม่ทัน
“เอ๊ะ” ฉินเจียงทำทีว่าเห็นอะไรติดผมของบราลี จะเข้าไปหยิบออกให้ “มีอะไรติดผมครับ”
บราลียกมือขึ้นกัน ไม่ยอมให้คนตีสนิทง่ายๆ ฉินเจียงจับมือบราลีออก และทำตัวใกล้ชิดกับบราลีอย่างตั้งใจให้จ้าวซันเห็น ภาพที่จ้าวซันเห็นเหมือนฉินเจียงกำลังลวนลามบราลี
“ฉินเจียง”
จ้าวซันมาถึงก็กระชากฉินเจียงออก แล้วชกจังๆ...เปรี้ยง
“โอ๊ย”
ฉินเจียงคว่ำไปกับพื้นต่อหน้าต่อตาทุกคน พวกพนักงานที่เดินไปมา ต่างชะงักไปตามๆ กัน เทเรซ่าและเต๋อเป่าที่ตามหลังมาก็อึ้ง
“แกพาบราลีไปไหนมา ถ้าแกไม่พอใจอะไรชั้น แกก็มาเคลียร์กับชั้นสิ ไปลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องทำไม” จ้าวซันหันมาห่วงใยบราลี “บราลี คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“คุณฉินเจียง” บราลีไม่สนใจจ้าวซัน รีบเข้าไปประคองดูแลฉินเจียง “คุณชายใหญ่ คุณทำร้ายคุณฉินเจียงทำไม เขาทำอะไรผิด”
“มันหลอกลวงคุณ ลักพาตัวคุณ”
“ลักพาตัวอะไร หลอกลวงอะไร? เขาแค่มาปรึกษาเรื่องจะจัดงานวันเกิดผิงอัน แล้ววันนี้ก็ขอร้องให้ชั้นไปช่วยเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้ผิงอัน”
“วันเกิดผิงอัน” ฉินเจียงกุมหน้า
“โอย อีกสองวันจะถึงวันเกิดซายหมุยแล้ว พี่ชายใหญ่จำไม่ได้เหรอ อูยๆๆ”
“ไม่ใช่ ตอนที่แกโทรศัพท์มาเจตนาไม่ใช่อย่างนี้ แกจงใจจะเอาคืน แกล้งปั่นหัวชั้น”
ฉินเจียงบีบอารมณ์ เค้นน้ำเสียงเว่อร์น่าสงสารดังๆ ให้คนได้ยินมากๆ
“พี่ชายใหญ่ ผมเคยบอกพี่แล้วไง ถ้าพี่อยากได้อะไร ผมยินดีจะยกให้พี่หมดทุกอย่าง พี่อยากเป็นไท้เผ่ง อยากได้ทรัพย์สมบัติของเต้ใช่มั้ย เอาไปเลย ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ผมขออย่างเดียวพี่อย่าทำเหมือนกับว่าผมเป็นศัตรูคู่แค้นของพี่ได้มั้ย”
พวกพนักงานมุงดูกัน ซุบซิบกัน
“ฉินเจียง แกพูดเพ้ออะไร”
“พี่จำคำสั่งเสียของเต้ไม่ได้เหรอ ถึงเราจะต่างที่มา แต่เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน”
“แกหยุดเสแสร้งเล่นละครได้แล้ว”
จ้าวซันกระชากตัวฉินเจียงขึ้นมา แต่บราลีรีบเข้าไปผลักจ้าวซันออก
“ปล่อยคุณฉินเจียง” จ้าวซันอึ้ง งง “จ้าวซัน คุณมันชอบใช้กำลัง ไร้เหตุผลที่สุด ชั้นผิดหวังจริงๆ”
บราลีสะบัดหน้า หันเดินเข้าไปประคองฉินเจียง
“ผมโดนตลอดเลยอ่าครับ” ฉินเจียงพูดแบบอ้อนๆ
“เดี๋ยว บรา...ลี...”
จ้าวซันจะจับตัวบราลีมาคุยให้รู้เรื่อง แต่ยังไม่ทันจะโดนตัว บราลีก็ผวาหลบไม่ให้แตะต้อง รังเกียจ ขยะแขยง
“หยุดนะ คุณควรอยู่ให้ไกลๆ ชั้นไว้นะคะ จ้าวซันผู้ยิ่งใหญ่”
บราลีสะบัด แล้วหันเดินฉับๆ ออกจากบริษัทไป ฉินเจียงแอบยิ้มอย่างสะใจ แล้วรีบตามบราลีไป จ้าวซันยืนบื้อใบ้ เต๋อเป่ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ใช่แล้ว ฉินเจียงเล่นเกมแน่ๆ เทเรซ่ามองจ้าวซัน กังขาในตัวจ้าวซัน
บราลีรีบร้อน เดินออกมาหน้าตาเซ็งและมึนชา ฉินเจียงตามออกมา
“บราลีครับ ผมขอโทษ ผมไม่นึกเลย ว่าเราต้องมาเจอเค้า”
“ขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณมีปัญหา คุณไม่ต้องส่งหรอก ชั้นไปเองดีกว่า เพราะชั้นไม่อยากให้คนของบริษัทคุณมาบริการอะไรชั้นอีก”
“ผมทำให้คุณลำบาก”
“ชั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณกลับไปเคลียร์กะพี่ชายคุณเถอะ”
บราลีมองๆ รู้สึกคนพวกนี้พิลึกพิลั่น แล้วรีบเดินออกมาหน้าตึก ฉินเจียงมองตาม รู้สึกสาสมใจ
เกาเฟยเดินมองหามาในมุมนึงของบริษัทที่ลับตาคน เหม่ยอิงยืนรออยู่
“ไม่น่าเชื่อว่าแผนของผม มันจะได้ผล คุณชายใหญ่ไม่เคยหลุดใช้ความรุนแรงกับคุณชายรองเลย ไม่ว่าผมจะยุแยงตะแคงรั่วซักแค่ไหน แต่เรื่องของผู้หญิงคนนี้ คุณชายใหญ่ถึงกับเสียอาการเลยทีเดียว” เกาเฟยบอกอย่างภูมิใจเหม่ยอิงหน้าเศร้า
“พี่ใหญ่รักมันจริง”
“คุณคงรู้สึกหึงหวงมากสินะ”
“ไม่สำคัญหรอก ถ้าเอามันมาเป็นเครื่องมือให้ไอ้ฉินเจียงกระเด็นไปได้”
“คุณจะได้เป็นไท้เผ่ง”
“จ้าวซันตังหาก”
“จ้าวซันไม่คู่ควรซักนิด”
“แกไม่ต้องออกความเห็น”
“ผมรู้ ว่าผมไม่มีสิทธิ์”
“รู้ก็ดีแล้ว ไปจัดการทำให้ไอ้ไท้เผ่งของแกมันเหิมมากขึ้น ประมาทมากขึ้น มันจะได้ถึงจุดอวสานเร็วๆ” เกาเฟยมองเหม่ยอิงอย่างเจ็บปวด
“รับบัญชา”
บราลีเดินออกมาตามถนนรู้สึกเหนื่อยและเศร้าอย่างประหลาด อยู่ๆ ผู้กองเหลียงเดินเข้ามาขวาง
“ผมขอคุยกับคุณหน่อยได้มั้ยครับ มิสบราลี ภีมะมนตรี” ผู้กองเหลียงโชว์ตราตำรวจ
“ตำรวจ”
บนชั้น 10 คณะกรรมการอาวุโสบางคนเดินออกมาจากลิฟต์ใหญ่ ลิฟต์ส่วนตัวด้านในเปิดออก จ้าวซันเดินออกมา สีหน้าขรึม นิ่ง เย็นชา ไร้อารมณ์ เทเรซ่า เต๋อเป่าตามประกบ ไม่กล้าพูดอะไร
จ้าวซันเดินไปตามทางจนกระทั่งไปถึงห้องประชุม เปิดประตูเข้าไปแล้วก็ต้องประหลาดใจเพราะฉินเจียงอยู่ในห้อมล้อมของพวกหุ้นส่วนบริษัทต่างๆ ที่ดูไฮโซ ทุกคนแสดงความห่วงใย พากันดูแผลที่โดนชกกันใหญ่ พวกหุ้นส่วนพอเห็นจ้าวซันเข้ามา ต่างก็หันมามองจ้าวซันด้วยสายตาตำหนิ
“วันนี้เขาเล่นงานผมกลางบริษัทเลย ถามเทเรซ่าหรือพนักงานหลายๆ คนดูได้ เจ็บมากเลยครับ เดี๋ยวนี้เค้าเป็นอะไรไม่รู้ ยังกะคนบ้า ควบคุมตัวเองไม่ได้เอาเลย”
จ้าวซันรู้ตัวว่าโดนฉินเจียงเล่นซะแล้ว แต่พยายามนิ่ง ไม่แสดงอาการอะไร เข้ามานั่งในที่ประชุม เต๋อเป่าถอยออกไป เทเรซ่าแจกเอกสารตามหน้าที่ ฉินเจียงแอบแสยะยิ้ม สะใจ สำเร็จ จ้าวซันขรึม เครียด
“สวัสดีครับทุกท่าน เริ่มประชุมกันเลยดีกว่าครับ อย่าเสียเวลาเลย”
“ดีครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามเรื่องคุณชายใหญ่พอดี ทราบมาว่าคุณชายจ้าวซันให้จ่ายเงินสดให้บริษัทสื้อฉวนแฟชั่นโดยพลการเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งๆ ที่หุ้นของบริษัทนี้ก็ขึ้นเอาๆ อย่างผิดธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
เทเรซ่ามองจ้าวซัน ห่วงด้วย กลุ้มด้วย
บราลีเดินเคียงมากับผู้กองเหลียงแบบระวังตัว
“คุณไม่ต้องตกใจนะมิส คิดซะว่าเราแค่คุยกันสบายๆ อย่าคิดว่าผมมาสืบ มาสอบอะไรคุณเลยนะครับ”
“ชั้นเป็นนักท่องเที่ยวคนนึงที่เข้าเมืองมาอย่างถูกกฎหมาย ไม่เสพยา ไม่ค้ายา ไม่ได้ใช้สินค้าแบรนด์เนมปลอม ไม่ได้แอบลักลอบทำงาน”
“ผมแค่อยากทราบว่าคุณรู้จักคุณชายจ้าวซันมากแค่ไหน รู้จักเขามานานหรือยัง อะไรทำนองนี้ แค่นี้เอง” บราลีหน้าซีด ใจหาย
“จ้าวซัน ตกลงเขาเป็นพวกอาชญากรจริงๆ หรือคะ”
ผู้กองเหลียงยิ้มกรึ่ม ไม่ตอบ
ฉินเจียงเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน หัวเราะสะใจ เกาเฟยตามเข้ามา
“หึๆๆ ชั้นอยากให้แกเห็นหน้าพี่ชายใหญ่จริงๆ เกาเฟย หน้าซีดยังกับไม่มีเลือดไปเลี้ยง เล่นชั้นไว้เยอะนักวันนี้คงเป็นครั้งแรกที่เขาโดนมองอย่างเคลือบแคลง สงสัย ไม่ไว้วางใจ เหมือนที่ชั้นเคยโดนมาโดยตลอด วันนี้เค้าคงรู้รสชาติของความเป็นคนแพ้แล้วสินะ”
“อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าพวกกรรมการผู้ถือหุ้นบริษัทและทุกคนเสื่อมศรัทธาในตัวคุณชายจ้าวซัน แล้วเค้าจะทำยังไงต่อไป เค้ายังจะทำตัวเป็นพระเจ้าบงการชีวิตคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่านะครับ ฮะๆๆ”
ฉินเจียง เกาเฟยยิ้มสะใจกัน
บราลีเดินคุยอยู่กับผู้กองเหลียงต่างถือแก้วกระดาษใส่เครื่องดื่มร้อนๆ กำไว้ในมือ บราลีคิดอย่างรอบคอบ
“คุณชายจ้าวซันเป็นเพื่อนของพ่อชั้นคะ ท่านฝากให้เขาช่วยดูแลชั้นระหว่างที่ชั้นแวะมาเยี่ยมเพื่อนที่นี่ก็แค่นั้นส่วนเรื่องอื่นๆ ของเขา ชั้นก็ไม่ทราบอะไรมาก”
“เท่าที่คุณมองเห็นในตอนนี้ คุณคิดว่าจ้าวซันทำอะไรแปลกๆ ผิดปกติบ้างมั้ยครับ” บราลีหัวเราะออกมา
“นี่ผู้กองถามจริงๆ หรือถามเล่นคะ”
“คุณขำ แสดงว่า...”
“พฤติกรรมผิดปกติของจ้าวซัน ดิฉันคงต้องขอบอกเลยค่ะว่าเพียบ เขาเป็นคนแปลก แปลกมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ มันดูมีอะไรแอบแฝง มันเหลือเชื่อ เขาเหมือนจะรู้เรื่องทุกเรื่องของตัวคุณได้ ถ้าเขาอยากจะรู้ แต่อย่าถามว่าเขารู้ได้ยังไง เขาเหมือนคนเลว แต่เขาก็เหมือนคนที่ดีมาก บางทีก็มีลับลมคมใน เหมือนกำลังทำอะไรผิดๆ อยู่”
“ผิดกฎหมาย? หรือเปล่าครับ”
“ไม่ทราบค่ะ แต่...”
“แต่ อะไรครับ”
“ฉันจะเลิกคบเค้าแล้ว”
“ทำไม”
“ฉันไม่ชอบแย่งผู้ชายกับใคร”
ผู้กองเหลียงขมวดคิ้ว มองหน้า บราลีอึ้งไป รู้สึกไม่น่าพูดออกมา ถอนใจว่าตนพลาดไปแล้ว มองไปทางอื่น ไม่สบายใจ
“คุณชอบเขาหรือครับ ดูเหมือนคุณกำลังมีปัญหาหัวใจ”
“อะไรนะ”
“คุณดูผิดหวัง โกรธ เศร้า อกหัก”
“นี่...คุณเป็นตำรวจ หรือที่ปรึกษาปัญหาชีวิตกันแน่” บราลีมองผู้กองเหลียงแบบไม่พอใจ ประชด
อีกด้านหนึ่ง จ้าวซันนั่งหมดแรงอยู่ที่สวนบนตึกคนเดียว เหม่ยอิงปรากฏตัวขึ้น เดินเข้ามานั่งข้างๆ พยายามยิ้มแย้ม
“พี่ชายใหญ่คะ” จ้าวซันอึ้ง ที่เป็นเหม่ยอิง รู้สึกขุ่นข้องใจ แต่พยายามระงับไว้ เหม่ยอิงลูบแขนจ้าวซัน “ประชุมวันนี้ ไม่ค่อยราบรื่นหรือคะ”
จ้าวซันหัวเราะเบาๆ
“เรื่องธรรมดา ทำงานมันก็มีวันที่มีอุปสรรคบ้าง เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
“ฉินเจียงทำอะไรให้พี่ใหญ่หนักใจอีกหรือคะ”
จ้าวซันปิดประตู ไม่ยอมเรื่องอะไรทั้งนั้น
“ก็เป็นปกติของฉินเจียง เขาเคยทำอะไรให้พี่พอใจบ้างล่ะ ไม่มีหรอก ถ้ามีก็ไม่ใช่ฉินเจียงแล้ว”
“งั้นพี่ใหญ่กลุ้มเรื่องรับเสด็จเจ้าชายคีรีรัฐหรือเปล่าคะ น้องช่วยพี่ใหญ่เองค่ะ” จ้าวซันยิ้มให้เหม่ยอิงอย่างเย็นชา
“น้องแค่มาร่วมงานเลี้ยงก็พอแล้ว ไม่ต้องเหนื่อยหรอก เหม่ยอิง”
“ก็ดีค่ะ งั้นเราไปหาอะไรๆ อร่อยๆ กินกันดีกว่านะคะ พี่ใหญ่คงจะหิว”
อาหลี่ เต๋อเป่าเดินเข้ามาเห็นเหม่ยอิงก็ชะงัก
“เอาสิ พวกเราไปกินอะไรกันกับสองคนนี่”
“พี่ใหญ่”
“พี่นัดพวกเขาไว้”
“เอ่อ...ไม่เป็นไร เชิญคุณชายใหญ่กับคุณหนูใหญ่เถอะครับ”
“เงียบไปเลย หลี่ แกอยากกินขาห่าน เราก็ไปกินขาห่าน จองโต๊ะไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“คุณชาย”
“มาสิ เหม่ยอิง” จ้าวซันลุกขึ้น “กินหลายๆ คน สนุกดีนะ ครึกครื้นดี คงช่วยให้พี่หายเหนื่อยหายเครียดได้”
“ไม่เอาหรอกค่ะ พี่ใหญ่นี่ก็แปลก ทำไมไม่คบเพื่อนพวกซีอีโอด้วยกันบ้าง ชอบคลุกคลีแต่กับ...” เหม่ยอิงมองพวกบริวารอย่างรังเกียจ “เชิญพี่ใหญ่ตามสบายเถอะ น้องไม่ชอบปะปน”
เหม่ยอิงอารมณ์เสีย เดินออกไป อาหลี่ เต๋อเป่ามองหน้ากัน ขำๆ
รถของจ้าวซันแล่นมาจอดที่หน้าบ้านหลินจื้อเหม่ย จ้าวซันนั่งอยู่ในรถ ภายในบ้านหลินจื้อเหม่ยกำลังคุยโทรศัพท์
“บรียังไม่กลับมาเลย โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ไม่ทราบเลยว่าไปไหน ชั้นก็กำลังห่วงอยู่นี่ ไปหลงทางที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“คงไม่ใช่หรอกครับ มิสบรีอาจจะไปเดินเล่นที่ไหนมากกว่า เพิ่งสามทุ่มเอง ครับ ขอบคุณมากครับ” เต๋อเป่า วางสาย หันมาหาจ้าวซัน “ผมว่า เรากลับ...”
“ชั้นจะรอ”
จ้าวซันแน่วแน่ อาหลี่ เต๋อเป่าสบตากันอึ้งๆ
ที่บ้านสี่ฤดู เหม่ยอิงกำลังจุดธูปแล้วปักลงหน้ารูปเต้
“เขาเกลียดหนูค่ะ เต้ เขาพยายามกีดกันหนู ให้ห่างไกลจากเขา ทำไมล่ะคะ ทำไม หนูพยายามแล้วนะคะพยายามทำดีทุกอย่าง แต่จ้าวซันไม่เคยเห็น ก็เหมือนเต้ที่ไม่เคยเห็นแม่สี่อยู่ในสายตาไม่ว่าแม่สี่จะรับใช้เต้ราวกับนางทาส เต้ก็รักแต่จ้าวไทไท นังแม่มดพันปี เพราะอะไรมันถึงมีอำนาจเหนือเต้ขนาดนั้น”
เหม่ยอิงเดินไปอีกมุม มีรูปครอบครัว รูปตอนเด็กๆ รูปจ้าวซันตอนเด็กกับเต้และไทไท รูปตอนเด็กของเหม่ยอิง จ้าวซัน เหม่ยอิงหยิบรูปนั้นขึ้นมาแล้วเดินกลับไปหาเต้
“เต้คะ หนูขอร้อง หนูอยากจะขอความช่วยเหลือจากเต้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วชาตินี้ จ้าวเหม่ยอิงคนนี้ จะไม่ขออะไรกับวิญญาณบรรพบุรุษอีกเลย”
เหม่ยอิงมีสีหน้ามุ่งมั่นจนน่ากลัว
“เต้ช่วยดลใจ ให้เขารักหนูทีสิคะ ให้เขาเขี่ยนังผู้หญิงไทยคนนั้นทิ้ง แล้วหันมามองหนูบ้าง หนูขอสัญญา ว่าถ้าหนูได้แต่งงานกับจ้าวซัน หนูจะทำนุบำรุงวงศ์ตระกูลของเต้ให้ยิ่งใหญ่ นะคะๆๆ เต้ ถ้าหนูผิดหวัง หนูคงทนไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูไม่รับรองนะคะว่าคนอย่างหนู จะทำอะไรอย่างที่เต้ไม่ชอบหรือเปล่าและผลของมันจะเป็นยังไง”
เหม่ยอิงพูดทั้งน้ำตาเต็มตา
รถผู้กองเหลียงแล่นมาในถนน บราลีนั่งอยู่ในขรึม ผู้กองเหลียงแอบมอง
“คุณบอกว่า คุณได้รับความไว้วางใจจากเค้าให้ช่วยทำงานรับเสด็จองค์ชายรัชทายาทของประเทศคีรีรัฐด้วย”
“ค่ะ”
“เขาให้คุณทำอะไร”
บราลีมองหน้าผู้กองเหลียง
“ล่าม ผู้ช่วยต้อนรับ คอยเอ็นเตอร์เทนองค์ชายรัชทายาท อะไรทำนองนั้นค่ะ”
“แปลว่า คุณจะได้ใกล้ชิดกับเจ้าชายศิขรนโรดม”
“มั้งคะ”
“เขามอบหมายให้คุณทำอะไรบ้าง”
“ยังเลยค่ะ แต่...”
“แต่ อะไร”
“ชั้นว่า ชั้นอาจจะไม่ทำแล้ว”
“แปลว่า คุณคิดไหมว่าจ้าวซัน อาจจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับเจ้าชายก็ได้” บราลีถอนใจ
“ไม่ทราบค่ะ”
“คีรีรัฐ กำลังจะเปลี่ยนประเทศ เจ้าหลวงองค์ก่อนทรงปลงพระชนม์ตัวเอง และพระเทวีก็พาพระโอรสองค์เดียวหนีหายสาบสูญไป เจ้าหลวงปัจจุบัน พระอนามัยไม่ค่อยสมบูรณ์นัก กำลังจะตั้งเจ้าชายองค์รัชทายาทองค์ที่จะเสด็จมานี่ให้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าหลวงหนุ่มน้อย แต่...”
“แต่อะไรคะ”
“แต่ว่า น่าจะมีขบวนการก่อการร้ายคิดทำอะไรซักอย่างไม่ให้เจ้าชายองค์นี้ขึ้นครองเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเลย”
“ขบวนการก่อการร้าย”
“ขบวนการก่อการร้ายนี้ มีคนในฮ่องกงสนับสนุนเรื่องเงินทุนและอาวุธร้ายแรง ซึ่ง...” บราลีถึงกับช็อค
“คุณสงสัยจ้าวซัน”
ผู้กองเหลียงขับรถอย่างใจเย็น รถผู้กองเหลียงแล่นมาจอดในซอยหน้าบ้านหลินจื้อเหม่ย ผู้กองเหลียงดับเครื่อง หันมาพูดแบบจริงจัง
“ถ้าคุณอยากอยู่ข้างความถูกต้อง อย่าถอนตัวจากจ้าวซัน คุณต้องรับทำงานนี้ แต่รายงานให้ผมทราบทุกระยะ ผมสัญญาว่าจะคุ้มกันคุณจากอันตรายและความยุ่งยาก หากเกิดคดีอะไรขึ้นภายหลังก็ตาม”
บราลีมองหน้า อึ้ง จากเงามืดในซอกข้างตึก จ้าวซันยืนอยู่ จ้าวซันเห็นบราลีนั่งคุยอะไรเครียดๆ กับผู้กองเหลียง แล้วผู้กองเหลียงวิ่งลงมาเปิดประตูให้ บราลีก้าวลงมา แล้วจับมือกันแบบฝรั่ง แล้วบราลี รีบวิ่งเข้าบ้านไป แล้วรถผู้กองเหลียงก็สตาร์ทออกไป
จ้าวซันปวดร้าวใจ ที่บราลีไว้ใจทุกคน ยกเว้นตน
วันต่อมาที่ฟิตเนส ผู้กองเหลียงในชุดนกางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม ชกๆๆ กระสอบทรายจนสุด แล้วหยุดเดินไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผู้กองเหลียงเดินมาที่ล็อกเก้อร์พลางถอดเสื้อกล้าม เอาเสื้อคลุมมาสวม ถอดกางเกงขาสั้นออก โยนพร้อมเสื้อเข้าล็อกเก้อร์ แล้วเดินเข้าไปที่ห้องอาบน้ำ เอาเสื้อคลุมพาดประตูห้องน้ำ ผู้กองเหลรียงเปิดน้ำรดตัวซู่ๆๆ หน้าตาสบายอารมณ์
ผู้กองเหลียงเดินตัวเปียก ใส่เสื้อคลุม เดินมาเปิดประตูห้องซาวน่า ในห้องซาวน่าผู้กองเดินเข้าไป มีชายคนนึงนั่งตะคุ่มๆ ในแสงมืดทะมึน เห็นหน้าไม่ถนัด ใส่ผ้าขนหนูท่อนล่าง ข้างบนก็มีผ้าขนหนูอีกผืนพาดคอ ผู้กองเหลียงเดินหลบไปนั่งฝั่งตรงข้ามที่ไกลออกไป ชายคนนั้นเอากะบวยตักน้ำ เทน้ำราดลงไปที่ถ่าน ทันใดควันโขมงกลบห้อง
ผู้กองเหลียงเอนตัวนอนลง หลับตา ทันใดควันดูมากผิดปกติ หนาๆ อยู่ๆ มีผ้าขนหนูมาปิดหน้า ตามด้วยมือ มากดอุดจมูก เหมือนจะฆ่าให้ตาย ผู้กองเหลียง ตวัดมือ จับมือนั้นแล้วหมุนตัวลุก บิดตัวรอดวงแขนชายคนนั้น ดูเหมือนจะล็อกแขนชายคนนั้นไว้ได้
ชายคนนั้นตวัดแขนกลับ พร้อมสะบัดผ้า ตีหน้าผู้กองเหลียงเพี้ยะ ผู้กองเหลียงเซถอยหลัง ชายคนนั้นใช้ผ้าเป็นอาวุธ ม้วนๆๆ แล้วหมุนย้อนไปผู้กองเหลียงจากหลัง จับผู้กองเหลียงหน้าคว่ำมาข้างหน้าอีก ชายคนนั้นตามมาข้างหลัง จับชายผ้าทั้งสอง แล้วตวัดคล้องคอผู้กองเหลียง ดึงผ้าผูกรวบรอบคอผู้กองเหลียงแน่น ผู้กองเหลียงเสียที ดิ้นกะแด่กๆๆ
ทันใดประตูเปิดเข้ามา หมวดจางในผ้าขนหนูเข้ามาอีกคน โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรอยู่ข้างใน
“เฮ้ย”
หมวดจางโดดเข้าช่วย ชายคนนั้นถีบหมวดจางกระเด้งถอยออกมา หมวดจางเข้าไปอีก ชายคนนั้นเอากระบวยตักน้ำ ตักน้ำสาดใส่หมวดจาง หมวดจางผงะ ถอย วิ่งไปเปิดประตูซาวน่า โดดออกมา
“ช่วยด้วยๆๆ”
ทันใด จ่าหมงมาถึงพอดี ในผ้าเช็ดตัวเช่นกัน
“อะไรๆ”
หมวดจางชี้ไปในห้องซาวน่า แล้วหันจะเปิดเข้าไปอีก ปรากฏว่าเข้าไม่ได้แล้วเพราะถูกล็อคจากด้านใน
“เย้ย...ชิบโหงแล้ว ผู้กองเหลียงตายแน่ มีนักฆ่าอยู่ในนั้น”
“นักฆ่า”
ในห้องซาวน่า ผู้กองเหลียงดิ้นๆ ตาเหลือก พยายามแก้เชือก ควานมือไปข้างหลังก็คว้าไม่โดนตัวคนที่หลบตัวห่างออกไป ผู้กองเหลียงสิ้นหวัง เอามือมา พยายามจับผ้าที่คอที่รัดแน่น เหงื่อเต็มหน้า น้ำตาไหล อยู่ๆ ชายคนนั้นคลายผ้าออก ดึงผ้ากลับไป แล้วถอยไปนั่งที่ฝั่งเดิม ผู้กองเหลียงแทบทรุด ไอแค่กๆ หันกลับไป แล้วเข่าอ่อน เพราะชายคนนั้น คือจ้าวซัน
“จ้าวซัน”
จ้าวซันยิ้มดุดัน
“อย่ายุ่งกับผู้หญิงของผม”
“ผม...ผมจับคุณได้เลยนะ คุณ...พยายามฆ่า...” ผู้กองเหลียงไอแค่กๆๆ
“เอาสิ ข้อหาจะฆ่าก็ได้ แต่...ไว้ชีวิต ไม่ฆ่า เคยมีไหม”
“อย่าคิดนะ...ว่าผมจะ...” ผู้กองเหลียงไอแค่กๆๆ จ้าวซันหัวเราะเบาๆ
“นายตำรวจคนเก่งของซีไอดี โดนพ่อค้าธรรมดาๆ คนนึง เล่นงานเอาซะแทบตาย รู้ถึงไหน คงอายถึงนั่น ว่าปะ?” จ้าวซันลุก เดินเปิดประตูออกไป หมวดจางกับจ่าหมง ที่กำลังวิ่งหาอุปกรณ์จะมางัดห้องกันเต็มไม้เต็มมือผงะ ยืนอ้าปากค้าง “หมวดจาง จ่าหมง ไปดูผู้กองสิ เป็นลมตายไปแล้วมั้ง”
“จ้าวซัน” ทั้งคู่ครางแบบหมดแรง
จ้าวซันเดินจากไปอย่างสบายๆ สองตำรวจมองหน้ากัน แล้วรีบวิ่งไปเปิดห้องซาวน่าแบบตาลีตาเหลือก
ผู้กองเหลียง หมวดจาง จ่าหมงที่แต่งตัวชุดปกติแล้วเดินออกมาเจอจ้าวซันนั่งกินน้ำแร่ รออยู่อย่างสุขุม สามมองหน้ากัน จะเอาไง หมวดจาง จ่าหมง ฮึดฮัด ประมาณ เล่นซะดีมั้ย ผู้กองเหลียงทำสัญญาณให้เฉยไว้ แล้วผู้กองเหลียงก็เดินนำเข้าไป
“คุณแน่มาก จ้าวซัน แต่คุณมันสกปรก เล่นทีเผลอ”
“แล้วคุณล่ะ ผู้กอง คุณเรียกผมพบได้ทุกเมื่อ อยากรู้อะไร ผมบอกหมด แต่คุณกลับแอบย่องเงียบไปหาบราลี มันหมายความว่าอะไร”
“ผมเป็นตำรวจ ผมต้องทำงานของผม”
“แล้วผมไม่มีสิทธิ์จะปกป้องสิทธิของผม ในฐานะพลเมืองฮ่องกงเลยเหรอ ผู้กองก็ควรจะได้รับรู้ความรู้สึกของคนที่โดนละเมิดมุมส่วนตัวบ้าง แล้วถ้ายังไม่ยอมหยุด ผู้กองก็จะได้รับการตอบโต้อีก”
“คุณขู่ผมเหรอ จ้าวซัน”
“ใช่”
“งั้นคุณเตรียมเจอดีก็แล้วกัน วันไหน คุณลงมือ วันนั้น ผมจับ”
“ลงมือ ลงมืออะไร”
“อย่ามาทำซื่อใส ไม่ต้องจัดฉากให้ใครรับผิดแทนในเมื่ออยากเปิดไพ่เล่นกันก็เอาเลยคุณเป็นเจ้ามือ ผมเป็นคนแทง เรามาเปิดไพ่ดวลกัน ใบต่อใบไปเลย”
“ผมไม่เข้าใจ”
“โอเค ถ้าจะแอ๊บแบ๊ว ก็แอ๊บให้ตลอดนะ คุณเชิญเจ้าชายประเทศคีรีรัฐมาทำไม คุณคือสปอนเซ่อร์งานนี้ โดยใช้ชื่อสมาคมพ่อค้าฮ่องกง แล้ววันที่เครื่องเช่าเหมาลำประจำพระองค์ จะบินออกจากฮ่องกง มันจะบินกลับไปพร้อมอาวุธร้ายแรงเพียบ ผมขอบอกว่า ผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเด็ดขาด” ผู้กองเหลียงจ้องหน้าแบบโหดๆ “ขอบอกไว้ตรงนี้ ว่าผมไม่กลัวคุณ”
จ้าวซันเป็นฝ่าย ผงะ ซีด อึ้ง ผู้กองเหลียงยิ้มเยาะและพยักให้พวกตำรวจทั้งสองเดินออกไปด้วยกัน
ที่โต๊ะกลางสนามบ้านสี่ฤดู มีของกินแบบหยิบง่ายด้วยมือได้และโต๊ะเครื่องดื่มสีสวยกับพวกชากาแฟ และโต๊ะของขวัญ ที่มีของห่อสวยๆ วางเต็ม จ้าวซันเดินกลับเข้ามาแล้วชะงัก เหมือนนึกไม่ถึงเล็กน้อยต่อภาพข้างหน้า
ผิงอันกับเพื่อนๆ เด็กสาวๆ กำลังเต้นกันตามเพลงที่เปิดจากเครื่องไอพอด มีลำโพง เป็นเพลงประมาณแนวเกาหลี เกิร์ลกรุ๊ป เต้นคัฟเวอร์กันแบบสนุกๆ หัวเราะกันร่าเริง มีบราลีร่วมเต้นด้วย แบบเต้นตามพวกน้องๆ สอน ฉินเจียงยืน ใช้โทรศัพท์ถ่ายคลิปให้แบบไม่ยั้ง ผิงอันและบราลีดูร่าเริงมากมาย จ้าวซันเห็น อึ้ง ขรึมเครียด ผิงอันหันมาเห็นจ้าวซันก็ดีใจ
“พี่ชายใหญ่มาแล้ว เย้ๆๆ” ผิงอันวิ่งเข้าไปหา “หนูรู้ว่าพี่ชายใหญ่งานยุ่ง หนูเลยกลัวว่าพี่จะลืมวันเกิดหนู แต่พี่ชายก็ไม่ลืมใช่ไหมคะ”
“จะลืมได้ยังไงจ๊ะ งานยุ่งแค่ไหน พี่ก็ต้องมา”
“แต่พี่จำได้ แล้วก็ให้ของขวัญซายหมุยก่อนใคร เพราะคุณบรีไปช่วยเลือกให้ด้วยสิ ถูกใจไหม ซายหมุย” ฉินเจียงบอก ผิงอันอึ้งนิดๆ แต่ก็ยิ้ม
“ค่ะ ถูกใจมากค่ะ”
“โชว์ให้พี่ใหญ่ดูสิคะ ซายหมุย ว่าคืออะไร”
ผิงอันวิ่งไปที่โต๊ะของขวัญ แล้วหยิบตุ๊กตาหมีเทดดี้แบร์สีขาวยักษ์มา ฉินเจียงรีบเข้าไปจับบราลีมายืนกับผิงอัน แล้วถ่ายคลิปให้
“น่ารักทั้งแก๊งเลยจ้า”
“ตุ๊กตาน่ากอดจริง” จ้าวซันบอกแล้วหันไปมองหน้าบราลี “น่าอิจฉาฉินเจียงมาก ที่มีคนไปช่วยเลือกของขวัญอย่างมีความสุขด้วยกัน แต่พี่สิ ไม่มีเวลามากขนาดนั้น พี่เลยใช้สั่งเอาจ้ะ”
“สั่งให้คุณเทเรซ่าไปซื้อให้หรือคะ ไม่เป็นไรค่ะ ยังไง ผิงอันก็ชอบทุกอย่างที่พี่ใหญ่จะให้”
“เปล่าจ้ะ พี่ออกแบบ แล้วสั่งให้เค้าทำตามแบบ แต่มันไม่ใช่ของน่ารักแบบเด็กๆ อย่างที่คนอื่นให้นะ มันเป็นของสำหรับสาวๆ ที่เป็นสาวเต็มตัวแล้ว”
ฉินเจียงผงะ บราลีอึ้ง ผิงอันตื่นเต้น
“อะไรคะ อะไรๆๆ” ผิงอันส่งหมีให้เพื่อนไปเก็บ แล้วหันมา เต้นไปรอบตัวจ้าวซัน “อะไรๆๆ พี่ชายใหญ่”
จ้าวซันยิ้ม ไม่ตอบ ก้มลงให้ตัวเท่าผิงอัน แล้วแบมือทั้งสองข้างขึ้น ทำท่าแบบเล่นกล โชว์ว่าทั้งสองมือว่างเปล่า ไม่มีอะไร บราลีจับตามองอย่างลืมตัว จ้าวซันโบกมือไปรอบๆ หัวผิงอัน แล้วทำท่าเหมือนคว้ามาจากผมผิงอัน แล้วยื่นมือที่กำไว้มาหน้าผิงอัน ค่อยๆ เปิดนิ้วออกทีละนิ้ว บราลีอดชะโงกมาดู ลุ้นๆ ไม่ได้ เมื่อจ้าวซันแบมือออกหมด ในนั้น คือเพชร 2 เม็ด ในรูปของตุ้มหูเพชร 1 คู่ ผิงอันร้องด้วยความดีใจ เพื่อนๆ ผิงอันตบมือ บราลีก็เฮไปด้วยอย่างลืมตัว ฉินเจียงเซ็งที่ถูกขโมยซีน
ผิงอันจูบแก้มจ้าวซันซ้ายขวา จ้าวซันจูบตอบ บราลีอดมองดูภาพพี่น้องและชื่นชมไม่ได้ พอดีจ้าวซันปรายตามองมา ตาสบตากัน บราลีรีบเมินแทบไม่ทัน
“ผิงอันเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกไม่นานก็จะไปเรียนเมืองนอก แล้วก็จะเป็นสาวน้อยตระกูลจ้าว ที่ต้องรับผิดชอบงาน แบ่งเบาภาระของพี่ไปอีกคน เข้าใจไหมจ๊ะ เพราะฉะนั้น น้องต้องหัดรับผิดชอบสมบัติส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ นี้ให้ดี มา พี่ใส่ให้”
“อุ๊ยตาย พี่ชายใหญ่หยุดเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หยุดเลย”
ทุกคนหันไป เหม่ยอิงเดินมาในชุดสวยแบบฆ่าทุกคน หรูโก้มาก เข้ามากอดจ้าวซัน แล้วแย่งเพชรมา ทุกคนอึ้ง ซีด เหม่ยอิงหันมายิ้มหวานกับผิงอัน
“ซายหมุยจ๊ะ ให้พี่ใส่ให้ดีกว่านะ พี่ชายใหญ่น่ะ ใส่ตุ้มหูให้ผู้หญิงไม่เป็นหรอก แล้วแก่ขนาดนี้น่ะ” เหม่ยอิงมองจ้าวซันด้วยตาหวานฉ่ำ “ไม่รู้จะสายตายาวขนาดไหนซะแล้วสิ”
ผิงอันยืนตัวแข็ง ให้เหม่ยอิงใส่ตุ้มหูให้ กลัวๆ จ้าวซันนิ่งๆ ยิ้มๆ ไม่ว่าไร ฉินเจียงยิ่งเซ็ง อยากไปให้พ้น หันมาหาบราลี
“บรีครับ เราไปถ่ายรูปกันตรงนั้นดีกว่า”
จ้าวซันหันมองขวั่บ
“ไท้เผ่ง จะไปไหน พี่ก็มีของจะให้ไท้เผ่งเหมือนกันนะ”
ฉินเจียง บราลี ชะงักหันกลับมา เหม่ยอิง ผิงอันใส่ตุ้มหูเสร็จกันพอดี หันมามอง แปลกใจ แววตาเหม่ยอิง ระแวงๆ สายตาจ้าวซัน มองฉินเจียง เยือกเย็น แกมขอร้องว่าอย่าสร้างปัญหา ฉินเจียงมองอย่างท้าทาย
จ้าวซันเดินนำเข้ามา ฉินเจียงตามมา หน้าตาไม่ไว้ใจ
“พี่ใหญ่ไม่กล้าให้ผมต่อหน้าคนอื่นเหรอ จะให้อะไรล่ะ หรือว่ากลัวจะอดใจไม่ไหว หึงผมจนหน้ามืด พี่ใหญ่ที่ไม่เคยเสียอาการอะไรเลย มาหลุดเพราะผู้หญิงคนเดียวนี่นะ โอ๊ยขำเป็นบ้า” ฉินเจียงหัวเราะ
“ชั้นไม่ได้เรียกนายมาพูดเรื่องผู้หญิง”
“แล้วเรื่องอะไรอีก”
“เรื่องที่เคยขอ ขอร้องมาหลายครั้ง ครั้งนี้ ฉันไม่ขอ แต่จะให้ นายอยากได้อะไร มาแลกกัน จะเอาหุ้นกี่ตัว หรืออยากได้ทีมบอล หรือเล่นทองคำ ว่ามา ฉันจะให้หมด ขออย่างเดียว...”
“พี่ใหญ่ หยุดยุ่งกับผม หยุดบงการผมเดี๋ยวนี้”
“ไม่ได้บงการ แกฟังก่อน ชั้นขอแลก”
“ผมไม่ฟัง ผมไม่ได้โง่นะ ผมทำทุกอย่าง ผมมีเหตุผล ผมโตแล้ว ผมต้องยิ่งใหญ่กว่าพี่ให้ได้ แล้วพี่จะต้องได้รับบทเรียน” ฉินเจียงชี้หน้า จ้าวซันจ้องตอบ เด็ดขาด
“เรื่องขายอาวุธให้ประเทศคีรีรัฐ หยุดซะ เลิกคบไอ้คนชั่วที่ชักนำแกไปในทางหายนะซะ แล้วแกต้องการอะไร ชั้นจะให้”
ฉินเจียงมองหน้าจ้าวซันอย่างท้าทาย
“แล้วถ้าผมจะขอ...ยัยบราลีคนนั้นล่ะ พี่จะว่าไง คุณชายจ้าวซัน”
จ้าวซันถึงกับอึ้ง ฉินเจียงยิ้มดื้อดึงอย่างต้องการเอาชนะ
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 5 (ต่อ)
บราลีกับผิงอันกำลังนั่งกินขนมกันไป บราลีกับเพื่อนๆ ของผิงอัน ดูเข้ากันได้ดี
“อุ๊ย เราชอบชากีร่านะ เต้นเก่งมาก ร้องก็เพราะมาก” บราลีบอก
“หนูว่ารีฮันน่าเซ็กซี่กว่า ชากีร่าป้าไปแล้ว”
“อ้า จะว่าเราแก่ก็ได้ แต่เราชอบชากีร่า ชอบเจนนิเฟอร์ โลเปซ แล้วก็ชอบบียอนเซ่”
“หนูเต้นได้ๆ” ผิงอันลุกขึ้นเต้น “โอะๆ โอ๊ โอ๊ะๆ โอ โอะๆ โอ๊ โอ๊ะๆ โอ..”
เพื่อนๆ ฮากัน ขณะนั้นเหม่ยอิงชะเง้อมองอย่างสงสัยทางด้านจ้าวซัน ฉินเจียง อยากตามไปดูก็อยาก แต่ก็ไปไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เชิญ หันมามองพวกเด็กๆ และบราลี ก็ขวาง หมั่นไส้ ในที่สุดพาลเดินเข้าไปกลางวง พวกเด็กๆ ที่กำลังตบมือเชียร์ให้ผิงอันเต้น เงียบกริบ
“สุภาพสตรีที่ไหนเค้าจะเต้นเพลงแบบนี้กัน เธอควรจะหัดเต้นรำบอลรูมแบบถูกแบบแผนของสุภาพสตรีผู้ดีได้แล้ว อีกไม่นานเธอก็ต้องออกงานเดบูต๊อง แบบที่ชั้นเคยไปออกมาแล้ว ไหน เต้นได้หรือเปล่าล่ะ บอลรูมน่ะ”
เหม่ยอิงเดินไปที่เครื่องไอพอด กดๆๆหาเพลง แล้วหาอัลบั้มไฟล์ใหม่ แล้วกดเลือกเพลง เพลงวอลทช์ ของไชคอฟสกี้ดังขึ้น พอดีฉินเจียงเดินกวนๆออกมา ตามด้วยจ้าวซัน ที่วุ่นวายใจ เหม่ยอิงหันไปเห็นจ้าวซัน ยิ้มออกมาแบบสมใจ เดินเข้าไป เหม่ยอิงเข้าไปยื่นมือให้จ้าวซัน
“พี่ชายใหญ่คะ แสดงให้เด็กกะโปโล พวกนี้ดูหน่อยสิคะ ว่าสุภาพชนเค้าเต้นรำกันยังไง” เหม่ยอิงยิ้มอ้อนๆ แล้วหันมา ทำหน้าข่มๆ อวดๆ กะพวกผิงอันและบราลี จ้าวซันยังกลุ้มๆ ชะงักนิดนึง เหม่ยอิงเข้าไปกอด ยื่นหน้ากระซิบ “พี่ชายอย่าหักหน้าน้องสาวต่อหน้าพวกเด็กๆ สิคะ”
จ้าวซันสบตาเหม่ยอิง ถอนใจท้อๆ แล้วโอบเหม่ยอิงมากอด พาเต้นรำไปตามเพลง บราลีมองดู รู้สึกทึ่งไม่น้อย
จ้าวซันกับเหม่ยอิงเต้นรำกันอย่างสวยงาม
“ว้าว...พี่เหม่ยอิงกับพี่ชายใหญ่สวยสมกันยังกับพระเอกนางเอกในหนังเลย”
ฉินเจียงมองๆ แล้วนึกหมั่นไส้ อยากกวนๆ ขึ้นมา เข้าไปดึงมือบราลีบ้าง
“คุณบรี เรามาเต้นกันบ้างสิ งานซายหมุยทั้งทีจะให้มีคนเต้นรำกันคู่เดียวเด๋อๆ ได้ยังไง มา”
“ฉันเต้นไม่เป็น”
“ตามผม เดี๋ยวก็เป็น ดูนี่ จังหวะพื้นฐานมากๆ 1-2-3 ชิด 1-2-3 ชิด”
จ้าวซันมอง ขมวดคิ้ว เหม่ยอิงเอาตัวเข้ากอด ชิดแก้มกับจ้าวซัน หันมายิ้มเย้ยๆ บราลีเมินหน้า แล้วหันมายิ้มกับฉันเจียง แล้วตั้งใจเต้นมากขึ้น ผิงอันนึกสนุกบ้าง ไปดึงเพื่อนๆ
“มา เรามาเต้นมั่ง วอลทช์ ก็วอลทช์สิ ทำไมเราจะเต้นไม่ได้” เด็กๆ ลุกมาจับระบำกันทั้งวง เต้นแบบเว่อร์ๆ เกินจริง เหมือนเป็นบัลเล่ท์ไปแล้ว “ดูนะ ชั้นจะทำท่าเชิดๆ สง่าๆ แบบพี่เหม่ยอิง”
ผิงอันทำแบบเว่อร์ๆ เพื่อนหัวเราะกัน บราลีแอบเหล่มองดูจ้าวซันไมได้ เหม่ยอิงซบจ้าวซันมากขึ้น บราลีเห็นแล้วอายแทน รีบเมิน
“อย่ายอมแพ้สิครับ บรี พี่ชายใหญ่จะต้องหึงเรา จนเต้นไม่ถูกเลยล่ะ ทำแบบนี้นะ”
ฉินเจียงจับมือบราลีทั้งสองข้าง ให้กอดแบบคล้องคอตน แล้วเอามือทั้งสองของตน ไปกอดรวบเอวบราลีเข้ามาชิด
“เอ๊ะ แต่ว่า...”
“จุ๊ๆ ยัยเหม่ยอิงเขาอยากได้พี่ชายใหญ่เป็นคู่รัก แล้วเขาอยากข่มคุณกับซายหมุย เราต้องแข่งกะเค้าสิ อย่ายอมเป็นคนดู เราต้องเป็นคนแสดงให้พวกเค้าชมดูกันให้เต็มตา” ฉินเจียงหัวเราะ แล้วพาบราลี เต้นแบบหวานแหวว
“ชั้นไม่ชอบเกมแบบนี้เลยนะคะ ชั้นว่าชั้นขาดทุนนะ”
ฉินเจียงเอียงหน้าไปกระซิบแทบติดหูบราลี
“เดี๋ยวคุณคอยดูจ้าวซันนะ ผมไม่เคยเห็นเค้าเป็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย เค้าเรียกว่า เสีย...เสียอาการอย่างแรง”
จ้าวซันมองมา แล้วตาลุก ภาพที่เห็นเหมือนฉินเจียงจะจูบแก้มบราลีอยู่แล้ว จ้าวซันหยุดเต้น ปล่อยเหม่ยอิงทันที แล้วยืนทื่อมองไปที่คู่ฉินเจียงแบบโกรธ แต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไง เหม่ยอิงโกรธ สะบัด ผลักจ้าวซัน
“พี่ชายบ้า”
ฉินเจียงยิ่งได้ใจ กอดบราลี เต้นเคลิ้มๆ ทำท่าเพลิน ฝันๆ ลอยๆ ไม่ปล่อย จังหวะนั้นเอง ซูหลิงเดินเข้ามา ถือช่อดอกไม้ราคาแพงช่อใหญ่ กะมาให้ผิงอัน พอเดินเลี้ยวพ้นกอไม้เข้ามาก็ผงะ เพราะภาพที่ซูหลิงเห็น คือเด็กๆ ร่าเริงกัน จ้าวซัน เหม่ยอิง ยืนห่างๆ ออกมาข้างนึง แต่ตรงกลาง บราลีกับฉินเจียง กำลังเต้นรำแนบชิดสวีทหวาน ซูหลิงตะลึงงัน ฉินเจียงยังไม่รู้ตัว ยั่วจ้าวซันไปเรื่อยๆ
“บรี คุณอย่าก้มหน้าสิ คุณต้องหันไปดูเค้า พี่ชายผม ฮ่ะๆๆ ในที่สุด ผมก็ชนะเค้าได้ เพราะมีคุณมาเป็นตัวช่วยนี่เอง” ฉินเจียงหัวเราะๆ เต้นหันไปหันมา แล้วพอมองมาก็ต้องผงะ อ้าปากค้างเมื่อเห็นซูหลิงยืนเป็นรูปปั้นตรงหน้า ฉินเจียงปล่อยบราลีทันที เด้งตัวออกราวกับโดนไฟจี้
“ซูหลิง”
“ไท้เผ่ง”
ซูหลิงเขวี้ยงช่อดอกไม้ลง แล้ววิ่งหนีไป ทุกคนหยุด มองตาม ตกใจ
“ซูหลิง”
ฉินเจียงตามไป บราลีงง จ้าวซันมึนตึ้บ เหม่ยอิง ยิ้มหยัน ชิงชัง
ซูหลิงวิ่งมาถึงรถของตน วิ่งขึ้นรถ ฉินเจียงตามมา
“ซูหลิง มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ หยุดก่อน ฟังผมก่อนสิ”
ซูหลิงไม่สน ออกรถแบบไม่มีสติ แล้วเหยียบปรี๊ด เอี๊ยด แล้วซัดตูมที่เสาหน้าประตูนั่นเองอย่างแรงๆ ไม่มีเบรกเสียงสนั่นลั่น ตามด้วยเสียงแตรค้าง และแอร์แบ็คขยาดฟืดๆ ทุกคนวิ่งมาดู ตกใจ
หน้ารถซูหลิงยู่ยี่ กระจกแตก หม้อน้ำแตก เสียงแตรยังดัง ซูหลิงโดนแอร์แบ็คอัดคารถ ฉินเจียงรีบวิ่งเข้าไปเปิดรถและเข้าไปดูซูหลิง
“ซูหลิงๆ โธ่ๆๆ”
ซูหลิงหมดสติ มีเลือดออกจากจมูกเต็ม จ้าวซันเข้ามา มองอย่างกังวล แล้วหยิบโทรศัพท์กด
“เหวย ขอรถพยาบาลด่วนครับ มีคนประสบอุบัติเหตุรถยนต์ครับ ที่บ้านเลขที่...ถนน...”
ซูหลิงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ซูหลิงนอนหลับตาอยู่บนเตียงมีการเข้าเฝือกช่วงไหปลาร้าและขา มีการให้น้ำเกลือ ข้างเตียงฉินเจียงนั่งหน้าสลดอยู่ ทันใดนั้นประตูเปิด เหม่ยอิงพรวดเข้ามา ฉินเจียงหันไปมอง
“อ้อ ยังไม่ตายหรอกเหรอ” ฉินเจียงผงะ ลุก ตาแดงก่ำ “งานวันเกิดคนในตระกูลจ้าว ถึงซายหมุยจะเป็นแค่ลูกเมียน้อย แต่ก็เป็นคนสูงส่ง มีเกียรติ ไม่ควรให้คนที่ไม่ได้รับเชิญมาในงาน”
“ชั้นเชิญซูหลิงเอง ทำไม ชั้นเป็นไท้เผ่ง ชั้นจะเชิญใครก็ได้”
“เป็นไท้เผ่ง ก็ยิ่งต้องรู้จักกาลเทศะ ต้องใช้สมองเป็นและเลือกคนที่จะคบเป็น”
“นังเหม่ยอิง ออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่มีปัญญาจะมาตอบเหตุผลก็มาไล่กันเหรอคะ คุณชายรอง” เหม่ยอิงหัวเราะ “นี่เหรอ ประมุขของฉินเย่ว์กรุ๊ป เลือกคบผู้หญิงไม่ดี นักร้องค็อกเทลเล้าจน์ ที่ใครอยากจะออฟก็ออฟได้”
“ซูหลิงไม่ได้เป็นแบบนั้น เค้าเลิกแล้ว”
เหม่ยอิงหัวเราะอย่างมีชัย
“เลิกแล้ว...ก็แปลว่าเคยทำ จริงๆ ด้วย ตายล่ะ หึๆ แล้วมาเฉยๆ ไม่พอ ยังมาทำตัวป่วนจนงานพัง ป่านนี้น้องสาวฉันยังเซ็งไม่หายเลย ทำความเสียหายให้กับทรัพย์สินที่บ้านด้วย น่าทุเรศที่สุด พี่รองคิดดูก็แล้วกันว่าควรจะทำยังไงกะผู้หญิงคนนี้”
“พอได้แล้ว เหม่ยอิง” ทุกคนหันไป “มีมนุษยธรรมบ้างไหม คนเจ็บนอนอยู่นั่น ถ้าไม่มีน้ำใจจะมาเยี่ยม ก็ไปได้แล้ว” จ้าวซันบอกเสียงเข้ม
“พี่ใหญ่”
จ้าวซันเข้ามา ดึงแขนเหม่ยอิง
“มานี่ ทำไมเป็นเด็กใจร้ายนักนะ น้อง...มานี่” จ้าวซันลากเหม่ยอิงออกไป ฉินเจียงมองตา อาฆาต แล้วเข้าไปดูแลซูหลิง
ซูหลิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา น้ำตาไหลเป็นทาง
จ้าวซันลากเหม่ยอิงมาตามทางเดินทางโรงพยาบาล
“น้อง...น้องคิดว่ากำลังทำอะไร ทำไมทำแบบนี้”
“ก็ทำไมถึงจะทำไม่ได้ล่ะคะ พี่ใหญ่คะ ไอ้ฉินเจียงนี่มันเลวกะพี่ใหญ่ เลวกะพวกเรา ทำความเสื่อมเสียให้กับตระกูลจ้าวทุกทาง แต่พี่ใหญ่กลับให้ท้ายมันทุกอย่าง”
“เหม่ยอิง ถ้าน้องอยากเอาชนะฉินเจียงก็อย่าทำร้ายเค้า น้องต้องใช้ความเมตตา ความดี ทำให้เค้ารักและเชื่อใจ ไม่ใช่ไปทำให้เค้าเกลียด”
“ให้มันเกลียดน้องเลย เกลียดเลย แล้วมาดูกันว่าระหว่างน้องกะมัน ใครจะเหนือกว่าใคร มันได้ตำแหน่งไท้เผ่งเพราะมันเป็นผู้ชายแค่นั้นเอง มันโง่กว่าน้อง กระจอกกว่าน้องทุกเรื่อง”
“เป็นลูกเต้ด้วยกันหรือเปล่า มีสายเลือดจ้าวฉินเย่ว์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“สายเลือดของเต้...” เหม่ยอิงหัวเราะ “แล้วพี่ใหญ่ละค่ะ มีหรือเปล่า ก็ไม่มี สายเลือดไม่สำคัญเลยนะคะ พี่ใหญ่ แล้วถ้าพี่ใหญ่ซีเรียสเรื่องสายเลือดจริง พี่ใหญ่ก็ไม่ควรลืมว่าแม่มันก็เป็นแหม่มนางโชว์อังกฤษตามบาร์คนนึง มันมีเลือดผสมที่ไม่ควรได้รับการยอมรับด้วยซ้ำ”
“เหม่ยอิง อย่าคิดแบบนั้นเลย เราก็มีกันอยู่แค่นี้”
“เอาความดีชนะคนเลวหรือคะ เอาความรักเมตตาชนะความเกลียด แล้วทำไมพี่ใหญ่ไม่รักไม่เมตตาน้องมั่งล่ะ พี่ใหญ่รักเมตตากระทั่งนังซูหลิง ผู้หญิงขายตัวมากกว่าน้องซะอีก”
“พี่รักน้องนะ เหม่ยอิง พี่ถึงอยากให้น้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติซะแล้วน้องจะมีความสุข ไม่ต้องโกรธเกลียดอะไรอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ แล้วน้องก็จะได้เป็นผู้หญิงที่น่ารักไงจ๊ะ” จ้าวซันเข้ามาลูบผมแต่เหม่ยอิงปัดมือออก
“ไม่ต้องมาทำเหมือนน้องเป็นลูกหมาเลย น้องไม่ต้องการเป็นผู้หญิงเชื่องๆ พวกนั้น แล้วพี่ชายใหญ่จำไว้ว่าความดีไม่มีวันชนะพวกชั่วๆ ได้หรอก คนชั่ว มันต้องถูกกำจัดให้หมด พี่ใหญ่นั่นแหละคือคนที่ต้องเปลี่ยนทัศนคติแบบคนขี้แพ้ซะที” เหม่ยอิงสะบัดหน้า เดินลิ่วๆ จากไป
“ทัศนคติแบบคนขี้แพ้งั้นหรือ พี่มันขี้แพ้จริงๆ ซะด้วยสิ เหม่ยอิง”
จ้าวซันรำพึงอย่างเศร้าใจ
ผิงอันเดินออกมาส่งบราลีหน้าบ้าน
“ผู้หญิงคนนั้นเค้าจะเป็นอะไรมากไหมก็ไม่รู้”
“พี่ชายรองอยากมายุ่งกะเธอทำไม ตัวเองมีพี่ซูหลิงอยู่แล้ว”
“ชั้นไม่ได้อยากยุ่งกะเค้านะ ชั้นไม่อยากยุ่งกะใครทั้งนั้น”
“เห็นไหม บ้านฉันมันเป็นบ้านที่ผู้คนวุ่นวาย ไม่มีเหตุผล แปลกๆ มากๆ เลย ไม่มีใครรักกันเลย ทุกคนเกลียดกันหมด ถ้าไม่มีพี่ชายใหญ่แล้วชั้นจะอยู่ได้ยังไง”
“พี่ชายใหญ่ของเธอก็ไม่ใช่ว่าจะไม่แปลกนะ”
“แปลก ใช่ แต่แปลกที่เค้าเป็นคนดี”
“คนดีเนี่ยนะ”
“ใช่ ทำไม เธอเห็นว่าพี่รองดีกว่าพี่ใหญ่เหรอ ถ้าเธอเห็นแบบนั้น แปลว่าเธอเห็นผิดเป็นชอบไปแล้วล่ะ บรี”
“ชั้นไม่ได้ว่าอย่างนั้น ผิงอัน แต่เธออาจไม่รู้ความจริง”
“ความจริงอะไร” บราลีอึ้ง ไม่พูด
“เปล่า”
“เรื่องพี่ใหญ่เป็นคนต่างชาติ มาจากประเทศยากจนน่ะเหรอ ทำไมเราจะไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้ อาจเป็นเพราะเค้าไม่ใช่คนตระกูลจ้าว เค้าถึงเป็นคนดี”
“อ้าว...ทำไมพูดแบบนั้น”
“พูดจริงๆ นะ เรา คนตระกูลจ้าวแท้ ชั้นไม่เห็นใครใจดีกับใครซักคน มีแต่คนใจร้ายๆ เห็นแก่ตัว อิจฉาริษยากัน มีแต่พี่ใหญ่ ที่ไม่เป็นแบบนี้ เค้าคงมาจากครอบครัวที่ดี แล้วก็รักกันมากๆ เลยนะ” บราลรีนิ่งไป
“เธอคิดอย่างนั้นเหรอ”
“บรี เธอเห็นพี่ใหญ่แป๊บเดียว ชั้นสิ เห็นเค้ามาตั้งแต่ชั้นจำความได้ ชั้นรู้จักเค้าดี”
ทั้งสองมองหน้ากัน ผิงอันจริงจัง บราลีอึ้งๆ
ห้องในโรงพยาบาล ซูหลิงกำลังร้องไห้
“ชั้นมันไม่คู่ควรที่จะไปในงานของพวกคุณจริงๆ” จ้าวซันเปิดประตูเข้ามา นิ่งเงียบฟัง “ชั้นมันก็คือนักร้องโสเภณี ไปกับแขกที่มีเงินมาจ่ายค่าออฟจริงๆ ราคาค่าความเป็นคนของชั้น มันต่ำกว่าผู้หญิงคนนั้นมาก”
“ผู้หญิงคนไหนอีกล่ะ”
“ผู้หญิงสวยๆ ที่คุณเต้นรำด้วย เค้าดูสะอาดผุดผ่อง มีค่าสมกับคุณมากกว่าชั้นหลายเท่า”
“ไม่จริงนะ ยัยนั่นมัน...”
จ้าวซันกระแอม ขัดขึ้น ทั้งสองชะงักหันมา แล้วต่างเงียบ ซูหลิงหน้าซีด
“คุณชายใหญ่ คุณชายจ้าวซัน”
“ครับ”
“ชั้นกลัวแล้ว ชั้นผิดไปแล้ว ชั้นขอโทษ ชั้นไม่ตั้งใจที่จะไปทำลายงานวันเกิดคุณผิงอัน ชั้นมันต่ำต้อย ชั้นมันเลวจริงๆ” ซูหลิงกระเสือกกระสน จะลงจากเตียงเพื่อคุกเข่าขอโทษ “คุณจะด่าชั้นด่าเถอะค่ะ แต่อย่าว่าไท้เผ่งนะคะ ไท้เผ่งเค้าไม่ได้เชิญให้ชั้นไป แต่ชั้น...เสนอหน้าไปเองค่ะ ชั้นขอโทษ”
จ้าวซันรีบเข้ามาจับตัวซูหลิง
“ซูหลิง ผมไม่ได้ว่าอะไร คุณมางาน ผมก็ขอบคุณ แต่ผมเสียใจที่เกิดเรื่องที่ทำให้คุณเจ็บตัวเท่านั้นเอง”
“ชั้นมันโง่ ชั้นมันบ้า งี่เง่า เสียสติไปเองค่ะ ชั้นขอโทษๆ”
“ซูหลิง คุณจะขอโทษให้ครบพันครั้งเลยเหรอครับ คุณเห็นผมเป็นยักษ์เป็นมารแบบนี้ แปลว่าไท้เผ่งคงไปสร้างภาพดีๆ ของผมไว้มากล่ะสิ” จ้าวซันมองฉินเจียงอย่างระอาใจ ฉินเจียงสะบัด เมินหน้า หมั่นไส้ว่าจ้าวซันเสแสร้ง
ร้านค้าย่านโซโห มีร้านดูดีมีดีไซน์แปลกๆ แกลเลอรี่ ร้านอาหารเก๋ๆ มีวัยรุ่น คนทำงาน และฝรั่งต่างชาติประปราย ภายในร้านน้ำชา ที่ตกแต่งอย่างหรูแต่ยังไม่มีคนมากนัก เหม่ยอิงนั่งอยู่กับคุณนายหวังที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน บนโต๊ะมีขนมเค้กและถ้วยน้ำชา เหม่ยอิงยกชาขึ้นจิบ
“แม้แต่นังโสเภณีซูหลิง ก็ดีพอที่พี่ใหญ่จะยกย่องให้มันมาร่วมตระกูลจ้าว หรือว่าเราจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว”
“ใจเย็นๆ สิ ดาร์หลิง พูดน่ากลัวจริง”
“ฉันให้โอกาสพี่ชายใหญ่มามากแล้ว เพราะความรักที่ทำให้ฉันยอมทน แต่สงสัยว่าความรักมันจะไร้ประโยชน์ เป็นแค่ความเชื่อโง่ๆ เก่าๆ ของผู้หญิงสมัยโบราณที่ไม่มีทางเลือก”
คุณนายหวังรินน้ำชาให้
“ความรักมีจริงนะคะ มายเดียร์ จ้าวซันกับคุณ เป็นโซลเหมต คือเนื้อคู่ที่ฟ้ากำหนดมานะคะ มายเดียร์”
“หยุดเรียกชั้นว่ามายเดียร์ได้ไหม ชั้นไม่ใช่กวางนะ”
“ดี อี เอ อาร์ เดียร์ค่ะ ไม่ใช่ ดีดับเบิ้ลอี อาร์... เดียร์ แปลว่า ที่รัก...คนที่สูงค่า”
“พอแล้ว คุณนายหวังไม่ต้องมาเอาใจ ไม่ต้องปลอบใจชั้นให้เสียเวลาต่อไปเลย จะเป็นที่รัก จะสูงค่าสำหรับใคร ก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น ถ้าพี่ชายใหญ่มองไม่เห็น ก็ได้ ก็ดีเหมือนกัน จ้าวซัน...ถ้ามันได้มายากนักฉันก็ไม่อยากจะพยายามอีกต่อไป”
“ความจริง คนดีๆ หล่อๆ รวยๆในฮ่องกง ก็มีอีกมากมาย”
เหม่ยอิงหันขวับ มองตาเขียว คุณนายหวังรู้สึกผิดที่พลั้งปากออกไปอย่างนั้น
“หุบปาก ไม่มีใครคู่ควรกับฉันเท่าพี่ชายใหญ่อีกแล้ว. ดังนั้นถ้าฉันไม่ได้ ก็ต้องไม่มีใครได้ นอกจากพี่ชายใหญ่ต้องมานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ตรงหน้าฉัน แล้วก็สำนึกได้ว่า คนอย่างจ้าวเหม่ยอิงคนนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้พี่รอดจากหายนะได้”
คุณนายหวังมองเหม่ยอิงด้วยความเป็นห่วง
“เหม่ยอิง ชั้นห่วงคุณนะ ชั้นไม่อยากให้คุณถูกเผาไหม้ด้วยไฟแบบนี้เลย”
“ฉันไม่ได้ถูกเผาไหม้ เพราะฉันเองคือไฟ ชั้นนี่แหละจะเป็นคนแผดเผาทำลายผู้ชายตระกูลจ้าวทุกคน มาดามไม่เชื่อก็คอยดูไปก็แล้วกัน”
เหม่ยอิงพูดด้วยแววตาแค้นดุดัน
พยาบาลกำลังวัดไข้กับความดันโลหิตซูหลิง จ้าวซันยืนอยู่มุมนึง ฉินเจียงยืนเหล่ๆมุมนึง สงสัย ทำไมจ้าวซันไม่ไปซะที จ้าวซันทำไมรู้ไม่ชี้ หยิบนั่นนี่ขึ้นมาอ่าน พยาบาลออกไป จ้าวซันจึงพูดขรึมๆ ขึ้นมาลอยๆ
“ขอผมแนะนำอะไรคุณหน่อยก็แล้วกันนะ ซูหลิงคุณควรจะเป็นฝ่ายให้สติ ตักเตือนฉินเจียงบ้าง เพราะเขาเป็นเด็กเอาแต่ใจมาก คุณน่าจะทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่กว่าเค้า ไม่ใช่งอแงเท่าๆ กัน อาละวาดเก่งเท่าๆ กัน แบบนี้ ความรักมันจะราบรื่นได้ยังไง”
ฉินเจียงหันมา ถลึงตาใส่จ้าวซัน
“อะไรนะคะ คุณชายจ้าวซันไม่ได้อยากให้เค้ากับชั้นเลิกกันหรือคะ” ซูหลิงถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมผมจะต้องอยากแบบนั้น”
“เพราะชั้น..เป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นนักร้องในเล้าจน์”
“ถ้าอย่างนั้น คุณอยากทำอย่างอื่นไหมล่ะ” จ้าวซันมองหน้าซูหลิงจริงจัง
“อย่ายุ่งกับซูหลิง”
ซูหลิงไม่สนฉินเจียงคุยกับจ้าวซันต่อ
“อยากสิคะ แต่ชั้นไม่มีปัญญา”
“อยากทำร้านขายของเก่าไหม พวกรูปภาพจีน ผ้าโบราณ ถ้วยชาม พระพุทธรูป”
ซูหลิงตาโต แทบจะลุกนั่งทันที
“อยากสิคะ แต่มันจะเป็นไปได้หรือคะ”
“อะไรกันเนี่ย บ้ากันใหญ่แล้ว คุณชายจ้าวซัน ซูหลิงเค้ารู้เรื่องของพวกนั้นเมื่อไหร่กัน ซูหลิงเอางี้ ชั้นจะเปิดผับหรูๆ ให้เธอบริหารเลย เอาที่มาเก๊าไหมล่ะ” ฉินเจียงบอก แต่ซูหลิงไม่สนฉินเจียงเลย
“ที่บ้าน ชั้นยังมีของบางส่วนเหลืออยู่ในห้องเก็บของค่ะ ชั้นไม่ยอมขายเด็ดขาดมันคือของที่ป๊ารักมาก”
“อะไรอ่ะ” ฉินเจียงมองหน้าสองคน คนละที จ้าวซันยิ้มอ่อนๆ ให้ซูหลิง
“คุณพ่อของซูหลิง เคยมีร้านแอนที้คที่สวยมาก ไม่ใช่ร้านหรูหราบนย่านดัง แต่เป็นร้านเล็กๆ ที่เกาลูน ชาวต่างประเทศพวกนักวิชาการชอบกันมาก”
“เสียดาย ที่พ่อป่วย พอพ่อเป็นมะเร็ง แม่เลยจำเป็นต้องขายของในร้านถูกๆ เอามาเป็นค่ารักษา แล้วก็ปิดร้านไป เพราะแม่ต้องเฝ้าดูแลพ่อตลอดเวลา 2 ปี จนพ่อตาย จากนั้นแม่ก็หมดอาลัยตายอยาก จนป่วยแล้วก็ตายตามพ่อไป ชั้นเพิ่งเรียนมัธยมค่ะ ไม่มีปัญญาจะทำอะไรทั้งนั้น”
“เรามาหุ้นกันไหมล่ะ ผมออกทุน คุณออกแรงแต่มันเป็นงานหนักนะ”
“ชั้นทำได้ค่ะ คุณชายใหญ่ ชั้นทำได้” ซูหลิงร้องไห้ด้วยความดีใจ จ้าวซันยิ้มอ่อนโยน ฉินเจียงมอง แล้วยิ่งเจ็บใจ
วันต่อมาที่ร้านกาแฟโทรมๆ ซึ่งเป็นจุดนัดพบประจำของเหม่ยอิงกับเกาเฟย ภายในร้านมีผู้คนไม่มากนัก เหม่ยอิงนั่งกอดอกอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน เหมือนรอใครอยู่ บนโต๊ะมีแก้วน้ำส้มตั้งอยู่ สักพักมีผู้ชายใส่หมวกแก็ป สวมเสื้อแจ็คเก็ต ใส่แว่นดำ เดินเปิดประตูเข้ามาในร้าน หันมองซ้ายขวา พอมองเห็นเหม่ยอิงนั่งอยู่ ก็รีบเดินตรงมายังโต๊ะ นั่งลงถอดแว่นดำออกเผยให้เห็นหน้าเกาเฟย
“ช้าจังเลยนะ”
“คุณหนูใหญ่มีอะไรให้เกาเฟยรับใช้”
“ฉันมีงานสำคัญ.อยากให้เธอช่วยทำสัก 2 เรื่อง”
“ยิ่งกว่า 2 ก็ได้นะครับ” หน้าตาเกาเฟยหลงใหลได้ปลื้ม
“เป็นความลับสุดยอด ห้ามไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด”
เกาเฟยมองหน้าเหม่ยอิงอย่างโลมเลียม เหม่ยอิงจ้องกลับแววตาแข็งกร้าว ท้าทาย เต็มไปด้วยความแค้นดุดัน
“ผมเคยทำอะไรให้คุณหนูใหญ่แล้วมีใครรู้บ้างล่ะ ความลับของเรา มันลับเสมอ ไม่ใช่เหรอ”
“แต่คราวนี้ มันยากกว่านั้น เพราะถ้าผิดพลาดไปอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเธอ และฉัน” เกาเฟยหัวเราะ
“คุณหนูก็รู้ ว่าเกาเฟยไม่มีวันพลาด”
“เรื่องเกี่ยวกับฉินเจียง ฉันไม่ห่วง เพราะมันโง่”
“สำหรับรายนั้น ตอนนี้ก็ไม่มีสมองจะคิดอะไร เพราะเมียไม่สบาย ประมาณว่ารักเมียมาก”
“หึๆ มันก็สมกันดีนะ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกะฉินเจียง แต่เกี่ยวกะจ้าวซัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่แกต้องทำอย่างสุดฝีมือ”
“ให้ผมตายเคียงคุณหนูใหญ่ ผมยอม ให้ไปนรกหรือไปสวรรค์ก็สุดแล้วแต่คุณหนูใหญ่จะบัญชามาครับ” เกาเฟยเอามือเหม่ยอิงไปจูบอย่างบูชา แล้วเอามาทูนไว้เหนือหัว
เหม่ยอิงมองหน้านิ่ง ท่าทีเย็นชา ยิ้มร้ายที่มุมปากนิดๆ
อ่านต่อตอนต่อไป